• ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลยืนยันว่ายังคงยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่มีสหรัฐฯสนับสนุน แม้เพิ่งเปิดปฏิบัติการแก้แค้นให้กับนายทหารยิวที่เสียชีวิตรายหนึ่ง ด้วยการถล่มฉนวนปาเลสไตน์ตลอดทั้งวัน สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 104 ราย ความเคลื่อนไหวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รุดออกมากลบกระแสความกังวล บอกเป็นแค่การตอบโต้กลับและเชื่อว่าข้อตกลงหยุดยิงยังไม่เสี่ยงพังครืน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103513

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    อิสราเอลยืนยันว่ายังคงยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่มีสหรัฐฯสนับสนุน แม้เพิ่งเปิดปฏิบัติการแก้แค้นให้กับนายทหารยิวที่เสียชีวิตรายหนึ่ง ด้วยการถล่มฉนวนปาเลสไตน์ตลอดทั้งวัน สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 104 ราย ความเคลื่อนไหวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รุดออกมากลบกระแสความกังวล บอกเป็นแค่การตอบโต้กลับและเชื่อว่าข้อตกลงหยุดยิงยังไม่เสี่ยงพังครืน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103513 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก

    บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป
    Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech
    เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ

    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China
    กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน
    รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU)

    องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ
    Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ”
    Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก”
    สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้”

    Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ
    พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ
    แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด

    การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025
    ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ
    อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว

    ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น
    ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
    หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่

    https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    🚗💥 วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์ ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech ➡️ เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ ✅ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน ➡️ รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU) ✅ องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ ➡️ Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ” ➡️ Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก” ➡️ สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้” ✅ Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ➡️ พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ ➡️ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด ‼️ การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025 ⛔ ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ ⛔ อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว ‼️ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ⛔ ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ⛔ หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Another Chip Shortage Is Coming, And It Could Seriously Mess With Automakers - SlashGear
    Chipmaker Nexperia, which supplies many of the world's automakers, is under export restrictions amidst a tug-of-war between the Dutch and Chinese governments.
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.11

    เรื่อง “กลางคืน” ในมิติของกฎหมายนั้นแตกต่างจากความเข้าใจในชีวิตประจำวันอย่างที่เราคุ้นชินกัน เวลาหกโมงเย็นหรือหกนาฬิกาเช้าที่เราใช้เป็นหลักในชีวิตประจำวันไม่ได้เป็นตัวกำหนดนิยามทางกฎหมายของเวลากลางคืนโดยตรง แท้จริงแล้ว การกำหนดช่วงเวลา "กลางคืน" ตามหลักกฎหมายจะอิงตามปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเคร่งครัด นั่นคือช่วงเวลาระหว่างที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า (พระอาทิตย์ตก) ไปจนถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า (พระอาทิตย์ขึ้น) การกำหนดโดยใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของ "กลางคืน" จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันตามฤดูกาลและตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ไม่ได้ตายตัวอยู่ที่ตัวเลขในนาฬิกาตามที่หลายคนเข้าใจผิด

    การที่กฎหมายให้ความสำคัญกับการกำหนด "กลางคืน" อย่างเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผลทางกฎหมายของการกระทำต่างๆ เนื่องจากกฎหมายหลายฉบับในทางอาญาได้กำหนดให้การกระทำความผิดในช่วงเวลากลางคืนนั้นเป็นเหตุที่เพิ่มโทษให้หนักขึ้นกว่าการกระทำความผิดในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งหลักการนี้มีที่มาจากการที่เวลากลางคืนถือเป็นช่วงเวลาที่บุคคลโดยทั่วไปอยู่ในภาวะพักผ่อนและเป็นช่วงเวลาที่การป้องกันตัวหรือการได้รับความช่วยเหลือนั้นทำได้ยากลำบากกว่าปกติ การอาศัยความมืดมิดในการก่ออาชญากรรมจึงถือเป็นการฉวยโอกาสและแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายที่มากกว่า จึงสมควรได้รับโทษที่หนักกว่าเพื่อป้องปรามและตอบโต้ต่อความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ การพิจารณาคดีอาญาจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดตามนิยามทางกฎหมายที่อิงตามดวงอาทิตย์อย่างแท้จริง

    ดังนั้น ในการตีความและบังคับใช้กฎหมาย การทำความเข้าใจนิยามของ "กลางคืน" ให้ถูกต้องตามหลักการที่อิงกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเคร่งครัดจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การยึดถือเพียงตัวเลขในนาฬิกาเป็นเกณฑ์อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการพิจารณาโทษได้ ความเข้าใจที่ถูกต้องนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราตระหนักถึงความแตกต่างทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คนเรามีความเปราะบางที่สุด นั่นคือช่วงเวลาแห่งความมืดมิดที่พระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น
    บทความกฎหมาย EP.11 เรื่อง “กลางคืน” ในมิติของกฎหมายนั้นแตกต่างจากความเข้าใจในชีวิตประจำวันอย่างที่เราคุ้นชินกัน เวลาหกโมงเย็นหรือหกนาฬิกาเช้าที่เราใช้เป็นหลักในชีวิตประจำวันไม่ได้เป็นตัวกำหนดนิยามทางกฎหมายของเวลากลางคืนโดยตรง แท้จริงแล้ว การกำหนดช่วงเวลา "กลางคืน" ตามหลักกฎหมายจะอิงตามปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเคร่งครัด นั่นคือช่วงเวลาระหว่างที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า (พระอาทิตย์ตก) ไปจนถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า (พระอาทิตย์ขึ้น) การกำหนดโดยใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของ "กลางคืน" จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันตามฤดูกาลและตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ไม่ได้ตายตัวอยู่ที่ตัวเลขในนาฬิกาตามที่หลายคนเข้าใจผิด การที่กฎหมายให้ความสำคัญกับการกำหนด "กลางคืน" อย่างเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผลทางกฎหมายของการกระทำต่างๆ เนื่องจากกฎหมายหลายฉบับในทางอาญาได้กำหนดให้การกระทำความผิดในช่วงเวลากลางคืนนั้นเป็นเหตุที่เพิ่มโทษให้หนักขึ้นกว่าการกระทำความผิดในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งหลักการนี้มีที่มาจากการที่เวลากลางคืนถือเป็นช่วงเวลาที่บุคคลโดยทั่วไปอยู่ในภาวะพักผ่อนและเป็นช่วงเวลาที่การป้องกันตัวหรือการได้รับความช่วยเหลือนั้นทำได้ยากลำบากกว่าปกติ การอาศัยความมืดมิดในการก่ออาชญากรรมจึงถือเป็นการฉวยโอกาสและแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายที่มากกว่า จึงสมควรได้รับโทษที่หนักกว่าเพื่อป้องปรามและตอบโต้ต่อความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ การพิจารณาคดีอาญาจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดตามนิยามทางกฎหมายที่อิงตามดวงอาทิตย์อย่างแท้จริง ดังนั้น ในการตีความและบังคับใช้กฎหมาย การทำความเข้าใจนิยามของ "กลางคืน" ให้ถูกต้องตามหลักการที่อิงกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเคร่งครัดจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การยึดถือเพียงตัวเลขในนาฬิกาเป็นเกณฑ์อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการพิจารณาโทษได้ ความเข้าใจที่ถูกต้องนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราตระหนักถึงความแตกต่างทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คนเรามีความเปราะบางที่สุด นั่นคือช่วงเวลาแห่งความมืดมิดที่พระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์

    บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

    YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน”

    ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์

    นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก
    ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย
    วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก

    การตอบโต้จากบริษัทล็อก
    ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
    กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด
    กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส
    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ
    การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น

    คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
    การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
    ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า


    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    🔒 บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์ บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน” ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก ➡️ ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย ➡️ วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก ✅ การตอบโต้จากบริษัทล็อก ➡️ ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด ➡️ กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส ➡️ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ ➡️ การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ⛔ การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ⛔ ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ⛔ การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    ARSTECHNICA.COM
    10M people watched a YouTuber shim a lock; the lock company sued him. Bad idea.
    It’s still legal to pick locks, even when you swing your legs.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก

    คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย

    สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ

    1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก)

    2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี

    ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน

    ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU
    ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย
    Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา
    ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง

    ผลกระทบตามกฎหมาย DSA
    หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก
    ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส

    การตอบโต้จากบริษัท
    Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA
    TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR
    TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา
    ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส
    นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม

    https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    ⚖️ Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ 1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก) 2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU ➡️ ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย ➡️ Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา ➡️ ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง ✅ ผลกระทบตามกฎหมาย DSA ➡️ หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก ➡️ ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส ✅ การตอบโต้จากบริษัท ➡️ Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA ➡️ TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR ➡️ TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา ⛔ ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส ⛔ นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    SECURITYONLINE.INFO
    EU Charges Meta and TikTok with Widespread DSA Violations
    The European Commission has formally accused Meta and TikTok of violating the DSA by hiding illegal content reporting and obstructing access for researchers.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI

    Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต

    Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้

    ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง

    Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI

    คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล

    รายละเอียดคดีฟ้องร้อง
    Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์
    บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล

    หลักฐานสำคัญ
    Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้
    พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit

    การตอบโต้จาก Perplexity
    ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit
    ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ
    กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI

    ความเคลื่อนไหวของ Reddit
    เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน
    มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI
    เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI

    https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    🧠 Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้ ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล ✅ รายละเอียดคดีฟ้องร้อง ➡️ Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์ ➡️ บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล ✅ หลักฐานสำคัญ ➡️ Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้ ➡️ พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง ➡️ ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit ✅ การตอบโต้จาก Perplexity ➡️ ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit ➡️ ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ ➡️ กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI ✅ ความเคลื่อนไหวของ Reddit ➡️ เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน ➡️ มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI ➡️ เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    SECURITYONLINE.INFO
    Reddit Sues Perplexity and Data Brokers for 'Industrial-Scale' Scraping
    Reddit has filed a lawsuit against Perplexity and three data brokers, accusing them of unauthorized, "industrial-scale" scraping of its content for AI training.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์”

    ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่

    แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา

    แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN

    นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม

    รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน
    ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act
    ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม”
    รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก
    เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling
    มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม

    การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว
    องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action
    มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน
    เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN
    ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ
    ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล

    บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี
    กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป
    สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง
    การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ
    VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม

    https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    🛡️ “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์” ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม ✅ รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน ➡️ ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ➡️ ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” ➡️ รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก ➡️ เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling ➡️ มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม ✅ การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว ➡️ องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action ➡️ มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน ➡️ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN ➡️ ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ ➡️ ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล ✅ บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี ➡️ กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป ➡️ สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง ➡️ การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ ➡️ VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    US States Want To Ban VPNs, But Citizens Are Already Fighting Back - SlashGear
    The Michigan ban is about more than moderating content. VPNs play an essential role in protecting citizens' right to access and share information.
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ”

    Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน

    GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง:

    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน

    Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา

    NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา

    GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง
    Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง
    Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ
    NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน

    เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร
    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    วิธีการที่ใช้
    เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง
    โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม
    การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว

    https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    🕵️ “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ” Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง: 📰 สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย 📰 โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ 📰 ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล 📰 ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ➡️ Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง ➡️ Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ ➡️ NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน ✅ เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร ➡️ สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย ➡️ โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ ➡️ ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล ➡️ ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ ✅ วิธีการที่ใช้ ➡️ เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง ➡️ โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม ➡️ การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Exposes Russian Disinformation Blitz Over Poland Airspace Incursion Using Portal Kombat Network
    Google exposed pro-Russia IO campaigns (Portal Kombat, Doppelganger) exploiting a Polish drone incursion to deflect blame from Russia, undermine NATO, and discredit the Polish government.
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘แอนะล็อกชิป’ จากสหรัฐ – ขอข้อมูลลูกค้า กำไร และต้นทุนแบบละเอียด!”

    จีนกำลังดำเนินการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Texas Instruments และ Analog Devices ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ เพื่อขอข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับยอดขาย ต้นทุน กำไร และชื่อของลูกค้าในจีน

    แบบสอบถามนี้ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการขาย ค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเจรจาการค้าระดับสูง

    แม้จะไม่มีการระบุชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่ลักษณะของชิปที่ถูกสอบสวน—เช่น commodity interface IC และ gate driver IC ที่ใช้เทคโนโลยี 40nm ขึ้นไป—ตรงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทสหรัฐฯ หลายราย

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากจีนถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง และใช้การอนุญาตฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เป็นเครื่องมือในการเจรจา ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวนด้านการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ

    รายละเอียดการสอบสวนของจีน
    กระทรวงพาณิชย์จีนส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ
    ขอข้อมูลยอดขาย กำไร ต้นทุน และชื่อลูกค้าในจีน
    ครอบคลุมข้อมูลเช่นค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และวัตถุดิบ
    บริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ
    สอบสวนชิปแอนะล็อก เช่น interface IC และ gate driver IC

    บริบททางการค้าและการตอบโต้
    เกิดขึ้นในช่วงเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
    สหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง
    จีนตอบโต้ด้วยการสอบสวนการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ
    เป็นสัญญาณว่าจีนสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้
    การสอบสวนอาจนำไปสู่การจำกัดการนำเข้าชิปจากสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-wants-us-semiconductor-companies-to-submit-sensitive-data-as-part-of-probe-anti-dumping-investigation-requests-sales-and-profit-data
    🇨🇳 “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘แอนะล็อกชิป’ จากสหรัฐ – ขอข้อมูลลูกค้า กำไร และต้นทุนแบบละเอียด!” จีนกำลังดำเนินการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Texas Instruments และ Analog Devices ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ เพื่อขอข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับยอดขาย ต้นทุน กำไร และชื่อของลูกค้าในจีน แบบสอบถามนี้ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการขาย ค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเจรจาการค้าระดับสูง แม้จะไม่มีการระบุชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่ลักษณะของชิปที่ถูกสอบสวน—เช่น commodity interface IC และ gate driver IC ที่ใช้เทคโนโลยี 40nm ขึ้นไป—ตรงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทสหรัฐฯ หลายราย การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากจีนถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง และใช้การอนุญาตฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เป็นเครื่องมือในการเจรจา ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวนด้านการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ ✅ รายละเอียดการสอบสวนของจีน ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ ➡️ ขอข้อมูลยอดขาย กำไร ต้นทุน และชื่อลูกค้าในจีน ➡️ ครอบคลุมข้อมูลเช่นค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และวัตถุดิบ ➡️ บริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ➡️ สอบสวนชิปแอนะล็อก เช่น interface IC และ gate driver IC ✅ บริบททางการค้าและการตอบโต้ ➡️ เกิดขึ้นในช่วงเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการสอบสวนการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ ➡️ เป็นสัญญาณว่าจีนสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ ➡️ การสอบสวนอาจนำไปสู่การจำกัดการนำเข้าชิปจากสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-wants-us-semiconductor-companies-to-submit-sensitive-data-as-part-of-probe-anti-dumping-investigation-requests-sales-and-profit-data
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China wants US semiconductor companies to submit sensitive data as part of probe — 'anti-dumping' investigation requests sales and profit data
    No specific businesses have been named, but the probe seems designed to target Texas Instruments and Analog Devices.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • “Nexperia โต้กลับอดีต CEO จีน — ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินและการแยกตัวในจีน” — เมื่อสงครามเทคโนโลยีระหว่างยุโรป-จีนลุกลามถึงระดับผู้บริหาร

    บริษัทผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ Nexperia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ Zhang Xuezheng อดีต CEO ฝั่งจีนที่เพิ่งถูกปลด โดยระบุว่าข้อกล่าวหาที่ว่า “บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานในจีน” และ “หน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานอย่างอิสระ” เป็นข้อมูลเท็จและทำให้เข้าใจผิด

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการของ Nexperia เพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน โดยมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่กังวลว่า Zhang ใช้ทรัพยากรของ Nexperia สนับสนุนบริษัทผลิตชิปส่วนตัวของตนเอง

    หลังจากนั้น จีนได้สั่งห้ามโรงงานของ Nexperia ในจีนส่งออกสินค้า และ Zhang ก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน WeChat อ้างว่าหน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งการจัดการจากเนเธอร์แลนด์

    Nexperia ยืนยันว่าโรงงานทุกแห่งยังดำเนินงานตามปกติ และข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนนั้น “ไม่เป็นความจริง” โดยระบุว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความสับสน

    รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ Vincent Karremans ซึ่งมีอำนาจอนุมัติการตัดสินใจของบริษัทในช่วงที่รัฐบาลเข้าควบคุม กำลังเตรียมพบกับเจ้าหน้าที่จีนและคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อหาทางออก

    เขาให้สัมภาษณ์ว่า “หากไม่ดำเนินการใด ๆ ยุโรปจะต้องพึ่งพาต่างชาติ 100% ในด้านความรู้และกำลังการผลิตชิป” ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

    Nexperia ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากอดีต CEO Zhang Xuezheng
    ระบุว่าเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนและการแยกตัวในจีนเป็นข้อมูลเท็จ

    Zhang ถูกปลดหลังถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรบริษัทสนับสนุนกิจการส่วนตัว
    เป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ

    จีนสั่งห้ามโรงงาน Nexperia ส่งออกสินค้า
    เป็นการตอบโต้การควบคุมจากฝั่งยุโรป

    ข้อกล่าวหาถูกเผยแพร่ผ่าน WeChat ของ Nexperia China
    อ้างว่าหน่วยงานจีนสามารถดำเนินงานได้เอง

    รัฐมนตรี Vincent Karremans เตรียมหารือกับจีนและ EU
    เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง

    Nexperia เป็นผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ และยานยนต์
    แม้ไม่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/embattled-dutch-chipmaker-nexperia-blasts-ousted-ceo-over-false-accusations-claims-of-unpaid-salaries-and-independent-operation-in-china-are-falsehoods-say-company
    🇳🇱 “Nexperia โต้กลับอดีต CEO จีน — ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินและการแยกตัวในจีน” — เมื่อสงครามเทคโนโลยีระหว่างยุโรป-จีนลุกลามถึงระดับผู้บริหาร บริษัทผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ Nexperia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ Zhang Xuezheng อดีต CEO ฝั่งจีนที่เพิ่งถูกปลด โดยระบุว่าข้อกล่าวหาที่ว่า “บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานในจีน” และ “หน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานอย่างอิสระ” เป็นข้อมูลเท็จและทำให้เข้าใจผิด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการของ Nexperia เพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน โดยมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่กังวลว่า Zhang ใช้ทรัพยากรของ Nexperia สนับสนุนบริษัทผลิตชิปส่วนตัวของตนเอง หลังจากนั้น จีนได้สั่งห้ามโรงงานของ Nexperia ในจีนส่งออกสินค้า และ Zhang ก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน WeChat อ้างว่าหน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งการจัดการจากเนเธอร์แลนด์ Nexperia ยืนยันว่าโรงงานทุกแห่งยังดำเนินงานตามปกติ และข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนนั้น “ไม่เป็นความจริง” โดยระบุว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความสับสน รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ Vincent Karremans ซึ่งมีอำนาจอนุมัติการตัดสินใจของบริษัทในช่วงที่รัฐบาลเข้าควบคุม กำลังเตรียมพบกับเจ้าหน้าที่จีนและคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อหาทางออก เขาให้สัมภาษณ์ว่า “หากไม่ดำเนินการใด ๆ ยุโรปจะต้องพึ่งพาต่างชาติ 100% ในด้านความรู้และกำลังการผลิตชิป” ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี ✅ Nexperia ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากอดีต CEO Zhang Xuezheng ➡️ ระบุว่าเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนและการแยกตัวในจีนเป็นข้อมูลเท็จ ✅ Zhang ถูกปลดหลังถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรบริษัทสนับสนุนกิจการส่วนตัว ➡️ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ ✅ จีนสั่งห้ามโรงงาน Nexperia ส่งออกสินค้า ➡️ เป็นการตอบโต้การควบคุมจากฝั่งยุโรป ✅ ข้อกล่าวหาถูกเผยแพร่ผ่าน WeChat ของ Nexperia China ➡️ อ้างว่าหน่วยงานจีนสามารถดำเนินงานได้เอง ✅ รัฐมนตรี Vincent Karremans เตรียมหารือกับจีนและ EU ➡️ เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง ✅ Nexperia เป็นผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ และยานยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/embattled-dutch-chipmaker-nexperia-blasts-ousted-ceo-over-false-accusations-claims-of-unpaid-salaries-and-independent-operation-in-china-are-falsehoods-say-company
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • เรื่อง ของขวัญ
    “ของขวัญ”
    (1)
    ปีใหม่นี้ เดิมทีผมตั้งใจว่าจะเขียนกลอนหน้าต่างสักบาน สองบาน ให้ท่านผู้อ่านครื้นเครงกันเล่น แต่สมองไม่แล่น ดันกลอนไม่ออก เลยได้แต่ส่งรูปช้างไทยหวงถิ่น ที่ผมแสนจะหลงรัก ประทับใจในความหวงถิ่นของช้างหนุ่มเชือกนี้ไปให้ดูแก้ขัดไปก่อน แต่อันที่จริงผมกำลังซุ่มเงียบ เขียนนิทานเรื่องลึกลับซับซ้อนอยู่ แต่มันก็ซับซ้อนเสียจนผมใช้เวลาถอดรหัสนานมาก อดใจรอหน่อยนะครับ
    ระหว่างนี้ ผมเห็นเขาส่งของขวัญกันเป็นว่าเล่น หลังจากดิ้นพล่านออกอาการสาระพัดเรื่องแบบเด็กขี้อิจฉาไปแล้ว คราวนี้ยกระดับความเข้มไปอีกหนึ่งหุน ถึงกับลงทุนส่งของขวัญจะไม่เขียนถึง เดี๋ยวคนจัดส่งของขวัญ เขาจะน้อยใจ ว่าไม่เห็นหัวเลยหรือไง เลยต้องเอาเสียหน่อย
    ผมเห็นเขาเริ่มส่งของขวัญกัน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2557 เหตุเกิดที่ร้านกาแฟที่ออสเตรเลียก็จริง แต่เป้าหมายมุ่งไปไกลกว่านั้น ข่าวบอกว่าคนถือของขวัญเป็นชาวอิหร่านที่ขอเข้ามาอยู่ที่ออสเตรเลีย ข่าวหนึ่งบอกว่า ลี้ภัยการเมือง อีกข่าวดันบอกว่าเป็นคนบ๊อง เอะยังไง จะลี้ภัยหรือเป็นบ๊อง แต่ก็เป็นชาวอิหร่านแล้วกัน ทำไมต้องเป็นชาวอิหร่าน?
    อิหร่านเป็นแนวร่วมสำคัญยิ่งของคู่ชิงแชมป์ฝั่งรัสเซีย จีน มีความหมายมาก ทั้งด้านสถานที่ตั้งประเทศ อาวุธ ชั้นเชิง และที่สำคัญ ความพร้อมด้านจิตใจ อเมริกาพยายามทั้งบี้ ขยี้ แต่อิหร่านไม่แหลกคามือเสียที อิหร่านกลับฟื้น พร้อมพกอาวุธนิวเคลียร์ เรื่องนี้ยิ่งทำให้อเมริกาหงุดหงิด ขัดใจมากขึ้น
    อเมริกากับอิหร่าน มีการเจรจากันเรื่องให้อิหร่านหยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาหลายรอบ ในปี 2014 กำหนดการเจรจาสิ้นสุด 24 พฤศจิกายน โดยไม่มีความคืบหน้า อเมริกานินทาว่า อิหร่านเจรจาไปพัฒนาอาวุธไป ยิ่งเจรจานาน นิวเคลียร์อิหร่านคงเสร็จครบตามเป้าหมาย อิหร่านบอกงั้นเลิกเจรจาเอาไหมล่ะ ใบตองแห้งใจไม่ถึง ตกลงนัดเจอกันอีกทีเดือนธันวาคม เพื่อจะสรุปว่าจะการเจรจากันต่อไหม
    ก่อนถึงวันนัดสรุป มันก็ต้องมีการบีบบี้กันเบี้ยวเสียหน่อย ฉากที่สั่งให้เปิดแสดงง่ายๆ ก็เลยเลือกเอาแดนจิงโจ้ ที่ตอนประชุม G 20 ลบ 1 ช่วยกันแสดงบทผู้ดีรุมตีแขก ขอเปิดอีกสักฉากเป็นไรไป ไอ้พวกที่วิ่งหนีกระสุนน่ะ มันพวกเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเราทั้งนั้น คนของเราอย่าให้มายุ่ง แต่ดันหลุดโผไปคนนึง คุณแหม่มแกวิ่งหนีไม่ทัน ใบตองแห้งคิดว่าอิหร่านจะออกมาตอบโต้ จะได้ถือโอกาสบี้กลับ แหม เดาผิดไปไกลเลยพี่โอ อิหร่านน่ะเขามีบทเรียนแยะแล้ว ไม่หลงกลง่ายๆ สู้แอบซุ่ม สร้างระเบิดต่อดีกว่า ของขวัญเลยไม่ค่อยมีคนตื่นเต้น ตีปีบซะเกือบตาย ก็ไม่เอาดาราแดนจิ้งโจ้ดังๆมาเข้าฉากนี่น้า นับรอง CNN ตีข่าวไม่เลิก
    ส่วนการเจรจา ก็เลยสรุปว่า งั้นเราเจรจาต่อไปแล้วกันนะจนถึงเดือนมีนาคม 2015 และต้องจบเรื่องภายในเดือนนิถุนาย ปี 2015
    อิหร่านหัวร่อ หึ หึ แบบนี้ก็ผลิตได้อีกหลายลูก ไอ้ที่เจ็บที่ตาย เรื่องของใบตองแห้ง เราเสี่ยนิวเคลียร์ไม่เกี่ยวด้วย
    (2)
    ของขวัญส่งชิ้นเดียวมันจะตื่นเต้นได้ยังไง ตอนนี้เหตุการณ์มันเริ่มงวดเข้ามาแล้ว อะไรๆก็ยังไม่ลงตัว สมันน้อยเดี๋ยวนี้ชักจะแข็งข้อ ไม่รู้ไปได้ยาดีมาจากไหน (สงสัยอ่านนิทานมากไป ฮา) หันไปจับมือ จูบปากกับอาเฮีย ทำท่าจะเปิดบ้านให้พวกอาเฮียรวยทองมาสร้างทางรถไฟ แบบนี้มันหยามหน้าเรา สมันน้อยก็เตรียมตัวรับมือหน่อยนะ ใบตองแห้งมันเอาคืนแน่ แต่มันจะทอดเวลา รอเราลืมเรื่องสักแป๊บ แล้วมันค่อยส่งของขวัญมาให้
    แต่ไอ้ที่เคยเดินกร่าง เข้ามาในบ้านสมันน้อยง่ายๆ แบบสมัยก่อนน่ะ ไม่แน่ว่าสมันน้อยยุคคุณพี่ตู่แกจะยอมง่ายๆ คนรอขวาง รอเสียบมีอยู่นะ คุณพี่ตู่ก็อย่าหยิบบทผิดมาเล่นแล้วกันนะครับ แล้วจะทำยังไง บอกแล้วว่าใช้เป็นฐานทัพก็เรื่องหนึ่ง แต่การส่งบำรุงกำลังพลมันก็อีกเรื่องนึง ทอดตาดูแถบนี้แล้ว จะไปเอาใครที่ไหนมาส่งบำรุงกำลังให้ ไล่มาเลย ตั้งแต่ พม่า ลาว เขมร เวียตนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น
    5 ประเทศแรก ไม่มีความพร้อมส่งทั้งด้านอาหารและพลังงาน เกาหลีพร้อม แต่ขืนไปเทียบท่าแถบนั้น ก็เท่ากับเดินเข้าปากอาเฮีย ถูกเคี้ยวอร่อยไปเท่านั้น ส่วนญี่ปุ่นอย่าไปพูดถึงเลย ของจริงน่าสงสารจนพูดไม่ออก เอาว่า ตัวเองก็จะไม่รอด แล้วจะไปส่งกำลังให้ใครได้
    แล้วเหลือใครในแถบนี้ ก็คงมีแค่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และสมันน้อย
    สิงคโปร์ไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง คงได้แค่ส่งกำลังบำรุง แบบเซ่นเจ้าไหว้ศาล ทั้งประเทศ ขนาดเล็กกว่ากรุงเทพมหา พระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ของเราอีก หัดภูมิใจบ้านเรากันบ้างนะครับ สิงคโปร์มันมีถนนหรู หลอกให้เดินซื้อของ 2,3 ถนนเอง กับถมทะเลทำเป็นที่นั่งเล่นนั่งกิน อาหารก็ไม่ได้เศษความอร่อยของบ้านเรา ป้าอ้วนแม่ครัวบ้านผมทำอร่อยกว่า 500 เท่า เราไม่ต้องเห่อเอาเงินไปให้มันหรอก ไอ้สิงคโปร์น่ะ
    เหลือมาเลเซียที่น่าสนใจ เราถึงได้เห็นนายโอบามาไปเดินโชว์ขาตะเกียบตีกอล์ฟกับนายราจิบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2014 ขณะที่มาเลเซียกำลังน้ำท่วมถึงคอหอย ชาวมาเลย์ด่า เรียกให้นายกกลับมาดูแลได้แล้ว(โว้ย) ผลการตีกอล์ฟไปคุยไปเป็นอย่างไรไม่ทราบ วันที่ 29 ธันวาคม เครื่องบินของสายการบินแอร์เอเซีย ติดธงชาติมาเลย์ก็หายวับไปจากจอเรดาร์ เป็นเรื่องเศร้าส่งท้ายปีเก่า
    มาเลเซีย ถึงจะเป็นลูกกระเป๋งเก่า ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ แต่การเมืองภายในและเรื่องเชิ้อชาติศาสนา ซับซ้อน หลายพวกหลายกลุ่ม แถมเป็นถิ่นสำหรับกบดาน และทางผ่านของเหล่าเสือซ่อนรูป สารพัดสัญชาติ ไอ้นักล่าใบตองแห้งส่งพวก Contactor มาคุมเชิงอยู่หลายพันคน มาอย่างน้อย 5 ปีแล้ว นักล่าใบตองแห้งเก็งไว้ว่า ถ้าจวนตัวจริงๆ สมันน้อยกลายเป็นช้างไทยหวงถิ่นขึ้นมา นักล่าก็คงต้องจำใจใช้มาเลเซีย เป็นฐานวิ่งรอกกับฐานลับที่หมู่เกาะ Diego Garcia แต่มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ก็มันชุมทางเสือแบบนั้น ไว้ใจได้หรือ ใครเป็นใคร ใครกลายพันธ์ไปแล้วบ้าง ราคาต่อรองมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ฉะน้ั้น สมันน้อยก็ต้องรอบคอบ ระวังตัวให้มากๆ ดูเหตุการณ์มาเลเซีย และฝรั่งเศสที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ เป็นอุทาหรณ์ไว้
    (3)
    เรื่องที่ฝรั่งเศส คงมีใครอยากให้บานปลาย กลายเป็นเรื่องระหว่างยิวกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง จะเป็นไอซิสพันธ์แท้ กลายพันธ์ หรือ พันธ์ปลอมก็แล้วแต่ แต่เรื่องคงจบไม่ง่ายๆ
อุตส่าห์ขนชุดปราบจราจลมาจนเกลี้ยงเมือง เงื้อง่ากันมาถึงขนาดนี้แล้ว
    ต้องไม่ลืมว่า เมือต้นเดือนธันวาคม 2014 นายฟรังซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แวะไปจอดเครื่องบินแอบคุยกับคุณพี่ปูติน ที่มาคอยอยู่สนามบินกรุงมอสโคว์ แบบไม่มีหมายกำหนดการณ์ นี่มันผู้นำประเทศมหาอำนาจนะครับ ไม่ใช่คุณๆผมๆ ที่ขับรถผ่านบ้านแล้วคิดถึง ขอเข้ามากินกาแฟคุยกันสักหน่อย ท่านผู้นำเขาทำแบบนี้ แปลว่ามันต้องเรื่องใหญ่ เรื่องอะไรผมไม่รู้ แต่คนที่น่าจะรู้เรื่องและนั่งไม่ติดมีหลายคน ตั้งแต่นายโอบามานักล่าขาตะเกียบ และไอ้จีบปาก นายเดวิด แคมารอน นายกรัฐมนตรีของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ส่วนคุณป้าแมร์เคิลแห่งเยอรมัน ก็น่าจะอยู่ในข่ายที่หายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกัน
    เพราะฉะนั้น ก่อนอเมริกาจะปรับยุทธศาสตร์ใหม่ จะเป็นยุทธศาสตร์รุกคืบ หรือรุกฆาตก็ตาม อเมริกาคงต้องมีส่งของขวัญ ไปถามใจเธอหน่อยกับบรรดาพันธมิตรรุ่นใหญ่ว่า ยังอยู่ดีกับพี่เบิ้มหรือเปล่าจ้ะ
    รุ่นใหญ่ที่ได้รับของขวัญเป็นรายแรก ต้อนรับปีใหม่ ก็คือฝรั่งเศส ที่แอบแวบไปจู๋จี๋กับคุณพี่ปูตินนั่นแหละ และถ้าถามกันแล้ว คำตอบไม่น่าพอใจ เราคงได้เห็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสบานปลาย พอให้ยิวถือโอกาสขยับสัก 2,3 ก้าว เอาหัวรบไปจ่อ ฝ่ายตรงข้ามในตะวันออกกลาง กันไม่ให้อิหร่านขยับตัวคล่องไป และได้ดูใจตุรกีว่า ตกลงใจจะลงมาเดินบนพื้น หรืออยากไต่ลวดเล่นเสียวต่อ แต่ถ้ายิวเลยเถิด จะจ่อหัวรบเงยขึ้นไปทางเหนือแบบนั้น คงได้เห็นดอกเห็ดบานจริง
    หลายชาติไม่อยากทำสงคราม นอกจากกระเป๋ากำลังแห้งแล้ว แถมหนาวจะตายอีกด้วย ใครจะไปอยากรบ แต่เยอรมัน โดยคุณป้าแมร์เคิล เลือดยิวเก่า หัวเรือใหญ่ในยุโรปและนาโต้บอกว่า เราคงไม่คว่ำบาตรรัสเซียไม่ได้ พร้อมจับมือกับนาโต้เดินหน้าตามคำสั่งของนักล่าขาตะเกียบ
    แต่มีคำพูดรู้กันทั่วว่า ในเยอรมัน ไม่ใช่รัฐบาลเท่านั้นที่ใหญ่ Siemens บริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ ที่ผลิตตั้งแต่เครื่องบิน เรือ รถไฟฟ้า จนถึงเครื่องซักผ้า และที่เป่าผม ก็คิดว่า ตัวเองใหญ่ไม่น้อยกว่ารัฐบาล เคยมีผู้บริหารใหญ่ของ Siemens พูดว่า Siemens ก็คือเยอรมันนั่นแหละ รัฐบาลมาแล้วก็ไป แต่เราซิ อยู่คู่กับประเทศเยอรมันมาตลอด
    ไม่นานหลังจากที่ คุณพี่ปูตินผนวกไครเมียกลับมาอยู่ในอ้อมอก เมื่อต้นปีที่แล้ว นาย Joe Kaeser ซีอีโอของ Siemens เดินทางไปเยี่ยมนายปูตินที่บ้านพักนอกเมืองมอสโคว์ แล้วบอกกับนายปูตินว่า บริษัทเราทำธุรกิจกับรัสเซียมากว่า 160 ปีแล้ว เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องไครเมีย ที่เป็นเรื่องวุ่นวายช่วงสั้นนี้ มากระทบความสัมพันธ์ของ Siemens กับรัสเซียอันยาวนานหรอก
    แบบนี้นักล่าใบตองแห้ง ก็คงยังต้องตามประกบคุณนายแมร์เคิลต่อไปอีก แต่อีกไม่นานคงได้รู้กันว่า คนเยอรมันจะได้รับของขวัญหรือไม่
    ส่วนชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ชี้นกเป็นไม้คู่กับนักล่าใบตองแห้งมาตลอด คราวนี้โผบอก เราน่าจะสร้างเรื่องให้ยิวได้ทดลองขยับหมาก ดังนั้น หลังจากความอลหม่านเกิดขึ้นในฝรั่งเศสแล้ว คงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ถ้าอังกฤษจะสั่งการรับมือเตรียมภัยขั้นสูงให้สอดคล้องกัน และอาจจะมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับฝรั่งเศสลามไปที่อังกฤษด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แปลว่า นักล่ากับชาวเกาะ ช่วยกันห่อของขวัญ เช็คเรทติ่ง เตรียมปรับยุทธศาสตร์ ขยับหมากรุกแน่นอน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 มค. 2558
    เรื่อง ของขวัญ “ของขวัญ” (1) ปีใหม่นี้ เดิมทีผมตั้งใจว่าจะเขียนกลอนหน้าต่างสักบาน สองบาน ให้ท่านผู้อ่านครื้นเครงกันเล่น แต่สมองไม่แล่น ดันกลอนไม่ออก เลยได้แต่ส่งรูปช้างไทยหวงถิ่น ที่ผมแสนจะหลงรัก ประทับใจในความหวงถิ่นของช้างหนุ่มเชือกนี้ไปให้ดูแก้ขัดไปก่อน แต่อันที่จริงผมกำลังซุ่มเงียบ เขียนนิทานเรื่องลึกลับซับซ้อนอยู่ แต่มันก็ซับซ้อนเสียจนผมใช้เวลาถอดรหัสนานมาก อดใจรอหน่อยนะครับ ระหว่างนี้ ผมเห็นเขาส่งของขวัญกันเป็นว่าเล่น หลังจากดิ้นพล่านออกอาการสาระพัดเรื่องแบบเด็กขี้อิจฉาไปแล้ว คราวนี้ยกระดับความเข้มไปอีกหนึ่งหุน ถึงกับลงทุนส่งของขวัญจะไม่เขียนถึง เดี๋ยวคนจัดส่งของขวัญ เขาจะน้อยใจ ว่าไม่เห็นหัวเลยหรือไง เลยต้องเอาเสียหน่อย ผมเห็นเขาเริ่มส่งของขวัญกัน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2557 เหตุเกิดที่ร้านกาแฟที่ออสเตรเลียก็จริง แต่เป้าหมายมุ่งไปไกลกว่านั้น ข่าวบอกว่าคนถือของขวัญเป็นชาวอิหร่านที่ขอเข้ามาอยู่ที่ออสเตรเลีย ข่าวหนึ่งบอกว่า ลี้ภัยการเมือง อีกข่าวดันบอกว่าเป็นคนบ๊อง เอะยังไง จะลี้ภัยหรือเป็นบ๊อง แต่ก็เป็นชาวอิหร่านแล้วกัน ทำไมต้องเป็นชาวอิหร่าน? อิหร่านเป็นแนวร่วมสำคัญยิ่งของคู่ชิงแชมป์ฝั่งรัสเซีย จีน มีความหมายมาก ทั้งด้านสถานที่ตั้งประเทศ อาวุธ ชั้นเชิง และที่สำคัญ ความพร้อมด้านจิตใจ อเมริกาพยายามทั้งบี้ ขยี้ แต่อิหร่านไม่แหลกคามือเสียที อิหร่านกลับฟื้น พร้อมพกอาวุธนิวเคลียร์ เรื่องนี้ยิ่งทำให้อเมริกาหงุดหงิด ขัดใจมากขึ้น อเมริกากับอิหร่าน มีการเจรจากันเรื่องให้อิหร่านหยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาหลายรอบ ในปี 2014 กำหนดการเจรจาสิ้นสุด 24 พฤศจิกายน โดยไม่มีความคืบหน้า อเมริกานินทาว่า อิหร่านเจรจาไปพัฒนาอาวุธไป ยิ่งเจรจานาน นิวเคลียร์อิหร่านคงเสร็จครบตามเป้าหมาย อิหร่านบอกงั้นเลิกเจรจาเอาไหมล่ะ ใบตองแห้งใจไม่ถึง ตกลงนัดเจอกันอีกทีเดือนธันวาคม เพื่อจะสรุปว่าจะการเจรจากันต่อไหม ก่อนถึงวันนัดสรุป มันก็ต้องมีการบีบบี้กันเบี้ยวเสียหน่อย ฉากที่สั่งให้เปิดแสดงง่ายๆ ก็เลยเลือกเอาแดนจิงโจ้ ที่ตอนประชุม G 20 ลบ 1 ช่วยกันแสดงบทผู้ดีรุมตีแขก ขอเปิดอีกสักฉากเป็นไรไป ไอ้พวกที่วิ่งหนีกระสุนน่ะ มันพวกเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเราทั้งนั้น คนของเราอย่าให้มายุ่ง แต่ดันหลุดโผไปคนนึง คุณแหม่มแกวิ่งหนีไม่ทัน ใบตองแห้งคิดว่าอิหร่านจะออกมาตอบโต้ จะได้ถือโอกาสบี้กลับ แหม เดาผิดไปไกลเลยพี่โอ อิหร่านน่ะเขามีบทเรียนแยะแล้ว ไม่หลงกลง่ายๆ สู้แอบซุ่ม สร้างระเบิดต่อดีกว่า ของขวัญเลยไม่ค่อยมีคนตื่นเต้น ตีปีบซะเกือบตาย ก็ไม่เอาดาราแดนจิ้งโจ้ดังๆมาเข้าฉากนี่น้า นับรอง CNN ตีข่าวไม่เลิก ส่วนการเจรจา ก็เลยสรุปว่า งั้นเราเจรจาต่อไปแล้วกันนะจนถึงเดือนมีนาคม 2015 และต้องจบเรื่องภายในเดือนนิถุนาย ปี 2015 อิหร่านหัวร่อ หึ หึ แบบนี้ก็ผลิตได้อีกหลายลูก ไอ้ที่เจ็บที่ตาย เรื่องของใบตองแห้ง เราเสี่ยนิวเคลียร์ไม่เกี่ยวด้วย (2) ของขวัญส่งชิ้นเดียวมันจะตื่นเต้นได้ยังไง ตอนนี้เหตุการณ์มันเริ่มงวดเข้ามาแล้ว อะไรๆก็ยังไม่ลงตัว สมันน้อยเดี๋ยวนี้ชักจะแข็งข้อ ไม่รู้ไปได้ยาดีมาจากไหน (สงสัยอ่านนิทานมากไป ฮา) หันไปจับมือ จูบปากกับอาเฮีย ทำท่าจะเปิดบ้านให้พวกอาเฮียรวยทองมาสร้างทางรถไฟ แบบนี้มันหยามหน้าเรา สมันน้อยก็เตรียมตัวรับมือหน่อยนะ ใบตองแห้งมันเอาคืนแน่ แต่มันจะทอดเวลา รอเราลืมเรื่องสักแป๊บ แล้วมันค่อยส่งของขวัญมาให้ แต่ไอ้ที่เคยเดินกร่าง เข้ามาในบ้านสมันน้อยง่ายๆ แบบสมัยก่อนน่ะ ไม่แน่ว่าสมันน้อยยุคคุณพี่ตู่แกจะยอมง่ายๆ คนรอขวาง รอเสียบมีอยู่นะ คุณพี่ตู่ก็อย่าหยิบบทผิดมาเล่นแล้วกันนะครับ แล้วจะทำยังไง บอกแล้วว่าใช้เป็นฐานทัพก็เรื่องหนึ่ง แต่การส่งบำรุงกำลังพลมันก็อีกเรื่องนึง ทอดตาดูแถบนี้แล้ว จะไปเอาใครที่ไหนมาส่งบำรุงกำลังให้ ไล่มาเลย ตั้งแต่ พม่า ลาว เขมร เวียตนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น 5 ประเทศแรก ไม่มีความพร้อมส่งทั้งด้านอาหารและพลังงาน เกาหลีพร้อม แต่ขืนไปเทียบท่าแถบนั้น ก็เท่ากับเดินเข้าปากอาเฮีย ถูกเคี้ยวอร่อยไปเท่านั้น ส่วนญี่ปุ่นอย่าไปพูดถึงเลย ของจริงน่าสงสารจนพูดไม่ออก เอาว่า ตัวเองก็จะไม่รอด แล้วจะไปส่งกำลังให้ใครได้ แล้วเหลือใครในแถบนี้ ก็คงมีแค่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และสมันน้อย สิงคโปร์ไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง คงได้แค่ส่งกำลังบำรุง แบบเซ่นเจ้าไหว้ศาล ทั้งประเทศ ขนาดเล็กกว่ากรุงเทพมหา พระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ของเราอีก หัดภูมิใจบ้านเรากันบ้างนะครับ สิงคโปร์มันมีถนนหรู หลอกให้เดินซื้อของ 2,3 ถนนเอง กับถมทะเลทำเป็นที่นั่งเล่นนั่งกิน อาหารก็ไม่ได้เศษความอร่อยของบ้านเรา ป้าอ้วนแม่ครัวบ้านผมทำอร่อยกว่า 500 เท่า เราไม่ต้องเห่อเอาเงินไปให้มันหรอก ไอ้สิงคโปร์น่ะ เหลือมาเลเซียที่น่าสนใจ เราถึงได้เห็นนายโอบามาไปเดินโชว์ขาตะเกียบตีกอล์ฟกับนายราจิบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2014 ขณะที่มาเลเซียกำลังน้ำท่วมถึงคอหอย ชาวมาเลย์ด่า เรียกให้นายกกลับมาดูแลได้แล้ว(โว้ย) ผลการตีกอล์ฟไปคุยไปเป็นอย่างไรไม่ทราบ วันที่ 29 ธันวาคม เครื่องบินของสายการบินแอร์เอเซีย ติดธงชาติมาเลย์ก็หายวับไปจากจอเรดาร์ เป็นเรื่องเศร้าส่งท้ายปีเก่า มาเลเซีย ถึงจะเป็นลูกกระเป๋งเก่า ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ แต่การเมืองภายในและเรื่องเชิ้อชาติศาสนา ซับซ้อน หลายพวกหลายกลุ่ม แถมเป็นถิ่นสำหรับกบดาน และทางผ่านของเหล่าเสือซ่อนรูป สารพัดสัญชาติ ไอ้นักล่าใบตองแห้งส่งพวก Contactor มาคุมเชิงอยู่หลายพันคน มาอย่างน้อย 5 ปีแล้ว นักล่าใบตองแห้งเก็งไว้ว่า ถ้าจวนตัวจริงๆ สมันน้อยกลายเป็นช้างไทยหวงถิ่นขึ้นมา นักล่าก็คงต้องจำใจใช้มาเลเซีย เป็นฐานวิ่งรอกกับฐานลับที่หมู่เกาะ Diego Garcia แต่มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ก็มันชุมทางเสือแบบนั้น ไว้ใจได้หรือ ใครเป็นใคร ใครกลายพันธ์ไปแล้วบ้าง ราคาต่อรองมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ฉะน้ั้น สมันน้อยก็ต้องรอบคอบ ระวังตัวให้มากๆ ดูเหตุการณ์มาเลเซีย และฝรั่งเศสที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ เป็นอุทาหรณ์ไว้ (3) เรื่องที่ฝรั่งเศส คงมีใครอยากให้บานปลาย กลายเป็นเรื่องระหว่างยิวกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง จะเป็นไอซิสพันธ์แท้ กลายพันธ์ หรือ พันธ์ปลอมก็แล้วแต่ แต่เรื่องคงจบไม่ง่ายๆ
อุตส่าห์ขนชุดปราบจราจลมาจนเกลี้ยงเมือง เงื้อง่ากันมาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องไม่ลืมว่า เมือต้นเดือนธันวาคม 2014 นายฟรังซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แวะไปจอดเครื่องบินแอบคุยกับคุณพี่ปูติน ที่มาคอยอยู่สนามบินกรุงมอสโคว์ แบบไม่มีหมายกำหนดการณ์ นี่มันผู้นำประเทศมหาอำนาจนะครับ ไม่ใช่คุณๆผมๆ ที่ขับรถผ่านบ้านแล้วคิดถึง ขอเข้ามากินกาแฟคุยกันสักหน่อย ท่านผู้นำเขาทำแบบนี้ แปลว่ามันต้องเรื่องใหญ่ เรื่องอะไรผมไม่รู้ แต่คนที่น่าจะรู้เรื่องและนั่งไม่ติดมีหลายคน ตั้งแต่นายโอบามานักล่าขาตะเกียบ และไอ้จีบปาก นายเดวิด แคมารอน นายกรัฐมนตรีของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ส่วนคุณป้าแมร์เคิลแห่งเยอรมัน ก็น่าจะอยู่ในข่ายที่หายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก่อนอเมริกาจะปรับยุทธศาสตร์ใหม่ จะเป็นยุทธศาสตร์รุกคืบ หรือรุกฆาตก็ตาม อเมริกาคงต้องมีส่งของขวัญ ไปถามใจเธอหน่อยกับบรรดาพันธมิตรรุ่นใหญ่ว่า ยังอยู่ดีกับพี่เบิ้มหรือเปล่าจ้ะ รุ่นใหญ่ที่ได้รับของขวัญเป็นรายแรก ต้อนรับปีใหม่ ก็คือฝรั่งเศส ที่แอบแวบไปจู๋จี๋กับคุณพี่ปูตินนั่นแหละ และถ้าถามกันแล้ว คำตอบไม่น่าพอใจ เราคงได้เห็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสบานปลาย พอให้ยิวถือโอกาสขยับสัก 2,3 ก้าว เอาหัวรบไปจ่อ ฝ่ายตรงข้ามในตะวันออกกลาง กันไม่ให้อิหร่านขยับตัวคล่องไป และได้ดูใจตุรกีว่า ตกลงใจจะลงมาเดินบนพื้น หรืออยากไต่ลวดเล่นเสียวต่อ แต่ถ้ายิวเลยเถิด จะจ่อหัวรบเงยขึ้นไปทางเหนือแบบนั้น คงได้เห็นดอกเห็ดบานจริง หลายชาติไม่อยากทำสงคราม นอกจากกระเป๋ากำลังแห้งแล้ว แถมหนาวจะตายอีกด้วย ใครจะไปอยากรบ แต่เยอรมัน โดยคุณป้าแมร์เคิล เลือดยิวเก่า หัวเรือใหญ่ในยุโรปและนาโต้บอกว่า เราคงไม่คว่ำบาตรรัสเซียไม่ได้ พร้อมจับมือกับนาโต้เดินหน้าตามคำสั่งของนักล่าขาตะเกียบ แต่มีคำพูดรู้กันทั่วว่า ในเยอรมัน ไม่ใช่รัฐบาลเท่านั้นที่ใหญ่ Siemens บริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ ที่ผลิตตั้งแต่เครื่องบิน เรือ รถไฟฟ้า จนถึงเครื่องซักผ้า และที่เป่าผม ก็คิดว่า ตัวเองใหญ่ไม่น้อยกว่ารัฐบาล เคยมีผู้บริหารใหญ่ของ Siemens พูดว่า Siemens ก็คือเยอรมันนั่นแหละ รัฐบาลมาแล้วก็ไป แต่เราซิ อยู่คู่กับประเทศเยอรมันมาตลอด ไม่นานหลังจากที่ คุณพี่ปูตินผนวกไครเมียกลับมาอยู่ในอ้อมอก เมื่อต้นปีที่แล้ว นาย Joe Kaeser ซีอีโอของ Siemens เดินทางไปเยี่ยมนายปูตินที่บ้านพักนอกเมืองมอสโคว์ แล้วบอกกับนายปูตินว่า บริษัทเราทำธุรกิจกับรัสเซียมากว่า 160 ปีแล้ว เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องไครเมีย ที่เป็นเรื่องวุ่นวายช่วงสั้นนี้ มากระทบความสัมพันธ์ของ Siemens กับรัสเซียอันยาวนานหรอก แบบนี้นักล่าใบตองแห้ง ก็คงยังต้องตามประกบคุณนายแมร์เคิลต่อไปอีก แต่อีกไม่นานคงได้รู้กันว่า คนเยอรมันจะได้รับของขวัญหรือไม่ ส่วนชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ชี้นกเป็นไม้คู่กับนักล่าใบตองแห้งมาตลอด คราวนี้โผบอก เราน่าจะสร้างเรื่องให้ยิวได้ทดลองขยับหมาก ดังนั้น หลังจากความอลหม่านเกิดขึ้นในฝรั่งเศสแล้ว คงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ถ้าอังกฤษจะสั่งการรับมือเตรียมภัยขั้นสูงให้สอดคล้องกัน และอาจจะมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับฝรั่งเศสลามไปที่อังกฤษด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แปลว่า นักล่ากับชาวเกาะ ช่วยกันห่อของขวัญ เช็คเรทติ่ง เตรียมปรับยุทธศาสตร์ ขยับหมากรุกแน่นอน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 มค. 2558
    0 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน"

    Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

    บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง

    Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต

    มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO)
    สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา
    การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots”
    ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ

    การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO)
    Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย
    เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them”
    สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    คำเตือนจาก Sankar
    การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง
    บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต

    ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน
    Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola
    การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก
    ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร

    แนวทางที่ Sankar เสนอ
    สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง
    ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก
    ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น
    เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
    มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์

    ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน
    จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน
    การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล
    ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    🥷 "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน" Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต ✅ มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO) ➡️ สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา ➡️ การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots” ➡️ ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ ✅ การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO) ➡️ Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย ➡️ เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them” ➡️ สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนจาก Sankar ⛔ การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง ⛔ บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต ✅ ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน ➡️ Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola ➡️ การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ➡️ ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร ✅ แนวทางที่ Sankar เสนอ ➡️ สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง ➡️ ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก ➡️ ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น ➡️ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ➡️ มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์ ✅ ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน ➡️ จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน ➡️ การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล ➡️ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก"

    ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง

    จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้

    ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก

    แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

    คุณสมบัติของ SGT-4 TIM
    เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้
    ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์
    ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น

    ผลกระทบต่ออุปกรณ์
    กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง
    ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้
    ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม

    คำเตือนจากการใช้งาน
    ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู
    อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน
    การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง

    การตรวจสอบทางเคมี
    พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด
    ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป
    การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี

    ปฏิกิริยาของผู้ผลิต
    ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย
    ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
    อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone
    RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ
    มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน

    วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย
    ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ
    ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    🧊 "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก" ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ✅ คุณสมบัติของ SGT-4 TIM ➡️ เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้ ➡️ ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ ➡️ ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น ✅ ผลกระทบต่ออุปกรณ์ ➡️ กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง ➡️ ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ➡️ ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม ‼️ คำเตือนจากการใช้งาน ⛔ ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ⛔ อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน ⛔ การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง ✅ การตรวจสอบทางเคมี ➡️ พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด ➡️ ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป ➡️ การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี ‼️ ปฏิกิริยาของผู้ผลิต ⛔ ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย ⛔ ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ⛔ อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone ➡️ RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ ➡️ มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน ✅ วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย ➡️ ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ ➡️ ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “Ofcom vs. 4Chan: เมื่อกฎหมายออนไลน์ของอังกฤษพยายามข้ามมหาสมุทร”

    บทความโดย Alec Muffett เล่าถึงกรณีที่ Preston Byrne ทนายของ 4Chan ได้เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อของอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ofcom เชื่อว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย Online Safety Act ในการสอบสวนและลงโทษบริษัทออนไลน์ต่างชาติที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่ในสหรัฐฯ

    ในจดหมายยืนยันของ Ofcom มีการอ้างว่า Online Safety Act มี “ผลบังคับใช้ข้ามพรมแดน” โดยระบุว่า “หน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการออกแบบ การดำเนินงาน และการใช้งานในสหราชอาณาจักร” และ “เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น”

    Alec มองว่าการตีความเช่นนี้เป็นการ “โยนรัฐสภาใต้รถบัส” เพราะกฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะร่างมาอย่างไม่รอบคอบ และ Ofcom เองก็อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง “Great Firewall of Britain” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม

    เขาเปรียบเทียบว่า 4Chan ไม่ได้ “ลักลอบเข้ามาในอังกฤษ” แต่กลับถูกมองว่าเป็นภัยต่อวัฒนธรรม ขณะที่สิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมอังกฤษจริง ๆ อาจเป็น “การ์ตูน Winnie-the-Pooh เวอร์ชันดิสนีย์” เสียมากกว่า

    ท้ายบทความ Alec เตือนว่า หากอังกฤษยังคงพยายามบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ต่อบริษัทต่างชาติ อาจนำไปสู่การตอบโต้จากสหรัฐฯ และการเรียกร้องให้มีการระบุตัวตนดิจิทัล (digital identity) เพื่อเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

    Ofcom อ้างว่ามีอำนาจตาม Online Safety Act ในการสอบสวนบริษัทต่างชาติ
    แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักร เช่น 4Chan ในสหรัฐฯ

    กฎหมายระบุว่าหน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการใช้งานใน UK
    เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร

    Preston Byrne เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom
    เป็นหลักฐานว่ามีการตีความกฎหมายอย่างกว้างขวาง

    Alec Muffett วิจารณ์ว่า Ofcom อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ
    และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง Great Firewall of Britain

    การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มี digital identity
    เพื่อควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์

    https://alecmuffett.com/article/117792
    ⚖️ “Ofcom vs. 4Chan: เมื่อกฎหมายออนไลน์ของอังกฤษพยายามข้ามมหาสมุทร” บทความโดย Alec Muffett เล่าถึงกรณีที่ Preston Byrne ทนายของ 4Chan ได้เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อของอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ofcom เชื่อว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย Online Safety Act ในการสอบสวนและลงโทษบริษัทออนไลน์ต่างชาติที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ในจดหมายยืนยันของ Ofcom มีการอ้างว่า Online Safety Act มี “ผลบังคับใช้ข้ามพรมแดน” โดยระบุว่า “หน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการออกแบบ การดำเนินงาน และการใช้งานในสหราชอาณาจักร” และ “เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น” Alec มองว่าการตีความเช่นนี้เป็นการ “โยนรัฐสภาใต้รถบัส” เพราะกฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะร่างมาอย่างไม่รอบคอบ และ Ofcom เองก็อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง “Great Firewall of Britain” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม เขาเปรียบเทียบว่า 4Chan ไม่ได้ “ลักลอบเข้ามาในอังกฤษ” แต่กลับถูกมองว่าเป็นภัยต่อวัฒนธรรม ขณะที่สิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมอังกฤษจริง ๆ อาจเป็น “การ์ตูน Winnie-the-Pooh เวอร์ชันดิสนีย์” เสียมากกว่า ท้ายบทความ Alec เตือนว่า หากอังกฤษยังคงพยายามบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ต่อบริษัทต่างชาติ อาจนำไปสู่การตอบโต้จากสหรัฐฯ และการเรียกร้องให้มีการระบุตัวตนดิจิทัล (digital identity) เพื่อเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ✅ Ofcom อ้างว่ามีอำนาจตาม Online Safety Act ในการสอบสวนบริษัทต่างชาติ ➡️ แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักร เช่น 4Chan ในสหรัฐฯ ✅ กฎหมายระบุว่าหน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการใช้งานใน UK ➡️ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร ✅ Preston Byrne เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom ➡️ เป็นหลักฐานว่ามีการตีความกฎหมายอย่างกว้างขวาง ✅ Alec Muffett วิจารณ์ว่า Ofcom อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ➡️ และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง Great Firewall of Britain ✅ การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มี digital identity ➡️ เพื่อควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ https://alecmuffett.com/article/117792
    ALECMUFFETT.COM
    The Ofcom Tea Party: 4Chan Lawyer publishes Ofcom correspondence, British regulator claims “sovereign immunity” to defend itself – and sovereign powers to regulate foreign companies
    Ofcom — driven by the letter of British law that they are bound to follow, but still Ofcom — are quietly making Britain look (a) very silly and (b) as if we haven’t yet shucked-off the Americ…
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • “Sundar Pichai ยอมรับ ChatGPT แซงหน้า Google ชั่วคราว — เผยเบื้องหลัง ‘Code Red’ ที่ Dreamforce” — เมื่อผู้นำ Google เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของยุค AI และการตอบโต้ที่เปลี่ยนทิศทางบริษัท

    ในงาน Dreamforce 2025 Sundar Pichai ซีอีโอของ Google และ Alphabet ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่ “Google ถูกแซงหน้า” ในด้านเทคโนโลยี AI โดยเขายอมรับว่า ChatGPT ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับการค้นหาข้อมูล และทำให้ Google ต้องประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร

    Pichai เล่าว่า Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัวเพราะกังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล จึงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปรับปรุง ก่อนจะเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ในเดือนมีนาคม 2023

    เขาเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับอดีต เช่น ตอนที่ YouTube โผล่ขึ้นมาในปี 2006 ขณะที่ Google ยังพัฒนา video search อยู่ หรือเมื่อ Instagram แซงหน้า Facebook ในด้านการแชร์ภาพ — เหตุการณ์เหล่านี้คือ “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่บริษัทต้องปรับตัว

    แม้จะถูกมองว่า ChatGPT เป็นภัยคุกคาม แต่ Pichai กลับมองว่าเป็น “สัญญาณแห่งโอกาส” เพราะ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งในด้านการวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่

    Sundar Pichai ยอมรับว่า ChatGPT เคยแซงหน้า Google ชั่วคราว
    เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2022 หลัง ChatGPT เปิดตัว

    Google ประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร
    เร่งพัฒนาและเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini)

    Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัว
    กังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้

    Pichai เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับ YouTube และ Instagram
    มองว่าเป็นจังหวะเปลี่ยนเกมที่บริษัทต้องปรับตัว

    Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่ง
    เช่น ทีมวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์

    แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่การนำ AI สู่ตลาดต้องเร็วและแม่นยำ
    ความล่าช้าอาจทำให้คู่แข่งได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์

    https://securityonline.info/sundar-pichai-admits-chatgpt-temporarily-surpassed-google-recalls-code-red-moment-at-dreamforce/
    🚨 “Sundar Pichai ยอมรับ ChatGPT แซงหน้า Google ชั่วคราว — เผยเบื้องหลัง ‘Code Red’ ที่ Dreamforce” — เมื่อผู้นำ Google เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของยุค AI และการตอบโต้ที่เปลี่ยนทิศทางบริษัท ในงาน Dreamforce 2025 Sundar Pichai ซีอีโอของ Google และ Alphabet ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่ “Google ถูกแซงหน้า” ในด้านเทคโนโลยี AI โดยเขายอมรับว่า ChatGPT ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับการค้นหาข้อมูล และทำให้ Google ต้องประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร Pichai เล่าว่า Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัวเพราะกังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล จึงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปรับปรุง ก่อนจะเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ในเดือนมีนาคม 2023 เขาเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับอดีต เช่น ตอนที่ YouTube โผล่ขึ้นมาในปี 2006 ขณะที่ Google ยังพัฒนา video search อยู่ หรือเมื่อ Instagram แซงหน้า Facebook ในด้านการแชร์ภาพ — เหตุการณ์เหล่านี้คือ “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่บริษัทต้องปรับตัว แม้จะถูกมองว่า ChatGPT เป็นภัยคุกคาม แต่ Pichai กลับมองว่าเป็น “สัญญาณแห่งโอกาส” เพราะ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งในด้านการวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ ✅ Sundar Pichai ยอมรับว่า ChatGPT เคยแซงหน้า Google ชั่วคราว ➡️ เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2022 หลัง ChatGPT เปิดตัว ✅ Google ประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร ➡️ เร่งพัฒนาและเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ✅ Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัว ➡️ กังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ ✅ Pichai เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับ YouTube และ Instagram ➡️ มองว่าเป็นจังหวะเปลี่ยนเกมที่บริษัทต้องปรับตัว ✅ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่ง ➡️ เช่น ทีมวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ ‼️ แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่การนำ AI สู่ตลาดต้องเร็วและแม่นยำ ⛔ ความล่าช้าอาจทำให้คู่แข่งได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ https://securityonline.info/sundar-pichai-admits-chatgpt-temporarily-surpassed-google-recalls-code-red-moment-at-dreamforce/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sundar Pichai Admits ChatGPT Temporarily Surpassed Google, Recalls "Code Red" Moment at Dreamforce
    Google CEO Sundar Pichai admitted at Dreamforce that ChatGPT briefly surpassed Google's AI, but insists the "Code Red" moment fueled the company's long-term pursuit of generative AI innovation.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • “Google Messages ยกระดับความปลอดภัย ป้องกันหลอกลวงด้วย 2 ฟีเจอร์ใหม่” — เมื่อข้อความกลายเป็นช่องทางโจมตี Google จึงตอบโต้ด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด

    ในยุคที่การหลอกลวงผ่านข้อความกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว Google ได้เพิ่มมาตรการป้องกันในแอป Messages ด้วยฟีเจอร์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ “Key Verifier” และ “Scam Link Alerts” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงผ่านข้อความ RCS และลิงก์อันตราย

    ฟีเจอร์แรก “Key Verifier” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบตัวตนของคู่สนทนาในแชทแบบตัวต่อตัว โดยการสแกน QR code เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริง ไม่ใช่บัญชีปลอมที่แอบอ้างมา ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการสนทนาแบบเข้ารหัส

    ฟีเจอร์ที่สอง “Scam Link Alerts” จะตรวจสอบลิงก์ที่ส่งมาในข้อความ หากพบว่าอาจเป็นอันตราย ระบบจะแสดง popup เตือนทันที ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจก่อนคลิกลิงก์ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวงหรือขโมยข้อมูล

    Google ระบุว่าเกือบ 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้กลโกงดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จึงเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

    นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า Google จะขยายฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต เช่น การตรวจจับข้อความปลอมที่ใช้ AI สร้าง หรือการป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code ซึ่งกำลังเป็นช่องทางใหม่ที่ถูกใช้โจมตีผู้ใช้มือถือ

    Google Messages เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ 2 รายการ
    Key Verifier สำหรับตรวจสอบตัวตนในแชทแบบ RCS
    Scam Link Alerts สำหรับเตือนลิงก์อันตรายในข้อความ

    Key Verifier ใช้การสแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตน
    ต้องใช้ Android 10 ขึ้นไป
    ทั้งสองฝ่ายต้องสแกน QR code ของกันและกัน

    Scam Link Alerts แสดง popup เตือนเมื่อพบลิงก์น่าสงสัย
    ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน

    Google ระบุว่า 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา
    การหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

    Google มีแผนขยายฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต
    อาจรวมถึงการตรวจจับข้อความปลอมที่สร้างด้วย AI
    การป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code

    https://www.techradar.com/computing/software/google-messages-is-doubling-down-on-scam-prevention-with-two-new-safety-measures-this-is-how-you-can-keep-your-inbox-clean
    📱 “Google Messages ยกระดับความปลอดภัย ป้องกันหลอกลวงด้วย 2 ฟีเจอร์ใหม่” — เมื่อข้อความกลายเป็นช่องทางโจมตี Google จึงตอบโต้ด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด ในยุคที่การหลอกลวงผ่านข้อความกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว Google ได้เพิ่มมาตรการป้องกันในแอป Messages ด้วยฟีเจอร์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ “Key Verifier” และ “Scam Link Alerts” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงผ่านข้อความ RCS และลิงก์อันตราย ฟีเจอร์แรก “Key Verifier” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบตัวตนของคู่สนทนาในแชทแบบตัวต่อตัว โดยการสแกน QR code เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริง ไม่ใช่บัญชีปลอมที่แอบอ้างมา ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการสนทนาแบบเข้ารหัส ฟีเจอร์ที่สอง “Scam Link Alerts” จะตรวจสอบลิงก์ที่ส่งมาในข้อความ หากพบว่าอาจเป็นอันตราย ระบบจะแสดง popup เตือนทันที ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจก่อนคลิกลิงก์ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวงหรือขโมยข้อมูล Google ระบุว่าเกือบ 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้กลโกงดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จึงเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า Google จะขยายฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต เช่น การตรวจจับข้อความปลอมที่ใช้ AI สร้าง หรือการป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code ซึ่งกำลังเป็นช่องทางใหม่ที่ถูกใช้โจมตีผู้ใช้มือถือ ✅ Google Messages เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ 2 รายการ ➡️ Key Verifier สำหรับตรวจสอบตัวตนในแชทแบบ RCS ➡️ Scam Link Alerts สำหรับเตือนลิงก์อันตรายในข้อความ ✅ Key Verifier ใช้การสแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตน ➡️ ต้องใช้ Android 10 ขึ้นไป ➡️ ทั้งสองฝ่ายต้องสแกน QR code ของกันและกัน ✅ Scam Link Alerts แสดง popup เตือนเมื่อพบลิงก์น่าสงสัย ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน ✅ Google ระบุว่า 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา ➡️ การหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ✅ Google มีแผนขยายฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต ➡️ อาจรวมถึงการตรวจจับข้อความปลอมที่สร้างด้วย AI ➡️ การป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code https://www.techradar.com/computing/software/google-messages-is-doubling-down-on-scam-prevention-with-two-new-safety-measures-this-is-how-you-can-keep-your-inbox-clean
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 4
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    อเมริกาไม่มีทางเลือกมาก ผ้าเปิดเห็นหมดแล้วว่า หลังจากประเมินคู่หูรัสเซียจีน ผิด คิดไปดักตีหัวเขา ผิดทิศผิดทาง ยังไม่พอ นึกว่าเวลายังมี ดันงัดเอาหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน มาออกโรงฉายฆ่าเวลาไป 2 ปี เล่นเอากองทัพแผ่วไปหลายกิโล กองทัพก็เหมือนกล้ามเนื้อท้อง เคยออกกำลังบ่อยๆ วิ่งเล่นไล่จับแถวอิรัค สลับอาฟกานิสถาน มานานเป็นสิบปี พอไม่ค่อยได้ใช้ แถมสั่งถอน สั่งลด สั่งงดการฝึก กล้ามมันก็ห้อยย้อยหมด จะให้กลับขึ้นเป็นแผง มันก็ต้องใช้เวลาฟิต เพราะฉนั้น อเมริกาไม่น่าเลือกใช้วิธีรบยืดเยื้อ เหมือนรบกับอิรัค อาฟกานิสถาน เพราะศักยภาพของรัสเซียและพวก คนละเรื่องกับพวกที่อเมริกาเคยไปวิ่งเล่นไล่จับด้วย อเมริกาอาจจบไม่สวย อาจถึงขนาดไม่สวยอย่างมาก

    อเมริกาถือตัวว่า ในด้านอาวุธทำลายล้างของตน มีศักยภาพสูงสุด มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าใครๆ ในใลก ดังนั้นโอกาสที่อเมริกา จะเลือกยุทธศาสตร์ สยบฝ่าย รัสเซียและพวก ด้วยกำลังอาวุธสาระพัดชนิด โดยเฉพาะพวกระยะไกล น่าจะมีความเป็นได้สูงกว่า

    ถ้าเลือกใช้อาวุธนำ อเมริกาจะใช้กับใคร และเมื่อไหร่ ที่สำคัญมันต้องเป็นหมากพิฆาต รุกฆาต ตาเดียวจบ เพราะถ้าไม่รุกฆาตจริง อเมริกาเหนื่อยแน่ การตอบโต้จากอีกฝ่าย คงเกิดขึ้นมาจากสาระพัดทิศอย่างแน่นอน และเราคงได้เห็นดอกเห็ดบานเต็มท้องฟ้า

    ถ้าอเมริกา ไม่เลือกใช้วิธีรุกฆาตด้วยอาวุธ แต่ใช้ยุทธศาสตร์รุกคืบ ค่อยๆเคลื่อนพลปิดล้อม ฝ่ายรัสเซียและพวก เหมือนลนไฟให้ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ กระจายตามที่ต่างๆ ตามจังหวะความพร้อมของตัว สมันน้อยก็เตรียมตัวกันด้วยแล้วกัน จะไปขุดรู อยู่ป่า ก็เริ่มคิดไว้บ้าง ไอ้ประเภทสร้างอุโมงค์เตรียมให้ประชาชนหลบภัย เตรียมน้ำ เตรียมยา อาหาร นั่นมันในหนัง หรือบ้านอื่นที่ท่านผู้นำเขามองการณ์ไกล

    แล้วคิดว่า ฝ่ายรัสเซียกับพวก เขาจะนั่งตาลอย ทำหน้าหล่อ มองอเมริกาขยับหมากอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ!?!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 4 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) อเมริกาไม่มีทางเลือกมาก ผ้าเปิดเห็นหมดแล้วว่า หลังจากประเมินคู่หูรัสเซียจีน ผิด คิดไปดักตีหัวเขา ผิดทิศผิดทาง ยังไม่พอ นึกว่าเวลายังมี ดันงัดเอาหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน มาออกโรงฉายฆ่าเวลาไป 2 ปี เล่นเอากองทัพแผ่วไปหลายกิโล กองทัพก็เหมือนกล้ามเนื้อท้อง เคยออกกำลังบ่อยๆ วิ่งเล่นไล่จับแถวอิรัค สลับอาฟกานิสถาน มานานเป็นสิบปี พอไม่ค่อยได้ใช้ แถมสั่งถอน สั่งลด สั่งงดการฝึก กล้ามมันก็ห้อยย้อยหมด จะให้กลับขึ้นเป็นแผง มันก็ต้องใช้เวลาฟิต เพราะฉนั้น อเมริกาไม่น่าเลือกใช้วิธีรบยืดเยื้อ เหมือนรบกับอิรัค อาฟกานิสถาน เพราะศักยภาพของรัสเซียและพวก คนละเรื่องกับพวกที่อเมริกาเคยไปวิ่งเล่นไล่จับด้วย อเมริกาอาจจบไม่สวย อาจถึงขนาดไม่สวยอย่างมาก อเมริกาถือตัวว่า ในด้านอาวุธทำลายล้างของตน มีศักยภาพสูงสุด มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าใครๆ ในใลก ดังนั้นโอกาสที่อเมริกา จะเลือกยุทธศาสตร์ สยบฝ่าย รัสเซียและพวก ด้วยกำลังอาวุธสาระพัดชนิด โดยเฉพาะพวกระยะไกล น่าจะมีความเป็นได้สูงกว่า ถ้าเลือกใช้อาวุธนำ อเมริกาจะใช้กับใคร และเมื่อไหร่ ที่สำคัญมันต้องเป็นหมากพิฆาต รุกฆาต ตาเดียวจบ เพราะถ้าไม่รุกฆาตจริง อเมริกาเหนื่อยแน่ การตอบโต้จากอีกฝ่าย คงเกิดขึ้นมาจากสาระพัดทิศอย่างแน่นอน และเราคงได้เห็นดอกเห็ดบานเต็มท้องฟ้า ถ้าอเมริกา ไม่เลือกใช้วิธีรุกฆาตด้วยอาวุธ แต่ใช้ยุทธศาสตร์รุกคืบ ค่อยๆเคลื่อนพลปิดล้อม ฝ่ายรัสเซียและพวก เหมือนลนไฟให้ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ กระจายตามที่ต่างๆ ตามจังหวะความพร้อมของตัว สมันน้อยก็เตรียมตัวกันด้วยแล้วกัน จะไปขุดรู อยู่ป่า ก็เริ่มคิดไว้บ้าง ไอ้ประเภทสร้างอุโมงค์เตรียมให้ประชาชนหลบภัย เตรียมน้ำ เตรียมยา อาหาร นั่นมันในหนัง หรือบ้านอื่นที่ท่านผู้นำเขามองการณ์ไกล แล้วคิดว่า ฝ่ายรัสเซียกับพวก เขาจะนั่งตาลอย ทำหน้าหล่อ มองอเมริกาขยับหมากอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ!?! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE]
    พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด




    ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

    รอดูร่างสุดท้ายลงมติ

    "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย

    ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE] พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง รอดูร่างสุดท้ายลงมติ "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    0 Comments 0 Shares 489 Views 0 0 Reviews
  • ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์
    https://www.thai-tai.tv/news/21929/
    .
    #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส

    ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์ https://www.thai-tai.tv/news/21929/ . #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • สื่อกัมพูชารายงานคำพูด ฮุน เซน ส่งสัญญาณแข็งกร้าว กัมพูชาประกาศ "ไม่มีการให้อภัย" หากฝ่ายไทยกล้าละเมิดอีกครั้ง.
    https://www.thai-tai.tv/news/21928/
    .
    #ไทยไท #ฮุนเซน #กัมพูชา #ตอบโต้ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #สถานการณ์ชายแดน

    สื่อกัมพูชารายงานคำพูด ฮุน เซน ส่งสัญญาณแข็งกร้าว กัมพูชาประกาศ "ไม่มีการให้อภัย" หากฝ่ายไทยกล้าละเมิดอีกครั้ง. https://www.thai-tai.tv/news/21928/ . #ไทยไท #ฮุนเซน #กัมพูชา #ตอบโต้ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #สถานการณ์ชายแดน
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง

    ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง

    Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง

    แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว

    Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม

    ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว:
    Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์
    Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า
    DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ
    Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน
    Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    ข้อมูลในข่าว
    AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้
    ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้
    Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents
    Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026
    AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้
    Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์
    DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ
    Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน
    Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก
    อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี
    หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์
    การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ
    นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    🤖 “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์ บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว: ⭐ Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์ ⭐ Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า ⭐ DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ ⭐ Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน ⭐ Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ⭐ Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้ ➡️ Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents ➡️ Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ➡️ AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้ ➡️ Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์ ➡️ DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ ➡️ Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน ➡️ Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ➡️ Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก ⛔ อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์ ⛔ การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ⛔ นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Incredibly dangerous or incredibly useful? The rise of AI agents
    Developers say they can do nearly any task a human can at a computer. Critics say they are incredibly dangerous.
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • แนวทางตอบโต้แข็งกร้าวของเกาหลีใต้ ในคดีอาชญากรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เกิดขึ้นกับพลเมืองของประเทศในกัมพูชา โหมกระพือความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆในหมู่ชาวเขมร ว่ามันอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 2 ประเทศ ขณะเดียวกันแรงงานกัมพูชาบางส่วนเริ่มโอดครวญต่อการถูกเลือกปฏิบัติ ผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098712

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    แนวทางตอบโต้แข็งกร้าวของเกาหลีใต้ ในคดีอาชญากรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เกิดขึ้นกับพลเมืองของประเทศในกัมพูชา โหมกระพือความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆในหมู่ชาวเขมร ว่ามันอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 2 ประเทศ ขณะเดียวกันแรงงานกัมพูชาบางส่วนเริ่มโอดครวญต่อการถูกเลือกปฏิบัติ ผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098712 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 390 Views 0 Reviews
  • “สิงคโปร์ตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” — เตรียมบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัยต่อผู้ใช้

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสร้างมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับภัยออนไลน์ โดยเสนอร่างกฎหมายจัดตั้ง “คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” ซึ่งจะมีอำนาจสั่งให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบล็อกเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ภายในประเทศ

    แรงผลักดันของกฎหมายนี้เกิดจากผลการศึกษาของ Infocomm Media Development Authority ที่พบว่า กว่าครึ่งของการร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิดเด็ก การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการเปิดเผยภาพลับ ไม่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ

    คณะกรรมการใหม่นี้จะมีอำนาจในการสั่งให้บล็อกเนื้อหาทั้งในระดับโพสต์ กลุ่ม หรือแม้แต่เว็บไซต์ของแพลตฟอร์มโดยตรง พร้อมให้สิทธิผู้เสียหายในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มได้

    นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มประเภทของภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง โดยคณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026

    ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้กฎหมาย Online Criminal Harms Act สั่งให้ Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook โดยขู่ว่าจะปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด

    ข้อมูลในข่าว
    สิงคโปร์เสนอร่างกฎหมายตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์
    คณะกรรมการจะมีอำนาจสั่งบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิด การกลั่นแกล้ง และภาพลับ
    ผู้เสียหายจะมีสิทธิในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดได้
    อำนาจครอบคลุมถึงการสั่งบล็อกกลุ่มหรือเว็บไซต์ของแพลตฟอร์ม
    จะเพิ่มประเภทภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง
    คณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026
    รัฐบาลเคยสั่ง Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจถูกลงโทษหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการ
    การไม่จัดการเนื้อหาที่เป็นภัยอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การถูกบล็อกทั้งแพลตฟอร์ม
    ผู้ใช้อาจถูกแบนจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มหากกระทำผิด
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกจัดเป็นภัยออนไลน์ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/new-singapore-law-empowers-commission-to-block-harmful-online-content
    🛡️ “สิงคโปร์ตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” — เตรียมบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัยต่อผู้ใช้ สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสร้างมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับภัยออนไลน์ โดยเสนอร่างกฎหมายจัดตั้ง “คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” ซึ่งจะมีอำนาจสั่งให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบล็อกเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ภายในประเทศ แรงผลักดันของกฎหมายนี้เกิดจากผลการศึกษาของ Infocomm Media Development Authority ที่พบว่า กว่าครึ่งของการร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิดเด็ก การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการเปิดเผยภาพลับ ไม่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ คณะกรรมการใหม่นี้จะมีอำนาจในการสั่งให้บล็อกเนื้อหาทั้งในระดับโพสต์ กลุ่ม หรือแม้แต่เว็บไซต์ของแพลตฟอร์มโดยตรง พร้อมให้สิทธิผู้เสียหายในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มประเภทของภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง โดยคณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026 ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้กฎหมาย Online Criminal Harms Act สั่งให้ Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook โดยขู่ว่าจะปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ สิงคโปร์เสนอร่างกฎหมายตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ ➡️ คณะกรรมการจะมีอำนาจสั่งบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิด การกลั่นแกล้ง และภาพลับ ➡️ ผู้เสียหายจะมีสิทธิในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดได้ ➡️ อำนาจครอบคลุมถึงการสั่งบล็อกกลุ่มหรือเว็บไซต์ของแพลตฟอร์ม ➡️ จะเพิ่มประเภทภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง ➡️ คณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026 ➡️ รัฐบาลเคยสั่ง Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจถูกลงโทษหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการ ⛔ การไม่จัดการเนื้อหาที่เป็นภัยอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การถูกบล็อกทั้งแพลตฟอร์ม ⛔ ผู้ใช้อาจถูกแบนจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มหากกระทำผิด ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกจัดเป็นภัยออนไลน์ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/new-singapore-law-empowers-commission-to-block-harmful-online-content
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New Singapore law empowers commission to block harmful online content
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore will introduce a new online safety commission with powers to order social media platforms to block harmful posts, according to a new bill that was tabled in parliament on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
More Results