• 🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์

    แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200
    - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน
    - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC
    - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA
    - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น
    - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion
    - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร

    การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์ แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • 🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference
    AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย

    AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์

    Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI

    นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference
    - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน
    - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design
    - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU
    - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท
    - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล
    - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด

    การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • 🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm

    ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น

    การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP)
    - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm
    - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux
    - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่
    - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
    - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว

    การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้ - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่ - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • 🖥️ Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO
    Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD

    Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร

    ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro
    - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา
    - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel"
    - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro
    - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล
    - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD
    - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่
    - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft

    การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    🖥️ Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่ - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่ https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel vs AMD? Microsoft seemingly has a clear recommendation for Windows 11 Pro PC upgrade
    Microsoft has published a new ad about upgrading Windows 10 PCs to Windows 11 Pro. However, in it, the tech giant seems to have a clear recommendation for one over the other between AMD and Intel.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • 📧 วิธีเปลี่ยนจาก Yahoo Mail ไปใช้ Gmail อย่างราบรื่น
    หากคุณกำลังมองหาวิธี ย้ายจาก Yahoo Mail ไปใช้ Gmail โดยไม่ให้เกิดปัญหาในการรับส่งอีเมลหรือสูญเสียข้อมูลสำคัญ Google มีเครื่องมือที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างง่ายดาย

    มีหลายวิธีในการเปลี่ยนมาใช้ Gmail โดยขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการ เชื่อมต่อบัญชี Yahoo กับ Gmail หรือ ย้ายอีเมลทั้งหมดไปยัง Gmail

    1️⃣ Gmailify – วิธีที่เร็วที่สุดในการเชื่อมต่อ Yahoo กับ Gmail
    - เปิด Gmail และไปที่ Settings > Accounts and Import
    - เลือก Check mail from other accounts > Add a mail account
    - ป้อนที่อยู่อีเมล Yahoo และเลือก Link accounts with Gmailify
    - ทำตามขั้นตอนเพื่ออนุญาตให้ Gmail เชื่อมต่อกับ Yahoo

    ✅ ข้อดีของ Gmailify
    - ใช้ ฟิลเตอร์สแปมของ Gmail เพื่อป้องกันอีเมลขยะ
    - ใช้ ระบบค้นหาและจัดหมวดหมู่ของ Gmail
    - สามารถส่งอีเมลจาก Gmail โดยใช้ที่อยู่ Yahoo ได้
    - ไม่ต้องเปลี่ยนที่อยู่อีเมลทันที

    ‼️ ข้อจำกัดของ Gmailify
    - ไม่สามารถนำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ได้
    - ต้องเชื่อมต่อบัญชี Yahoo กับ Gmail ตลอดเวลา

    2️⃣ POP3 Import – วิธีนำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ไปยัง Gmail
    - ไปที่ Settings > Accounts and Import ใน Gmail
    - เลือก Check mail from other accounts > Add a mail account
    - ป้อนที่อยู่อีเมล Yahoo และเลือก Import using POP3

    ใช้ค่าการตั้งค่าดังนี้:
    - POP Server: pop.mail.yahoo.com
    - Port: 995
    - SSL: เปิดใช้งาน

    ✅ ข้อดีของ POP3 Import
    - นำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ไปยัง Gmail ได้
    - เป็นวิธีฟรีที่ใช้ได้กับบัญชี Gmail ทุกประเภท

    ‼️ ข้อจำกัดของ POP3 Import
    - นำเข้าเฉพาะอีเมลใน Inbox เท่านั้น (ไม่รวมโฟลเดอร์อื่น ๆ)
    - ไม่สามารถรักษาโครงสร้างโฟลเดอร์เดิมได้
    - อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันในการนำเข้าอีเมลจำนวนมาก

    3️⃣ ใช้บริการของบุคคลที่สาม – วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการย้ายข้อมูลทั้งหมด
    - VaultMe – ย้ายอีเมล, โฟลเดอร์, สถานะอ่าน/ยังไม่ได้อ่าน และไฟล์แนบ
    - MailJerry – ย้ายทุกโฟลเดอร์ รวมถึง Inbox, Sent, Drafts และโฟลเดอร์ที่กำหนดเอง
    - BitRecover Yahoo to Gmail Wizard – รองรับการย้ายข้อมูลแบบเลือกเฉพาะโฟลเดอร์หรือช่วงเวลา

    ✅ ข้อดีของบริการบุคคลที่สาม
    - สามารถย้ายอีเมลทั้งหมด รวมถึงโฟลเดอร์และโครงสร้างเดิม
    - รองรับการย้ายข้อมูลแบบเลือกเฉพาะบางส่วน
    - มีระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล

    ‼️ ข้อจำกัดของบริการบุคคลที่สาม
    - เป็นบริการแบบเสียเงิน
    - ต้องใช้รหัสผ่านแอป Yahoo เพื่อให้การย้ายข้อมูลทำงานได้

    🚀 วิธีป้องกันการสูญเสียอีเมลระหว่างการเปลี่ยนแปลง
    หากคุณต้องการให้ อีเมลใหม่จาก Yahoo ถูกส่งไปยัง Gmail โดยอัตโนมัติ ในระหว่างที่คุณกำลังเปลี่ยนระบบ:
    - ไปที่ Yahoo Mail > Settings > More Settings > Mailboxes
    - เลือกบัญชี Yahoo และเพิ่มที่อยู่ Gmail ใน Forwarding
    - Yahoo จะส่งลิงก์ยืนยันไปยัง Gmail ให้คุณคลิกเพื่อเปิดใช้งาน

    ‼️ ข้อจำกัดของการส่งต่ออีเมล
    - ต้องใช้บัญชี Yahoo Mail Plus (แบบเสียเงิน) เพื่อเปิดใช้งานการส่งต่ออีเมล
    - หากต้องการวิธีฟรี ให้ใช้ Gmailify แทน

    📅 วิธีนำเข้ารายชื่อผู้ติดต่อและปฏิทินจาก Yahoo ไป Gmail
    ✅ นำเข้ารายชื่อผู้ติดต่อ
    - ไปที่ Yahoo Mail > Contacts > More options > Export (CSV)
    - ใน Gmail ไปที่ Google Contacts > Import > Upload CSV file

    ✅ นำเข้าปฏิทิน
    - ใน Yahoo Calendar ให้ ส่งออกกิจกรรมเป็นไฟล์ .ics
    - ใน Google Calendar ไปที่ Settings > Import & Export แล้วอัปโหลดไฟล์ .ics

    🔄 คำแนะนำสุดท้าย
    หากคุณกำลังเปลี่ยนจาก Yahoo ไป Gmail ควรเปิดใช้งานทั้งสองบัญชีพร้อมกันเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอีเมลสำคัญสูญหาย

    https://computercity.com/software/email/how-to-switch-from-yahoo-mail-to-gmail-2025-guide
    📧 วิธีเปลี่ยนจาก Yahoo Mail ไปใช้ Gmail อย่างราบรื่น หากคุณกำลังมองหาวิธี ย้ายจาก Yahoo Mail ไปใช้ Gmail โดยไม่ให้เกิดปัญหาในการรับส่งอีเมลหรือสูญเสียข้อมูลสำคัญ Google มีเครื่องมือที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างง่ายดาย มีหลายวิธีในการเปลี่ยนมาใช้ Gmail โดยขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการ เชื่อมต่อบัญชี Yahoo กับ Gmail หรือ ย้ายอีเมลทั้งหมดไปยัง Gmail 1️⃣ Gmailify – วิธีที่เร็วที่สุดในการเชื่อมต่อ Yahoo กับ Gmail - เปิด Gmail และไปที่ Settings > Accounts and Import - เลือก Check mail from other accounts > Add a mail account - ป้อนที่อยู่อีเมล Yahoo และเลือก Link accounts with Gmailify - ทำตามขั้นตอนเพื่ออนุญาตให้ Gmail เชื่อมต่อกับ Yahoo ✅ ข้อดีของ Gmailify - ใช้ ฟิลเตอร์สแปมของ Gmail เพื่อป้องกันอีเมลขยะ - ใช้ ระบบค้นหาและจัดหมวดหมู่ของ Gmail - สามารถส่งอีเมลจาก Gmail โดยใช้ที่อยู่ Yahoo ได้ - ไม่ต้องเปลี่ยนที่อยู่อีเมลทันที ‼️ ข้อจำกัดของ Gmailify - ไม่สามารถนำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ได้ - ต้องเชื่อมต่อบัญชี Yahoo กับ Gmail ตลอดเวลา 2️⃣ POP3 Import – วิธีนำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ไปยัง Gmail - ไปที่ Settings > Accounts and Import ใน Gmail - เลือก Check mail from other accounts > Add a mail account - ป้อนที่อยู่อีเมล Yahoo และเลือก Import using POP3 ใช้ค่าการตั้งค่าดังนี้: - POP Server: pop.mail.yahoo.com - Port: 995 - SSL: เปิดใช้งาน ✅ ข้อดีของ POP3 Import - นำเข้าอีเมลเก่าจาก Yahoo ไปยัง Gmail ได้ - เป็นวิธีฟรีที่ใช้ได้กับบัญชี Gmail ทุกประเภท ‼️ ข้อจำกัดของ POP3 Import - นำเข้าเฉพาะอีเมลใน Inbox เท่านั้น (ไม่รวมโฟลเดอร์อื่น ๆ) - ไม่สามารถรักษาโครงสร้างโฟลเดอร์เดิมได้ - อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันในการนำเข้าอีเมลจำนวนมาก 3️⃣ ใช้บริการของบุคคลที่สาม – วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการย้ายข้อมูลทั้งหมด - VaultMe – ย้ายอีเมล, โฟลเดอร์, สถานะอ่าน/ยังไม่ได้อ่าน และไฟล์แนบ - MailJerry – ย้ายทุกโฟลเดอร์ รวมถึง Inbox, Sent, Drafts และโฟลเดอร์ที่กำหนดเอง - BitRecover Yahoo to Gmail Wizard – รองรับการย้ายข้อมูลแบบเลือกเฉพาะโฟลเดอร์หรือช่วงเวลา ✅ ข้อดีของบริการบุคคลที่สาม - สามารถย้ายอีเมลทั้งหมด รวมถึงโฟลเดอร์และโครงสร้างเดิม - รองรับการย้ายข้อมูลแบบเลือกเฉพาะบางส่วน - มีระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ‼️ ข้อจำกัดของบริการบุคคลที่สาม - เป็นบริการแบบเสียเงิน - ต้องใช้รหัสผ่านแอป Yahoo เพื่อให้การย้ายข้อมูลทำงานได้ 🚀 วิธีป้องกันการสูญเสียอีเมลระหว่างการเปลี่ยนแปลง หากคุณต้องการให้ อีเมลใหม่จาก Yahoo ถูกส่งไปยัง Gmail โดยอัตโนมัติ ในระหว่างที่คุณกำลังเปลี่ยนระบบ: - ไปที่ Yahoo Mail > Settings > More Settings > Mailboxes - เลือกบัญชี Yahoo และเพิ่มที่อยู่ Gmail ใน Forwarding - Yahoo จะส่งลิงก์ยืนยันไปยัง Gmail ให้คุณคลิกเพื่อเปิดใช้งาน ‼️ ข้อจำกัดของการส่งต่ออีเมล - ต้องใช้บัญชี Yahoo Mail Plus (แบบเสียเงิน) เพื่อเปิดใช้งานการส่งต่ออีเมล - หากต้องการวิธีฟรี ให้ใช้ Gmailify แทน 📅 วิธีนำเข้ารายชื่อผู้ติดต่อและปฏิทินจาก Yahoo ไป Gmail ✅ นำเข้ารายชื่อผู้ติดต่อ - ไปที่ Yahoo Mail > Contacts > More options > Export (CSV) - ใน Gmail ไปที่ Google Contacts > Import > Upload CSV file ✅ นำเข้าปฏิทิน - ใน Yahoo Calendar ให้ ส่งออกกิจกรรมเป็นไฟล์ .ics - ใน Google Calendar ไปที่ Settings > Import & Export แล้วอัปโหลดไฟล์ .ics 🔄 คำแนะนำสุดท้าย หากคุณกำลังเปลี่ยนจาก Yahoo ไป Gmail ควรเปิดใช้งานทั้งสองบัญชีพร้อมกันเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอีเมลสำคัญสูญหาย https://computercity.com/software/email/how-to-switch-from-yahoo-mail-to-gmail-2025-guide
    COMPUTERCITY.COM
    How To Switch from Yahoo Mail to Gmail (2025 Guide)
    Switching from Yahoo Mail to Gmail in 2025 doesn’t have to be a tech nightmare. Whether you're looking for seamless inbox integration or a full email
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • 💻 KDE เชิญชวนผู้ใช้ Windows 10 เปลี่ยนมาใช้ Linux ก่อนหมดการสนับสนุน
    KDE ได้เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Windows 10 ที่กำลังจะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 สามารถเปลี่ยนมาใช้ Linux แทนการซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่

    KDE ระบุว่า Windows 10 จะกลายเป็น "ขยะ" และ "ล้าสมัย" หลังจาก Microsoft หยุดการอัปเดต ทำให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจนำไปสู่การถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล

    นอกจากนี้ แอปพลิเคชันใหม่ ๆ จะไม่สามารถรันบน Windows 10 ได้ และ Microsoft อาจ บล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ผู้ใช้จะซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ ซึ่ง KDE เรียกสิ่งนี้ว่า "การรีดไถทางเทคโนโลยี"

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    - KDE เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ Linux
    - Windows 10 ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - Microsoft อาจบล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่
    - KDE Plasma สามารถรันได้ดีแม้บนเครื่องที่มีอายุ 10 ปี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนมาใช้ Linux ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากระบบแตกต่างจาก Windows
    - ผู้ใช้ต้องหาแอปพลิเคชันที่สามารถทดแทนโปรแกรม Windows ที่เคยใช้
    - บางเกมและซอฟต์แวร์ เช่น Adobe Creative Suite และ Microsoft Office อาจไม่สามารถใช้งานบน Linux ได้
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้ Windows 10 จะเลือกเปลี่ยนไปใช้ Linux มากน้อยเพียงใด

    KDE พยายามนำเสนอ Linux เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์เดิมต่อไปได้ โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่

    https://www.neowin.net/news/as-windows-10-support-winds-down-kde-welcomes-windows-10-exiles-to-linux/
    💻 KDE เชิญชวนผู้ใช้ Windows 10 เปลี่ยนมาใช้ Linux ก่อนหมดการสนับสนุน KDE ได้เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Windows 10 ที่กำลังจะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 สามารถเปลี่ยนมาใช้ Linux แทนการซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ KDE ระบุว่า Windows 10 จะกลายเป็น "ขยะ" และ "ล้าสมัย" หลังจาก Microsoft หยุดการอัปเดต ทำให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจนำไปสู่การถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล นอกจากนี้ แอปพลิเคชันใหม่ ๆ จะไม่สามารถรันบน Windows 10 ได้ และ Microsoft อาจ บล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ผู้ใช้จะซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ ซึ่ง KDE เรียกสิ่งนี้ว่า "การรีดไถทางเทคโนโลยี" ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 - KDE เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ Linux - Windows 10 ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - Microsoft อาจบล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ - KDE Plasma สามารถรันได้ดีแม้บนเครื่องที่มีอายุ 10 ปี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนมาใช้ Linux ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากระบบแตกต่างจาก Windows - ผู้ใช้ต้องหาแอปพลิเคชันที่สามารถทดแทนโปรแกรม Windows ที่เคยใช้ - บางเกมและซอฟต์แวร์ เช่น Adobe Creative Suite และ Microsoft Office อาจไม่สามารถใช้งานบน Linux ได้ - ต้องติดตามว่าผู้ใช้ Windows 10 จะเลือกเปลี่ยนไปใช้ Linux มากน้อยเพียงใด KDE พยายามนำเสนอ Linux เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์เดิมต่อไปได้ โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ https://www.neowin.net/news/as-windows-10-support-winds-down-kde-welcomes-windows-10-exiles-to-linux/
    WWW.NEOWIN.NET
    As Windows 10 support winds down, KDE welcomes "Windows 10 exiles" to Linux
    As we near the end of support for Windows 10, KDE is doubling its efforts to urge Windows users to switch to Linux and save their "perfectly good" computers from becoming obsolete.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • 👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่
    Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย

    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น
    - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026
    - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่
    - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง
    - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

    แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต

    https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่ Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026 - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่ - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    COMPUTERCITY.COM
    Apple Reportedly Cancels AR Video Glasses – What’s Next for Its Wearable Future?
    Apple has reportedly scrapped its long-rumored AR video glasses project, codenamed N107, marking a major pivot in the company’s vision for lightweight
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • 🔒 ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้

    ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598

    ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux
    - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu
    - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora
    - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ
    - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ
    - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054
    - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598
    - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม

    Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core

    https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    🔒 ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้ ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598 ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054 - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598 - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • 🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
    หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง

    B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน

    แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs
    - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs
    - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU
    - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร
    - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน
    - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • 🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50%
    Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB

    Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน
    - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB
    - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง
    - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน
    - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้
    - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร
    - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่

    Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50% Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้ - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • 🍷 Wine 10.9: การอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับการรันแอป Windows บน Linux และ macOS
    Wine 10.9 ได้เปิดตัวพร้อมกับ การรองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว ซึ่งช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น และอาจเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปที่ใช้ OpenGL ES

    EGL เป็น ตัวกลางสำคัญ ที่ช่วยให้ OpenGL ES สามารถสื่อสารกับ window manager ของระบบ การที่ Wine รองรับ EGL อย่างเป็นมาตรฐานช่วยลดปัญหาการแสดงผลที่แตกต่างกันระหว่างไดรเวอร์

    นอกจากนี้ Wine 10.9 ยังมาพร้อมกับ vkd3d เวอร์ชัน 1.16 ซึ่งเป็น ตัวแปลง Direct3D 12 เป็น Vulkan โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น
    - รองรับ DXIL shaders ในค่าตั้งต้น ทำให้สามารถใช้ Shader Model 6.0 ได้
    - สามารถสร้าง Graphics pipeline state objects จาก shaders ที่มี root signatures
    - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Wine 10.9 รองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว
    - ช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น
    - vkd3d 1.16 ปรับปรุงการรองรับ Direct3D 12 บน Vulkan
    - DXIL shaders รองรับ Shader Model 6.0 ในค่าตั้งต้น
    - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะรองรับ EGL แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้กับทุกแอป
    - การอัปเดต vkd3d อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ของทุกเกมที่ใช้ Direct3D 12
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะพบข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือไม่หลังจากอัปเดตเป็น Wine 10.9
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงการที่ใช้ Wine เช่น Steam Proton

    Wine 10.9 เป็น ก้าวสำคัญในการปรับปรุงความเข้ากันได้ของแอป Windows บน Linux และ macOS โดยเฉพาะสำหรับ เกมที่ใช้ Direct3D 12 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมและแอปในระยะยาวอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/wine-109-released-bringing-egl-support-for-all-graphic-drivers-and-several-bug-fixes/
    🍷 Wine 10.9: การอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับการรันแอป Windows บน Linux และ macOS Wine 10.9 ได้เปิดตัวพร้อมกับ การรองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว ซึ่งช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น และอาจเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปที่ใช้ OpenGL ES EGL เป็น ตัวกลางสำคัญ ที่ช่วยให้ OpenGL ES สามารถสื่อสารกับ window manager ของระบบ การที่ Wine รองรับ EGL อย่างเป็นมาตรฐานช่วยลดปัญหาการแสดงผลที่แตกต่างกันระหว่างไดรเวอร์ นอกจากนี้ Wine 10.9 ยังมาพร้อมกับ vkd3d เวอร์ชัน 1.16 ซึ่งเป็น ตัวแปลง Direct3D 12 เป็น Vulkan โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น - รองรับ DXIL shaders ในค่าตั้งต้น ทำให้สามารถใช้ Shader Model 6.0 ได้ - สามารถสร้าง Graphics pipeline state objects จาก shaders ที่มี root signatures - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader ✅ ข้อมูลจากข่าว - Wine 10.9 รองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว - ช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น - vkd3d 1.16 ปรับปรุงการรองรับ Direct3D 12 บน Vulkan - DXIL shaders รองรับ Shader Model 6.0 ในค่าตั้งต้น - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะรองรับ EGL แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้กับทุกแอป - การอัปเดต vkd3d อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ของทุกเกมที่ใช้ Direct3D 12 - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะพบข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือไม่หลังจากอัปเดตเป็น Wine 10.9 - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงการที่ใช้ Wine เช่น Steam Proton Wine 10.9 เป็น ก้าวสำคัญในการปรับปรุงความเข้ากันได้ของแอป Windows บน Linux และ macOS โดยเฉพาะสำหรับ เกมที่ใช้ Direct3D 12 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมและแอปในระยะยาวอย่างไร https://www.neowin.net/news/wine-109-released-bringing-egl-support-for-all-graphic-drivers-and-several-bug-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    Wine 10.9 released bringing EGL support for all graphic drivers and several bug fixes
    The latest Wine release, version 10.9, introduces EGL support across all graphics drivers, brings an updated vkd3d version, and includes several bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • หลังมีข่าวลือออกมาว่ามีการถ่ายทำสารคดีชีวิตของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BlackPink” ออกมาให้แฟนๆได้ชม ล่าสุดทาง Sony MUsic Vision ได้ออกมายืนยันว่าเป็นความจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต

    Sony Music Vision เปิดเผยระหว่างการจัดแสดงเปิดทำการครั้งแรกในครึ่งปีหลังของบริษัท ที่ลอสแองเจลิสว่า บริษัทกำลังดำเนินการในโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับ Lloud Co/ RCA Records และ Tremolo Productions

    สารคดีเรื่องนี้กำกับโดย ซู คิม ติดตามชีวิตของ ลิซ่าตลอดทั้งปีขณะที่เธอเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวแยกตัวจาก Blackpink

    ตามรายงานของ The Hollywood Reporter ซู คิม ได้กล่าวว่า "ฉันพยายามทำให้ ลิซ่า ประทับใจจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าทั้งโลกอยากเห็น ลิซ่าเวลาอยู่นอกเวที เธอชอบบอกว่า 'ตัวเองเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งจากประเทศไทย' และเมื่อคุณได้พบกับเธอ เธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเป็นคนติดดินมาก มันน่าตกใจมาก เป็นธรรมชาติ และจริงใจมาก แต่เธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหลือเชื่อของการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง และแม้กระทั่งในโลกนั้น เธอก็พยายามขยายขอบเขตออกไปจากสิ่งนั้นอีก"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000051618

    #MGROnline #Lisa #ลิซ่า #BLACKPINK
    หลังมีข่าวลือออกมาว่ามีการถ่ายทำสารคดีชีวิตของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BlackPink” ออกมาให้แฟนๆได้ชม ล่าสุดทาง Sony MUsic Vision ได้ออกมายืนยันว่าเป็นความจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต • Sony Music Vision เปิดเผยระหว่างการจัดแสดงเปิดทำการครั้งแรกในครึ่งปีหลังของบริษัท ที่ลอสแองเจลิสว่า บริษัทกำลังดำเนินการในโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับ Lloud Co/ RCA Records และ Tremolo Productions • สารคดีเรื่องนี้กำกับโดย ซู คิม ติดตามชีวิตของ ลิซ่าตลอดทั้งปีขณะที่เธอเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวแยกตัวจาก Blackpink • ตามรายงานของ The Hollywood Reporter ซู คิม ได้กล่าวว่า "ฉันพยายามทำให้ ลิซ่า ประทับใจจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าทั้งโลกอยากเห็น ลิซ่าเวลาอยู่นอกเวที เธอชอบบอกว่า 'ตัวเองเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งจากประเทศไทย' และเมื่อคุณได้พบกับเธอ เธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเป็นคนติดดินมาก มันน่าตกใจมาก เป็นธรรมชาติ และจริงใจมาก แต่เธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหลือเชื่อของการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง และแม้กระทั่งในโลกนั้น เธอก็พยายามขยายขอบเขตออกไปจากสิ่งนั้นอีก" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000051618 • #MGROnline #Lisa #ลิซ่า #BLACKPINK
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • 🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing
    Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA

    Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า

    Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า

    นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM
    - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า
    - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า
    - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ
    - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่
    - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร

    Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด

    https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่ - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Agility SDK DirectX Now Adds Shader Execution Reordering & Opacity Micromaps Support, Huge Ray Tracing Improvements On NVIDIA Hardware
    Microsoft has released its latest Agility SDK, DirectX, which brings major ray tracing improvements with SER & OMM support.
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??!

    🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง

    Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา

    TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป

    ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE
    - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา
    - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน
    - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ
    - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา
    - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป
    - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ
    - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ

    UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??! 🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • 🔌 Microsoft ปรับปรุงมาตรฐาน USB-C บน Windows 11 เพื่อแก้ปัญหาความสับสน

    Microsoft ได้ประกาศปรับปรุง Windows Hardware Compatibility Program (WHCP) เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล โดยไม่มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์

    ปัญหาหลักของ USB-C คือ การใช้งานที่ไม่สม่ำเสมอในแต่ละอุปกรณ์ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการชาร์จ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการส่งข้อมูล หรือบางพอร์ตรองรับการแสดงผลเท่านั้น

    WHCP ใหม่จะกำหนดให้ ทุกพอร์ต USB-C บนแล็ปท็อปและแท็บเล็ตที่ได้รับการรับรองจาก Windows 11 ต้องรองรับทั้งสามฟังก์ชัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เสียบสายชาร์จหรือจอแสดงผลที่พอร์ตใดก็ได้โดยไม่ต้องเดา

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเพิ่มข้อกำหนดให้ พอร์ต USB 40Gbps รองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - WHCP ใหม่กำหนดให้ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล
    - ช่วยลดความสับสนของผู้ใช้เกี่ยวกับพอร์ต USB-C ที่มีฟังก์ชันแตกต่างกัน
    - พอร์ต USB 40Gbps ต้องรองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3
    - WHCP ใช้ Microsoft driver stack เพื่อให้แน่ใจว่าการอัปเดตด้านความปลอดภัยและฟีเจอร์จะมาผ่าน Windows Update
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับ Windows 11 24H2

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีมาตรฐานใหม่ แต่ระดับการรองรับของแต่ละพอร์ต USB-C อาจยังแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์
    - ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนได้รับการรับรอง WHCP หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ผลิตต้องปรับปรุงฮาร์ดแวร์และไดรเวอร์เพิ่มเติม
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่

    การปรับปรุง WHCP นี้ช่วยให้ การใช้งานพอร์ต USB-C บน Windows 11 มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และลดปัญหาความสับสน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-it-is-ending-usb-c-port-confusion-with-updated-windows-11-certified-program
    🔌 Microsoft ปรับปรุงมาตรฐาน USB-C บน Windows 11 เพื่อแก้ปัญหาความสับสน Microsoft ได้ประกาศปรับปรุง Windows Hardware Compatibility Program (WHCP) เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล โดยไม่มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์ ปัญหาหลักของ USB-C คือ การใช้งานที่ไม่สม่ำเสมอในแต่ละอุปกรณ์ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการชาร์จ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการส่งข้อมูล หรือบางพอร์ตรองรับการแสดงผลเท่านั้น WHCP ใหม่จะกำหนดให้ ทุกพอร์ต USB-C บนแล็ปท็อปและแท็บเล็ตที่ได้รับการรับรองจาก Windows 11 ต้องรองรับทั้งสามฟังก์ชัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เสียบสายชาร์จหรือจอแสดงผลที่พอร์ตใดก็ได้โดยไม่ต้องเดา นอกจากนี้ Microsoft ยังเพิ่มข้อกำหนดให้ พอร์ต USB 40Gbps รองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ✅ ข้อมูลจากข่าว - WHCP ใหม่กำหนดให้ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล - ช่วยลดความสับสนของผู้ใช้เกี่ยวกับพอร์ต USB-C ที่มีฟังก์ชันแตกต่างกัน - พอร์ต USB 40Gbps ต้องรองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 - WHCP ใช้ Microsoft driver stack เพื่อให้แน่ใจว่าการอัปเดตด้านความปลอดภัยและฟีเจอร์จะมาผ่าน Windows Update - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับ Windows 11 24H2 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีมาตรฐานใหม่ แต่ระดับการรองรับของแต่ละพอร์ต USB-C อาจยังแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ - ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนได้รับการรับรอง WHCP หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ผลิตต้องปรับปรุงฮาร์ดแวร์และไดรเวอร์เพิ่มเติม - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่ การปรับปรุง WHCP นี้ช่วยให้ การใช้งานพอร์ต USB-C บน Windows 11 มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และลดปัญหาความสับสน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่ https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-it-is-ending-usb-c-port-confusion-with-updated-windows-11-certified-program
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • 📝 Notepad อัปเดตใหม่: รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown
    Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์การจัดรูปแบบข้อความ ให้กับ Notepad บน Windows 11 ซึ่งทำให้แอปนี้เริ่มมีลักษณะคล้าย โปรแกรมประมวลผลคำ มากขึ้น

    Notepad เวอร์ชันใหม่สำหรับ Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels มาพร้อมกับ แถบเครื่องมือสำหรับจัดรูปแบบข้อความ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ใช้ตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting ได้

    นอกจากนี้ Notepad ยังรองรับ ไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point พร้อมปุ่ม toggle ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Notepad บน Windows 11 รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting
    - Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว
    - รองรับไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point
    - มีปุ่ม toggle สำหรับสลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ
    - ผู้ใช้สามารถปิดการจัดรูปแบบและกลับไปใช้โหมด plaintext ได้ในเมนูการตั้งค่า

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การรองรับตาราง หรือการแก้ไขแบบ collaborative หรือไม่
    - Notepad อาจเริ่มแข่งขันกับแอปอื่น ๆ เช่น Notepad++, Sublime Text และ Visual Studio Code
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลมาจากการเลิกสนับสนุน WordPad ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกกลางระหว่าง Notepad และ Microsoft Word

    การอัปเดตนี้ทำให้ Notepad มีความสามารถมากขึ้นในการจัดการเอกสาร และอาจช่วยให้ผู้ใช้ ไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมประมวลผลคำอื่น ๆ สำหรับงานพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ อีกหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108132-notepad-gets-bold-italics-markdown-support-latest-update.html
    📝 Notepad อัปเดตใหม่: รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์การจัดรูปแบบข้อความ ให้กับ Notepad บน Windows 11 ซึ่งทำให้แอปนี้เริ่มมีลักษณะคล้าย โปรแกรมประมวลผลคำ มากขึ้น Notepad เวอร์ชันใหม่สำหรับ Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels มาพร้อมกับ แถบเครื่องมือสำหรับจัดรูปแบบข้อความ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ใช้ตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting ได้ นอกจากนี้ Notepad ยังรองรับ ไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point พร้อมปุ่ม toggle ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Notepad บน Windows 11 รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting - Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว - รองรับไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point - มีปุ่ม toggle สำหรับสลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ - ผู้ใช้สามารถปิดการจัดรูปแบบและกลับไปใช้โหมด plaintext ได้ในเมนูการตั้งค่า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การรองรับตาราง หรือการแก้ไขแบบ collaborative หรือไม่ - Notepad อาจเริ่มแข่งขันกับแอปอื่น ๆ เช่น Notepad++, Sublime Text และ Visual Studio Code - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลมาจากการเลิกสนับสนุน WordPad ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกกลางระหว่าง Notepad และ Microsoft Word การอัปเดตนี้ทำให้ Notepad มีความสามารถมากขึ้นในการจัดการเอกสาร และอาจช่วยให้ผู้ใช้ ไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมประมวลผลคำอื่น ๆ สำหรับงานพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ อีกหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108132-notepad-gets-bold-italics-markdown-support-latest-update.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Notepad gets bold, italics, and Markdown support in latest update
    Windows Insiders can now access a formatting toolbar in Notepad to apply text styling. This feature is currently available in the Canary and Dev channels, and past...
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • 📱 Xiaomi 16: สมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2025
    Xiaomi เตรียมเปิดตัว Xiaomi 16 ในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm ในขณะนี้

    Xiaomi 16 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มี ดีไซน์แบบ dual-tone glass และ metal finish ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED ที่รองรับ 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology

    ระบบกล้องของ Xiaomi 16 ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ 50MP สามตัว ได้แก่ เลนส์หลักขนาด 1/1.3 นิ้ว, เลนส์ ultra-wide และเลนส์ telephoto ที่มี AI-assisted macro support

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Xiaomi 16 ใช้ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm
    - หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED พร้อม 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology
    - ระบบกล้องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 50MP สามตัว พร้อม AI-assisted macro support
    - แบตเตอรี่ 6,800mAh รองรับการชาร์จเร็ว 100W แบบมีสาย และ 50W แบบไร้สาย
    - ดีไซน์ dual-tone glass และ metal finish ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Snapdragon 8 Elite 2 จะสามารถแข่งขันกับ Apple A19 ได้หรือไม่
    - การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 อาจทำให้ Xiaomi 16 ถูกเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง
    - ต้องรอดูว่าระบบ AI-assisted macro จะสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้จริงหรือไม่
    - ราคาของ Xiaomi 16 อาจสูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า เนื่องจากการใช้วัสดุระดับพรีเมียม

    Xiaomi 16 อาจเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดของปี 2025 โดยเน้น AI integration และประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะตอบรับดีไซน์ใหม่และฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่างไร

    https://computercity.com/phones/xiaomi-16-the-next-flagship-powerhouse-arrives-late-2025
    📱 Xiaomi 16: สมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2025 Xiaomi เตรียมเปิดตัว Xiaomi 16 ในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm ในขณะนี้ Xiaomi 16 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มี ดีไซน์แบบ dual-tone glass และ metal finish ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED ที่รองรับ 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology ระบบกล้องของ Xiaomi 16 ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ 50MP สามตัว ได้แก่ เลนส์หลักขนาด 1/1.3 นิ้ว, เลนส์ ultra-wide และเลนส์ telephoto ที่มี AI-assisted macro support ✅ ข้อมูลจากข่าว - Xiaomi 16 ใช้ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm - หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED พร้อม 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology - ระบบกล้องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 50MP สามตัว พร้อม AI-assisted macro support - แบตเตอรี่ 6,800mAh รองรับการชาร์จเร็ว 100W แบบมีสาย และ 50W แบบไร้สาย - ดีไซน์ dual-tone glass และ metal finish ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Snapdragon 8 Elite 2 จะสามารถแข่งขันกับ Apple A19 ได้หรือไม่ - การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 อาจทำให้ Xiaomi 16 ถูกเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง - ต้องรอดูว่าระบบ AI-assisted macro จะสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้จริงหรือไม่ - ราคาของ Xiaomi 16 อาจสูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า เนื่องจากการใช้วัสดุระดับพรีเมียม Xiaomi 16 อาจเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดของปี 2025 โดยเน้น AI integration และประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะตอบรับดีไซน์ใหม่และฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่างไร https://computercity.com/phones/xiaomi-16-the-next-flagship-powerhouse-arrives-late-2025
    COMPUTERCITY.COM
    Xiaomi 16: The Next Flagship Powerhouse Arrives Late 2025
    Xiaomi is once again poised to shake up the premium smartphone market with the upcoming launch of the Xiaomi 16, expected to debut in October 2025. Building
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • รถบัสพม่า ข้ามน้ำ ไม่รอด ผู้โดยสาร รอด

    In Myanmar’s Mandalay Region, a passenger bus carrying over 40 people was swept away by strong currents while crossing the flooded Sintewa Creek near Nat Saunt Village on May 26.

    Thankfully, local villagers quickly stepped in and rescued everyone on board, including children and elderly passengers, with no injuries reported.
    รถบัสพม่า ข้ามน้ำ ไม่รอด ผู้โดยสาร รอด In Myanmar’s Mandalay Region, a passenger bus carrying over 40 people was swept away by strong currents while crossing the flooded Sintewa Creek near Nat Saunt Village on May 26. Thankfully, local villagers quickly stepped in and rescued everyone on board, including children and elderly passengers, with no injuries reported.
    0 Comments 0 Shares 182 Views 1 0 Reviews
  • 🤖 Microsoft Copilot: ผู้ช่วย AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    Microsoft Copilot กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหารและพนักงานที่ต้องการ ลดงานที่ซ้ำซ้อน และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย AI นี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้ ติดตามงานที่พลาดไป และ สรุปข้อมูลสำคัญ ได้อย่างรวดเร็ว

    Windows Central ได้ยกตัวอย่างกรณีของ Lindsey Scrase ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Checkr Inc. ซึ่งใช้ Copilot เพื่อช่วยให้เธอสามารถ พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ระหว่างการเดินทาง 9 วันไปญี่ปุ่น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ค้างอยู่

    Copilot สามารถ สรุปข้อความและอัปเดตโครงการ ที่เกิดขึ้นระหว่าง Scrase ไม่อยู่ ทำให้เธอสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบข้อมูลเอง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft Copilot ช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดตามงานที่พลาดไปได้อย่างรวดเร็ว
    - ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการตรวจสอบข้อมูลหลังจากกลับจากการเดินทาง
    - สามารถสรุปข้อความและอัปเดตโครงการที่สำคัญได้
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับงานที่มีคุณค่ามากขึ้น
    - Copilot ทำงานเป็นทั้งผู้ช่วยด้านการทำงานและผู้ช่วยส่วนตัว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด
    - ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ Copilot สรุปเพื่อความถูกต้อง
    - การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับการทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน

    🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน
    Microsoft Copilot กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของผู้บริหารและพนักงาน โดยช่วยให้สามารถ ลดงานที่ซ้ำซ้อน และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ AI สรุปเพื่อความถูกต้อง และ ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับการทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน

    https://wccftech.com/microsoft-copilot-helps-executives-unplug-automate-redundant-tasks-summarize-important-messages-and-boost-productivity-at-work-and-even-while-traveling/
    🤖 Microsoft Copilot: ผู้ช่วย AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน Microsoft Copilot กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหารและพนักงานที่ต้องการ ลดงานที่ซ้ำซ้อน และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย AI นี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้ ติดตามงานที่พลาดไป และ สรุปข้อมูลสำคัญ ได้อย่างรวดเร็ว Windows Central ได้ยกตัวอย่างกรณีของ Lindsey Scrase ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Checkr Inc. ซึ่งใช้ Copilot เพื่อช่วยให้เธอสามารถ พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ระหว่างการเดินทาง 9 วันไปญี่ปุ่น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ค้างอยู่ Copilot สามารถ สรุปข้อความและอัปเดตโครงการ ที่เกิดขึ้นระหว่าง Scrase ไม่อยู่ ทำให้เธอสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบข้อมูลเอง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft Copilot ช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดตามงานที่พลาดไปได้อย่างรวดเร็ว - ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการตรวจสอบข้อมูลหลังจากกลับจากการเดินทาง - สามารถสรุปข้อความและอัปเดตโครงการที่สำคัญได้ - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับงานที่มีคุณค่ามากขึ้น - Copilot ทำงานเป็นทั้งผู้ช่วยด้านการทำงานและผู้ช่วยส่วนตัว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด - ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ Copilot สรุปเพื่อความถูกต้อง - การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับการทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน 🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน Microsoft Copilot กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของผู้บริหารและพนักงาน โดยช่วยให้สามารถ ลดงานที่ซ้ำซ้อน และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ AI สรุปเพื่อความถูกต้อง และ ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับการทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน https://wccftech.com/microsoft-copilot-helps-executives-unplug-automate-redundant-tasks-summarize-important-messages-and-boost-productivity-at-work-and-even-while-traveling/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Copilot Helps Executives Unplug, Automate Redundant Tasks, Summarize Important Messages, And Boost Productivity At Work And Even While Traveling
    Microsoft Copilot is helping executives now focus their energy on important aspect by catching them up on any missed tasks faster
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • 🔍 Jumpbox: อุปกรณ์ที่อาจมาแทน VPN สำหรับธุรกิจ
    บริษัท Remote.It ได้เปิดตัว Jumpbox ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้ VPN โดย Jumpbox ถูกออกแบบมาให้เป็นโซลูชัน plug-and-play ที่ไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายเพิ่มเติม

    🕵️‍♂️ จุดเด่นของ Jumpbox
    Jumpbox ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ ควบคุมและตรวจสอบเครือข่ายหลายเครือข่ายพร้อมกัน โดยไม่ต้องพึ่งพา VPN ซึ่งมักมีข้อจำกัด เช่น ต้องมีการตั้งค่าที่ซับซ้อน และอาจมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัย

    อุปกรณ์นี้มาพร้อมกับ 2 USB 2.0 ports, 2 USB 3.0 ports, 1 Gigabit Ethernet port, 1 HDMI และ 3.5mm audio jack รวมถึงรองรับ Wi-Fi 6, 5G, Bluetooth และ Starlink

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Jumpbox เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ VPN
    - Remote.It พัฒนา Jumpbox ร่วมกับ Embedded Works เพื่อให้เป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน
    - Jumpbox มาพร้อมกับ Remote.It software และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์
    - อุปกรณ์นี้มีราคา $99.99 และมาพร้อมกับ Remote.It Business Plan เป็นเวลา 1 ปี
    - Jumpbox มีฟีเจอร์ Zero Trust เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - VPN ยังคงเป็นที่นิยมในตลาด และ Jumpbox อาจไม่สามารถแทนที่ VPN ได้ทั้งหมด
    - Jumpbox ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโซลูชัน Zero Trust Network Access (ZTNA) อย่างเป็นทางการ
    - ต้องรอดูว่าธุรกิจจะยอมรับ Jumpbox แทน VPN หรือไม่
    - การใช้เครือข่ายเซลลูลาร์อาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่าย

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครือข่าย
    Jumpbox อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจที่ต้องการ ลดความยุ่งยากในการตั้งค่า VPN และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร และว่ามันจะสามารถแทนที่ VPN ได้จริงหรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/vpns-are-fragile-and-limited-startup-wants-to-replace-business-virtual-private-networks-with-physical-plug-and-play-device
    🔍 Jumpbox: อุปกรณ์ที่อาจมาแทน VPN สำหรับธุรกิจ บริษัท Remote.It ได้เปิดตัว Jumpbox ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้ VPN โดย Jumpbox ถูกออกแบบมาให้เป็นโซลูชัน plug-and-play ที่ไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายเพิ่มเติม 🕵️‍♂️ จุดเด่นของ Jumpbox Jumpbox ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ ควบคุมและตรวจสอบเครือข่ายหลายเครือข่ายพร้อมกัน โดยไม่ต้องพึ่งพา VPN ซึ่งมักมีข้อจำกัด เช่น ต้องมีการตั้งค่าที่ซับซ้อน และอาจมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัย อุปกรณ์นี้มาพร้อมกับ 2 USB 2.0 ports, 2 USB 3.0 ports, 1 Gigabit Ethernet port, 1 HDMI และ 3.5mm audio jack รวมถึงรองรับ Wi-Fi 6, 5G, Bluetooth และ Starlink ✅ ข้อมูลจากข่าว - Jumpbox เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ VPN - Remote.It พัฒนา Jumpbox ร่วมกับ Embedded Works เพื่อให้เป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน - Jumpbox มาพร้อมกับ Remote.It software และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ - อุปกรณ์นี้มีราคา $99.99 และมาพร้อมกับ Remote.It Business Plan เป็นเวลา 1 ปี - Jumpbox มีฟีเจอร์ Zero Trust เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - VPN ยังคงเป็นที่นิยมในตลาด และ Jumpbox อาจไม่สามารถแทนที่ VPN ได้ทั้งหมด - Jumpbox ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโซลูชัน Zero Trust Network Access (ZTNA) อย่างเป็นทางการ - ต้องรอดูว่าธุรกิจจะยอมรับ Jumpbox แทน VPN หรือไม่ - การใช้เครือข่ายเซลลูลาร์อาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่าย 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครือข่าย Jumpbox อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจที่ต้องการ ลดความยุ่งยากในการตั้งค่า VPN และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร และว่ามันจะสามารถแทนที่ VPN ได้จริงหรือไม่ https://www.techradar.com/pro/vpns-are-fragile-and-limited-startup-wants-to-replace-business-virtual-private-networks-with-physical-plug-and-play-device
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • ลุงรออยู่พอดี รีบๆ ออกมาขายนะ !!

    🔥 AMD Ryzen 9000G APUs: สัญญาณการเปิดตัวที่ใกล้เข้ามา
    Gigabyte ได้อัปเดต หน้าความเข้ากันได้ของหน่วยความจำสำหรับเมนบอร์ด B650 โดยเปลี่ยนจาก Ryzen 9000 series เป็น Ryzen 9000G series ซึ่งเป็นสัญญาณว่า AMD อาจเตรียมเปิดตัว Ryzen 9000G APUs อย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    Ryzen 9000G APUs คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU ซึ่งแตกต่างจาก Ryzen 9000 รุ่นปกติที่มี iGPU เพียงเพื่อการแสดงผลพื้นฐาน

    นอกจากนี้ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G อาจมาพร้อมกับ Radeon 890M ซึ่งเป็น iGPU ที่ใช้ใน Windows gaming handhelds หลายรุ่น ทำให้สามารถเล่นเกม e-sports และเกมที่ใช้ทรัพยากรต่ำได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Gigabyte อัปเดตข้อมูลเมนบอร์ด B650 โดยเพิ่ม Ryzen 9000G series
    - Ryzen 9000G คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU
    - iGPU ใน Ryzen 9000G อาจรองรับการเล่นเกม e-sports และเกมเบา ๆ
    - AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G ในไตรมาสที่ 4 ปี 2025
    - Radeon 890M อาจเป็น iGPU ที่ใช้ใน Ryzen 9000G

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีการยืนยันจาก AMD เกี่ยวกับสเปกของ Ryzen 9000G
    - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Gigabyte อาจเป็นเพียงการเตรียมความพร้อม ไม่ใช่การยืนยันการเปิดตัว
    - Ryzen 9000G อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ CPU ที่ใช้ GPU แยก
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและวันวางจำหน่าย

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    หาก AMD เปิดตัว Ryzen 9000G พร้อม iGPU ที่มีประสิทธิภาพสูง อาจช่วยให้ตลาด APUs สำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้ทั่วไป มีตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพของ RDNA 3.5 iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้หรือไม่

    AMD กำลังเตรียมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของตน และ Ryzen 9000G อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ APU ที่สามารถเล่นเกมได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก

    https://www.techpowerup.com/337466/amd-ryzen-9000g-apus-appear-in-gigabyte-am5-motherboard-leak
    ลุงรออยู่พอดี รีบๆ ออกมาขายนะ !! 🔥 AMD Ryzen 9000G APUs: สัญญาณการเปิดตัวที่ใกล้เข้ามา Gigabyte ได้อัปเดต หน้าความเข้ากันได้ของหน่วยความจำสำหรับเมนบอร์ด B650 โดยเปลี่ยนจาก Ryzen 9000 series เป็น Ryzen 9000G series ซึ่งเป็นสัญญาณว่า AMD อาจเตรียมเปิดตัว Ryzen 9000G APUs อย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 Ryzen 9000G APUs คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU ซึ่งแตกต่างจาก Ryzen 9000 รุ่นปกติที่มี iGPU เพียงเพื่อการแสดงผลพื้นฐาน นอกจากนี้ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G อาจมาพร้อมกับ Radeon 890M ซึ่งเป็น iGPU ที่ใช้ใน Windows gaming handhelds หลายรุ่น ทำให้สามารถเล่นเกม e-sports และเกมที่ใช้ทรัพยากรต่ำได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Gigabyte อัปเดตข้อมูลเมนบอร์ด B650 โดยเพิ่ม Ryzen 9000G series - Ryzen 9000G คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU - iGPU ใน Ryzen 9000G อาจรองรับการเล่นเกม e-sports และเกมเบา ๆ - AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G ในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 - Radeon 890M อาจเป็น iGPU ที่ใช้ใน Ryzen 9000G ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีการยืนยันจาก AMD เกี่ยวกับสเปกของ Ryzen 9000G - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Gigabyte อาจเป็นเพียงการเตรียมความพร้อม ไม่ใช่การยืนยันการเปิดตัว - Ryzen 9000G อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ CPU ที่ใช้ GPU แยก - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและวันวางจำหน่าย 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม หาก AMD เปิดตัว Ryzen 9000G พร้อม iGPU ที่มีประสิทธิภาพสูง อาจช่วยให้ตลาด APUs สำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้ทั่วไป มีตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพของ RDNA 3.5 iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้หรือไม่ AMD กำลังเตรียมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของตน และ Ryzen 9000G อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ APU ที่สามารถเล่นเกมได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก https://www.techpowerup.com/337466/amd-ryzen-9000g-apus-appear-in-gigabyte-am5-motherboard-leak
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Ryzen 9000G APUs Appear in Gigabyte AM5 Motherboard Leak
    It seems as though an official international launch for the elusive AMD Ryzen 9000G APUs might still be on the cards for later this year, after all. While an announcement was expected at Computex 2025, along with a full-scale retail launch later this year, AMD was suspiciously quiet about its CPUs a...
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • 🎮 GPU รุ่นใหม่ของจีน: ก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
    Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกการ์ดของจีน ประกาศว่า G100 GPU ซึ่งเป็น กราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในประเทศ ได้เปิดใช้งานสำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    🔍 เรื่องน่าสนใจที่เสริมเพิ่มเติม
    Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Dongxin Semiconductor ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา G100 ต่อไปได้แม้จะเผชิญกับปัญหาทางการเงิน

    G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาเอง แตกต่างจากบริษัทจีนอื่น ๆ ที่มักใช้ IP จาก Imagination Technologies นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060

    📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - G100 เป็นกราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในจีน
    - Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley
    - G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งพัฒนาเองโดยไม่ใช้ IP จากบริษัทอื่น
    - Dongxin Semiconductor สนับสนุนเงินทุน 27.7 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการต่อไป
    - G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 6nm จาก Samsung หรือ TSMC เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    - G100 อาจผลิตโดย SMIC ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับโรงงานผลิตชิประดับโลก
    - ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ G100
    - การพัฒนาไดรเวอร์และซอฟต์แวร์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะกำหนดความสามารถของ G100 ในตลาด

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU
    การเปิดตัว G100 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการผลิตและซอฟต์แวร์ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อนที่ G100 จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้

    จีนกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี แต่ต้องจับตาดูว่า G100 จะสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม GPU ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-domestic-gpu-with-purported-rtx-4060-like-performance-has-powered-on
    🎮 GPU รุ่นใหม่ของจีน: ก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกการ์ดของจีน ประกาศว่า G100 GPU ซึ่งเป็น กราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในประเทศ ได้เปิดใช้งานสำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ 🔍 เรื่องน่าสนใจที่เสริมเพิ่มเติม Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Dongxin Semiconductor ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา G100 ต่อไปได้แม้จะเผชิญกับปัญหาทางการเงิน G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาเอง แตกต่างจากบริษัทจีนอื่น ๆ ที่มักใช้ IP จาก Imagination Technologies นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060 📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - G100 เป็นกราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในจีน - Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley - G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งพัฒนาเองโดยไม่ใช้ IP จากบริษัทอื่น - Dongxin Semiconductor สนับสนุนเงินทุน 27.7 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการต่อไป - G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 6nm จาก Samsung หรือ TSMC เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ - G100 อาจผลิตโดย SMIC ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับโรงงานผลิตชิประดับโลก - ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ G100 - การพัฒนาไดรเวอร์และซอฟต์แวร์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะกำหนดความสามารถของ G100 ในตลาด 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU การเปิดตัว G100 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการผลิตและซอฟต์แวร์ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อนที่ G100 จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้ จีนกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี แต่ต้องจับตาดูว่า G100 จะสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม GPU ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-domestic-gpu-with-purported-rtx-4060-like-performance-has-powered-on
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อาจช่วยเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน

    รายงานล่าสุดระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน อาจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้เร็วขึ้น โดยพบว่า บริษัทจีนบางแห่งสามารถปรับตัวและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านการนำเข้าเทคโนโลยีจากตะวันตก

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร
    ✅ แม้สหรัฐฯ และจีนจะตกลงระงับภาษีที่รุนแรงเป็นเวลา 90 วัน แต่ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเพิ่มขึ้น
    - บริษัทไต้หวันที่ดำเนินธุรกิจในจีนกำลังถูกจับตามองมากขึ้น

    ✅ บริษัท Zhen Ding Technology ในจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    - เนื่องจาก กลยุทธ์ "China for China" ที่เน้นการผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ

    ✅ Nvidia CEO Jensen Huang ระบุว่าการห้ามส่งออกชิป AI ไปจีนเป็น "ความล้มเหลว"
    - เพราะ บริษัทจีนหันไปใช้ผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งในประเทศแทน

    ✅ บริษัทจีนอาจใช้สวนอุตสาหกรรม AI ในไต้หวันเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
    - อาจทำให้ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เปลี่ยนแปลงไป

    ✅ Nvidia อาจเปิดตัวชิป Blackwell รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีนภายในสิ้นปีนี้
    - เพื่อ ทดแทนชิป H20 ที่ถูกแบน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/instead-of-crippling-chinas-semiconductor-ambitions-u-s-sanctions-may-be-inadvertently-accelerating-them-report-claims-washington-measures-could-be-bolstering-chinas-chip-market
    มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อาจช่วยเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน รายงานล่าสุดระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน อาจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้เร็วขึ้น โดยพบว่า บริษัทจีนบางแห่งสามารถปรับตัวและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านการนำเข้าเทคโนโลยีจากตะวันตก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร ✅ แม้สหรัฐฯ และจีนจะตกลงระงับภาษีที่รุนแรงเป็นเวลา 90 วัน แต่ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเพิ่มขึ้น - บริษัทไต้หวันที่ดำเนินธุรกิจในจีนกำลังถูกจับตามองมากขึ้น ✅ บริษัท Zhen Ding Technology ในจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา - เนื่องจาก กลยุทธ์ "China for China" ที่เน้นการผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ ✅ Nvidia CEO Jensen Huang ระบุว่าการห้ามส่งออกชิป AI ไปจีนเป็น "ความล้มเหลว" - เพราะ บริษัทจีนหันไปใช้ผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งในประเทศแทน ✅ บริษัทจีนอาจใช้สวนอุตสาหกรรม AI ในไต้หวันเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น - อาจทำให้ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เปลี่ยนแปลงไป ✅ Nvidia อาจเปิดตัวชิป Blackwell รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีนภายในสิ้นปีนี้ - เพื่อ ทดแทนชิป H20 ที่ถูกแบน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/instead-of-crippling-chinas-semiconductor-ambitions-u-s-sanctions-may-be-inadvertently-accelerating-them-report-claims-washington-measures-could-be-bolstering-chinas-chip-market
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Report claims Washington measures could be bolstering China's chip market
    China's chip industry could emerge more resilient from U.S. sanctions
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง

    สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป

    จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย

    ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา

    การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

    #Newskit
    กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที #Newskit
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
More Results