• 70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭

    "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ

    จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥
    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️

    🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน

    🔹 หลักสูตรของ วปอ.
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง

    🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน
    ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป
    ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง

    หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย

    เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝
    "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?"

    🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ.
    ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต
    ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ"
    ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ

    🔹 แต่ด้านลบล่ะ?
    ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ?
    ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น
    ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้

    วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️
    หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง

    🔹 วปอ. กับนักการเมือง
    อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ.
    การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน

    🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ
    นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ
    การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ

    3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆
    1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯
    เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ

    2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄
    ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง
    มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย

    3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜
    ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป
    เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน

    ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔
    มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง

    "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?"

    บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ

    วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️
    ✅ ข้อดี
    - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ
    - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น
    - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ❌ ข้อเสีย
    - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ
    - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม"
    - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ

    วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568

    🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭 "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥 ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️ 🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน 🔹 หลักสูตรของ วปอ. - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง 🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝 "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?" 🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ. ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ" ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ 🔹 แต่ด้านลบล่ะ? ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ? ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้ วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️ หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง 🔹 วปอ. กับนักการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ. การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน 🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ 3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆 1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯 เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ 2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄 ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย 3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜 ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔 มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?" บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️ ✅ ข้อดี - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ❌ ข้อเสีย - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม" - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568 🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ

    ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ
    ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ

    จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล
    ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้

    การตอบสนองของฮุนเซ็น
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง

    จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย
    เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต

    อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต
    เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    ทำลายสถานทูตไทย
    ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก

    ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า
    หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ

    รายละเอียดของปฏิบัติการ
    วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ

    22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568

    #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต







    22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้ การตอบสนองของฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย ทำลายสถานทูตไทย ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ รายละเอียดของปฏิบัติการ วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ 22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568 #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด
    ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก.
    ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น...
    ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก. ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น... ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    Love
    1
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยมีความผันผวน และเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000118127

    #MGROnline #แรงงานไทย
    คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยมีความผันผวน และเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000118127 • #MGROnline #แรงงานไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เศรษฐพุฒิ”ผู้ว่าแบงก์ชาติเทวดา-หัวใจฝรั่ง บนซากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่
    .
    ผมไม่อยากจะพูดว่า 4 ปีเต็มที่คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิเป็นผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ที่หล่อเหลา บุคลิกดี จบปริญญาโท ปริญญาเอก จากเยล พูดภาษาอังกฤษคล่องแบบน้ำไหลไฟดับเหมือนคนต่างชาติ ท่านคิดแบบฝรั่งหมดเลย ท่านไม่เข้าใจถึงบริบท ข้อเท็จจริงทางการเมือง หรือข้อเท็จจริงในสังคมไทย ไม่มีเหตุผลอะไรอื่นที่แบงก์ชาติจะต้องทำให้ค่าเงินบาทแข็งเพื่อลดแต้มต่อให้คู่แข่ง
    .
    เพราะฉะนั้นแล้วราคาสินค้าส่งออกไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ ทั้งจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน โรงงานใหญ่โรงงานน้อยปิดกันไปหมด แล้วประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร สภาพมันลามไปถึงโรงงานใหญ่แล้ว SME ถูกปิดไปแล้ว สินค้าการเกษตรตกต่ำไปแล้ว ต่อไปนี้จะลามถึงโรงงานใหญ่ๆ ซึ่งโรงงานรถยนต์ปิดไปแล้ว โรงเหล็กก็ปิดไปแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กของเรามีแต่ตายกับตาย คนงานที่เคยได้เงินเดือนประจำมาใช้จ่ายในครอบครัว แล้วมาโดนหนี้นอกระบบกระทืบซ้ำอีก คนพวกนี้เป็นคนที่น่าสงสารมาก
    .
    ทั้งหมดที่เขาโดนปิดโรงงานเพราะค่าเงินบาทแข็งจนเกินไป เพราะว่าท่านยึดถือ Dollar Index จริงๆ แล้วท่านน่าจะอยู่FED มากกว่านะ
    .
    คุณเศรษฐพุฒิ มักให้สัมภาษณ์ว่า เพราะเคยทำงานอยู่ธนาคารโลก จึงทำให้รู้ว่าธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ ต้องการอะไร คล้ายๆ อ่านทางอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง การเจรจาระหว่างประเทศไทยกับ 2 องค์กรการเงินโลกที่เป็นเจ้าหนี้ หยิบยื่นเงินกู้มาให้ไทยฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงนั้น จึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
    .
    ผมอยากจะถามคำว่า "สำเร็จลุล่วงไปได้ดี" นั้น ดีอย่างไร ? ดีกับนายทุนฝรั่ง แต่เลวร้ายอย่างยิ่งกับคนไทยและนักธุรกิจไทย ใช่หรือเปล่า ? คำตอบ ใช่ครับ เพราะประวัติของ ปรส. ชี้ชัดเลยว่าคนไทยต้องฉิบหายวายป่วงเพราะฝรั่งอีแร้งเข้ามาสูบเลือดคนไทยไปหมด และนี่คือ "ลุล่วงไปด้วยดี" ของคุณเศรษฐพุฒิ
    .
    ท่านผู้ว่าฯ ครับ ผมไม่อยากจะพูดว่า ท่านกับคุณวิรไท สันติประภพ ทำให้ประเทศชาติฉิบหายไปแล้วในช่วงไอเอ็มเอฟ และ World Bank ตอนวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งครั้งหนึ่งแล้ว นี่จะเป็นครั้งที่สอง ท่านเกษียณไปบนซากปรักหักพังของหลายส่วนในภาคสังคมธุรกิจเล็กๆ กลางๆ และกำลังจะลามมาใหญ่แล้ว ท่านจะมีความสุขมากนักหรือ ท่านก็จะมีความสุข เพราะว่าท่านยังคงเท่เหมือนเดิม ท่านยังคงมี FC ที่เชื่อท่านอยู่
    .
    ท่านทั้งหล่อ เท่ มาดแมน ชงกาแฟได้ เป็นบาริสต้าที่เก่ง ถ้าทำได้อย่างที่พูดมาก็ดี แต่การที่ประชาชนมีหนี้ท่วมอย่างมหาศาล มากมาย ประเทศชาติตกอยู่ในวังวนของเงินฝืด เศรษฐกิจโตต่ำ ขณะที่นายแบงก์ นายทุนธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย กำไรอย่างมากมายมหาศาลโตขึ้นทุกปีๆ ด้วยความสัตย์จริง นี่คือผลงานในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของแบงก์ชาติ และนี่คือสิ่งที่สังคมควรจะได้รับจากความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเปล่า ปล่อยให้บรรดานายทุน นายแบงก์เหล่านี้ทำนาบนหลังคน กอบโกยกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ภาวะวิกฤตหนี้ครัวเรือนของคนไทยอยู่ประมาณ 91% ของ GDPซึ่งGDPอยู่ที่18 ล้านล้านบาท
    .
    หลักฐานที่ผมพูดมานี้เป็นความจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์แล้ว นี่ล่ะคือผลงานของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนปัจจุบัน ท่านผู้ว่าฯ ครับ กรุณาอย่าโกรธผม ท่านเป็นผู้ว่าฯเทวดา คนไทยหัวใจฝรั่ง
    “เศรษฐพุฒิ”ผู้ว่าแบงก์ชาติเทวดา-หัวใจฝรั่ง บนซากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ . ผมไม่อยากจะพูดว่า 4 ปีเต็มที่คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิเป็นผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ที่หล่อเหลา บุคลิกดี จบปริญญาโท ปริญญาเอก จากเยล พูดภาษาอังกฤษคล่องแบบน้ำไหลไฟดับเหมือนคนต่างชาติ ท่านคิดแบบฝรั่งหมดเลย ท่านไม่เข้าใจถึงบริบท ข้อเท็จจริงทางการเมือง หรือข้อเท็จจริงในสังคมไทย ไม่มีเหตุผลอะไรอื่นที่แบงก์ชาติจะต้องทำให้ค่าเงินบาทแข็งเพื่อลดแต้มต่อให้คู่แข่ง . เพราะฉะนั้นแล้วราคาสินค้าส่งออกไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ ทั้งจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน โรงงานใหญ่โรงงานน้อยปิดกันไปหมด แล้วประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร สภาพมันลามไปถึงโรงงานใหญ่แล้ว SME ถูกปิดไปแล้ว สินค้าการเกษตรตกต่ำไปแล้ว ต่อไปนี้จะลามถึงโรงงานใหญ่ๆ ซึ่งโรงงานรถยนต์ปิดไปแล้ว โรงเหล็กก็ปิดไปแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กของเรามีแต่ตายกับตาย คนงานที่เคยได้เงินเดือนประจำมาใช้จ่ายในครอบครัว แล้วมาโดนหนี้นอกระบบกระทืบซ้ำอีก คนพวกนี้เป็นคนที่น่าสงสารมาก . ทั้งหมดที่เขาโดนปิดโรงงานเพราะค่าเงินบาทแข็งจนเกินไป เพราะว่าท่านยึดถือ Dollar Index จริงๆ แล้วท่านน่าจะอยู่FED มากกว่านะ . คุณเศรษฐพุฒิ มักให้สัมภาษณ์ว่า เพราะเคยทำงานอยู่ธนาคารโลก จึงทำให้รู้ว่าธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ ต้องการอะไร คล้ายๆ อ่านทางอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง การเจรจาระหว่างประเทศไทยกับ 2 องค์กรการเงินโลกที่เป็นเจ้าหนี้ หยิบยื่นเงินกู้มาให้ไทยฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงนั้น จึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี . ผมอยากจะถามคำว่า "สำเร็จลุล่วงไปได้ดี" นั้น ดีอย่างไร ? ดีกับนายทุนฝรั่ง แต่เลวร้ายอย่างยิ่งกับคนไทยและนักธุรกิจไทย ใช่หรือเปล่า ? คำตอบ ใช่ครับ เพราะประวัติของ ปรส. ชี้ชัดเลยว่าคนไทยต้องฉิบหายวายป่วงเพราะฝรั่งอีแร้งเข้ามาสูบเลือดคนไทยไปหมด และนี่คือ "ลุล่วงไปด้วยดี" ของคุณเศรษฐพุฒิ . ท่านผู้ว่าฯ ครับ ผมไม่อยากจะพูดว่า ท่านกับคุณวิรไท สันติประภพ ทำให้ประเทศชาติฉิบหายไปแล้วในช่วงไอเอ็มเอฟ และ World Bank ตอนวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งครั้งหนึ่งแล้ว นี่จะเป็นครั้งที่สอง ท่านเกษียณไปบนซากปรักหักพังของหลายส่วนในภาคสังคมธุรกิจเล็กๆ กลางๆ และกำลังจะลามมาใหญ่แล้ว ท่านจะมีความสุขมากนักหรือ ท่านก็จะมีความสุข เพราะว่าท่านยังคงเท่เหมือนเดิม ท่านยังคงมี FC ที่เชื่อท่านอยู่ . ท่านทั้งหล่อ เท่ มาดแมน ชงกาแฟได้ เป็นบาริสต้าที่เก่ง ถ้าทำได้อย่างที่พูดมาก็ดี แต่การที่ประชาชนมีหนี้ท่วมอย่างมหาศาล มากมาย ประเทศชาติตกอยู่ในวังวนของเงินฝืด เศรษฐกิจโตต่ำ ขณะที่นายแบงก์ นายทุนธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย กำไรอย่างมากมายมหาศาลโตขึ้นทุกปีๆ ด้วยความสัตย์จริง นี่คือผลงานในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของแบงก์ชาติ และนี่คือสิ่งที่สังคมควรจะได้รับจากความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเปล่า ปล่อยให้บรรดานายทุน นายแบงก์เหล่านี้ทำนาบนหลังคน กอบโกยกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ภาวะวิกฤตหนี้ครัวเรือนของคนไทยอยู่ประมาณ 91% ของ GDPซึ่งGDPอยู่ที่18 ล้านล้านบาท . หลักฐานที่ผมพูดมานี้เป็นความจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์แล้ว นี่ล่ะคือผลงานของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนปัจจุบัน ท่านผู้ว่าฯ ครับ กรุณาอย่าโกรธผม ท่านเป็นผู้ว่าฯเทวดา คนไทยหัวใจฝรั่ง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1206 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นในรอบกว่า 19 เดือน
    ล่าสุดอยู่ที่ 32.61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
    ได้สร้างความกังวลเป็นอย่างมาก ต่อภาคธุรกิจไทย
    โดยเฉพาะภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ การส่งออก
    ซึ่งเป็นอีก 2 ฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนอัตราการเติบโต
    ทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย นอกเหนือจาก ภาคการผลิต
    และ การบริโภคภายในประเทศ และ การใช้จ่ายภาครัฐ

    🚩โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น
    ทุก 1% จะมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกประมาณ 100,000 ล้านบาท
    ที่ต้องหายไป จากการลดกำลังการซื้อ หรือ ชะลอการซื้อลง
    คิดเป็น 0.5% ของ Nominal GDP

    🚩ยังไม่รวมกับภาคการท่องเที่ยว ที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
    อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยว และจับจ่ายใช้สอย
    ภายในประเทศไทย ที่อาจจะมีจำนวนลดลง และไม่ได้ตามเป้าหมาย

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นในรอบกว่า 19 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 32.61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ได้สร้างความกังวลเป็นอย่างมาก ต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ การส่งออก ซึ่งเป็นอีก 2 ฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนอัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย นอกเหนือจาก ภาคการผลิต และ การบริโภคภายในประเทศ และ การใช้จ่ายภาครัฐ 🚩โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น ทุก 1% จะมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกประมาณ 100,000 ล้านบาท ที่ต้องหายไป จากการลดกำลังการซื้อ หรือ ชะลอการซื้อลง คิดเป็น 0.5% ของ Nominal GDP 🚩ยังไม่รวมกับภาคการท่องเที่ยว ที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยว และจับจ่ายใช้สอย ภายในประเทศไทย ที่อาจจะมีจำนวนลดลง และไม่ได้ตามเป้าหมาย ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 913 มุมมอง 0 รีวิว