• “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI”

    ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด

    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์

    นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์
    เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85%
    เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร
    ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง

    ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์
    เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
    แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI

    ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล
    พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    🌏 “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI” ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์ นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85% ➡️ เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร ➡️ ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ✅ ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ➡️ แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI ✅ ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US and Japan move to loosen China’s rare earths grip — nations partner to build alternative pathways to power, resource independence
    Tokyo pact pairs magnet supply chain resilience with new nuclear cooperation, days before Trump meets Xi.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ผนึกกำลัง Oracle สร้าง 7 ซูเปอร์คอม AI ให้รัฐบาลสหรัฐ – รวมพลังทะลุ 2,200 ExaFLOPS ด้วย Blackwell กว่าแสนตัว!”

    Nvidia ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Oracle และกระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE) เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จำนวน 7 ระบบ โดยเฉพาะที่ Argonne National Laboratory ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ “Equinox” และ “Solstice” สองระบบหลักที่ใช้ GPU Blackwell รวมกันกว่า 100,000 ตัว ให้พลังประมวลผลรวมสูงถึง 2,200 ExaFLOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยใช้ GPU Blackwell จำนวน 10,000 ตัว ส่วน Solstice จะเป็นระบบขนาด 200 เมกะวัตต์ ที่ใช้ GPU Blackwell มากกว่า 100,000 ตัว และเมื่อเชื่อมต่อกับ Equinox จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดของ DOE

    ระบบเหล่านี้จะถูกใช้ในการสร้างโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ และพัฒนา “agentic scientists” หรือ AI ที่สามารถค้นคว้าและตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia และ Oracle สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI 7 ระบบให้รัฐบาลสหรัฐ
    ใช้ GPU Blackwell รวมกว่า 100,000 ตัว
    พลังประมวลผลรวม 2,200 ExaFLOPS (FP4 สำหรับ AI)
    ระบบหลักคือ Equinox (10,000 GPU) และ Solstice (100,000+ GPU)
    Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026

    จุดประสงค์ของโครงการ
    สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง
    พัฒนาโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์
    สร้าง “agentic AI” ที่สามารถตั้งสมมติฐานและทดลองได้เอง
    ขับเคลื่อนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ด้วย AI

    ความร่วมมือและการลงทุน
    ใช้โมเดล public-private partnership ระหว่าง Nvidia, Oracle และ DOE
    Oracle เป็นผู้สร้างระบบ Equinox และ Solstice
    ระบบจะใช้ซอฟต์แวร์ของ Nvidia เช่น Megatron-Core และ TensorRT

    ระบบอื่นในโครงการ
    Argonne ยังจะได้ระบบใหม่อีก 3 ตัว: Tara, Minerva และ Janus
    ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ Argonne Leadership Computing Facility

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-and-partners-to-build-seven-ai-supercomputers-for-the-u-s-govt-with-over-100-000-blackwell-gpus-combined-performance-of-2-200-exaflops-of-compute
    🚀 “Nvidia ผนึกกำลัง Oracle สร้าง 7 ซูเปอร์คอม AI ให้รัฐบาลสหรัฐ – รวมพลังทะลุ 2,200 ExaFLOPS ด้วย Blackwell กว่าแสนตัว!” Nvidia ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Oracle และกระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE) เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จำนวน 7 ระบบ โดยเฉพาะที่ Argonne National Laboratory ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ “Equinox” และ “Solstice” สองระบบหลักที่ใช้ GPU Blackwell รวมกันกว่า 100,000 ตัว ให้พลังประมวลผลรวมสูงถึง 2,200 ExaFLOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยใช้ GPU Blackwell จำนวน 10,000 ตัว ส่วน Solstice จะเป็นระบบขนาด 200 เมกะวัตต์ ที่ใช้ GPU Blackwell มากกว่า 100,000 ตัว และเมื่อเชื่อมต่อกับ Equinox จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดของ DOE ระบบเหล่านี้จะถูกใช้ในการสร้างโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ และพัฒนา “agentic scientists” หรือ AI ที่สามารถค้นคว้าและตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia และ Oracle สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI 7 ระบบให้รัฐบาลสหรัฐ ➡️ ใช้ GPU Blackwell รวมกว่า 100,000 ตัว ➡️ พลังประมวลผลรวม 2,200 ExaFLOPS (FP4 สำหรับ AI) ➡️ ระบบหลักคือ Equinox (10,000 GPU) และ Solstice (100,000+ GPU) ➡️ Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 ✅ จุดประสงค์ของโครงการ ➡️ สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง ➡️ พัฒนาโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ สร้าง “agentic AI” ที่สามารถตั้งสมมติฐานและทดลองได้เอง ➡️ ขับเคลื่อนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ด้วย AI ✅ ความร่วมมือและการลงทุน ➡️ ใช้โมเดล public-private partnership ระหว่าง Nvidia, Oracle และ DOE ➡️ Oracle เป็นผู้สร้างระบบ Equinox และ Solstice ➡️ ระบบจะใช้ซอฟต์แวร์ของ Nvidia เช่น Megatron-Core และ TensorRT ✅ ระบบอื่นในโครงการ ➡️ Argonne ยังจะได้ระบบใหม่อีก 3 ตัว: Tara, Minerva และ Janus ➡️ ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ Argonne Leadership Computing Facility https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-and-partners-to-build-seven-ai-supercomputers-for-the-u-s-govt-with-over-100-000-blackwell-gpus-combined-performance-of-2-200-exaflops-of-compute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI”

    ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation”

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน

    ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure

    ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC)
    องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation
    Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน
    OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้

    ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ
    Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป
    OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้
    Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน

    เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI
    Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032
    หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่
    สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ

    ความเป็นมาของ OpenAI
    ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร
    ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน
    โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025

    การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    🤝 “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI” ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation” การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC) ➡️ องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation ➡️ Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน ➡️ OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้ ✅ ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ ➡️ Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป ➡️ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้ ➡️ Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน ✅ เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI ➡️ Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032 ➡️ หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่ ➡️ สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ ✅ ความเป็นมาของ OpenAI ➡️ ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ➡️ ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน ➡️ โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025 การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia เปิดตัว Omniverse DSX – พิมพ์เขียวสร้างโรงงาน AI ขนาดกิกะวัตต์ ใช้พลังงานเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์!”

    ในงาน GTC 2025 Nvidia ได้เปิดตัว “Omniverse DSX Blueprint” พิมพ์เขียวสำหรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดมหึมา ที่เรียกว่า “AI Factory” ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ไปจนถึงหลายกิกะวัตต์ โดยแต่ละแห่งต้องใช้พลังงานเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรง! จุดเด่นของ DSX คือการใช้ “Digital Twin” จำลองทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่ระบบไฟฟ้า การระบายความร้อน ไปจนถึงการจัดวางเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้สามารถออกแบบและปรับแต่งได้อย่างแม่นยำก่อนลงมือสร้างจริง

    DSX ยังมีสองโหมดการใช้งานหลักคือ “DSX Boost” ที่เน้นการจัดการพลังงานภายในศูนย์ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ “DSX Flex” ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายพลังงานภายนอกเพื่อดึงพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ได้ใช้งานกว่า 100 GW เข้ามาใช้ได้อย่างชาญฉลาด

    การออกแบบนี้ถูกทดสอบจริงที่ศูนย์วิจัย AI Factory ของ Nvidia ในรัฐเวอร์จิเนีย และถูกนำไปใช้ในโครงการจริง เช่น Switch site ขนาด 2 GW ในจอร์เจีย และ Stargate facility ขนาด 1.2 GW ในเท็กซัส

    นอกจากนั้น DSX ยังรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Blackwell และ Vera Rubin ที่จะมาในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทหน้าใหม่สามารถสร้างโรงงาน AI ได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานมาก่อน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Omniverse DSX เป็นพิมพ์เขียวสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 100 MW ถึงหลาย GW
    ใช้ Digital Twin จำลองการออกแบบก่อนสร้างจริง
    ทดสอบแล้วที่ศูนย์วิจัย AI Factory ในเวอร์จิเนีย
    ถูกนำไปใช้ใน Switch site (2 GW) และ Stargate facility (1.2 GW)

    โหมดการทำงานของ DSX
    DSX Boost: เพิ่มประสิทธิภาพภายใน ลดการใช้พลังงานลง 30% หรือเพิ่มความหนาแน่นของ GPU ได้ 30%
    DSX Flex: เชื่อมต่อกับโครงข่ายพลังงานภายนอก ดึงพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ได้ใช้งานกว่า 100 GW

    ความสามารถในการรองรับฮาร์ดแวร์
    รองรับ Blackwell generation และ Vera Rubin ในอนาคต
    ออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบระบายความร้อนและเครือข่ายได้ทันที

    จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน
    ใช้ Omniverse framework ในการจำลองและควบคุม
    ช่วยให้บริษัทหน้าใหม่สามารถสร้างโรงงาน AI ได้ง่ายขึ้น
    ลดเวลาในการออกแบบและก่อสร้างด้วยโมดูลสำเร็จรูป

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การใช้พลังงานระดับกิกะวัตต์อาจกระทบต่อโครงข่ายไฟฟ้าในพื้นที่
    ต้องมีการวางแผนร่วมกับหน่วยงานพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ
    การสร้างโรงงาน AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากทั้งด้านที่ดิน น้ำ และระบบระบายความร้อน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-announces-reference-design-for-gargantuan-gigawatt-scale-omniverse-dsx-data-centers-single-data-center-requires-a-nuclear-reactors-worth-of-power-generation
    🧱 “Nvidia เปิดตัว Omniverse DSX – พิมพ์เขียวสร้างโรงงาน AI ขนาดกิกะวัตต์ ใช้พลังงานเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์!” ในงาน GTC 2025 Nvidia ได้เปิดตัว “Omniverse DSX Blueprint” พิมพ์เขียวสำหรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดมหึมา ที่เรียกว่า “AI Factory” ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ไปจนถึงหลายกิกะวัตต์ โดยแต่ละแห่งต้องใช้พลังงานเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรง! จุดเด่นของ DSX คือการใช้ “Digital Twin” จำลองทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่ระบบไฟฟ้า การระบายความร้อน ไปจนถึงการจัดวางเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้สามารถออกแบบและปรับแต่งได้อย่างแม่นยำก่อนลงมือสร้างจริง DSX ยังมีสองโหมดการใช้งานหลักคือ “DSX Boost” ที่เน้นการจัดการพลังงานภายในศูนย์ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ “DSX Flex” ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายพลังงานภายนอกเพื่อดึงพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ได้ใช้งานกว่า 100 GW เข้ามาใช้ได้อย่างชาญฉลาด การออกแบบนี้ถูกทดสอบจริงที่ศูนย์วิจัย AI Factory ของ Nvidia ในรัฐเวอร์จิเนีย และถูกนำไปใช้ในโครงการจริง เช่น Switch site ขนาด 2 GW ในจอร์เจีย และ Stargate facility ขนาด 1.2 GW ในเท็กซัส นอกจากนั้น DSX ยังรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Blackwell และ Vera Rubin ที่จะมาในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทหน้าใหม่สามารถสร้างโรงงาน AI ได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานมาก่อน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Omniverse DSX เป็นพิมพ์เขียวสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 100 MW ถึงหลาย GW ➡️ ใช้ Digital Twin จำลองการออกแบบก่อนสร้างจริง ➡️ ทดสอบแล้วที่ศูนย์วิจัย AI Factory ในเวอร์จิเนีย ➡️ ถูกนำไปใช้ใน Switch site (2 GW) และ Stargate facility (1.2 GW) ✅ โหมดการทำงานของ DSX ➡️ DSX Boost: เพิ่มประสิทธิภาพภายใน ลดการใช้พลังงานลง 30% หรือเพิ่มความหนาแน่นของ GPU ได้ 30% ➡️ DSX Flex: เชื่อมต่อกับโครงข่ายพลังงานภายนอก ดึงพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ได้ใช้งานกว่า 100 GW ✅ ความสามารถในการรองรับฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ Blackwell generation และ Vera Rubin ในอนาคต ➡️ ออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบระบายความร้อนและเครือข่ายได้ทันที ✅ จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน ➡️ ใช้ Omniverse framework ในการจำลองและควบคุม ➡️ ช่วยให้บริษัทหน้าใหม่สามารถสร้างโรงงาน AI ได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดเวลาในการออกแบบและก่อสร้างด้วยโมดูลสำเร็จรูป ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การใช้พลังงานระดับกิกะวัตต์อาจกระทบต่อโครงข่ายไฟฟ้าในพื้นที่ ⛔ ต้องมีการวางแผนร่วมกับหน่วยงานพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ ⛔ การสร้างโรงงาน AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากทั้งด้านที่ดิน น้ำ และระบบระบายความร้อน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-announces-reference-design-for-gargantuan-gigawatt-scale-omniverse-dsx-data-centers-single-data-center-requires-a-nuclear-reactors-worth-of-power-generation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia เปิดตัวซูเปอร์คอม Vera Rubin สำหรับห้องแล็บ Los Alamos – ชิงพื้นที่จาก AMD ในสนามวิจัย AI และความมั่นคง”

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ HPE ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่ 2 เครื่องให้กับ Los Alamos National Laboratory (LANL) โดยใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งประกอบด้วย CPU Vera รุ่นใหม่และ GPU Rubin ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยด้าน AI และความมั่นคงระดับชาติ

    สองระบบนี้มีชื่อว่า “Mission” และ “Vision” โดย Mission จะถูกใช้โดย National Nuclear Security Administration เพื่อจำลองและตรวจสอบความปลอดภัยของคลังอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ต้องทดสอบจริง ส่วน Vision จะรองรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เปิดและ AI โดยต่อยอดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Venado ที่เคยติดอันดับ 19 ของโลก

    ระบบ Vera Rubin จะใช้เทคโนโลยี NVLink Gen6 สำหรับการเชื่อมต่อภายใน และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนานและการสื่อสารระหว่างโหนด

    แม้ Nvidia ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพของ Mission และ Vision แต่จากการเปรียบเทียบกับ Venado ที่มีพลัง FP64 ถึง 98.51 PFLOPS คาดว่า Vision จะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า และยังคงเน้นการรองรับ HPC แบบ FP64 ควบคู่กับ AI แบบ low-precision

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ร่วมกับ HPE สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Mission” และ “Vision” ให้กับ LANL
    ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin: CPU Vera + GPU Rubin
    ใช้ NVLink Gen6 และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อ
    Mission ใช้ในงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ (NNSA)
    Vision ใช้ในงานวิจัยวิทยาศาสตร์เปิดและ AI

    ความสามารถที่คาดการณ์ได้
    Vision จะต่อยอดจาก Venado ที่มีพลัง FP64 98.51 PFLOPS
    คาดว่าจะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า
    รองรับทั้ง HPC แบบ FP64 และ AI แบบ FP4/FP8

    ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
    Mission เป็นระบบที่ 5 ในโครงการ AI ด้านความมั่นคงของ LANL
    Vision จะช่วยผลักดันงานวิจัย AI และวิทยาศาสตร์แบบเปิด
    เป็นการลงทุนสำคัญของสหรัฐในด้านความมั่นคงและวิทยาศาสตร์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    Nvidia ยังไม่เปิดเผยสเปกละเอียดหรือตัวเลขประสิทธิภาพจริง
    การพัฒนาและติดตั้งระบบจะใช้เวลาหลายปี – Mission คาดว่าจะใช้งานได้ในปี 2027
    การแข่งขันกับ AMD ยังดำเนินต่อ โดย AMD เพิ่งประกาศชัยชนะในโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-unveils-vera-rubin-supercomputers-for-los-alamos-national-laboratory-announcement-comes-on-heels-of-amds-recent-supercomputer-wins
    🧠 “Nvidia เปิดตัวซูเปอร์คอม Vera Rubin สำหรับห้องแล็บ Los Alamos – ชิงพื้นที่จาก AMD ในสนามวิจัย AI และความมั่นคง” Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ HPE ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่ 2 เครื่องให้กับ Los Alamos National Laboratory (LANL) โดยใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งประกอบด้วย CPU Vera รุ่นใหม่และ GPU Rubin ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยด้าน AI และความมั่นคงระดับชาติ สองระบบนี้มีชื่อว่า “Mission” และ “Vision” โดย Mission จะถูกใช้โดย National Nuclear Security Administration เพื่อจำลองและตรวจสอบความปลอดภัยของคลังอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ต้องทดสอบจริง ส่วน Vision จะรองรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เปิดและ AI โดยต่อยอดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Venado ที่เคยติดอันดับ 19 ของโลก ระบบ Vera Rubin จะใช้เทคโนโลยี NVLink Gen6 สำหรับการเชื่อมต่อภายใน และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนานและการสื่อสารระหว่างโหนด แม้ Nvidia ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพของ Mission และ Vision แต่จากการเปรียบเทียบกับ Venado ที่มีพลัง FP64 ถึง 98.51 PFLOPS คาดว่า Vision จะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า และยังคงเน้นการรองรับ HPC แบบ FP64 ควบคู่กับ AI แบบ low-precision ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ร่วมกับ HPE สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Mission” และ “Vision” ให้กับ LANL ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin: CPU Vera + GPU Rubin ➡️ ใช้ NVLink Gen6 และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อ ➡️ Mission ใช้ในงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ (NNSA) ➡️ Vision ใช้ในงานวิจัยวิทยาศาสตร์เปิดและ AI ✅ ความสามารถที่คาดการณ์ได้ ➡️ Vision จะต่อยอดจาก Venado ที่มีพลัง FP64 98.51 PFLOPS ➡️ คาดว่าจะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า ➡️ รองรับทั้ง HPC แบบ FP64 และ AI แบบ FP4/FP8 ✅ ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ Mission เป็นระบบที่ 5 ในโครงการ AI ด้านความมั่นคงของ LANL ➡️ Vision จะช่วยผลักดันงานวิจัย AI และวิทยาศาสตร์แบบเปิด ➡️ เป็นการลงทุนสำคัญของสหรัฐในด้านความมั่นคงและวิทยาศาสตร์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ Nvidia ยังไม่เปิดเผยสเปกละเอียดหรือตัวเลขประสิทธิภาพจริง ⛔ การพัฒนาและติดตั้งระบบจะใช้เวลาหลายปี – Mission คาดว่าจะใช้งานได้ในปี 2027 ⛔ การแข่งขันกับ AMD ยังดำเนินต่อ โดย AMD เพิ่งประกาศชัยชนะในโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-unveils-vera-rubin-supercomputers-for-los-alamos-national-laboratory-announcement-comes-on-heels-of-amds-recent-supercomputer-wins
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DGX Spark ของ Nvidia เจอแรงกดดัน – John Carmack ชี้ประสิทธิภาพไม่ถึงเป้า ร้อนจัด แถมรีบูตเอง!”

    Nvidia กำลังเผชิญแรงวิจารณ์หนัก หลังเปิดตัว DGX Spark ชุดพัฒนา AI ขนาดเล็กมูลค่า $4,000 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 โดยอดีต CTO ของ Oculus VR อย่าง John Carmack ออกมาเปิดเผยว่าอุปกรณ์นี้ไม่สามารถดึงพลังงานได้ถึงระดับที่โฆษณาไว้ และมีปัญหารีบูตตัวเองเมื่อใช้งานหนัก

    แม้จะโฆษณาว่า DGX Spark รองรับการประมวลผล FP4 แบบ sparse ได้ถึง 1 petaflop และรองรับการใช้พลังงานสูงสุด 240W แต่ Carmack พบว่าเครื่องของเขาดึงไฟได้เพียง 100W และให้ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานจากผู้ใช้หลายรายในฟอรัมของ Nvidia ว่าเครื่องมีปัญหารีบูตและความร้อนสูง

    การทดสอบจากเว็บไซต์ ServeTheHome ก็ยืนยันว่า DGX Spark ไม่สามารถดึงไฟได้ถึง 240W แม้จะใช้ CPU และ GPU พร้อมกัน โดยดึงได้เพียง 200W เท่านั้น

    AMD และ Framework ไม่รอช้า รีบเสนอทางเลือกใหม่ให้ Carmack ทดลองใช้ Strix Halo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่อาจตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพและความเสถียรได้ดีกว่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DGX Spark ราคา $4,000 ใช้ชิป Grace Blackwell GB10
    โฆษณาว่ารองรับ 1 PF FP4 (sparse) และใช้ไฟได้สูงสุด 240W
    John Carmack พบว่าเครื่องดึงไฟได้แค่ 100W และรีบูตตัวเอง
    ServeTheHome ยืนยันว่าเครื่องดึงไฟได้ไม่ถึง 240W แม้ใช้งานเต็มที่
    AMD และ Framework เสนอ Strix Halo ให้ Carmack ทดลองแทน

    จุดเด่นของ DGX Spark (ตามสเปก)
    128GB LPDDR5X RAM แบบ unified memory
    273GB/s memory bandwidth
    ใช้โครงสร้าง Grace CPU 20 คอร์ Arm + Blackwell GPU
    ออกแบบให้รันโมเดลขนาด 20B พารามิเตอร์ในเครื่องเดียว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/users-question-dgx-spark-performance
    🔥 “DGX Spark ของ Nvidia เจอแรงกดดัน – John Carmack ชี้ประสิทธิภาพไม่ถึงเป้า ร้อนจัด แถมรีบูตเอง!” Nvidia กำลังเผชิญแรงวิจารณ์หนัก หลังเปิดตัว DGX Spark ชุดพัฒนา AI ขนาดเล็กมูลค่า $4,000 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 โดยอดีต CTO ของ Oculus VR อย่าง John Carmack ออกมาเปิดเผยว่าอุปกรณ์นี้ไม่สามารถดึงพลังงานได้ถึงระดับที่โฆษณาไว้ และมีปัญหารีบูตตัวเองเมื่อใช้งานหนัก แม้จะโฆษณาว่า DGX Spark รองรับการประมวลผล FP4 แบบ sparse ได้ถึง 1 petaflop และรองรับการใช้พลังงานสูงสุด 240W แต่ Carmack พบว่าเครื่องของเขาดึงไฟได้เพียง 100W และให้ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานจากผู้ใช้หลายรายในฟอรัมของ Nvidia ว่าเครื่องมีปัญหารีบูตและความร้อนสูง การทดสอบจากเว็บไซต์ ServeTheHome ก็ยืนยันว่า DGX Spark ไม่สามารถดึงไฟได้ถึง 240W แม้จะใช้ CPU และ GPU พร้อมกัน โดยดึงได้เพียง 200W เท่านั้น AMD และ Framework ไม่รอช้า รีบเสนอทางเลือกใหม่ให้ Carmack ทดลองใช้ Strix Halo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่อาจตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพและความเสถียรได้ดีกว่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DGX Spark ราคา $4,000 ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 ➡️ โฆษณาว่ารองรับ 1 PF FP4 (sparse) และใช้ไฟได้สูงสุด 240W ➡️ John Carmack พบว่าเครื่องดึงไฟได้แค่ 100W และรีบูตตัวเอง ➡️ ServeTheHome ยืนยันว่าเครื่องดึงไฟได้ไม่ถึง 240W แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ AMD และ Framework เสนอ Strix Halo ให้ Carmack ทดลองแทน ✅ จุดเด่นของ DGX Spark (ตามสเปก) ➡️ 128GB LPDDR5X RAM แบบ unified memory ➡️ 273GB/s memory bandwidth ➡️ ใช้โครงสร้าง Grace CPU 20 คอร์ Arm + Blackwell GPU ➡️ ออกแบบให้รันโมเดลขนาด 20B พารามิเตอร์ในเครื่องเดียว https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/users-question-dgx-spark-performance
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD swoops in to help as John Carmack slams Nvidia's $4,000 DGX Spark, says it doesn't hit performance claims, overheats, and maxes out at 100W power draw — developer forums inundated with crashing and shutdown reports
    The $4,000 Grace Blackwell dev kit is rated for 240W and 1 PF of sparse FP4 compute, but early users report 100W ceilings and reboot issues under sustained load.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ”

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง

    ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า

    ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน
    พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024)
    เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050
    หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน
    พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่
    โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต
    ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด
    ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด
    หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    🌱 หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ” ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน ➡️ พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024) ➡️ เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 ➡️ หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ ✅ ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน ➡️ พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่ ➡️ โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต ➡️ ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน ✅ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด ➡️ ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด ➡️ หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน”

    OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง

    OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ

    ข้อเสนอหลักจาก OpenAI
    สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน
    ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน
    ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม

    เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน
    จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว
    สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ
    โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล

    ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI
    จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก
    ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ
    สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม

    สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ..

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    ⚡ หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน” OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ ✅ ข้อเสนอหลักจาก OpenAI ➡️ สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน ➡️ ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน ➡️ ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ✅ เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน ➡️ จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว ➡️ สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ ➡️ โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ✅ ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI ➡️ จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก ➡️ ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ ➡️ สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ .. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร”

    ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง

    โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต

    จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV
    วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ
    ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง
    ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ

    ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก
    ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
    เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

    การใช้งานในภารกิจจริง
    ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้
    ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน
    มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ

    การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ
    ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า
    มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    📦 หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร” ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต ✅ จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV ➡️ วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ➡️ ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง ➡️ ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ✅ ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ➡️ วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก ➡️ ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร ✅ การใช้งานในภารกิจจริง ➡️ ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน ➡️ มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ ✅ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า ➡️ มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวร้อนวงการไอที: “DRAM เซิร์ฟเวอร์พุ่ง 50% เพราะ AI แย่งซื้อ – ยักษ์ใหญ่ยังได้ของไม่ครบ!”

    ตลาดหน่วยความจำกำลังสั่นสะเทือน เมื่อความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ในไตรมาส 4 นี้ แม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนก็ยังได้รับสินค้าเพียง 70% ของที่สั่งซื้อไว้ สะท้อนถึงวิกฤตซัพพลายที่กำลังลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม

    เบื้องหลังความปั่นป่วนนี้คือการที่ผู้ผลิตอย่าง Samsung และ SK hynix หันไปทุ่มทรัพยากรให้กับหน่วยความจำ HBM และ DDR5 RDIMM ที่ใช้ในระบบ AI ทำให้หน่วยความจำแบบทั่วไปขาดตลาด ราคาพุ่ง และผู้ซื้อรายย่อยต้องดิ้นรนหาสินค้าจากตลาดมืดหรือรอไปถึงปี 2026

    สถานการณ์ตลาด DRAM ปัจจุบัน
    ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ใน Q4
    ผู้ซื้อรายใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนได้รับสินค้าเพียง 70% ของคำสั่งซื้อ
    DDR5 16GB จากราคา $7–8 พุ่งเป็น $13 ภายในเดือนเดียว

    สาเหตุหลักจากความต้องการของ AI
    ความต้องการ HBM และ DDR5 RDIMM สำหรับ AI ทำให้ผู้ผลิตเบนกำลังการผลิต
    Samsung และ SK hynix ปรับราคาขึ้นทั้ง SSD และ DRAM
    ความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ยังคงสูงต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อย
    OEM ขนาดเล็กและผู้ค้าช่องทางเห็นอัตราการส่งมอบเพียง 35–40%
    ถูกผลักให้ไปซื้อจากตลาด spot ที่ราคาแพงกว่า
    อาจต้องรอจนถึงปี 2026 กว่าจะมีสินค้าพร้อม

    สัญญาณจากผู้ผลิตและนักวิเคราะห์
    Micron เตือนว่าอุตสาหกรรม DRAM จะยัง “ตึงตัว” ไปจนถึงสิ้นปีหน้า
    TrendForce คาดว่าจะมีการ “หยุดเสนอราคา” บางโมดูลในจีน
    ราคาขายปลีก DDR5 ยังไม่มีแนวโน้มจะนิ่งในปีนี้

    สถานะของ DDR4
    Nanya Technology เผยว่า DDR4 เหลือส่วนแบ่งตลาดเพียง 20%
    ไม่ได้รับการผลิตในปริมาณมากอีกต่อไป

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน
    ราคาหน่วยความจำอาจยังพุ่งต่อเนื่องจนถึงปี 2026
    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาพีซีและโน้ตบุ๊กที่สูงขึ้น
    การลงทุนในฮาร์ดแวร์ช่วงนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/server-dram-prices-surge-50-percent
    📈 ข่าวร้อนวงการไอที: “DRAM เซิร์ฟเวอร์พุ่ง 50% เพราะ AI แย่งซื้อ – ยักษ์ใหญ่ยังได้ของไม่ครบ!” ตลาดหน่วยความจำกำลังสั่นสะเทือน เมื่อความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ในไตรมาส 4 นี้ แม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนก็ยังได้รับสินค้าเพียง 70% ของที่สั่งซื้อไว้ สะท้อนถึงวิกฤตซัพพลายที่กำลังลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม เบื้องหลังความปั่นป่วนนี้คือการที่ผู้ผลิตอย่าง Samsung และ SK hynix หันไปทุ่มทรัพยากรให้กับหน่วยความจำ HBM และ DDR5 RDIMM ที่ใช้ในระบบ AI ทำให้หน่วยความจำแบบทั่วไปขาดตลาด ราคาพุ่ง และผู้ซื้อรายย่อยต้องดิ้นรนหาสินค้าจากตลาดมืดหรือรอไปถึงปี 2026 ✅ สถานการณ์ตลาด DRAM ปัจจุบัน ➡️ ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ใน Q4 ➡️ ผู้ซื้อรายใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนได้รับสินค้าเพียง 70% ของคำสั่งซื้อ ➡️ DDR5 16GB จากราคา $7–8 พุ่งเป็น $13 ภายในเดือนเดียว ✅ สาเหตุหลักจากความต้องการของ AI ➡️ ความต้องการ HBM และ DDR5 RDIMM สำหรับ AI ทำให้ผู้ผลิตเบนกำลังการผลิต ➡️ Samsung และ SK hynix ปรับราคาขึ้นทั้ง SSD และ DRAM ➡️ ความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ยังคงสูงต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อย ➡️ OEM ขนาดเล็กและผู้ค้าช่องทางเห็นอัตราการส่งมอบเพียง 35–40% ➡️ ถูกผลักให้ไปซื้อจากตลาด spot ที่ราคาแพงกว่า ➡️ อาจต้องรอจนถึงปี 2026 กว่าจะมีสินค้าพร้อม ✅ สัญญาณจากผู้ผลิตและนักวิเคราะห์ ➡️ Micron เตือนว่าอุตสาหกรรม DRAM จะยัง “ตึงตัว” ไปจนถึงสิ้นปีหน้า ➡️ TrendForce คาดว่าจะมีการ “หยุดเสนอราคา” บางโมดูลในจีน ➡️ ราคาขายปลีก DDR5 ยังไม่มีแนวโน้มจะนิ่งในปีนี้ ✅ สถานะของ DDR4 ➡️ Nanya Technology เผยว่า DDR4 เหลือส่วนแบ่งตลาดเพียง 20% ➡️ ไม่ได้รับการผลิตในปริมาณมากอีกต่อไป ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน ⛔ ราคาหน่วยความจำอาจยังพุ่งต่อเนื่องจนถึงปี 2026 ⛔ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาพีซีและโน้ตบุ๊กที่สูงขึ้น ⛔ การลงทุนในฮาร์ดแวร์ช่วงนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/server-dram-prices-surge-50-percent
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Server DRAM prices surge up to 50% as AI-induced memory shortage hits hyperscaler supply — U.S. and Chinese customers only getting 70% order fulfillment
    U.S. and China buyers now see just 70% order fulfillment, as AI demand drives DDR5 shortages and PC parts follow suit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10”

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft

    แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น

    ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux
    เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว
    ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ
    Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น

    การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม
    Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ
    Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย
    Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง
    Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้
    Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย

    สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam
    เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น
    จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold

    Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์
    Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้
    SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น
    การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    🎮 ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10” ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น ✅ ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux ➡️ เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ➡️ ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ ➡️ Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น ✅ การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม ➡️ Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ ➡️ Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย ➡️ Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง ➡️ Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้ ➡️ Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย ✅ สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam ➡️ เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น ➡️ จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ 83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold ✅ Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์ ➡️ Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้ ➡️ SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น ➡️ การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “แฮกพลัง RTX 4090 โน้ตบุ๊กด้วยชุนต์ม็อด ดันทะลุขีดจำกัด แซงหน้า RTX 5090!”

    วันนี้มีเรื่องเล่าจากโลกของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ ที่ไม่ยอมให้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์มาขวางความแรง! ผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/thatavidreadertrue” ได้ทำการ “ชุนต์ม็อด” กับโน้ตบุ๊ก ASUS ROG Zephyrus M16 ที่ใช้ GPU RTX 4090 เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ และผลลัพธ์คือ…แรงทะลุเพดาน แซง RTX 5090 ไปแบบไม่เกรงใจ!

    ชุนต์ม็อดคือการปรับแต่งวงจรไฟฟ้า โดยการเพิ่มตัวต้านทานขนาดเล็ก (1 mΩ) เข้าไปคู่ขนานกับตัวเดิม (5 mΩ) ทำให้ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทั้งที่จริงแล้วมันดูดไฟถึง 240W จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ 150W! ผลคือ GPU สามารถเร่งความเร็วได้มากขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดจากเฟิร์มแวร์

    แม้จะไม่มีการทดสอบเกมจริง แต่ผล Benchmark ก็ชัดเจนว่า RTX 4090 ที่ผ่านการม็อดสามารถแซง RTX 5090 ได้ในหลายการทดสอบ เช่น Solar Bay Extreme ที่ได้คะแนนสูงกว่าถึง 7.6% และเหนือกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5%

    เพื่อรับมือกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น เจ้าของเครื่องได้เปลี่ยนวัสดุระบายความร้อนเป็น PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra พร้อมกับ undervolt GPU ให้ใช้ไฟต่ำลงเพื่อความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ซื้อจากตลาดมือสองในราคาแค่ $1600! เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ถือว่าเป็น “ดีลเทพ” สำหรับสายโมดิฟาย

    การม็อดชุนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ GPU
    ลดค่าความต้านทานจาก 5 mΩ เหลือ 0.83 mΩ
    GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น
    จาก 150W TGP กลายเป็นการใช้ไฟจริงถึง 240W

    ผล Benchmark แสดงให้เห็นถึงความแรงที่เพิ่มขึ้น
    Solar Bay Extreme สูงกว่า RTX 5090 ถึง 7.6%
    สูงกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5%
    คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

    การจัดการความร้อนหลังม็อด
    ใช้ PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra แทนของเดิม
    GPU อยู่ที่ 80–84°C โดยไม่ throttle
    CPU ร้อนถึง 90°C แต่ยังควบคุมได้

    การ undervolt เพื่อความปลอดภัย
    จำกัดแรงดันไฟฟ้าไว้ที่ 800mV ขณะเล่นเกม
    ลดความเสี่ยงจากการเร่งความเร็วเกินขีดจำกัด

    ความคุ้มค่าด้านราคา
    ซื้อเครื่องมือสองในราคา $1600
    หลังม็อดแล้วแรงกว่า RTX 5090 ที่ราคาสูงกว่า

    การม็อดชุนต์มีความเสี่ยงสูง
    อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวร หากทำไม่ถูกต้อง
    อุปกรณ์ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ไฟเกินขีดจำกัด

    ความร้อนที่เพิ่มขึ้นต้องจัดการอย่างเหมาะสม
    หากระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดการ throttle หรือ shutdown
    อุณหภูมิ CPU ที่สูงอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน

    การ undervolt ต้องทำอย่างระมัดระวัง
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือค้าง

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/rtx-4090-laptop-gpu-gets-20-percent-performance-boost-after-shunt-mod-consuming-up-to-240w-reduced-resistance-means-it-also-beats-the-mobile-rtx-5090-on-average
    🛠️ หัวข้อข่าว: “แฮกพลัง RTX 4090 โน้ตบุ๊กด้วยชุนต์ม็อด ดันทะลุขีดจำกัด แซงหน้า RTX 5090!” วันนี้มีเรื่องเล่าจากโลกของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ ที่ไม่ยอมให้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์มาขวางความแรง! ผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/thatavidreadertrue” ได้ทำการ “ชุนต์ม็อด” กับโน้ตบุ๊ก ASUS ROG Zephyrus M16 ที่ใช้ GPU RTX 4090 เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ และผลลัพธ์คือ…แรงทะลุเพดาน แซง RTX 5090 ไปแบบไม่เกรงใจ! ชุนต์ม็อดคือการปรับแต่งวงจรไฟฟ้า โดยการเพิ่มตัวต้านทานขนาดเล็ก (1 mΩ) เข้าไปคู่ขนานกับตัวเดิม (5 mΩ) ทำให้ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทั้งที่จริงแล้วมันดูดไฟถึง 240W จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ 150W! ผลคือ GPU สามารถเร่งความเร็วได้มากขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดจากเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่มีการทดสอบเกมจริง แต่ผล Benchmark ก็ชัดเจนว่า RTX 4090 ที่ผ่านการม็อดสามารถแซง RTX 5090 ได้ในหลายการทดสอบ เช่น Solar Bay Extreme ที่ได้คะแนนสูงกว่าถึง 7.6% และเหนือกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5% เพื่อรับมือกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น เจ้าของเครื่องได้เปลี่ยนวัสดุระบายความร้อนเป็น PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra พร้อมกับ undervolt GPU ให้ใช้ไฟต่ำลงเพื่อความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ซื้อจากตลาดมือสองในราคาแค่ $1600! เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ถือว่าเป็น “ดีลเทพ” สำหรับสายโมดิฟาย ✅ การม็อดชุนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ➡️ ลดค่าความต้านทานจาก 5 mΩ เหลือ 0.83 mΩ ➡️ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น ➡️ จาก 150W TGP กลายเป็นการใช้ไฟจริงถึง 240W ✅ ผล Benchmark แสดงให้เห็นถึงความแรงที่เพิ่มขึ้น ➡️ Solar Bay Extreme สูงกว่า RTX 5090 ถึง 7.6% ➡️ สูงกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5% ➡️ คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ✅ การจัดการความร้อนหลังม็อด ➡️ ใช้ PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra แทนของเดิม ➡️ GPU อยู่ที่ 80–84°C โดยไม่ throttle ➡️ CPU ร้อนถึง 90°C แต่ยังควบคุมได้ ✅ การ undervolt เพื่อความปลอดภัย ➡️ จำกัดแรงดันไฟฟ้าไว้ที่ 800mV ขณะเล่นเกม ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเร่งความเร็วเกินขีดจำกัด ✅ ความคุ้มค่าด้านราคา ➡️ ซื้อเครื่องมือสองในราคา $1600 ➡️ หลังม็อดแล้วแรงกว่า RTX 5090 ที่ราคาสูงกว่า ‼️ การม็อดชุนต์มีความเสี่ยงสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวร หากทำไม่ถูกต้อง ⛔ อุปกรณ์ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ไฟเกินขีดจำกัด ‼️ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นต้องจัดการอย่างเหมาะสม ⛔ หากระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดการ throttle หรือ shutdown ⛔ อุณหภูมิ CPU ที่สูงอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน ‼️ การ undervolt ต้องทำอย่างระมัดระวัง ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือค้าง https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/rtx-4090-laptop-gpu-gets-20-percent-performance-boost-after-shunt-mod-consuming-up-to-240w-reduced-resistance-means-it-also-beats-the-mobile-rtx-5090-on-average
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.มัลลิกาเปิดไม่เกรงใจนายก อึ้ง! ทหารไทยรับไม่ได้ (29/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มัลลิกา #อนุทิน #ทหารไทย #รัฐบาลไทย #การเมืองไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    ดร.มัลลิกาเปิดไม่เกรงใจนายก อึ้ง! ทหารไทยรับไม่ได้ (29/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มัลลิกา #อนุทิน #ทหารไทย #รัฐบาลไทย #การเมืองไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นฤมลกลับกลอกเปลี่ยนคำสั่งไปมา ทำตัวเหมือนขับเคลื่อนด้วยแรง...จากปชช. (29/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นฤมล #รัฐบาลไทย #การเมืองไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    นฤมลกลับกลอกเปลี่ยนคำสั่งไปมา ทำตัวเหมือนขับเคลื่อนด้วยแรง...จากปชช. (29/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นฤมล #รัฐบาลไทย #การเมืองไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ท.ด่านหน้าภูมะเขือส่งข้อความด่วน! ถึงพี่น้องคนไทยทุกคน! (29/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมะเขือ #MOU43 #ทหารไทย #กองทัพไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    ท.ด่านหน้าภูมะเขือส่งข้อความด่วน! ถึงพี่น้องคนไทยทุกคน! (29/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมะเขือ #MOU43 #ทหารไทย #กองทัพไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • พี่ทิตอย่างเอา หลังนายกแก้ตัว "ไม่ได้พูดไทยล้ำ" พี่ทิตเชื่อแล้วแต่...!? (29/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #พี่ทิต #ชายแดนไทยกัมพูชา #MOU43 #กัมพูชา #ฮุนเซน #ข่าวการเมือง #newsupdate #ข่าวtiktok
    พี่ทิตอย่างเอา หลังนายกแก้ตัว "ไม่ได้พูดไทยล้ำ" พี่ทิตเชื่อแล้วแต่...!? (29/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #พี่ทิต #ชายแดนไทยกัมพูชา #MOU43 #กัมพูชา #ฮุนเซน #ข่าวการเมือง #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ด่วนเหตุการณ์จริงจากคนในUSA สหรัฐกำลังยับเยิน คนไทยอยากรู้ว่านายกไทยไปกลัวอะไรมัน (29/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สหรัฐอเมริกา #อนุทิน #รัฐบาลไทย #ข่าวต่างประเทศ #การเมืองโลก #newsupdate #ข่าวtiktok
    ด่วนเหตุการณ์จริงจากคนในUSA สหรัฐกำลังยับเยิน คนไทยอยากรู้ว่านายกไทยไปกลัวอะไรมัน (29/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สหรัฐอเมริกา #อนุทิน #รัฐบาลไทย #ข่าวต่างประเทศ #การเมืองโลก #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิ๊กข้าวต้มเละหวังกลับมาใหญ่ แฉสีเทารัวๆ ยกเว้นเส้นเทาตัวเอง ไอ่ฉัด!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    บิ๊กข้าวต้มเละหวังกลับมาใหญ่ แฉสีเทารัวๆ ยกเว้นเส้นเทาตัวเอง ไอ่ฉัด! #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง”

    Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว

    จุดเด่นของ Grokipedia

    สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์
    ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด
    ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม

    จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ
    แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่
    Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า”

    เน้นความจริงและลดอคติ
    Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ
    Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์

    มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน
    หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0”
    Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต

    อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk
    หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ
    ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม
    ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา
    ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข

    เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง
    รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง
    บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia

    ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ
    ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์
    ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android

    https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    📚🤖 Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง” Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว ✅ จุดเด่นของ Grokipedia ✅ สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์ ➡️ ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด ➡️ ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม ✅ จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ ➡️ แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่ ➡️ Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า” ✅ เน้นความจริงและลดอคติ ➡️ Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ ➡️ Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์ ✅ มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน ➡️ หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0” ➡️ Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต ✅ อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk ➡️ หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ ➡️ ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด ‼️ ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม ⛔ ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา ⛔ ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข ‼️ เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง ⛔ รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง ⛔ บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia ‼️ ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ ⛔ ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์ ⛔ ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grokipedia Launches: Elon Musk's xAI Debuts AI Encyclopedia to Rival Wikipedia
    Elon Musk's xAI launched Grokipedia, an AI-generated encyclopedia powered by Grok that aims to challenge Wikipedia's bias with transparent sourcing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยลงนามสัญญาเมืองขึ้นสหรัฐ? แร่หายาก-การค้า-สันติภาพ : คนเคาะข่าว 28-10-68
    : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    https://www.youtube.com/watch?v=qL1DR3mtydY
    ไทยลงนามสัญญาเมืองขึ้นสหรัฐ? แร่หายาก-การค้า-สันติภาพ : คนเคาะข่าว 28-10-68 : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ https://www.youtube.com/watch?v=qL1DR3mtydY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (5)

    ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง

    ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ

    สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น

    เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น

    ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน

    อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม !

    เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี
    Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี

    อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม
    เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่

    อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน

    ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน

    อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ

    แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ

    ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม

    ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน
    หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง

    บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง

    ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

    3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย

    3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ

    แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (5) ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม ! เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ 3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย 3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (3)

    ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

    ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

    ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน

    ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild
    ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain

    กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

    อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว

    ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

    เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (4)

    ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้

    ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก
    แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย

    สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน

    ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

    แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

    ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม

    และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

    กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ
    สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (3) ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (4) ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน

    แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย

    ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ”
    กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์
    การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก
    หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี
    กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven
    การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล
    ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป
    พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก
    เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    🛩️⚠️ กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย 📦 ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ” 💠 กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 💠 ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์ 💠 การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก 💠 หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ 💠 ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี ➡️ กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven ➡️ การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ ➡️ ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล ➡️ ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป ➡️ พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก ➡️ เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The US Army Has A Looming Problem: Too Many Drones - SlashGear
    While drones are undoubtedly helpful, an overabundance of them creates a problem for ground operations., overloading soldiers with extra equipment to carry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kaspersky แฉแคมเปญจารกรรม ForumTroll ใช้ช่องโหว่ Chrome Zero-Day ส่งสปายแวร์ Dante จาก Memento Labs

    นักวิจัยจาก Kaspersky เปิดเผยแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ระดับสูงชื่อว่า “Operation ForumTroll” ซึ่งใช้ช่องโหว่ Zero-Day ใน Google Chrome (CVE-2025-2783) เพื่อส่งสปายแวร์ LeetAgent และ Dante ที่เชื่อมโยงกับบริษัท Memento Labs จากอิตาลี โดยแค่ “คลิกเปิดเว็บไซต์” ก็สามารถถูกติดมัลแวร์ได้ทันที

    วิธีการโจมตีและเทคนิคที่ใช้
    เริ่มต้นด้วยอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นคำเชิญเข้าร่วมงาน Primakov Readings พร้อมลิงก์เฉพาะบุคคล
    เมื่อเหยื่อเปิดลิงก์ผ่าน Chrome หรือเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium จะถูกโจมตีทันทีโดยไม่ต้องคลิกเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ CVE-2025-2783 ใช้จุดอ่อนของ Windows API (pseudo-handle -2) เพื่อหลบหลีก sandbox ของ Chrome
    หลังจากหลบ sandbox ได้แล้ว จะมีการโหลดสคริปต์ตรวจสอบผู้ใช้จริงผ่าน WebGPU และถอดรหัส payload ที่ซ่อนในไฟล์ JavaScript และฟอนต์ปลอม
    ใช้เทคนิค COM hijacking เพื่อฝัง DLL อันตรายลงในระบบ
    โหลด LeetAgent ซึ่งสามารถสั่งงานจากระยะไกล, keylogging, และขโมยไฟล์ .doc, .xls, .pdf, .pptx
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน HTTPS โดยใช้ CDN ของ Fastly เพื่อหลบการตรวจจับ
    พบว่า LeetAgent เป็นตัวนำส่ง Dante ซึ่งเป็นสปายแวร์เชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดย Memento Labs (อดีต Hacking Team)

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-2783 เป็นช่องโหว่แบบ sandbox escape ใน Chrome
    ใช้ Windows API ที่ไม่ถูกตรวจสอบอย่างเหมาะสมในการหลบ sandbox
    แคมเปญ ForumTroll ใช้อีเมลฟิชชิ่งที่เขียนภาษารัสเซียอย่างแนบเนียน
    โหลด LeetAgent และ Dante ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่มีความสามารถสูง
    Dante ใช้เทคนิค VMProtect, anti-debugging, anti-sandbox และโมดูลแบบแยกส่วน
    การตั้งชื่อ “Dante” อาจสื่อถึง “วงนรก” ที่นักวิเคราะห์มัลแวร์ต้องผ่านในการวิเคราะห์

    เป้าหมายของการโจมตี
    สื่อ, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐ, สถาบันการเงินในรัสเซียและเบลารุส
    ใช้ลิงก์เฉพาะบุคคลเพื่อติดตามและหลบการตรวจจับ
    แสดงความเชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมในภูมิภาคเป้าหมาย

    https://securityonline.info/kaspersky-exposes-chrome-zero-day-rce-cve-2025-2783-delivering-memento-labs-spyware-in-forumtroll-campaign/
    🕵️‍♂️💻 Kaspersky แฉแคมเปญจารกรรม ForumTroll ใช้ช่องโหว่ Chrome Zero-Day ส่งสปายแวร์ Dante จาก Memento Labs นักวิจัยจาก Kaspersky เปิดเผยแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ระดับสูงชื่อว่า “Operation ForumTroll” ซึ่งใช้ช่องโหว่ Zero-Day ใน Google Chrome (CVE-2025-2783) เพื่อส่งสปายแวร์ LeetAgent และ Dante ที่เชื่อมโยงกับบริษัท Memento Labs จากอิตาลี โดยแค่ “คลิกเปิดเว็บไซต์” ก็สามารถถูกติดมัลแวร์ได้ทันที 🔍 วิธีการโจมตีและเทคนิคที่ใช้ 💠 เริ่มต้นด้วยอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นคำเชิญเข้าร่วมงาน Primakov Readings พร้อมลิงก์เฉพาะบุคคล 💠 เมื่อเหยื่อเปิดลิงก์ผ่าน Chrome หรือเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium จะถูกโจมตีทันทีโดยไม่ต้องคลิกเพิ่มเติม 💠 ช่องโหว่ CVE-2025-2783 ใช้จุดอ่อนของ Windows API (pseudo-handle -2) เพื่อหลบหลีก sandbox ของ Chrome 💠 หลังจากหลบ sandbox ได้แล้ว จะมีการโหลดสคริปต์ตรวจสอบผู้ใช้จริงผ่าน WebGPU และถอดรหัส payload ที่ซ่อนในไฟล์ JavaScript และฟอนต์ปลอม 💠 ใช้เทคนิค COM hijacking เพื่อฝัง DLL อันตรายลงในระบบ 💠 โหลด LeetAgent ซึ่งสามารถสั่งงานจากระยะไกล, keylogging, และขโมยไฟล์ .doc, .xls, .pdf, .pptx 💠 สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน HTTPS โดยใช้ CDN ของ Fastly เพื่อหลบการตรวจจับ 💠 พบว่า LeetAgent เป็นตัวนำส่ง Dante ซึ่งเป็นสปายแวร์เชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดย Memento Labs (อดีต Hacking Team) ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-2783 เป็นช่องโหว่แบบ sandbox escape ใน Chrome ➡️ ใช้ Windows API ที่ไม่ถูกตรวจสอบอย่างเหมาะสมในการหลบ sandbox ➡️ แคมเปญ ForumTroll ใช้อีเมลฟิชชิ่งที่เขียนภาษารัสเซียอย่างแนบเนียน ➡️ โหลด LeetAgent และ Dante ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่มีความสามารถสูง ➡️ Dante ใช้เทคนิค VMProtect, anti-debugging, anti-sandbox และโมดูลแบบแยกส่วน ➡️ การตั้งชื่อ “Dante” อาจสื่อถึง “วงนรก” ที่นักวิเคราะห์มัลแวร์ต้องผ่านในการวิเคราะห์ ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ สื่อ, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐ, สถาบันการเงินในรัสเซียและเบลารุส ➡️ ใช้ลิงก์เฉพาะบุคคลเพื่อติดตามและหลบการตรวจจับ ➡️ แสดงความเชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมในภูมิภาคเป้าหมาย https://securityonline.info/kaspersky-exposes-chrome-zero-day-rce-cve-2025-2783-delivering-memento-labs-spyware-in-forumtroll-campaign/
    SECURITYONLINE.INFO
    Kaspersky Exposes Chrome Zero-Day RCE (CVE-2025-2783) Delivering Memento Labs Spyware in ForumTroll Campaign
    Kaspersky found a Chrome zero-day (CVE-2025-2783) and sandbox bypass being exploited by Operation ForumTroll to deploy Memento Labs (Hacking Team) commercial Dante spyware against Russian targets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts