• "ทักษิณ" รู้ดีภาษีสหรัฐ หวังไทยได้เปรียบคู่แข่ง : [THE MESSAGE]

    นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ประชุมทีมไทยแลนด์ พร้อมทั้งทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งไทยถูกเก็บ 36% โดยมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุม ย้ำ สหรัฐเผยแพร่จดหมายเรียกเก็บภาษีจากไทย 36% เป็นการเลื่อนเวลา ยังไม่ได้เจรจาถึงที่สุด มีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค. นี้ เพื่อให้ได้ข้อยุติ หวังเราจะได้ในส่วนที่ไม่เสียเปรียบ สหรัฐแบ่งสินค้าเป็นสองสามประเภทใหญ่ๆ สินค้าทั่วไปเริ่ม 10% และสินค้าที่นำเข้ามาประกอบแล้วส่งออก ไทยเข้มงวดกวดขันส่วนนี้ ส่วนหากเป็นตัวเลข 25% แล้วเสียเปรียบก็ไม่วางเป้าที่ตัวเลขนี้ ส่วนที่นายทักษิณมาร่วมประชุมด้วย เพราะรู้เรื่องเหล่านี้ดีน่าจะให้ข้อคิดได้
    "ทักษิณ" รู้ดีภาษีสหรัฐ หวังไทยได้เปรียบคู่แข่ง : [THE MESSAGE] นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ประชุมทีมไทยแลนด์ พร้อมทั้งทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งไทยถูกเก็บ 36% โดยมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุม ย้ำ สหรัฐเผยแพร่จดหมายเรียกเก็บภาษีจากไทย 36% เป็นการเลื่อนเวลา ยังไม่ได้เจรจาถึงที่สุด มีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค. นี้ เพื่อให้ได้ข้อยุติ หวังเราจะได้ในส่วนที่ไม่เสียเปรียบ สหรัฐแบ่งสินค้าเป็นสองสามประเภทใหญ่ๆ สินค้าทั่วไปเริ่ม 10% และสินค้าที่นำเข้ามาประกอบแล้วส่งออก ไทยเข้มงวดกวดขันส่วนนี้ ส่วนหากเป็นตัวเลข 25% แล้วเสียเปรียบก็ไม่วางเป้าที่ตัวเลขนี้ ส่วนที่นายทักษิณมาร่วมประชุมด้วย เพราะรู้เรื่องเหล่านี้ดีน่าจะให้ข้อคิดได้
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 0 Reviews
  • “ทักษิณ” โผล่บ้านพิษณุโลก ร่วมวงถกรับมือภาษีสหรัฐฯ “พิชัย” แถลงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มแต่ต้องไม่กระทบคนไทย ตั้งเป้าภาษีไม่ให้น้อยกว่าคู่แข่ง บอกเชิญ “ทักษิณ” มาให้ข้อคิดเห็น แจงจดหมายทรัมป์เป็นการเลื่อนวันให้เรา เพราะยังไม่ได้เจราจาถึงที่สุด โดยฝ่ายไทยยื่นรายละเอียดไปแล้วตั้งแต่ 6 ก.ค.อาจต้องปรับปรุงและยื่นเพิ่มเติม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000065305

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ทักษิณ” โผล่บ้านพิษณุโลก ร่วมวงถกรับมือภาษีสหรัฐฯ “พิชัย” แถลงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มแต่ต้องไม่กระทบคนไทย ตั้งเป้าภาษีไม่ให้น้อยกว่าคู่แข่ง บอกเชิญ “ทักษิณ” มาให้ข้อคิดเห็น แจงจดหมายทรัมป์เป็นการเลื่อนวันให้เรา เพราะยังไม่ได้เจราจาถึงที่สุด โดยฝ่ายไทยยื่นรายละเอียดไปแล้วตั้งแต่ 6 ก.ค.อาจต้องปรับปรุงและยื่นเพิ่มเติม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000065305 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    1
    1 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • ดร.เสรี จวกคนทำผิดซ้ำซากแต่ไม่เคยยอมรับ ทั้งที่ศาลชี้ผิดชัด ยังมีคนเชิดชูจนประเทศวิกฤต เตือนถ้าปล่อยให้นำต่อ “เรือหายแน่”
    https://www.thai-tai.tv/news/20172/
    .
    #ดรเสรีวงษ์มณฑา #การเมืองไทย #ทักษิณ #ประเทศไทย #นักวิชาการ #ข้อคิดเห็น #ข่าวการเมือง
    ดร.เสรี จวกคนทำผิดซ้ำซากแต่ไม่เคยยอมรับ ทั้งที่ศาลชี้ผิดชัด ยังมีคนเชิดชูจนประเทศวิกฤต เตือนถ้าปล่อยให้นำต่อ “เรือหายแน่” https://www.thai-tai.tv/news/20172/ . #ดรเสรีวงษ์มณฑา #การเมืองไทย #ทักษิณ #ประเทศไทย #นักวิชาการ #ข้อคิดเห็น #ข่าวการเมือง
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • กต.ไทยแถลงโต้กัมพูชา จี้ทำตาม MOU43 ที่ระบุให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาเขตแดน ไม่มีตรงไหนที่ให้ใช้กลไกอื่นรวมทั้งศาลโลก ยัน JBC ใช้ได้ผล ไทยปักปันเขตแดนกับมาเลเซีย-ลาว สำเร็จแล้วกว่า 90% และเขมรเองก็ใช้กลไกนี้กับเพื่อนบ้านอื่น วอนกัมพูชาเคารพพันธกรณีที่มีร่วมกัน นำ 4 พื้นที่กลับมาเจราในที่ประชุม JBC

    หลังจากที่วานนี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน 8 ข้อ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ประณามฝ่ายไทยว่าเป็นฝ่ายก่อปัญหาจากการที่ทหารไทยรุกล้ำอธิปไตยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) เข้าไปยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกัมพูชาต้องตัดสินใจนำข้อพิพาทกับไทย 4 พื้นที่ไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยอมรับขอบเขตอำนาจของ ICJ เพื่อหาทางยุติปัญหาโดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น ล่าสุด วันนี้ (6 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้ออกคำชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000063597

    #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    กต.ไทยแถลงโต้กัมพูชา จี้ทำตาม MOU43 ที่ระบุให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาเขตแดน ไม่มีตรงไหนที่ให้ใช้กลไกอื่นรวมทั้งศาลโลก ยัน JBC ใช้ได้ผล ไทยปักปันเขตแดนกับมาเลเซีย-ลาว สำเร็จแล้วกว่า 90% และเขมรเองก็ใช้กลไกนี้กับเพื่อนบ้านอื่น วอนกัมพูชาเคารพพันธกรณีที่มีร่วมกัน นำ 4 พื้นที่กลับมาเจราในที่ประชุม JBC • หลังจากที่วานนี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน 8 ข้อ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ประณามฝ่ายไทยว่าเป็นฝ่ายก่อปัญหาจากการที่ทหารไทยรุกล้ำอธิปไตยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) เข้าไปยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกัมพูชาต้องตัดสินใจนำข้อพิพาทกับไทย 4 พื้นที่ไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยอมรับขอบเขตอำนาจของ ICJ เพื่อหาทางยุติปัญหาโดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น ล่าสุด วันนี้ (6 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้ออกคำชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000063597 • #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • คนพาล…อันตรายที่สุด ไม่ใช่ตอนเป็นศัตรู แต่ตอนเป็นเพื่อน

    เพื่อน คือคนที่คุณเปิดใจฟัง
    ศัตรู คือคนที่คุณปิดใจไม่รับฟัง

    ลองตัดคำว่า "เพื่อน" ทิ้งดูสิ
    ถ้าใจคุณยังเปิดอ้า รับฟังเหตุผลดีๆ อยู่
    แม้จะเป็นคนที่พูดเรื่องน่าเกลียด น่าชัง
    คุณยังอาจพอแยกแยะได้
    ว่าสิ่งใดน่าเชื่อ สิ่งใดเบียดเบียน

    แต่ถ้าคุณเชื่อหมดใจ
    เพียงเพราะ “เขาเป็นเพื่อน”
    เพราะ “เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา”
    คุณอาจถูกครอบงำอย่างแนบเนียน
    ให้เกลียด ให้เบียดเบียน
    แม้แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือบาปกรรม

    กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่ม
    ไม่ได้เริ่มจากศัตรู
    แต่เริ่มจาก “เพื่อน” ที่พูดจาน่ารัก
    พูดน่าสงสาร พูดให้คล้อยตาม
    จนคนดีๆ ยอมตายเพื่อความเกลียดชัง

    ในทางกลับกัน
    ลองตัดคำว่า "ศัตรู" ทิ้งดูบ้าง
    หากใจคุณเปิดกว้าง รับฟังด้วยเมตตา
    อาจพบว่า…ในคำพูดของเขา
    มีเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม
    ที่คุณเองก็ศรัทธาได้

    บางทีคนดี อาจไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับคุณ
    และคนที่อยู่ข้างเดียวกับคุณ…ก็อาจไม่ใช่คนดี

    ทางออกไม่ใช่การเลือกฝ่าย
    แต่คือการ เลือกใช้สติ และความไม่เบียดเบียนเป็นหลัก

    หากคุณตัด “อคติ” ออกไป

    จะได้ข้อคิดดีๆ จากคนที่เคยไม่ชอบ

    จะลดอัตตาได้ จากการถกเถียงกับคนดี

    จะได้จุดยืนที่มั่นคงขึ้น จากบทสนทนากับคนร้าย
    โดยไม่ต้องหลงผิดไปตามเขาเลย

    เพราะจิตเดิมแท้ของมนุษย์พร้อมจะยกระดับอยู่แล้ว
    เหมือนอย่างชาวพุทธที่เข้าถึงเมตตา
    ด้วยคำสอนของ “กัลยาณมิตร” อย่างพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น...
    อย่าประมาทกับคำพูดของเพื่อน
    และ
    อย่าปิดใจเพียงเพราะอีกฝ่ายคือศัตรู

    #ธรรมะร่วมสมัย
    #ธรรมะเชิงจิตวิญญาณ
    #สตินำทาง
    #คนพาลที่คบเป็นเพื่อน
    #เมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ
    #ธรรมะเชิงเตือนสติ
    #ตื่นรู้ไม่หลงผิด
    🕊️ คนพาล…อันตรายที่สุด ไม่ใช่ตอนเป็นศัตรู แต่ตอนเป็นเพื่อน เพื่อน คือคนที่คุณเปิดใจฟัง ศัตรู คือคนที่คุณปิดใจไม่รับฟัง ลองตัดคำว่า "เพื่อน" ทิ้งดูสิ ถ้าใจคุณยังเปิดอ้า รับฟังเหตุผลดีๆ อยู่ แม้จะเป็นคนที่พูดเรื่องน่าเกลียด น่าชัง คุณยังอาจพอแยกแยะได้ ว่าสิ่งใดน่าเชื่อ สิ่งใดเบียดเบียน แต่ถ้าคุณเชื่อหมดใจ เพียงเพราะ “เขาเป็นเพื่อน” เพราะ “เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา” คุณอาจถูกครอบงำอย่างแนบเนียน ให้เกลียด ให้เบียดเบียน แม้แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือบาปกรรม 👿 กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่ม ไม่ได้เริ่มจากศัตรู แต่เริ่มจาก “เพื่อน” ที่พูดจาน่ารัก พูดน่าสงสาร พูดให้คล้อยตาม จนคนดีๆ ยอมตายเพื่อความเกลียดชัง ในทางกลับกัน ลองตัดคำว่า "ศัตรู" ทิ้งดูบ้าง หากใจคุณเปิดกว้าง รับฟังด้วยเมตตา อาจพบว่า…ในคำพูดของเขา มีเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม ที่คุณเองก็ศรัทธาได้ 💡 บางทีคนดี อาจไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับคุณ และคนที่อยู่ข้างเดียวกับคุณ…ก็อาจไม่ใช่คนดี ทางออกไม่ใช่การเลือกฝ่าย แต่คือการ เลือกใช้สติ และความไม่เบียดเบียนเป็นหลัก 🧘 หากคุณตัด “อคติ” ออกไป จะได้ข้อคิดดีๆ จากคนที่เคยไม่ชอบ จะลดอัตตาได้ จากการถกเถียงกับคนดี จะได้จุดยืนที่มั่นคงขึ้น จากบทสนทนากับคนร้าย โดยไม่ต้องหลงผิดไปตามเขาเลย 🌱 เพราะจิตเดิมแท้ของมนุษย์พร้อมจะยกระดับอยู่แล้ว เหมือนอย่างชาวพุทธที่เข้าถึงเมตตา ด้วยคำสอนของ “กัลยาณมิตร” อย่างพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น... อย่าประมาทกับคำพูดของเพื่อน และ อย่าปิดใจเพียงเพราะอีกฝ่ายคือศัตรู #ธรรมะร่วมสมัย #ธรรมะเชิงจิตวิญญาณ #สตินำทาง #คนพาลที่คบเป็นเพื่อน #เมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ #ธรรมะเชิงเตือนสติ #ตื่นรู้ไม่หลงผิด
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • ..ข้อคิดจากข่าว
    ..ยุคนี้คนชั่วครองประเทศไทย,มุกกฎหมายมากมายที่ออกตีตรามามันอ้างประชาชนบังหน้า,แต่แท้จริงมันปกป้องความทำชั่วมันเองให้ทำชั่วสะดวกและห้ามเปิดเผยข้อมูลชื่อกูที่เป็นแหล่งที่มาของการกระทำชั่ว,ไม่กระทบผลประโยชน์กูด้วยเพราะคนอื่นไม่รู้ สื่อถูกห้ามเปิดเผยชื่อในกิจการกู,ตลอดพวกนี้ห้ามเปิดเผยใบหน้าตัวตนจริงจนถึงที่สุดของศาลก็ว่าแต่สุดท้ายมันก็เขียนให้ศาลห้ามเปิดเผยอีกแม้ศาลตัดสินไปแล้ว,นี้คือวิถีทำลายคนดี รักษาคนไม่ดีให้มีที่ยืนเพื่อดำรงความชั่วเลวได้ต่อเนื่องได้,สำนึกดีชั่วเลวชั่งหัวใครมัน สื่อไม่สามารถระบุตัวตนชื่อกิจการบริษัทได้หรือระบุเจ้าสัวตัวตนเจ้าของกิจการตรงๆได้,กฎหมายมีเขียนออกมาตีตราใช้บังคับคนโง่และประชาชนตาดำๆอย่างเดียว,ไม่เคยเขียนประจานประฌามตรงๆแก่คนมีส่วนร่วมคู่กรณีอะไรเลย,แบรนด์ดังๆหน่อยก็เอาข้อกฎหมายกดปิดปากเขา,ประชาชนซวยแบบยายๆนี้ล่ะ,และมากมายประชาชนซวยแบบนีัตรึม,
    ..โจรมันเยอะจริงๆปล้นได้ทุกๆสถานที่,ทัังปล้นชิงแบบชอบธรรมปล้นชิงไม่ชอบธรรมและไม่สามารถเอาผิดได้,ตลอดเทียบเคียงลักเล็กขโมยทีละน้อยๆก็ได้,สังคมเรายิ่งมีเหตุกรณีทรัพย์สินหายเยอะมากๆ,แก้ไขเพื่อชี้เป้าคนไม่ดีได้ชัดคือต่างชาติต่างด้าวเยอะไปในประเทศไทย,ต้องผลักดันออกไปทัังหมดก่อน,จะเหลือจับผิดแค่คนไทยง่ายๆขึ้น,ใครลักทรัพย์ ของหายเวลาไหน กระทำการผ่านอะไร เทียบเวลาดูก็รู้ ใครทำธุรกรรมบัญชีใครมีโค้ตเจ้าหน้าที่หมด,ประชาชนลักขโมยของกันในชุมชนกลางทุ่งกลางป่าในหมู่บ้านขุมชน มีกล้องมีมือถทอตรวจจับพิกัดสัญญาณ โจรอาจถูกจับง่ายขึ้น,คนดีคนชั่วมีปะปนในสังคมชุมชนไทยเรา,หากสมมุติว่าฝังชิปจริงๆนะ ใครทำชั่วๆตรงจุดไหน หลักฐานวันเวลานอที่หายตรวจสอบย้อนหลังได้หมด เช่นชาวบ้านทำไร่ทำนา ฝังชิปทุกๆคน ขิปที่ปลอดภัยสูงไม่กระทบสุขภาพร่างกายบอดี้คน,เขาทิ้งของไว้สาระพัดสิ่งในไร่ในนาเขาปกติทิ้งอะไรไว้หายหมดเพราะไม่สามารถตรวจสอบสืบหาใดๆได้เลยที่รวดเร็ว เห็นผลชัด พอมีฝังชิปและรับรู้พิกัดย้อนหลังและเรียลไทม์จากดาวเทียมอีก ใครเข้าเขตส่วนบุคคลตนใครมันมีสิทธิ์ตรวจสอบสถานะชิปที่บริเวณตนเป็นเจ้าของได้และหาบุคคลต้องสงสัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมได้ นายAและพวกกว่า2-3คนไปอยู่ช่วงเวลากลางดึกในไร่นาที่ของหายโดยมีสถานะชิปยืนยันการดำรงอยู่จริงอีกและไม่มีใครชิปใครร่วมปรากฎในบริเวณนั้นอีก สามารถฟันธง99%ได้เลยว่า มันคือขโมยลักเล็กขโมยน้อยแน่นอนในหมู่บ้านชุมชนที่ไร่ที่นานั้นก็ว่า,ตังคนฝากหายความผิดเต็มๆคือธนาคาร มีโค้ตเจ้าหน้าที่คีย์มำธุรกรรมโอนหรือถอนแน่นอน,มาอ้างรับผิดชอบแค่1ล้านค้ำประกันเงินฝากมันฟังไม่ขึ้นหรอก,เพราะเจ้าของบัญชีหากมิได้ยินยอมมอบฉันทะใครๆมาทำธุรกรรมแทนอีก ธนาคารนั้นต้องมีจิตสำนึกรับผิดชอบทันที,
    ..นีัคือการเขียนกฎหมายปกป้องคนชั่ว จะอ้างมุกกลั่นแกล้งแล้วมาอ้างเพื่อเขียนกฎหมายลักษณะนี้ เสมือนไม่ร่วมส่งเสริมในการลงโทษจากประชาชนข้อหาผิดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมชั่วดีไม่ออก,ซึ่งไส้ในจริงๆใครผิดถูกไม่ทราบแต่ศาลบอกให้ยายเบิกได้ แบงค์ทำแบบนี้ไม่ให้เบิกมันก็ผิดปกติมาก,ปัจจุบันจบหรือยังไม่ทราบรู้,แต่เคสนีัมันบ่งบอกว่า กฎหมายเราสามารถเผาทิ้งในหลายตัวพร้อมๆกันได้เลยในเวลาใกล้เคียงกันที่ออกๆมาของข้อกฎหมายอื่นๆก็ว่าที่ออกมาพร้อมกฎหมายห้ามเปิดเผยตัวตนชื่อกิจการบริษัทคนที่ร่วมเป็นคู่ความของข่าวแบบๆนี้ก็ว่า,นำเสนอผีบ้าแค่ด้านเดียว,คนไม่ดีชื่อพนักงานอะไร อยู่ธนาคารชื่อไหน สาขาอะไร นี้ต้องระบุชัดเจนเตือนภัยประชาชนเจาะจงได้เสือกเขียนกฎหมายไม่ให้ระบุชื่อมันกิจการมัน,กฎหมายประเทศเราออกโดยพวกผีบ้านานเกินไปแล้วและไม่เคยยกเลิกกฎหมายผีบ้านั้นๆจริงจังสักที,ตย.ชัดคือกฎหมายผีบ้าที่ยกบ่อน้ำมันให้ต่างชาติไปหมด,กฎหมายผีบ้าที่ไม่เอาเรื่องบ่อน้ำมันเข้าสภาอภิปรายให้ประชาชนรับรู้และเปิดเผยค่าจริงความจริงทั้งหมดแก่ประชาชนคนไทย ,ลึกลับทำกันเองในกระทรวงทบวงกรมตนหรืออธิบดีมีอำนาจเต็มโน้น,สภาสส.สว.กากกระจอกไร้ค่าไร้ราคาอย่ามีส่วนร่วมอย่ามาร่วมตัดสินใจห่าอะไรใดๆด้วยกากและกระจอกมือไม่ถึงโง่ไม่ฉลาดด้านบ่อน้ำมันและพลังงานทั้งสภาหรอก,เก่งกาจคนเดียวคืออธิบดีนี้หมดทั้งประเทศ สุดยอดแค่เจ้าเดียวเท่านั้นมันว่า,จึงอนุญาตไม่ต้องเข้าสภาสส.สว.มาเสือกอภิปรายใดๆขัดขวางปากท้องกูทำการแดกให้ง่ายๆได้,จริงๆจึงสมควรเริ่มเผาทิ้งฉีกทิ้งจากกฎหมายปิโตรเลียมนี้ก่อนเลย,ทุกๆฉบับแล้วจะโมฆะทันที,อาจยุบกระทรวงทบวงกรมก็ได้อีก โมฆะอัตโนมัติแน่นอนก็ว่า,พวกนี้ต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมดเพราะที่กระทรวงนี้ถูกยุบสามารถระบุข้อหาชัดเจนได้ว่าคือกบฎและกระทรวงทรยศของแผ่นดินไทยไม่ซื่อสัตย์อย่างร้ายแรงบวกคือภัยคุกคามความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยด้วยประกอบเป็นตัวปั่นราคาให้สินค้าบริการแพงทั้งแผ่นดินกระทบเป็นเครือข่ายลูกโซ่จริงด้วย ค่าขนส่งขึ้น ราคาสินค้าขึ้นเพราะน้ำมันขึ้น เป็นต้น.

    https://youtube.com/shorts/SkTnVeSeAvY?si=-XJOKJ3BO983QToA
    ..ข้อคิดจากข่าว ..ยุคนี้คนชั่วครองประเทศไทย,มุกกฎหมายมากมายที่ออกตีตรามามันอ้างประชาชนบังหน้า,แต่แท้จริงมันปกป้องความทำชั่วมันเองให้ทำชั่วสะดวกและห้ามเปิดเผยข้อมูลชื่อกูที่เป็นแหล่งที่มาของการกระทำชั่ว,ไม่กระทบผลประโยชน์กูด้วยเพราะคนอื่นไม่รู้ สื่อถูกห้ามเปิดเผยชื่อในกิจการกู,ตลอดพวกนี้ห้ามเปิดเผยใบหน้าตัวตนจริงจนถึงที่สุดของศาลก็ว่าแต่สุดท้ายมันก็เขียนให้ศาลห้ามเปิดเผยอีกแม้ศาลตัดสินไปแล้ว,นี้คือวิถีทำลายคนดี รักษาคนไม่ดีให้มีที่ยืนเพื่อดำรงความชั่วเลวได้ต่อเนื่องได้,สำนึกดีชั่วเลวชั่งหัวใครมัน สื่อไม่สามารถระบุตัวตนชื่อกิจการบริษัทได้หรือระบุเจ้าสัวตัวตนเจ้าของกิจการตรงๆได้,กฎหมายมีเขียนออกมาตีตราใช้บังคับคนโง่และประชาชนตาดำๆอย่างเดียว,ไม่เคยเขียนประจานประฌามตรงๆแก่คนมีส่วนร่วมคู่กรณีอะไรเลย,แบรนด์ดังๆหน่อยก็เอาข้อกฎหมายกดปิดปากเขา,ประชาชนซวยแบบยายๆนี้ล่ะ,และมากมายประชาชนซวยแบบนีัตรึม, ..โจรมันเยอะจริงๆปล้นได้ทุกๆสถานที่,ทัังปล้นชิงแบบชอบธรรมปล้นชิงไม่ชอบธรรมและไม่สามารถเอาผิดได้,ตลอดเทียบเคียงลักเล็กขโมยทีละน้อยๆก็ได้,สังคมเรายิ่งมีเหตุกรณีทรัพย์สินหายเยอะมากๆ,แก้ไขเพื่อชี้เป้าคนไม่ดีได้ชัดคือต่างชาติต่างด้าวเยอะไปในประเทศไทย,ต้องผลักดันออกไปทัังหมดก่อน,จะเหลือจับผิดแค่คนไทยง่ายๆขึ้น,ใครลักทรัพย์ ของหายเวลาไหน กระทำการผ่านอะไร เทียบเวลาดูก็รู้ ใครทำธุรกรรมบัญชีใครมีโค้ตเจ้าหน้าที่หมด,ประชาชนลักขโมยของกันในชุมชนกลางทุ่งกลางป่าในหมู่บ้านขุมชน มีกล้องมีมือถทอตรวจจับพิกัดสัญญาณ โจรอาจถูกจับง่ายขึ้น,คนดีคนชั่วมีปะปนในสังคมชุมชนไทยเรา,หากสมมุติว่าฝังชิปจริงๆนะ ใครทำชั่วๆตรงจุดไหน หลักฐานวันเวลานอที่หายตรวจสอบย้อนหลังได้หมด เช่นชาวบ้านทำไร่ทำนา ฝังชิปทุกๆคน ขิปที่ปลอดภัยสูงไม่กระทบสุขภาพร่างกายบอดี้คน,เขาทิ้งของไว้สาระพัดสิ่งในไร่ในนาเขาปกติทิ้งอะไรไว้หายหมดเพราะไม่สามารถตรวจสอบสืบหาใดๆได้เลยที่รวดเร็ว เห็นผลชัด พอมีฝังชิปและรับรู้พิกัดย้อนหลังและเรียลไทม์จากดาวเทียมอีก ใครเข้าเขตส่วนบุคคลตนใครมันมีสิทธิ์ตรวจสอบสถานะชิปที่บริเวณตนเป็นเจ้าของได้และหาบุคคลต้องสงสัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมได้ นายAและพวกกว่า2-3คนไปอยู่ช่วงเวลากลางดึกในไร่นาที่ของหายโดยมีสถานะชิปยืนยันการดำรงอยู่จริงอีกและไม่มีใครชิปใครร่วมปรากฎในบริเวณนั้นอีก สามารถฟันธง99%ได้เลยว่า มันคือขโมยลักเล็กขโมยน้อยแน่นอนในหมู่บ้านชุมชนที่ไร่ที่นานั้นก็ว่า,ตังคนฝากหายความผิดเต็มๆคือธนาคาร มีโค้ตเจ้าหน้าที่คีย์มำธุรกรรมโอนหรือถอนแน่นอน,มาอ้างรับผิดชอบแค่1ล้านค้ำประกันเงินฝากมันฟังไม่ขึ้นหรอก,เพราะเจ้าของบัญชีหากมิได้ยินยอมมอบฉันทะใครๆมาทำธุรกรรมแทนอีก ธนาคารนั้นต้องมีจิตสำนึกรับผิดชอบทันที, ..นีัคือการเขียนกฎหมายปกป้องคนชั่ว จะอ้างมุกกลั่นแกล้งแล้วมาอ้างเพื่อเขียนกฎหมายลักษณะนี้ เสมือนไม่ร่วมส่งเสริมในการลงโทษจากประชาชนข้อหาผิดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมชั่วดีไม่ออก,ซึ่งไส้ในจริงๆใครผิดถูกไม่ทราบแต่ศาลบอกให้ยายเบิกได้ แบงค์ทำแบบนี้ไม่ให้เบิกมันก็ผิดปกติมาก,ปัจจุบันจบหรือยังไม่ทราบรู้,แต่เคสนีัมันบ่งบอกว่า กฎหมายเราสามารถเผาทิ้งในหลายตัวพร้อมๆกันได้เลยในเวลาใกล้เคียงกันที่ออกๆมาของข้อกฎหมายอื่นๆก็ว่าที่ออกมาพร้อมกฎหมายห้ามเปิดเผยตัวตนชื่อกิจการบริษัทคนที่ร่วมเป็นคู่ความของข่าวแบบๆนี้ก็ว่า,นำเสนอผีบ้าแค่ด้านเดียว,คนไม่ดีชื่อพนักงานอะไร อยู่ธนาคารชื่อไหน สาขาอะไร นี้ต้องระบุชัดเจนเตือนภัยประชาชนเจาะจงได้เสือกเขียนกฎหมายไม่ให้ระบุชื่อมันกิจการมัน,กฎหมายประเทศเราออกโดยพวกผีบ้านานเกินไปแล้วและไม่เคยยกเลิกกฎหมายผีบ้านั้นๆจริงจังสักที,ตย.ชัดคือกฎหมายผีบ้าที่ยกบ่อน้ำมันให้ต่างชาติไปหมด,กฎหมายผีบ้าที่ไม่เอาเรื่องบ่อน้ำมันเข้าสภาอภิปรายให้ประชาชนรับรู้และเปิดเผยค่าจริงความจริงทั้งหมดแก่ประชาชนคนไทย ,ลึกลับทำกันเองในกระทรวงทบวงกรมตนหรืออธิบดีมีอำนาจเต็มโน้น,สภาสส.สว.กากกระจอกไร้ค่าไร้ราคาอย่ามีส่วนร่วมอย่ามาร่วมตัดสินใจห่าอะไรใดๆด้วยกากและกระจอกมือไม่ถึงโง่ไม่ฉลาดด้านบ่อน้ำมันและพลังงานทั้งสภาหรอก,เก่งกาจคนเดียวคืออธิบดีนี้หมดทั้งประเทศ สุดยอดแค่เจ้าเดียวเท่านั้นมันว่า,จึงอนุญาตไม่ต้องเข้าสภาสส.สว.มาเสือกอภิปรายใดๆขัดขวางปากท้องกูทำการแดกให้ง่ายๆได้,จริงๆจึงสมควรเริ่มเผาทิ้งฉีกทิ้งจากกฎหมายปิโตรเลียมนี้ก่อนเลย,ทุกๆฉบับแล้วจะโมฆะทันที,อาจยุบกระทรวงทบวงกรมก็ได้อีก โมฆะอัตโนมัติแน่นอนก็ว่า,พวกนี้ต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมดเพราะที่กระทรวงนี้ถูกยุบสามารถระบุข้อหาชัดเจนได้ว่าคือกบฎและกระทรวงทรยศของแผ่นดินไทยไม่ซื่อสัตย์อย่างร้ายแรงบวกคือภัยคุกคามความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยด้วยประกอบเป็นตัวปั่นราคาให้สินค้าบริการแพงทั้งแผ่นดินกระทบเป็นเครือข่ายลูกโซ่จริงด้วย ค่าขนส่งขึ้น ราคาสินค้าขึ้นเพราะน้ำมันขึ้น เป็นต้น. https://youtube.com/shorts/SkTnVeSeAvY?si=-XJOKJ3BO983QToA
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ”
    .
    วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

    ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด

    คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด

    ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท
    ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย
    นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า

    “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้”

    คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ” . วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้” คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    0 Comments 0 Shares 463 Views 0 Reviews
  • “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ”

    .
    วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
    .
    ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด
    .
    คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด
    .
    ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท
    ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย
    นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า
    .
    “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้”
    .
    คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ” . วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ . ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด . คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด . ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า . “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้” . คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท ได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก จำเป็นต้องเร่งปรับนโยบาย เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาว โดยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด ตอนหาเสียงประเมินแล้วว่าทำได้ ซึ่งทำไปแล้วสองเฟส แต่ตอนนี้มีเรื่องภาษีของสหรัฐ จึงต้องจัดลำดับความสำคัญการใช้เงิน ไม่ห่วงกระทบเสียงพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด

    -ขยาดติดบ่วง ม.157
    -สว.อินเตอร์
    -นักท่องเที่ยวต่ำสุดในรอบปี
    -แค่หยดน้ำในมหาสมุทร
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท ได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก จำเป็นต้องเร่งปรับนโยบาย เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาว โดยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด ตอนหาเสียงประเมินแล้วว่าทำได้ ซึ่งทำไปแล้วสองเฟส แต่ตอนนี้มีเรื่องภาษีของสหรัฐ จึงต้องจัดลำดับความสำคัญการใช้เงิน ไม่ห่วงกระทบเสียงพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด -ขยาดติดบ่วง ม.157 -สว.อินเตอร์ -นักท่องเที่ยวต่ำสุดในรอบปี -แค่หยดน้ำในมหาสมุทร
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 712 Views 29 0 Reviews
  • ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น แยกแยะยังไงก่อนลงทุน ?
    ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น แยกแยะยังไงก่อนลงทุน ?
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 0 Reviews
  • “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์

    ---

    1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง

    > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

    ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ”

    ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง"

    ---

    2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี”

    ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน

    ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก

    ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม

    การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง"

    ---

    3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น

    > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน”

    เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา

    จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา

    และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที"

    ---

    4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา

    > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน"

    คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม

    แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง

    เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้

    แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่

    ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง

    การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า

    เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์

    ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน

    "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด"

    "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง"

    "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง"

    "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม"

    "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ"

    ---
    “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์ --- 1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ” ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง" --- 2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี” ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง" --- 3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน” เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง > ธรรมะสำคัญ: "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที" --- 4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน" คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้" --- สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้ แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่ ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์ ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ --- ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด" "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง" "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง" "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม" "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ" ---
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 Comments 0 Shares 440 Views 0 Reviews
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 Comments 0 Shares 440 Views 0 Reviews
  • ข้อคิดจากหนัง The Art of Negotiation
    ข้อคิดจากหนัง The Art of Negotiation
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 0 Reviews
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 Comments 0 Shares 1562 Views 0 Reviews
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    The Sun + The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    The Star + Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: The Sun + The World + The Star + Ten of Cups + Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?


    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 991 Views 0 Reviews
  • เรื่องนี้เราสามารถมาประยุกต์เป็นข้อคิดและป้องกันสำหรับคนไทยได้ครับ

    Microsoft เตือนว่าแคมเปญหลอกลวงช่วงวันภาษีในสหรัฐฯ เป็นอันตรายที่มุ่งหวังข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินของเหยื่อ ผู้โจมตีใช้เทคนิคเชิงจิตวิทยาเพื่อสร้างความเร่งด่วนและส่งมัลแวร์ผ่านฟิชชิ่งอีเมล การเรียนรู้วิธีรับมือและปฏิเสธการคลิกไฟล์แนบหรือลิงก์ที่น่าสงสัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคที่ภัยไซเบอร์ขยายวงกว้าง

    == ภัยคุกคามที่ต้องระวัง==
    การใช้เทคนิคโซเชียลวิศวกรรม (Social Engineering)
    - ผู้โจมตีใช้ QR Codes, URL Shorteners และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย เพื่อส่งมัลแวร์ เช่น Latrodectus, BruteRatel C4 (BRc4), AHKBot และ Remote Access Trojans (RATs)
    - ฟิชชิ่งอีเมลมักมาพร้อมหัวข้อเช่น “Important Action Required: IRS Audit” หรือ “Notice: IRS Has Flagged Issues with Your Tax Filing” เพื่อสร้างความเร่งด่วน

    เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
    - ผู้โจมตีบางกลุ่มใช้ อีเมลสร้างความไว้ใจ ก่อนส่งอีเมลรอบสองที่มาพร้อมไฟล์ PDF อันตราย ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและอัตราการหลงเชื่อ

    มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญโจมตี
    - ตัวอย่างมัลแวร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ GuLoader ซึ่งเป็น malware downloader แบบหลบหลีกสูง ใช้เทคนิค Process Injection และ Cloud-based Hosting ในการปล่อยมัลแวร์

    ผลกระทบที่ตามมา
    - เหยื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกเปิดบัญชีเครดิตใหม่ในชื่อของตนเอง รวมถึงการสูญเสียเงินในบัญชี

    == คำแนะนำเพื่อการป้องกัน ==
    การเรียนรู้และการมีสติเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
    - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับ ลักษณะของฟิชชิ่งอีเมล และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความก่อนดำเนินการใด ๆ
    - หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบที่ไม่คุ้นเคย

    เลือกใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์
    - ใช้ Antivirus Software และ Malware Removal Tools ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยตรวจจับและลบมัลแวร์

    https://www.techradar.com/pro/security/look-out-for-tax-themed-scams-this-month-microsoft-warns
    เรื่องนี้เราสามารถมาประยุกต์เป็นข้อคิดและป้องกันสำหรับคนไทยได้ครับ Microsoft เตือนว่าแคมเปญหลอกลวงช่วงวันภาษีในสหรัฐฯ เป็นอันตรายที่มุ่งหวังข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินของเหยื่อ ผู้โจมตีใช้เทคนิคเชิงจิตวิทยาเพื่อสร้างความเร่งด่วนและส่งมัลแวร์ผ่านฟิชชิ่งอีเมล การเรียนรู้วิธีรับมือและปฏิเสธการคลิกไฟล์แนบหรือลิงก์ที่น่าสงสัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคที่ภัยไซเบอร์ขยายวงกว้าง == ภัยคุกคามที่ต้องระวัง== ✅ การใช้เทคนิคโซเชียลวิศวกรรม (Social Engineering) - ผู้โจมตีใช้ QR Codes, URL Shorteners และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย เพื่อส่งมัลแวร์ เช่น Latrodectus, BruteRatel C4 (BRc4), AHKBot และ Remote Access Trojans (RATs) - ฟิชชิ่งอีเมลมักมาพร้อมหัวข้อเช่น “Important Action Required: IRS Audit” หรือ “Notice: IRS Has Flagged Issues with Your Tax Filing” เพื่อสร้างความเร่งด่วน ✅ เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น - ผู้โจมตีบางกลุ่มใช้ อีเมลสร้างความไว้ใจ ก่อนส่งอีเมลรอบสองที่มาพร้อมไฟล์ PDF อันตราย ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและอัตราการหลงเชื่อ ✅ มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญโจมตี - ตัวอย่างมัลแวร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ GuLoader ซึ่งเป็น malware downloader แบบหลบหลีกสูง ใช้เทคนิค Process Injection และ Cloud-based Hosting ในการปล่อยมัลแวร์ ✅ ผลกระทบที่ตามมา - เหยื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกเปิดบัญชีเครดิตใหม่ในชื่อของตนเอง รวมถึงการสูญเสียเงินในบัญชี == คำแนะนำเพื่อการป้องกัน == ✅ การเรียนรู้และการมีสติเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับ ลักษณะของฟิชชิ่งอีเมล และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความก่อนดำเนินการใด ๆ - หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบที่ไม่คุ้นเคย ✅ เลือกใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์ - ใช้ Antivirus Software และ Malware Removal Tools ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยตรวจจับและลบมัลแวร์ https://www.techradar.com/pro/security/look-out-for-tax-themed-scams-this-month-microsoft-warns
    WWW.TECHRADAR.COM
    Look out for tax-themed scams this month, Microsoft warns
    Criminals are taking advantage as US tax day approaches
    0 Comments 0 Shares 404 Views 0 Reviews
  • จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา
    เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
    แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน
    ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
    จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
    หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
    สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
    แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
    จะสร้างพรตอดรักหักสวาท
    เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
    แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย
    จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
    จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศม
    รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
    ปะตาปาอายันอยู่บรรพต
    อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
    ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช
    ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
    จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย
    ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอน
    จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ จะสร้างพรตอดรักหักสวาท เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศม รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด ปะตาปาอายันอยู่บรรพต อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอน
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • เจริญสติแล้วหยุดกรรมร้ายได้ไหม

    ---

    1️⃣ วิบากร้ายทำงานเมื่อเราไม่พร้อมที่สุด

    ☸ วิบากกรรมดำ (ผลของกรรมไม่ดี) จะให้ผลแรงที่สุด
    ในช่วงที่เรา โลภที่สุด โกรธที่สุด และหลงที่สุด

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า:

    > "เมื่อวิบากดำให้ผล โมหะก็เข้าครอบ แม้บัณฑิตก็ทำเรื่องโง่ได้ คนรอบคอบก็ประมาทได้"

    แปลว่า:

    แม้เป็นคนดี มีปัญญา หากยังมี โลภะ โทสะ โมหะ แรงๆ ก็ยังพลาดได้

    วิบากดำรอให้เรา "เผลอ" แล้วจึงให้ผลแรงที่สุด

    การฝึก "เจริญสติ" เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เผลอ

    ---

    2️⃣ เจริญสติช่วยลดกรรมร้ายได้อย่างไร?

    สติช่วยให้:
    ผ่อนหนักเป็นเบา
    ลดโอกาสสร้างกรรมดำใหม่
    เพิ่มพลังกรรมขาวให้ช่วยแทรกแซง

    หลักการง่ายๆ:

    ลดโลภะ → ทุกข์เรื่องเงินลดลง

    ลดโทสะ → คนร้ายก็เบียดเบียนเราน้อยลง

    ลดโมหะ → ไม่ตัดสินใจพลาดเพราะความเขลา

    ผลของการฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ:

    วิบากขาว (ผลของกรรมดี) จะเกิดขึ้นเร็ว

    กรรมขาว "ลัดคิว" มาแทรกแซงกรรมดำได้

    ชีวิตมีเสถียรภาพ ไม่เป๋ไปตามกระแสของกรรมดำง่ายๆ

    ---

    3️⃣ สติปัฏฐาน "ไม่ได้" แก้กรรมโดยตรง

    ไม่ใช่การลบล้างกรรมเหมือนยางลบลบรอยดินสอ
    ไม่ได้ทำให้กรรมดำหายไปแบบทันตา
    ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย

    ☸ แต่สติปัฏฐานช่วยให้:
    ไม่เผลอสร้าง "กรรมดำใหม่" ให้เพิ่มขึ้น
    มีจิตหนักแน่น รับมือกับสถานการณ์ร้ายได้ดีขึ้น
    ลดความทุกข์ใจ แม้วิบากร้ายยังให้ผลอยู่

    แม้พระอรหันต์ก็ยังต้องเสวยวิบากเก่า

    ท่านยังต้องรับทุกข์ทางกาย (เช่น พระโมคคัลลานะถูกโจรทำร้าย)

    แต่ท่านไม่ทุกข์ทางใจอีกแล้ว

    สำหรับผู้เริ่มเจริญสติ

    แม้จะยังมีทุกข์ทางใจอยู่

    แต่จะลดการคร่ำครวญ และเข้าใจทุกข์ได้มากขึ้น

    ---

    4️⃣ สรุป: เจริญสติช่วยอะไร?

    ทำให้ "ทุกข์ใจ" ลดลงได้แน่นอน
    ช่วยให้ "กรรมขาว" แทรกแซงกรรมดำได้
    ช่วยให้ตั้งรับวิบากร้ายได้ดีขึ้น
    ทำให้จิตเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ลบ
    แม้วิบากร้ายจะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป

    ---

    5️⃣ ข้อคิดส่งท้าย: ชาติเดียวก็หมดทุกข์ได้

    ☸ "อานิสงส์ของการเจริญสติถูกทาง อยู่เหนือทุกสิ่ง บุญทุกชนิด"

    แม้กรรมดำจะยังมีอยู่
    แต่ ถ้าเจริญสติถึงที่สุด → ก็สามารถพ้นทุกข์หมดโศกได้ในชาตินี้!

    ขอเป็นกำลังใจให้เพียรต่อบนวิถีทางอันประเสริฐนี้
    สติคือเกราะป้องกันกรรมร้ายที่ดีที่สุด
    📌 เจริญสติแล้วหยุดกรรมร้ายได้ไหม --- 🔍 1️⃣ วิบากร้ายทำงานเมื่อเราไม่พร้อมที่สุด ☸ วิบากกรรมดำ (ผลของกรรมไม่ดี) จะให้ผลแรงที่สุด ในช่วงที่เรา โลภที่สุด โกรธที่สุด และหลงที่สุด 🧩 พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า: > "เมื่อวิบากดำให้ผล โมหะก็เข้าครอบ แม้บัณฑิตก็ทำเรื่องโง่ได้ คนรอบคอบก็ประมาทได้" 📌 แปลว่า: แม้เป็นคนดี มีปัญญา หากยังมี โลภะ โทสะ โมหะ แรงๆ ก็ยังพลาดได้ วิบากดำรอให้เรา "เผลอ" แล้วจึงให้ผลแรงที่สุด การฝึก "เจริญสติ" เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เผลอ --- 🧘‍♂️ 2️⃣ เจริญสติช่วยลดกรรมร้ายได้อย่างไร? 💡 สติช่วยให้: ✅ ผ่อนหนักเป็นเบา ✅ ลดโอกาสสร้างกรรมดำใหม่ ✅ เพิ่มพลังกรรมขาวให้ช่วยแทรกแซง 🎯 หลักการง่ายๆ: ลดโลภะ → ทุกข์เรื่องเงินลดลง ลดโทสะ → คนร้ายก็เบียดเบียนเราน้อยลง ลดโมหะ → ไม่ตัดสินใจพลาดเพราะความเขลา ⚡ ผลของการฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ: วิบากขาว (ผลของกรรมดี) จะเกิดขึ้นเร็ว กรรมขาว "ลัดคิว" มาแทรกแซงกรรมดำได้ ชีวิตมีเสถียรภาพ ไม่เป๋ไปตามกระแสของกรรมดำง่ายๆ --- ⚠️ 3️⃣ สติปัฏฐาน "ไม่ได้" แก้กรรมโดยตรง 🚫 ไม่ใช่การลบล้างกรรมเหมือนยางลบลบรอยดินสอ 🚫 ไม่ได้ทำให้กรรมดำหายไปแบบทันตา 🚫 ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย ☸ แต่สติปัฏฐานช่วยให้: ✅ ไม่เผลอสร้าง "กรรมดำใหม่" ให้เพิ่มขึ้น ✅ มีจิตหนักแน่น รับมือกับสถานการณ์ร้ายได้ดีขึ้น ✅ ลดความทุกข์ใจ แม้วิบากร้ายยังให้ผลอยู่ 📌 แม้พระอรหันต์ก็ยังต้องเสวยวิบากเก่า ท่านยังต้องรับทุกข์ทางกาย (เช่น พระโมคคัลลานะถูกโจรทำร้าย) แต่ท่านไม่ทุกข์ทางใจอีกแล้ว 🧘‍♀️ สำหรับผู้เริ่มเจริญสติ แม้จะยังมีทุกข์ทางใจอยู่ แต่จะลดการคร่ำครวญ และเข้าใจทุกข์ได้มากขึ้น --- 🎯 4️⃣ สรุป: เจริญสติช่วยอะไร? ✅ ทำให้ "ทุกข์ใจ" ลดลงได้แน่นอน ✅ ช่วยให้ "กรรมขาว" แทรกแซงกรรมดำได้ ✅ ช่วยให้ตั้งรับวิบากร้ายได้ดีขึ้น ✅ ทำให้จิตเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ลบ ✅ แม้วิบากร้ายจะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป --- 🌿 5️⃣ ข้อคิดส่งท้าย: ชาติเดียวก็หมดทุกข์ได้ ☸ "อานิสงส์ของการเจริญสติถูกทาง อยู่เหนือทุกสิ่ง บุญทุกชนิด" 📌 แม้กรรมดำจะยังมีอยู่ แต่ ถ้าเจริญสติถึงที่สุด → ก็สามารถพ้นทุกข์หมดโศกได้ในชาตินี้! 💡 ขอเป็นกำลังใจให้เพียรต่อบนวิถีทางอันประเสริฐนี้ 🕉️ สติคือเกราะป้องกันกรรมร้ายที่ดีที่สุด 🕉️
    0 Comments 0 Shares 592 Views 0 Reviews
  • ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก
    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี)

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

    FB: โต๊ะป้าศรี CH Table

    (แอดมินเดือน)
    📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์ FB: โต๊ะป้าศรี CH Table (แอดมินเดือน)
    0 Comments 0 Shares 1113 Views 0 Reviews
  • คีธ เคลล็อกก์ (Keith Kellogg) ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ประจำยูเครนกล่าวในการประชุมด้านความมั่นคงที่เมืองมิวนิก "Munich Security Conference"(MSC) ระบุอย่างชัดเจนว่ายุโรปจะไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

    - ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างแน่นอน แต่ยูเครนยังสามารถมีส่วนร่วมได้

    - เคลล็อกก์ต้องการให้ยุโรปมีส่วนร่วมเพียงแค่การเสนอแนะแนวทาง ให้ข้อคิดเห็น ดีกว่าจะมาส่งเสียงร้องโวยวายว่าตัวเองจะได้เข้าร่วมโต๊ะเจรจาหรือไม่หรือไม่ได้เข้าร่วม

    - นอกจากนี้เคลล็อกก์ยังแนะนำให้ยุโรปเอาเวลาไปคิดหาทางเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของตัวเองจะดีกว่า
    สหรัฐมีเป้าหมายสูงสุดคือยุติสงครามโดยเร็วที่สุด การเจรจาจะไม่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือน สหรัฐต้องการใช้เวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์

    - ในการเจรจาข้อตกลงที่ผ่านมา การมีหลายประเทศเข้าร่วมมากเกินไปส่งผลเสียมากกว่า เคลล็อกก์ยกตัวอย่างข้อตกลงมินสค์ว่า ล้มเหลว เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม ทำให้การดำเนินกระบวนการสันติภาพเป็นไปได้ยากในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

    - เคลล็อกก์ยังโจมตีไบเดนว่า การปล่อยปละละเลยและความอ่อนแอของเขา ทำให้รัสเซีย-จีน-อิหร่าน-เกาหลีเหนือ แข็งแกร่งขึ้นมากในเวลาไม่กี่ปี

    - สหรัฐจะช่วยยูเครนต่อไป แต่เพื่อการฟื้นฟู โดยมีเงื่อนไขว่าสงครามจะต้องหยุดลงทันทีก่อน
    คีธ เคลล็อกก์ (Keith Kellogg) ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ประจำยูเครนกล่าวในการประชุมด้านความมั่นคงที่เมืองมิวนิก "Munich Security Conference"(MSC) ระบุอย่างชัดเจนว่ายุโรปจะไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย - ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างแน่นอน แต่ยูเครนยังสามารถมีส่วนร่วมได้ - เคลล็อกก์ต้องการให้ยุโรปมีส่วนร่วมเพียงแค่การเสนอแนะแนวทาง ให้ข้อคิดเห็น ดีกว่าจะมาส่งเสียงร้องโวยวายว่าตัวเองจะได้เข้าร่วมโต๊ะเจรจาหรือไม่หรือไม่ได้เข้าร่วม - นอกจากนี้เคลล็อกก์ยังแนะนำให้ยุโรปเอาเวลาไปคิดหาทางเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของตัวเองจะดีกว่า สหรัฐมีเป้าหมายสูงสุดคือยุติสงครามโดยเร็วที่สุด การเจรจาจะไม่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือน สหรัฐต้องการใช้เวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ - ในการเจรจาข้อตกลงที่ผ่านมา การมีหลายประเทศเข้าร่วมมากเกินไปส่งผลเสียมากกว่า เคลล็อกก์ยกตัวอย่างข้อตกลงมินสค์ว่า ล้มเหลว เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม ทำให้การดำเนินกระบวนการสันติภาพเป็นไปได้ยากในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง - เคลล็อกก์ยังโจมตีไบเดนว่า การปล่อยปละละเลยและความอ่อนแอของเขา ทำให้รัสเซีย-จีน-อิหร่าน-เกาหลีเหนือ แข็งแกร่งขึ้นมากในเวลาไม่กี่ปี - สหรัฐจะช่วยยูเครนต่อไป แต่เพื่อการฟื้นฟู โดยมีเงื่อนไขว่าสงครามจะต้องหยุดลงทันทีก่อน
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 469 Views 0 Reviews
  • คำคม..บางอย่าง..วลี..บางอย่าง..ข้อคิด .บางอย่าง...ถูกส่งต่อด้วย...คนที่ "อาจ" รู้น้อย...หรือ รู้ไม่จริง...ไม่ว่า สถานะ เขาเป็นแบบใด...คนแต่ละคน..ล้วนมีเรื่องราว และแนวทาง ที่ตนเองถนัด ...รู้มาก รู้น้อย แม้กระทั่ง รู้ไม่จริง....ฝึกฟังหรืออ่าน..แล้ว คำถามเกิดขึ้นในสมอง...ว่า มันใช่รึเปล่า...แล้วค่อยเชื่อ...หรือถ่ายทอดต่อ....
    คำคม..บางอย่าง..วลี..บางอย่าง..ข้อคิด .บางอย่าง...ถูกส่งต่อด้วย...คนที่ "อาจ" รู้น้อย...หรือ รู้ไม่จริง...ไม่ว่า สถานะ เขาเป็นแบบใด...คนแต่ละคน..ล้วนมีเรื่องราว และแนวทาง ที่ตนเองถนัด ...รู้มาก รู้น้อย แม้กระทั่ง รู้ไม่จริง....ฝึกฟังหรืออ่าน..แล้ว คำถามเกิดขึ้นในสมอง...ว่า มันใช่รึเปล่า...แล้วค่อยเชื่อ...หรือถ่ายทอดต่อ....
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • ทุกคนที่ออกมาให้ข้อคิดและแนวทางไม่ได้ไม่เข้าใจชาวบ้านแต่กระทำต่อช้างมันเกินไปจริงๆฆ่าช้างเอางาวางยาพิษตลอดปี2567ช้างล้มเป็นจำนวนมากวางกับดักตะปูบริเวณบ่อน้ำเขาต้องมากินน้ำช้างทารกเหยียบจนต้องตัดขาเป็นช้างพิการไปตลอดชีวิต กฏหมายคุ้มครองช้างอยู่ไหนทำไมไมนำมาใช้ประเทศไทยมีพื้นที่มากมายเพียงพอสำหรับคนอยู่แล้ว คนรวยบางคนครอบครองที่ดินเป็นหมื่นๆไร่เอามาจากไหนกัน??คิดจะทำอะไร?@เห็นแอลเอ,แคลริฟอร์เนีย,ฮาวายไหม๊เป็นยังไงบ้างบ้านอยู่ในป่า#ได้โปรดหยุดเถอะ#STOP
    🎧ทุกคนที่ออกมาให้ข้อคิดและแนวทางไม่ได้ไม่เข้าใจชาวบ้านแต่กระทำต่อช้างมันเกินไปจริงๆฆ่าช้างเอางาวางยาพิษตลอดปี2567ช้างล้มเป็นจำนวนมากวางกับดักตะปูบริเวณบ่อน้ำเขาต้องมากินน้ำช้างทารกเหยียบจนต้องตัดขาเป็นช้างพิการไปตลอดชีวิต กฏหมายคุ้มครองช้างอยู่ไหนทำไมไมนำมาใช้ประเทศไทยมีพื้นที่มากมายเพียงพอสำหรับคนอยู่แล้ว คนรวยบางคนครอบครองที่ดินเป็นหมื่นๆไร่เอามาจากไหนกัน??คิดจะทำอะไร?@เห็นแอลเอ,แคลริฟอร์เนีย,ฮาวายไหม๊เป็นยังไงบ้างบ้านอยู่ในป่า🔥#ได้โปรดหยุดเถอะ#STOP🤚🔱🔊
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 464 Views 0 0 Reviews
  • 3/2/68

    75ปีข้อคิดดี หลายแง่มุม ของ
    ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน หญิงเหล็กแห่งวัดระฆังhttps://youtu.be/OSnsNdrsC6A?si=v6V7MSfK6ciwdJMk
    3/2/68 75ปีข้อคิดดี หลายแง่มุม ของ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน หญิงเหล็กแห่งวัดระฆังhttps://youtu.be/OSnsNdrsC6A?si=v6V7MSfK6ciwdJMk
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • ประเทศกำลังอักเสบหนัก ก็เพราะเราคือหนึ่งคนที่เป็นต้นเหตุ

    ค่าฝุ่นยังคงวิกฤตต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะวันนี้ สิบสองปีก่อนตอนที่ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่พักปัจจุบันในซอยโชคชัยสี่ ซึ่งห้องอยู่ชั้น5 ชั้นบนสุดของตึก ยืนที่ระเบียงมองออกไปไกล ๆ ทางซ้ายมือจะเห็นตึกช้างตั้งตระหง่านโดดเด่น มาวันนี้ตึกช้างและตึกทั้งหลายหายแวบไปหมด เห็นเพียงม่านขาวหนาหนักเท่านั้น

    เมื่อมองให้ลึกลงไป นี่มาจากนิสัยมักง่าย สบาย ๆ อะไรก็ได้ ไร้วินัย ไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัวของพลเมืองไทยทั้งประเทศเองนี้แหละ จึงทำให้สถานการณ์หลายสิ่งเดินมาถึงจุดนี้ เราจึงต้องแบกรับกรรมที่ก่อร่วมกัน

    เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยไปที่ไหนก็มีแต่กองขยะหลังทำกิจกรรมจบ

    เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยชาชินกับการชอบจอดรถส่วนตัวบนถนนสาธารณะกีดขวางคนใช้รถใช้ถนนคนอื่น แล้วอ้างว่าถนนสาธารณะ

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยใช้รถโดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ยอมจอดชะลอให้คนข้ามยามเห็นทางม้าลาย ชอบฝ่าไฟแดง ชอบฝ่าไม้กั้นทางรถไฟ ชอบย้อนศร ชอบขับขี่รถขึ้นทางคนเดิน และอีกสารพัดชอบที่เป็นความชั่ว

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยไม่ใส่ใจว่าไฟที่เราจุดเผาจะสร้างความลำบากแก่ใครอย่างไรบ้าง อยากเผาก็เผา

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยคิดตากข้าวก็ตากบนถนนกินเลนไปครึ่งทางตลอดแนว

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยอยากใช้ก็จะใช้ อยากกินก็จะกิน อยากทิ้งตรงไหนก็จะทิ้ง แม้นรู้ดีว่าการกินการใช้การทิ้งของตน สร้างภาระแก่สังคมและโลกใบนี้มากมายมหาศาล

    เหมือนดังเช่นที่คนไทยบอกว่าผู้มีอำนาจหรือคนมาบริหารประเทศโกงบ้างไม่เป็นไรขอให้เก่งเป็นพอ แม้นจะเก่งในทางโกงก็ตาม

    เหมือนที่คนไทยชอบแซงคิวคนอื่นไม่สนใจใครยืนรอต่อกันอยู่ก่อน ขอแทรกนิด ขอแทรกหน่อยก็เอา

    เหมือนที่คนไทยชอบใช้เส้นสายให้คนรู้จักดำเนินการอะไรให้ทางสะดวกในทุกวงการตั้งแต่ระดับล่างไปยันระดับบนโดยที่ต้องมีใต้โต๊ะ หรือถ้ารู้จักสนิทสนมก็ไม่ต้องจ่าย

    เหมือนที่คนไทยไม่เคยจดจำว่าใครเคยทำเลวทำชั่ว ทำร้ายคนอื่นทำร้ายประเทศไว้มากขนาดไหน แค่เขาใช้ลมปากเข้าหน่อยก็หลงเคลิ้มไปกับสิ่งที่เขาพ่นออกมาราวกับว่านั่นคือวาจาของทูตสวรรค์

    เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าเรื่องไม่ดีส่วนตัวของคนสาธารณะไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องงาน เขาจะเลวจะร้ายอย่างไรฉันไม่สน ขอเสพสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ฉันพอใจได้เท่านั้นแหละ

    และอีกมากมายที่เราคนไทยซึ่งเป็นพันธุ์อย่างนี้มานมนาน แล้วไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังปล่อยให้นิสัยเสียเช่นนี้แอบแฝงอยู่ในตัวตนของเราต่อไป แล้วก็ใช้ชีวิตไปอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันที่เราหลุดพ้นออกจากดีเอ็นเอนี้ ที่สร้างความอักเสบไปทั่วประเทศได้สักที

    เพราะทุกคนแค่บ่นด่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบระดับบนเพื่อให้พ้นตัว ทว่าปล่อยคนคนหนึ่งให้ยังใช้ชีวิตแบบไร้ความรับผิดชอบต่อไป เพราะคิดอย่างสั้นเอาว่าเป็นหน้าที่ของเขา โดยไม่มองเห็นเลยว่าแล้วตัวเราเองล่ะ

    หน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่แล้วหรือยัง


    ถ้าเราไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เราอาจคือฝุ่นพีเอ็ม2.5ที่ทำร้ายคนไทยด้วยกันอยู่ทุกวันก็เป็นได้

    ที่นี่ประเทศไทย

    #บทความ
    #ข้อคิด
    #thaitimes
    #คนไทย
    #วิกฤตฝุ่น
    ประเทศกำลังอักเสบหนัก ก็เพราะเราคือหนึ่งคนที่เป็นต้นเหตุ ค่าฝุ่นยังคงวิกฤตต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะวันนี้ สิบสองปีก่อนตอนที่ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่พักปัจจุบันในซอยโชคชัยสี่ ซึ่งห้องอยู่ชั้น5 ชั้นบนสุดของตึก ยืนที่ระเบียงมองออกไปไกล ๆ ทางซ้ายมือจะเห็นตึกช้างตั้งตระหง่านโดดเด่น มาวันนี้ตึกช้างและตึกทั้งหลายหายแวบไปหมด เห็นเพียงม่านขาวหนาหนักเท่านั้น เมื่อมองให้ลึกลงไป นี่มาจากนิสัยมักง่าย สบาย ๆ อะไรก็ได้ ไร้วินัย ไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัวของพลเมืองไทยทั้งประเทศเองนี้แหละ จึงทำให้สถานการณ์หลายสิ่งเดินมาถึงจุดนี้ เราจึงต้องแบกรับกรรมที่ก่อร่วมกัน เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยไปที่ไหนก็มีแต่กองขยะหลังทำกิจกรรมจบ เหมือนดังเช่นที่เราคนไทยชาชินกับการชอบจอดรถส่วนตัวบนถนนสาธารณะกีดขวางคนใช้รถใช้ถนนคนอื่น แล้วอ้างว่าถนนสาธารณะ เหมือนดังเช่นที่คนไทยใช้รถโดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ยอมจอดชะลอให้คนข้ามยามเห็นทางม้าลาย ชอบฝ่าไฟแดง ชอบฝ่าไม้กั้นทางรถไฟ ชอบย้อนศร ชอบขับขี่รถขึ้นทางคนเดิน และอีกสารพัดชอบที่เป็นความชั่ว เหมือนดังเช่นที่คนไทยไม่ใส่ใจว่าไฟที่เราจุดเผาจะสร้างความลำบากแก่ใครอย่างไรบ้าง อยากเผาก็เผา เหมือนดังเช่นที่คนไทยคิดตากข้าวก็ตากบนถนนกินเลนไปครึ่งทางตลอดแนว เหมือนดังเช่นที่คนไทยอยากใช้ก็จะใช้ อยากกินก็จะกิน อยากทิ้งตรงไหนก็จะทิ้ง แม้นรู้ดีว่าการกินการใช้การทิ้งของตน สร้างภาระแก่สังคมและโลกใบนี้มากมายมหาศาล เหมือนดังเช่นที่คนไทยบอกว่าผู้มีอำนาจหรือคนมาบริหารประเทศโกงบ้างไม่เป็นไรขอให้เก่งเป็นพอ แม้นจะเก่งในทางโกงก็ตาม เหมือนที่คนไทยชอบแซงคิวคนอื่นไม่สนใจใครยืนรอต่อกันอยู่ก่อน ขอแทรกนิด ขอแทรกหน่อยก็เอา เหมือนที่คนไทยชอบใช้เส้นสายให้คนรู้จักดำเนินการอะไรให้ทางสะดวกในทุกวงการตั้งแต่ระดับล่างไปยันระดับบนโดยที่ต้องมีใต้โต๊ะ หรือถ้ารู้จักสนิทสนมก็ไม่ต้องจ่าย เหมือนที่คนไทยไม่เคยจดจำว่าใครเคยทำเลวทำชั่ว ทำร้ายคนอื่นทำร้ายประเทศไว้มากขนาดไหน แค่เขาใช้ลมปากเข้าหน่อยก็หลงเคลิ้มไปกับสิ่งที่เขาพ่นออกมาราวกับว่านั่นคือวาจาของทูตสวรรค์ เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าเรื่องไม่ดีส่วนตัวของคนสาธารณะไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องงาน เขาจะเลวจะร้ายอย่างไรฉันไม่สน ขอเสพสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ฉันพอใจได้เท่านั้นแหละ และอีกมากมายที่เราคนไทยซึ่งเป็นพันธุ์อย่างนี้มานมนาน แล้วไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังปล่อยให้นิสัยเสียเช่นนี้แอบแฝงอยู่ในตัวตนของเราต่อไป แล้วก็ใช้ชีวิตไปอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันที่เราหลุดพ้นออกจากดีเอ็นเอนี้ ที่สร้างความอักเสบไปทั่วประเทศได้สักที เพราะทุกคนแค่บ่นด่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบระดับบนเพื่อให้พ้นตัว ทว่าปล่อยคนคนหนึ่งให้ยังใช้ชีวิตแบบไร้ความรับผิดชอบต่อไป เพราะคิดอย่างสั้นเอาว่าเป็นหน้าที่ของเขา โดยไม่มองเห็นเลยว่าแล้วตัวเราเองล่ะ หน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่แล้วหรือยัง ถ้าเราไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เราอาจคือฝุ่นพีเอ็ม2.5ที่ทำร้ายคนไทยด้วยกันอยู่ทุกวันก็เป็นได้ ที่นี่ประเทศไทย #บทความ #ข้อคิด #thaitimes #คนไทย #วิกฤตฝุ่น
    0 Comments 0 Shares 836 Views 0 Reviews
More Results