• ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร”
    .
    งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด
    .
    โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน
    .
    สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน
    .
    โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568
    .
    สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต
    .
    ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น
    .
    โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
    .
    โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย
    .
    ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด
    .
    ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน
    .
    การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ
    .
    โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า”
    .
    โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด
    .
    รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง
    .
    และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
    .
    ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277
    .
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร” . งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด . โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน . สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน . โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568 . สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต . ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น . โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ . โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย . ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด . ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน . การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ . โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า” . โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด . รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง . และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย . ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง. . อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277 . #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • ลดขยะ อิเล็กทรอนิก ด้วยการนำแผงวงจร มา upcycle เป็นพวงกุญแจ ดีไซน์น่ารักๆ เพื่อนำมาใช้ต่อให้เป็นประโยชน์ แต่ละดีไซน์ของแผงวงจร จะมีลวดลายที่แตกต่างกัน และ มีลักษณะเฉพาะตัว ของเส้นสายและสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ ของแผงวงจร บางอันอาจมีเพียงชิ้นเดียว ราคา 250 บาท
    ลดขยะ อิเล็กทรอนิก ด้วยการนำแผงวงจร มา upcycle เป็นพวงกุญแจ ดีไซน์น่ารักๆ เพื่อนำมาใช้ต่อให้เป็นประโยชน์ แต่ละดีไซน์ของแผงวงจร จะมีลวดลายที่แตกต่างกัน และ มีลักษณะเฉพาะตัว ของเส้นสายและสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ ของแผงวงจร บางอันอาจมีเพียงชิ้นเดียว ราคา 250 บาท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว

  • 70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭

    "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ

    จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥
    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️

    🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน

    🔹 หลักสูตรของ วปอ.
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง

    🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน
    ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป
    ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง

    หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย

    เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝
    "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?"

    🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ.
    ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต
    ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ"
    ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ

    🔹 แต่ด้านลบล่ะ?
    ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ?
    ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น
    ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้

    วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️
    หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง

    🔹 วปอ. กับนักการเมือง
    อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ.
    การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน

    🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ
    นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ
    การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ

    3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆
    1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯
    เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ

    2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄
    ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง
    มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย

    3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜
    ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป
    เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน

    ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔
    มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง

    "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?"

    บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ

    วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️
    ✅ ข้อดี
    - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ
    - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น
    - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ❌ ข้อเสีย
    - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ
    - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม"
    - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ

    วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568

    🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭 "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥 ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️ 🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน 🔹 หลักสูตรของ วปอ. - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง 🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝 "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?" 🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ. ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ" ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ 🔹 แต่ด้านลบล่ะ? ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ? ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้ วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️ หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง 🔹 วปอ. กับนักการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ. การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน 🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ 3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆 1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯 เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ 2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄 ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย 3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜 ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔 มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?" บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️ ✅ ข้อดี - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ❌ ข้อเสีย - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม" - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568 🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศกำลังอักเสบหนัก ก็เพราะเราคือหนึ่งคนที่เป็นต้นเหตุ

    ค่าฝุ่นยังคงวิกฤตต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะวันนี้ สิบสองปีก่อนตอนที่ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่พักปัจจุบันในซอยโชคชัยสี่ ซึ่งห้องอยู่ชั้น5 ชั้นบนสุดของตึก ยืนที่ระเบียงมองออกไปไกล ๆ ทางซ้ายมือจะเห็นตึกช้างตั้งตระหง่านโดดเด่น มาวันนี้ตึกช้างและตึกทั้งหลายหายแวบไปหมด เห็นเพียงม่านขาวหนาหนักเท่านั้น

    เมื่อมองให้ลึกลงไป นี่มาจากนิสัยมักง่าย สบาย ๆ อะไรก็ได้ ไร้วินัย ไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัวของพลเมืองไทยทั้งประเทศเองนี้แหละ จึงทำให้สถานการณ์หลายสิ่งเดินมาถึงจุดนี้ เราจึงต้องแบกรับกรรมที่ก่อร่วมกัน

    เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยไปที่ไหนก็มีแต่กองขยะหลังทำกิจกรรมจบ

    เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยชาชินกับการชอบจอดรถส่วนตัวบนถนนสาธารณะกีดขวางคนใช้รถใช้ถนนคนอื่น แล้วอ้างว่าถนนสาธารณะ

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยใช้รถโดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ยอมจอดชะลอให้คนข้ามยามเห็นทางม้าลาย ชอบฝ่าไฟแดง ชอบฝ่าไม้กั้นทางรถไฟ ชอบย้อนศร ชอบขับขี่รถขึ้นทางคนเดิน และอีกสารพัดชอบที่เป็นความชั่ว

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยไม่ใส่ใจว่าไฟที่เราจุดเผาจะสร้างความลำบากแก่ใครอย่างไรบ้าง อยากเผาก็เผา

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยคิดตากข้าวก็ตากบนถนนกินเลนไปครึ่งทางตลอดแนว

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยอยากใช้ก็จะใช้ อยากกินก็จะกิน อยากทิ้งตรงไหนก็จะทิ้ง แม้นรู้ดีว่าการกินการใช้การทิ้งของตน สร้างภาระแก่สังคมและโลกใบนี้มากมายมหาศาล

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยบอกว่าผู้มีอำนาจหรือคนมาบริหารประเทศโกงบ้างไม่เป็นไรขอให้เก่งเป็นพอ แม้นจะเก่งในทางโกงก็ตาม

    เหมือนที่คนไทยชอบแซงคิวคนอื่นไม่สนใจใครยืนรอต่อกันอยู่ก่อน ขอแทรกนิด ขอแทรกหน่อยก็เอา

    เหมือนที่คนไทยชอบใช้เส้นสายให้คนรู้จักดำเนินการอะไรให้ทางสะดวกในทุกวงการตั้งแต่ระดับล่างไปยันระดับบนโดยที่ต้องมีใต้โต๊ะ หรือถ้ารู้จักสนิทสนมก็ไม่ต้องจ่าย

    เหมือนที่คนไทยไม่เคยจดจำว่าใครเคยทำเลวทำชั่ว ทำร้ายคนอื่นทำร้ายประเทศไว้มากขนาดไหน แค่เขาใช้ลมปากเข้าหน่อยก็หลงเคลิ้มไปกับสิ่งที่เขาพ่นออกมาราวกับว่านั่นคือวาจาของทูตสวรรค์

    เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าเรื่องไม่ดีส่วนตัวของคนสาธารณะไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องงาน เขาจะเลวจะร้ายอย่างไรฉันไม่สน ขอเสพสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ฉันพอใจได้เท่านั้นแหละ

    และอีกมากมายที่เราคนไทยซึ่งเป็นพันธุ์อย่างนี้มานมนาน แล้วไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังปล่อยให้นิสัยเสียเช่นนี้แอบแฝงอยู่ในตัวตนของเราต่อไป แล้วก็ใช้ชีวิตไปอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันที่เราหลุดพ้นออกจากดีเอ็นเอนี้ ที่สร้างความอักเสบไปทั่วประเทศได้สักที

    เพราะทุกคนแค่บ่นด่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบระดับบนเพื่อให้พ้นตัว ทว่าปล่อยคนคนหนึ่งให้ยังใช้ชีวิตแบบไร้ความรับผิดชอบต่อไป เพราะคิดอย่างสั้นเอาว่าเป็นหน้าที่ของเขา โดยไม่มองเห็นเลยว่าแล้วตัวเราเองล่ะ

    หน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่แล้วหรือยัง


    ถ้าเราไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เราอาจคือฝุ่นพีเอ็ม2.5ที่ทำร้ายคนไทยด้วยกันอยู่ทุกวันก็เป็นได้

    ที่นี่ประเทศไทย

    #บทความ
    #ข้อคิด
    #thaitimes
    #คนไทย
    #วิกฤตฝุ่น
    ประเทศกำลังอักเสบหนัก ก็เพราะเราคือหนึ่งคนที่เป็นต้นเหตุ ค่าฝุ่นยังคงวิกฤตต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะวันนี้ สิบสองปีก่อนตอนที่ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่พักปัจจุบันในซอยโชคชัยสี่ ซึ่งห้องอยู่ชั้น5 ชั้นบนสุดของตึก ยืนที่ระเบียงมองออกไปไกล ๆ ทางซ้ายมือจะเห็นตึกช้างตั้งตระหง่านโดดเด่น มาวันนี้ตึกช้างและตึกทั้งหลายหายแวบไปหมด เห็นเพียงม่านขาวหนาหนักเท่านั้น เมื่อมองให้ลึกลงไป นี่มาจากนิสัยมักง่าย สบาย ๆ อะไรก็ได้ ไร้วินัย ไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัวของพลเมืองไทยทั้งประเทศเองนี้แหละ จึงทำให้สถานการณ์หลายสิ่งเดินมาถึงจุดนี้ เราจึงต้องแบกรับกรรมที่ก่อร่วมกัน เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยไปที่ไหนก็มีแต่กองขยะหลังทำกิจกรรมจบ เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยชาชินกับการชอบจอดรถส่วนตัวบนถนนสาธารณะกีดขวางคนใช้รถใช้ถนนคนอื่น แล้วอ้างว่าถนนสาธารณะ เหมือนดังเช่นที่คนไทยใช้รถโดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ยอมจอดชะลอให้คนข้ามยามเห็นทางม้าลาย ชอบฝ่าไฟแดง ชอบฝ่าไม้กั้นทางรถไฟ ชอบย้อนศร ชอบขับขี่รถขึ้นทางคนเดิน และอีกสารพัดชอบที่เป็นความชั่ว เหมือนดังเช่นที่คนไทยไม่ใส่ใจว่าไฟที่เราจุดเผาจะสร้างความลำบากแก่ใครอย่างไรบ้าง อยากเผาก็เผา เหมือนดังเช่นที่คนไทยคิดตากข้าวก็ตากบนถนนกินเลนไปครึ่งทางตลอดแนว เหมือนดังเช่นที่คนไทยอยากใช้ก็จะใช้ อยากกินก็จะกิน อยากทิ้งตรงไหนก็จะทิ้ง แม้นรู้ดีว่าการกินการใช้การทิ้งของตน สร้างภาระแก่สังคมและโลกใบนี้มากมายมหาศาล เหมือนดังเช่นที่คนไทยบอกว่าผู้มีอำนาจหรือคนมาบริหารประเทศโกงบ้างไม่เป็นไรขอให้เก่งเป็นพอ แม้นจะเก่งในทางโกงก็ตาม เหมือนที่คนไทยชอบแซงคิวคนอื่นไม่สนใจใครยืนรอต่อกันอยู่ก่อน ขอแทรกนิด ขอแทรกหน่อยก็เอา เหมือนที่คนไทยชอบใช้เส้นสายให้คนรู้จักดำเนินการอะไรให้ทางสะดวกในทุกวงการตั้งแต่ระดับล่างไปยันระดับบนโดยที่ต้องมีใต้โต๊ะ หรือถ้ารู้จักสนิทสนมก็ไม่ต้องจ่าย เหมือนที่คนไทยไม่เคยจดจำว่าใครเคยทำเลวทำชั่ว ทำร้ายคนอื่นทำร้ายประเทศไว้มากขนาดไหน แค่เขาใช้ลมปากเข้าหน่อยก็หลงเคลิ้มไปกับสิ่งที่เขาพ่นออกมาราวกับว่านั่นคือวาจาของทูตสวรรค์ เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าเรื่องไม่ดีส่วนตัวของคนสาธารณะไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องงาน เขาจะเลวจะร้ายอย่างไรฉันไม่สน ขอเสพสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ฉันพอใจได้เท่านั้นแหละ และอีกมากมายที่เราคนไทยซึ่งเป็นพันธุ์อย่างนี้มานมนาน แล้วไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังปล่อยให้นิสัยเสียเช่นนี้แอบแฝงอยู่ในตัวตนของเราต่อไป แล้วก็ใช้ชีวิตไปอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันที่เราหลุดพ้นออกจากดีเอ็นเอนี้ ที่สร้างความอักเสบไปทั่วประเทศได้สักที เพราะทุกคนแค่บ่นด่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบระดับบนเพื่อให้พ้นตัว ทว่าปล่อยคนคนหนึ่งให้ยังใช้ชีวิตแบบไร้ความรับผิดชอบต่อไป เพราะคิดอย่างสั้นเอาว่าเป็นหน้าที่ของเขา โดยไม่มองเห็นเลยว่าแล้วตัวเราเองล่ะ หน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่แล้วหรือยัง ถ้าเราไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เราอาจคือฝุ่นพีเอ็ม2.5ที่ทำร้ายคนไทยด้วยกันอยู่ทุกวันก็เป็นได้ ที่นี่ประเทศไทย #บทความ #ข้อคิด #thaitimes #คนไทย #วิกฤตฝุ่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า”
    .
    การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง
    .
    อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที
    .
    แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!"
    .
    บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้"
    .
    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง"
    .
    .
    to be continued...
    .
    .
    Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า” . การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง . อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที . แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!" . บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้" . วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง" . . to be continued... . .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    https://thaipublica.org
    Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons
    กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา

    จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล

    มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค

    3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร

    และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488
    ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา

    ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า
    อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส

    10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง

    การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา
    จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น"
    โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ

    ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู"

    วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา

    เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน
    ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้"

    ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน"

    สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์
    เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน

    ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ

    * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

    * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน

    * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง

    * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย

    * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country"

    จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน
    แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย

    สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย

    ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน
    ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ

    ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง
    ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี

    ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว

    เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น
    นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา

    กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    17/1/68 https://thaipublica.org Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค 3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488 ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส 10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น" โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู" วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้" ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน" สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country" จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เกาะกูด” CONSPIRACY MOU44 ชนวนสังหารโหด “ลิม กึมยา”!?
    .
    การสังหารโหด “ลิม กึมยา” อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาและนักเคลื่อนไหวคนสำคัญ ระหว่างเดินทางมาประเทศไทยกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ที่บริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก
    .
    เนื่องเพราะเป็น “คำสั่งฆ่า” และเปิด “ปฏิบัติการข้ามชาติ” อย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยแม้แต่น้อย
    .
    แน่นอน ในส่วนของ “มือปืน” ชัดเจนแล้วว่าเป็นอดีตนาวิกโยธิน ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยสุขุมวิท 22 ที่ชื่อ “จ่าเอ็ม” หรือ “เอกลักษณ์ แพน้อย”
    .
    หลังปฏิบัติการเสร็จ “จ่าเอ็ม” มือปืนหลังสังหารโหดมีรถมารับหลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนที่จะจับกุมตัวได้ที่จังหวัดพระตะบอง
    .
    ส่วน “คนชี้เป้า” จากหลักฐานกล้องวงจรปิด พบชายคนดังกล่าวเป็นชาวกัมพูชา เดินทางมากับรถบัสท่องเที่ยวข้ามประเทศคันเดียวกับ “ลิม กึมยา” จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยสายการบินสกายอังกอร์ ปลายทางที่กรุงพนมเปญทันที
    .
    คนชี้เป้ารายนี้ ได้รับการเปิดเผยจากทางการไทยว่าคือ “นายคิมริน พิช”
    .
    ปฏิบัติการสังหารโหดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะที่ “คนสั่งการ” ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถมีเส้นสายติดต่อ “มือปืนระดับพระกาฬ” ในประเทศไทยให้เป็นผู้ลงมือได้
    .
    คำถามมีเพียงประการเดียวคือ ทำไม “ลิม กึมยา” ถึงต้องตาย?
    .
    ที่มา https://news1live.com/detail/9680000003016
    “เกาะกูด” CONSPIRACY MOU44 ชนวนสังหารโหด “ลิม กึมยา”!? . การสังหารโหด “ลิม กึมยา” อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาและนักเคลื่อนไหวคนสำคัญ ระหว่างเดินทางมาประเทศไทยกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ที่บริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก . เนื่องเพราะเป็น “คำสั่งฆ่า” และเปิด “ปฏิบัติการข้ามชาติ” อย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยแม้แต่น้อย . แน่นอน ในส่วนของ “มือปืน” ชัดเจนแล้วว่าเป็นอดีตนาวิกโยธิน ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยสุขุมวิท 22 ที่ชื่อ “จ่าเอ็ม” หรือ “เอกลักษณ์ แพน้อย” . หลังปฏิบัติการเสร็จ “จ่าเอ็ม” มือปืนหลังสังหารโหดมีรถมารับหลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนที่จะจับกุมตัวได้ที่จังหวัดพระตะบอง . ส่วน “คนชี้เป้า” จากหลักฐานกล้องวงจรปิด พบชายคนดังกล่าวเป็นชาวกัมพูชา เดินทางมากับรถบัสท่องเที่ยวข้ามประเทศคันเดียวกับ “ลิม กึมยา” จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยสายการบินสกายอังกอร์ ปลายทางที่กรุงพนมเปญทันที . คนชี้เป้ารายนี้ ได้รับการเปิดเผยจากทางการไทยว่าคือ “นายคิมริน พิช” . ปฏิบัติการสังหารโหดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะที่ “คนสั่งการ” ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถมีเส้นสายติดต่อ “มือปืนระดับพระกาฬ” ในประเทศไทยให้เป็นผู้ลงมือได้ . คำถามมีเพียงประการเดียวคือ ทำไม “ลิม กึมยา” ถึงต้องตาย? . ที่มา https://news1live.com/detail/9680000003016
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนเรียกร้องมากมาย ว่าทำไม เรื่องฟอกเงิน ยังไม่แตะต้องวงการพระ...เพราะวงการนี้ มัน รุ่น เฮฟวี่เวท..ต่างจากวงการอื่นๆ ...ซึ่งเป็นละอ่อนน้อย..ที่ชอบโชว์..มือไม้เส้นสาย ศักยภาพ คนละเรื่องเลย.
    มีคนเรียกร้องมากมาย ว่าทำไม เรื่องฟอกเงิน ยังไม่แตะต้องวงการพระ...เพราะวงการนี้ มัน รุ่น เฮฟวี่เวท..ต่างจากวงการอื่นๆ ...ซึ่งเป็นละอ่อนน้อย..ที่ชอบโชว์..มือไม้เส้นสาย ศักยภาพ คนละเรื่องเลย.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • บนทุกเส้นสายรายทาง
    ต้องมีอุปสรรคครับ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมะได้จัดให้
    บนทุกเส้นสายรายทาง ต้องมีอุปสรรคครับ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมะได้จัดให้
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • ขยัน ประหยัด อดทน แล้วรวยได้.....จริง...แต่นั่นคือสมัยก่อน....ไม่ใช่ในปัจจุบัน.. ปัจจุบันขยันให้ตาย ประหยัดให้ตาย ก็ไม่รวย.ถ้าไม่มีทุน..คุณต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ..มาช่วย..เช่น ความรู้เฉพาะทาง ความคิด ทัศนติ ที่ปรึกษาดีๆ ที่เป็นมวยจริง เส้นสาย รวมถึง เทคนิคต่างๆ ในหลากหลายมุม (ที่เขียนคำนี้เพราะว่า ตัวปลอมในสื่อโซเชี่ยลมีมาก)...และเรื่องประหยัด ผมไม่เชื่อว่าทำให้รวยได้ (ในยุคนี้) ผมเชื่อเรื่องการลงทุนสร้างรายได้เพิ่มมากกว่า..การเป็นหนี้ไม่ดี ผมก็ไม่เชื่ออีก...ผมเชื่อว่า การเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นสิ่งควรกระทำ..
    ขยัน ประหยัด อดทน แล้วรวยได้.....จริง...แต่นั่นคือสมัยก่อน....ไม่ใช่ในปัจจุบัน.. ปัจจุบันขยันให้ตาย ประหยัดให้ตาย ก็ไม่รวย.ถ้าไม่มีทุน..คุณต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ..มาช่วย..เช่น ความรู้เฉพาะทาง ความคิด ทัศนติ ที่ปรึกษาดีๆ ที่เป็นมวยจริง เส้นสาย รวมถึง เทคนิคต่างๆ ในหลากหลายมุม (ที่เขียนคำนี้เพราะว่า ตัวปลอมในสื่อโซเชี่ยลมีมาก)...และเรื่องประหยัด ผมไม่เชื่อว่าทำให้รวยได้ (ในยุคนี้) ผมเชื่อเรื่องการลงทุนสร้างรายได้เพิ่มมากกว่า..การเป็นหนี้ไม่ดี ผมก็ไม่เชื่ออีก...ผมเชื่อว่า การเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นสิ่งควรกระทำ..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : อยากครอบครองจนตัวสั่น ครอบครัว "เขากระโดงชิดชอบ" เมินคำสั่งศาล ใช้เส้นสายคอยช่วยเหลือ
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #สนธิลิ้มทองกุล #สนธิ
    Newsstory : อยากครอบครองจนตัวสั่น ครอบครัว "เขากระโดงชิดชอบ" เมินคำสั่งศาล ใช้เส้นสายคอยช่วยเหลือ #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิลิ้มทองกุล #สนธิ
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 914 มุมมอง 86 1 รีวิว
  • "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว"
    เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล.
    ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์
    .
    "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด
    .
    วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน
    .
    เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว
    .
    เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย
    .
    ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์
    .
    แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น
    .
    "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง
    .
    หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา
    .
    ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา
    .
    พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้
    .
    Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด

    https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0

    #Thaitimes
    "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว" เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล. ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์ . "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด . วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน . เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว . เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่ . ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย . ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์ . แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น . "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง . หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา . ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง . นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา . พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่ . นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้ . Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1502 มุมมอง 1 รีวิว
  • ลิงก์นี้ลงในเฟสบุ๊กไม่ได้ครับ

    WHO กลับคำหลัง trump มา เคยประกาศเข้ม เรื่องต้องฉีดวัคซีนและต้องมีวัคซีนพาสปอร์ตจนกระทั่งถึงมีข้อมูลวัคซีนประจำตัวที่เป็นดิจิทัลไม่ใช่นั้นจะประสบปัญหา หลังtrump ขึ้น เปลี่ยนคำทันที
    การขึ้นรัฐบาลใหม่ของสหรัฐที่มีการประกาศชัดเจนถึงเรื่อง
    ยกเลิกการสนับสนุนให้เงินองค์การอนามัยโลกเพราะไม่โปร่งใส ทุจริต

    เรื่องรื้อองค์กรทางสาธารณสุขของประเทศอเมริกา รวม CDC FDA ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบริษัทยาและวัคซีนรวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงนักวิชาการ

    เรื่องเลิกบังคับการฉีดวัคซีน

    เรื่องจัดการกับบริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหรือกองทัพที่ปลดทหาร ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน

    เรื่องจัดการด็อกเตอร์เฟาซี -เกทส์ ที่เป็นตัวการในการส่งเสริมให้ทุนการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมจะได้ปล่อยวัคซีนออกมา รวมทั้งกลบเกลื่อนร่องรอย โควิดหลุดออกมาจากห้องแลป โดยที่มีพิมพ์เขียวของตัวไวรัสอยู่แล้วก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโควิด

    เรื่องความไม่ปกติของวัคซีนที่ปล่อยออกมาทั้งสิ่งที่ปนเปื้อนและความสามารถที่จะก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆได้

    ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศชนะการเลือกตั้ง บริษัทยาและวัคซีนยักษ์ใหญ่มีการประชุมด่วน หาทางบรรเทาภัยพิบัติหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะ จะต้องมีการเรียกชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้

    ในประเทศไทยเอง ลักษณะเป็นเช่นกัน ที่มีเส้นสายโยงไย และจะเป็นลูกกระป๋องให้องค์การต่างๆ
    เหล่านี้ทำต่อไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดโปง
    รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเช่นกัน ที่ถูกต่อต้านเรื่องบังคับให้ประเทศในโลกลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องทำตามโดยไม่บิดพลิ้วในเรื่องการประกาศโรคระบาด ต้องใช้วัคซีนต้องใช้ยาตามที่องค์การอนามัยโลกสั่งทุกทุกประการ และไม่สามารถใช้สิ่งที่หาได้ในประเทศของตนเอง และสหรัฐต่อต้านสนธิสัญญานี้และจะออกจาก องค์การอนามัยโลกรวมทั้งเลิกให้ทุน

    องค์การอนามัยโลกในระยะแรก สั่งให้ทำทุกอย่างเข้มงวด สั่งให้ฉีดวัคซีน สั่งให้มีวัคซีนพาสปอร์ต
    ไม่เช่นนั้นเดินทางไม่ได้และมิหนำซ้ำไม่นานมานี้ สนับสนุนสหภาพยุโรป ที่จะให้มีการทำข้อมูลดิจิตอลของประชาชนและจะขยายครอบคลุมไปทั้งโลกให้คนทั้งโลกต้องฉีดวัคซีนตามสั่งไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ รวมทั้งเดินทาง

    ซึ่งเป็นแผนแต่ต้น ของ เฟาซี ได้กล่าวให้การในสภาของเกรสว่า ต้องทำให้ประชาชนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน มีชีวิตด้วยความยากลำบากไม่สามารถออกไปซื้อหาอาหาร ไม่สามารถเดินทาง ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ และต้องถูกออกจากงาน

    แต่หลังจากที่เปลี่ยนรัฐบาลองค์การอนามัยโลกกลับคำ ว่าไม่ได้สั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องของแต่ละประเทศเองที่ทำเอง ดังนั้นเป็นการโยนของเหลวสกปรกกลับให้แต่ละประเทศ

    น่าคิดที่กระทรวงทบวงกรมสถาบันสมาคม ยังมีการสนับสนุนวัคซีนเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยไม่แยแสต่อ
    ผลกระทบร้ายแรงทั้งเฉียบพลันและระยะยาว

    ในสหรัฐ ที่ล่าสุดมีการให้ข้อมูลต่อคณะรัฐบาลใหม่ในเรื่องของความผิดปกติของวัคซีนซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และบิดเบือนไม่ได้

    ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่สามารถบิดเบือนได้ และใครที่ทำให้เกิดความสูญเสียของชีวิตคนไทยต้องถูกชดใช้และต้องรับผิดชอบ
    https://youtu.be/XMTYBPqIM-I?si=jztZCg1I4k3_eLLR
    ลิงก์นี้ลงในเฟสบุ๊กไม่ได้ครับ WHO กลับคำหลัง trump มา เคยประกาศเข้ม เรื่องต้องฉีดวัคซีนและต้องมีวัคซีนพาสปอร์ตจนกระทั่งถึงมีข้อมูลวัคซีนประจำตัวที่เป็นดิจิทัลไม่ใช่นั้นจะประสบปัญหา หลังtrump ขึ้น เปลี่ยนคำทันที การขึ้นรัฐบาลใหม่ของสหรัฐที่มีการประกาศชัดเจนถึงเรื่อง ยกเลิกการสนับสนุนให้เงินองค์การอนามัยโลกเพราะไม่โปร่งใส ทุจริต เรื่องรื้อองค์กรทางสาธารณสุขของประเทศอเมริกา รวม CDC FDA ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบริษัทยาและวัคซีนรวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงนักวิชาการ เรื่องเลิกบังคับการฉีดวัคซีน เรื่องจัดการกับบริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหรือกองทัพที่ปลดทหาร ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน เรื่องจัดการด็อกเตอร์เฟาซี -เกทส์ ที่เป็นตัวการในการส่งเสริมให้ทุนการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมจะได้ปล่อยวัคซีนออกมา รวมทั้งกลบเกลื่อนร่องรอย โควิดหลุดออกมาจากห้องแลป โดยที่มีพิมพ์เขียวของตัวไวรัสอยู่แล้วก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโควิด เรื่องความไม่ปกติของวัคซีนที่ปล่อยออกมาทั้งสิ่งที่ปนเปื้อนและความสามารถที่จะก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆได้ ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศชนะการเลือกตั้ง บริษัทยาและวัคซีนยักษ์ใหญ่มีการประชุมด่วน หาทางบรรเทาภัยพิบัติหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะ จะต้องมีการเรียกชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้ ในประเทศไทยเอง ลักษณะเป็นเช่นกัน ที่มีเส้นสายโยงไย และจะเป็นลูกกระป๋องให้องค์การต่างๆ เหล่านี้ทำต่อไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดโปง รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเช่นกัน ที่ถูกต่อต้านเรื่องบังคับให้ประเทศในโลกลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องทำตามโดยไม่บิดพลิ้วในเรื่องการประกาศโรคระบาด ต้องใช้วัคซีนต้องใช้ยาตามที่องค์การอนามัยโลกสั่งทุกทุกประการ และไม่สามารถใช้สิ่งที่หาได้ในประเทศของตนเอง และสหรัฐต่อต้านสนธิสัญญานี้และจะออกจาก องค์การอนามัยโลกรวมทั้งเลิกให้ทุน องค์การอนามัยโลกในระยะแรก สั่งให้ทำทุกอย่างเข้มงวด สั่งให้ฉีดวัคซีน สั่งให้มีวัคซีนพาสปอร์ต ไม่เช่นนั้นเดินทางไม่ได้และมิหนำซ้ำไม่นานมานี้ สนับสนุนสหภาพยุโรป ที่จะให้มีการทำข้อมูลดิจิตอลของประชาชนและจะขยายครอบคลุมไปทั้งโลกให้คนทั้งโลกต้องฉีดวัคซีนตามสั่งไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ รวมทั้งเดินทาง ซึ่งเป็นแผนแต่ต้น ของ เฟาซี ได้กล่าวให้การในสภาของเกรสว่า ต้องทำให้ประชาชนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน มีชีวิตด้วยความยากลำบากไม่สามารถออกไปซื้อหาอาหาร ไม่สามารถเดินทาง ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ และต้องถูกออกจากงาน แต่หลังจากที่เปลี่ยนรัฐบาลองค์การอนามัยโลกกลับคำ ว่าไม่ได้สั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องของแต่ละประเทศเองที่ทำเอง ดังนั้นเป็นการโยนของเหลวสกปรกกลับให้แต่ละประเทศ น่าคิดที่กระทรวงทบวงกรมสถาบันสมาคม ยังมีการสนับสนุนวัคซีนเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยไม่แยแสต่อ ผลกระทบร้ายแรงทั้งเฉียบพลันและระยะยาว ในสหรัฐ ที่ล่าสุดมีการให้ข้อมูลต่อคณะรัฐบาลใหม่ในเรื่องของความผิดปกติของวัคซีนซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และบิดเบือนไม่ได้ ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่สามารถบิดเบือนได้ และใครที่ทำให้เกิดความสูญเสียของชีวิตคนไทยต้องถูกชดใช้และต้องรับผิดชอบ https://youtu.be/XMTYBPqIM-I?si=jztZCg1I4k3_eLLR
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1269 มุมมอง 66 0 รีวิว
  • การขึ้นรัฐบาลใหม่ของสหรัฐที่มีการประกาศชัดเจนถึงเรื่อง
    ยกเลิกการสนับสนุนให้เงินองค์การอนามัยโลกเพราะไม่โปร่งใส

    เรื่องรื้อองค์กรทางสาธารณสุขของประเทศอเมริกาที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบริษัทยาและวัคซีนรวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงนักวิชาการ

    เรื่องเลิกบังคับการฉีดวัคซีน

    เรื่องจัดการบริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหรือกองทัพที่ปลดทหาร ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน

    เรื่องจัดการด็อกเตอร์เฟาซี เกทส์ ที่เป็นตัวการในการส่งเสริมให้ทุนการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมจะได้ปล่อยวัคซีนออกมา รวมทั้งกลบเกลื่อนร่องรอย โควิดหลุดออกมาจากห้องแลป โดยที่มีพิมพ์เขียวของตัวไวรัสอยู่แล้วก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโควิด

    เรื่องความไม่ปกติของวัคซีนที่ปล่อยออกมาทั้งสิ่งที่ปนเปื้อนและความสามารถที่จะก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆได้

    ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศชนะการเลือกตั้งบริษัทยาและวัคซีนยักษ์ใหญ่มีการประชุมด่วนหาทางบรรเทาภัยพิบัติหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะ จะต้องมีการเรียกชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้

    ในประเทศไทยเอง ลักษณะเป็นเช่นกัน ที่มีเส้นสายโยงไย และจะเป็นลูกกระป๋องให้องค์การต่างๆ
    เหล่านี้ทำต่อไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดโปง
    รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเช่นกัน ที่ถูกต่อต้านเรื่องบังคับให้ประเทศในโลกลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องทำตามโดยไม่บิดพลิ้วในเรื่องการประกาศโรคระบาด ต้องใช้วัคซีนต้องใช้ยาตามที่องค์การอนามัยโลกสั่งทุกทุกประการและไม่สามารถใช้สิ่งที่หาได้ในประเทศของตนเอง และสหรัฐต่อต้านสนธิสัญญานี้และจะออกจาก องค์การอนามัยโลกรวมทั้งเลิกให้ทุน

    องค์การอนามัยโลกในระยะแรก สั่งให้ทำทุกอย่างเข้มงวด สั่งให้ฉีดวัคซีน สั่งให้มีวัคซีนพาสปอร์ต
    ไม่เช่นนั้นเดินทางไม่ได้และมิหนำซ้ำ สนับสนุนสหภาพยุโรปที่จะให้มีการทำข้อมูลดิจิตอลของประชาชนและจะขยายครอบคลุมไปทั้งโลกให้คนทั้งโลกต้องฉีดวัคซีนตามสั่งไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ รวมทั้งเดินทาง ซึ่งเป็นแผนที่ เฟาซี ได้กล่าวให้การในสภาของเกรสว่า ต้องทำให้ประชาชนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนมีชีวิตด้วยความยากลำบากไม่สามารถออกไปซื้อหาอาหาร ไม่สามารถเดินทาง ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ และต้องถูกออกจากงาน

    แต่หลังจากที่เปลี่ยนรัฐบาลองค์การอนามัยโลกกลับคำ ว่าไม่ได้สั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องของแต่ละประเทศเองที่ทำเอง ดังนั้นเป็นการโยนของเหลวสกปรกกลับให้แต่ละประเทศ

    น่าคิดที่กระทรวงทบวงกรมสถาบันสมาคม ยังมีการสนับสนุนวัคซีนเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยไม่แยแสต่อ
    ผลกระทบร้ายแรงทั้งเฉียบพลันและระยะยาว

    ในสหรัฐ ที่ล่าสุดมีการให้ข้อมูลต่อคณะรัฐบาลใหม่ในเรื่องของความผิดปกติของวัคซีนซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และบิดเบือนไม่ได้

    ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่สามารถบิดเบือนได้ และใครที่ทำให้เกิดความสูญเสียของชีวิตคนไทยต้องถูกชดใช้และต้องรับผิดชอบ
    การขึ้นรัฐบาลใหม่ของสหรัฐที่มีการประกาศชัดเจนถึงเรื่อง ยกเลิกการสนับสนุนให้เงินองค์การอนามัยโลกเพราะไม่โปร่งใส เรื่องรื้อองค์กรทางสาธารณสุขของประเทศอเมริกาที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบริษัทยาและวัคซีนรวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงนักวิชาการ เรื่องเลิกบังคับการฉีดวัคซีน เรื่องจัดการบริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหรือกองทัพที่ปลดทหาร ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน เรื่องจัดการด็อกเตอร์เฟาซี เกทส์ ที่เป็นตัวการในการส่งเสริมให้ทุนการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมจะได้ปล่อยวัคซีนออกมา รวมทั้งกลบเกลื่อนร่องรอย โควิดหลุดออกมาจากห้องแลป โดยที่มีพิมพ์เขียวของตัวไวรัสอยู่แล้วก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโควิด เรื่องความไม่ปกติของวัคซีนที่ปล่อยออกมาทั้งสิ่งที่ปนเปื้อนและความสามารถที่จะก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆได้ ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศชนะการเลือกตั้งบริษัทยาและวัคซีนยักษ์ใหญ่มีการประชุมด่วนหาทางบรรเทาภัยพิบัติหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะ จะต้องมีการเรียกชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้ ในประเทศไทยเอง ลักษณะเป็นเช่นกัน ที่มีเส้นสายโยงไย และจะเป็นลูกกระป๋องให้องค์การต่างๆ เหล่านี้ทำต่อไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดโปง รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเช่นกัน ที่ถูกต่อต้านเรื่องบังคับให้ประเทศในโลกลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องทำตามโดยไม่บิดพลิ้วในเรื่องการประกาศโรคระบาด ต้องใช้วัคซีนต้องใช้ยาตามที่องค์การอนามัยโลกสั่งทุกทุกประการและไม่สามารถใช้สิ่งที่หาได้ในประเทศของตนเอง และสหรัฐต่อต้านสนธิสัญญานี้และจะออกจาก องค์การอนามัยโลกรวมทั้งเลิกให้ทุน องค์การอนามัยโลกในระยะแรก สั่งให้ทำทุกอย่างเข้มงวด สั่งให้ฉีดวัคซีน สั่งให้มีวัคซีนพาสปอร์ต ไม่เช่นนั้นเดินทางไม่ได้และมิหนำซ้ำ สนับสนุนสหภาพยุโรปที่จะให้มีการทำข้อมูลดิจิตอลของประชาชนและจะขยายครอบคลุมไปทั้งโลกให้คนทั้งโลกต้องฉีดวัคซีนตามสั่งไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ รวมทั้งเดินทาง ซึ่งเป็นแผนที่ เฟาซี ได้กล่าวให้การในสภาของเกรสว่า ต้องทำให้ประชาชนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนมีชีวิตด้วยความยากลำบากไม่สามารถออกไปซื้อหาอาหาร ไม่สามารถเดินทาง ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ และต้องถูกออกจากงาน แต่หลังจากที่เปลี่ยนรัฐบาลองค์การอนามัยโลกกลับคำ ว่าไม่ได้สั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องของแต่ละประเทศเองที่ทำเอง ดังนั้นเป็นการโยนของเหลวสกปรกกลับให้แต่ละประเทศ น่าคิดที่กระทรวงทบวงกรมสถาบันสมาคม ยังมีการสนับสนุนวัคซีนเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยไม่แยแสต่อ ผลกระทบร้ายแรงทั้งเฉียบพลันและระยะยาว ในสหรัฐ ที่ล่าสุดมีการให้ข้อมูลต่อคณะรัฐบาลใหม่ในเรื่องของความผิดปกติของวัคซีนซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และบิดเบือนไม่ได้ ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่สามารถบิดเบือนได้ และใครที่ทำให้เกิดความสูญเสียของชีวิตคนไทยต้องถูกชดใช้และต้องรับผิดชอบ
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1148 มุมมอง 144 1 รีวิว
  • 🌳 จากหน้าข่าว หลายข่าว..จากประสบการณ์ 30 กว่าปี ทำธุรกิจมาก็มาก เป็นที่ปรึกษา สร้างงานสร้างคนมาก็มาก..คลุกคลีอยู่ในทุกสี จะขาว จะเทา จะดำ .
    อยากบอกหลายๆท่านว่า ...จงอย่าเชื่อคนที่ท่านคิดว่า "เชื่อได้" ในทุกเรื่อง....
    1. เขารู้จริงในเรื่องเหล่านั้นหรือเปล่า? ต้องยอมรับในสังคมไทย ผู้อวดรู้มีมากมายจริงๆ
    2. คำแนะนำเหล่านั้น มีประโยชน์ อื่นใดแฝงอยู่ไหม?
    3. บางจังหวะ บางช่วงเวลาของชีวิตของคนบางคน..อาจมีภาวะ จำเป็น ที่โดยปกติเขาจะไม่กระทำ...ในบางสิ่ง.....ถ้าคุณไปเจอ คราวจำเป็นของเขา ก็ซวยไป. คนดีมาทั้งชีวิต ..ก็ยังเสียมามากแล้ว เพราะความจำเป็น..
    🎃 ไม่นับไอ้พวก ใช้สื่อSocial เป็น สร้างตัวตนเก๊ๆ ขึ้นมาอีกไม่น้อย.
    ___
    สิ่งที่จำมาตลอด เพราะพบเจอกับตนเอง...คนที่มันไม่เคยมีมากๆ...ถ้าทำให้มันมีมากๆขึ้นมา โดยง่าย...คนเหล่านี้ มันจะเสพติด..การมั่งมี...ทั้งเงิน อำนาจ เส้นสาย....สุดท้าย มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา...โดยไม่เลือกวิธีการแล้ว..........
    🌳 จากหน้าข่าว หลายข่าว..จากประสบการณ์ 30 กว่าปี ทำธุรกิจมาก็มาก เป็นที่ปรึกษา สร้างงานสร้างคนมาก็มาก..คลุกคลีอยู่ในทุกสี จะขาว จะเทา จะดำ . อยากบอกหลายๆท่านว่า ...จงอย่าเชื่อคนที่ท่านคิดว่า "เชื่อได้" ในทุกเรื่อง.... 1. เขารู้จริงในเรื่องเหล่านั้นหรือเปล่า? ต้องยอมรับในสังคมไทย ผู้อวดรู้มีมากมายจริงๆ 2. คำแนะนำเหล่านั้น มีประโยชน์ อื่นใดแฝงอยู่ไหม? 3. บางจังหวะ บางช่วงเวลาของชีวิตของคนบางคน..อาจมีภาวะ จำเป็น ที่โดยปกติเขาจะไม่กระทำ...ในบางสิ่ง.....ถ้าคุณไปเจอ คราวจำเป็นของเขา ก็ซวยไป. คนดีมาทั้งชีวิต ..ก็ยังเสียมามากแล้ว เพราะความจำเป็น.. 🎃 ไม่นับไอ้พวก ใช้สื่อSocial เป็น สร้างตัวตนเก๊ๆ ขึ้นมาอีกไม่น้อย. ___ สิ่งที่จำมาตลอด เพราะพบเจอกับตนเอง...คนที่มันไม่เคยมีมากๆ...ถ้าทำให้มันมีมากๆขึ้นมา โดยง่าย...คนเหล่านี้ มันจะเสพติด..การมั่งมี...ทั้งเงิน อำนาจ เส้นสาย....สุดท้าย มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา...โดยไม่เลือกวิธีการแล้ว..........
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขงเบ้ง ปรมาจารย์ The Icon กับกลยุทธ์บีบน้ำตาลดแรงเสียดทาน มีบทความน่าคิดพิจารณาในเพจเฟซบุ๊กชื่อสามก๊ก เซ็นโกคุประวัติศาสตร์ History teller เขียนไว้ว่า

    “ ขงเบ้ง ร้องไห้ในงานศพของจิวยี่ ช่วยลดความตึงเครียดจากเหล่าขุนพลของง่อก๊กที่กำลังไม่พอใจขงเบ้งให้เบาลง
    .
    ต้องยอมรับว่าในบางครั้งการร้องไห้ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องราว ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลงได้ ในยุคสามก๊กมีหลายคนที่ทำแบบนี้ได้ดี ก็คือ เล่าปี่ และ โจโฉ ต่อมายังเพิ่มขงเบ้งเข้าไปอีกคน
    .
    กรณีขงเบ้ง เดิมเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแสดงอารมณ์ละเอียดอ่อนต่อหน้าผู้คน แต่คาดว่าเขาเองได้ศึกษาและเรียนรู้เรื่องนี้จากเล่าปี่ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกบรรยายไว้ในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมว่า ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า แต่เล่าปี่จะร้องไห้หรือแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าผู้คนเฉพาะกรณีที่หวังผลบางอย่างเป็นหลักมากกว่า และได้ผลดีเลิศเสมอ
    .
    ส่วนฉากที่ขงเบ้งใช้กลยุทธ์นี้แล้วได้ผลดีก็คือเหตุการณ์ที่เขาเดินทางไปคารวะศพของจิวยี่ที่ง่อก๊ก เขาร้องไห้เสียใจต่อหน้าเหล่าขุนพลและขุนนางง่อทั้งหมดที่อยู่ในงาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนของง่อที่เคยแสดงความไม่พอใจต่อขงเบ้งลดความรู้สึกด้านนี้ลงไปพอสมควร แต่ก็มีบางคนที่มองออกว่าขงเบ้งใช้อุบาย นั่นคือบังทอง ที่เข้ามาทักขงเบ้งในระหว่างที่เขากำลังจะขึ้นเรือกลับเกงจิ๋ว
    .
    แน่นอนว่าการร้องไห้ของขงเบ้งไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาลดความร้อนระอุด้านอารมณ์ของขุนพลง่อที่มีต่อขงเบ้งและฝ่ายเล่าปี่ลงมาบ้างในระยะเวลาหนึ่ง
    .
    เพิ่มเติม ส่วนคู่ปรับขงเบ้งอย่างสุมาอึ้จะชอบใช้แผนแกล้งป่วย (ไม่ได้พาดพิงนักการเมืองท่านใด)
    .
    ปล.แนวกลยุทธ์การร้องไห้ออกสื่อ เพื่อขอความเห็นใจ ยังคงใช้งานกันในปัจจุบัน แม้แต่ในระดับประเทศหรือในระดับโลก
    ………
    ศิลปะและศาสตร์แห่งการร้องไห้ ฉบับ เล่าปี่ และ โจโฉ แล้วตอนหลังขงเบ้งก็ขอยืมเทคนิคนี้มาใช้ด้วย เรื่องนี้อาจจะตอบคำถามว่า อ่านสามก๊กแล้วได้อะไร วันนี้เราเพิ่งเห็นกันสดๆร้อนๆหนึ่งเรื่องในระดับประเทศ
    .
    ในสามก๊ก มีตัวอย่างของผู้นำหรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยกลยุทธ์ในด้านอารมณ์เข้ามาช่วย นอกเหนือจากหลักเหตุผลเท่านั้น
    .
    สำหรับตัวอย่างโดดเด่นที่ เล่าปี่ โจโฉ ขงเบ้ง เคยนำมาใช้ แล้วได้ผลลัพธ์ระดับสุดยอด เช่น
    .
    เล่าปี่ ตอนที่ต้องพาประชาชนอพยพหนีการตามล่าจากทัพโจโฉ แล้วเห็นประชาชนที่ทุกข์ยากเพราะติดตามตนมา เขาก็ร้องไห้เสียใจหนัก จะกระโดดน้ำ แต่คนอื่นห้ามไว้ และที่เด็ดสุดจากนั้นคือตอนที่ “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” ช่วยพาทั้งอาเต๊าและนางกำฮูหยินที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งเต็งหยาง เตียงปัน ซึ่งมีทหารโจโฉกระจัดกระจายอยู่มากกว่าหลายแสนคน เมื่อจูล่งพาอาเต๊ามาให้เล่าปี่ เขาก็ปล่อยอาเต๊าลงพื้นแล้วร้องไห้ว่า เด็กนี่เกือบทำให้ข้าสูญเสียจูล่ง จากนั้นจูล่งก็เข้าไปอุ้มอาเต๊าแล้วประกาศว่า ข้าจะขอติดตามเป็นดั่งม้าใช้ของนายท่านตราบจนสิ้นไป
    .
    โจโฉ หลายครั้งที่เขาผ่านการเสี่ยงตาย แต่ครั้งที่เสียหายรุนแรงที่สุดคือศึกเมืองอ้วนเสีย เพราะความประมาทและลุ่มหลงในหญิงงามของตนทำให้เสียท่าต่อกลยุทธ์ของกาเซี่ยง ทำให้ทหารตนล้มตายไปมากมาย รวมถึง บุตรชายโจงั่น หลานชายโจอั๋นปิน และองครักษ์เตียนอุย ต่อมาโจโฉเดินทัพผ่านบริเวณที่เคยเกิดเหตุ เขาก็ร้องไห้เสียใจออกมาให้พวกทหารเห็น โจโฉยังบอกว่า เขาร้องไห้ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อบุตรชายและหลานชาย แต่เพื่อเตียนอุย เรื่องนี้ทำให้ได้ใจเหล่าทหารในกองทัพมาก
    .
    ขงเบ้ง เหตุการณ์สำคัญที่ขงเบ้งพ่ายแพ้ในการบุกภาคเหนือครั้งแรก สาเหตุหนึ่งที่ขงเบ้งยอมรับว่าตนผิดพลาดก็คือ การเลือกม้าเจ๊ก มาคุมทัพที่เกเต๋ง แต่หลังจากนั้นเขากลับผิดพลาด จึงทำให้ส่งผลเสียหายต่อทั้งกองทัพ หนึ่งในความรับผิดชอบที่เขาต้องทำก็คือ การสั่งประหารม้าเจ๊ก ซึ่งเป็นคนที่ทำให้การบุกครั้งนี้ล้มเหลว ขงเบ้งต้องประหารทั้งน้ำตา ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็น่าจะเสียใจมากจริงๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ขงเบ้งแสดงตนชัดเจนว่า เขาไม่อิงระบบเส้นสาย ต่อให้ม้าเจ๊กเป็นคนโปรดขนาดไหน หากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก็ต้องโทษประหาร พวกทหารจึงให้ความเคารพเชื่อฟังขงเบ้งต่อไป แม้ว่าจะรบแพ้ใหญ่ก็ตามทึ
    .
    ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่า “ร้องไห้แล้วจบ” เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องรับผลลัพธ์ของการกระทำ และหาทางแก้ปัญหากับเดินหน้าต่อไป หากทำผิดก็ต้องรับผล

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/SUbTfaxKA3edYxLC/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes

    ขงเบ้ง ปรมาจารย์ The Icon กับกลยุทธ์บีบน้ำตาลดแรงเสียดทาน มีบทความน่าคิดพิจารณาในเพจเฟซบุ๊กชื่อสามก๊ก เซ็นโกคุประวัติศาสตร์ History teller เขียนไว้ว่า “ ขงเบ้ง ร้องไห้ในงานศพของจิวยี่ ช่วยลดความตึงเครียดจากเหล่าขุนพลของง่อก๊กที่กำลังไม่พอใจขงเบ้งให้เบาลง . ต้องยอมรับว่าในบางครั้งการร้องไห้ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องราว ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลงได้ ในยุคสามก๊กมีหลายคนที่ทำแบบนี้ได้ดี ก็คือ เล่าปี่ และ โจโฉ ต่อมายังเพิ่มขงเบ้งเข้าไปอีกคน . กรณีขงเบ้ง เดิมเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแสดงอารมณ์ละเอียดอ่อนต่อหน้าผู้คน แต่คาดว่าเขาเองได้ศึกษาและเรียนรู้เรื่องนี้จากเล่าปี่ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกบรรยายไว้ในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมว่า ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า แต่เล่าปี่จะร้องไห้หรือแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าผู้คนเฉพาะกรณีที่หวังผลบางอย่างเป็นหลักมากกว่า และได้ผลดีเลิศเสมอ . ส่วนฉากที่ขงเบ้งใช้กลยุทธ์นี้แล้วได้ผลดีก็คือเหตุการณ์ที่เขาเดินทางไปคารวะศพของจิวยี่ที่ง่อก๊ก เขาร้องไห้เสียใจต่อหน้าเหล่าขุนพลและขุนนางง่อทั้งหมดที่อยู่ในงาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนของง่อที่เคยแสดงความไม่พอใจต่อขงเบ้งลดความรู้สึกด้านนี้ลงไปพอสมควร แต่ก็มีบางคนที่มองออกว่าขงเบ้งใช้อุบาย นั่นคือบังทอง ที่เข้ามาทักขงเบ้งในระหว่างที่เขากำลังจะขึ้นเรือกลับเกงจิ๋ว . แน่นอนว่าการร้องไห้ของขงเบ้งไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาลดความร้อนระอุด้านอารมณ์ของขุนพลง่อที่มีต่อขงเบ้งและฝ่ายเล่าปี่ลงมาบ้างในระยะเวลาหนึ่ง . เพิ่มเติม ส่วนคู่ปรับขงเบ้งอย่างสุมาอึ้จะชอบใช้แผนแกล้งป่วย (ไม่ได้พาดพิงนักการเมืองท่านใด) . ปล.แนวกลยุทธ์การร้องไห้ออกสื่อ เพื่อขอความเห็นใจ ยังคงใช้งานกันในปัจจุบัน แม้แต่ในระดับประเทศหรือในระดับโลก ……… ศิลปะและศาสตร์แห่งการร้องไห้ ฉบับ เล่าปี่ และ โจโฉ แล้วตอนหลังขงเบ้งก็ขอยืมเทคนิคนี้มาใช้ด้วย เรื่องนี้อาจจะตอบคำถามว่า อ่านสามก๊กแล้วได้อะไร วันนี้เราเพิ่งเห็นกันสดๆร้อนๆหนึ่งเรื่องในระดับประเทศ . ในสามก๊ก มีตัวอย่างของผู้นำหรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยกลยุทธ์ในด้านอารมณ์เข้ามาช่วย นอกเหนือจากหลักเหตุผลเท่านั้น . สำหรับตัวอย่างโดดเด่นที่ เล่าปี่ โจโฉ ขงเบ้ง เคยนำมาใช้ แล้วได้ผลลัพธ์ระดับสุดยอด เช่น . เล่าปี่ ตอนที่ต้องพาประชาชนอพยพหนีการตามล่าจากทัพโจโฉ แล้วเห็นประชาชนที่ทุกข์ยากเพราะติดตามตนมา เขาก็ร้องไห้เสียใจหนัก จะกระโดดน้ำ แต่คนอื่นห้ามไว้ และที่เด็ดสุดจากนั้นคือตอนที่ “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” ช่วยพาทั้งอาเต๊าและนางกำฮูหยินที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งเต็งหยาง เตียงปัน ซึ่งมีทหารโจโฉกระจัดกระจายอยู่มากกว่าหลายแสนคน เมื่อจูล่งพาอาเต๊ามาให้เล่าปี่ เขาก็ปล่อยอาเต๊าลงพื้นแล้วร้องไห้ว่า เด็กนี่เกือบทำให้ข้าสูญเสียจูล่ง จากนั้นจูล่งก็เข้าไปอุ้มอาเต๊าแล้วประกาศว่า ข้าจะขอติดตามเป็นดั่งม้าใช้ของนายท่านตราบจนสิ้นไป . โจโฉ หลายครั้งที่เขาผ่านการเสี่ยงตาย แต่ครั้งที่เสียหายรุนแรงที่สุดคือศึกเมืองอ้วนเสีย เพราะความประมาทและลุ่มหลงในหญิงงามของตนทำให้เสียท่าต่อกลยุทธ์ของกาเซี่ยง ทำให้ทหารตนล้มตายไปมากมาย รวมถึง บุตรชายโจงั่น หลานชายโจอั๋นปิน และองครักษ์เตียนอุย ต่อมาโจโฉเดินทัพผ่านบริเวณที่เคยเกิดเหตุ เขาก็ร้องไห้เสียใจออกมาให้พวกทหารเห็น โจโฉยังบอกว่า เขาร้องไห้ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อบุตรชายและหลานชาย แต่เพื่อเตียนอุย เรื่องนี้ทำให้ได้ใจเหล่าทหารในกองทัพมาก . ขงเบ้ง เหตุการณ์สำคัญที่ขงเบ้งพ่ายแพ้ในการบุกภาคเหนือครั้งแรก สาเหตุหนึ่งที่ขงเบ้งยอมรับว่าตนผิดพลาดก็คือ การเลือกม้าเจ๊ก มาคุมทัพที่เกเต๋ง แต่หลังจากนั้นเขากลับผิดพลาด จึงทำให้ส่งผลเสียหายต่อทั้งกองทัพ หนึ่งในความรับผิดชอบที่เขาต้องทำก็คือ การสั่งประหารม้าเจ๊ก ซึ่งเป็นคนที่ทำให้การบุกครั้งนี้ล้มเหลว ขงเบ้งต้องประหารทั้งน้ำตา ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็น่าจะเสียใจมากจริงๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ขงเบ้งแสดงตนชัดเจนว่า เขาไม่อิงระบบเส้นสาย ต่อให้ม้าเจ๊กเป็นคนโปรดขนาดไหน หากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก็ต้องโทษประหาร พวกทหารจึงให้ความเคารพเชื่อฟังขงเบ้งต่อไป แม้ว่าจะรบแพ้ใหญ่ก็ตามทึ . ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่า “ร้องไห้แล้วจบ” เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องรับผลลัพธ์ของการกระทำ และหาทางแก้ปัญหากับเดินหน้าต่อไป หากทำผิดก็ต้องรับผล ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/SUbTfaxKA3edYxLC/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ได้เวลาล้างบางสตม
    โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้
    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง
    แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้
    ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย
    ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ
    คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว
    เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่
    เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ได้เวลาล้างบางสตม โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้ ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่ เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ได้เวลาล้างบางสตม
    โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้
    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง
    แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า เม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้
    ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย
    ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า เม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ
    คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนีเสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว
    เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่
    เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับเม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ได้เวลาล้างบางสตม โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า เม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้ ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า เม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนีเสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่ เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับเม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙

    “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม

    ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ

    ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร

    ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!?

    ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น

    กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย

    แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า

    แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗”

    #Thaitimes
    บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙ “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!? ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗” #Thaitimes
    Sad
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1067 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาแล้วววว……ติ่งขา……อาลีนาที่หนูอยากได้……รบเป็นรบ รักเป็นรักนะ พี่ปูเนี่ยยย……!!!

    ตอนสิบแปด……ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ……รัสเซียทุบทุกงาน…!!!

    ในที่สุดปูตินแก้ความสงสัยให้กับทุกคน…หลังจากที่พรรคของเขาได้รับคะแนนถล่มทะลายในสภาตอนเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภาในปลายปี ว่า…แคนดิเดทที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป คือ Dmitry Medvedev
    ส่วนตัวเขาจะไปนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน……
    ซึ่งเป็นแผนงานที่รู้กันเพียงไม่กี่คน……
    แต่ในแวดวงข้างนอก……ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนคิดว่า ปูตินจะต้องลงจากอำนาจ ……และ คนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง เช่น Mikhail Fradkov (นายกรัฐมนตรี)

    ฝ่ายตรงข้ามเริ่มขุดคุ้ย โจมตีปูตินด้วยการลงข่าวดิสเครดิตรายวัน เช่นเมื่อ วันที่ 11 เมษายน 2008 สามอาทิตย์ก่อนที่เมดเดเวฟจะขึ้นทำพิธีสาบานตน
    หนังสือพิมพ์รายวันของมอสโคว์ ในคอลัมน์ของ Sergei Topol
    ได้กระแซะด้วยข้อความแบบซุบซิบเล็กๆเพียง 641 คำ……
    แต่มันเหมือนระเบิดลงในสนามข่าว ที่ไตเติ้ลเขียนว่า
    “The Sarkozy Syndrome” หรือ อาการโรคซาร์โกซี่ระบาด
    คือ นาย Nicholas Sarkozy คือประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มากรัก
    เขาแต่งงาน แล้วหย่า แล้วแต่ง แล้วหย่า ที่เพิ่งหย่าไปกับภรรยาคนที่สาม ประธานาธิบดีปูตินของเรามั่นคงกับภรรยาเดียวมาตลอดการครองตำแหน่งผู้นำ……แต่เมื่อท่านจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว……บางอย่างอาจเปลี่ยนไปก็ได้..”

    ข่าวนี้กระเทือนไปทั่ว ทั้งความอยากรู้ของประชาชนและคนในแวดวงการเมือง
    เพราะมันก็คือความจริง……ที่ปูตินได้หย่ากับลุดมิลาไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา……และที่เป็นรู้กันในวงในว่า เขามีแผนที่จะแต่งงานใหม่กับ Alina Kabayeva ยิมนาสติกเหรียญทองที่เป็นขวัญใจของประชาชนในเดือนมิถุนายน
    และได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2002
    ในช่วงการหาเสียงของ 2007 เธอก็ยังปรากฎตัวในที่ต่างๆพร้อมๆกับกลุ่มแถวหน้าของพรรค

    ตั้งแต่ปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้เก็บทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวไว้เป็นความลับ
    ลูกสาวทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างส่วนตัว เงียบๆมีหน่วยอารักขาตลอดเวลา ไม่มีการออกข่าวใดๆ
    ทั้งคู่เรียนดนตรีที่ปูตินชอบ คือ ไวโอลินและเปียโน และได้ทำเพลงบรรจุซีดีให้พ่อไว้ฟัง……นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเพลินเพลินในยามว่าง และก่อนนอน
    ลุดมิลา……ไม่เคยชอบชีวิตของการเป็นจุดสนใจ เธอทำหน้าที่ของสตรีหมายเลขหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศกับปูติน
    แต่เมื่อกลับมาอยู่ในรัสเซีย เธอทำงานทางด้านการสอนภาษาให้กับโครงการชาวรัสเซียชนบทที่อยู่ชายแดนของประเทศที่ถูกเฉือนออกไปเมื่อโซเวียตล่มสลาย
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบความกลไกของครอบครัวรัสเชี่ยนทั่วไป……แต่นับวันยิ่งห่างเหิน……

    ปูตินตามที่ลุดมิลาเลยปรับทุกข์ให้เพื่อนฟัง คือ มีแอบเจ้าชู้
    เคยพานักข่าวสาวสวยไปทานอาหารกลางวันเมื่อครั้งที่เริ่มฉายแสงในการเมืองมอสโคว์
    แต่…ไม่มีใครกล้าลงในดีเทล เพราะในยุคนั้นท่านผู้นำจะต้องไม่มีเรื่องด่างพล้อยใดๆในชีวิตครอบครัว
    แต่มาถึงยุคที่เป็นข่าว……ตอนนั้นโลกเปลี่ยนไป เพราะผู้นำแต่ละคนล้วนแล้วแต่จี๊ดจ๊าด นอกจากซาร์โกซี่ แล้วยังมี
    บิล คลินตัน ตามด้วยสุดๆคือ Vaclav Havel ประธานาธิบดีแห่ง Czech Republic (ในตำแหน่ง 1993-2003) ที่พอเมียตายปุ๊บ ก็แต่งงานใหม่กับดาราแม่หม้ายที่มีบทหวือหวาโป๊เปลือยในปีต่อมาทันที แล้วเอามาปั้นแต่งให้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน……

    หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปของข่าวที่ร้อนแรง ปูตินได้ไปเยือนอิตาลี
    และนักข่าวอิตาเลี่ยนได้ยิงคำถามนี้ขึ้นมา ว่า จริงเท็จประการใด?
    ปูตินที่เคยปิดปากสนิทเลี่ยงที่จะไม่พูดต่อไปไม่ได้ เขาตอบว่า
    “ทุกอย่างที่คุณได้ข่าวมา ไม่ใช่ความจริง ในเรื่องที่ลูกๆผมได้ย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน แล้วเรื่องผู้หญิง……ผมไม่ปฏิเสธว่าผมชอบผู้หญิงรัสเซีย เพราะผู้หญิงของเราเก่งกาจและสวยที่สุด..
    เรียกว่า เทียบได้กับสาวๆอิตาเลี่ยนได้เลย……”
    ตอนนี้นักข่าวสาวอิตาเลี่ยนปรบมือแบบถูกอกถูกใจ
    เขาพูดต่อไปว่า…
    “แต่ในเมื่อผมเป็นนักการเมือง ชีวิตก็เหมือนกับอยู่ในบ้านเรือนแก้ว ที่ใครๆก็มองเห็นได้ แต่มันก็ควรที่จะมีขอบเขตของ
    ความเป็นส่วนตัวบ้าง ในตรงนี้…ผมขอ……ขอมีชีวิตส่วนตัวที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ…เรามาคุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า เช่นสงครามในเชเชน…โอเค๊..!!!”

    ในวันเดียวกันนั้นที่เขากลับไปยังรัสเซีย…หนังสือพิมพ์เจ้ากรรมที่เป็นต้นตอข่าว ได้ประกาศปิดตัวลงเพราะสภาพคล่อง……
    แต่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสาเหตุ…!!!!

    ไม่มีใครรู้ว่า ความสัมพันธ์ของปูตินกับอาลีนานั้นลึกซึ้งขนาดไหน แต่ดูได้จากระดับที่เธอก้าวขึ้นมาจากนักยิมเหรียญทองสู่เส้นสายทางการเมืองที่รุ่งขึ้นไปทุกที ในการเข้าเป็นกรรมการบอร์ดในหลายที่ เช่นธนาคาร, สื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์
    และเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานของกีฬาโอลิมปิคใน Sochi ที่จะมาถึง

    เมื่อ Medvedev ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ปูตินก็เปรียบเสมือนเติ้งเสี่ยวผิงของจีน ที่เป็นมันสมองทั้งหมดของพรรคในช่วงห้าปีสุดท้ายของการอยู่ในตำแหน่งที่ได้พลิกผันประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้

    แต่ก่อนอื่น…ปูนินต้องจัดการกับเรื่องข่าวที่กวนใจก่อน โดยงานแรกของเมดเวเดพที่จะต้องทำคือ ออกกฎหมายเรื่องของการหมิ่นประมาทโดยสื่อที่ทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียง มีการเพิ่มโทษทั้งปรับทั้งจำขั้นสูงสุด

    ในวันที่ 7 สิงหาคม 2008 ที่ประธานาธิบดีคนใหม่หมาดๆเพียงสามอาทิตย์กำลังไปพักผ่อนล่องเรือที่ Volga River ในเขตเมือง Kazan
    ตอนตีหนึ่งของวันที่ 8 เขาได้รับโทรศัพท์ด่วนจากกลาโหมว่า
    Mikhail Saakachvili ประธานาธิบดีสาธารณรัฐ Georgia (โปรตะวันตก) ได้ส่งทหารทำการบุกพื้นที่ทางใต้ คือ South Ossetia ซึ่งอยู่ในเขตของจอร์เจียตามแผนที่ แต่ประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับจอร์เจีย เพราะโปรรัสเซีย
    รวมทั้ง เขต Abkhazia ทางฝั่งทะเลดำก็เช่นกัน ตามแผนที่ว

    เรื่องความขัดแย้งนี้เป็นมานานหลายปีแล้ว แต่มาประทุในตอนนี้เพราะ Mikhail Saakachvili (จะเรียกว่า MS) คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือเพราะปูตินไม่ได้เป็นปธน. แล้ว
    และเมดเวเดพก็ไม่น่าจะมีน้ำยาอะไร……หนุ่มใสซื่อ ที่
    ฟังแต่เพลงร๊อค
    ทันที่ที่ทราบข่าว…เมดเวเดพรีบติดต่อถึงปูติน แต่เป็นช่วงที่ปูตินได้จากมอสโคว์ไปยังเบจิง เพื่อไปร่วมในงานเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พร้อมๆกับผู้นำชาติอื่นๆเช่น บุช
    จึงยังติดต่อไม่ได้……เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรลงไป
    จนทางผู้บัญชาการทหารบกได้โทรมาบอกว่า ตอนนี้ค่ายทหารของเราได้ถูกโจมตีหนัก
    เขาจึงตัดสินใจตอบไปว่า…”ส่งกำลังเข้าบุกเดี๋ยวนี้…!!!”

    กองทัพรัสเซียที่รอฟังคำสั่งมาสองวัน จึงถาโถมเข้าพร้อมกันทั้งบกและอากาศเข้าตีทุกทาง…
    ข่าวได้ถึงปูตินหลังจากที่รัสเซียเคลื่อนทัพสู่จอร์เจีย
    สิ่งแรกคือ.……เขาโกรธ MS แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่บังอาจใช้เวลาที่เขาเดินทางไกล……เข้าดำเนินการ
    และฉุนเมดเวเดฟที่ไม่ทำการวางแผนทำศึก สั่งบุกแบบสั้นๆ
    ปรากฏว่า กองทัพอากาศรัสเซียได้เข้าโจมตีถล่มไปถึงเขตอื่นๆในจอร์เจียเป็นวงกว้างเกินจำเป็น

    ประธานาธิบดีบุชก็ได้ข่าวการโจมตีเช่นกัน (ด้วยความยินดี เพราะอเมริกาอยู่เบื้องหลังในการนี้) รีบมากระซิบปูตินด้วยท่าทางอิ่มเอมใจว่า….เราจะอยู่เคียงข้างพวกเขา
    “พวกเขา” บุชหมายถึง จอร์เจีย……
    ที่รัสเซียรู้อยู่เต็มอกว่า อเมริกาได้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล MS
    มีการฝึกทหารร่วมกัน และ สัญญาในเรื่องเข้าสู่ NATO เพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงรัสเซีย

    แต่สิ่งที่ MS ไม่รู้ว่า การที่เอาอกเอาใจอเมริกาถึงขั้นส่งทหารไปช่วยรบในอิรักนั้น……เสียเปล่า……
    เรื่องที่ อเมริกาหรือนาโต้จะเข้ามาช่วยทำสงครามกับรัสเซียเพื่อจอร์เจียนั้น……เป็นความฝันล้วนๆ
    ในช่วงพิธีเปิดงานใน “ Bird Nest” สเตเดี้ยม……บุชและล่ามได้ขอเลื่อนตัวมานั่งใกล้ๆกับปูติน ทักทายกับตามปรกติ
    บุชเอียงหน้ามากระซิบว่า
    “ผมได้ข่าวมาว่า MS เป็นคนเลือดร้อน คราวนี้ถ้าจะเอาจริง”
    “เหรอ…งั้นก็เหมือนผมเลย เลือดร้อนเหมือนกัน ร้อนระเบิดเลย”
    “ใครบอก……นายเป็นคน “เลือดเย็น” ต่างหาก” บุชประชด……

    วันรุ่งขึ้น ปูตินบินกลับรัสเซีย แต่ไม่ใช่มอสโคว์ เขาไปที่ North Ossetia ที่กองทัพตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ และคราวนี้คือการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด คือ ยึดคืนดินแดนในส่วนนี้อย่างเด็ดขาด
    ทางจอร์เจียที่หวังว่า นาโต้และอเมริกาจะมาช่วย เพราะเคยได้ให้ความหวังไว้ถึงขั้นมาช่วยฝึกให้ ……ไม่เห็นมา..!!
    เลยต้องร้องขอไป.……
    สิ่งที่อเมริกาทำได้ คือ……จัดเที่ยวบินส่งทหารจอร์เจียสองพันคนที่ไปช่วยในอิรักกลับมา……และเพิ่มอาวุธแถมมาให้อีกนิดหน่อย
    และให้เที่ยวบินนั้น……รับทหารอเมริกันที่มาช่วยฝึกที่ตกค้างอยู่กลับไป.……โดยอ้างว่า……ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง
    กองทัพรัสเซียตีหนักไปถึงยังเมืองหลวง Tbilisi ที่ในที่สุด
    MD ต้องยอมขอเจรจาสงบศึก…
    ผลคือ จอร์เจียต้องรับรองเอกราชของสองเขต South Ossetia
    และ Abkhazia และต้องเอาโทษกับประธานาธิบดี MS
    โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซาร์โกซี่มาเป็นตัวกลางเจรจา
    ในขณะที่คน “เลือดเย็น” กำลังกัดกราม ว่า……
    “มันจะต้องถูกแขวนคอสถานเดียว”

    ซาร์โกซี่รีบค้าน…
    “อย่าถึงขึ้นเอาโทษกับ MS เลย เพราะเขาได้รับเลือกตั้งมา ประชาชนชาวโลกจะคิดอย่างไร?
    ปูตินย้อนทันทีว่า……
    “ก็แล้วไง……อเมริกายังแขวนคอซัดดัม ฮุสเซนได้เลยนี่…!!!”
    แต่ทางฝรั่งเศสได้มีลิ้นเจรจาทางการทูต ได้สยบอารมณ์ของปูตินว่า……
    “แล้วนายอยากจะให้ชื่อมีจดจำในประวัติศาสตร์แบบบุชพ่อ
    บุชลูกหรือ..?!!

    สรุปว่า ดินแดนทั้งสองส่วนนี้ เป็นเอกราชจากจอร์เจีย มีประธานาธิบดีของตัวเอง (แต่ในความสนับสนุนของรัสเซีย) รัสเซียถอนทหารออกจากพื้นที่……
    ทั้งหมดใช้เวลารบเพียง ห้าวัน……(รวมเจรจาด้วย 12 วัน คือ 1-12 สิงหาคม 2008)

    ~~เรื่องราวของจอร์เจีย คือ หนังที่ฉายซ้ำกับยูเครนในตอนนี้ และถ้าอเมริกาได้สร้างตัวอย่างว่าช่วยเหลือจริงจังกับจอร์เจียถึงขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย……หลายคนเชื่อว่า ปูตินคงต้องคิดหนักในการยึดไครเมีย……

    ในช่วงปลายปีนั้น ทางอเมริกาได้มีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Barack Obama อันเป็นสิ้นสุดของบุช
    ซึ่งทางเมดเวเดฟ……ได้ออกแถลงการณ์อย่างหนักแน่นว่า
    สงครามในจอร์เจียคือผลพวงของการแทรกแซงของอเมริกาที่พยายามจะเข้ามาตั้งฐานทัพในพื้นที่รอบรัสเซีย และ มันเป็นการผลักดันที่รัสเซียจะต้องตอบโต้ด้วยการสร้างฐานนิวเคลียร์ที่ Kaliningrad

    หลังจากสงครามจอร์เจีย……เศรษฐกิจของรัสเซียบูมขึ้นมาในทุกอย่าง พลังงานราคาขึ้น ส่งออกทุกชนิดตั้งแต่โลหะ อาหารจนถึงเฟอร์นิเจอร์ จนรัสเซียได้จ่ายหนี้ได้หมด รวมทั้งมีเงินในคลังเป็นแสนๆล้าน และเงินคงคลังอีกจำนวนมหาศาล

    แต่นั่นคือ….แสงสว่างก่อนที่พายุมืดคล้ำกำลังจะเข้ามา…ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน….!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วววว……ติ่งขา……อาลีนาที่หนูอยากได้……รบเป็นรบ รักเป็นรักนะ พี่ปูเนี่ยยย……!!! ตอนสิบแปด……ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ……รัสเซียทุบทุกงาน…!!! ในที่สุดปูตินแก้ความสงสัยให้กับทุกคน…หลังจากที่พรรคของเขาได้รับคะแนนถล่มทะลายในสภาตอนเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภาในปลายปี ว่า…แคนดิเดทที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป คือ Dmitry Medvedev ส่วนตัวเขาจะไปนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน…… ซึ่งเป็นแผนงานที่รู้กันเพียงไม่กี่คน…… แต่ในแวดวงข้างนอก……ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนคิดว่า ปูตินจะต้องลงจากอำนาจ ……และ คนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง เช่น Mikhail Fradkov (นายกรัฐมนตรี) ฝ่ายตรงข้ามเริ่มขุดคุ้ย โจมตีปูตินด้วยการลงข่าวดิสเครดิตรายวัน เช่นเมื่อ วันที่ 11 เมษายน 2008 สามอาทิตย์ก่อนที่เมดเดเวฟจะขึ้นทำพิธีสาบานตน หนังสือพิมพ์รายวันของมอสโคว์ ในคอลัมน์ของ Sergei Topol ได้กระแซะด้วยข้อความแบบซุบซิบเล็กๆเพียง 641 คำ…… แต่มันเหมือนระเบิดลงในสนามข่าว ที่ไตเติ้ลเขียนว่า “The Sarkozy Syndrome” หรือ อาการโรคซาร์โกซี่ระบาด คือ นาย Nicholas Sarkozy คือประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มากรัก เขาแต่งงาน แล้วหย่า แล้วแต่ง แล้วหย่า ที่เพิ่งหย่าไปกับภรรยาคนที่สาม ประธานาธิบดีปูตินของเรามั่นคงกับภรรยาเดียวมาตลอดการครองตำแหน่งผู้นำ……แต่เมื่อท่านจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว……บางอย่างอาจเปลี่ยนไปก็ได้..” ข่าวนี้กระเทือนไปทั่ว ทั้งความอยากรู้ของประชาชนและคนในแวดวงการเมือง เพราะมันก็คือความจริง……ที่ปูตินได้หย่ากับลุดมิลาไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา……และที่เป็นรู้กันในวงในว่า เขามีแผนที่จะแต่งงานใหม่กับ Alina Kabayeva ยิมนาสติกเหรียญทองที่เป็นขวัญใจของประชาชนในเดือนมิถุนายน และได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2002 ในช่วงการหาเสียงของ 2007 เธอก็ยังปรากฎตัวในที่ต่างๆพร้อมๆกับกลุ่มแถวหน้าของพรรค ตั้งแต่ปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้เก็บทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวไว้เป็นความลับ ลูกสาวทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างส่วนตัว เงียบๆมีหน่วยอารักขาตลอดเวลา ไม่มีการออกข่าวใดๆ ทั้งคู่เรียนดนตรีที่ปูตินชอบ คือ ไวโอลินและเปียโน และได้ทำเพลงบรรจุซีดีให้พ่อไว้ฟัง……นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเพลินเพลินในยามว่าง และก่อนนอน ลุดมิลา……ไม่เคยชอบชีวิตของการเป็นจุดสนใจ เธอทำหน้าที่ของสตรีหมายเลขหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศกับปูติน แต่เมื่อกลับมาอยู่ในรัสเซีย เธอทำงานทางด้านการสอนภาษาให้กับโครงการชาวรัสเซียชนบทที่อยู่ชายแดนของประเทศที่ถูกเฉือนออกไปเมื่อโซเวียตล่มสลาย ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบความกลไกของครอบครัวรัสเชี่ยนทั่วไป……แต่นับวันยิ่งห่างเหิน…… ปูตินตามที่ลุดมิลาเลยปรับทุกข์ให้เพื่อนฟัง คือ มีแอบเจ้าชู้ เคยพานักข่าวสาวสวยไปทานอาหารกลางวันเมื่อครั้งที่เริ่มฉายแสงในการเมืองมอสโคว์ แต่…ไม่มีใครกล้าลงในดีเทล เพราะในยุคนั้นท่านผู้นำจะต้องไม่มีเรื่องด่างพล้อยใดๆในชีวิตครอบครัว แต่มาถึงยุคที่เป็นข่าว……ตอนนั้นโลกเปลี่ยนไป เพราะผู้นำแต่ละคนล้วนแล้วแต่จี๊ดจ๊าด นอกจากซาร์โกซี่ แล้วยังมี บิล คลินตัน ตามด้วยสุดๆคือ Vaclav Havel ประธานาธิบดีแห่ง Czech Republic (ในตำแหน่ง 1993-2003) ที่พอเมียตายปุ๊บ ก็แต่งงานใหม่กับดาราแม่หม้ายที่มีบทหวือหวาโป๊เปลือยในปีต่อมาทันที แล้วเอามาปั้นแต่งให้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน…… หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปของข่าวที่ร้อนแรง ปูตินได้ไปเยือนอิตาลี และนักข่าวอิตาเลี่ยนได้ยิงคำถามนี้ขึ้นมา ว่า จริงเท็จประการใด? ปูตินที่เคยปิดปากสนิทเลี่ยงที่จะไม่พูดต่อไปไม่ได้ เขาตอบว่า “ทุกอย่างที่คุณได้ข่าวมา ไม่ใช่ความจริง ในเรื่องที่ลูกๆผมได้ย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน แล้วเรื่องผู้หญิง……ผมไม่ปฏิเสธว่าผมชอบผู้หญิงรัสเซีย เพราะผู้หญิงของเราเก่งกาจและสวยที่สุด.. เรียกว่า เทียบได้กับสาวๆอิตาเลี่ยนได้เลย……” ตอนนี้นักข่าวสาวอิตาเลี่ยนปรบมือแบบถูกอกถูกใจ เขาพูดต่อไปว่า… “แต่ในเมื่อผมเป็นนักการเมือง ชีวิตก็เหมือนกับอยู่ในบ้านเรือนแก้ว ที่ใครๆก็มองเห็นได้ แต่มันก็ควรที่จะมีขอบเขตของ ความเป็นส่วนตัวบ้าง ในตรงนี้…ผมขอ……ขอมีชีวิตส่วนตัวที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ…เรามาคุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า เช่นสงครามในเชเชน…โอเค๊..!!!” ในวันเดียวกันนั้นที่เขากลับไปยังรัสเซีย…หนังสือพิมพ์เจ้ากรรมที่เป็นต้นตอข่าว ได้ประกาศปิดตัวลงเพราะสภาพคล่อง…… แต่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสาเหตุ…!!!! ไม่มีใครรู้ว่า ความสัมพันธ์ของปูตินกับอาลีนานั้นลึกซึ้งขนาดไหน แต่ดูได้จากระดับที่เธอก้าวขึ้นมาจากนักยิมเหรียญทองสู่เส้นสายทางการเมืองที่รุ่งขึ้นไปทุกที ในการเข้าเป็นกรรมการบอร์ดในหลายที่ เช่นธนาคาร, สื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ และเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานของกีฬาโอลิมปิคใน Sochi ที่จะมาถึง เมื่อ Medvedev ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินก็เปรียบเสมือนเติ้งเสี่ยวผิงของจีน ที่เป็นมันสมองทั้งหมดของพรรคในช่วงห้าปีสุดท้ายของการอยู่ในตำแหน่งที่ได้พลิกผันประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ แต่ก่อนอื่น…ปูนินต้องจัดการกับเรื่องข่าวที่กวนใจก่อน โดยงานแรกของเมดเวเดพที่จะต้องทำคือ ออกกฎหมายเรื่องของการหมิ่นประมาทโดยสื่อที่ทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียง มีการเพิ่มโทษทั้งปรับทั้งจำขั้นสูงสุด ในวันที่ 7 สิงหาคม 2008 ที่ประธานาธิบดีคนใหม่หมาดๆเพียงสามอาทิตย์กำลังไปพักผ่อนล่องเรือที่ Volga River ในเขตเมือง Kazan ตอนตีหนึ่งของวันที่ 8 เขาได้รับโทรศัพท์ด่วนจากกลาโหมว่า Mikhail Saakachvili ประธานาธิบดีสาธารณรัฐ Georgia (โปรตะวันตก) ได้ส่งทหารทำการบุกพื้นที่ทางใต้ คือ South Ossetia ซึ่งอยู่ในเขตของจอร์เจียตามแผนที่ แต่ประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับจอร์เจีย เพราะโปรรัสเซีย รวมทั้ง เขต Abkhazia ทางฝั่งทะเลดำก็เช่นกัน ตามแผนที่ว เรื่องความขัดแย้งนี้เป็นมานานหลายปีแล้ว แต่มาประทุในตอนนี้เพราะ Mikhail Saakachvili (จะเรียกว่า MS) คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือเพราะปูตินไม่ได้เป็นปธน. แล้ว และเมดเวเดพก็ไม่น่าจะมีน้ำยาอะไร……หนุ่มใสซื่อ ที่ ฟังแต่เพลงร๊อค ทันที่ที่ทราบข่าว…เมดเวเดพรีบติดต่อถึงปูติน แต่เป็นช่วงที่ปูตินได้จากมอสโคว์ไปยังเบจิง เพื่อไปร่วมในงานเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พร้อมๆกับผู้นำชาติอื่นๆเช่น บุช จึงยังติดต่อไม่ได้……เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรลงไป จนทางผู้บัญชาการทหารบกได้โทรมาบอกว่า ตอนนี้ค่ายทหารของเราได้ถูกโจมตีหนัก เขาจึงตัดสินใจตอบไปว่า…”ส่งกำลังเข้าบุกเดี๋ยวนี้…!!!” กองทัพรัสเซียที่รอฟังคำสั่งมาสองวัน จึงถาโถมเข้าพร้อมกันทั้งบกและอากาศเข้าตีทุกทาง… ข่าวได้ถึงปูตินหลังจากที่รัสเซียเคลื่อนทัพสู่จอร์เจีย สิ่งแรกคือ.……เขาโกรธ MS แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่บังอาจใช้เวลาที่เขาเดินทางไกล……เข้าดำเนินการ และฉุนเมดเวเดฟที่ไม่ทำการวางแผนทำศึก สั่งบุกแบบสั้นๆ ปรากฏว่า กองทัพอากาศรัสเซียได้เข้าโจมตีถล่มไปถึงเขตอื่นๆในจอร์เจียเป็นวงกว้างเกินจำเป็น ประธานาธิบดีบุชก็ได้ข่าวการโจมตีเช่นกัน (ด้วยความยินดี เพราะอเมริกาอยู่เบื้องหลังในการนี้) รีบมากระซิบปูตินด้วยท่าทางอิ่มเอมใจว่า….เราจะอยู่เคียงข้างพวกเขา “พวกเขา” บุชหมายถึง จอร์เจีย…… ที่รัสเซียรู้อยู่เต็มอกว่า อเมริกาได้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล MS มีการฝึกทหารร่วมกัน และ สัญญาในเรื่องเข้าสู่ NATO เพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงรัสเซีย แต่สิ่งที่ MS ไม่รู้ว่า การที่เอาอกเอาใจอเมริกาถึงขั้นส่งทหารไปช่วยรบในอิรักนั้น……เสียเปล่า…… เรื่องที่ อเมริกาหรือนาโต้จะเข้ามาช่วยทำสงครามกับรัสเซียเพื่อจอร์เจียนั้น……เป็นความฝันล้วนๆ ในช่วงพิธีเปิดงานใน “ Bird Nest” สเตเดี้ยม……บุชและล่ามได้ขอเลื่อนตัวมานั่งใกล้ๆกับปูติน ทักทายกับตามปรกติ บุชเอียงหน้ามากระซิบว่า “ผมได้ข่าวมาว่า MS เป็นคนเลือดร้อน คราวนี้ถ้าจะเอาจริง” “เหรอ…งั้นก็เหมือนผมเลย เลือดร้อนเหมือนกัน ร้อนระเบิดเลย” “ใครบอก……นายเป็นคน “เลือดเย็น” ต่างหาก” บุชประชด…… วันรุ่งขึ้น ปูตินบินกลับรัสเซีย แต่ไม่ใช่มอสโคว์ เขาไปที่ North Ossetia ที่กองทัพตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ และคราวนี้คือการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด คือ ยึดคืนดินแดนในส่วนนี้อย่างเด็ดขาด ทางจอร์เจียที่หวังว่า นาโต้และอเมริกาจะมาช่วย เพราะเคยได้ให้ความหวังไว้ถึงขั้นมาช่วยฝึกให้ ……ไม่เห็นมา..!! เลยต้องร้องขอไป.…… สิ่งที่อเมริกาทำได้ คือ……จัดเที่ยวบินส่งทหารจอร์เจียสองพันคนที่ไปช่วยในอิรักกลับมา……และเพิ่มอาวุธแถมมาให้อีกนิดหน่อย และให้เที่ยวบินนั้น……รับทหารอเมริกันที่มาช่วยฝึกที่ตกค้างอยู่กลับไป.……โดยอ้างว่า……ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง กองทัพรัสเซียตีหนักไปถึงยังเมืองหลวง Tbilisi ที่ในที่สุด MD ต้องยอมขอเจรจาสงบศึก… ผลคือ จอร์เจียต้องรับรองเอกราชของสองเขต South Ossetia และ Abkhazia และต้องเอาโทษกับประธานาธิบดี MS โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซาร์โกซี่มาเป็นตัวกลางเจรจา ในขณะที่คน “เลือดเย็น” กำลังกัดกราม ว่า…… “มันจะต้องถูกแขวนคอสถานเดียว” ซาร์โกซี่รีบค้าน… “อย่าถึงขึ้นเอาโทษกับ MS เลย เพราะเขาได้รับเลือกตั้งมา ประชาชนชาวโลกจะคิดอย่างไร? ปูตินย้อนทันทีว่า…… “ก็แล้วไง……อเมริกายังแขวนคอซัดดัม ฮุสเซนได้เลยนี่…!!!” แต่ทางฝรั่งเศสได้มีลิ้นเจรจาทางการทูต ได้สยบอารมณ์ของปูตินว่า…… “แล้วนายอยากจะให้ชื่อมีจดจำในประวัติศาสตร์แบบบุชพ่อ บุชลูกหรือ..?!! สรุปว่า ดินแดนทั้งสองส่วนนี้ เป็นเอกราชจากจอร์เจีย มีประธานาธิบดีของตัวเอง (แต่ในความสนับสนุนของรัสเซีย) รัสเซียถอนทหารออกจากพื้นที่…… ทั้งหมดใช้เวลารบเพียง ห้าวัน……(รวมเจรจาด้วย 12 วัน คือ 1-12 สิงหาคม 2008) ~~เรื่องราวของจอร์เจีย คือ หนังที่ฉายซ้ำกับยูเครนในตอนนี้ และถ้าอเมริกาได้สร้างตัวอย่างว่าช่วยเหลือจริงจังกับจอร์เจียถึงขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย……หลายคนเชื่อว่า ปูตินคงต้องคิดหนักในการยึดไครเมีย…… ในช่วงปลายปีนั้น ทางอเมริกาได้มีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Barack Obama อันเป็นสิ้นสุดของบุช ซึ่งทางเมดเวเดฟ……ได้ออกแถลงการณ์อย่างหนักแน่นว่า สงครามในจอร์เจียคือผลพวงของการแทรกแซงของอเมริกาที่พยายามจะเข้ามาตั้งฐานทัพในพื้นที่รอบรัสเซีย และ มันเป็นการผลักดันที่รัสเซียจะต้องตอบโต้ด้วยการสร้างฐานนิวเคลียร์ที่ Kaliningrad หลังจากสงครามจอร์เจีย……เศรษฐกิจของรัสเซียบูมขึ้นมาในทุกอย่าง พลังงานราคาขึ้น ส่งออกทุกชนิดตั้งแต่โลหะ อาหารจนถึงเฟอร์นิเจอร์ จนรัสเซียได้จ่ายหนี้ได้หมด รวมทั้งมีเงินในคลังเป็นแสนๆล้าน และเงินคงคลังอีกจำนวนมหาศาล แต่นั่นคือ….แสงสว่างก่อนที่พายุมืดคล้ำกำลังจะเข้ามา…ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน….!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 739 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!!

    ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!!

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
    หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน
    ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall
    โดยเริ่มต้นว่า……
    “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน……
    ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป
    แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย
    ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร…
    ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…”

    ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008)
    ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft
    ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว
    มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ

    ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้…
    ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้)
    ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ

    มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง
    ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ
    (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน)
    คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย

    ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา
    เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ
    ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้
    และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์
    เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน
    เขายังร่ายยาวต่อไป
    ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว

    ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์
    พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่
    ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า
    “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!”
    เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย
    ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด

    เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

    ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย
    ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน
    หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย
    ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม
    โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง
    ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า
    “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…”
    แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง

    ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา
    นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า
    อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง
    ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!!

    อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps,
    AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon
    ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย

    ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ
    MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค
    จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว
    ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!!
    MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!!

    ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK)
    ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร
    กับใคร และเมื่อไหร่
    ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK)
    ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว
    ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ
    วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว
    วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์

    การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว
    แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย
    พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป…

    ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต
    นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล

    คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท
    ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์
    สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง

    ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า
    “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……”

    ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak
    ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น
    ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก
    อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000
    แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
    เสียชีวิต……
    ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ….
    และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!! ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!! วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall โดยเริ่มต้นว่า…… “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน…… ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร… ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…” ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008) ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้… ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้) ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน) คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้ และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์ เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน เขายังร่ายยาวต่อไป ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์ พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่ ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!” เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…” แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!! อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps, AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!! MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!! ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK) ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร กับใคร และเมื่อไหร่ ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK) ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์ การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป… ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……” ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000 แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิต…… ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ…. และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 634 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19-09-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.40 ชื่อตอนว่า "FCUKING DAMN GOOD KILL(THEM ALL)" ดาหน้าตายห่ารายวัน แข่งทำยอดทะลุเป้า มรึงจะแข่งกันไปโอลิมปิคเหรอ? ระเบิดเพจเจอร์ แผนกิ๊กก๊อก! "สิ้นคิด" ที่เดรัจฉานมันจนตรอก ตั้งใจยั่วโมโหอิหร่าน เลบานอนโดยเฮซบอเลาะห์บอก "เดี๋ยวมรึงได้ตายห่าเป็นหมู่คณะแน่" แค่เพจเจอร์ ประปราย เจอพลีชีพไดนาไมค์อีกรอบ คราวนี้ เอาศูนย์การเยรูซาเล็มแม่งซะเลย! ชัดเจนแล้วว่า "อียิวสู้ตายถวายหัว แล้วจะได้ตายห่าสมใจนึกวังบูรพา" อย่าคิดว่าเหี้ยมะกันอยู่ไกลแล้วจะรอด มรึงรอดูระเบิดโผล่กลางเมืองให้ดีดี ทุกรัฐในอเมริกามีชุมชนมุสลิมหมดเกลี้ยง จะรัฐไหน ต้องไปเสี่ยงทายเอาเอง? เมื่อเกมส์มันเปลี่ยนจากสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ เพราะแพ้ยับ หันมาก่อการร้ายแทน ซึ่งเหี้ย C มันก็ทำประจำอยู่แล้ว เหี้ยมา เหี้ยกลับไม่มีโกง ทหารยิวตายห่าวันละ 1000 ยังไม่หนำใจมรึงอีกเหรอ? อยากได้วันละ 10000 ก็ไม่บอก? จะรีบชิงไปตายห่ากันไปถึงไหน? มรึงดูสิ่งที่เหี้ยมันทำ ใช้เพจเจอร์ ไม่สามารถบรรลุเป้าใหญ่ได้ เพจเจอร์ระเบิดไป 2800 เครื่อง ตายห่าแค่ 9 มันจะได้อะไร สู้ทหารไม่ได้ เก่งแต่ไล่ฆ่าประชาชน นี่คือ "อียิว" เป้าหมายคือ "ท้าชนอิหร่าน เลบานอน" ไอ้ที่มรึงโดนทุกวันเนี่ย ตายห่าในสมรภูมิรบยังไม่พอ จะลากความตายให้เข้าสู่ชุมชนเมือง หวังลากประชากรควายยิวให้เข้าสู่สงครามเต็มตัว ให้เห็นด้วยกับสงคราม ทั้งๆ ที่มรึงเป็นคนเริ่มก่อสงครามเอง นี่แหละ สูตรสำเร็จความใคร่อีเหี้ยตอแหลจัญไรโลก ไม่มีไอ้อีหน้าไหน ระยำสลัดหมาได้เท่า "อียิว" อีกแล้ว เรื่องเหี้ยๆ มันเอาหมด! สโนว์เดนแฉยับ แผนใช้ระเบิดเพจเจอร์ มีมานานแล้ว เหี้ย C คือตัวการ สั่งการระเบิดโดยผ่านแบตเตอรี่ ส่งสัญญานรบกวน SOFTWARE ในเครื่องให้ร้อนจัดกระทันหัน ฆ่าได้ไม่กี่คน? แต่สิ่งที่จะตามมาคือ "โลกอาหรับ มุสลิม จะไม่หันไปใช้อุปกรณ์สื่อสารของตะวันตกอีกตลอดไป" ใครเจ๊งล่ะ? แผนใช้ครั้งเดียว ฉิบหายทั้งอุตสาหกรรม มันไม่ใช่โง่ดอก แต่มันต้องการล่มสลายทั้งโลก ทำลายทุกอย่าง เศรษฐกิจ การค้า การคลัง การเงิน ตลาดหุ้น โลจิสติค เอาให้เจ๊งกันหมดทั้งโลก เพื่อเป้าหมายเดียว "มาฆ่ากันเหอะ" กูไม่ยอมตายเดี่ยวอยู่แล้ว ข้ามวิกแป๊บ : ยามเมื่อแสงสาดส่อง สิ่งโสมมก็อยู่ไม่ได้ หลังอสส.สั่งฟ้อง 8 เจ้าหน้าที่ขนย้ายผู้ชุมนุมหน้าสภ.ตากใบ ปกติอีอัยกวย ไม่ทำห่าอะไรดอก วันวันจ้องจะหาแดร๊ก แต่งานนี้ใบสั่ง เดินเช็คบิลของเก่าให้ราบคาบ คดีตากใบ ที่วิญญานเหล่าวีรชนรอคอยการพิพากษาจากสวรรค์ ดอกนี้ มันจะส่งไปถึงคำสั่งฆ่า วิสามัญโดยตั้งใจไว้ก่อนแล้ว ใครเป็นนายกฯ ยุคนั้นกันล่ะ? ทำไมเค้าจะสาวไส้ไม่ถึง หลักฐานคามือมานานแล้ว แค่รอเวลาเช็คบิล ยามขาลง หมาไม่แล ทุกอย่างจะถูกเรียกคืนทั้งหมด อีเหลี่ยมเหี้ยมันไม่ได้กลัวคุกดอก เพราะมันไม่คิดจะอยู่ชัวร์ เผ่นแน่นอน ไม่จ่ายก็ต้องเผ่น ไปคนเดียวก็ไม่ได้ ลูกหลานเป็นตัวประกัน ต้องเอาไปทั้งโคตรเดรัจฉานตระกูล เพื่อไม่ให้เอามาต่อรองได้ แล้วค่อยไปตายห่านอกแผ่นดินไทย คดีตากใบ ใครก็ไม่รู้ สั่งให้รื้อ สั่งให้เคลียร์ทุกอย่างชัดเจน ใครเอี่ยวไม่เอี่ยว ใครมีส่วนฆ่าคนใต้หัวใจรักชาติ มรึงไม่รอด ใครไม่ทำ ใครละเว้นปฎิบัติหน้าที่ สั่งเชือดทันที ที่มาอีอัยกวยถึงได้ดิ้นพล่านช่วงนี้ เปิดคดี รื้อคดีกันเป็นว่าเล่น คนที่คุณคิดว่าไม่น่าจะใช่ คือคนบีบเกมส์อัยกวยเอง "ทหารสั่ง" โดยเฉพาะทหารที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ อุ๊ปส์! วันนี้อารมณ์ดี จะเผยแผนสวรรค์ให้รู้ 1 ข้อ หลายคนนึกไม่ออก มองไม่ทะลุ ว่าจะจัดการนักการเมืองชั่วในแผ่นดินนี้ยังไง ทหารเค้าเดินหมากล้ำลึกกว่านั้นเยอะ มรึงมองว่ายาก แต่ทหารมองว่าง่ายนิดเดียว แค่โดนคดีติดตัว แค่ยึดทรัพย์ทั้งหมด มรึงคิดว่ามันจะอยู่ให้โง่เหรอ? เผ่นกันออกนอกหมดทั้งคอก พร้อมเงินบาปเท่าที่เก็บได้นั่นแหละ เสธ.แดง ถูกมอบหมายให้มากวาดล้างบางไอ้อีหนักแผ่นดิน และอีจัญไรขายชาติ อีเหลี่ยมชั่วทั้งตระกูล มือไม่ถึงทำไม่ได้ ใจไม่เด็ดเดี่ยว ทำไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินนักการเมืองที่โกงมา ที่ซื้อไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ดิน ใบตราสารหนี้ หุ้น สังหาริมทรัพย์ ทั้งหมด รัฐยึดคืนได้โดยถูกกฎหมาย หลักศาลไคฟงมอบตราประทับให้เบ็ดเสร็จ งานนี้ ศาล กองทัพ วัง เค้าคุมเกมส์เบ็ดเสร็จนานแล้ว มรึงคิดว่าการที่อีเหลี่ยมชั่วกลับมาได้ ลุงตู่ไปกวักมือเรียกเข้ามาเพื่ออะไรกันล่ะ? เป้าหมายคือยึดทรัพย์สินคืนแผ่นดิน นี่คือคีย์ของเรื่องราวทั้งหมด แหล่งฟอกเงินของนักการเมืองทั้งหมด มีเหรอ ทหารไม่รู้? เค้าจ้องกันมาหลายปีแล้ว อะไรที่เหี้ยมันหวงที่สุด นั่นคือ "ทรัพย์สิน" ไงล่ะ เด็ดหัวใจเหี้ยออกมา เดี๋ยวมันเผ่นไปเอง ไม่ต้องไล่? มรึงรู้มั้ยว่า ทำไมทหารถึงจ้องตรงนี้ เพราะเปิดโพยดู ไอ้สัส ทรัพย์สินนักการเมืองในไทย มีรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านบาท เงินเอามาจากไหนกันล่ะ? ล้างบางประเทศ คือยึดทรัพย์ ไล่นักการเมืองเหี้ยออกไป กำจัดสายป่านขบวนการขายชาติ แยกดินแดน ทั้งหมด อยู่ในแผนนานแล้ว! แค่รอโอกาสที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม ก็เวลานี้แหละ! ดูกันต่อไป อสรพิษโผล่ชัวร์ เหี้ยหางโผล่หมดแล้ว เผยไต๋หมดสิ้น เกมส์นี้ มือต้องถึง ใจต้องหนักแน่น ไม่พูดเยอะ "ฆ่าอย่างเดียว"

    ปล.สัญญานชัด เหี้ยเข้าสู่วิกฤตแล้ว เล่นทุกดอก เอาทุกเม็ด ไม่สนวิธีการ เพราะภาพสวยงามที่โลกจดจำ มันไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้ว ขั้วใหม่เดินหมากชั้นสูง จะฆ่าอเมริกา ต้องล่ออียิว เพราะขี้ข้ายังไงก็ต้องช่วยนายใหญ่ พากันลงเหวดิ่งนรกทั้งหมู่คณะ ขั้วใหม่ ฆ่าอย่างเลือดเย็น ทำลายทุกอย่างที่อียิวสร้างเอาไว้ อาณาจักรมรึงล่มสลายชัวร์ ไปสร้างรัฐยิวใหม่ต่อน่ะ เดี๋ยวค่อยตามไปถล่มภายหลัง อีก 100 ปี แก้แค้นก็ยังไม่สาย? ล่าสุด อียิวขาดแคลนทุกอย่าง แม้แต่นายพล แม้แต่อังกฤษ อเมริกา นายพลระดับสั่งการก็ขาดแคลนหนัก เพราะไปติดอยู่ที่สวนสัตว์มอสโคว์ซะเยอะ เมื่อเดินเกมส์สงครามเต็มรูปแบบไม่ได้ ยิวก็ใช้วิธีที่มันถนัดคือก่อการร้ายไงล่ะ? ซึ่งมาทรงนี้ เข้าทางตรีน 3 ฮอ ทันที เหี้ยแค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีน "ฮามาส ฮูตี เฮซบอเลาะห์" เพราะกูฆ่ามาเยอะแล้ว ตายห่าเป็นหมื่น โปรดดูวิธีการต่อสู้ รัสเซียใช้ทหารรับจ้าง WAGNER ภายใต้กองทัพ Z จัดการทหารนาโต้ ทหารรับจ้างเหี้ยมะกัน ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านส่งเยเมนศิษย์หนองปลาไหล เลบานอนส่งเฮซบอเลาะห์ศิษย์ฉมวกขาว ปาเลสไตน์ส่งฮามาสศิษย์หนองปลาดู่ เข้าประกวด เหี้ยขี้ตรีนไอซิส ทหารอิสราเอล ทหารนาโต้ ตายห่าเกลื่อน ไม่ต้องนับศพ เพราะระเหยไปในอากาศ ครั้นพอจะหันมาล่อแปซิฟิค เจอทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน ร่วมซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงยังต้องให้แปลต่อมุย? เหี้ยมันกระจอกกว่าที่มรึงคิด ทุกอย่างที่มันทำ ทำได้แต่เรื่องปาหี่ ฆ่าได้แต่พลเรือน เก่งแต่เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ คนท้อง หมายังอายแทน! อียิวมันจนตรอกขั้นสูงสุดแล้ว สันดานโผล่ เหี้ยสุดกระดาน ไอ้ที่ออกมาประท้วงขับไล่อีแพะเนรคุณทันยา มันแค่สตรอรี่เอาตัวรอด? พวกมรึงต่างรู้เห็นการล้มตายของชาวปาเลสไตน์ต่อหน้าต่อตาทุกวัน พอความตายมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน เสือกจะล้างตัวเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น ไอ้สายพันธุ์ชาติชั่ว เลวระยำสลัดหมา อัปรีย์จัญไร ชิงหมามาเกิด? แม้แต่องค์กรเหี้ยสากลโลกยังอยู่ไม่ได้ มติอะไร เค้าก็ไม่สนแล้ว โลกเดินตามปูติน สีจิ้นผิงกันหมด แหกตาดูหน่อยน่ะ? อีเบียร์กระอักเลือด สั่งปิดพรมแดนเพื่อนบ้านแล้ว หนีปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่ยุคอีป้าแมร์เคิล นั่นคือเปิดศึกเข้าบ้านไงล่ะ ม้าไม้เมืองทรอย เข้ามาอยู่แล้วทำอะไรจ๊ะ? ก่อการร้ายไงจ๊ะ? ใครจ่ายจ๊ะ? ก็เหี้ยยิวไงจ๊ะ? บั่นทองความมั่นคงอีเบียร์เหรอจ๊ะ? ใช่ไงจ๊ะอีโง่! แล้วมรึงยังเสือกจะไปรับใช้อียิวอีกเหรอจ๊ะ? ใช่สิจ๊ะ เพราะผู้นำกูเป็นขี้ข้าใต้ตรีนยิวไงล่ะจ๊ะ? ประเทศมรึงก็จบแล้วสิจ๊ะ? จะไปเหลือเหรอจ๊ะ? ไปกันหมดทั้งยุโรปล่ะจ๊ะ? เพราะฉายา "อีโง่ยุโรป" ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยไงล่ะจ๊ะ? จับตาดูเกมส์ฆ่าล้างโคตรอียิว คนตายแค่ 9 คน หรือจะเป็นสิบก็ช่าง ระเบิดเพจเจอร์มันเก่าไปแล้ว งวดนี้ มรึงต้องได้แดร๊ก "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่าง" เท่านั้น เฮซบอเลาะห์ล็อคเป้า 3 เมืองใหญ่ เยรูซาเล็ม ไฮฟา เทลอาวีฟ ระเบิดพลีชีพต้องมา ไฮเปอร์โซนิคต้องแรง มรึงฆ่าพลเรือนกูเท่าไหร่ เดี๋ยวกูจัดหนักให้ 10 เท่า เสี้ยนจัดซะขนาดนี้ ไม่ต้องถึงมือลวกเพ่กูดอก แค่กูก็กระทืบมรึงตายคาตรีนได้สบาย สหบาทามาเต็ม เยเมน เลบานอน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ปาเลสไตน์ แม้แต่บางประเทศในแอฟริกาก็ประกาศท้ารบอียิวแล้ว มันส์ล่ะมรึง หากไม่มีรัสเซีย จีน เข้าร่วม มันก็แค่สงครามในภูมิภาค ยังไม่ใช่ WWIII อย่างที่อียิวต้องการ แก้เกมส์กันทันตาเห็น เพราะตอนนี้ ตะวันออกกลาง ไม่เหลือเป้าหมายให้ถล่มแล้ว พังราบคาบไปหมดเกลี้ยง ชุดใหญ่รัสเซีย จีน เค้าไปรวมตัวกันในแปซิฟิค เอเซียใต้หมดแล้ว เหี้ยดิ้นไม่หลุด ขั้วใหม่มีขุมกำลังมากกว่า และได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรบนานวัน BRICS ยิ่งโตจนห้ามไม่อยู่ สกัดไม่ได้! ด้านสงครามเศรษฐกิจ จีนเดินหน้าทุบอุตสาหกรรมตะวันตก และอีขี้ข้าทั้งหลาย เดินหน้าแผนเส้นทางสายไหม ตบหน้าอีแขกภาระตะ ไหนมรึงคิดจะวัดรอยตรีนกูไง? ตามมาเลยเพื่อน เดี๋ยวได้เห็น เส้นสายสายไหม กับเส้นทางโรตี ใครจะไปถึงฝั่งฝันก่อนกัน? แค่มรึงจับมือเหี้ยยิว ชีวิตก็เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว รอวัน BRICS ถีบออกอย่างเดียว อย่าซ่าส์ หากไม่แน่จริง อย่าคิดว่าแน่ หากยังต้องพึ่งพารัสเซีย จีน อยู่ บทเรียนไม่จำ

    ปล.2 COME ON.. คนระดับนี้ เป็นถึงเสธ.ทหาร ทหารราชองครักษ์ มีเหรอจะไม่รู้กฎระเบียบ วินัยมาเต็ม รู้ดีทุกอย่าง เคร่งครัดเสมอ แล้วทำไมถูกลงโทษ "ก็นายสั่งไงจ๊ะ" ทหารกล้าผู้เสียสละ ยอมเป็นแพะได้เสมอ เพื่อหมากที่วางไว้จะได้สมจริง รู้เท่านี้พอ.. ไอ้สัส!

    หมี CNN(ฆ่ากันทำไม? ได้อะไร? อะไรน่ะ อียิวมันเสี้ยนจัดขอมาเหรอ? แล้วไม่บอก จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลย อยากตายเป็นหมู่คณะก็ไม่บอก NATO EU มันไปไม่รอดแล้ว หนาวนี้มาแล้ว มรึงเตรียมโดนศึกหนัก ทั้งในและนอก ปล่อยให้มันฆ่ากันเองก่อน แล้วค่อยปูพรมเข้าไปยึดโดยคุณยายละม่อม ไม่ต้องเสียกระสุนซักนัด ยุโรปตีกันเละเทะ สภาพอย่างงี้ ยังจะรบ)
    19 กย. 67
    10.40 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172680852274555039
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    19-09-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.40 ชื่อตอนว่า "FCUKING DAMN GOOD KILL(THEM ALL)" ดาหน้าตายห่ารายวัน แข่งทำยอดทะลุเป้า มรึงจะแข่งกันไปโอลิมปิคเหรอ? ระเบิดเพจเจอร์ แผนกิ๊กก๊อก! "สิ้นคิด" ที่เดรัจฉานมันจนตรอก ตั้งใจยั่วโมโหอิหร่าน เลบานอนโดยเฮซบอเลาะห์บอก "เดี๋ยวมรึงได้ตายห่าเป็นหมู่คณะแน่" แค่เพจเจอร์ ประปราย เจอพลีชีพไดนาไมค์อีกรอบ คราวนี้ เอาศูนย์การเยรูซาเล็มแม่งซะเลย! ชัดเจนแล้วว่า "อียิวสู้ตายถวายหัว แล้วจะได้ตายห่าสมใจนึกวังบูรพา" อย่าคิดว่าเหี้ยมะกันอยู่ไกลแล้วจะรอด มรึงรอดูระเบิดโผล่กลางเมืองให้ดีดี ทุกรัฐในอเมริกามีชุมชนมุสลิมหมดเกลี้ยง จะรัฐไหน ต้องไปเสี่ยงทายเอาเอง? เมื่อเกมส์มันเปลี่ยนจากสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ เพราะแพ้ยับ หันมาก่อการร้ายแทน ซึ่งเหี้ย C มันก็ทำประจำอยู่แล้ว เหี้ยมา เหี้ยกลับไม่มีโกง ทหารยิวตายห่าวันละ 1000 ยังไม่หนำใจมรึงอีกเหรอ? อยากได้วันละ 10000 ก็ไม่บอก? จะรีบชิงไปตายห่ากันไปถึงไหน? มรึงดูสิ่งที่เหี้ยมันทำ ใช้เพจเจอร์ ไม่สามารถบรรลุเป้าใหญ่ได้ เพจเจอร์ระเบิดไป 2800 เครื่อง ตายห่าแค่ 9 มันจะได้อะไร สู้ทหารไม่ได้ เก่งแต่ไล่ฆ่าประชาชน นี่คือ "อียิว" เป้าหมายคือ "ท้าชนอิหร่าน เลบานอน" ไอ้ที่มรึงโดนทุกวันเนี่ย ตายห่าในสมรภูมิรบยังไม่พอ จะลากความตายให้เข้าสู่ชุมชนเมือง หวังลากประชากรควายยิวให้เข้าสู่สงครามเต็มตัว ให้เห็นด้วยกับสงคราม ทั้งๆ ที่มรึงเป็นคนเริ่มก่อสงครามเอง นี่แหละ สูตรสำเร็จความใคร่อีเหี้ยตอแหลจัญไรโลก ไม่มีไอ้อีหน้าไหน ระยำสลัดหมาได้เท่า "อียิว" อีกแล้ว เรื่องเหี้ยๆ มันเอาหมด! สโนว์เดนแฉยับ แผนใช้ระเบิดเพจเจอร์ มีมานานแล้ว เหี้ย C คือตัวการ สั่งการระเบิดโดยผ่านแบตเตอรี่ ส่งสัญญานรบกวน SOFTWARE ในเครื่องให้ร้อนจัดกระทันหัน ฆ่าได้ไม่กี่คน? แต่สิ่งที่จะตามมาคือ "โลกอาหรับ มุสลิม จะไม่หันไปใช้อุปกรณ์สื่อสารของตะวันตกอีกตลอดไป" ใครเจ๊งล่ะ? แผนใช้ครั้งเดียว ฉิบหายทั้งอุตสาหกรรม มันไม่ใช่โง่ดอก แต่มันต้องการล่มสลายทั้งโลก ทำลายทุกอย่าง เศรษฐกิจ การค้า การคลัง การเงิน ตลาดหุ้น โลจิสติค เอาให้เจ๊งกันหมดทั้งโลก เพื่อเป้าหมายเดียว "มาฆ่ากันเหอะ" กูไม่ยอมตายเดี่ยวอยู่แล้ว ข้ามวิกแป๊บ : ยามเมื่อแสงสาดส่อง สิ่งโสมมก็อยู่ไม่ได้ หลังอสส.สั่งฟ้อง 8 เจ้าหน้าที่ขนย้ายผู้ชุมนุมหน้าสภ.ตากใบ ปกติอีอัยกวย ไม่ทำห่าอะไรดอก วันวันจ้องจะหาแดร๊ก แต่งานนี้ใบสั่ง เดินเช็คบิลของเก่าให้ราบคาบ คดีตากใบ ที่วิญญานเหล่าวีรชนรอคอยการพิพากษาจากสวรรค์ ดอกนี้ มันจะส่งไปถึงคำสั่งฆ่า วิสามัญโดยตั้งใจไว้ก่อนแล้ว ใครเป็นนายกฯ ยุคนั้นกันล่ะ? ทำไมเค้าจะสาวไส้ไม่ถึง หลักฐานคามือมานานแล้ว แค่รอเวลาเช็คบิล ยามขาลง หมาไม่แล ทุกอย่างจะถูกเรียกคืนทั้งหมด อีเหลี่ยมเหี้ยมันไม่ได้กลัวคุกดอก เพราะมันไม่คิดจะอยู่ชัวร์ เผ่นแน่นอน ไม่จ่ายก็ต้องเผ่น ไปคนเดียวก็ไม่ได้ ลูกหลานเป็นตัวประกัน ต้องเอาไปทั้งโคตรเดรัจฉานตระกูล เพื่อไม่ให้เอามาต่อรองได้ แล้วค่อยไปตายห่านอกแผ่นดินไทย คดีตากใบ ใครก็ไม่รู้ สั่งให้รื้อ สั่งให้เคลียร์ทุกอย่างชัดเจน ใครเอี่ยวไม่เอี่ยว ใครมีส่วนฆ่าคนใต้หัวใจรักชาติ มรึงไม่รอด ใครไม่ทำ ใครละเว้นปฎิบัติหน้าที่ สั่งเชือดทันที ที่มาอีอัยกวยถึงได้ดิ้นพล่านช่วงนี้ เปิดคดี รื้อคดีกันเป็นว่าเล่น คนที่คุณคิดว่าไม่น่าจะใช่ คือคนบีบเกมส์อัยกวยเอง "ทหารสั่ง" โดยเฉพาะทหารที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ อุ๊ปส์! วันนี้อารมณ์ดี จะเผยแผนสวรรค์ให้รู้ 1 ข้อ หลายคนนึกไม่ออก มองไม่ทะลุ ว่าจะจัดการนักการเมืองชั่วในแผ่นดินนี้ยังไง ทหารเค้าเดินหมากล้ำลึกกว่านั้นเยอะ มรึงมองว่ายาก แต่ทหารมองว่าง่ายนิดเดียว แค่โดนคดีติดตัว แค่ยึดทรัพย์ทั้งหมด มรึงคิดว่ามันจะอยู่ให้โง่เหรอ? เผ่นกันออกนอกหมดทั้งคอก พร้อมเงินบาปเท่าที่เก็บได้นั่นแหละ เสธ.แดง ถูกมอบหมายให้มากวาดล้างบางไอ้อีหนักแผ่นดิน และอีจัญไรขายชาติ อีเหลี่ยมชั่วทั้งตระกูล มือไม่ถึงทำไม่ได้ ใจไม่เด็ดเดี่ยว ทำไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินนักการเมืองที่โกงมา ที่ซื้อไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ดิน ใบตราสารหนี้ หุ้น สังหาริมทรัพย์ ทั้งหมด รัฐยึดคืนได้โดยถูกกฎหมาย หลักศาลไคฟงมอบตราประทับให้เบ็ดเสร็จ งานนี้ ศาล กองทัพ วัง เค้าคุมเกมส์เบ็ดเสร็จนานแล้ว มรึงคิดว่าการที่อีเหลี่ยมชั่วกลับมาได้ ลุงตู่ไปกวักมือเรียกเข้ามาเพื่ออะไรกันล่ะ? เป้าหมายคือยึดทรัพย์สินคืนแผ่นดิน นี่คือคีย์ของเรื่องราวทั้งหมด แหล่งฟอกเงินของนักการเมืองทั้งหมด มีเหรอ ทหารไม่รู้? เค้าจ้องกันมาหลายปีแล้ว อะไรที่เหี้ยมันหวงที่สุด นั่นคือ "ทรัพย์สิน" ไงล่ะ เด็ดหัวใจเหี้ยออกมา เดี๋ยวมันเผ่นไปเอง ไม่ต้องไล่? มรึงรู้มั้ยว่า ทำไมทหารถึงจ้องตรงนี้ เพราะเปิดโพยดู ไอ้สัส ทรัพย์สินนักการเมืองในไทย มีรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านบาท เงินเอามาจากไหนกันล่ะ? ล้างบางประเทศ คือยึดทรัพย์ ไล่นักการเมืองเหี้ยออกไป กำจัดสายป่านขบวนการขายชาติ แยกดินแดน ทั้งหมด อยู่ในแผนนานแล้ว! แค่รอโอกาสที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม ก็เวลานี้แหละ! ดูกันต่อไป อสรพิษโผล่ชัวร์ เหี้ยหางโผล่หมดแล้ว เผยไต๋หมดสิ้น เกมส์นี้ มือต้องถึง ใจต้องหนักแน่น ไม่พูดเยอะ "ฆ่าอย่างเดียว" ปล.สัญญานชัด เหี้ยเข้าสู่วิกฤตแล้ว เล่นทุกดอก เอาทุกเม็ด ไม่สนวิธีการ เพราะภาพสวยงามที่โลกจดจำ มันไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้ว ขั้วใหม่เดินหมากชั้นสูง จะฆ่าอเมริกา ต้องล่ออียิว เพราะขี้ข้ายังไงก็ต้องช่วยนายใหญ่ พากันลงเหวดิ่งนรกทั้งหมู่คณะ ขั้วใหม่ ฆ่าอย่างเลือดเย็น ทำลายทุกอย่างที่อียิวสร้างเอาไว้ อาณาจักรมรึงล่มสลายชัวร์ ไปสร้างรัฐยิวใหม่ต่อน่ะ เดี๋ยวค่อยตามไปถล่มภายหลัง อีก 100 ปี แก้แค้นก็ยังไม่สาย? ล่าสุด อียิวขาดแคลนทุกอย่าง แม้แต่นายพล แม้แต่อังกฤษ อเมริกา นายพลระดับสั่งการก็ขาดแคลนหนัก เพราะไปติดอยู่ที่สวนสัตว์มอสโคว์ซะเยอะ เมื่อเดินเกมส์สงครามเต็มรูปแบบไม่ได้ ยิวก็ใช้วิธีที่มันถนัดคือก่อการร้ายไงล่ะ? ซึ่งมาทรงนี้ เข้าทางตรีน 3 ฮอ ทันที เหี้ยแค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีน "ฮามาส ฮูตี เฮซบอเลาะห์" เพราะกูฆ่ามาเยอะแล้ว ตายห่าเป็นหมื่น โปรดดูวิธีการต่อสู้ รัสเซียใช้ทหารรับจ้าง WAGNER ภายใต้กองทัพ Z จัดการทหารนาโต้ ทหารรับจ้างเหี้ยมะกัน ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านส่งเยเมนศิษย์หนองปลาไหล เลบานอนส่งเฮซบอเลาะห์ศิษย์ฉมวกขาว ปาเลสไตน์ส่งฮามาสศิษย์หนองปลาดู่ เข้าประกวด เหี้ยขี้ตรีนไอซิส ทหารอิสราเอล ทหารนาโต้ ตายห่าเกลื่อน ไม่ต้องนับศพ เพราะระเหยไปในอากาศ ครั้นพอจะหันมาล่อแปซิฟิค เจอทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน ร่วมซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงยังต้องให้แปลต่อมุย? เหี้ยมันกระจอกกว่าที่มรึงคิด ทุกอย่างที่มันทำ ทำได้แต่เรื่องปาหี่ ฆ่าได้แต่พลเรือน เก่งแต่เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ คนท้อง หมายังอายแทน! อียิวมันจนตรอกขั้นสูงสุดแล้ว สันดานโผล่ เหี้ยสุดกระดาน ไอ้ที่ออกมาประท้วงขับไล่อีแพะเนรคุณทันยา มันแค่สตรอรี่เอาตัวรอด? พวกมรึงต่างรู้เห็นการล้มตายของชาวปาเลสไตน์ต่อหน้าต่อตาทุกวัน พอความตายมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน เสือกจะล้างตัวเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น ไอ้สายพันธุ์ชาติชั่ว เลวระยำสลัดหมา อัปรีย์จัญไร ชิงหมามาเกิด? แม้แต่องค์กรเหี้ยสากลโลกยังอยู่ไม่ได้ มติอะไร เค้าก็ไม่สนแล้ว โลกเดินตามปูติน สีจิ้นผิงกันหมด แหกตาดูหน่อยน่ะ? อีเบียร์กระอักเลือด สั่งปิดพรมแดนเพื่อนบ้านแล้ว หนีปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่ยุคอีป้าแมร์เคิล นั่นคือเปิดศึกเข้าบ้านไงล่ะ ม้าไม้เมืองทรอย เข้ามาอยู่แล้วทำอะไรจ๊ะ? ก่อการร้ายไงจ๊ะ? ใครจ่ายจ๊ะ? ก็เหี้ยยิวไงจ๊ะ? บั่นทองความมั่นคงอีเบียร์เหรอจ๊ะ? ใช่ไงจ๊ะอีโง่! แล้วมรึงยังเสือกจะไปรับใช้อียิวอีกเหรอจ๊ะ? ใช่สิจ๊ะ เพราะผู้นำกูเป็นขี้ข้าใต้ตรีนยิวไงล่ะจ๊ะ? ประเทศมรึงก็จบแล้วสิจ๊ะ? จะไปเหลือเหรอจ๊ะ? ไปกันหมดทั้งยุโรปล่ะจ๊ะ? เพราะฉายา "อีโง่ยุโรป" ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยไงล่ะจ๊ะ? จับตาดูเกมส์ฆ่าล้างโคตรอียิว คนตายแค่ 9 คน หรือจะเป็นสิบก็ช่าง ระเบิดเพจเจอร์มันเก่าไปแล้ว งวดนี้ มรึงต้องได้แดร๊ก "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่าง" เท่านั้น เฮซบอเลาะห์ล็อคเป้า 3 เมืองใหญ่ เยรูซาเล็ม ไฮฟา เทลอาวีฟ ระเบิดพลีชีพต้องมา ไฮเปอร์โซนิคต้องแรง มรึงฆ่าพลเรือนกูเท่าไหร่ เดี๋ยวกูจัดหนักให้ 10 เท่า เสี้ยนจัดซะขนาดนี้ ไม่ต้องถึงมือลวกเพ่กูดอก แค่กูก็กระทืบมรึงตายคาตรีนได้สบาย สหบาทามาเต็ม เยเมน เลบานอน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ปาเลสไตน์ แม้แต่บางประเทศในแอฟริกาก็ประกาศท้ารบอียิวแล้ว มันส์ล่ะมรึง หากไม่มีรัสเซีย จีน เข้าร่วม มันก็แค่สงครามในภูมิภาค ยังไม่ใช่ WWIII อย่างที่อียิวต้องการ แก้เกมส์กันทันตาเห็น เพราะตอนนี้ ตะวันออกกลาง ไม่เหลือเป้าหมายให้ถล่มแล้ว พังราบคาบไปหมดเกลี้ยง ชุดใหญ่รัสเซีย จีน เค้าไปรวมตัวกันในแปซิฟิค เอเซียใต้หมดแล้ว เหี้ยดิ้นไม่หลุด ขั้วใหม่มีขุมกำลังมากกว่า และได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรบนานวัน BRICS ยิ่งโตจนห้ามไม่อยู่ สกัดไม่ได้! ด้านสงครามเศรษฐกิจ จีนเดินหน้าทุบอุตสาหกรรมตะวันตก และอีขี้ข้าทั้งหลาย เดินหน้าแผนเส้นทางสายไหม ตบหน้าอีแขกภาระตะ ไหนมรึงคิดจะวัดรอยตรีนกูไง? ตามมาเลยเพื่อน เดี๋ยวได้เห็น เส้นสายสายไหม กับเส้นทางโรตี ใครจะไปถึงฝั่งฝันก่อนกัน? แค่มรึงจับมือเหี้ยยิว ชีวิตก็เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว รอวัน BRICS ถีบออกอย่างเดียว อย่าซ่าส์ หากไม่แน่จริง อย่าคิดว่าแน่ หากยังต้องพึ่งพารัสเซีย จีน อยู่ บทเรียนไม่จำ ปล.2 COME ON.. คนระดับนี้ เป็นถึงเสธ.ทหาร ทหารราชองครักษ์ มีเหรอจะไม่รู้กฎระเบียบ วินัยมาเต็ม รู้ดีทุกอย่าง เคร่งครัดเสมอ แล้วทำไมถูกลงโทษ "ก็นายสั่งไงจ๊ะ" ทหารกล้าผู้เสียสละ ยอมเป็นแพะได้เสมอ เพื่อหมากที่วางไว้จะได้สมจริง รู้เท่านี้พอ.. ไอ้สัส! หมี CNN(ฆ่ากันทำไม? ได้อะไร? อะไรน่ะ อียิวมันเสี้ยนจัดขอมาเหรอ? แล้วไม่บอก จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลย อยากตายเป็นหมู่คณะก็ไม่บอก NATO EU มันไปไม่รอดแล้ว หนาวนี้มาแล้ว มรึงเตรียมโดนศึกหนัก ทั้งในและนอก ปล่อยให้มันฆ่ากันเองก่อน แล้วค่อยปูพรมเข้าไปยึดโดยคุณยายละม่อม ไม่ต้องเสียกระสุนซักนัด ยุโรปตีกันเละเทะ สภาพอย่างงี้ ยังจะรบ) 19 กย. 67 10.40 น. https://linevoom.line.me/post/1172680852274555039 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1409 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts