• ลูกสาวใครหนอ
    คล้ายห่อแหนมหมู
    เพ่งพิศพินิจดู
    อู้ฮู้สวยจัง

    เฮ้อ...วันนี้เขียนกลอนไม่ลื่นเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียนกลอนชมความงามของ นางเอกเหมือนในวรรณคดีที่เคยอ่านมา แค่ขึ้นต้นมาก็ไปไม่ถูกทางละ มันอึดอัดค่ะ ตันไปหมด ใครหนอช่างจัดหามาให้ ไม่สงสารกันบ้างเลยนะ เอ....หรือ น้องมั่นใจว่าสวยสุดๆ

    เอาแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ ป้าเขียนกลอนต่อไม่ได้ละ
    #วิถีคนแก่ #หาเรื่องมาคุย
    ลูกสาวใครหนอ คล้ายห่อแหนมหมู เพ่งพิศพินิจดู อู้ฮู้สวยจัง เฮ้อ...วันนี้เขียนกลอนไม่ลื่นเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียนกลอนชมความงามของ นางเอกเหมือนในวรรณคดีที่เคยอ่านมา แค่ขึ้นต้นมาก็ไปไม่ถูกทางละ มันอึดอัดค่ะ ตันไปหมด ใครหนอช่างจัดหามาให้ ไม่สงสารกันบ้างเลยนะ เอ....หรือ น้องมั่นใจว่าสวยสุดๆ เอาแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ ป้าเขียนกลอนต่อไม่ได้ละ #วิถีคนแก่ #หาเรื่องมาคุย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บทกลอนสอน "ดวย-หัว-K"
    ดวยหัวเค คนหยำเป ไร้ศักดิ์ศรี
    คนอัปปรีย์ ทำตัวเด่น เป็นหิวแสง
    เหมือนแมงเม่า เล่นกับไฟ ภัยตัวเอง
    สุดครื้นเครง สุดท้ายจบ ที่ “สุดซอย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #บทกลอนสอน "ดวย-หัว-K" ดวยหัวเค คนหยำเป ไร้ศักดิ์ศรี คนอัปปรีย์ ทำตัวเด่น เป็นหิวแสง เหมือนแมงเม่า เล่นกับไฟ ภัยตัวเอง สุดครื้นเครง สุดท้ายจบ ที่ “สุดซอย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • หม่อมถนัดศรีได้ทิ้งกลอนก่อนที่จากโลกนี้ไปในวัยเก้าสิบกว่า

    เริ่มเป็นไม้ ใกล้ฝั่ง ต้องนั่งคิด
    เหลือชีวิต ยาวนาน สักปานไหน

    เมื่อหมดกรรม จำพราก จากโลกไป
    จะมีใคร ชื่นชม สมบัติเรา

    ถึงมีบุตร สุดรัก ก็ยากพึ่ง
    สักวันหนึ่ง ก็รักตัว ครอบครัวเขา

    พ่ออุตส่าห์ หาให้ คงไม่เอา
    ล้วนของเก่า เกินวัย ไม่อยากรับ

    มองโถถ้วย สวยสี ที่เคยคุ้น
    เริ่มหมดเงา ขาวขุ่น เพราะฝุ่นจับ

    หนังสือเก่า เบียดเสียด ขี้เกียจนับ
    วางสุมทับ อับชื้น เริ่มขึ้นรา

    ค้นปืนผา หน้าไม้ จากใต้ตู้
    ยังดีอยู่ ของเก่า เรารักษา

    รูปภาพเก่า นานนม สะสมมา
    ทั้งเงินตรา เก่าใหม่ มิใช่น้อย

    หีบเสื้อผ้า แต่ก่อน ตั้งซ้อนทับ
    ถูกเก็บพับ ห่างงาน การใช้สอย

    เสื้อกันหนาว กรำงาน ผ่านดงดอย
    มีร่องรอย เลาะลุย คุ้ยหิมะ

    นึกถึงวัน ข้างหน้า ถ้าเราสิ้น
    อาจจมดิน เน่าเหม็น เป็นขยะ

    ห่วงพระเครื่อง ใส่กล่อง เต็มห้องพระ
    เป็นภาระ ของใคร ยังไม่รู้

    เริ่มแจ้งชัด สัจธรรม อันล้ำค่า
    เราเกิดมา มือเท้า เปล่าทั้งคู่

    หลงไขว่คว้า มาครอง เป็นของกู
    กองสุมอยู่ เปล่าเปล่า ตอนเรา ต า ย...
    หม่อมถนัดศรีได้ทิ้งกลอนก่อนที่จากโลกนี้ไปในวัยเก้าสิบกว่า เริ่มเป็นไม้ ใกล้ฝั่ง ต้องนั่งคิด เหลือชีวิต ยาวนาน สักปานไหน เมื่อหมดกรรม จำพราก จากโลกไป จะมีใคร ชื่นชม สมบัติเรา ถึงมีบุตร สุดรัก ก็ยากพึ่ง สักวันหนึ่ง ก็รักตัว ครอบครัวเขา พ่ออุตส่าห์ หาให้ คงไม่เอา ล้วนของเก่า เกินวัย ไม่อยากรับ มองโถถ้วย สวยสี ที่เคยคุ้น เริ่มหมดเงา ขาวขุ่น เพราะฝุ่นจับ หนังสือเก่า เบียดเสียด ขี้เกียจนับ วางสุมทับ อับชื้น เริ่มขึ้นรา ค้นปืนผา หน้าไม้ จากใต้ตู้ ยังดีอยู่ ของเก่า เรารักษา รูปภาพเก่า นานนม สะสมมา ทั้งเงินตรา เก่าใหม่ มิใช่น้อย หีบเสื้อผ้า แต่ก่อน ตั้งซ้อนทับ ถูกเก็บพับ ห่างงาน การใช้สอย เสื้อกันหนาว กรำงาน ผ่านดงดอย มีร่องรอย เลาะลุย คุ้ยหิมะ นึกถึงวัน ข้างหน้า ถ้าเราสิ้น อาจจมดิน เน่าเหม็น เป็นขยะ ห่วงพระเครื่อง ใส่กล่อง เต็มห้องพระ เป็นภาระ ของใคร ยังไม่รู้ เริ่มแจ้งชัด สัจธรรม อันล้ำค่า เราเกิดมา มือเท้า เปล่าทั้งคู่ หลงไขว่คว้า มาครอง เป็นของกู กองสุมอยู่ เปล่าเปล่า ตอนเรา ต า ย...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blue Suede Shoes
    เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์.
    ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด
    “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า
    เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง
    แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้
    “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์
    “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง
    แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก
    เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!”
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins
    ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่
    เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20

    ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021
    The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน
    Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม
    “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!”
    อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    Blue Suede Shoes เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์. ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้ “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์ “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!” “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่ เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20 ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021 The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!” อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 98 0 รีวิว
  • อย่าทำตัวเป็นอีแอบอยู่แบบนั้น
    เพราะว่าฉันไม่ได้เง่าเข้าใจด้วย
    ที่เห็นซื่อไม่ได้เซ่อ เธอจะซวย
    ถ้าฉันฉวยโอกาสแฉเธอแย่นะ!

    เตือนเพราะเห็นเคยเป็นมิตรไปคิดใหม่
    อย่าได้ใจสิ่งที่ทำจำไว้ล่ะ
    มอบโอกาสกลับใจ ละได้ละ
    ไม่งั้นจะเสียโอกาส..และขาดกัน

    ภ.ภาพวาด

    #บทกลอน
    #กวี
    อย่าทำตัวเป็นอีแอบอยู่แบบนั้น เพราะว่าฉันไม่ได้เง่าเข้าใจด้วย ที่เห็นซื่อไม่ได้เซ่อ เธอจะซวย ถ้าฉันฉวยโอกาสแฉเธอแย่นะ! เตือนเพราะเห็นเคยเป็นมิตรไปคิดใหม่ อย่าได้ใจสิ่งที่ทำจำไว้ล่ะ มอบโอกาสกลับใจ ละได้ละ ไม่งั้นจะเสียโอกาส..และขาดกัน ภ.ภาพวาด #บทกลอน #กวี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อกลอนลำเดิน เมียป๋าเพราะซาอุ 2
    ต่อกลอนลำเดิน เมียป๋าเพราะซาอุ 2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 42 0 รีวิว
  • ต่อกลอน

    ป้าเขียนแนวเหน็บแนมแกมพร่ำบ่น
    พวกทำตนเหิมเกริมเพิ่มมุสา
    เบี่ยงประประเด็นแถแถกพูดแหกตา
    รวมหัวมาโกงกินแผ่นดินไทย
    - - ป้าหมู - -

    เอาให้ยับสับให้แหลกพวกแถกแถ
    มันย่ำแย่สันดานหน้าด้านใหญ่
    พูดกลับผิดกลับถูกเล่นลูกไม้
    ช่างงามไส้ยิ่งนักหนักแผ่นดิน
    - - ภ.ภาพวาด - -

    ภาพป่วยทิพย์แบบนี้มีนัยยะ
    มันหมายจะหลอกใครไอ้กังฉิน
    จากนักโทษหนีคดีมีมลทิน
    ข้อหาหมิ่นก็มีชี้ชัดเจน
    - - ป้าหมู - -

    ยังติดหูติดตาเรื่องคราเก่า
    มันห่ามเห่าเสียดสีแล้วหนีเผ่น
    ทั้งกล่าวล้ำคำร้ายมิวายเว้น
    ยังมุ่งเน้นล้มราชฯไอ้ชาติทราม
    - - ภ.ภาพวาด - -

    ขอบคุณป้าหมูค่ะ💖

    #บทกลอน
    #กวี.
    ต่อกลอน ป้าเขียนแนวเหน็บแนมแกมพร่ำบ่น พวกทำตนเหิมเกริมเพิ่มมุสา เบี่ยงประประเด็นแถแถกพูดแหกตา รวมหัวมาโกงกินแผ่นดินไทย - - ป้าหมู - - เอาให้ยับสับให้แหลกพวกแถกแถ มันย่ำแย่สันดานหน้าด้านใหญ่ พูดกลับผิดกลับถูกเล่นลูกไม้ ช่างงามไส้ยิ่งนักหนักแผ่นดิน - - ภ.ภาพวาด - - ภาพป่วยทิพย์แบบนี้มีนัยยะ มันหมายจะหลอกใครไอ้กังฉิน จากนักโทษหนีคดีมีมลทิน ข้อหาหมิ่นก็มีชี้ชัดเจน - - ป้าหมู - - ยังติดหูติดตาเรื่องคราเก่า มันห่ามเห่าเสียดสีแล้วหนีเผ่น ทั้งกล่าวล้ำคำร้ายมิวายเว้น ยังมุ่งเน้นล้มราชฯไอ้ชาติทราม - - ภ.ภาพวาด - - ขอบคุณป้าหมูค่ะ💖 #บทกลอน #กวี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต
    พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย
    คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป
    กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน
    ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย
    จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน
    อันชั่วดีมีจนระคนกัน
    จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง"

    ไม่ทราบนามผู้แต่ง
    (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี)

    #วรรคทองในวรรณคดี
    #thaitimes
    #บทกวี
    #กลอน
    #ข้อคิด
    "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน อันชั่วดีมีจนระคนกัน จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง" ไม่ทราบนามผู้แต่ง (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี) #วรรคทองในวรรณคดี #thaitimes #บทกวี #กลอน #ข้อคิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimes
    #ท่านจันทร์
    #บทกวี
    #กลอน
    #ข้อคิด
    #รักธรรมะ
    #thaitimes #ท่านจันทร์ #บทกวี #กลอน #ข้อคิด #รักธรรมะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • จ้างเชอ ธรรมเนียมกีดขวางรถเจ้าสาว

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ ว่าด้วยการแต่งงานจีนโบราณ

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> คงจำได้ว่าในฉากที่องค์หญิงหลี่หรงแต่งงานนั้น องค์ชายรัชทายาทหลี่ชวนได้นั่งรถม้านำขบวนรถเจ้าสาวพร้อมโปรยเงินให้ชาวบ้านที่มาอออยู่เต็มถนน จริงๆ แล้วพวกชาวบ้านไม่ได้มารอรับขบวนเสด็จขององค์หญิง หากแต่มันเป็นประเพณีการกีดขวางรถเจ้าสาวหรือที่เรียกว่า ‘จ้างเชอ’ (障车 แปลตรงตัวว่า ขวางรถ)

    พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกับประเพณีการกั้นประตูตอนเจ้าบ่าวมารับตัวเจ้าสาว ซึ่งเป็นการกั้นก่อนที่เจ้าบ่าวจะเข้าถึงตัวเจ้าสาว แต่การกีดขวางรถเจ้าสาวหรือจ้างเชอนี้เป็นการกีดขวางขบวนรถเจ้าสาวหลังจากที่เจ้าบ่าวรับตัวเจ้าสาวแล้วและกำลังจะพาเจ้าสาวเดินทางกลับบ้านเจ้าบ่าวเพื่อเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ทั้งนี้ ตามประเพณีดั้งเดิม การกีดขวางรถนี้เป็นการกระทำโดยครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อแสดงออกถึงความอาลัยอาวรณ์ในตัวเจ้าสาว

    แต่เดิมในสมัยโบราณนั้น พิธีการแต่งงานจะเน้นเรียบขรึมสุขุมเพราะมองว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ครึกครื้นเอิกเกริกและไม่มีการกีดขวางขบวนเจ้าสาว ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้จึงเกิดประเพณีกีดขวางขบวนเจ้าสาวหรือจ้างเชอนี้ขึ้น และเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยสุยและถัง โดยในสมัยถังนั้น เป็นยุคสมัยที่เน้นความครึกครื้นและนิยมการแต่งกลอน มีการให้เจ้าบ่าวแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวหรือ ‘ชุยจวงซือ’ ก่อนจะเข้าถึงตัวเจ้าสาวได้ (Storyฯ เคยเขียนถึงธรรมเนียมคล้ายคลึงกันในสมัยซ่ง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid05s41d5RQU7QjyxytQ3KKM5YDxA5cE2wNCLQDJZtP6YXRh844ki7rSrhXaGPr3zLil) และเมื่อรับตัวเจ้าสาวแล้วก็จะถูกกั้นขบวนหรือจ้างเชอ และเจ้าบ่าวต้องแต่งกลอนเพื่อขอให้เปิดทาง ต่อมาพัฒนามาเป็นการกีดขวางเพื่อให้ฝ่ายชายต้องจ่ายเงินก่อนจะพาขบวนรถเจ้าสาวออกไปได้และอาจแห่กันมายืนออกันทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเจ้าสาว

    และเมื่อมาถึงบ้านเจ้าบ่าวแล้ว ในสมัยถังจะมีการเดินบนพรมที่มีคนนำมาสลับวางอย่างที่เห็นในเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> เรียกว่า ‘จ่วนสี’ (转席) เป็นเคล็ดว่าให้สืบทอดรุ่นต่อรุ่น

    แน่นอนว่าธรรมเนียมปฏิบัติเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและตามพื้นที่ จากเดิมใช้รถม้ารับเจ้าสาวก็เปลี่ยนมาเป็นใช้เกี้ยวในสมัยซ่ง และในบางพื้นที่ก็เปลี่ยนจากการให้บ่าวสาวเดินบนพรมที่สลับวางมาเป็นให้เจ้าสาวก้าวข้ามอานม้า (ซึ่งออกเสียงใกล้กับคำว่า ‘อัน’ ที่แปลว่าปลอดภัยสุขสงบ) หรือก้าวข้ามเตาเป็นเคล็ดว่าให้แคล้วคลาดจากสิ่งอัปมงคลแทน
    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://today.line.me/tw/v2/article/x2wrzLn
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://paper.people.com.cn/rmlt/html/2023-07/01/content_26011443.htm
    https://baike.baidu.com/item/障车/1624835
    https://m.thepaper.cn/baijiahao_15953346#:~:text=新娘上了车,女方,之为“转席”。
    https://zqb.cyol.com/html/2020-11/10/nw.D110000zgqnb_20201110_1-10.htm

    #องค์หญิงใหญ่ #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #รับตัวเจ้าสาวจีนโบราณ #สาระจีน

    จ้างเชอ ธรรมเนียมกีดขวางรถเจ้าสาว สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ ว่าด้วยการแต่งงานจีนโบราณ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> คงจำได้ว่าในฉากที่องค์หญิงหลี่หรงแต่งงานนั้น องค์ชายรัชทายาทหลี่ชวนได้นั่งรถม้านำขบวนรถเจ้าสาวพร้อมโปรยเงินให้ชาวบ้านที่มาอออยู่เต็มถนน จริงๆ แล้วพวกชาวบ้านไม่ได้มารอรับขบวนเสด็จขององค์หญิง หากแต่มันเป็นประเพณีการกีดขวางรถเจ้าสาวหรือที่เรียกว่า ‘จ้างเชอ’ (障车 แปลตรงตัวว่า ขวางรถ) พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกับประเพณีการกั้นประตูตอนเจ้าบ่าวมารับตัวเจ้าสาว ซึ่งเป็นการกั้นก่อนที่เจ้าบ่าวจะเข้าถึงตัวเจ้าสาว แต่การกีดขวางรถเจ้าสาวหรือจ้างเชอนี้เป็นการกีดขวางขบวนรถเจ้าสาวหลังจากที่เจ้าบ่าวรับตัวเจ้าสาวแล้วและกำลังจะพาเจ้าสาวเดินทางกลับบ้านเจ้าบ่าวเพื่อเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ทั้งนี้ ตามประเพณีดั้งเดิม การกีดขวางรถนี้เป็นการกระทำโดยครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อแสดงออกถึงความอาลัยอาวรณ์ในตัวเจ้าสาว แต่เดิมในสมัยโบราณนั้น พิธีการแต่งงานจะเน้นเรียบขรึมสุขุมเพราะมองว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ครึกครื้นเอิกเกริกและไม่มีการกีดขวางขบวนเจ้าสาว ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้จึงเกิดประเพณีกีดขวางขบวนเจ้าสาวหรือจ้างเชอนี้ขึ้น และเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยสุยและถัง โดยในสมัยถังนั้น เป็นยุคสมัยที่เน้นความครึกครื้นและนิยมการแต่งกลอน มีการให้เจ้าบ่าวแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวหรือ ‘ชุยจวงซือ’ ก่อนจะเข้าถึงตัวเจ้าสาวได้ (Storyฯ เคยเขียนถึงธรรมเนียมคล้ายคลึงกันในสมัยซ่ง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid05s41d5RQU7QjyxytQ3KKM5YDxA5cE2wNCLQDJZtP6YXRh844ki7rSrhXaGPr3zLil) และเมื่อรับตัวเจ้าสาวแล้วก็จะถูกกั้นขบวนหรือจ้างเชอ และเจ้าบ่าวต้องแต่งกลอนเพื่อขอให้เปิดทาง ต่อมาพัฒนามาเป็นการกีดขวางเพื่อให้ฝ่ายชายต้องจ่ายเงินก่อนจะพาขบวนรถเจ้าสาวออกไปได้และอาจแห่กันมายืนออกันทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเจ้าสาว และเมื่อมาถึงบ้านเจ้าบ่าวแล้ว ในสมัยถังจะมีการเดินบนพรมที่มีคนนำมาสลับวางอย่างที่เห็นในเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> เรียกว่า ‘จ่วนสี’ (转席) เป็นเคล็ดว่าให้สืบทอดรุ่นต่อรุ่น แน่นอนว่าธรรมเนียมปฏิบัติเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและตามพื้นที่ จากเดิมใช้รถม้ารับเจ้าสาวก็เปลี่ยนมาเป็นใช้เกี้ยวในสมัยซ่ง และในบางพื้นที่ก็เปลี่ยนจากการให้บ่าวสาวเดินบนพรมที่สลับวางมาเป็นให้เจ้าสาวก้าวข้ามอานม้า (ซึ่งออกเสียงใกล้กับคำว่า ‘อัน’ ที่แปลว่าปลอดภัยสุขสงบ) หรือก้าวข้ามเตาเป็นเคล็ดว่าให้แคล้วคลาดจากสิ่งอัปมงคลแทน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://today.line.me/tw/v2/article/x2wrzLn Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://paper.people.com.cn/rmlt/html/2023-07/01/content_26011443.htm https://baike.baidu.com/item/障车/1624835 https://m.thepaper.cn/baijiahao_15953346#:~:text=新娘上了车,女方,之为“转席”。 https://zqb.cyol.com/html/2020-11/10/nw.D110000zgqnb_20201110_1-10.htm #องค์หญิงใหญ่ #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #รับตัวเจ้าสาวจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️

    🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱

    ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

    ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์

    ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
    เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
    มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

    ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

    ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

    ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
    ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
    ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
    ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
    และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
    คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
    การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

    ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
    ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
    ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
    ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้

    ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

    ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
    หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
    #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

    ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก
    ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน
    นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

    ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์

    ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
    ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️
    🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย
    🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️ 🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱 ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11 ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์ ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้ ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้ ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก" หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ) ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️ 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • กราบขอบคุณครับ

    หม่อมถนัดศรีได้ทิ้งกลอนก่อนที่จากโลกนี้ไปในวัยเก้าสิบกว่า
    "อ่านดูแล้วปลงเลย"

    เริ่มเป็นไม้ ใกล้ฝั่ง ต้องนั่งคิด
    เหลือชีวิต ยาวนาน สักปานไหน

    เมื่อหมดกรรม จำพราก จากโลกไป
    จะมีใคร ชื่นชม สมบัติเรา

    ถึงมีบุตร สุดรัก ก็ยากพึ่ง
    สักวันหนึ่ง ก็รักตัว ครอบครัวเขา

    พ่ออุตส่าห์ หาให้ คงไม่เอา
    ล้วนของเก่า เกินวัย ไม่อยากรับ

    มองโถถ้วย สวยสี ที่เคยคุ้น
    เริ่มหมดเงา ขาวขุ่น เพราะฝุ่นจับ

    หนังสือเก่า เบียดเสียด ขี้เกียจนับ
    วางสุมทับ อับชื้น เริ่มขึ้นรา

    ค้นปืนผา หน้าไม้ จากใต้ตู้
    ยังดีอยู่ ของเก่า เรารักษา

    รูปภาพเก่า นานนม สะสมมา
    ทั้งเงินตรา เก่าใหม่ มิใช่น้อย

    หีบเสื้อผ้า แต่ก่อน ตั้งซ้อนทับ
    ถูกเก็บพับ ห่างงาน การใช้สอย

    เสื้อกันหนาว กรำงาน ผ่านดงดอย
    มีร่องรอย เลาะลุย คุ้ยหิมะ

    นึกถึงวัน ข้างหน้า ถ้าเราสิ้น
    อาจจมดิน เน่าเหม็น เป็นขยะ

    ห่วงพระเครื่อง ใส่กล่อง เต็มห้องพระ
    เป็นภาระ ของใคร ยังไม่รู้

    เริ่มแจ้งชัด สัจธรรม อันล้ำค่า
    เราเกิดมา มือเท้า เปล่าทั้งคู่

    หลงไขว่คว้า มาครอง เป็นของกู
    กองสุมอยู่ เปล่าเปล่า ตอนเรา ต า ย
    กราบขอบคุณครับ หม่อมถนัดศรีได้ทิ้งกลอนก่อนที่จากโลกนี้ไปในวัยเก้าสิบกว่า "อ่านดูแล้วปลงเลย" เริ่มเป็นไม้ ใกล้ฝั่ง ต้องนั่งคิด เหลือชีวิต ยาวนาน สักปานไหน เมื่อหมดกรรม จำพราก จากโลกไป จะมีใคร ชื่นชม สมบัติเรา ถึงมีบุตร สุดรัก ก็ยากพึ่ง สักวันหนึ่ง ก็รักตัว ครอบครัวเขา พ่ออุตส่าห์ หาให้ คงไม่เอา ล้วนของเก่า เกินวัย ไม่อยากรับ มองโถถ้วย สวยสี ที่เคยคุ้น เริ่มหมดเงา ขาวขุ่น เพราะฝุ่นจับ หนังสือเก่า เบียดเสียด ขี้เกียจนับ วางสุมทับ อับชื้น เริ่มขึ้นรา ค้นปืนผา หน้าไม้ จากใต้ตู้ ยังดีอยู่ ของเก่า เรารักษา รูปภาพเก่า นานนม สะสมมา ทั้งเงินตรา เก่าใหม่ มิใช่น้อย หีบเสื้อผ้า แต่ก่อน ตั้งซ้อนทับ ถูกเก็บพับ ห่างงาน การใช้สอย เสื้อกันหนาว กรำงาน ผ่านดงดอย มีร่องรอย เลาะลุย คุ้ยหิมะ นึกถึงวัน ข้างหน้า ถ้าเราสิ้น อาจจมดิน เน่าเหม็น เป็นขยะ ห่วงพระเครื่อง ใส่กล่อง เต็มห้องพระ เป็นภาระ ของใคร ยังไม่รู้ เริ่มแจ้งชัด สัจธรรม อันล้ำค่า เราเกิดมา มือเท้า เปล่าทั้งคู่ หลงไขว่คว้า มาครอง เป็นของกู กองสุมอยู่ เปล่าเปล่า ตอนเรา ต า ย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อย่าให้นักการเมืองเฉไฉ#ผลประโยชน์เพื่อใครกันแน่#พูดไม่หมด

    เรื่องเกาะทางทะเล ย่อมมีไหล่ทวีป และถือเป็นแนวอาณาเขต ประเทศไทย มีพระบรมราชโองการ ตามหลักสากล แต่กัมพูชามาเขียนเส้นตั้งฉากจากหมุดเขตตัดท่อนเกาะกูด พอทักท้วง ก็มาขีดใหม่เป็นตัววี อ้อมเกาะ แล้วขีดต่อเข้ามาเขตทะเลในอ่าวไทย แล้วคนขายชาติ ก็ไปเออตามกัมพูชา ว่าไม่เอาเกาะ แต่จะแบ่งทรัยากรใต้ทะเล ตามที่อยากจะขีดแบบนี้

    นักการเมืองหน้าไหนว่าตามกลอนเขมร มันคือคนขายชาติ
    #อย่าให้นักการเมืองเฉไฉ#ผลประโยชน์เพื่อใครกันแน่#พูดไม่หมด เรื่องเกาะทางทะเล ย่อมมีไหล่ทวีป และถือเป็นแนวอาณาเขต ประเทศไทย มีพระบรมราชโองการ ตามหลักสากล แต่กัมพูชามาเขียนเส้นตั้งฉากจากหมุดเขตตัดท่อนเกาะกูด พอทักท้วง ก็มาขีดใหม่เป็นตัววี อ้อมเกาะ แล้วขีดต่อเข้ามาเขตทะเลในอ่าวไทย แล้วคนขายชาติ ก็ไปเออตามกัมพูชา ว่าไม่เอาเกาะ แต่จะแบ่งทรัยากรใต้ทะเล ตามที่อยากจะขีดแบบนี้ นักการเมืองหน้าไหนว่าตามกลอนเขมร มันคือคนขายชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บทกลอน
    #กวี
    #บทกลอน #กวี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะสอนใครให้จำต้องทำก่อน
    อย่าสั่งสอนเพียงคำทำไม่ได้
    ผู้รับฟังคำสอนจักอ่อนใจ
    เพราะคำไม่ศักดิ์สิทธิ์ผิดตำรา

    จะสอนใครให้จำทำให้เห็น
    แบบอย่างเป็นตัวชี้ที่มีค่า
    สร้างน้ำหนักของคำทำออกมา
    จึงควรน่าฟังคำให้ทำตาม

    ภ.ภาพวาด😁

    #บทกลอน
    #กวี
    จะสอนใครให้จำต้องทำก่อน อย่าสั่งสอนเพียงคำทำไม่ได้ ผู้รับฟังคำสอนจักอ่อนใจ เพราะคำไม่ศักดิ์สิทธิ์ผิดตำรา จะสอนใครให้จำทำให้เห็น แบบอย่างเป็นตัวชี้ที่มีค่า สร้างน้ำหนักของคำทำออกมา จึงควรน่าฟังคำให้ทำตาม ภ.ภาพวาด😁 #บทกลอน #กวี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ่าโต้ว สบู่จีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> คงจะฟินจิกหมอนไม่น้อยกับฉากอาบน้ำของพระเอกนางเอก ในซีรีส์ไม่ได้พูดถึง แต่ในนิยายตอนที่องค์หญิงหลี่หรงสั่งให้สาวใช้เตรียมของใช้สำหรับอาบน้ำจังหวะนี้ นอกจากกลีบดอกไม้แล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เจ่าโต้ว’ (澡豆) แปลตรงตัวว่าถั่วอาบน้ำ ซึ่งก็คือสบู่โบราณนั่นเอง วันนี้เรามาคุยกันเรื่องนี้

    แต่ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงวัฒนธรรมการอาบน้ำ ปัจจุบันการอาบน้ำทั่วไปเรียกว่า ‘สีเจ่า’ (洗澡) แต่ถ้าอาบแบบแช่น้ำในอ่างทั้งตัวเรียกเป็น ‘มู่อวี้’ (沐浴) ซึ่งคำว่า ‘มู่อวี้’ นี้เป็นศัพท์ที่มีมาแต่โบราณและคำว่าห้องอาบน้ำ (浴室/อวี้ซึ) ปรากฏเป็นอักขระบนกระดูกโบราณมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง ดังนั้น วัฒนธรรมการอาบน้ำมีมาอย่างน้อยสามพันกว่าปีในประเทศจีน

    ในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นระบุจำแนกไว้ว่า ‘มู่’ คือการสระผม ‘อวี้’ คือการอาบชำระร่างกาย ‘สี่’ คือการล้างเท้า และ ‘เจ่า’ คือการล้างมือ ต่อมาคำว่า ‘เจ่า’ จึงค่อยๆ ถูกใช้สำหรับการชำระล้างส่วนอื่นๆ ด้วย

    การอาบน้ำแบบโบราณหรือมู่อวี้ โดยทั่วไปคือการอาบน้ำอุ่นในถังอาบน้ำ อาจแช่ทั้งตัวหรือนั่งราดอาบก็ได้ ดังที่เราเห็นในซีรีส์จีนว่าต้องมีการต้มน้ำไปใส่อ่าง หรืออย่างในวังจะมีสระน้ำร้อนให้ใช้ และชาวจีนโบราณก็ไม่ได้อาบน้ำทุกวัน (จะว่าไปแล้ว ชาติอื่นก็เหมือนกัน) โดยหลักปฏิบัติคือสามวันให้สระผมหนึ่งครั้ง ห้าวันอาบน้ำหนึ่งครั้ง ในสมัยฮั่นถึงกับกำหนดเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติของข้าราชการโดยจะหยุดพักงานทุกห้าวัน เป็นนัยว่าหยุดเพื่อให้อยู่บ้านอาบน้ำ และวันหยุดนี้เรียกว่า ‘ซิวมู่’ (休沐 แปลตรงตัวว่าพักอาบน้ำ)

    นอกจากนี้ ก่อนเข้าร่วมพิธีสำคัญก็ต้องอาบน้ำโดยเฉพาะพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่างๆ เพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากกาย โดยในเอกสารโบราณมีระบุรายละเอียดเพิ่มเติมถึงขั้นตอนการอาบน้ำ เป็นต้นว่า การอาบน้ำนั้น ท่อนบนของร่างกายใช้ผ้าใยเนื้อละเอียดเช็ดถู ท่อนล่างใช้ผ้าใยเนื้อหยาบ สุดท้ายคือยืนล้าง (ขัด) เท้าบนเสื่อหญ้าหยาบ เมื่อเช็ดแห้งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วให้ดื่มชาหรือน้ำเพื่อปรับอุณภูมิในร่างกายและชดเชยการเสียเหงื่อด้วย

    ในช่วงสมัยราชวงศ์เหนือใต้ ปรากฏว่าตามวัดพุทธมีการขุดบ่อเป็นสระอาบน้ำรวมให้พระภิกษุใช้อาบทุกวันก่อนไหว้พระ และเนื่องจากในสมัยโบราณชาวบ้านนิยมเที่ยววัด จึงค่อยๆ กลายเป็นว่าชาวบ้านหรือข้าราชการก็ไปใช้บริการอาบน้ำที่วัด เสร็จแล้วก็นั่งดื่มชาสนทนากัน ต่อมาวัฒนธรรมการอาบน้ำรวมนี้เป็นที่นิยมมาก ในสมัยซ่งมีสระอาบน้ำสาธารณะในเมืองที่ชาวบ้านสามารถมาจ่ายเงินใช้บริการได้โดยแบ่งเป็นสระน้ำอุ่นและสระน้ำเย็นให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบ และในสมัยหมิงถึงกับมีคนรับจ้างช่วยถูหลังสระผมตัดเล็บเลยทีเดียว

    ว่ากันว่า แรกเริ่มเลยในสมัยซางและฮั่น คนโบราณใช้น้ำซาวข้าวอาบน้ำสระผม ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการพัฒนาใช้เครื่องหอมต่างๆ จึงสันนิษฐานว่าสบู่โบราณเจ่าโต้วถูกพัฒนาขึ้นในสมัยนั้นเช่นกัน แต่ว่าแรกเริ่มมันเป็นของหรูที่มีใช้ในวังเท่านั้นและใช้สำหรับล้างมือ ต่อมาจึงแพร่สู่ชาวบ้านธรรมดา ใช้ได้ทั้งอาบน้ำสระผมล้างหน้าล้างมือล้างเท้า และใช้ซักเสื้อผ้าอีกด้วย

    สบู่เจ่าโต้วนี้ถูกเรียกว่า ‘ถั่วอาบน้ำ’ เพราะว่าส่วนผสมหลักของมันก็คือถั่วหรือธัญพืชบดละเอียด ผสมด้วย เครื่องหอม เครื่องเทศและยาสมุนไพรหลากหลาย และสูตรโบราณนี้นอกจากจะเป็นสครับขัดผิวให้ขาวเนียนและบำรุงผิวพรรณได้ดีแล้ว ยังล้างคราบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคราบดินโคลน คราบมัน คราบเลือด และคราบเครื่องสำอาง ต่อมาภายหลังจึงใช้หันไปใช้ขี้เถ้าไม้และไขมันสัตว์เป็นส่วนผสมหลักเรียกว่า ‘อี๋จื่อ’ (胰子) ซึ่งเป็นพัฒนากลายมาเป็นสบู่ปัจจุบัน

    สูตรการทำเจ่าโต้วถูกพัฒนาขึ้นอย่างหลากหลาย แต่สามารถสรุปรวมได้ดังนี้ คือ (1) ธัญพืชและถั่วสารพัดชนิด บ้างต้มสุกบ้างใช้ถั่วดิบ บดละเอียด (2) สมุนไพรหรือเครื่องเทศบดละเอียด เช่น กานพลู การบูร อบเชย (3) เครื่องหอมที่ต้องการ เช่นไม้หอมอบแห้ง กลีบดอกไม้แห้ง บดละเอียดหรือหากเป็นดอกไม้อาจบดหยาบ (4) น้ำหรือน้ำแร่ ต้มเคี่ยวกับน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง (5) เอาส่วนผสมทั้งหมดผสมแล้วคลุกให้สม่ำเสมอ ปั้นเป็นลูกกลอนแล้วเอาไปตากแห้งหลายๆ วัน เป็นอันจบขั้นตอน เวลาจะใช้ก็ชุบน้ำให้เปียกแล้วบี้แตกถูตามร่างกาย

    Storyฯ ผ่านตาคลิปของพ่อหนุ่มที่ทำสบู่โบราณนี้ เป็นคนเดียวกับที่เคยทำกระบอกจุดไฟและกระโปรงหม่าเมี่ยนที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (ค้นอ่านบทความเก่าได้จากสารบัญ) เข้าไปดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่างค่ะ

    จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเจ่าโต้วทำไม่ยาก แต่สาเหตุที่เดิมเป็นของฟุ่มเฟือยเพราะส่วนผสมหลายอย่างมีราคาสูงเกินกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะนำมาใช้ในกิจวัตรประจำวัน สู้ใช้พวกดินโคลนหินทรายจะง่ายกว่าและประหยัดทรัพย์ โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ คิดว่าส่วนผสมของเจ่าโต้วนี้ดูน่าใช้กว่าสบู่รุ่นหลังที่ทำจากไขมันสัตว์และขี้เถ้าไม้เสียอีก แต่ยังไม่ได้ทดลองทำดูนะ ใครลองทำแล้วได้ผลอย่างไรอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ หรือถ้าใครรู้ว่าภูมิปัญญาไทยโบราณใช้อะไรทำสบู่ แตกต่างมากน้อยอย่างไรกับเจ่าโต้วนี้ ก็มาเล่าให้ฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    คลิปสาธิตการทำเจ่าโต้ว: https://www.youtube.com/watch?v=kuCYk0hoAdY
    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c4304001633w.html
    https://kknews.cc/zh-my/history/p6b6orj.html
    https://baike.sogou.com/v8330278.htm
    https://zabar.pixnet.net/blog/post/64707721
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_23937607
    https://baike.baidu.com/item/澡豆/687918
    https://kknews.cc/zh-cn/history/qxyaj9b.html
    https://k.sina.cn/article_6395568294_17d34a0a600100cs21.html
    https://baike.baidu.com/item/胰子/5249378

    #องค์หญิงใหญ่ #เจ่าโต้ว #สบู่จีนโบราณ #อาบน้ำจีนโบราณ #สาระจีน

    เจ่าโต้ว สบู่จีนโบราณ สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> คงจะฟินจิกหมอนไม่น้อยกับฉากอาบน้ำของพระเอกนางเอก ในซีรีส์ไม่ได้พูดถึง แต่ในนิยายตอนที่องค์หญิงหลี่หรงสั่งให้สาวใช้เตรียมของใช้สำหรับอาบน้ำจังหวะนี้ นอกจากกลีบดอกไม้แล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เจ่าโต้ว’ (澡豆) แปลตรงตัวว่าถั่วอาบน้ำ ซึ่งก็คือสบู่โบราณนั่นเอง วันนี้เรามาคุยกันเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงวัฒนธรรมการอาบน้ำ ปัจจุบันการอาบน้ำทั่วไปเรียกว่า ‘สีเจ่า’ (洗澡) แต่ถ้าอาบแบบแช่น้ำในอ่างทั้งตัวเรียกเป็น ‘มู่อวี้’ (沐浴) ซึ่งคำว่า ‘มู่อวี้’ นี้เป็นศัพท์ที่มีมาแต่โบราณและคำว่าห้องอาบน้ำ (浴室/อวี้ซึ) ปรากฏเป็นอักขระบนกระดูกโบราณมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง ดังนั้น วัฒนธรรมการอาบน้ำมีมาอย่างน้อยสามพันกว่าปีในประเทศจีน ในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นระบุจำแนกไว้ว่า ‘มู่’ คือการสระผม ‘อวี้’ คือการอาบชำระร่างกาย ‘สี่’ คือการล้างเท้า และ ‘เจ่า’ คือการล้างมือ ต่อมาคำว่า ‘เจ่า’ จึงค่อยๆ ถูกใช้สำหรับการชำระล้างส่วนอื่นๆ ด้วย การอาบน้ำแบบโบราณหรือมู่อวี้ โดยทั่วไปคือการอาบน้ำอุ่นในถังอาบน้ำ อาจแช่ทั้งตัวหรือนั่งราดอาบก็ได้ ดังที่เราเห็นในซีรีส์จีนว่าต้องมีการต้มน้ำไปใส่อ่าง หรืออย่างในวังจะมีสระน้ำร้อนให้ใช้ และชาวจีนโบราณก็ไม่ได้อาบน้ำทุกวัน (จะว่าไปแล้ว ชาติอื่นก็เหมือนกัน) โดยหลักปฏิบัติคือสามวันให้สระผมหนึ่งครั้ง ห้าวันอาบน้ำหนึ่งครั้ง ในสมัยฮั่นถึงกับกำหนดเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติของข้าราชการโดยจะหยุดพักงานทุกห้าวัน เป็นนัยว่าหยุดเพื่อให้อยู่บ้านอาบน้ำ และวันหยุดนี้เรียกว่า ‘ซิวมู่’ (休沐 แปลตรงตัวว่าพักอาบน้ำ) นอกจากนี้ ก่อนเข้าร่วมพิธีสำคัญก็ต้องอาบน้ำโดยเฉพาะพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่างๆ เพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากกาย โดยในเอกสารโบราณมีระบุรายละเอียดเพิ่มเติมถึงขั้นตอนการอาบน้ำ เป็นต้นว่า การอาบน้ำนั้น ท่อนบนของร่างกายใช้ผ้าใยเนื้อละเอียดเช็ดถู ท่อนล่างใช้ผ้าใยเนื้อหยาบ สุดท้ายคือยืนล้าง (ขัด) เท้าบนเสื่อหญ้าหยาบ เมื่อเช็ดแห้งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วให้ดื่มชาหรือน้ำเพื่อปรับอุณภูมิในร่างกายและชดเชยการเสียเหงื่อด้วย ในช่วงสมัยราชวงศ์เหนือใต้ ปรากฏว่าตามวัดพุทธมีการขุดบ่อเป็นสระอาบน้ำรวมให้พระภิกษุใช้อาบทุกวันก่อนไหว้พระ และเนื่องจากในสมัยโบราณชาวบ้านนิยมเที่ยววัด จึงค่อยๆ กลายเป็นว่าชาวบ้านหรือข้าราชการก็ไปใช้บริการอาบน้ำที่วัด เสร็จแล้วก็นั่งดื่มชาสนทนากัน ต่อมาวัฒนธรรมการอาบน้ำรวมนี้เป็นที่นิยมมาก ในสมัยซ่งมีสระอาบน้ำสาธารณะในเมืองที่ชาวบ้านสามารถมาจ่ายเงินใช้บริการได้โดยแบ่งเป็นสระน้ำอุ่นและสระน้ำเย็นให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบ และในสมัยหมิงถึงกับมีคนรับจ้างช่วยถูหลังสระผมตัดเล็บเลยทีเดียว ว่ากันว่า แรกเริ่มเลยในสมัยซางและฮั่น คนโบราณใช้น้ำซาวข้าวอาบน้ำสระผม ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการพัฒนาใช้เครื่องหอมต่างๆ จึงสันนิษฐานว่าสบู่โบราณเจ่าโต้วถูกพัฒนาขึ้นในสมัยนั้นเช่นกัน แต่ว่าแรกเริ่มมันเป็นของหรูที่มีใช้ในวังเท่านั้นและใช้สำหรับล้างมือ ต่อมาจึงแพร่สู่ชาวบ้านธรรมดา ใช้ได้ทั้งอาบน้ำสระผมล้างหน้าล้างมือล้างเท้า และใช้ซักเสื้อผ้าอีกด้วย สบู่เจ่าโต้วนี้ถูกเรียกว่า ‘ถั่วอาบน้ำ’ เพราะว่าส่วนผสมหลักของมันก็คือถั่วหรือธัญพืชบดละเอียด ผสมด้วย เครื่องหอม เครื่องเทศและยาสมุนไพรหลากหลาย และสูตรโบราณนี้นอกจากจะเป็นสครับขัดผิวให้ขาวเนียนและบำรุงผิวพรรณได้ดีแล้ว ยังล้างคราบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคราบดินโคลน คราบมัน คราบเลือด และคราบเครื่องสำอาง ต่อมาภายหลังจึงใช้หันไปใช้ขี้เถ้าไม้และไขมันสัตว์เป็นส่วนผสมหลักเรียกว่า ‘อี๋จื่อ’ (胰子) ซึ่งเป็นพัฒนากลายมาเป็นสบู่ปัจจุบัน สูตรการทำเจ่าโต้วถูกพัฒนาขึ้นอย่างหลากหลาย แต่สามารถสรุปรวมได้ดังนี้ คือ (1) ธัญพืชและถั่วสารพัดชนิด บ้างต้มสุกบ้างใช้ถั่วดิบ บดละเอียด (2) สมุนไพรหรือเครื่องเทศบดละเอียด เช่น กานพลู การบูร อบเชย (3) เครื่องหอมที่ต้องการ เช่นไม้หอมอบแห้ง กลีบดอกไม้แห้ง บดละเอียดหรือหากเป็นดอกไม้อาจบดหยาบ (4) น้ำหรือน้ำแร่ ต้มเคี่ยวกับน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง (5) เอาส่วนผสมทั้งหมดผสมแล้วคลุกให้สม่ำเสมอ ปั้นเป็นลูกกลอนแล้วเอาไปตากแห้งหลายๆ วัน เป็นอันจบขั้นตอน เวลาจะใช้ก็ชุบน้ำให้เปียกแล้วบี้แตกถูตามร่างกาย Storyฯ ผ่านตาคลิปของพ่อหนุ่มที่ทำสบู่โบราณนี้ เป็นคนเดียวกับที่เคยทำกระบอกจุดไฟและกระโปรงหม่าเมี่ยนที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (ค้นอ่านบทความเก่าได้จากสารบัญ) เข้าไปดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่างค่ะ จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเจ่าโต้วทำไม่ยาก แต่สาเหตุที่เดิมเป็นของฟุ่มเฟือยเพราะส่วนผสมหลายอย่างมีราคาสูงเกินกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะนำมาใช้ในกิจวัตรประจำวัน สู้ใช้พวกดินโคลนหินทรายจะง่ายกว่าและประหยัดทรัพย์ โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ คิดว่าส่วนผสมของเจ่าโต้วนี้ดูน่าใช้กว่าสบู่รุ่นหลังที่ทำจากไขมันสัตว์และขี้เถ้าไม้เสียอีก แต่ยังไม่ได้ทดลองทำดูนะ ใครลองทำแล้วได้ผลอย่างไรอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ หรือถ้าใครรู้ว่าภูมิปัญญาไทยโบราณใช้อะไรทำสบู่ แตกต่างมากน้อยอย่างไรกับเจ่าโต้วนี้ ก็มาเล่าให้ฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) คลิปสาธิตการทำเจ่าโต้ว: https://www.youtube.com/watch?v=kuCYk0hoAdY Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c4304001633w.html https://kknews.cc/zh-my/history/p6b6orj.html https://baike.sogou.com/v8330278.htm https://zabar.pixnet.net/blog/post/64707721 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_23937607 https://baike.baidu.com/item/澡豆/687918 https://kknews.cc/zh-cn/history/qxyaj9b.html https://k.sina.cn/article_6395568294_17d34a0a600100cs21.html https://baike.baidu.com/item/胰子/5249378 #องค์หญิงใหญ่ #เจ่าโต้ว #สบู่จีนโบราณ #อาบน้ำจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคพม่าเฟล หลังถูกปิดประตูใส่กลอนนิรโทษ112 ให้ตัวเองและแกนนำพรรค แต่อ้างจะช่วยผู้ถูกดำเนินคดี112 ทั้งๆ ที่มีแค่ 300 กว่าคดี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    พรรคพม่าเฟล หลังถูกปิดประตูใส่กลอนนิรโทษ112 ให้ตัวเองและแกนนำพรรค แต่อ้างจะช่วยผู้ถูกดำเนินคดี112 ทั้งๆ ที่มีแค่ 300 กว่าคดี #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    Yay
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 4 ‘ซู’ และ ‘ซู่’

    ผ่านมาหลายสัปดาห์กับหกทักษะของสุภาพบุรุษจากตระกูลสูงศักดิ์ หรือ ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือ(หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数)

    สัปดาห์นี้มาคุยกันถึงสองทักษะสุดท้าย ซึ่งไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าสัปดาห์ที่แล้ว และในบันทึกโจวหลี่ไม่ได้มีการขยายความเพิ่มเติม เพียงระบุไว้ว่าต้องมีทักษะที่ห้า คือ ‘ลิ่วซู’ หรือหกอักษร และทักษะที่หกคือ ‘จิ่วซู่’ หรือเก้าคำนวณ และชนรุ่นหลังจึงต้องอาศัยหนังสืออื่นในสมัยฮั่นที่บรรยายเพิ่มเติมถึงสองทักษะนี้

    สำหรับทักษะที่ห้า ‘ซู’ หรืออักษรนี้ เพื่อนเพจอย่าได้เข้าใจผิดว่ามันหมายถึงงานโคลงกลอนวรรณกรรมชั้นสูง หรือการเขียนพู่กันรูปแบบอักษรต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นทักษะพื้นฐานในการเขียนอ่านสำหรับเด็กเมื่อเริ่มเรียนหนังสือเมื่อกว่าสามพันปีที่แล้ว สรุปได้ดังนี้
    (1) เซี่ยงสิง (象形/Pictogram) คืออักษรภาพที่เป็นอักษรเดี่ยว วาดขึ้นเพื่อบรรยายหรือสะท้อนถึงสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตที่เรามองเห็น ซึ่งเพื่อนเพจอย่าลืมว่าแรกเริ่มการเขียนของมนุษย์เรามาจากการวาดภาพ อักขระที่ใช้ในสมัยจีนบรรพกาลตามที่เราเห็นบนกระดูกโบราณก็เป็นลักษณะคล้ายภาพวาด อย่างเช่นอักษร ‘เหริน’ (人) ที่แปลว่าคน ก็คือมาจากการวาดรูปคนเดิน เป็นต้น
    (2) จื่อซื่อ (指事/Indicatives) คืออักษรภาพที่เป็นอักษรเดี่ยว วาดขึ้นเพื่อบรรยายหรือสะท้อนถึงความคิดความรู้สึกที่เราจับต้องไม่ได้ เช่น ตัวเลขจีนหรือคำว่าบนล่าง (‘ซ่างเซี่ย’ / 上下) เป็นต้น
    (3) ฮุ่ยอี้ (会意/Associative Compound) คืออักษรประสมที่เกิดจากการประกอบอักษรเดี่ยว (เซี่ยงสิงหรือจื่อซื่อ) มากกว่าหนึ่งอักษรเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นอีกความหมายหนึ่ง เช่น ‘จ้ง’ (众) ประกอบด้วยอักษร ‘เหริน’ สามตัว หมายถึงกลุ่มคน เป็นต้น
    (4) สิงเซิง (形声/Pictophonetic Compound) คืออักษรประสมที่ใช้อักษรหลักเดียวกัน แต่อาศัยอักษรข้างหรืออักษรบนล่างผันเสียงและ/หรือสร้างความหมายให้แตกต่างกันไป เช่น 绸 调 鲷 雕 และ 竿 笼 笔 筷 签 เป็นต้น ประเด็นนี้เพื่อนเพจที่ได้เรียนภาษาจีนจะเข้าใจได้ดีกว่าที่ Storyฯ อธิบาย

    สี่อักษรข้างต้นนั้น เป็นการวางรากฐานการเขียนและอักษรจีน แต่อีกสองอักษรที่เหลือเป็นหลักการการใช้ศัพท์ กล่าวคือ
    (5) จ่วนจู้ (转注/ Shared Component Characters) คืออักษรประสมที่อาจเขียนและออกเสียงแตกต่างแต่มีความหมายเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน โดยมีเงื่อนไขว่าอักษรนี้ต้องมีอักษรประกอบ (คืออักษรข้างหรืออักษรบนล่าง) ที่เหมือนกัน มีเสียงอ่านใกล้เคียงกัน และใช้อธิบายความหมายของกันและกันได้ ทั้งนี้เพราะแต่ละพื้นที่ของจีนมีภาษาท้องถิ่นที่ออกเสียงแตกต่างกันไปจึงอาจมีการใช้อักษรบางตัวแตกต่างกันไป แต่หากเข้าใจหลักการของ ‘จ่วนจู้’ ก็จะสามารถเข้าใจความหมายของอักษรที่แตกต่างกันไปเหล่านั้นได้ เช่น ‘คง’ (空) แปลว่าว่างเปล่า และ ‘เชี่ยว’ (窍) แปลว่ารู เป็นต้น
    (6) เจี่ยเจี้ย (假借/Phonetic Loans) คือการยืมอักษรที่ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมาใช้แทนกัน ซึ่งในสมัยโบราณมีการใช้ทักษะนี้ในการแต่งบทกลอนไม่น้อย และยังเห็นได้ในพวกคำมงคลต่างๆ เช่นคำว่า ‘เต้า’ (倒) ที่แปลว่ากลับหัว ถูกนำมาใช้ในบริบทของการติดป้ายมงคลกลับหัวเพื่อเรียกแทนคำว่า ‘เต้า’ (到) ที่แปลว่ามาถึง หรืออีกกรณีหนึ่งคือเจี่ยเจี้ยอาจหมายถึงการเอาอักษรหนึ่งมาใช้ในอีกบริบทหนึ่งจนเกิดเป็นความหมายใหม่ขึ้นมา เช่นคำว่า ‘ลิ่ง’ (令) ซึ่งแปลว่าคำสั่ง ต่อมาถูกนำมาใช้รวมกับคำอื่นจนแปลว่าผู้นำหรือผู้มีอำนาจสั่งการอย่าง ‘เซี่ยนลิ่ง’ (县令) คือผู้ว่าการอำเภอ เป็นต้น และอักษรเจี่ยเจี้ยเหล่านี้ นานวันเข้าก็เป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย

    ส่วนทักษะการคำนวณหรือ ‘จิ่วซู่’ นั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดมากเพราะว่ามาตรฐานและหน่วยวัดต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วตามกาลเวลา ขอสรุปสั้นๆ พอให้เห็นภาพว่า เก้าคำนวณนี้ประกอบด้วย

    (1) ฟางเถียน (方田) ซึ่งก็คือการคำนวณขนาดของพื้นที่ โจทย์โดยหลักคือที่นา
    (2) ซู่หมี่ (粟米) คือการคำนวณปริมาณตามน้ำหนักของข้าวและธัญพืชชนิดต่างๆ เช่น ข้าวฟ่างน้ำหนักเท่านี้เทียบเท่ากับข้าวเจ้าน้ำหนักเท่าไหร่ เป็นต้น
    (3) ซวยเฟิน (衰分) แปลตรงตัวคือการซอยย่อยหรือการหาร
    (4) สาวก่วง (少广) แปลตรงตัวคือเพิ่มจากน้อยไปมาก ซึ่งก็คือการคูณ
    (5) ซังกง (商功) คือการคำนวณปริมาตรของรูปทรงต่างๆ ใช้สำหรับงานก่อสร้าง
    (6) จวินซู (均输) คือการคำนวณเปรียบเทียบอัตราส่วน เช่น เมื่อวานมีเกลือจำนวนเท่านี้ ขนส่งมาด้วยระยะทางหนึ่งร้อยหลี่ คิดเป็นเงินเท่านี้ ถ้าวันนี้มีเกลือน้อยลงหนึ่งส่วนสี่ ขนส่งด้วยระยะทางแปดสิบหลี่ ควรคิดเป็นเงินเท่าไหร่ เป็นต้น
    (7) อิ๋งปู้จู๋ (盈不足) แปลตรงตัวคือกำไรขาดทุน ซึ่งก็คือการแก้สมการโดยมีโจทย์เป็นการคำนวณเงินๆ ทองๆ เช่น หากจะซื้อรถม้าสักคัน ถ้าออกเงินคนละห้าตำลึง จะขาดเงินเก้าสิบตำลึง ถ้าออกเงินคนละห้าสิบห้าตำลึง จะมีเงินเหลือสิบตำลึง ถามว่ามีคนออกเงินกี่คนและรถม้าราคาเท่าไหร่ เป็นต้น
    (8) ฟางเฉิง (方程) คือการแก้สมการ เช่น มีวัวห้าตัวแพะสองตัว รวมเป็นมูลค่าสิบตำลึง แต่ถ้าวัวสองตัวแพะห้าตัวจะรวมมูลค่าได้แปดตำลึง ถามว่าวัวและแพะต่างมีราคาเท่าไหร่ เป็นต้น
    (9) โกวกู่ (勾股) คือการคำนวณความสัมพันธ์ในเรขาคณิต (Pythagoras' theorem) เช่นการคำนวณองศาและความยาว เป็นอีกหนึ่งทักษะสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง

    จะเห็นได้ว่า ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะของสุภาพบุรุษ (ห้าพิธีการ หกดนตรี ห้าการยิงธนู ห้าการขับขี่ หกอักษร และ เก้าคำนวณ) จริงๆ แล้วก็คือพื้นฐานการเรียนการสอนซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยนั้น พื้นฐานเหล่านี้ถูกปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยมาตลอด แต่เรียกได้ว่าหกทักษะที่กำหนดไว้เมื่อกว่าสี่พันปีที่แล้วนี้ก็คือพื้นฐานของหลักสูตรการศึกษาจวบจนปัจจุบัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html
    https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU
    https://www.sohu.com/a/584032470_121288924
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/六艺/238715
    https://www.sohu.com/a/584032470_121288924
    https://baike.baidu.com/item/汉字造字法/4018743
    https://studycli.org/zh-CN/chinese-characters/types-of-chinese-characters/
    https://ctext.org/nine-chapters/zhs

    #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน

    หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 4 ‘ซู’ และ ‘ซู่’ ผ่านมาหลายสัปดาห์กับหกทักษะของสุภาพบุรุษจากตระกูลสูงศักดิ์ หรือ ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือ(หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数) สัปดาห์นี้มาคุยกันถึงสองทักษะสุดท้าย ซึ่งไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าสัปดาห์ที่แล้ว และในบันทึกโจวหลี่ไม่ได้มีการขยายความเพิ่มเติม เพียงระบุไว้ว่าต้องมีทักษะที่ห้า คือ ‘ลิ่วซู’ หรือหกอักษร และทักษะที่หกคือ ‘จิ่วซู่’ หรือเก้าคำนวณ และชนรุ่นหลังจึงต้องอาศัยหนังสืออื่นในสมัยฮั่นที่บรรยายเพิ่มเติมถึงสองทักษะนี้ สำหรับทักษะที่ห้า ‘ซู’ หรืออักษรนี้ เพื่อนเพจอย่าได้เข้าใจผิดว่ามันหมายถึงงานโคลงกลอนวรรณกรรมชั้นสูง หรือการเขียนพู่กันรูปแบบอักษรต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นทักษะพื้นฐานในการเขียนอ่านสำหรับเด็กเมื่อเริ่มเรียนหนังสือเมื่อกว่าสามพันปีที่แล้ว สรุปได้ดังนี้ (1) เซี่ยงสิง (象形/Pictogram) คืออักษรภาพที่เป็นอักษรเดี่ยว วาดขึ้นเพื่อบรรยายหรือสะท้อนถึงสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตที่เรามองเห็น ซึ่งเพื่อนเพจอย่าลืมว่าแรกเริ่มการเขียนของมนุษย์เรามาจากการวาดภาพ อักขระที่ใช้ในสมัยจีนบรรพกาลตามที่เราเห็นบนกระดูกโบราณก็เป็นลักษณะคล้ายภาพวาด อย่างเช่นอักษร ‘เหริน’ (人) ที่แปลว่าคน ก็คือมาจากการวาดรูปคนเดิน เป็นต้น (2) จื่อซื่อ (指事/Indicatives) คืออักษรภาพที่เป็นอักษรเดี่ยว วาดขึ้นเพื่อบรรยายหรือสะท้อนถึงความคิดความรู้สึกที่เราจับต้องไม่ได้ เช่น ตัวเลขจีนหรือคำว่าบนล่าง (‘ซ่างเซี่ย’ / 上下) เป็นต้น (3) ฮุ่ยอี้ (会意/Associative Compound) คืออักษรประสมที่เกิดจากการประกอบอักษรเดี่ยว (เซี่ยงสิงหรือจื่อซื่อ) มากกว่าหนึ่งอักษรเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นอีกความหมายหนึ่ง เช่น ‘จ้ง’ (众) ประกอบด้วยอักษร ‘เหริน’ สามตัว หมายถึงกลุ่มคน เป็นต้น (4) สิงเซิง (形声/Pictophonetic Compound) คืออักษรประสมที่ใช้อักษรหลักเดียวกัน แต่อาศัยอักษรข้างหรืออักษรบนล่างผันเสียงและ/หรือสร้างความหมายให้แตกต่างกันไป เช่น 绸 调 鲷 雕 และ 竿 笼 笔 筷 签 เป็นต้น ประเด็นนี้เพื่อนเพจที่ได้เรียนภาษาจีนจะเข้าใจได้ดีกว่าที่ Storyฯ อธิบาย สี่อักษรข้างต้นนั้น เป็นการวางรากฐานการเขียนและอักษรจีน แต่อีกสองอักษรที่เหลือเป็นหลักการการใช้ศัพท์ กล่าวคือ (5) จ่วนจู้ (转注/ Shared Component Characters) คืออักษรประสมที่อาจเขียนและออกเสียงแตกต่างแต่มีความหมายเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน โดยมีเงื่อนไขว่าอักษรนี้ต้องมีอักษรประกอบ (คืออักษรข้างหรืออักษรบนล่าง) ที่เหมือนกัน มีเสียงอ่านใกล้เคียงกัน และใช้อธิบายความหมายของกันและกันได้ ทั้งนี้เพราะแต่ละพื้นที่ของจีนมีภาษาท้องถิ่นที่ออกเสียงแตกต่างกันไปจึงอาจมีการใช้อักษรบางตัวแตกต่างกันไป แต่หากเข้าใจหลักการของ ‘จ่วนจู้’ ก็จะสามารถเข้าใจความหมายของอักษรที่แตกต่างกันไปเหล่านั้นได้ เช่น ‘คง’ (空) แปลว่าว่างเปล่า และ ‘เชี่ยว’ (窍) แปลว่ารู เป็นต้น (6) เจี่ยเจี้ย (假借/Phonetic Loans) คือการยืมอักษรที่ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมาใช้แทนกัน ซึ่งในสมัยโบราณมีการใช้ทักษะนี้ในการแต่งบทกลอนไม่น้อย และยังเห็นได้ในพวกคำมงคลต่างๆ เช่นคำว่า ‘เต้า’ (倒) ที่แปลว่ากลับหัว ถูกนำมาใช้ในบริบทของการติดป้ายมงคลกลับหัวเพื่อเรียกแทนคำว่า ‘เต้า’ (到) ที่แปลว่ามาถึง หรืออีกกรณีหนึ่งคือเจี่ยเจี้ยอาจหมายถึงการเอาอักษรหนึ่งมาใช้ในอีกบริบทหนึ่งจนเกิดเป็นความหมายใหม่ขึ้นมา เช่นคำว่า ‘ลิ่ง’ (令) ซึ่งแปลว่าคำสั่ง ต่อมาถูกนำมาใช้รวมกับคำอื่นจนแปลว่าผู้นำหรือผู้มีอำนาจสั่งการอย่าง ‘เซี่ยนลิ่ง’ (县令) คือผู้ว่าการอำเภอ เป็นต้น และอักษรเจี่ยเจี้ยเหล่านี้ นานวันเข้าก็เป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนทักษะการคำนวณหรือ ‘จิ่วซู่’ นั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดมากเพราะว่ามาตรฐานและหน่วยวัดต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วตามกาลเวลา ขอสรุปสั้นๆ พอให้เห็นภาพว่า เก้าคำนวณนี้ประกอบด้วย (1) ฟางเถียน (方田) ซึ่งก็คือการคำนวณขนาดของพื้นที่ โจทย์โดยหลักคือที่นา (2) ซู่หมี่ (粟米) คือการคำนวณปริมาณตามน้ำหนักของข้าวและธัญพืชชนิดต่างๆ เช่น ข้าวฟ่างน้ำหนักเท่านี้เทียบเท่ากับข้าวเจ้าน้ำหนักเท่าไหร่ เป็นต้น (3) ซวยเฟิน (衰分) แปลตรงตัวคือการซอยย่อยหรือการหาร (4) สาวก่วง (少广) แปลตรงตัวคือเพิ่มจากน้อยไปมาก ซึ่งก็คือการคูณ (5) ซังกง (商功) คือการคำนวณปริมาตรของรูปทรงต่างๆ ใช้สำหรับงานก่อสร้าง (6) จวินซู (均输) คือการคำนวณเปรียบเทียบอัตราส่วน เช่น เมื่อวานมีเกลือจำนวนเท่านี้ ขนส่งมาด้วยระยะทางหนึ่งร้อยหลี่ คิดเป็นเงินเท่านี้ ถ้าวันนี้มีเกลือน้อยลงหนึ่งส่วนสี่ ขนส่งด้วยระยะทางแปดสิบหลี่ ควรคิดเป็นเงินเท่าไหร่ เป็นต้น (7) อิ๋งปู้จู๋ (盈不足) แปลตรงตัวคือกำไรขาดทุน ซึ่งก็คือการแก้สมการโดยมีโจทย์เป็นการคำนวณเงินๆ ทองๆ เช่น หากจะซื้อรถม้าสักคัน ถ้าออกเงินคนละห้าตำลึง จะขาดเงินเก้าสิบตำลึง ถ้าออกเงินคนละห้าสิบห้าตำลึง จะมีเงินเหลือสิบตำลึง ถามว่ามีคนออกเงินกี่คนและรถม้าราคาเท่าไหร่ เป็นต้น (8) ฟางเฉิง (方程) คือการแก้สมการ เช่น มีวัวห้าตัวแพะสองตัว รวมเป็นมูลค่าสิบตำลึง แต่ถ้าวัวสองตัวแพะห้าตัวจะรวมมูลค่าได้แปดตำลึง ถามว่าวัวและแพะต่างมีราคาเท่าไหร่ เป็นต้น (9) โกวกู่ (勾股) คือการคำนวณความสัมพันธ์ในเรขาคณิต (Pythagoras' theorem) เช่นการคำนวณองศาและความยาว เป็นอีกหนึ่งทักษะสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง จะเห็นได้ว่า ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะของสุภาพบุรุษ (ห้าพิธีการ หกดนตรี ห้าการยิงธนู ห้าการขับขี่ หกอักษร และ เก้าคำนวณ) จริงๆ แล้วก็คือพื้นฐานการเรียนการสอนซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยนั้น พื้นฐานเหล่านี้ถูกปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยมาตลอด แต่เรียกได้ว่าหกทักษะที่กำหนดไว้เมื่อกว่าสี่พันปีที่แล้วนี้ก็คือพื้นฐานของหลักสูตรการศึกษาจวบจนปัจจุบัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU https://www.sohu.com/a/584032470_121288924 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/六艺/238715 https://www.sohu.com/a/584032470_121288924 https://baike.baidu.com/item/汉字造字法/4018743 https://studycli.org/zh-CN/chinese-characters/types-of-chinese-characters/ https://ctext.org/nine-chapters/zhs #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    《度华年》定档0626 赵今麦张凌赫入宿命循环局_商业频道_中华网
    今日,由赵今麦、张凌赫领衔主演的古装轻喜剧《度华年》官宣定档6月26日于优酷全网独播。该剧由青梅影业、浙江影视集团、优酷出品,袁玉梅担任总制片人兼艺术总监,高翊浚执导,饶俊编剧。
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำแนะนำที่มีประโยชน์มาก ต่อการถนอมอวัยวะของร่างกายเราให้มีอายุการใช้งานยืนนาน จากภรรยาคุณหมอ พรชัย มาตังคสมบัติ รุ่นพี่ที่เคารพรักและนับถือ

    วิธียืดอายุ 10 อวัยวะให้อยู่ยาวนานจนกว่าท่านจะหมดอายุขัย (ไม่เสื่อมพังก่อนวันตาย เพราะเสื่อมพังไปก่อนตาย…ท่านต้องอยู่อย่างทรมาน…ไร้คุณภาพชีวิตที่ดี)

    ~ เราเคยชินกับความรู้ที่ว่า …อวัยวะจะเสื่อม…ไปตามเวลา …วิธีการยืดอายุอวัยวะ…มีร้อยแปดพันประการ …แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา …เสนอ…สุดยอดวิธียืดอายุอวัยวะต่างๆ …ไว้ในนิตยสาร Times ดังนี้

    1. สมอง : หลังอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติ…ที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง …ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ …ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว
    ~ จะยืดอายุสมอง…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) หรือ…การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง …ทำงานประสานกัน เช่น ทำสวน เย็บผ้า ทำกับข้าว ช่วยให้สมองทั้งซีกซ้าย…และขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกัน
    (2) กิน ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช แหล่งสุดยอดสารอาหารบำรุงเป็นประจำ
    (3) ฝึกเจริญสติก่อนนอน …ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก… จนกว่าจะหลับ …ช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งในวันรุ่งขึ้น

    2. ดวงตา : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ดวงตา จอประสาตา เลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
    ~ จะยืดอายุดวงตา…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) สวมแว่นกันแดด ก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกครั้ง (2) ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที
    (3)งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน

    3. หู : หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงทุกปี …และทุกๆ 1 ใน 3 คนมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้
    ~ จะยืดอายุหู… ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) หลีกเลี่ยงการทำงาน…หรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง …หากจำเป็นต้องใส่เครื่องป้องกัน
    (2) งดสั่งน้ำมูกแรงๆ …หรือ กลั้นจาม …เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา
    (3) งดแคะหูเอง …เพราะขี้หู…เป็นขี้ผึ้งรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ …การแคะหู…ทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้

    4. ปอด : หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวร้อยละ 1
    ~ จะยืดอายุปอด…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
    (2) ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ …จิบยาตรีผลา …ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ …บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้
    (3) หลีกเลี่ยง ควันธูป …ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีที่มีไอระเหยต่างๆ

    5. หัวใจ : หลังอายุ 65 ปี จะเริ่มมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ …เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลง…สวนทางกับอัตราการหนาตัวของผนังหัวใจที่เพิ่มขึ้น…เมื่ออายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุด…จะลดลงราวร้อยละ 10
    ~ จะยืดอายุหัวใจ…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) งดอาหารหวาน มัน เค็ม …รักษาความดันโลหิต…และน้ำหนักตัว…ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    (2) ว่ายน้ำ …เดิน …วิ่ง …โยคะ …ร่วมถึงการยกน้ำหนัก …ช่วยให้หัวใจทำงานต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
    (3) ปลูกต้นไม้ …ไปทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ …หรือหากิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายทำ …ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ …มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป

    6. ไต : หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ …จนกระทั่งไตวาย
    ~ จะยืดอายุไต…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) ดื่มน้ำให้เพียงพอ …สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine : IOM) ระบุว่า …ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป …ต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกัน…ต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว
    (2) งดปรุงแต่งรสอาหารโดยไม่จำเป็น …ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ
    (3) ควบคุมน้ำหนักตัว และ…ความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน

    7. สำไส้ : หลังอายุ 60 ปี …ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็ก…จะบางลง …ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามไปด้วย
    ~ จะยืดอายุลำไส้…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) กินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น… หลีกเลี่ยงอาหารทอด ปิ้ง ย่าง
    (2) กินโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน… เสริมโปรไบโอติก… เพิ่มปริมาณแบคทีเรียดีในลำไส้
    (3) ฝึกโยคะ 4 ท่า …ช่วยระบบย่อยทุกเช้าหลังตื่นนอน …ดังนี้ ท่าแมว ท่าสุนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าสะพาน …และปิดท้ายด้วยท่าศพ …ครั้งละ 3-5 ลมหายใจ …แต่ละท่าทำ 5 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต

    8. ผิวหนัง : หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี คอลลาเจน…และอิลาสติน…ในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1
    ~ จะยืดอายุผิวหนัง…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) ทาครีมกันแดด…ที่มีส่วนผสมของไทเทเนียม…หรือสังกะสีเป็นประจำ
    (2) กินถั่วเปลือกแข็ง …ผลไม้ตระกูลส้ม…และเบอร์รี่ เป็นประจำ
    (3) มาร์คหน้าด้วยโยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต …หรือ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังออกแดดเสมอ

    9. กระดูก : หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี…ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และ…จะมีอัตราลดลงเร็วขึ้น…เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ในเพศหญิง)…หรือ…เข้าสู่วัยทองในเพศชาย
    ~ จะยืดอายุกระดูก…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร
    (1) ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต (ถ้ากระดูกเข่าดี)
    (2) เพิ่มเมนูไทยๆ เปี่ยมแคลเซียม เช่น …น้ำพริกกะปิ…ปลาทูทอดกับ…ผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์
    (3) ระวังการใช้ยาสเตียรอยด์…และยาลูกกลอน…ที่มีผลทำให้กระดูกพรุน…กระดูกแตกหักง่าย

    10. กล้ามเนื้อ : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลง…และเปลี่ยนเป็นไขมัน …อัตรานั้นไม่สม่ำเสมอ…ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
    ~ จะยืดอายุกล้ามเนื้อ…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร :
    (1) วิดพื้น สวอท ทำ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต
    (2) ยกน้ำหนัก ทำ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต

    # สุดท้าย การกินอาหาร…ควรกินอาหาร…ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง …เช่น ผักหลากสี …ผลไม้รสเปรี้ยว …รสฝาดขม …ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ตามปกติได้ …อย่าลืมเสริมด้วย …การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ …การทำสมาธิ …และหาโอกาสออกไปพักผ่อน…ท่ามกลางธรรมชาติ …เพื่อลดความเครียด (ความเครียด…เป็นตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) เท่านี้…ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ให้มีอายุใช้งานยาวนาน…ไปถึงวันตายได้เช่นกัน

    Cr. รศ. ดร. ภญ. อรพรรณ มาตังคสมบัติ อดีต คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    คำแนะนำที่มีประโยชน์มาก ต่อการถนอมอวัยวะของร่างกายเราให้มีอายุการใช้งานยืนนาน จากภรรยาคุณหมอ พรชัย มาตังคสมบัติ รุ่นพี่ที่เคารพรักและนับถือ วิธียืดอายุ 10 อวัยวะให้อยู่ยาวนานจนกว่าท่านจะหมดอายุขัย (ไม่เสื่อมพังก่อนวันตาย เพราะเสื่อมพังไปก่อนตาย…ท่านต้องอยู่อย่างทรมาน…ไร้คุณภาพชีวิตที่ดี) ~ เราเคยชินกับความรู้ที่ว่า …อวัยวะจะเสื่อม…ไปตามเวลา …วิธีการยืดอายุอวัยวะ…มีร้อยแปดพันประการ …แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา …เสนอ…สุดยอดวิธียืดอายุอวัยวะต่างๆ …ไว้ในนิตยสาร Times ดังนี้ 1. สมอง : หลังอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติ…ที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง …ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ …ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว ~ จะยืดอายุสมอง…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) หรือ…การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง …ทำงานประสานกัน เช่น ทำสวน เย็บผ้า ทำกับข้าว ช่วยให้สมองทั้งซีกซ้าย…และขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกัน (2) กิน ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช แหล่งสุดยอดสารอาหารบำรุงเป็นประจำ (3) ฝึกเจริญสติก่อนนอน …ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก… จนกว่าจะหลับ …ช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งในวันรุ่งขึ้น 2. ดวงตา : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ดวงตา จอประสาตา เลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ~ จะยืดอายุดวงตา…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) สวมแว่นกันแดด ก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกครั้ง (2) ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที (3)งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน 3. หู : หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงทุกปี …และทุกๆ 1 ใน 3 คนมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้ ~ จะยืดอายุหู… ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) หลีกเลี่ยงการทำงาน…หรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง …หากจำเป็นต้องใส่เครื่องป้องกัน (2) งดสั่งน้ำมูกแรงๆ …หรือ กลั้นจาม …เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา (3) งดแคะหูเอง …เพราะขี้หู…เป็นขี้ผึ้งรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ …การแคะหู…ทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้ 4. ปอด : หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวร้อยละ 1 ~ จะยืดอายุปอด…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง (2) ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ …จิบยาตรีผลา …ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ …บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้ (3) หลีกเลี่ยง ควันธูป …ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีที่มีไอระเหยต่างๆ 5. หัวใจ : หลังอายุ 65 ปี จะเริ่มมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ …เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลง…สวนทางกับอัตราการหนาตัวของผนังหัวใจที่เพิ่มขึ้น…เมื่ออายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุด…จะลดลงราวร้อยละ 10 ~ จะยืดอายุหัวใจ…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) งดอาหารหวาน มัน เค็ม …รักษาความดันโลหิต…และน้ำหนักตัว…ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (2) ว่ายน้ำ …เดิน …วิ่ง …โยคะ …ร่วมถึงการยกน้ำหนัก …ช่วยให้หัวใจทำงานต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง (3) ปลูกต้นไม้ …ไปทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ …หรือหากิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายทำ …ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ …มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป 6. ไต : หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ …จนกระทั่งไตวาย ~ จะยืดอายุไต…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) ดื่มน้ำให้เพียงพอ …สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine : IOM) ระบุว่า …ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป …ต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกัน…ต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว (2) งดปรุงแต่งรสอาหารโดยไม่จำเป็น …ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ (3) ควบคุมน้ำหนักตัว และ…ความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน 7. สำไส้ : หลังอายุ 60 ปี …ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็ก…จะบางลง …ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามไปด้วย ~ จะยืดอายุลำไส้…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) กินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น… หลีกเลี่ยงอาหารทอด ปิ้ง ย่าง (2) กินโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน… เสริมโปรไบโอติก… เพิ่มปริมาณแบคทีเรียดีในลำไส้ (3) ฝึกโยคะ 4 ท่า …ช่วยระบบย่อยทุกเช้าหลังตื่นนอน …ดังนี้ ท่าแมว ท่าสุนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าสะพาน …และปิดท้ายด้วยท่าศพ …ครั้งละ 3-5 ลมหายใจ …แต่ละท่าทำ 5 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต 8. ผิวหนัง : หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี คอลลาเจน…และอิลาสติน…ในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1 ~ จะยืดอายุผิวหนัง…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) ทาครีมกันแดด…ที่มีส่วนผสมของไทเทเนียม…หรือสังกะสีเป็นประจำ (2) กินถั่วเปลือกแข็ง …ผลไม้ตระกูลส้ม…และเบอร์รี่ เป็นประจำ (3) มาร์คหน้าด้วยโยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต …หรือ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังออกแดดเสมอ 9. กระดูก : หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี…ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และ…จะมีอัตราลดลงเร็วขึ้น…เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ในเพศหญิง)…หรือ…เข้าสู่วัยทองในเพศชาย ~ จะยืดอายุกระดูก…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร (1) ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต (ถ้ากระดูกเข่าดี) (2) เพิ่มเมนูไทยๆ เปี่ยมแคลเซียม เช่น …น้ำพริกกะปิ…ปลาทูทอดกับ…ผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์ (3) ระวังการใช้ยาสเตียรอยด์…และยาลูกกลอน…ที่มีผลทำให้กระดูกพรุน…กระดูกแตกหักง่าย 10. กล้ามเนื้อ : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลง…และเปลี่ยนเป็นไขมัน …อัตรานั้นไม่สม่ำเสมอ…ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ~ จะยืดอายุกล้ามเนื้อ…ให้อยู่ยาวนานได้อย่างไร : (1) วิดพื้น สวอท ทำ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต (2) ยกน้ำหนัก ทำ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต # สุดท้าย การกินอาหาร…ควรกินอาหาร…ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง …เช่น ผักหลากสี …ผลไม้รสเปรี้ยว …รสฝาดขม …ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ตามปกติได้ …อย่าลืมเสริมด้วย …การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ …การทำสมาธิ …และหาโอกาสออกไปพักผ่อน…ท่ามกลางธรรมชาติ …เพื่อลดความเครียด (ความเครียด…เป็นตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) เท่านี้…ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ให้มีอายุใช้งานยาวนาน…ไปถึงวันตายได้เช่นกัน Cr. รศ. ดร. ภญ. อรพรรณ มาตังคสมบัติ อดีต คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • KAHR TP45
    Best Big Bore Concealed Carry Handgun ever!
    #kahrarms #kahrtp45

    โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง

    “เพจนี้ เพื่ออาวุธศึกษาและกีฬายิงปืน...ไม่ขายปืน ไม่ใช่พื้นที่โฆษณา!”

    เกริ่นนำ:

    ในบ้านเรา น้อยคนนักที่จะรู้จักคุ้นเคยปืนอเมริกัน “คาห์ร” หรือ Kahr ยี่ห้อใหม่ล่าที่เพิ่งเปิดตัวได้เมื่อ 23 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้น ผมนำประวัติเรื่องราวของปืนยี่ห้อนี้เขียนลงในนิตยสารปืนชื่อ Guns World ในประเทศไทย

    โดยภาพรวมแล้ว คาห์ร เป็นปืนดีนะครับ น่าซื้อใช้ คุณสมบัติเฉพาะตัว ก็คือ ความเพรียวบางมือ บางกว่าปืนยี่ห้อ กล็อค(Glock) ของออสเตรียด้วยซ้ำ, เป็นปืนพกออโตที่เหนี่ยวไกยิงอย่างเดียวเลยไม่ต้องง้างนก(DAO.: Double Action Only)ที่ไกเหนี่ยวน้าวได้นิ่มนวลเบานิ้วมือมากจริงๆ, และ คุณสมบัติตัวปืนโดยรวมโดดเด่นกว่าปืนอื่นอย่างชัดเจน

    นาย จันติน มูน(Justin Moon) สัญชาติอเมริกันเชื้อสายเกาหลีใต้ ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตปืน คาห์ร อาร์มส์(Kahr Arms) ปีค.ศ.1993 ได้ออกแบบตัวปืนและระบบลั่นไกไว้เมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย

    แรงบันดาลใจเกิดขึ้นจากการที่พบว่า ปืนพกออโตฯที่มีจำหน่ายในตลาดไม่มีคุณสมบัติตรงกับที่เขาต้องการ กล่าวคือ ตัวปืนหนาและหนักเกินกว่าจะพกซ่อนเนียนเสื้อได้ตลอดวัน นอกนั้น ปฏิบัติการตัวปืนพร้อมทั้งระบบลั่นไกหนักมือชนิดที่เรียกว่าจะเหนี่ยวไกยิงทีหนึ่งตัวปืนสั่นไหวทั้งกระบอก

    ปืนรุ่นแรกที่ผลิตสู่ตลาด คือ เค-9 (Kahr K9) ในปีค.ศ.1994

    - ปืนพกกึ่งอัตโนมัติกระบอกเล็กกระทัดและบางเบา
    - ตัวปืนยาวตลอด 6.0 นิ้วฟุต หนา 0.9 นิ้วฟุต วัดส่วนสูงจากส้นด้ามจรดสันศูนย์หลัง 4.5 นิ้วฟุต ลำกล้องปืนยาว 3.5 นิ้วฟุต
    - น้ำหนักทั้งกระบอกมีเพียง 650 กรัม(ไม่บรรุจกระสุน)
    - ใช้กระสุนเก้ามอมอพาราฯหรือ 9x19mm Parabellum บรรจุในแมกกาซีน 7 นัด และอีก 1 นัดในลำกล้องปืน
    - ครอบลำเลื่อนผลิตจากเหล็ก 4130 โครงปืนเป็นเหล็กคาร์บอนผสม 4140 น้ำหนักเบา

    ได้รับความนิยมแพร่หลายให้เป็นปืนสำรองนอกเครื่องแบบ(Back-up weapon)จากตำรวจมลรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา (ปีค.ศ.2003) จนได้รับขนานนามว่า มูนนี่กันส์(Moonie Gun) เพราะออกแบบโดยนายจัสติน มูน นั่นเอง

    นับจากปีก่อตั้ง คาห์ร อาร์มส์ ผลิตปืนเป็นล่ำเป็นสันในปี 1995 ต่อมาในปีค.ศ.1999 เข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ ออโต้-อ๊อดแนนซ์(Auto-Ordnance) พอในปี 2013 ซื้อที่ดินจำนวน 1,568 ไร่ในมลรัฐเพนซิลวาเนีย เพื่อตั้งโรงงานผลิตปืน และประกาศยกสถานะขึ้นเป็นกลุ่มบริษัท คาห์ร ไฟร์อาร์มส์ อย่างเป็นทางการในปี 2015

    ปัจจุบัน คาห์ร ไฟร์อาร์มส์(Kahr Firearms) ผลิตและจัดจำหน่ายปืนของอเมริกัน 2-3 ยี่ห้อ ได้แก่ คาห์ร(Kahr), ธอมสัน(Thomson), แม็กนั่มรีเสิร์ช(Magnum Research), ออโต้-อ๊อดแนนซ์(Auto-Ordnance) โดยที่ คาห์ร อาร์มส์ เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทนี้

    นวัตกรรม:

    สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น นวัตกรรม(Innovation) ของวงการปืนโลก ได้แก่

    หนึ่ง-ตัวปืนบางไม่ถึงหนึ่งนิ้วฟุต(ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน),
    สอง-น้ำหนักเบามาก คือ ไม่ถึง 800 กรัม,
    สาม-ตัวปืนทั้งกระบอกเล็กกระทัดมากกว่าที่เคยมีในตลาดปืน(โดยเฉพาะยิงด้วยกระสุนเก้ามอมอพาราฯ),
    สี่-เป็นปืนพกออโตฯระบบเหนี่ยวไกยิงทุกนัดที่ไม่มีนกสับหรือ Hammerless/Double-Action Only ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน,
    ห้า-ระบบลั่นไกโดยใช้ลูกเบี้ยว(Cam.) 2 ตัวทำหน้าที่ดันสลักล็อคเข็มแทงชนวนและผลักเข็มแทงชนวนถอยหลังประมาณหนึ่งในสามของระยะถอยร่น,
    หก-มีระบบนิรภัยล็อคเข็มแทงชนวน(Firing Pin Block Drop Safety) ป้องกันอุบัติเหตุปืนลั่นจากกรณีปืนตกกระแทกพื้น ของแข็ง หรือแม้แต่ใช้ค้อนตกทุบ ภายหลังที่ขึ้นลำเลื่อนแล้ว, และ
    เจ็ด-น้ำหนักน้าวไกปืนเบาและนิ่มนวลราบเรียบที่สุดเท่าที่ปืนออโตฯเคยผลิตมา

    คาห์ร ทีพี45:

    สินค้าใหม่ล่าจาก คาห์รอาร์มส์ ซึ่งนาย มาสซาส อะยูบ(Massad Ayoob) สรุปความเห็นไว้ว่า เป็นปืนที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างหลากหลาย จุดเด่นอยู่ที่นวัตกรรม น้ำหนักเหนี่ยวน้าวไกเบาและนิ่มนวลที่สุด และแม่นยำเกินตัว กลุ่มกระสุนดีที่สุดในระยะยิง 25 หลา(22.86 เมตร) คือ 1.95 นิ้วฟุต จากลูกของ Speer Gold Dot หัวกระสุนหนัก 230 เกรน (14.90 กรัม)

    นั่นคือ ความเห็นหลังทดสอบยิงจากเซียนปืนชื่อดังคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ.2011

    รหัสผลิตเต็มๆของปืน คาห์ร รุ่นนี้ คือ TP4543N มีความหมายว่า

    T = Tactical เน้นที่ศูนย์ปืนแบบยิงต่อสู้,
    P = Polymer Frame โครงปืนวัสดุผสมโพลิเม่อร์ เน้นน้ำหนักเบาทั้งกระบอกสะดวกต่อการพกพาติดตัวไม่เป็นภาระหนักเอวตลอดวัน,
    45 = คือ ขนาดกระสุน .45 ACP (Automatic Colt Pistol),
    43 = คือ ลำกล้องยาว 4 นิ้วฟุต และ ครอบลำเลื่อนเป็นสแตนเลสขาวด้าน(Matte Stainless Steel),
    N = คือ ศูนย์ปืนแบบเรืองแสงสำหรับยิงในบริเวณที่แสงสลัว(Tritium Night Sights)

    รายละเอียดตัวปืน:

    ปืนพกกึ่งอัตโนมัติปฏิบัติการรีคอลย์ของเบราว์นิ่ง(Browning-type Recoil Operation) โคนลำกล้องถอยร่นลดตัวลงขัดกลอนโดยไม่ใช้หูโตงเตง(Lock Breech Recoil Lug) ระบบเหนี่ยวไกยิงทุกนัด-ไม่มีนกในตัวปืน(Double-Action Only – Hammerless) เข็มแทงชนวนนิรภัยแบบ Passive Striker Block ป้องกันปืนลั่น 100% จากอุบัติเหตุปืนตกหล่นหรือถูกทุบกระแทก

    ตัวปืนยาวตลอด 6.57 นิ้วฟุต หนา 1.01 นิ้วฟุต สูงวัดจากส้นด้ามจรดศูนย์หลัง 5.25 นิ้วฟุต ครอบลำเลื่อนทำจากเหล็กสแตนเลส โครงปืนผลิตจากวัสดุผสมโพลิเม่อร์สีดำ สันหลังด้ามโค้งเข้าอุ้งมือ สลักลายกันลื่นจุดเหลี่ยมคมด้านหน้า/หลังด้ามปืน น้ำหนักตัวปืน 590 กรัม(ไม่บรรจุกระสุน) ลำกล้องยาว 4.04 นิ้วฟุต เกลียวลำกล้องแบบสันนูน(Polygonal Rifling) หมุนขวา เกลียวหมุนครบ 1 รอบในระยะ 16.38 นิ้วฟุต

    ศูนย์หน้า/หลังสไตล์ปืนยิงต่อสู้ ทรงเตี้ย แต้มจุดเรืองแสง(Combat Low-Profile/Tritium Night Sights) ทั้งศูนย์หน้าและศูนย์หลังปรับซ้าย/ขวาได้โดยการเคาะเลื่อนแท่นศูนย์ ตัวปืนไม่มีระบบห้ามไกโดยแมกกาซีนปืน ไม่มีคันห้ามไก มีคันปลดล็อคลำเลื่อน ตามสไตล์ปืน DAO. กระสุนขนาด .45 ACP(Automatic Colt Pistol)หรือสิบเอ็ดมอมอ แมกกาซีนแถวเดียวบรรจุกระสุน 7 นัดและอีก 1 นัดในลำกล้อง

    ระบบห้ามไก(Safety)ปลอดภัย 100% แม้จะขึ้นลำเลื่อนบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงแล้วก็ตาม ถ้าไม่เหนี่ยวไกปืนจนสุดช่วง ต่อให้ใช้ค้อนตอกหรือปืนหล่นกระแทกพื้นคอนกรีตปืนก็จะไม่ลั่น เพราะใช้ระบบล็อคเข็มแทงชนวนหรือ Passive Striker Block

    กล่าวคือ เมื่อขึ้นลำเลื่อนจะเท่ากับดันสปริงเข็มแทงชนวนหดตัวลงในระยะ 3 ใน 4 แล้วสลักนิรภัยจะล็อคเข็มแทงชนวนไว้ ขณะที่ผู้ยิงน้าวไกปืนเข้ามาหาตัวในลักษณะพร้อมยิง กระเดื่องไกปืนผลักดันให้ลูกเบี้ยว(Cam)สองตัวหมุนยกจมูกลูกเบี้ยวขึ้น ตัวหนึ่งดันสลักล็อคเข็มแทงชนวนขึ้นเพื่อปลดล็อค ขณะที่จมูกลูกเบี้ยวอีกตัวหนึ่งผลักดันเข็มแทงชนวนให้ถอยหลังสุดช่วงแล้วปล่อยให้วิ่งกระแทกแก้ปท้ายกระสุน นี่เป็นนวัตกรรมที่ คาห์รอาร์มส์ คิดค้นและจดลิขสิทธิ์แบบไว้

    คุณสมบัติเด่นตัวปืน:

    หนึ่ง- ปืนพกออโตฯ กระบอกกะทัดรัด เพรียวบางและเบามือ ลำกล้องยาว 4 นิ้วฟุต ใช้กระสุนสิบเอ็ดมอมอ บรรจุ 7+1 นัด
    สอง- เกลียวลำกล้องแบบสันนูน(Polygonal Rifling)ที่ทำให้ยิงได้แม่นยำเกินตัว แม้จะไม่ใช้ปืนระบบแข่งขันก็ตามความเร็วกระสุนสูงกว่าปืนอื่นที่ใช้เกลียวลำกล้องแบบสันคมและมีความยาวเท่ากัน
    สาม- ไกปืนเหนี่ยวน้าวได้เบาและลากได้นิ่มนวลนิ้วมือที่สุด โดยน้ำหนักเหนี่ยวน้าวสม่ำเสมอและไม่สะดุดตลอดช่วงลากไก
    สี่- เป็นปืนพกออโตฯเพื่องานต่อสู้ พกซ่อนเนียนเสื้อได้ตลอดวันโดยไม่รู้สึกหนักเอวเกะกะเป็นภาระ คล่องตัวสูงมาก เพราะกะทัดรัดเพรียวบางมือ ศูนย์ปืนแบบจุดเรืองแสง(Tritium Night Sights)

    ข้อที่ควรพิจารณา:

    TP45 ต่างจาก CT45 ตรงที่เป็น Tactical ขณะที่ CT เน้นพกซ่อนเนียนเสื้อหรือ Concealed Handgun มากกว่า T45 เป็นปืนดีที่หายากมากในตลาดปืนเมืองไทย ออกแบบไว้สำหรับยิงต่อสู้ และพกติดตัวทั้งซองนอกซองในมากกว่าใช้ยิงเล่นในสนามยิงปืน โรงงานผลิตจึงไม่แนะนำให้ยิงด้วยกระสุนซ้อมสนาม แต่สามารถยิงกระสุนลูกจริง(ที่ผลิตจากโรงงานกระสุน)ได้ทุกแบบ รวมทั้งประเภท +P+ โดยตัวปืนไม่ชำรุดเสียหาย ขณะเดียวกัน ก็สามารถนำไปยิงแข่งในระบบยิงต่อสู้ฉับพลัน เช่น IDPA ได้ดีเช่นกัน

    Kahr TP45 เป็น Civilian Handgun เน้นใช้งานในเมืองและชนบทมากกว่า จึงไม่ใช่ปืนทหารใช้งานในสมรภูมิรบ ตามวิสัยของปืนโครงโพลิเม่อร์ทั่วไป

    %%%%%%%%%%%%

    KAHR TP45 Best Big Bore Concealed Carry Handgun ever! #kahrarms #kahrtp45 โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง “เพจนี้ เพื่ออาวุธศึกษาและกีฬายิงปืน...ไม่ขายปืน ไม่ใช่พื้นที่โฆษณา!” เกริ่นนำ: ในบ้านเรา น้อยคนนักที่จะรู้จักคุ้นเคยปืนอเมริกัน “คาห์ร” หรือ Kahr ยี่ห้อใหม่ล่าที่เพิ่งเปิดตัวได้เมื่อ 23 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้น ผมนำประวัติเรื่องราวของปืนยี่ห้อนี้เขียนลงในนิตยสารปืนชื่อ Guns World ในประเทศไทย โดยภาพรวมแล้ว คาห์ร เป็นปืนดีนะครับ น่าซื้อใช้ คุณสมบัติเฉพาะตัว ก็คือ ความเพรียวบางมือ บางกว่าปืนยี่ห้อ กล็อค(Glock) ของออสเตรียด้วยซ้ำ, เป็นปืนพกออโตที่เหนี่ยวไกยิงอย่างเดียวเลยไม่ต้องง้างนก(DAO.: Double Action Only)ที่ไกเหนี่ยวน้าวได้นิ่มนวลเบานิ้วมือมากจริงๆ, และ คุณสมบัติตัวปืนโดยรวมโดดเด่นกว่าปืนอื่นอย่างชัดเจน นาย จันติน มูน(Justin Moon) สัญชาติอเมริกันเชื้อสายเกาหลีใต้ ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตปืน คาห์ร อาร์มส์(Kahr Arms) ปีค.ศ.1993 ได้ออกแบบตัวปืนและระบบลั่นไกไว้เมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แรงบันดาลใจเกิดขึ้นจากการที่พบว่า ปืนพกออโตฯที่มีจำหน่ายในตลาดไม่มีคุณสมบัติตรงกับที่เขาต้องการ กล่าวคือ ตัวปืนหนาและหนักเกินกว่าจะพกซ่อนเนียนเสื้อได้ตลอดวัน นอกนั้น ปฏิบัติการตัวปืนพร้อมทั้งระบบลั่นไกหนักมือชนิดที่เรียกว่าจะเหนี่ยวไกยิงทีหนึ่งตัวปืนสั่นไหวทั้งกระบอก ปืนรุ่นแรกที่ผลิตสู่ตลาด คือ เค-9 (Kahr K9) ในปีค.ศ.1994 - ปืนพกกึ่งอัตโนมัติกระบอกเล็กกระทัดและบางเบา - ตัวปืนยาวตลอด 6.0 นิ้วฟุต หนา 0.9 นิ้วฟุต วัดส่วนสูงจากส้นด้ามจรดสันศูนย์หลัง 4.5 นิ้วฟุต ลำกล้องปืนยาว 3.5 นิ้วฟุต - น้ำหนักทั้งกระบอกมีเพียง 650 กรัม(ไม่บรรุจกระสุน) - ใช้กระสุนเก้ามอมอพาราฯหรือ 9x19mm Parabellum บรรจุในแมกกาซีน 7 นัด และอีก 1 นัดในลำกล้องปืน - ครอบลำเลื่อนผลิตจากเหล็ก 4130 โครงปืนเป็นเหล็กคาร์บอนผสม 4140 น้ำหนักเบา ได้รับความนิยมแพร่หลายให้เป็นปืนสำรองนอกเครื่องแบบ(Back-up weapon)จากตำรวจมลรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา (ปีค.ศ.2003) จนได้รับขนานนามว่า มูนนี่กันส์(Moonie Gun) เพราะออกแบบโดยนายจัสติน มูน นั่นเอง นับจากปีก่อตั้ง คาห์ร อาร์มส์ ผลิตปืนเป็นล่ำเป็นสันในปี 1995 ต่อมาในปีค.ศ.1999 เข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ ออโต้-อ๊อดแนนซ์(Auto-Ordnance) พอในปี 2013 ซื้อที่ดินจำนวน 1,568 ไร่ในมลรัฐเพนซิลวาเนีย เพื่อตั้งโรงงานผลิตปืน และประกาศยกสถานะขึ้นเป็นกลุ่มบริษัท คาห์ร ไฟร์อาร์มส์ อย่างเป็นทางการในปี 2015 ปัจจุบัน คาห์ร ไฟร์อาร์มส์(Kahr Firearms) ผลิตและจัดจำหน่ายปืนของอเมริกัน 2-3 ยี่ห้อ ได้แก่ คาห์ร(Kahr), ธอมสัน(Thomson), แม็กนั่มรีเสิร์ช(Magnum Research), ออโต้-อ๊อดแนนซ์(Auto-Ordnance) โดยที่ คาห์ร อาร์มส์ เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทนี้ นวัตกรรม: สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น นวัตกรรม(Innovation) ของวงการปืนโลก ได้แก่ หนึ่ง-ตัวปืนบางไม่ถึงหนึ่งนิ้วฟุต(ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน), สอง-น้ำหนักเบามาก คือ ไม่ถึง 800 กรัม, สาม-ตัวปืนทั้งกระบอกเล็กกระทัดมากกว่าที่เคยมีในตลาดปืน(โดยเฉพาะยิงด้วยกระสุนเก้ามอมอพาราฯ), สี่-เป็นปืนพกออโตฯระบบเหนี่ยวไกยิงทุกนัดที่ไม่มีนกสับหรือ Hammerless/Double-Action Only ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน, ห้า-ระบบลั่นไกโดยใช้ลูกเบี้ยว(Cam.) 2 ตัวทำหน้าที่ดันสลักล็อคเข็มแทงชนวนและผลักเข็มแทงชนวนถอยหลังประมาณหนึ่งในสามของระยะถอยร่น, หก-มีระบบนิรภัยล็อคเข็มแทงชนวน(Firing Pin Block Drop Safety) ป้องกันอุบัติเหตุปืนลั่นจากกรณีปืนตกกระแทกพื้น ของแข็ง หรือแม้แต่ใช้ค้อนตกทุบ ภายหลังที่ขึ้นลำเลื่อนแล้ว, และ เจ็ด-น้ำหนักน้าวไกปืนเบาและนิ่มนวลราบเรียบที่สุดเท่าที่ปืนออโตฯเคยผลิตมา คาห์ร ทีพี45: สินค้าใหม่ล่าจาก คาห์รอาร์มส์ ซึ่งนาย มาสซาส อะยูบ(Massad Ayoob) สรุปความเห็นไว้ว่า เป็นปืนที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างหลากหลาย จุดเด่นอยู่ที่นวัตกรรม น้ำหนักเหนี่ยวน้าวไกเบาและนิ่มนวลที่สุด และแม่นยำเกินตัว กลุ่มกระสุนดีที่สุดในระยะยิง 25 หลา(22.86 เมตร) คือ 1.95 นิ้วฟุต จากลูกของ Speer Gold Dot หัวกระสุนหนัก 230 เกรน (14.90 กรัม) นั่นคือ ความเห็นหลังทดสอบยิงจากเซียนปืนชื่อดังคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ.2011 รหัสผลิตเต็มๆของปืน คาห์ร รุ่นนี้ คือ TP4543N มีความหมายว่า T = Tactical เน้นที่ศูนย์ปืนแบบยิงต่อสู้, P = Polymer Frame โครงปืนวัสดุผสมโพลิเม่อร์ เน้นน้ำหนักเบาทั้งกระบอกสะดวกต่อการพกพาติดตัวไม่เป็นภาระหนักเอวตลอดวัน, 45 = คือ ขนาดกระสุน .45 ACP (Automatic Colt Pistol), 43 = คือ ลำกล้องยาว 4 นิ้วฟุต และ ครอบลำเลื่อนเป็นสแตนเลสขาวด้าน(Matte Stainless Steel), N = คือ ศูนย์ปืนแบบเรืองแสงสำหรับยิงในบริเวณที่แสงสลัว(Tritium Night Sights) รายละเอียดตัวปืน: ปืนพกกึ่งอัตโนมัติปฏิบัติการรีคอลย์ของเบราว์นิ่ง(Browning-type Recoil Operation) โคนลำกล้องถอยร่นลดตัวลงขัดกลอนโดยไม่ใช้หูโตงเตง(Lock Breech Recoil Lug) ระบบเหนี่ยวไกยิงทุกนัด-ไม่มีนกในตัวปืน(Double-Action Only – Hammerless) เข็มแทงชนวนนิรภัยแบบ Passive Striker Block ป้องกันปืนลั่น 100% จากอุบัติเหตุปืนตกหล่นหรือถูกทุบกระแทก ตัวปืนยาวตลอด 6.57 นิ้วฟุต หนา 1.01 นิ้วฟุต สูงวัดจากส้นด้ามจรดศูนย์หลัง 5.25 นิ้วฟุต ครอบลำเลื่อนทำจากเหล็กสแตนเลส โครงปืนผลิตจากวัสดุผสมโพลิเม่อร์สีดำ สันหลังด้ามโค้งเข้าอุ้งมือ สลักลายกันลื่นจุดเหลี่ยมคมด้านหน้า/หลังด้ามปืน น้ำหนักตัวปืน 590 กรัม(ไม่บรรจุกระสุน) ลำกล้องยาว 4.04 นิ้วฟุต เกลียวลำกล้องแบบสันนูน(Polygonal Rifling) หมุนขวา เกลียวหมุนครบ 1 รอบในระยะ 16.38 นิ้วฟุต ศูนย์หน้า/หลังสไตล์ปืนยิงต่อสู้ ทรงเตี้ย แต้มจุดเรืองแสง(Combat Low-Profile/Tritium Night Sights) ทั้งศูนย์หน้าและศูนย์หลังปรับซ้าย/ขวาได้โดยการเคาะเลื่อนแท่นศูนย์ ตัวปืนไม่มีระบบห้ามไกโดยแมกกาซีนปืน ไม่มีคันห้ามไก มีคันปลดล็อคลำเลื่อน ตามสไตล์ปืน DAO. กระสุนขนาด .45 ACP(Automatic Colt Pistol)หรือสิบเอ็ดมอมอ แมกกาซีนแถวเดียวบรรจุกระสุน 7 นัดและอีก 1 นัดในลำกล้อง ระบบห้ามไก(Safety)ปลอดภัย 100% แม้จะขึ้นลำเลื่อนบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงแล้วก็ตาม ถ้าไม่เหนี่ยวไกปืนจนสุดช่วง ต่อให้ใช้ค้อนตอกหรือปืนหล่นกระแทกพื้นคอนกรีตปืนก็จะไม่ลั่น เพราะใช้ระบบล็อคเข็มแทงชนวนหรือ Passive Striker Block กล่าวคือ เมื่อขึ้นลำเลื่อนจะเท่ากับดันสปริงเข็มแทงชนวนหดตัวลงในระยะ 3 ใน 4 แล้วสลักนิรภัยจะล็อคเข็มแทงชนวนไว้ ขณะที่ผู้ยิงน้าวไกปืนเข้ามาหาตัวในลักษณะพร้อมยิง กระเดื่องไกปืนผลักดันให้ลูกเบี้ยว(Cam)สองตัวหมุนยกจมูกลูกเบี้ยวขึ้น ตัวหนึ่งดันสลักล็อคเข็มแทงชนวนขึ้นเพื่อปลดล็อค ขณะที่จมูกลูกเบี้ยวอีกตัวหนึ่งผลักดันเข็มแทงชนวนให้ถอยหลังสุดช่วงแล้วปล่อยให้วิ่งกระแทกแก้ปท้ายกระสุน นี่เป็นนวัตกรรมที่ คาห์รอาร์มส์ คิดค้นและจดลิขสิทธิ์แบบไว้ คุณสมบัติเด่นตัวปืน: หนึ่ง- ปืนพกออโตฯ กระบอกกะทัดรัด เพรียวบางและเบามือ ลำกล้องยาว 4 นิ้วฟุต ใช้กระสุนสิบเอ็ดมอมอ บรรจุ 7+1 นัด สอง- เกลียวลำกล้องแบบสันนูน(Polygonal Rifling)ที่ทำให้ยิงได้แม่นยำเกินตัว แม้จะไม่ใช้ปืนระบบแข่งขันก็ตามความเร็วกระสุนสูงกว่าปืนอื่นที่ใช้เกลียวลำกล้องแบบสันคมและมีความยาวเท่ากัน สาม- ไกปืนเหนี่ยวน้าวได้เบาและลากได้นิ่มนวลนิ้วมือที่สุด โดยน้ำหนักเหนี่ยวน้าวสม่ำเสมอและไม่สะดุดตลอดช่วงลากไก สี่- เป็นปืนพกออโตฯเพื่องานต่อสู้ พกซ่อนเนียนเสื้อได้ตลอดวันโดยไม่รู้สึกหนักเอวเกะกะเป็นภาระ คล่องตัวสูงมาก เพราะกะทัดรัดเพรียวบางมือ ศูนย์ปืนแบบจุดเรืองแสง(Tritium Night Sights) ข้อที่ควรพิจารณา: TP45 ต่างจาก CT45 ตรงที่เป็น Tactical ขณะที่ CT เน้นพกซ่อนเนียนเสื้อหรือ Concealed Handgun มากกว่า T45 เป็นปืนดีที่หายากมากในตลาดปืนเมืองไทย ออกแบบไว้สำหรับยิงต่อสู้ และพกติดตัวทั้งซองนอกซองในมากกว่าใช้ยิงเล่นในสนามยิงปืน โรงงานผลิตจึงไม่แนะนำให้ยิงด้วยกระสุนซ้อมสนาม แต่สามารถยิงกระสุนลูกจริง(ที่ผลิตจากโรงงานกระสุน)ได้ทุกแบบ รวมทั้งประเภท +P+ โดยตัวปืนไม่ชำรุดเสียหาย ขณะเดียวกัน ก็สามารถนำไปยิงแข่งในระบบยิงต่อสู้ฉับพลัน เช่น IDPA ได้ดีเช่นกัน Kahr TP45 เป็น Civilian Handgun เน้นใช้งานในเมืองและชนบทมากกว่า จึงไม่ใช่ปืนทหารใช้งานในสมรภูมิรบ ตามวิสัยของปืนโครงโพลิเม่อร์ทั่วไป %%%%%%%%%%%%
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กลอน
    #บทกวี
    #ท่านจันทร์
    #รักธรรมะ
    #ข้อคิด
    #thaitimes

    #กลอน #บทกวี #ท่านจันทร์ #รักธรรมะ #ข้อคิด #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimes
    #กลอน
    #บทกวี
    #ท่านจันทร์
    #รักธรรมะ
    #กินเจ

    บทกวีโดยท่านจันทร์
    #thaitimes #กลอน #บทกวี #ท่านจันทร์ #รักธรรมะ #กินเจ บทกวีโดยท่านจันทร์
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimes
    #กลอน
    #บทกวี
    #กินเจ
    #รักธรรมะ
    #ท่านจันทร์
    #thaitimes #กลอน #บทกวี #กินเจ #รักธรรมะ #ท่านจันทร์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • #รักธรรมะ
    #ท่านจันทร์
    #กลอน
    #บทกวี
    #ข้อคิด
    #thaitimes
    #รักธรรมะ #ท่านจันทร์ #กลอน #บทกวี #ข้อคิด #thaitimes
    Like
    Yay
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts