• 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวานหนักโพสต์ VK ไปหน่อย หลายอย่างในคราวเดียวไม่ได้ เลยต้องทำทีละอย่างๆ และวันนี้ผมคงต้องเรียนรู้แคลคูลัสแบบเจาะลึกไปเลย ในเรื่องของสัญญาณเครือข่าย 6G ก็ต้องเรียนรู้ ลาปลาส ฟูเรียร์ แซด จนรู้ถึงแก่นและเทคโนโลยีเครือข่ายใยแสงนำแก้วในแง่ของการคำนวณและวิเคราะห์อีกด้วย วันพุธผมคงไป แต่ล้อหมุน 8.00 น. เพราะไปพบปะผู้คน ไหว้อย่างคนมีมารยาท และไปกินข้าวไทยรักดีให้ทันเวลา ขับไปขับมาหลง แต่สุดสายติวานนท์สามแยกตลาดท่าน้ำเลี้ยวขวา แบบนี้ไปถึงง่ายดีครับ เพราะวันพุธต้องเก็บข้อมูลเรื่องพม่าเถื่อนอีก
    เมื่อวานหนักโพสต์ VK ไปหน่อย หลายอย่างในคราวเดียวไม่ได้ เลยต้องทำทีละอย่างๆ และวันนี้ผมคงต้องเรียนรู้แคลคูลัสแบบเจาะลึกไปเลย ในเรื่องของสัญญาณเครือข่าย 6G ก็ต้องเรียนรู้ ลาปลาส ฟูเรียร์ แซด จนรู้ถึงแก่นและเทคโนโลยีเครือข่ายใยแสงนำแก้วในแง่ของการคำนวณและวิเคราะห์อีกด้วย วันพุธผมคงไป แต่ล้อหมุน 8.00 น. เพราะไปพบปะผู้คน ไหว้อย่างคนมีมารยาท และไปกินข้าวไทยรักดีให้ทันเวลา ขับไปขับมาหลง แต่สุดสายติวานนท์สามแยกตลาดท่าน้ำเลี้ยวขวา แบบนี้ไปถึงง่ายดีครับ เพราะวันพุธต้องเก็บข้อมูลเรื่องพม่าเถื่อนอีก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • 56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก
    ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย

    รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ

    📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั

    💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่"

    “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย
    🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464
    🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต
    🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ

    ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว”

    นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501)

    💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน"

    เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง!
    📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์
    🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง
    ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน

    แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น
    ✨ นายอิสระ
    ✨ มะงุมมะงาหรา
    ✨ ธนุธร
    ✨ ดร.x XYZ

    🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ

    ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว
    📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์

    📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

    🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม"

    จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ
    💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว
    🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน
    ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

    อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์"

    นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย
    📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486)
    🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง
    🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค

    "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..."
    "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..."

    จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา
    📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน

    "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ"

    แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น

    📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม
    📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ

    "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา

    วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง

    🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์"
    แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ

    ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน"

    สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล”
    ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์
    ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา
    ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์
    ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม

    🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน"

    “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568

    🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ 📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั 💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่" “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย 🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต 🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501) 💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน" เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง! 📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ 🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น ✨ นายอิสระ ✨ มะงุมมะงาหรา ✨ ธนุธร ✨ ดร.x XYZ 🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว 📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์ 📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา 🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม" จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ 💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว 🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์" นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย 📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486) 🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง 🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..." "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..." จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา 📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ" แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น 📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม 📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง 🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์" แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน" สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล” ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์ ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม 🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน" “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568 🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️

    🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨

    🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย

    ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️

    "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย
    ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨

    🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂

    ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง
    🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์

    🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด

    🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

    📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง

    👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา

    💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

    🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌

    แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า

    🦎 "จิ้งเขียว"
    🦹‍♂️ "สมียันดะ"
    🧘‍♂️ "ยันดะ"

    🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง

    📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย

    ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง

    🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย
    🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก

    🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง

    📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์

    บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️

    🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ

    🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬

    🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร"
    1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่
    2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก
    3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน
    4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย
    5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ
    6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨

    👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568

    🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️ 🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨ 🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️ "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨ 🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂 ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง 🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์ 🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด 🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง 👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา 💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌ แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า 🦎 "จิ้งเขียว" 🦹‍♂️ "สมียันดะ" 🧘‍♂️ "ยันดะ" 🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง 📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง 🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย 🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก 🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง 📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์ บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️ 🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ 🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬 🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร" 1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ 2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก 3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน 4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย 5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ 6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨ 👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568 🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 812 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัวนักข่าวไทย ทรยศชาติในวันนักข่าว
    จับมือกัณวีร์ ขยี้ไทยเรื่องชาวอุยกูร์
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    เปิดตัวนักข่าวไทย ทรยศชาติในวันนักข่าว จับมือกัณวีร์ ขยี้ไทยเรื่องชาวอุยกูร์ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • นักข่าวไทยหัวใจตะวันตก "นายภาณุ" นั่งเทียนเขียนข่าวหนุนหลัง สส.อุยวีร์ อ้างแหล่งข่าวบอกมีหลายชาติพร้อมรับอุยกูร์ แต่ไม่มีเอกสารหลักฐานมายืนยันว่า ชาติไหนที่ขอรับตัวชาวอุยกูร์ ในวงการสื่อรู้ดีว่า ถ้าสำนักข่าวต่างประเทศใช้คำว่า Sources (แหล่งข่าว) นั่นคือการเต้าข่าว เขียนตามอำเภอใจ โดยอ้างชุ่ยๆ ว่าแหล่งข่าว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    นักข่าวไทยหัวใจตะวันตก "นายภาณุ" นั่งเทียนเขียนข่าวหนุนหลัง สส.อุยวีร์ อ้างแหล่งข่าวบอกมีหลายชาติพร้อมรับอุยกูร์ แต่ไม่มีเอกสารหลักฐานมายืนยันว่า ชาติไหนที่ขอรับตัวชาวอุยกูร์ ในวงการสื่อรู้ดีว่า ถ้าสำนักข่าวต่างประเทศใช้คำว่า Sources (แหล่งข่าว) นั่นคือการเต้าข่าว เขียนตามอำเภอใจ โดยอ้างชุ่ยๆ ว่าแหล่งข่าว #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ

    📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498

    ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม

    📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙
    สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม

    🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป

    🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน

    🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม

    🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism)
    ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
    ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม
    ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ

    📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน
    ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
    ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ
    ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

    🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
    ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม
    ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา
    ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน

    🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
    ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่
    ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ

    🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย
    ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว
    ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง

    🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน
    🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว
    🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น
    🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน)

    🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake
    🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
    🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน
    🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด

    💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง
    🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google
    🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media)

    🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน
    🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ
    🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด

    ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย
    ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล
    ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม
    ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
    ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล

    🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย
    👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม
    📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ
    🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย

    💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568

    🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ 📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม 📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม 🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป 🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน 🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม 🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism) ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ 📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน 🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่ ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ 🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง 🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน 🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว 🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น 🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน) 🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake 🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว 🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน 🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด 💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง 🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google 🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media) 🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน 🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ 🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล 🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย 👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม 📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ 🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย 💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568 🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 721 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยยอดส่งออกข้าว 2 เดือนปี 68 ทำได้แค่ 1.1 ล้านตัน ลด 32% เหตุได้รับผลกระทบจากอินเดียกลับมาส่งออก และข้าวไทยยังราคาแพงที่สุดในโลก ทำขายยาก คาดไตรมาสแรก ไม่เกิน 2 ล้านตัน ส่วนทั้งปี ยังคงเป้า 7.5 ล้านตัน แนะรัฐช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร ช่วยเรื่องปัจจัยการผลิต อย่าดันราคาอย่างเดียว เหตุผู้ส่งออกทำตลาดลำบาก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019021

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยยอดส่งออกข้าว 2 เดือนปี 68 ทำได้แค่ 1.1 ล้านตัน ลด 32% เหตุได้รับผลกระทบจากอินเดียกลับมาส่งออก และข้าวไทยยังราคาแพงที่สุดในโลก ทำขายยาก คาดไตรมาสแรก ไม่เกิน 2 ล้านตัน ส่วนทั้งปี ยังคงเป้า 7.5 ล้านตัน แนะรัฐช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร ช่วยเรื่องปัจจัยการผลิต อย่าดันราคาอย่างเดียว เหตุผู้ส่งออกทำตลาดลำบาก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019021 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Wow
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 958 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิบากกรรม ‘ข้าวไทย’ ยุค แพทองธาร : [Biz Talk]

    ท่ามกลางความน่ายินดี ที่ส่งออกไทยเดือนแรกของปี 68 เติบโตสูงถึง 13.6%ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่สินค้าข้าว น่าเป็นห่วง ส่งออกร่วงแรง 32.4% แม้ความต้องการข้าวไทยในตลาดโลก ยังดีอยู่ แต่การแข่งขันสูง จนทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยไม่ดีนัก แถมข้าวไทย ยังแพงที่สุดในโลก แข่งขันยาก หวั่นกระทบวงกว้าง หากไม่เร่งหาทางแก้!
    วิบากกรรม ‘ข้าวไทย’ ยุค แพทองธาร : [Biz Talk] ท่ามกลางความน่ายินดี ที่ส่งออกไทยเดือนแรกของปี 68 เติบโตสูงถึง 13.6%ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่สินค้าข้าว น่าเป็นห่วง ส่งออกร่วงแรง 32.4% แม้ความต้องการข้าวไทยในตลาดโลก ยังดีอยู่ แต่การแข่งขันสูง จนทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยไม่ดีนัก แถมข้าวไทย ยังแพงที่สุดในโลก แข่งขันยาก หวั่นกระทบวงกว้าง หากไม่เร่งหาทางแก้!
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • กาดนัดมีโชค แยกต่างระดับ"ฟ้าฮ่าม"ทางไป อ.แม่โจ้
    เย็นวันจันทร์ อังคาร เปิดถึง 4 ทุ่ม
    https://maps.app.goo.gl/o7dqt9Ayz728aH266

    ตอนเย็นๆ..พาเพื่อนๆไปเที่ยวตลาดนัดของกิน(ราคาถูก)ต้องตลาดนัดมีโชตพลาซ่า ปากทางเข้า เป็นMc.Donald ส้มตำป้าบูลย์ หรือ ส้มตำบัตรคิวรสเด็ด ครกละ30บาท ข้าวซอยลุงใจดี(อร่อย) Steak 30-50 บาท เห็ดออรินจิ(ย่าง ไม้ละ 10 บาท ขนมไทย ชุดละ20บาท เต้าทึง เสรี่ยเอ่อ กระปุกละ30บาท กับข้าวไทย เริ่มต้นที่30บาท ผัดหอยลาย กะแกงคั่วหอยแครงอร่อยมว๊ากไก่ทอด ยำผัก แหนมคลุก..ฯลฯ

    แล้ว เดิน ริมปิงซุปเปอร์สโตร์ อุดหนุน..ร้านของตระกูลตันตรานนท์

    ปัญหา คือ ไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดที่ โลตัสรวมโชค
    https://maps.app.goo.gl/Egnynj8KUHFbcFu96
    กาดนัดมีโชค แยกต่างระดับ"ฟ้าฮ่าม"ทางไป อ.แม่โจ้ เย็นวันจันทร์ อังคาร เปิดถึง 4 ทุ่ม https://maps.app.goo.gl/o7dqt9Ayz728aH266 ตอนเย็นๆ..พาเพื่อนๆไปเที่ยวตลาดนัดของกิน(ราคาถูก)ต้องตลาดนัดมีโชตพลาซ่า ปากทางเข้า เป็นMc.Donald ส้มตำป้าบูลย์ หรือ ส้มตำบัตรคิวรสเด็ด ครกละ30บาท ข้าวซอยลุงใจดี(อร่อย) Steak 30-50 บาท เห็ดออรินจิ(ย่าง ไม้ละ 10 บาท ขนมไทย ชุดละ20บาท เต้าทึง เสรี่ยเอ่อ กระปุกละ30บาท กับข้าวไทย เริ่มต้นที่30บาท ผัดหอยลาย กะแกงคั่วหอยแครงอร่อยมว๊ากไก่ทอด ยำผัก แหนมคลุก..ฯลฯ แล้ว เดิน ริมปิงซุปเปอร์สโตร์ อุดหนุน..ร้านของตระกูลตันตรานนท์ ปัญหา คือ ไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดที่ โลตัสรวมโชค https://maps.app.goo.gl/Egnynj8KUHFbcFu96
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • 05-11-67/01 : หมี CNN / เปิดเช้าด้วย "คุณค่าของความเป็นคน" ยุคทอง ความดีก่อเกิด ศรัทธาเปี่ยมล้น ชูคนดี เหยียดคนชั่ว กลียุค ชูเงินเป็นพระเจ้า รวยคือคำตัดสิน กรณี เจ้าของ LV เข้าตึกตัวเองไม่ได้ เพราะขับรถถูกจอดหน้าตึก จะเดินเข้าถูกรปภ.ไล่ ชี้ชัด คนยุคนี้ ตัดสินด้วยเปลือก! เพราะทุนนิยมเหี้ยสามานย์ ล้างสมองควายโลก ให้ดูฐานะมาก่อนสิ่งอื่นใด รวยต้องแต่งรวยเสมอไปเหรอ รวยต้องมีคฤหาสน์เหรอ? ใครตัดสิน? เงินกู จะอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือส่วนรวมได้ทั้งนั้น? ดูผิวเผิน อาจจะไม่สาระ แต่มรึงดูความจริง ข้อเท็จจริง ชีวิตประจำวันมรึง แม้แต่ไปสมัครงาน แต่งตัว เครื่องประดับ ทั้งหมดเพื่อการยอมรับ ใช่หรือไม่? ไม่มีใครสนใจว่ามรึงเป็นคนดี หรือเป็นคนเก่ง มีคุณภาพต่อสังคมดอก รู้แค่ว่า มรึงรวย กูจะได้ขอเศษเงินมรึงได้ ก็เท่านั้นเอง? เข้าประเด็น จุดนี้แหละ ที่ไอ้อีไฮโซ ดารา ทุนสีเทา มันใช้ล่อเหยื่อ เพราะคุณค่าที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" ถามว่า หากมีคนใส่เสื้อผ้าขาด เก่าสกปรก จะเดินเข้าห้างหรู แม้แต่โชว์รูมรถหรู รปภ.มันถูกสั่งอยู่แล้ว ไม่ให้คนจนมาเสนอหน้า มันก็จนเหมือนเค้า แต่เป็นลูกจ้าง ปัญญาให้มาแค่นี้ มรึงจะไปโทษใครได้? แล้วทำไมคนรวยต้องแต่งจน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเหรอ? คำตอบคือ "สะท้อนสังคม" เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือก่อน คือ ผู้มีอันจะกิน เพราะทุกคนคิดว่า อาจได้สินไหมทดแทนกลับบ้าง จริงเหรอ? ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนน้อยมากจริงๆ คนที่ดูคนที่คุณค่าของคน มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปปลูกฝัง ขนาดพ่อแม่มันเอง ยังเต้นเมื่อเห็นคนรวย เพราะกิเลส ครอบงำ เงินคือทุกอย่าง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ก็มีมาให้เห็นแล้ว อะไรที่จะหยุดสิ่งนี้ได้ นั่นคือ "สติ" หากคนมีปัญญามากพอ โชว์รูมรถหรู เห็นยาจกเดินเข้ามา หากผู้จัดการฉลาดซักกะนิด คนจนที่ไหนจะกล้าเข้ามาซื้อรถ หากไม่ใช่ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" มีเรื่องเล่า ในสวีเดนให้ฟัง กลายเป็นตำนาน เรื่องเล่าขาน ไม่มีใครรู้จริงเท็จอย่างไร เศรษฐีใหญ่เดินเข้าห้างหรู ห้างดังในสต๊อกโฮล์ม ไปดู "แชนเดอเลียร์" โคมไฟสุดหรู ลุงถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายว่า ราคาเท่าไหร่จ๊ะ? คนขายบอก "มันแพงน่ะ" ลุงก็ถามกลับอีกครั้งว่า "ราคาเท่าไหร่จ๊ะ" คนขายตอบ "มันแพงมากน่ะลุง" คราวนี้ ลุงถึงกับใช้ไม้เท้า เหวี่ยงจีแชนเดอเลียร์แตกกระจุยกลางห้าง เสียงดังสนั่นชั้น คนแห่มาดู เกิดอะไรขึ้น? คนขาย "หน้าซีดทันที" ลุงถามว่า "คราวนี้ เธอบอกชั้น(ฉาน)ได้รึยัง ว่าราคาเท่าไหร่?" ไม่มีใครรู้ว่า อีตาลุงคนนี้ คือเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน" แท้จริง! หากลุงไม่ตีแชนเดอเลียร์แตกยับ มรึงจะรู้มั้ยว่า "กูเป็นใคร?" คนรวยจริงไม่โอ้อวด ไม่คุยเยอะ ไอ้ที่ไม่รวย เพิ่งจะมี เพิ่งจะรวยต่างหาก ที่อยาก SHOW OFF มรึงโชว์ไปทำไม? สร้างบารมีเหรอ? งั้นกูให้อีกมุมมองนึงคิด เศรษฐีใหญ่เหมือนกัน เอาข้าว เอาน้ำ ไปแจก สร้างถนน สร้างรพ. สถานีอนามัย เพื่อชุมชนบ้านเกิด ใช้เงินตัวเอง ไม่ต้องเบียดเบียนภาษีรัฐ คนจะจดจำมรึงได้ดีกว่า เอาเงินไปแจก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินมีเหมือนกัน แต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกัน นั่นคือ "คุณค่าในตัวมรึงไงล่ะ" วันนี้ นาทีนี้ มรึงกับกูอยู่ใน กลียุค ความดี เปรียบเหมือยแสงเทียน ที่แม้จะน้อยนิด แต่มันจะสว่างไสวในความมืดทมิฬ มันคือโอกาส และความหวัง ของการดำรงอยู่ หากโลกไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา ไม่มีแบ่งปัน มันจะต่างอะไรกับขุมนรก ที่แย่งชิงกันทุกเรื่องเช้าเย็น ทุนนิยมคือดาบ 2 คม เอาเปรียบก็จบเร็ว แบ่งกันกิน ก็อยู่ยาว พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอบอกต่อเลยว่า "โลกยุคอนาคต" เงินไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เมื่อจิตใจถูกชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจนหมดเกลี้ยง ฐานะ ความเหลื่อมล้ำ จะลดลง ไม่ต้องรวย แค่มีกิน ไม่มีหนี้ ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานได้หมด แล้วมรึงยังต้องการอะไรอีก? กิเลส ตัวเดียว ที่กลืนกินโลกทั้งใบได้ สติจะเรียกความเป็นคนในตัวมรึงกลับมา อะไรที่ปู่ย่าตายายสอนมา มันใช้ได้จริง ไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาลได้ดอก ลูกหลานไทยจะเหี้ยกว่านี้มั้ย? สังคมไทยจะฉิบหายกว่านี้มั้ย? มรึงไม่ต้องคิดมาก และกังวลไป ทุกอย่างมีทางออกของมันเอง แค่รอ "ฟ้าเปลี่ยนสี" ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างที่มรึงไม่คาดคิด เพราะแสงทำงานได้ดีกว่าปาก!

    ปล.หลังข่าวมหาเศรษฐี กลุ่ม ELITE ทั้งหลาย เทหุ้น ถอนการลงทุน ตลาดหุ้นนิวยอร์คระส่ำทันที ดอลล่าร์กำลังจะเน่า ใครถือเยอะ ก็คือเศษกระดาษ แปรรูปสิจ๊ะ ไอ้พวกนกรู้ ELITE สายแดร๊ก ขนเงินหอบไปลงทุนเอเซียกันหมด ธนบัตร BRICS ยังไม่ทันจะออกเลย แม่งเตรียมจองไว้เพี๊ยบ คริปโต ถูกโอนถ่ายแทนเงินสด ไม่มีใครเชื่อมั่นในดอลล่าร์อีกแล้ว เพราะอีนกรู้ มันอ่านขาด มรึงจะเผาดอลล่าร์กันในไม่ช้า ใครที่ยังตามโลกตอแหลอยู่ บาทไทยอ่อน ข้าวไทยทรุด สั้นๆ น่ะ "อีตอแหล" ทองคำใครมี คือความมั่นคง ข้าวปลาใครเยอะ คือความมั่งคั่ง มีแต่เหี้ยนั่นแหละ ที่เอามุกนี้มาหลอกควายเช้าเย็น ใครกำหนดค่าเงินล่ะ? หากมรึงยังผูกดอลล่าร์ มันจะสะกดมรึงให้ 1USD=1000000THB ยังได้เลย มรึงยังจะโง่ต่อมุย? ควายยังอายแทน ใครที่ยังคิดว่าดอลล่าร์มีตัวตนอยู่? ทั้งหมดมันมีแค่ตัวเลข ของจริงไม่มีเหลือ ตัวเลขลอยกลางอากาศ แล้วไอ้โง่หน้าไหนไม่ยู้ ไปยอมรับตัวเลขควายเหล่านั้น จับต้องไม่ได้ ตลาดหุ้นคือตลาดหลอกควาย ปั่นกันไปมา สุดท้าย ก็แค่โยกย้ายกระเป๋าใส่พวก ELITE สติเท่านั้น ที่ทำให้มรึงตื่น และมองเห็นภาพความเป็นจริง ชาติที่ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย สั่งเค้ามา แล้วขายต่อ มรึงเอาเหี้ยอะไรมากำหนดค่าเงินชาวบ้าน? แต่ก่อนเอาแสนยานุภาพข่มขู่ แต่วันนี้ แม้แต่หมา แมว ยังไม่กลัวมรึงเลย? รอทุกอย่างสะเด็ดน้ำก่อน ไอ้อีขี้ข้าหมารับใช้ยิวทั่วโลก จะกลายร่างเป็นปรสิต เกาะกินนายใหม่เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น รัสเซีย จีน อ่านขาดหมดแล้ว ดูดเพื่อยุบขั้วเก่า แล้วค่อยเอามาบดทำน้ำยาล้างตรีนภายหลัง? ประเทศกูมี มันมีกรรม และได้ชดใช้กรรมจนเกือบหมดแล้ว จากนี้คือขาขึ้น มุ่งหน้าสู่โคชิเองชัวร์ พุ่งทะยานฟ้า เพราะขั้วใหม่เค้าใจดี วางมรึงเป็นฮับอาเซียน จะรวยกันแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? แค่ทิ้งเหี้ยคือจบ แค่กำจัดขยะคือรอด เราเดินมาสู่โหมด "ชำระล้าง ฆ่าล้างโคตรเหี้ย กันแล้ว" จงดีใจ อย่ากังวลมากเกินไป ความมั่นคงชาติและแผ่นดิน อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ตัวจริงหมดแล้ว เรารอดมาได้ไม่รู้กี่ครั้งเพราะพวกเค้า "ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง" อย่ากลัว พ่อยังอยู่ จะไม่มีอะไรทำร้ายแผ่นดินทองนี้ได้อีก พอเหอะ เลิกพูดเรื่องอีขะแมร์ซะที คนมีสติปัญญา มองเห็นหมดว่า ใครเป็นใคร? กูเคยบอกแล้วชิมิว่า ทหารอีขะแมร์มีหน้าที่จุดไฟแช็ตในตชด.ไทย มรึงยังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? พูดให้ชัดคือ "อีขะแมร์เป็นเบ๊ไทย ตั้งแต่อดีตกาล ยันไปถึงโลกอนาคต และจะเป็นเบ๊ไปยันชั่วลูกชั่วหลานของมัน จนกว่าจะถึงการรวมแผ่นดิน" ไบ้เยอะไปแล้วน่ะ แค่เห็นทหารไทย แม่งก็เยี่ยวแตกแล้ว เรียกลวกเพ่ทุกคำ ยังต้องให้กูบอกอีกมั้ยว่า มันจะบุกมายึดเกาะหมา เกาะแมว เหี้ยอะไรนี่อีก ไอ้ที่มรึงเห็นตามโซเชี่ยล "PROPAGANDA ชั้นประถม ทั้งนั้น" ฝ่ายความมั่นคงขำกลิ้ง ถามกลับ ยังมีควายหลงเชื่ออยู่อีกเหรอ? จบน่ะ อีขะแมร์แค่เบ๊ อย่าไปให้ราคาอะไรมันมาก มรึงจะไปลดตัวทำไม พูดชัดพอรึยัง? สาแก่ใจพอรึยัง?

    หมี CNN(คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน รวยหรือจน อยู่ที่มรึงให้ราคา จะรวยไปเพื่อ จะจนอีกนานไปเพื่อ? รวยยิ่งต้องแบ่ง จนยิ่งต้องขยัน เรื่องไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เปลี่ยนความคิด เรียกสติ พลังงานบวกมาทันที ทำซะน่ะ)
    05 พฤศจิกายน 67
    10.10 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    05-11-67/01 : หมี CNN / เปิดเช้าด้วย "คุณค่าของความเป็นคน" ยุคทอง ความดีก่อเกิด ศรัทธาเปี่ยมล้น ชูคนดี เหยียดคนชั่ว กลียุค ชูเงินเป็นพระเจ้า รวยคือคำตัดสิน กรณี เจ้าของ LV เข้าตึกตัวเองไม่ได้ เพราะขับรถถูกจอดหน้าตึก จะเดินเข้าถูกรปภ.ไล่ ชี้ชัด คนยุคนี้ ตัดสินด้วยเปลือก! เพราะทุนนิยมเหี้ยสามานย์ ล้างสมองควายโลก ให้ดูฐานะมาก่อนสิ่งอื่นใด รวยต้องแต่งรวยเสมอไปเหรอ รวยต้องมีคฤหาสน์เหรอ? ใครตัดสิน? เงินกู จะอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือส่วนรวมได้ทั้งนั้น? ดูผิวเผิน อาจจะไม่สาระ แต่มรึงดูความจริง ข้อเท็จจริง ชีวิตประจำวันมรึง แม้แต่ไปสมัครงาน แต่งตัว เครื่องประดับ ทั้งหมดเพื่อการยอมรับ ใช่หรือไม่? ไม่มีใครสนใจว่ามรึงเป็นคนดี หรือเป็นคนเก่ง มีคุณภาพต่อสังคมดอก รู้แค่ว่า มรึงรวย กูจะได้ขอเศษเงินมรึงได้ ก็เท่านั้นเอง? เข้าประเด็น จุดนี้แหละ ที่ไอ้อีไฮโซ ดารา ทุนสีเทา มันใช้ล่อเหยื่อ เพราะคุณค่าที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" ถามว่า หากมีคนใส่เสื้อผ้าขาด เก่าสกปรก จะเดินเข้าห้างหรู แม้แต่โชว์รูมรถหรู รปภ.มันถูกสั่งอยู่แล้ว ไม่ให้คนจนมาเสนอหน้า มันก็จนเหมือนเค้า แต่เป็นลูกจ้าง ปัญญาให้มาแค่นี้ มรึงจะไปโทษใครได้? แล้วทำไมคนรวยต้องแต่งจน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเหรอ? คำตอบคือ "สะท้อนสังคม" เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือก่อน คือ ผู้มีอันจะกิน เพราะทุกคนคิดว่า อาจได้สินไหมทดแทนกลับบ้าง จริงเหรอ? ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนน้อยมากจริงๆ คนที่ดูคนที่คุณค่าของคน มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปปลูกฝัง ขนาดพ่อแม่มันเอง ยังเต้นเมื่อเห็นคนรวย เพราะกิเลส ครอบงำ เงินคือทุกอย่าง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ก็มีมาให้เห็นแล้ว อะไรที่จะหยุดสิ่งนี้ได้ นั่นคือ "สติ" หากคนมีปัญญามากพอ โชว์รูมรถหรู เห็นยาจกเดินเข้ามา หากผู้จัดการฉลาดซักกะนิด คนจนที่ไหนจะกล้าเข้ามาซื้อรถ หากไม่ใช่ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" มีเรื่องเล่า ในสวีเดนให้ฟัง กลายเป็นตำนาน เรื่องเล่าขาน ไม่มีใครรู้จริงเท็จอย่างไร เศรษฐีใหญ่เดินเข้าห้างหรู ห้างดังในสต๊อกโฮล์ม ไปดู "แชนเดอเลียร์" โคมไฟสุดหรู ลุงถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายว่า ราคาเท่าไหร่จ๊ะ? คนขายบอก "มันแพงน่ะ" ลุงก็ถามกลับอีกครั้งว่า "ราคาเท่าไหร่จ๊ะ" คนขายตอบ "มันแพงมากน่ะลุง" คราวนี้ ลุงถึงกับใช้ไม้เท้า เหวี่ยงจีแชนเดอเลียร์แตกกระจุยกลางห้าง เสียงดังสนั่นชั้น คนแห่มาดู เกิดอะไรขึ้น? คนขาย "หน้าซีดทันที" ลุงถามว่า "คราวนี้ เธอบอกชั้น(ฉาน)ได้รึยัง ว่าราคาเท่าไหร่?" ไม่มีใครรู้ว่า อีตาลุงคนนี้ คือเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน" แท้จริง! หากลุงไม่ตีแชนเดอเลียร์แตกยับ มรึงจะรู้มั้ยว่า "กูเป็นใคร?" คนรวยจริงไม่โอ้อวด ไม่คุยเยอะ ไอ้ที่ไม่รวย เพิ่งจะมี เพิ่งจะรวยต่างหาก ที่อยาก SHOW OFF มรึงโชว์ไปทำไม? สร้างบารมีเหรอ? งั้นกูให้อีกมุมมองนึงคิด เศรษฐีใหญ่เหมือนกัน เอาข้าว เอาน้ำ ไปแจก สร้างถนน สร้างรพ. สถานีอนามัย เพื่อชุมชนบ้านเกิด ใช้เงินตัวเอง ไม่ต้องเบียดเบียนภาษีรัฐ คนจะจดจำมรึงได้ดีกว่า เอาเงินไปแจก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินมีเหมือนกัน แต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกัน นั่นคือ "คุณค่าในตัวมรึงไงล่ะ" วันนี้ นาทีนี้ มรึงกับกูอยู่ใน กลียุค ความดี เปรียบเหมือยแสงเทียน ที่แม้จะน้อยนิด แต่มันจะสว่างไสวในความมืดทมิฬ มันคือโอกาส และความหวัง ของการดำรงอยู่ หากโลกไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา ไม่มีแบ่งปัน มันจะต่างอะไรกับขุมนรก ที่แย่งชิงกันทุกเรื่องเช้าเย็น ทุนนิยมคือดาบ 2 คม เอาเปรียบก็จบเร็ว แบ่งกันกิน ก็อยู่ยาว พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอบอกต่อเลยว่า "โลกยุคอนาคต" เงินไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เมื่อจิตใจถูกชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจนหมดเกลี้ยง ฐานะ ความเหลื่อมล้ำ จะลดลง ไม่ต้องรวย แค่มีกิน ไม่มีหนี้ ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานได้หมด แล้วมรึงยังต้องการอะไรอีก? กิเลส ตัวเดียว ที่กลืนกินโลกทั้งใบได้ สติจะเรียกความเป็นคนในตัวมรึงกลับมา อะไรที่ปู่ย่าตายายสอนมา มันใช้ได้จริง ไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาลได้ดอก ลูกหลานไทยจะเหี้ยกว่านี้มั้ย? สังคมไทยจะฉิบหายกว่านี้มั้ย? มรึงไม่ต้องคิดมาก และกังวลไป ทุกอย่างมีทางออกของมันเอง แค่รอ "ฟ้าเปลี่ยนสี" ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างที่มรึงไม่คาดคิด เพราะแสงทำงานได้ดีกว่าปาก! ปล.หลังข่าวมหาเศรษฐี กลุ่ม ELITE ทั้งหลาย เทหุ้น ถอนการลงทุน ตลาดหุ้นนิวยอร์คระส่ำทันที ดอลล่าร์กำลังจะเน่า ใครถือเยอะ ก็คือเศษกระดาษ แปรรูปสิจ๊ะ ไอ้พวกนกรู้ ELITE สายแดร๊ก ขนเงินหอบไปลงทุนเอเซียกันหมด ธนบัตร BRICS ยังไม่ทันจะออกเลย แม่งเตรียมจองไว้เพี๊ยบ คริปโต ถูกโอนถ่ายแทนเงินสด ไม่มีใครเชื่อมั่นในดอลล่าร์อีกแล้ว เพราะอีนกรู้ มันอ่านขาด มรึงจะเผาดอลล่าร์กันในไม่ช้า ใครที่ยังตามโลกตอแหลอยู่ บาทไทยอ่อน ข้าวไทยทรุด สั้นๆ น่ะ "อีตอแหล" ทองคำใครมี คือความมั่นคง ข้าวปลาใครเยอะ คือความมั่งคั่ง มีแต่เหี้ยนั่นแหละ ที่เอามุกนี้มาหลอกควายเช้าเย็น ใครกำหนดค่าเงินล่ะ? หากมรึงยังผูกดอลล่าร์ มันจะสะกดมรึงให้ 1USD=1000000THB ยังได้เลย มรึงยังจะโง่ต่อมุย? ควายยังอายแทน ใครที่ยังคิดว่าดอลล่าร์มีตัวตนอยู่? ทั้งหมดมันมีแค่ตัวเลข ของจริงไม่มีเหลือ ตัวเลขลอยกลางอากาศ แล้วไอ้โง่หน้าไหนไม่ยู้ ไปยอมรับตัวเลขควายเหล่านั้น จับต้องไม่ได้ ตลาดหุ้นคือตลาดหลอกควาย ปั่นกันไปมา สุดท้าย ก็แค่โยกย้ายกระเป๋าใส่พวก ELITE สติเท่านั้น ที่ทำให้มรึงตื่น และมองเห็นภาพความเป็นจริง ชาติที่ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย สั่งเค้ามา แล้วขายต่อ มรึงเอาเหี้ยอะไรมากำหนดค่าเงินชาวบ้าน? แต่ก่อนเอาแสนยานุภาพข่มขู่ แต่วันนี้ แม้แต่หมา แมว ยังไม่กลัวมรึงเลย? รอทุกอย่างสะเด็ดน้ำก่อน ไอ้อีขี้ข้าหมารับใช้ยิวทั่วโลก จะกลายร่างเป็นปรสิต เกาะกินนายใหม่เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น รัสเซีย จีน อ่านขาดหมดแล้ว ดูดเพื่อยุบขั้วเก่า แล้วค่อยเอามาบดทำน้ำยาล้างตรีนภายหลัง? ประเทศกูมี มันมีกรรม และได้ชดใช้กรรมจนเกือบหมดแล้ว จากนี้คือขาขึ้น มุ่งหน้าสู่โคชิเองชัวร์ พุ่งทะยานฟ้า เพราะขั้วใหม่เค้าใจดี วางมรึงเป็นฮับอาเซียน จะรวยกันแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? แค่ทิ้งเหี้ยคือจบ แค่กำจัดขยะคือรอด เราเดินมาสู่โหมด "ชำระล้าง ฆ่าล้างโคตรเหี้ย กันแล้ว" จงดีใจ อย่ากังวลมากเกินไป ความมั่นคงชาติและแผ่นดิน อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ตัวจริงหมดแล้ว เรารอดมาได้ไม่รู้กี่ครั้งเพราะพวกเค้า "ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง" อย่ากลัว พ่อยังอยู่ จะไม่มีอะไรทำร้ายแผ่นดินทองนี้ได้อีก พอเหอะ เลิกพูดเรื่องอีขะแมร์ซะที คนมีสติปัญญา มองเห็นหมดว่า ใครเป็นใคร? กูเคยบอกแล้วชิมิว่า ทหารอีขะแมร์มีหน้าที่จุดไฟแช็ตในตชด.ไทย มรึงยังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? พูดให้ชัดคือ "อีขะแมร์เป็นเบ๊ไทย ตั้งแต่อดีตกาล ยันไปถึงโลกอนาคต และจะเป็นเบ๊ไปยันชั่วลูกชั่วหลานของมัน จนกว่าจะถึงการรวมแผ่นดิน" ไบ้เยอะไปแล้วน่ะ แค่เห็นทหารไทย แม่งก็เยี่ยวแตกแล้ว เรียกลวกเพ่ทุกคำ ยังต้องให้กูบอกอีกมั้ยว่า มันจะบุกมายึดเกาะหมา เกาะแมว เหี้ยอะไรนี่อีก ไอ้ที่มรึงเห็นตามโซเชี่ยล "PROPAGANDA ชั้นประถม ทั้งนั้น" ฝ่ายความมั่นคงขำกลิ้ง ถามกลับ ยังมีควายหลงเชื่ออยู่อีกเหรอ? จบน่ะ อีขะแมร์แค่เบ๊ อย่าไปให้ราคาอะไรมันมาก มรึงจะไปลดตัวทำไม พูดชัดพอรึยัง? สาแก่ใจพอรึยัง? หมี CNN(คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน รวยหรือจน อยู่ที่มรึงให้ราคา จะรวยไปเพื่อ จะจนอีกนานไปเพื่อ? รวยยิ่งต้องแบ่ง จนยิ่งต้องขยัน เรื่องไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เปลี่ยนความคิด เรียกสติ พลังงานบวกมาทันที ทำซะน่ะ) 05 พฤศจิกายน 67 10.10 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1192 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครม.ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน ส่งต่อมหาดไทย ประกาศบังคับใช้ ไม่เกิน 60 วัน เชื่อทุกส่วนได้ประโยชน์

    29 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวไทยพีบีเอสระบุว่า นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลที่อพยพมาในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย เพื่อทดแทนมติ ครม.เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2564 ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน กลุ่มแรก คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน และกลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน

    ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน และกลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มี สถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมด 483,000 คน โดยวันนี้ ครม.พิจารณาลดขั้นตอนต่างๆ เพราะหากต้องพิจารณาทั้ง 483,000 คน ใช้เวลานานถึง 44 ปี

    ทั้งนี้ ที่มีข้อสังเกตว่าการให้สัญชาติแล้ว ประเทศไทยจะทำให้เกิดผลกระทบหรือไม่นั้น แต่ทางที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบในหลักการ และส่งให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันและไม่เกินกว่า 60 วัน

    นายจิรายุ กล่าวว่า คนทั้ง 483,000 คนนี้ อยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน สามารถทำงานปกติและมีเอกสารสำคัญ ไทยจึงมีความเห็นว่าควรจะทำให้ถูกต้อง เพื่อให้คนเหล่านี้สัญจรไป-มา ได้ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ รู้ถิ่นฐานที่อยู่ ที่ไปที่มาของคนเหล่านี้ จึงเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์ต่อหลายส่วน

    ที่มา : https://www.thaipbs.or.th/news/content/345769

    #Thaitimes

    ครม.ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน ส่งต่อมหาดไทย ประกาศบังคับใช้ ไม่เกิน 60 วัน เชื่อทุกส่วนได้ประโยชน์ 29 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวไทยพีบีเอสระบุว่า นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลที่อพยพมาในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย เพื่อทดแทนมติ ครม.เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2564 ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน กลุ่มแรก คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน และกลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน และกลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มี สถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมด 483,000 คน โดยวันนี้ ครม.พิจารณาลดขั้นตอนต่างๆ เพราะหากต้องพิจารณาทั้ง 483,000 คน ใช้เวลานานถึง 44 ปี ทั้งนี้ ที่มีข้อสังเกตว่าการให้สัญชาติแล้ว ประเทศไทยจะทำให้เกิดผลกระทบหรือไม่นั้น แต่ทางที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบในหลักการ และส่งให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันและไม่เกินกว่า 60 วัน นายจิรายุ กล่าวว่า คนทั้ง 483,000 คนนี้ อยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน สามารถทำงานปกติและมีเอกสารสำคัญ ไทยจึงมีความเห็นว่าควรจะทำให้ถูกต้อง เพื่อให้คนเหล่านี้สัญจรไป-มา ได้ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ รู้ถิ่นฐานที่อยู่ ที่ไปที่มาของคนเหล่านี้ จึงเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์ต่อหลายส่วน ที่มา : https://www.thaipbs.or.th/news/content/345769 #Thaitimes
    WWW.THAIPBS.OR.TH
    ครม.ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน เชื่อทุกส่วนได้ประโยชน์
    ครม.ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน ส่งต่อมหาดไทย ประกาศบังคับใช้ ไม่เกิน 60 วัน เชื่อทุกส่วนได้ประโยชน์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ณฐพร โตประยูร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด'

    9 ตุลาคม 2567 - รายงานข่าวไทยโพสต์ระบุว่า นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยใช้สถานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก้าวก่าย แทรกแซงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากส่วนราชการ อ้างวาระประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์คดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยนำคดีของ นายทุน มิน หลัดที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องมาพิจารณา รวม 3 ครั้ง คือ วันที่ 29 ส.ค. 2567 วันที่ 11 ก.ย. 2567 และวันที่ 3 ต.ค. 2567 เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา ฟ้องหมิ่นประมาทจำนวน 3 คดี ค่าเสียหายรวม 140 ล้านบาท

    นายณฐพร กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะหากนายรังสิมันต์จะหาข้อเท็จจริงต้องทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อเท็จจริงให้ นอกจากนี้ยังเรียกให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม ทั้ง ๆ ที่นายอุปกิต ฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต่อศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 และคดียังอยู่ชั้นศาลอุทธรณ์ ดังนั้นข้อมูลจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ จึงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง และทำให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ รู้ข้อมูลเชิงลับ ในการสอบหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.คำสั่งเรียก ฯ และ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่ได้วางมาตรการป้องกันการใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการอีกด้วย

    “ในเนื้อหาการประชุมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า นายรังสิมันต์ มิได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เช่น ต้องการให้ดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาแม่สายที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และยังให้ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยไปหาแนวทางยกเลิกสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินระบุ

    https://www.thaipost.net/x-cite-news/670670/

    #Thaitimes
    'ณฐพร โตประยูร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด' 9 ตุลาคม 2567 - รายงานข่าวไทยโพสต์ระบุว่า นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยใช้สถานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก้าวก่าย แทรกแซงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากส่วนราชการ อ้างวาระประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์คดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยนำคดีของ นายทุน มิน หลัดที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องมาพิจารณา รวม 3 ครั้ง คือ วันที่ 29 ส.ค. 2567 วันที่ 11 ก.ย. 2567 และวันที่ 3 ต.ค. 2567 เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา ฟ้องหมิ่นประมาทจำนวน 3 คดี ค่าเสียหายรวม 140 ล้านบาท นายณฐพร กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะหากนายรังสิมันต์จะหาข้อเท็จจริงต้องทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อเท็จจริงให้ นอกจากนี้ยังเรียกให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม ทั้ง ๆ ที่นายอุปกิต ฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต่อศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 และคดียังอยู่ชั้นศาลอุทธรณ์ ดังนั้นข้อมูลจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ จึงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง และทำให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ รู้ข้อมูลเชิงลับ ในการสอบหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.คำสั่งเรียก ฯ และ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่ได้วางมาตรการป้องกันการใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการอีกด้วย “ในเนื้อหาการประชุมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า นายรังสิมันต์ มิได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เช่น ต้องการให้ดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาแม่สายที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และยังให้ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยไปหาแนวทางยกเลิกสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินระบุ https://www.thaipost.net/x-cite-news/670670/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    'ณฐพร' ร้องสอบจริยธรรม 'ทั่นโรม' ใช้อำนาจล้วงลูกคดี!
    'ณฐพร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด'
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 979 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ความท้าทายของการส่งออกข้าวไทย
    เมื่อผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือ อินเดีย
    ได้กลับมาเปิดเสรี การส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศอีกครั้ง
    หลังจากหยุดพักการส่งออกข้าว
    ตั้งแต่ กรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา

    🚩ส่งผลให้แนวโน้มของราคาข้าวในตลาดโลก
    มีโอกาสปรับตัวลดลง
    จากผลผลิตข้าวในตลาดที่มากยิ่งขึ้น

    🚩นักวิชาการแนะ รัฐบาล ให้เพิ่มการยกระดับ
    ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวในประเทศ
    เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้นในตลาดโลก

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกข้าวไทย
    #thaitimes
    💥💥ความท้าทายของการส่งออกข้าวไทย เมื่อผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือ อินเดีย ได้กลับมาเปิดเสรี การส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากหยุดพักการส่งออกข้าว ตั้งแต่ กรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา 🚩ส่งผลให้แนวโน้มของราคาข้าวในตลาดโลก มีโอกาสปรับตัวลดลง จากผลผลิตข้าวในตลาดที่มากยิ่งขึ้น 🚩นักวิชาการแนะ รัฐบาล ให้เพิ่มการยกระดับ ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้นในตลาดโลก ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกข้าวไทย #thaitimes
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    15
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1324 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน)

    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน) PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราชตฤณมัยสมาคมฯเดินหน้าสร้างสนามม้าแห่งใหม่บนพื้นที่ 3,000 ไร่ ในเขตหนองจอก ก่อนขยายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ 2แสนล้าน ภายใต้ชื่อโครงการ "The Royal Siam Haven" หลังจากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีผลบังคับใช้

    19 กันยายน 2567-รายงานข่าวไทยพีบีเอสระบุว่าราชตฤณมัยสมาคมฯ โดยบริษัท รอยัล สปอร์ต คอมเพล็กซ์ จำกัด แถลงข่าวระบุว่า จะเดินหน้าก่อสร้างสนามม้าแห่งใหม่บนพื้นที่ 3,000 ไร่ ในเขตหนองจอก ก่อนขยายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หลังจากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีผลบังคับใช้

    ในการแถลงข่าวยังมีการลงนามร่วมกับกลุ่มแคปปิตัลทรัสต์ รับมอบสิทธิในบัญชีพร็อพเทรด 100 ล้านสิทธิ โดยระบุเป้าหมายเพื่อให้คนไทยเรียนรู้ด้านการลงทุน

    ก่อนหน้านี้ ราชตฤณมัยสมาคมฯ ลงนามเดินหน้าโครงการร่วมกับ บริษัท พาวเวอร์ออลเน็ตเวิร์ค บริษัทลูกของกลุ่ม Foxconn จากฮ่องกง และมีแผนลงนามกับผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาม้าแข่งจากประเทศเกาหลีใต้

    พ.อ.พันธุ์ธัช แสงโชติ ว่าที่เลขาธิการราชตฤณมัยสมาคมฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ก.ย.นี้ จะมีการลงนามกับกลุ่มทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการจัดการแข่งขันม้า และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ตั้งเป้าหมายสร้างที่หนองจอก

    “เราจะไม่รอให้ พ.ร.บ.ผ่านก่อน แต่เราจะสร้างก่อน ตั้งเป้าหมายสร้างที่หนองจอกเพราะดูแล้วคลองเตยน่าจะใช้เวลานาน”

    ขณะที่ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินกรุงเทพฯ กล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมสาธารณูปโภค ถนน ระบบน้ำและระบบไฟ เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาเช่าพื้นที่ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า ส่วนประกอบของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทั้งการแสดงโชว์ สเตเดียม ร้านค้า ร้านอาหาร

    เมื่อมาดูร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.ขึ้นมาใหม่ และผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จากนี้กระทรวงการคลังจะส่งกลับไปให้ ครม.พิจารณาแก้ไขเป็นรายมาตราต่อไป
    ประเด็นนี้เป็นที่จับตาของภาคประชาชน เพราะมีหลายจุดที่ถูกตัดตอนและแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ หลายจุด เริ่มตั้งแต่การเพิ่มอำนาจคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกว่า ซุปเปอร์บอร์ด ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้กำหนดจำนวนใบอนุญาต, เสนอแนะอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโน, กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโน และหากมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ ก็ยังเสนอให้ ครม.แก้กฎหมายได้และอายุใบอนุญาตเพิ่มจาก 20 ปี เป็น 30 ปี

    นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้ผู้ประกอบการให้สินเชื่อกับผู้เล่นพนันในสถานประกอบการกาสิโนได้

    ส่วนประเด็นสำคัญที่ถูกตัดออกจากร่างเดิมของ กมธ. คือ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ประเด็นนี้ไม่มีในร่างของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

    นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในระยะเวลานาน เชื่อว่าในระยะถัดไป การบังคับใช้กฎหมายอาจไม่เข้มงวดเท่าช่วงแรก ซึ่งในอนาคตอาจมีภาพทั้งกาสิโนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวสำคัญ รวมทั้งกาสิโนขนาดกลางและขนาดเล็กในท้องถิ่นต่าง ๆ ก็เป็นที่น่ากังวลว่ากฎหมายเปิดช่องขนาดนี้ เรียกว่าเป็นกฎหมาย "บ่อนบนดิน

    #Thaitimes
    ราชตฤณมัยสมาคมฯเดินหน้าสร้างสนามม้าแห่งใหม่บนพื้นที่ 3,000 ไร่ ในเขตหนองจอก ก่อนขยายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ 2แสนล้าน ภายใต้ชื่อโครงการ "The Royal Siam Haven" หลังจากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีผลบังคับใช้ 19 กันยายน 2567-รายงานข่าวไทยพีบีเอสระบุว่าราชตฤณมัยสมาคมฯ โดยบริษัท รอยัล สปอร์ต คอมเพล็กซ์ จำกัด แถลงข่าวระบุว่า จะเดินหน้าก่อสร้างสนามม้าแห่งใหม่บนพื้นที่ 3,000 ไร่ ในเขตหนองจอก ก่อนขยายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หลังจากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีผลบังคับใช้ ในการแถลงข่าวยังมีการลงนามร่วมกับกลุ่มแคปปิตัลทรัสต์ รับมอบสิทธิในบัญชีพร็อพเทรด 100 ล้านสิทธิ โดยระบุเป้าหมายเพื่อให้คนไทยเรียนรู้ด้านการลงทุน ก่อนหน้านี้ ราชตฤณมัยสมาคมฯ ลงนามเดินหน้าโครงการร่วมกับ บริษัท พาวเวอร์ออลเน็ตเวิร์ค บริษัทลูกของกลุ่ม Foxconn จากฮ่องกง และมีแผนลงนามกับผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาม้าแข่งจากประเทศเกาหลีใต้ พ.อ.พันธุ์ธัช แสงโชติ ว่าที่เลขาธิการราชตฤณมัยสมาคมฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ก.ย.นี้ จะมีการลงนามกับกลุ่มทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการจัดการแข่งขันม้า และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ตั้งเป้าหมายสร้างที่หนองจอก “เราจะไม่รอให้ พ.ร.บ.ผ่านก่อน แต่เราจะสร้างก่อน ตั้งเป้าหมายสร้างที่หนองจอกเพราะดูแล้วคลองเตยน่าจะใช้เวลานาน” ขณะที่ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินกรุงเทพฯ กล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมสาธารณูปโภค ถนน ระบบน้ำและระบบไฟ เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาเช่าพื้นที่ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า ส่วนประกอบของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทั้งการแสดงโชว์ สเตเดียม ร้านค้า ร้านอาหาร เมื่อมาดูร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.ขึ้นมาใหม่ และผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จากนี้กระทรวงการคลังจะส่งกลับไปให้ ครม.พิจารณาแก้ไขเป็นรายมาตราต่อไป ประเด็นนี้เป็นที่จับตาของภาคประชาชน เพราะมีหลายจุดที่ถูกตัดตอนและแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ หลายจุด เริ่มตั้งแต่การเพิ่มอำนาจคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกว่า ซุปเปอร์บอร์ด ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้กำหนดจำนวนใบอนุญาต, เสนอแนะอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโน, กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโน และหากมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ ก็ยังเสนอให้ ครม.แก้กฎหมายได้และอายุใบอนุญาตเพิ่มจาก 20 ปี เป็น 30 ปี นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้ผู้ประกอบการให้สินเชื่อกับผู้เล่นพนันในสถานประกอบการกาสิโนได้ ส่วนประเด็นสำคัญที่ถูกตัดออกจากร่างเดิมของ กมธ. คือ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ประเด็นนี้ไม่มีในร่างของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในระยะเวลานาน เชื่อว่าในระยะถัดไป การบังคับใช้กฎหมายอาจไม่เข้มงวดเท่าช่วงแรก ซึ่งในอนาคตอาจมีภาพทั้งกาสิโนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวสำคัญ รวมทั้งกาสิโนขนาดกลางและขนาดเล็กในท้องถิ่นต่าง ๆ ก็เป็นที่น่ากังวลว่ากฎหมายเปิดช่องขนาดนี้ เรียกว่าเป็นกฎหมาย "บ่อนบนดิน #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2064 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หมอวรงค์ " ซัด "ภูมิธรรม" หยุดฟอกขาว "จำนำข้าว" ย้ำประมูลข้าว 10 ปี ไม่โปร่งใสตกแต่งกองข้าว ทำประชาชนกังขา ทำลายความเชื่อมั่นตลาดข้าวไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000061961
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "หมอวรงค์ " ซัด "ภูมิธรรม" หยุดฟอกขาว "จำนำข้าว" ย้ำประมูลข้าว 10 ปี ไม่โปร่งใสตกแต่งกองข้าว ทำประชาชนกังขา ทำลายความเชื่อมั่นตลาดข้าวไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000061961 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    9
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1233 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนคนเค้าไม่สบายใจกันทั้งประเทศ ก็ไม่ยอมฟัง ดันทุรังระบายข้าวเก่า ทำลายวงการข้าวไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ภูมิธรรม
    #ข้าว10ปี
    #ข้าวเก่า
    ตอนคนเค้าไม่สบายใจกันทั้งประเทศ ก็ไม่ยอมฟัง ดันทุรังระบายข้าวเก่า ทำลายวงการข้าวไทย #คิงส์โพธิ์แดง #ภูมิธรรม #ข้าว10ปี #ข้าวเก่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว