• “เฉลิม” ปัดข่าวร่วมซักฟอก “อุ๊งอิ๊ง” ชี้ ไม่อยากให้ สส.เพื่อไทย อึดอัดใจ แม้มีปัญหากับนายใหญ่ แปลกใจกระแสข่าว แต่ยันไปสภาแน่

    วันนี้ (23 มี.ค.) หลังมีกระแสข่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้น ล่าสุด มีรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และรู้สึกแปลกใจกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เพราะในขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม เอง ยังอยู่พรรคเพื่อไทย จะไปร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร คงไม่เหมาะสม

    ทั้งนี้ แหล่งข่าวใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิม เปิดเผยว่า ทาง ร.ต.อ.เฉลิม จะไปร่วมประชุมสภาตามปกติในวันที่ 24 และ 25 มีนาคม นี้ แต่จะไม่ร่วมอภิปราย แม้จะมีความขัดแย้งกับตระกูลชินวัตร แต่เมื่อยังอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย เพราะถ้าจะไปร่วมอภิปราย อาจจะทำให้เกิดการประท้วง และทำให้ สส.พรรคเพื่อไทย อึดอัดใจได้ เนื่องจากหลายคนยังให้ความเคารพ นับถือกันอยู่

    #MGROnline #เฉลิมอยู่บำรุง #พรรคเพื่อไทย
    “เฉลิม” ปัดข่าวร่วมซักฟอก “อุ๊งอิ๊ง” ชี้ ไม่อยากให้ สส.เพื่อไทย อึดอัดใจ แม้มีปัญหากับนายใหญ่ แปลกใจกระแสข่าว แต่ยันไปสภาแน่ • วันนี้ (23 มี.ค.) หลังมีกระแสข่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้น ล่าสุด มีรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และรู้สึกแปลกใจกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เพราะในขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม เอง ยังอยู่พรรคเพื่อไทย จะไปร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร คงไม่เหมาะสม • ทั้งนี้ แหล่งข่าวใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิม เปิดเผยว่า ทาง ร.ต.อ.เฉลิม จะไปร่วมประชุมสภาตามปกติในวันที่ 24 และ 25 มีนาคม นี้ แต่จะไม่ร่วมอภิปราย แม้จะมีความขัดแย้งกับตระกูลชินวัตร แต่เมื่อยังอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย เพราะถ้าจะไปร่วมอภิปราย อาจจะทำให้เกิดการประท้วง และทำให้ สส.พรรคเพื่อไทย อึดอัดใจได้ เนื่องจากหลายคนยังให้ความเคารพ นับถือกันอยู่ • #MGROnline #เฉลิมอยู่บำรุง #พรรคเพื่อไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ เข้าพรรคเพื่อไทย ร่วมประชุม สส. ถามหาสายโหด “ชลน่าน-สุทิน” มีใครอยากซ้อมอภิปราย รับ ตื่นเต้น ถูกซักฟอกครั้งแรก บอก สส.เฝ้าไลน์กรุ๊ป เผื่อขอความช่วยเหลือ ด้าน “วิสุทธิ์” ยืนกราน ให้เวลา 2 วัน ฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง กำชับ สส.ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามขาด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025968
    นายกฯ เข้าพรรคเพื่อไทย ร่วมประชุม สส. ถามหาสายโหด “ชลน่าน-สุทิน” มีใครอยากซ้อมอภิปราย รับ ตื่นเต้น ถูกซักฟอกครั้งแรก บอก สส.เฝ้าไลน์กรุ๊ป เผื่อขอความช่วยเหลือ ด้าน “วิสุทธิ์” ยืนกราน ให้เวลา 2 วัน ฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง กำชับ สส.ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามขาด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025968
    Sad
    1
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 703 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทักษิณ” กราบหลวงพ่อพุทธชินราช ขึ้นเวทีพบปะมวลชนเสื้อแดง กลางศึกเลือกตั้งนายกฯนครพิษณุโลก จ้อจะซื้อหนี้ประชาชน ล้างข้อมูลเครดิตบูโรทั้งหมด ใครเป็นหนี้ไม่ต้องชำระ ให้คนเริ่มต้นใหม่ แบบรัฐไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว บอกพรรคเพื่อไทย คิดจะทำเหรียญดิจิทัล แต่แบงก์ชาติขวางจนต้องหยุด จวกทหารทำเลอะ เหมือนบ้านพังถึงคานคอดิน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025566
    “ทักษิณ” กราบหลวงพ่อพุทธชินราช ขึ้นเวทีพบปะมวลชนเสื้อแดง กลางศึกเลือกตั้งนายกฯนครพิษณุโลก จ้อจะซื้อหนี้ประชาชน ล้างข้อมูลเครดิตบูโรทั้งหมด ใครเป็นหนี้ไม่ต้องชำระ ให้คนเริ่มต้นใหม่ แบบรัฐไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว บอกพรรคเพื่อไทย คิดจะทำเหรียญดิจิทัล แต่แบงก์ชาติขวางจนต้องหยุด จวกทหารทำเลอะ เหมือนบ้านพังถึงคานคอดิน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025566
    Like
    Angry
    Sad
    Haha
    Wow
    10
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 689 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สนธิ" ชี้ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร ขึ้นอยู่กับสองพรรคใหญ่เพื่อไทย-ภูมิใจไทย การเมืองไทยประชาธิปไตย 4 วินาที พูดต่อหน้าจับมือลับหลัง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยสำหรับสถานการณ์การเมือง และฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ขึ้นอยู่กับว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยจะคุยกันได้หรือไม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยต้องการงบอุดหนุน "โมโตจีพี 500 ล้าน" ถ้าให้ไปไม่น่าจะมีปัญหา ตนคิดว่าหากเรามองการเมืองไทยแบบไร้เดียงสา เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนการไปสนใจเฉพาะต้นไม้ต้นเดียวไม่มองทั้งป่า และทุกวันนี้การเมืองไทยไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเมืองไทย มีแต่ประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ล่าสุดที่ได้ติดตามข่าว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โวยวายว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกแล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000025365

    #MGROnline #สนธิ #แพทองธาร
    "สนธิ" ชี้ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร ขึ้นอยู่กับสองพรรคใหญ่เพื่อไทย-ภูมิใจไทย การเมืองไทยประชาธิปไตย 4 วินาที พูดต่อหน้าจับมือลับหลัง • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยสำหรับสถานการณ์การเมือง และฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ขึ้นอยู่กับว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยจะคุยกันได้หรือไม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยต้องการงบอุดหนุน "โมโตจีพี 500 ล้าน" ถ้าให้ไปไม่น่าจะมีปัญหา ตนคิดว่าหากเรามองการเมืองไทยแบบไร้เดียงสา เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนการไปสนใจเฉพาะต้นไม้ต้นเดียวไม่มองทั้งป่า และทุกวันนี้การเมืองไทยไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเมืองไทย มีแต่ประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ล่าสุดที่ได้ติดตามข่าว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โวยวายว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกแล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000025365 • #MGROnline #สนธิ #แพทองธาร
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน"

    เรียกเสียงวิจารณ์ในสังคม ถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย คราวนี้เป็นคิวของผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน โดยอ้างว่ามีความพร้อมรู้ทางเทคโนโลยี ที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 มี.ค. เห็นชอบหลักการดังกล่าว ซึ่งครั้งนี้แจกเงินผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล วอลเล็ต บนแอปพลิเคชันทางรัฐ คาดว่าจะดำเนินการในช่วงปลายไตรมาส 2 ควบไตรมาส 3 ของปี 2568

    ส่วนกลุ่มอายุ 21-59 ปี ที่ยังไม่ได้รับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้กันเงินไว้ 150,000 ล้านบาท มีกระสุนไว้เพียงพอ มีไว้เยอะ รัฐบาลใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า ยืนยันว่าการเลือกแจกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีสูง มีความสามารถในการใช้จ่ายในแบบนี้ ด้วยจำนวนเงินช่วงเวลาที่เหมาะสม

    อย่างไรก็ตาม การแจกเงินหมื่นเฟสนี้กลายเป็นที่สับสนแก่สังคม เพราะทีแรกแถลงข่าวว่า สามารถจ่ายค่าเทอมได้ แต่วันต่อมา กลับกล่าวว่าไม่ได้ เพราะค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าบริการต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ถือว่าเป็นค่าบริการ ไม่รวมอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังก็อ้างว่าสื่อถามเร็วไปหน่อย ประจัญหน้าไปหน่อย คราวหน้าส่งคำถามมาก่อน อย่างไรก็ตาม ยังคงสามารถนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าประเภทอื่นได้อยู่แล้ว

    ไม่นับรวมเสียงวิจารณ์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่รอรัฐบาลแจกเงินแล้วยังไม่ได้ และผลพิสูจน์โครงการแจกเงิน 2 เฟสที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ 14.5 ล้านคน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 3.02 ล้านคน รวม 17.5 ล้านคน แม้จะเป็นการโอนเงินสดเข้าบัญชีธนาคาร ผ่านระบบพร้อมเพย์เลขที่บัตรประชาชนก็ตาม ก็ไม่ได้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง ธนาคารโลก (World Bank) ยังระบุว่ากระตุ้น GDP ได้เพียง 0.3% แต่มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือ 0.8% ของ GDP

    ขณะที่ชาวเน็ตยังคงแชร์ดิจิทัลฟุตปรินต์ แล้ววิจารณ์อย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นเป็นคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร กล่าวในรายการ CARE Talk เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2565 ระบุว่า "เติมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ทำอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจแข็งแรง ทำเรื่องง่าย หรือยังขายวัคซีนไม่จบ" ซึ่งเป็นการแซะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่กลายเป็นว่าพอพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี กลับทำเสียเอง

    #Newskit
    "เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน" เรียกเสียงวิจารณ์ในสังคม ถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย คราวนี้เป็นคิวของผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน โดยอ้างว่ามีความพร้อมรู้ทางเทคโนโลยี ที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 มี.ค. เห็นชอบหลักการดังกล่าว ซึ่งครั้งนี้แจกเงินผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล วอลเล็ต บนแอปพลิเคชันทางรัฐ คาดว่าจะดำเนินการในช่วงปลายไตรมาส 2 ควบไตรมาส 3 ของปี 2568 ส่วนกลุ่มอายุ 21-59 ปี ที่ยังไม่ได้รับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้กันเงินไว้ 150,000 ล้านบาท มีกระสุนไว้เพียงพอ มีไว้เยอะ รัฐบาลใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า ยืนยันว่าการเลือกแจกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีสูง มีความสามารถในการใช้จ่ายในแบบนี้ ด้วยจำนวนเงินช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การแจกเงินหมื่นเฟสนี้กลายเป็นที่สับสนแก่สังคม เพราะทีแรกแถลงข่าวว่า สามารถจ่ายค่าเทอมได้ แต่วันต่อมา กลับกล่าวว่าไม่ได้ เพราะค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าบริการต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ถือว่าเป็นค่าบริการ ไม่รวมอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังก็อ้างว่าสื่อถามเร็วไปหน่อย ประจัญหน้าไปหน่อย คราวหน้าส่งคำถามมาก่อน อย่างไรก็ตาม ยังคงสามารถนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าประเภทอื่นได้อยู่แล้ว ไม่นับรวมเสียงวิจารณ์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่รอรัฐบาลแจกเงินแล้วยังไม่ได้ และผลพิสูจน์โครงการแจกเงิน 2 เฟสที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ 14.5 ล้านคน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 3.02 ล้านคน รวม 17.5 ล้านคน แม้จะเป็นการโอนเงินสดเข้าบัญชีธนาคาร ผ่านระบบพร้อมเพย์เลขที่บัตรประชาชนก็ตาม ก็ไม่ได้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง ธนาคารโลก (World Bank) ยังระบุว่ากระตุ้น GDP ได้เพียง 0.3% แต่มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือ 0.8% ของ GDP ขณะที่ชาวเน็ตยังคงแชร์ดิจิทัลฟุตปรินต์ แล้ววิจารณ์อย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นเป็นคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร กล่าวในรายการ CARE Talk เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2565 ระบุว่า "เติมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ทำอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจแข็งแรง ทำเรื่องง่าย หรือยังขายวัคซีนไม่จบ" ซึ่งเป็นการแซะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่กลายเป็นว่าพอพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี กลับทำเสียเอง #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถกเดือดพิมพ์แบบเรียน สกสค. ส่อกีดกัน บ.รุ่งศิลป์ เสนอราคาต่ำสุด ไม่ได้สักรายการ
    .
    “กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ” ถกเดือดโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 งบฯพันล้าน “ก.บัญชีกลาง” จัดหนัก “องค์การค้าของ สกสค.” เจตนากีดกันแข่งขัน แถมส่อล็อกสเปกกระดาษ ส่อปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทั้งที่เคยแจ้งว่าขัด กม.จัดซื้อฯ “รุ่งศิลป์ฯ” โอดไม่ได้งานแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่เสนอราคาต่ำกว่าอื้อ “องค์การค้าฯ” ขยี้เหตุส่งหนังสือปี 67 ไม่ทัน จนถูกบอกเลิกสัญญา เจองัดหนังสือฝ่ายผลิต องค์การค้าฯ เซ็นยอมรับส่งปกไม่ครบสวน
    .
    เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ป.ป.ช.เป็นประธานในที่ประชุม มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ งบประมาณ 1,060 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ที่มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่ง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด (บจ.รุ่งศิลป์ฯ) ที่เป็นผู้ร่วมเสนอราคายื่นร้องเรียนต่อ กมธ.ฯ
    .
    ในการประชุมได้เชิญ ผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ หรือโรงพิมพ์รุ่งศิลป์ ในฐานะผู้ร้อง, ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. ในฐานะผู้ถูกร้อง และผู้แทนจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ในฐานะกำกับดูแลระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เข้าร่วมชี้แจง
    .
    นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 1 ได้สอบถามถึงประเด็นที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนว่า ในขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ทั้งครั้งที่เปิดประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ซึ่งยกเลิกไปแล้ว และการประกวดราคาโดยวิธีคัดเลือก มีการระบุถึงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมเสนอราคาว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกองค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ระบุว่า ถูก องค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาบางรายการของโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 อย่างไม่เป็นธรรม และมีการเรียกร้องค่าเสียจากทางองค์การค้าของ สกสค. รวมทั้งคดีที่ฟ้องร้องต่อศาลปกครองก็ยังไม่สิ้นสุด จึงมองว่าเป็นการกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ในแข่งขันโครงการฯ ปี 2568 ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ร้องเรียนไปยัง กรมบัญชีกลาง รวมถึงยื่นคำร้องต่อ ศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการไต่สวนด้วย
    .
    ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า กรณีกีดกันนี้ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนมายังกรมฯ 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 2 ม.ค.68 ขณะมีการประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ถือว่าคำร้องสิ้นสุด และเมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 ช่วงประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งอยู่ในระหว่างหาข้อมูลประกอบเพื่อพิจารณา จึงยังไม่ได้ตอบกลับข้อร้องเรียนกับทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการฯปี 2567 ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็เคยได้หารือในกรณีถูกกีดกันมาเช่นกัน กรมฯ ก็เคยตอบกลับแล้วว่า การกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องไม่เคยถูกบอกเลิกสัญญา หรือเคยทำให้หน่วยงานเสียหาย ไม่สามารถกำหนดในทีโออาร์ได้ เพราะขัดกับมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ)
    .
    “โดยหลักการ ไม่ว่าจะประกวดราคาด้วยวิธีการใด หากระบุในทีโออาร์เกี่ยวกับคุณสมบัติการถูกบอกเลิกสัญญา หรือทำให้หน่วยงานเสียหายในลักษณะนี้ ถือเป็นการกีดกันทั้งสิ้น ซึ่งกรมฯ ได้เคยตอบข้อหารือไปหมดแล้วว่าขัดกฎหมาย แต่หน่วยงานจะปรับแก้ไข หรือนำไปดำเนินการอย่างไร กรมฯ ไม่อาจรับรู้ได้ทุกรายการ แต่ยืนยันว่าการระบุคุณสมบัติเช่นนี้ไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ
    .
    ถึงช่วงนี้ นายธีรัจชัย ที่ผลัดทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมกล่าวสรุปว่า “กรณีที่ กรมบัญชีกลาง มีความเห็น หรือเคยเตือนแล้วว่า ขัดต่อกฎหมาย แต่หน่วยงานยังดำเนินการต่ออีก ก็ถือว่าเจตนาที่จะกีดกัน เข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ซึ่งในที่ประชุมไม่มีผู้คัดค้านถ้อยคำดังกล่าว
    .
    อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. รวมถึงผู้แทนหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังไม่ได้รับเชิญเข้าห้องประชุม
    .
    นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บจ.รุ่งศิลป์ฯ กล่าวต่อประชุมเสริมว่า ในการประกวดราคาโครงการฯ ปี 2568 โดยวิธีการคัดเลือก บริษัทฯก็ได้เข้าร่วมเสนอราคาด้วย และหลังจากมีการประกาศผลการประกวดราคา ปรากฎว่า บริษัทฯ ไม่ได้รับการคัดเลือกแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่มีอย่างน้อย 30 จาก 145 รายการ ที่บริษัทฯเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะการประกวดราคาค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่ามีการใช้เงื่อนไขที่ระบุในทีโออาร์ในเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญา รวมถึงต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้ องค์การค้าของ สกสค.เสียหาย มากีดกันโดยตัดคะแนน หรือตัดคุณสมบัติบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม
    .
    “เรายังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า เหตุใดที่เราซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะในหลายรายการ แล้วแต่ละรายการก็ต่ำกว่าค่อนข้างมาก แต่กลับไม่ได้คัดเลือกเป็นผู้รับจ้างแม้แต่รายการเดียว เพราะประกาศของ องค์การค้าของ สกสค.มีเฉพาะรายชื่อผู้ชนะการประกวดราคา 145 รายการของโครงการฯ แต่ไม่ได้แนบแบบฟอร์มรายละเอียดการให้คะแนนแต่ละรายการตามที่ กรมบัญชีกลาง กำหนด อีกทั้งการประกวดราคาโดยการคัดเลือกครั้งนี้เลือกใช้ข้อ (ค.) ที่ใช้เหตุความจำเป็นเร่งด่วน ทำให้ไม่สามารถอุทธรณ์ผลการประกวดราคาได้ และทำได้เพียงร้องเรียนต่อ กรมบัญชีกลาง รวมถึงอาจจะยื่นฟ้องต่อศาลเท่านั้น“ นายนัทธพลพงศ์ กล่าว
    .
    นอกจากนี้ที่ประชุม กมธ.ฯ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่หน่วยงานใช้เกณฑ์การประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคา (Price Performance) ในการประกวดราคาอาจเปิดช่องให้มีการกำหนดคุณสมบัติส่อไปในทางล็อกสเปกได้ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค อย่างโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าของ สกสค.ในช่วงหลัง ก็มีการกำหนดคุณสมบัติกระดาษ ที่มีข้อร้องเรียนว่า ไปตรงกับคุณสมบัติกระดาษของผู้นำเข้าเพียงรายเดียวในประเทศไทย
    .
    ผู้แทนกรมบัญชีกลาง กล่าวตอบว่า เป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานที่จะกำหนดใช้เกณฑ์ Price Performance หรือไม่ แต่เมื่อนำมาใช้ หน่วยงานต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อให้มีการแข่งขันในด้านคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งบางกรณี กรมบัญชีกลาง ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงเหตุผลความจำเป็นจริงๆ
    .
    “แต่ถ้าเป็นไปตามที่ กมธ.ระบุว่า กำหนดคุณสมบัติกระดาษแล้วไปตรงกับของรายใดรายหนึ่งในประเทศก็แบบนี้ถือว่า ล็อกสเปก เพราะตามกฎหมายต้องมีผู้ค้าอย่างน้อย 3 ราย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ
    .
    ขณะที่ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค.ซึ่งเข้าร่วมชี้แจงในช่วงท้าย ได้เน้นประเด็นคุณสมบัติของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ว่า ในการรับจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปี 2567 นั้น บจ.รุ่งศิลป์ฯ ส่งหนังสือบางรายการไม่ทันตามกำหนดโดยอ้างว่าได้รับปกหนังสือจากองค์การค้าฯ ไม่ครบ ตามกระบวนการ องค์การค้าฯ ก็จำเป็นต้องบอกเลิกสัญญา และเรียกค่าเสียหายตามสัญญา เนื่องจากในความเป็นจริง องค์การค้าฯ ได้ส่งปกหนังสือให้ตามกำหนด และมีเกินจำนวนสำรองไปด้วย ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ลงนามรับปกหนังสือไปเป็นที่เรียบร้อย แต่กลับทำหนังสือโต้แย้งหลังผ่านไปเกินกว่า 20 วันว่า ได้รับปกหนังสือไม่ครบ จึงไม่ถือเป็นความผิดพลาดองค์การค้าฯ แต่เป็นความไม่พร้อมของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ เอง อีกทั้ง องค์การค้าฯ ก็ได้สั่งผลิตปกหนังสือเพิ่มกลับไปให้ เพราะต้องการหนังสือให้กับเด็กนักเรียนทันเปิดเทอม นอกจากนี้ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ขอขยายระยะเวลาสัญญา เนื่องจากจัดส่งหนังสือได้ไม่ทันตามกำหนดด้วย
    .
    ด้าน ผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ชี้แจงว่า ปกหนังสือทั้งหมดตามรายการที่บริษัทฯ ได้รับว่าจ้างมีจำนวนมาก และแพ็คส่งมาในพาเลท มีการทยอยส่งมาเป็นระยะ คละกันหลายรายการ บริษัทฯ จึงไม่ได้ตรวจนับขณะได้รับจริงๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ก่อนมาพบภายหลังว่าไม่ครบตามจำนวน และบางส่วนยังชำรุดด้วย เมื่อพบปัญหาก็ได้ทำการโต้แย้งไปยังองค์การค้าของ สกสค. และก็มีผู้รับผิดชอบขององค์การค้าของ สกสค.ลงนามรับทราบว่า ส่งปกหนังสือไม่ครบจริงๆ โดยจะขอนำส่งเอกสารดังกล่าวให้กับ กมธ.ฯ เพื่อรปะกอบการพิจารณากรณีนี้
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเอกสารที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ยื่นเพิ่มเติมให้แก่ กมธ.ฯนั้น เป็นบันทึกข้อความที่ สำนักบริหารการผลิต ฝ่ายการผลิต องค์การค้าของ สกสค. ลงวันที่ 11 เม.ย.67 ลงนามโดย หัวหน้าฝ่ายการผลิต องค์การค้าของ สกสค. ทำถึง บจ.รุ่งศิลป์ฯ เรื่อง ขอยืนยันจะส่งปกเพิ่มให้ครบจำนวนสั่งผลิต โดยระบุข้อความตอนหนึ่งว่า ”ได้มีการตรวจนับปกแต่ละรายการ พบว่าจำนวนใบพิมพ์ในแต่ละพาเลทมีจำนวนน้อยกว่าในใบแจ้งสถานะ องค์การค้าฯ จึงขอแจ้งกับทางบริษัทฯ ว่า ทางองค์การค้าฯ จะติดตาม ประสานงาน นำปกที่ทางบริษัทฯ แจ้งขาดจำนวน ส่งเพิ่มให้ตามจำนวนที่ทางบริษัทฯ แจ้งมา”.
    ............
    Sondhi X
    ถกเดือดพิมพ์แบบเรียน สกสค. ส่อกีดกัน บ.รุ่งศิลป์ เสนอราคาต่ำสุด ไม่ได้สักรายการ . “กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ” ถกเดือดโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 งบฯพันล้าน “ก.บัญชีกลาง” จัดหนัก “องค์การค้าของ สกสค.” เจตนากีดกันแข่งขัน แถมส่อล็อกสเปกกระดาษ ส่อปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทั้งที่เคยแจ้งว่าขัด กม.จัดซื้อฯ “รุ่งศิลป์ฯ” โอดไม่ได้งานแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่เสนอราคาต่ำกว่าอื้อ “องค์การค้าฯ” ขยี้เหตุส่งหนังสือปี 67 ไม่ทัน จนถูกบอกเลิกสัญญา เจองัดหนังสือฝ่ายผลิต องค์การค้าฯ เซ็นยอมรับส่งปกไม่ครบสวน . เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ป.ป.ช.เป็นประธานในที่ประชุม มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ งบประมาณ 1,060 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ที่มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่ง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด (บจ.รุ่งศิลป์ฯ) ที่เป็นผู้ร่วมเสนอราคายื่นร้องเรียนต่อ กมธ.ฯ . ในการประชุมได้เชิญ ผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ หรือโรงพิมพ์รุ่งศิลป์ ในฐานะผู้ร้อง, ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. ในฐานะผู้ถูกร้อง และผู้แทนจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ในฐานะกำกับดูแลระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เข้าร่วมชี้แจง . นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 1 ได้สอบถามถึงประเด็นที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนว่า ในขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ทั้งครั้งที่เปิดประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ซึ่งยกเลิกไปแล้ว และการประกวดราคาโดยวิธีคัดเลือก มีการระบุถึงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมเสนอราคาว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกองค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ระบุว่า ถูก องค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาบางรายการของโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 อย่างไม่เป็นธรรม และมีการเรียกร้องค่าเสียจากทางองค์การค้าของ สกสค. รวมทั้งคดีที่ฟ้องร้องต่อศาลปกครองก็ยังไม่สิ้นสุด จึงมองว่าเป็นการกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ในแข่งขันโครงการฯ ปี 2568 ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ร้องเรียนไปยัง กรมบัญชีกลาง รวมถึงยื่นคำร้องต่อ ศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการไต่สวนด้วย . ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า กรณีกีดกันนี้ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนมายังกรมฯ 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 2 ม.ค.68 ขณะมีการประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ถือว่าคำร้องสิ้นสุด และเมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 ช่วงประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งอยู่ในระหว่างหาข้อมูลประกอบเพื่อพิจารณา จึงยังไม่ได้ตอบกลับข้อร้องเรียนกับทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการฯปี 2567 ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็เคยได้หารือในกรณีถูกกีดกันมาเช่นกัน กรมฯ ก็เคยตอบกลับแล้วว่า การกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องไม่เคยถูกบอกเลิกสัญญา หรือเคยทำให้หน่วยงานเสียหาย ไม่สามารถกำหนดในทีโออาร์ได้ เพราะขัดกับมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) . “โดยหลักการ ไม่ว่าจะประกวดราคาด้วยวิธีการใด หากระบุในทีโออาร์เกี่ยวกับคุณสมบัติการถูกบอกเลิกสัญญา หรือทำให้หน่วยงานเสียหายในลักษณะนี้ ถือเป็นการกีดกันทั้งสิ้น ซึ่งกรมฯ ได้เคยตอบข้อหารือไปหมดแล้วว่าขัดกฎหมาย แต่หน่วยงานจะปรับแก้ไข หรือนำไปดำเนินการอย่างไร กรมฯ ไม่อาจรับรู้ได้ทุกรายการ แต่ยืนยันว่าการระบุคุณสมบัติเช่นนี้ไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ . ถึงช่วงนี้ นายธีรัจชัย ที่ผลัดทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมกล่าวสรุปว่า “กรณีที่ กรมบัญชีกลาง มีความเห็น หรือเคยเตือนแล้วว่า ขัดต่อกฎหมาย แต่หน่วยงานยังดำเนินการต่ออีก ก็ถือว่าเจตนาที่จะกีดกัน เข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ซึ่งในที่ประชุมไม่มีผู้คัดค้านถ้อยคำดังกล่าว . อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. รวมถึงผู้แทนหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังไม่ได้รับเชิญเข้าห้องประชุม . นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บจ.รุ่งศิลป์ฯ กล่าวต่อประชุมเสริมว่า ในการประกวดราคาโครงการฯ ปี 2568 โดยวิธีการคัดเลือก บริษัทฯก็ได้เข้าร่วมเสนอราคาด้วย และหลังจากมีการประกาศผลการประกวดราคา ปรากฎว่า บริษัทฯ ไม่ได้รับการคัดเลือกแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่มีอย่างน้อย 30 จาก 145 รายการ ที่บริษัทฯเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะการประกวดราคาค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่ามีการใช้เงื่อนไขที่ระบุในทีโออาร์ในเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญา รวมถึงต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้ องค์การค้าของ สกสค.เสียหาย มากีดกันโดยตัดคะแนน หรือตัดคุณสมบัติบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม . “เรายังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า เหตุใดที่เราซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะในหลายรายการ แล้วแต่ละรายการก็ต่ำกว่าค่อนข้างมาก แต่กลับไม่ได้คัดเลือกเป็นผู้รับจ้างแม้แต่รายการเดียว เพราะประกาศของ องค์การค้าของ สกสค.มีเฉพาะรายชื่อผู้ชนะการประกวดราคา 145 รายการของโครงการฯ แต่ไม่ได้แนบแบบฟอร์มรายละเอียดการให้คะแนนแต่ละรายการตามที่ กรมบัญชีกลาง กำหนด อีกทั้งการประกวดราคาโดยการคัดเลือกครั้งนี้เลือกใช้ข้อ (ค.) ที่ใช้เหตุความจำเป็นเร่งด่วน ทำให้ไม่สามารถอุทธรณ์ผลการประกวดราคาได้ และทำได้เพียงร้องเรียนต่อ กรมบัญชีกลาง รวมถึงอาจจะยื่นฟ้องต่อศาลเท่านั้น“ นายนัทธพลพงศ์ กล่าว . นอกจากนี้ที่ประชุม กมธ.ฯ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่หน่วยงานใช้เกณฑ์การประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคา (Price Performance) ในการประกวดราคาอาจเปิดช่องให้มีการกำหนดคุณสมบัติส่อไปในทางล็อกสเปกได้ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค อย่างโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าของ สกสค.ในช่วงหลัง ก็มีการกำหนดคุณสมบัติกระดาษ ที่มีข้อร้องเรียนว่า ไปตรงกับคุณสมบัติกระดาษของผู้นำเข้าเพียงรายเดียวในประเทศไทย . ผู้แทนกรมบัญชีกลาง กล่าวตอบว่า เป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานที่จะกำหนดใช้เกณฑ์ Price Performance หรือไม่ แต่เมื่อนำมาใช้ หน่วยงานต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อให้มีการแข่งขันในด้านคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งบางกรณี กรมบัญชีกลาง ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงเหตุผลความจำเป็นจริงๆ . “แต่ถ้าเป็นไปตามที่ กมธ.ระบุว่า กำหนดคุณสมบัติกระดาษแล้วไปตรงกับของรายใดรายหนึ่งในประเทศก็แบบนี้ถือว่า ล็อกสเปก เพราะตามกฎหมายต้องมีผู้ค้าอย่างน้อย 3 ราย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ . ขณะที่ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค.ซึ่งเข้าร่วมชี้แจงในช่วงท้าย ได้เน้นประเด็นคุณสมบัติของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ว่า ในการรับจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปี 2567 นั้น บจ.รุ่งศิลป์ฯ ส่งหนังสือบางรายการไม่ทันตามกำหนดโดยอ้างว่าได้รับปกหนังสือจากองค์การค้าฯ ไม่ครบ ตามกระบวนการ องค์การค้าฯ ก็จำเป็นต้องบอกเลิกสัญญา และเรียกค่าเสียหายตามสัญญา เนื่องจากในความเป็นจริง องค์การค้าฯ ได้ส่งปกหนังสือให้ตามกำหนด และมีเกินจำนวนสำรองไปด้วย ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ลงนามรับปกหนังสือไปเป็นที่เรียบร้อย แต่กลับทำหนังสือโต้แย้งหลังผ่านไปเกินกว่า 20 วันว่า ได้รับปกหนังสือไม่ครบ จึงไม่ถือเป็นความผิดพลาดองค์การค้าฯ แต่เป็นความไม่พร้อมของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ เอง อีกทั้ง องค์การค้าฯ ก็ได้สั่งผลิตปกหนังสือเพิ่มกลับไปให้ เพราะต้องการหนังสือให้กับเด็กนักเรียนทันเปิดเทอม นอกจากนี้ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ขอขยายระยะเวลาสัญญา เนื่องจากจัดส่งหนังสือได้ไม่ทันตามกำหนดด้วย . ด้าน ผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ชี้แจงว่า ปกหนังสือทั้งหมดตามรายการที่บริษัทฯ ได้รับว่าจ้างมีจำนวนมาก และแพ็คส่งมาในพาเลท มีการทยอยส่งมาเป็นระยะ คละกันหลายรายการ บริษัทฯ จึงไม่ได้ตรวจนับขณะได้รับจริงๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ก่อนมาพบภายหลังว่าไม่ครบตามจำนวน และบางส่วนยังชำรุดด้วย เมื่อพบปัญหาก็ได้ทำการโต้แย้งไปยังองค์การค้าของ สกสค. และก็มีผู้รับผิดชอบขององค์การค้าของ สกสค.ลงนามรับทราบว่า ส่งปกหนังสือไม่ครบจริงๆ โดยจะขอนำส่งเอกสารดังกล่าวให้กับ กมธ.ฯ เพื่อรปะกอบการพิจารณากรณีนี้ . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเอกสารที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ยื่นเพิ่มเติมให้แก่ กมธ.ฯนั้น เป็นบันทึกข้อความที่ สำนักบริหารการผลิต ฝ่ายการผลิต องค์การค้าของ สกสค. ลงวันที่ 11 เม.ย.67 ลงนามโดย หัวหน้าฝ่ายการผลิต องค์การค้าของ สกสค. ทำถึง บจ.รุ่งศิลป์ฯ เรื่อง ขอยืนยันจะส่งปกเพิ่มให้ครบจำนวนสั่งผลิต โดยระบุข้อความตอนหนึ่งว่า ”ได้มีการตรวจนับปกแต่ละรายการ พบว่าจำนวนใบพิมพ์ในแต่ละพาเลทมีจำนวนน้อยกว่าในใบแจ้งสถานะ องค์การค้าฯ จึงขอแจ้งกับทางบริษัทฯ ว่า ทางองค์การค้าฯ จะติดตาม ประสานงาน นำปกที่ทางบริษัทฯ แจ้งขาดจำนวน ส่งเพิ่มให้ตามจำนวนที่ทางบริษัทฯ แจ้งมา”. ............ Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2132 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นตกยุคอุ๊งอิ๊ง อ้างคนฉลาดเห็นโอกาส

    "เป็นจังหวะเข้าซื้อเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้เปลี่ยน คนที่ฉลาดจะมองเห็นโอกาสจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีกับราคาตลาดตอนนี้ ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้" เป็นคำกล่าวของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุถึงตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด ในวันที่ต่างชาติเทขายต่อเนื่อง และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ

    ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีวัย 38 ปี กล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาวะผู้นำว่า "ไม่ได้อยากชี้นิ้วว่าใครเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้นำในแบบของเรา จะว่าใครก็ต้องเป็นผู้นำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงคนอื่นได้" และว่า "การอภิปรายไม่ใว้วางใจของสภาฯ เป็นเวทีที่ดีที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริง และเข้าใจความเป็นนายกรัฐมนตรีเจนวาย (Gen Y) ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะยังไม่เคยมีมาก่อน"

    ประโยคนี้ทำเอาคนทุกเจนถึงกับอึ้ง เพราะทราบดีว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ด้วยความสามารถ แต่เข้ามาเพราะบารมีพ่ออย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมามีข้ออ้างว่า "เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์" เมื่อถูกถามถึงข้อครหาว่าครอบครัวครอบงำ หรือ "สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีก็คนใต้ ถ้าละเลยคนใต้หรือไม่รักคนใต้ แต่งงานกับคนใต้ไม่ได้" เมื่อถูกถามถึงคำว่าละเลยภาคใต้ในสถานการณ์น้ำท่วม กลายเป็นวาทะแห่งปีของสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล

    วันที่ 16 ส.ค.2567 น.ส.แพทองธารได้รับการโหวตด้วยเสียงข้างมากในสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,303.00 จุด กระทั่งนายทักษิณกล่าววิสัยทัศน์หลังได้รับการพักโทษคดีทุจริต และมีการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สูงสุดที่ระดับ 1,506.82 จุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2567 แต่เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีเรื่องที่กระทบกับธรรมาภิบาลต่อตลาดหุ้นไทยหลายเรื่อง รวมทั้งระยะหลังนายทักษิณไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนว่า ทำอย่างไรตลาดหุ้นไทยจะฟื้น และมีมาตรการอย่างไรเพื่อเรียกนักลงทุนกลับมา จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค.2568 เหลือ 1,177.64 จุด และมีแนวโน้มทรุดหนักต่อไป

    ในวันที่เศรษฐกิจไม่ฟื้น นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่นายกฯ แพทองธารและพรรคเพื่อไทย ยังคงขยันผลิตวาทกรรมเอาตัวรอดไปวันๆ บริหารประเทศแบบถูลู่ถูกัง จนกว่าจะครบเทอมในปี 2570 ไม่ได้มรรคผลอะไรเลย คำว่า "โอกาส" ที่ น.ส.แพทองธารและรัฐบาลกล่าวบ่อยครั้ง ก็ไม่มีทางออกว่าจะไปทางไหน สิ่งเดียวที่ประชาชนทำได้ในยามนี้ คือ เอาตัวเองให้รอดก่อน

    #Newskit
    หุ้นตกยุคอุ๊งอิ๊ง อ้างคนฉลาดเห็นโอกาส "เป็นจังหวะเข้าซื้อเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้เปลี่ยน คนที่ฉลาดจะมองเห็นโอกาสจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีกับราคาตลาดตอนนี้ ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้" เป็นคำกล่าวของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุถึงตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด ในวันที่ต่างชาติเทขายต่อเนื่อง และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีวัย 38 ปี กล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาวะผู้นำว่า "ไม่ได้อยากชี้นิ้วว่าใครเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้นำในแบบของเรา จะว่าใครก็ต้องเป็นผู้นำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงคนอื่นได้" และว่า "การอภิปรายไม่ใว้วางใจของสภาฯ เป็นเวทีที่ดีที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริง และเข้าใจความเป็นนายกรัฐมนตรีเจนวาย (Gen Y) ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะยังไม่เคยมีมาก่อน" ประโยคนี้ทำเอาคนทุกเจนถึงกับอึ้ง เพราะทราบดีว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ด้วยความสามารถ แต่เข้ามาเพราะบารมีพ่ออย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมามีข้ออ้างว่า "เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์" เมื่อถูกถามถึงข้อครหาว่าครอบครัวครอบงำ หรือ "สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีก็คนใต้ ถ้าละเลยคนใต้หรือไม่รักคนใต้ แต่งงานกับคนใต้ไม่ได้" เมื่อถูกถามถึงคำว่าละเลยภาคใต้ในสถานการณ์น้ำท่วม กลายเป็นวาทะแห่งปีของสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล วันที่ 16 ส.ค.2567 น.ส.แพทองธารได้รับการโหวตด้วยเสียงข้างมากในสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,303.00 จุด กระทั่งนายทักษิณกล่าววิสัยทัศน์หลังได้รับการพักโทษคดีทุจริต และมีการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สูงสุดที่ระดับ 1,506.82 จุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2567 แต่เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีเรื่องที่กระทบกับธรรมาภิบาลต่อตลาดหุ้นไทยหลายเรื่อง รวมทั้งระยะหลังนายทักษิณไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนว่า ทำอย่างไรตลาดหุ้นไทยจะฟื้น และมีมาตรการอย่างไรเพื่อเรียกนักลงทุนกลับมา จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค.2568 เหลือ 1,177.64 จุด และมีแนวโน้มทรุดหนักต่อไป ในวันที่เศรษฐกิจไม่ฟื้น นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่นายกฯ แพทองธารและพรรคเพื่อไทย ยังคงขยันผลิตวาทกรรมเอาตัวรอดไปวันๆ บริหารประเทศแบบถูลู่ถูกัง จนกว่าจะครบเทอมในปี 2570 ไม่ได้มรรคผลอะไรเลย คำว่า "โอกาส" ที่ น.ส.แพทองธารและรัฐบาลกล่าวบ่อยครั้ง ก็ไม่มีทางออกว่าจะไปทางไหน สิ่งเดียวที่ประชาชนทำได้ในยามนี้ คือ เอาตัวเองให้รอดก่อน #Newskit
    Like
    Haha
    Angry
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้?

    การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ

    ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน

    ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา

    สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย

    #Newskit
    MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้? การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสัมพันธ์ที่สุดซับซ้อนของผู้นำจิตวิญญาณทั้งสองพรรค ปลายทาง คือมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร กันแน่

    #สัมพันธ์สุดซับซ้อนทักษิณเนวิน #ทักษิณชินวัตร #เนวินชิดชอบ #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #มันจบแล้วครับนาย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    ความสัมพันธ์ที่สุดซับซ้อนของผู้นำจิตวิญญาณทั้งสองพรรค ปลายทาง คือมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร กันแน่ #สัมพันธ์สุดซับซ้อนทักษิณเนวิน #ทักษิณชินวัตร #เนวินชิดชอบ #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #มันจบแล้วครับนาย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    Angry
    12
    8 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1507 มุมมอง 48 0 รีวิว
  • เป้าเดี่ยวซักฟอก มั่นใจไม่โดนลอยแพ : [THE MESSAGE]

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยยกเลิกการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่มีวาระพิจารณาที่เป็นประเด็นสำคัญ เผยกรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พุ่งเป้าไปนายกรัฐมนตรีคนเดียว ไม่เกินความคาดหมาย ยืนยันตอบได้ทุกข้อ รวมถึงที่ระบุว่าเป็นนั่งร้านให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการตั้งองครักษ์แน่ เพราะทุกคนต้องช่วยกันตอบ เชื่อพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลอยแพ ส่วนญัตติของฝ่ายค้านที่กล่าวหาว่าไม่มีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นแรงเกินไปหรือไม่นั้น เข้าใจเพราะพรรคเพื่อไทยเคยเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน 8 -9 ปี อยากรู้อะไรก็ตอบไป
    เป้าเดี่ยวซักฟอก มั่นใจไม่โดนลอยแพ : [THE MESSAGE] น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยยกเลิกการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่มีวาระพิจารณาที่เป็นประเด็นสำคัญ เผยกรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พุ่งเป้าไปนายกรัฐมนตรีคนเดียว ไม่เกินความคาดหมาย ยืนยันตอบได้ทุกข้อ รวมถึงที่ระบุว่าเป็นนั่งร้านให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการตั้งองครักษ์แน่ เพราะทุกคนต้องช่วยกันตอบ เชื่อพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลอยแพ ส่วนญัตติของฝ่ายค้านที่กล่าวหาว่าไม่มีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นแรงเกินไปหรือไม่นั้น เข้าใจเพราะพรรคเพื่อไทยเคยเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน 8 -9 ปี อยากรู้อะไรก็ตอบไป
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1330 มุมมอง 39 0 รีวิว
  • ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท
    .
    กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร
    .
    วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา
    .
    อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร
    .
    โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
    .
    อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย
    .
    ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้
    .
    ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย
    .
    ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร.
    ..............
    Sondhi X
    ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท . กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร . วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา . อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร . โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน . ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง . อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย . ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้ . ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย . ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    17
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2391 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีลทักษิณ-เนวินไม่เกิด แต่คิงเพาเวอร์ขาดทุนจริง

    สะพัดตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.พ. รายงานข่าวแจ้งว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย จะนัดเจอกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

    แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบภาพของนายเนวิน ไปที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เพียงคนเดียว โดยที่สื่อบางสำนักระบุว่าดีลล่ม ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ซึ่งไปปฎิบัติภารกิจที่ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต ปฎิเสธพร้อมกล่าวว่า ไม่ไป จะกลับบ้าน ไปหาน้องธาษิณ (ลูกชาย) และคิดว่านายทักษิณไม่น่าจะไป ส่วนนายอนุทิน ไปรับเสด็จที่วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อ.แม่จัน จ.เชียงราย ไม่รู้เรื่องข่าวนี้ และระบุว่าการที่นายเนวินไปโรงแรมพูลแมนฯ เป็นเรื่องปกติ

    อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุด้วยว่าในการพบกันระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" ซึ่งภายหลังก็ไม่ได้เจอกัน จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ทายาทนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจ เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนกว่า 651 ล้านบาท

    แม้ดีลระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" จะไม่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่ คิง เพาเวอร์ขาดทุนเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ระบุว่า รายได้ของ AOT มีปัญหาเพราะผู้รับสัมปทานเช่าพื้นที่ ซึ่งหมายถึง คิง เพาเวอร์ ซึ่งรับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) 4 สนามบิน มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ขอยืดเวลาการชำระผลตอบแทนขั้นต่ำออกไปเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปี ทำเอาราคาหุ้น AOT ร่วงลงมา

    แต่ถึงกระนั้น นายอัยยวัฒน์เคยยืนยันกับสื่อค่ายยักษ์แห่งหนึ่งว่า การขอเลื่อนเวลาชำระค่าตอบแทน เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทน เพราะรายได้ที่ประเมินไว้ไม่เข้าเป้า ที่ผ่านมารายได้ที่หายไปในช่วงโควิด ถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ยังมีกรณีของดาราจีน "ซิง ซิง" ที่ถูกหลอกลวงไปเมียนมา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดเดินทางมาไทย ในฐานะผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องขอความกรุณาและช่วยเหลือจากรัฐ

    #Newskit
    ดีลทักษิณ-เนวินไม่เกิด แต่คิงเพาเวอร์ขาดทุนจริง สะพัดตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.พ. รายงานข่าวแจ้งว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย จะนัดเจอกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบภาพของนายเนวิน ไปที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เพียงคนเดียว โดยที่สื่อบางสำนักระบุว่าดีลล่ม ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ซึ่งไปปฎิบัติภารกิจที่ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต ปฎิเสธพร้อมกล่าวว่า ไม่ไป จะกลับบ้าน ไปหาน้องธาษิณ (ลูกชาย) และคิดว่านายทักษิณไม่น่าจะไป ส่วนนายอนุทิน ไปรับเสด็จที่วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อ.แม่จัน จ.เชียงราย ไม่รู้เรื่องข่าวนี้ และระบุว่าการที่นายเนวินไปโรงแรมพูลแมนฯ เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุด้วยว่าในการพบกันระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" ซึ่งภายหลังก็ไม่ได้เจอกัน จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ทายาทนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจ เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนกว่า 651 ล้านบาท แม้ดีลระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" จะไม่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่ คิง เพาเวอร์ขาดทุนเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ระบุว่า รายได้ของ AOT มีปัญหาเพราะผู้รับสัมปทานเช่าพื้นที่ ซึ่งหมายถึง คิง เพาเวอร์ ซึ่งรับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) 4 สนามบิน มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ขอยืดเวลาการชำระผลตอบแทนขั้นต่ำออกไปเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปี ทำเอาราคาหุ้น AOT ร่วงลงมา แต่ถึงกระนั้น นายอัยยวัฒน์เคยยืนยันกับสื่อค่ายยักษ์แห่งหนึ่งว่า การขอเลื่อนเวลาชำระค่าตอบแทน เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทน เพราะรายได้ที่ประเมินไว้ไม่เข้าเป้า ที่ผ่านมารายได้ที่หายไปในช่วงโควิด ถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ยังมีกรณีของดาราจีน "ซิง ซิง" ที่ถูกหลอกลวงไปเมียนมา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดเดินทางมาไทย ในฐานะผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องขอความกรุณาและช่วยเหลือจากรัฐ #Newskit
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตา “อนุทิน-เนวิน’ นัด “ทักษิณ-แพทองธาร” เคลียร์ใจ สยบศึกเพื่อไทย-ภูมิใจไทยเย็นนี้ คาด “ต๊อบ อัยยวัฒน์” ร่วมวงถกธุรกิจ “คิงเพาเวอร์“ หลังขาดทุนหนัก
    .
    วันนี้ (24 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเย็นวันนี้ได้มีการนัดหมายระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในการพบกันเย็นนี้ จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจของคิงเพาเวอร์ด้วย เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนโดยในปี 2566 ขาดทุนถึงจำนวน 651,512,785 บาท ซึ่งได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 จนถึงปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018123
    .........
    Sondhi X
    จับตา “อนุทิน-เนวิน’ นัด “ทักษิณ-แพทองธาร” เคลียร์ใจ สยบศึกเพื่อไทย-ภูมิใจไทยเย็นนี้ คาด “ต๊อบ อัยยวัฒน์” ร่วมวงถกธุรกิจ “คิงเพาเวอร์“ หลังขาดทุนหนัก . วันนี้ (24 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเย็นวันนี้ได้มีการนัดหมายระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล . อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในการพบกันเย็นนี้ จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจของคิงเพาเวอร์ด้วย เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนโดยในปี 2566 ขาดทุนถึงจำนวน 651,512,785 บาท ซึ่งได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 จนถึงปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018123 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    Sad
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด

    นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

    ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย"

    สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก

    สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว

    #Newskit
    ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย" สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับทราบหนังสือดีเอสไอ กกต.ขอเวลาพิจารณา ส.ว.รับไม่ได้ถูกกล่าวหา
    .
    สถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยการเดินหน้าตรวจกระบวนการฮั้วเลือกส.ว.กำลังทวีความดุเดือดมากขึ้น ภายหลังส.ว.เตรียมใช้ข้อกฎหมายเอาคืนทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เช่นกัน โดยพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ระบุว่า จะให้ฝ่ายกฎหมาย รวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการแจ้งความผู้ที่กล่าวหาทั้งภาครัฐ และเอกชน ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหาย ถูกเข้าใจผิด และในส่วนของกรรมาธิการวุฒิสภาจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่และที่มาที่ไปของการมากล่าวหาวุฒิสภาร้ายแรง เรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร อาชญากรรม และภัยต่อความมั่นคง และจะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติในประเด็นการดำเนินงานในส่วนของ ดีเอสไอ ที่กล่าวหาวุฒิสภา เป็นไปด้วยเหตุและผลหรือไม่ โดยจะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้ง แต่คาดว่าจะอภิปรายภายในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะเป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและต้องดูด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลัง
    .
    "เรื่องนี้คิดว่าโยงใยมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจจะมีส่วนหนึ่ง แต่ย้ำว่าเรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนระหว่างการสัมมนา ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนตัวทำงานด้านความมั่นคง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มา 38 ปี แต่พอมาดูข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ จึงรับไม่ได้ สมาชิกท่านอื่น ก็เช่นเดียวกัน ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมา ทำตามหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2560"
    .
    ด้าน นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ส.ว.ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) เปิดเผยว่า ในการประชุมวิปวุฒิสภาวันที่ 26 ก.พ.นี้จะหารือถึงการดำเนินการเอาผิด ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกล่าวหา เรื่องการฮั้วเลือก สว.จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการประชุมวุฒิสภา วันที่ 24 ก.พ.นี้ จะมีสว.คนใดหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาหารือในที่ประชุมหรือไม่
    .
    “ยืนยันว่ากระบวนการเลือกสว.ทำถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตย ผมไม่เข้าใจว่าผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.ได้อย่างไร ยิ่งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร เป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่ดีเอสไอกล่าวหา ยิ่งงงหนัก จะไปเข้าข่ายได้อย่างไร สว.ทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยไปพบกันที่โรงแรมตามที่มีการกล่าวหา เพิ่งมารู้จักกันในที่ประชุม หลังเป็นสว.แล้ว การจะเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร จะต้องรู้จักกันมาก่อน” นายพิสิษฐ์ กล่าว
    .
    ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ความกลัว ทำให้เสื่อม ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการที่มีคนสมัครเข้าเป็นสว.เกือบ 50,000 คน การร้องทุกข์กล่าวโทษว่า การเลือก สว.ในบางส่วนอาจมีการทำโพยฮั้วกันหรือไม่ ถือเป็นสิทธิ
    .
    "ขอให้ผู้รับผิดชอบได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมารวมถึงหากมีการฮั้วเลือกตั้งสว.แล้วจะขยายผลไปยังฐานความผิดอื่นด้วยหรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำคดี พวกท่านมาเป็น สว.แล้ว ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ต้องพร้อมพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ใครแตะอะไรไม่ได้เลย ต้องเข้าใจและเคารพในสิทธิของผู้ร้อง ให้เกียรติ และเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องกลัว”นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
    .
    นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ส่วนตัวทราบว่าสำนักงานกกต.ได้รับหนังสือฉบับนี้แล้ว และ อยู่ระหว่างการประมวลเรื่องและจัดทำความเห็นของสำนักงานเพื่อเสนอที่ประชุมกกต.พิจารณาตามแนวทางปฎิบัติของสำนักงานที่ได้วางไว้ ส่วนที่ปรากฎหนังสือว่าสำนักงานกกต.มีการตอบกลับไปที่DSIว่า ยังไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการกกต.นั้น เป็นเพราะยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสำนักงานกกต.
    .............
    Sondhi X
    รับทราบหนังสือดีเอสไอ กกต.ขอเวลาพิจารณา ส.ว.รับไม่ได้ถูกกล่าวหา . สถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยการเดินหน้าตรวจกระบวนการฮั้วเลือกส.ว.กำลังทวีความดุเดือดมากขึ้น ภายหลังส.ว.เตรียมใช้ข้อกฎหมายเอาคืนทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เช่นกัน โดยพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ระบุว่า จะให้ฝ่ายกฎหมาย รวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการแจ้งความผู้ที่กล่าวหาทั้งภาครัฐ และเอกชน ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหาย ถูกเข้าใจผิด และในส่วนของกรรมาธิการวุฒิสภาจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่และที่มาที่ไปของการมากล่าวหาวุฒิสภาร้ายแรง เรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร อาชญากรรม และภัยต่อความมั่นคง และจะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติในประเด็นการดำเนินงานในส่วนของ ดีเอสไอ ที่กล่าวหาวุฒิสภา เป็นไปด้วยเหตุและผลหรือไม่ โดยจะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้ง แต่คาดว่าจะอภิปรายภายในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะเป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและต้องดูด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลัง . "เรื่องนี้คิดว่าโยงใยมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจจะมีส่วนหนึ่ง แต่ย้ำว่าเรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนระหว่างการสัมมนา ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนตัวทำงานด้านความมั่นคง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มา 38 ปี แต่พอมาดูข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ จึงรับไม่ได้ สมาชิกท่านอื่น ก็เช่นเดียวกัน ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมา ทำตามหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2560" . ด้าน นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ส.ว.ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) เปิดเผยว่า ในการประชุมวิปวุฒิสภาวันที่ 26 ก.พ.นี้จะหารือถึงการดำเนินการเอาผิด ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกล่าวหา เรื่องการฮั้วเลือก สว.จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการประชุมวุฒิสภา วันที่ 24 ก.พ.นี้ จะมีสว.คนใดหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาหารือในที่ประชุมหรือไม่ . “ยืนยันว่ากระบวนการเลือกสว.ทำถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตย ผมไม่เข้าใจว่าผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.ได้อย่างไร ยิ่งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร เป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่ดีเอสไอกล่าวหา ยิ่งงงหนัก จะไปเข้าข่ายได้อย่างไร สว.ทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยไปพบกันที่โรงแรมตามที่มีการกล่าวหา เพิ่งมารู้จักกันในที่ประชุม หลังเป็นสว.แล้ว การจะเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร จะต้องรู้จักกันมาก่อน” นายพิสิษฐ์ กล่าว . ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ความกลัว ทำให้เสื่อม ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการที่มีคนสมัครเข้าเป็นสว.เกือบ 50,000 คน การร้องทุกข์กล่าวโทษว่า การเลือก สว.ในบางส่วนอาจมีการทำโพยฮั้วกันหรือไม่ ถือเป็นสิทธิ . "ขอให้ผู้รับผิดชอบได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมารวมถึงหากมีการฮั้วเลือกตั้งสว.แล้วจะขยายผลไปยังฐานความผิดอื่นด้วยหรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำคดี พวกท่านมาเป็น สว.แล้ว ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ต้องพร้อมพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ใครแตะอะไรไม่ได้เลย ต้องเข้าใจและเคารพในสิทธิของผู้ร้อง ให้เกียรติ และเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องกลัว”นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย . นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ส่วนตัวทราบว่าสำนักงานกกต.ได้รับหนังสือฉบับนี้แล้ว และ อยู่ระหว่างการประมวลเรื่องและจัดทำความเห็นของสำนักงานเพื่อเสนอที่ประชุมกกต.พิจารณาตามแนวทางปฎิบัติของสำนักงานที่ได้วางไว้ ส่วนที่ปรากฎหนังสือว่าสำนักงานกกต.มีการตอบกลับไปที่DSIว่า ยังไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการกกต.นั้น เป็นเพราะยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสำนักงานกกต. ............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1768 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร
    .
    สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด
    .
    "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว
    .
    นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น
    .
    ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
    .
    ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน
    .
    “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว
    .
    นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้
    ..............
    Sondhi X
    'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร . สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด . "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว . นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น . ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น . ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน . “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว . นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    16
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2621 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลนายพลเป็นความลับ เปิดเผยกระทบความมั่นคง 'ภูมิธรรม' เบื่อโต้ 'ประชาชน'
    .
    ทุกวันนี้พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคไม้เบื่อไม้เมาไปกันทุกเรื่องแล้ว อย่างล่าสุดมีกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือในคณะกรรมาธิการฯ ถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อขอข้อมูลจำนวนอัตรานายทหารชั้นนายพล ตั้งแต่ระดับพลตรี พลโท พลเอก แยกตามเหล่าทัพ และการลดอัตรากำลังพลดังกล่าว
    .
    ทั้งนี้ ปรากฎว่ากระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือปฏิเสธการให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่าจำนวนอัตรากำลังพลของกระทรวงกลาโหม เป็นข้อมูลที่กำหนดชั้นความลับ "ลับมาก" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง หากเปิดเผยทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง ทำให้นายวิโรจน์ ออกมาแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ถึงท่าทีกระทรวงกลาโหมที่ออกมา
    .
    "ถ้าในประเด็นความมั่นคงของประเทศ ผมยืนยันว่ายังไงก็ไม่ลับหรอกครับ แต่ถ้าเป็นความมั่นคงของกระเป๋าของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมก็คิดว่าเป็นไปได้ แถม "ลับมาก" เสียด้วย" ข้อวิจารณ์ของนายวิโรจน์
    .
    ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ความคืบหน้าแผนการปฏิรูปกองทัพ ในการปรับลด ตำแหน่งนายพลระดับสูง อยู่ในสมุดปกขาวกระทรวงกลาโหมอยู่แล้ว และที่ผ่านมามีกระบวนการลดกำลังพลอย่างเป็นขั้น เป็นตอน และที่ผ่านมา ได้มีการลดกำลังพลอยู่แล้ว และตนได้มีการแจ้งอย่างชัดเจนให้รับนโยบายนี้ไปดำเนินการ ซึ่งในปี 2570 จะมีตัวเลขที่ชัดเจน และขณะนี้กระบวนการได้เริ่มต้นแล้ว ส่วนจะไปอย่างไรต่อขึ้นอยู่กับความเป็นจริง แต่ในส่วนของเรามีหน้าที่ในการผลักดันไปตามนโยบาย
    .
    "หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ว่ามา เราก็พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องชี้แจงรายวัน ไม่งั้นเป็นเรื่องปิงปอง รวมทั้งยังมีสมุดปกขาวที่ได้มีการระบุอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าในปี 2570 จะมีการลดเหลือเท่าใด ขอให้ไปดูตรงนั้น แล้วค่อยมาว่ากันในภาพรวม ขออย่างเดียวเรื่องเหล่านั้น อย่าเอามาลงรายละเอียด หากลงรายละเอียดเยอะ ก็เป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศด้วย ซึ่งการที่เราจะมาแจ้งจำนวนคน และบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพูดคุยผ่านอากาศ" นายภูมิธรรม ระบุ
    .............
    Sondhi X
    ข้อมูลนายพลเป็นความลับ เปิดเผยกระทบความมั่นคง 'ภูมิธรรม' เบื่อโต้ 'ประชาชน' . ทุกวันนี้พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคไม้เบื่อไม้เมาไปกันทุกเรื่องแล้ว อย่างล่าสุดมีกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือในคณะกรรมาธิการฯ ถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อขอข้อมูลจำนวนอัตรานายทหารชั้นนายพล ตั้งแต่ระดับพลตรี พลโท พลเอก แยกตามเหล่าทัพ และการลดอัตรากำลังพลดังกล่าว . ทั้งนี้ ปรากฎว่ากระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือปฏิเสธการให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่าจำนวนอัตรากำลังพลของกระทรวงกลาโหม เป็นข้อมูลที่กำหนดชั้นความลับ "ลับมาก" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง หากเปิดเผยทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง ทำให้นายวิโรจน์ ออกมาแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ถึงท่าทีกระทรวงกลาโหมที่ออกมา . "ถ้าในประเด็นความมั่นคงของประเทศ ผมยืนยันว่ายังไงก็ไม่ลับหรอกครับ แต่ถ้าเป็นความมั่นคงของกระเป๋าของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมก็คิดว่าเป็นไปได้ แถม "ลับมาก" เสียด้วย" ข้อวิจารณ์ของนายวิโรจน์ . ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ความคืบหน้าแผนการปฏิรูปกองทัพ ในการปรับลด ตำแหน่งนายพลระดับสูง อยู่ในสมุดปกขาวกระทรวงกลาโหมอยู่แล้ว และที่ผ่านมามีกระบวนการลดกำลังพลอย่างเป็นขั้น เป็นตอน และที่ผ่านมา ได้มีการลดกำลังพลอยู่แล้ว และตนได้มีการแจ้งอย่างชัดเจนให้รับนโยบายนี้ไปดำเนินการ ซึ่งในปี 2570 จะมีตัวเลขที่ชัดเจน และขณะนี้กระบวนการได้เริ่มต้นแล้ว ส่วนจะไปอย่างไรต่อขึ้นอยู่กับความเป็นจริง แต่ในส่วนของเรามีหน้าที่ในการผลักดันไปตามนโยบาย . "หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ว่ามา เราก็พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องชี้แจงรายวัน ไม่งั้นเป็นเรื่องปิงปอง รวมทั้งยังมีสมุดปกขาวที่ได้มีการระบุอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าในปี 2570 จะมีการลดเหลือเท่าใด ขอให้ไปดูตรงนั้น แล้วค่อยมาว่ากันในภาพรวม ขออย่างเดียวเรื่องเหล่านั้น อย่าเอามาลงรายละเอียด หากลงรายละเอียดเยอะ ก็เป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศด้วย ซึ่งการที่เราจะมาแจ้งจำนวนคน และบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพูดคุยผ่านอากาศ" นายภูมิธรรม ระบุ ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    19
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปชน.แถลงซัดพรรคร่วมรัฐบาลเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กดแสดงตน ทำสภาฯ ล่ม สะท้อนรอยร้าว ขวางแก้ รธน. จี้ นายกฯ แสดงภาวะผู้นำคุมเสียงให้ได้

    วันที่ 13 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังที่ประชุมรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ในวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) ภายหลัง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สมาชิกแสดงตนนับองค์ประชุมเพื่อลงมติของญัตติด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรค 1 (2)

    โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานี้ ตนอยากยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจเต็ม ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งจากทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ได้ในทันที อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่รับวินิจฉัย ในข้อสงสัยเรื่องของการทำหน้าที่ของรัฐสภาที่เกิดผลขึ้นแล้ว และการลงมติในญัตติแรก ที่จะมีการเลื่อนหรือไม่เลื่อน ในการพิจารณาว่าจะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหรือไม่นั้น ผลของการลงมติก็ออกมาแล้วว่า ให้รัฐเดินหน้าต่อในการพิจารณาร่างแก้ไขที่พรรคประชาชนได้เสนอเข้ามา แต่ปรากฏว่า ขณะที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในญัตติดังกล่าว ในการประชุมวาระที่หนึ่งของร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 นี้ มีการเสนอให้นับองค์ประชุม ซึ่งก็มีเพื่อนสมาชิกรัฐสภายู่ในห้องประชุม จากสายตาตนเชื่อว่า มีจำนวนมากกว่าคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะสั่งปิดการประชุม ตามข้อเท็จจริงนี้ ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า มีเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะจากฝั่งรัฐบาลเอง ไม่กดแสดงตน ไม่เป็นองค์ประชุม ทั้งที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้พูดไว้ในห้องประชุมว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวันนี้

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000014445

    #MGROnline #ร่างรัฐธรรมนูญ
    ปชน.แถลงซัดพรรคร่วมรัฐบาลเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กดแสดงตน ทำสภาฯ ล่ม สะท้อนรอยร้าว ขวางแก้ รธน. จี้ นายกฯ แสดงภาวะผู้นำคุมเสียงให้ได้ • วันที่ 13 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังที่ประชุมรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ในวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) ภายหลัง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สมาชิกแสดงตนนับองค์ประชุมเพื่อลงมติของญัตติด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรค 1 (2) • โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานี้ ตนอยากยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจเต็ม ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งจากทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ได้ในทันที อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่รับวินิจฉัย ในข้อสงสัยเรื่องของการทำหน้าที่ของรัฐสภาที่เกิดผลขึ้นแล้ว และการลงมติในญัตติแรก ที่จะมีการเลื่อนหรือไม่เลื่อน ในการพิจารณาว่าจะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหรือไม่นั้น ผลของการลงมติก็ออกมาแล้วว่า ให้รัฐเดินหน้าต่อในการพิจารณาร่างแก้ไขที่พรรคประชาชนได้เสนอเข้ามา แต่ปรากฏว่า ขณะที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในญัตติดังกล่าว ในการประชุมวาระที่หนึ่งของร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 นี้ มีการเสนอให้นับองค์ประชุม ซึ่งก็มีเพื่อนสมาชิกรัฐสภายู่ในห้องประชุม จากสายตาตนเชื่อว่า มีจำนวนมากกว่าคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะสั่งปิดการประชุม ตามข้อเท็จจริงนี้ ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า มีเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะจากฝั่งรัฐบาลเอง ไม่กดแสดงตน ไม่เป็นองค์ประชุม ทั้งที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้พูดไว้ในห้องประชุมว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวันนี้ • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000014445 • #MGROnline #ร่างรัฐธรรมนูญ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ ไม่หนีสภา พร้อมเผชิญหน้าฝ่ายค้าน 'เท้ง' เมินถูกฟ้องปิดปาก
    .
    วันอภิปรายไม่ไว้วางใจใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเข้มข้นถึงทุกขณะ ซึ่งล่าสุดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ยืนยันว่า จะเดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อตอบชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านด้วยตัวเอง พร้อมกับระบุว่ายังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีในห้วงเวลานี้
    .
    “โอ๊ย ดิฉันพร้อมตอบทุกเรื่อง เป็นนายกฯต้องพร้อมตอบทุกเรื่อง” นายกฯตอบคำถามผู้สื่อข่าว
    .
    สำหรับการปรับครม. นายกฯ ระบุว่า “มีโผออกมาว่ายังไง โผเป็นทางการดิฉันเซ็นหรือเปล่า ถ้ายังไม่เซ็นก็ไม่ใช่โผ”
    .
    ด้าน นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน ในช่วงสมัยประชุมจะต้องมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ครั้งนี้จะมีการยื่นและอภิปลายในช่วงปลายเดือนก.พ.68 ส่วนในระยะเวลาที่ของยื่นอภิปราย 5 วัน จะต้องตกลงระหว่างวิปทั้ง 2 ฝ่ายขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับวิปทั้ง3ฝ่าย แต่คงจะต้องพูดคุยกัน
    .
    “หากมีประเด็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย เราจะต้องตอบ แต่หากพาดพิงไปในส่วนบุคคล ก็เป็นหน้าที่ของนายทักษิณเองในการฟ้องร้องซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังว่าประเด็นหรือข้อมูลของฝ่ายค้านที่จะหยิบยกขึ้นอภิปรายนั้น มีอะไรบ้าง” นายสรวศ์ ย้ำ
    .
    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า ไม่มีข้อกังวล เพราะการอภิปรายในสภาได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง พวกเราคงทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมทีมอภิปรายไว้ค่อนข้างครบครัน และจากการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านเมื่อวานก่อน ตอนนี้รอเรื่องการจัดสรรเวลา
    ..............
    Sondhi X
    นายกฯ ไม่หนีสภา พร้อมเผชิญหน้าฝ่ายค้าน 'เท้ง' เมินถูกฟ้องปิดปาก . วันอภิปรายไม่ไว้วางใจใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเข้มข้นถึงทุกขณะ ซึ่งล่าสุดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ยืนยันว่า จะเดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อตอบชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านด้วยตัวเอง พร้อมกับระบุว่ายังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีในห้วงเวลานี้ . “โอ๊ย ดิฉันพร้อมตอบทุกเรื่อง เป็นนายกฯต้องพร้อมตอบทุกเรื่อง” นายกฯตอบคำถามผู้สื่อข่าว . สำหรับการปรับครม. นายกฯ ระบุว่า “มีโผออกมาว่ายังไง โผเป็นทางการดิฉันเซ็นหรือเปล่า ถ้ายังไม่เซ็นก็ไม่ใช่โผ” . ด้าน นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน ในช่วงสมัยประชุมจะต้องมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ครั้งนี้จะมีการยื่นและอภิปลายในช่วงปลายเดือนก.พ.68 ส่วนในระยะเวลาที่ของยื่นอภิปราย 5 วัน จะต้องตกลงระหว่างวิปทั้ง 2 ฝ่ายขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับวิปทั้ง3ฝ่าย แต่คงจะต้องพูดคุยกัน . “หากมีประเด็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย เราจะต้องตอบ แต่หากพาดพิงไปในส่วนบุคคล ก็เป็นหน้าที่ของนายทักษิณเองในการฟ้องร้องซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังว่าประเด็นหรือข้อมูลของฝ่ายค้านที่จะหยิบยกขึ้นอภิปรายนั้น มีอะไรบ้าง” นายสรวศ์ ย้ำ . นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า ไม่มีข้อกังวล เพราะการอภิปรายในสภาได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง พวกเราคงทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมทีมอภิปรายไว้ค่อนข้างครบครัน และจากการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านเมื่อวานก่อน ตอนนี้รอเรื่องการจัดสรรเวลา .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2238 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดไฟใส่กลอน แล้วเข้ามุ้งนอน คิดถึงเมียนมา

    เถียงกันอยู่ตั้งนาน พอทำจริงก็ไม่เห็นจะยาก สำหรับการงดจำหน่ายไฟฟ้า 5 จุดในประเทศเมียนมา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานคลิกเมาส์กดปุ่มงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่ศูนย์ปฎิบัติการระบบไฟฟ้าสำนักงานใหญ่ กฟภ. ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ ถูกวิจารณ์ด้วยความตลกขบขัน ราวกับมีพิธีเปิดงานกีฬาสีแล้วต้องเชิญประธานชักธงขึ้นสู่ยอดเสา

    การงดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังประเทศเมียนมา เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนายอนุทิน กับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ มายังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้านจังหวัดตากและเชียงราย เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยที่หนึ่งในนั้นมีข้อเรียกร้องให้ไทยตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง

    ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมา นายภูมิธรรมอ้างว่าเป็นดุลยพินิจของกระทรวงมหาดไทย เพราะถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง แต่นายอนุทินอ้างว่า กฟภ. รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ทำสัญญากับบริษัทที่ทางการเมียนมาและรัฐบาลไทยรับรอง ที่ตัดไฟไม่ได้เพราะไม่มีคู่เจรจา เป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ ที่ผ่านมา กฟภ. ทำหนังสือไปแล้ว คำตอบอยู่ในสายลม ขณะที่ กฟภ. อ้างว่าเคยส่งหนังสือไปหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานแล้ว แต่กลับไม่ได้คำตอบ

    เมื่อความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมีทีท่าว่าจะบานปลาย ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายภูมิธรรมเรียกประชุม สมช. ด่วน ระบุว่า หากพบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็สามารถตัดไฟได้เลย รวมถึงน้ำมันก็ไม่ต้องส่ง นำมาซึ่งการประชุม สมช. และมีมติออกมาตอนค่ำ ซึ่งวันต่อมานายอนุทินจึงได้ออกมาตัดไฟให้เห็น

    แม้ฝ่ายไทยจะตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้ว แต่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ได้ซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าน้ำทา สปป.ลาว ซึ่งเป็นของกลุ่มทุนจีน ข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อไทยตัดไฟฟ้าก็เพิ่มการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น โดยกำลังเชื่อมต่อกับผู้ใช้ไฟบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-เมียนมาภายใน 1-2 วัน ส่วนฝั่งเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และฝั่งพญาตองซู รัฐมอญ ยังคงสว่างไสวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟผลิตไฟฟ้าใช้ภายในอาคารต่างๆ แม้จะลดการใช้ไฟประดับตกแต่งอาคารก็ตาม

    หมายเหตุ : พาดหัวดัดแปลงมาจากเพลงฉันทนาที่รัก ของรักชาติ ศิริชัย

    #Newskit
    ตัดไฟใส่กลอน แล้วเข้ามุ้งนอน คิดถึงเมียนมา เถียงกันอยู่ตั้งนาน พอทำจริงก็ไม่เห็นจะยาก สำหรับการงดจำหน่ายไฟฟ้า 5 จุดในประเทศเมียนมา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานคลิกเมาส์กดปุ่มงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่ศูนย์ปฎิบัติการระบบไฟฟ้าสำนักงานใหญ่ กฟภ. ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ ถูกวิจารณ์ด้วยความตลกขบขัน ราวกับมีพิธีเปิดงานกีฬาสีแล้วต้องเชิญประธานชักธงขึ้นสู่ยอดเสา การงดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังประเทศเมียนมา เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนายอนุทิน กับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ มายังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้านจังหวัดตากและเชียงราย เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยที่หนึ่งในนั้นมีข้อเรียกร้องให้ไทยตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมา นายภูมิธรรมอ้างว่าเป็นดุลยพินิจของกระทรวงมหาดไทย เพราะถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง แต่นายอนุทินอ้างว่า กฟภ. รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ทำสัญญากับบริษัทที่ทางการเมียนมาและรัฐบาลไทยรับรอง ที่ตัดไฟไม่ได้เพราะไม่มีคู่เจรจา เป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ ที่ผ่านมา กฟภ. ทำหนังสือไปแล้ว คำตอบอยู่ในสายลม ขณะที่ กฟภ. อ้างว่าเคยส่งหนังสือไปหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานแล้ว แต่กลับไม่ได้คำตอบ เมื่อความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมีทีท่าว่าจะบานปลาย ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายภูมิธรรมเรียกประชุม สมช. ด่วน ระบุว่า หากพบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็สามารถตัดไฟได้เลย รวมถึงน้ำมันก็ไม่ต้องส่ง นำมาซึ่งการประชุม สมช. และมีมติออกมาตอนค่ำ ซึ่งวันต่อมานายอนุทินจึงได้ออกมาตัดไฟให้เห็น แม้ฝ่ายไทยจะตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้ว แต่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ได้ซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าน้ำทา สปป.ลาว ซึ่งเป็นของกลุ่มทุนจีน ข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อไทยตัดไฟฟ้าก็เพิ่มการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น โดยกำลังเชื่อมต่อกับผู้ใช้ไฟบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-เมียนมาภายใน 1-2 วัน ส่วนฝั่งเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และฝั่งพญาตองซู รัฐมอญ ยังคงสว่างไสวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟผลิตไฟฟ้าใช้ภายในอาคารต่างๆ แม้จะลดการใช้ไฟประดับตกแต่งอาคารก็ตาม หมายเหตุ : พาดหัวดัดแปลงมาจากเพลงฉันทนาที่รัก ของรักชาติ ศิริชัย #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 800 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เสื้อแดง-เพื่อไทย' แตก แพ้เลือกตั้งท้องถิ่น 'อนุทิน' ไม่ประมาท 'ทักษิณ'
    .
    ความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษของพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่าก่อให้เกิดผลกระทบทางการเมืองตามมาพอสมควร โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงจังหวัดศรีสะเกษออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะส.ส.พรรคเพื่อไทยด้อยค่ามวลชนในพื้นที่
    .
    จากประเด็นดังกล่าวทำให้นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นกรณี แกนนำคนเสื้อแดงศรีสะเกษแถลงข่าวถูกคนในเพื่อไทยด้อยค่า ไม่ให้เกียรติ โดยระบุว่า "ขอพูดตรงๆ ในฐานะคนเสื้อแดง ผมเองก็พบเจ เรื่องแบบที่แกนนำศรีสะเกษพูดว่า ไม่ให้เกียรติคนเสื้อแดง กลับจากต่างประเทศ เข้าพรรควันแรกได้ยินคนในพรรคสอนว่าอย่าแดงมาก ไม่เชื่อหู นึกว่าเข้าพรรคผิดผมไม่สนใจ เดินหน้าแดงต่อไป
    .
    "ในการเลือกตั้ง ปี’66 จน จบภารกิจจนถึงเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก จนเลือก นายก อบจ.ครั้งนี้ จะไปช่วยหาเสียง เดินทางไปเอง แท้ๆ ยังไม่มี ที่ยืนแม้แต่ถ่ายรูป ไม่เกี่ยวกับ คุณทักษิณนะครับ คุณทักษิณ ไปไหนยังถามหาพี่น้องเราเสมอ ไม่เคยลืม ยังจำพี่น้องเราได้แม้ แต่แกนนำ เล็กๆ แต่คือ คนในพรรควันนี้ คนของพรรคชุดนี้ทำอะไร ไม่เคยคิดถึงใจคนเสื้อแดง เป็นมุ้งเป็นเหล่า เอาแต่พวกอุดมการณ์คืออะไร ไม่ชัดเจน เสื้อแดงไม่ต้องการอะไร แค่ให้เกียรติกันบ้าง เท่านั้นยังไม่มี ที่บอกไม่มีอุดมการณ์ไม่ใช่ใส่ความ แต่ได้ยินกับหู ช่วงส้มกำลังตึง คนในพรรคบอก “ไม่เอาแดง" อย่าแดงมาก รวมทั้งการเอาฝ่ายตรงข้ามมา มีบทบาทในพรรค นอกพรรค…ทั้งที่คนเหล่านั้น คือ นกหวีด สลิ่ม ไม่ต้องมาให้ตำแหน่ง อะไรกับคนเสื้อแดง แต่เอาฝ่ายตรงข้าม มามีตำแหน่ง นี่ผมยังอึ้งคนในพรรคเปลี่ยนไปได้ขนาดนั่น"
    .
    ด้าน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกับส.ส.ของพรรคเพื่อไทยตอนหนึ่งว่า เลือกตั้งนายก อบจ.มีแพ้ มีชนะ ครั้งนี้พรรคทำเต็มที่ พยายามประสานความเห็นที่แตกต่าง ทำให้เหนื่อยในการเคลียร์ อยากให้ปล่อยวางเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ และเป็นผลดีกับเรา ถ้ารวมใจกันชนะได้เหมือนบางจังหวัดที่เรารวมกันได้ก็ชนะ แต่จังหวัดที่มีความขัดแย้ง เพราะไม่ยอมกัน เราแตกสามัคคี
    .
    "ดังนั้นอยากให้ทุกคนปล่อยวาง ลดตัวตนของตัวเอง ความคิดความอ่านเพื่อให้เห็นแก่พรรค แก่ส่วนรวม"
    .
    ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย แสดงความคิดเห็นว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นที่่ผ่านมาว่าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรตอนนี้ทุกอย่างจบแล้วต้องมองไปข้างหน้า แข่งขันกันเสร็จก็กลับมาทำงาน ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองด้วยกันต่อไป
    .
    "ไม่มีหรอกสิ้นมนต์ขลัง จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์ ใครลองไปว่าท่านสิ้นมนต์ขลังดู คงจะประสบความหายนะอย่างยิ่ง อย่างที่ไม่เคยคาดการณ์หรือประมาณอะไรได้ ไม่มีหรอกครับ ยิ่งน่ากลัว" นายอนุทิน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่าทักษิณสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือไม่
    ..............
    Sondhi X
    'เสื้อแดง-เพื่อไทย' แตก แพ้เลือกตั้งท้องถิ่น 'อนุทิน' ไม่ประมาท 'ทักษิณ' . ความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษของพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่าก่อให้เกิดผลกระทบทางการเมืองตามมาพอสมควร โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงจังหวัดศรีสะเกษออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะส.ส.พรรคเพื่อไทยด้อยค่ามวลชนในพื้นที่ . จากประเด็นดังกล่าวทำให้นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นกรณี แกนนำคนเสื้อแดงศรีสะเกษแถลงข่าวถูกคนในเพื่อไทยด้อยค่า ไม่ให้เกียรติ โดยระบุว่า "ขอพูดตรงๆ ในฐานะคนเสื้อแดง ผมเองก็พบเจ เรื่องแบบที่แกนนำศรีสะเกษพูดว่า ไม่ให้เกียรติคนเสื้อแดง กลับจากต่างประเทศ เข้าพรรควันแรกได้ยินคนในพรรคสอนว่าอย่าแดงมาก ไม่เชื่อหู นึกว่าเข้าพรรคผิดผมไม่สนใจ เดินหน้าแดงต่อไป . "ในการเลือกตั้ง ปี’66 จน จบภารกิจจนถึงเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก จนเลือก นายก อบจ.ครั้งนี้ จะไปช่วยหาเสียง เดินทางไปเอง แท้ๆ ยังไม่มี ที่ยืนแม้แต่ถ่ายรูป ไม่เกี่ยวกับ คุณทักษิณนะครับ คุณทักษิณ ไปไหนยังถามหาพี่น้องเราเสมอ ไม่เคยลืม ยังจำพี่น้องเราได้แม้ แต่แกนนำ เล็กๆ แต่คือ คนในพรรควันนี้ คนของพรรคชุดนี้ทำอะไร ไม่เคยคิดถึงใจคนเสื้อแดง เป็นมุ้งเป็นเหล่า เอาแต่พวกอุดมการณ์คืออะไร ไม่ชัดเจน เสื้อแดงไม่ต้องการอะไร แค่ให้เกียรติกันบ้าง เท่านั้นยังไม่มี ที่บอกไม่มีอุดมการณ์ไม่ใช่ใส่ความ แต่ได้ยินกับหู ช่วงส้มกำลังตึง คนในพรรคบอก “ไม่เอาแดง" อย่าแดงมาก รวมทั้งการเอาฝ่ายตรงข้ามมา มีบทบาทในพรรค นอกพรรค…ทั้งที่คนเหล่านั้น คือ นกหวีด สลิ่ม ไม่ต้องมาให้ตำแหน่ง อะไรกับคนเสื้อแดง แต่เอาฝ่ายตรงข้าม มามีตำแหน่ง นี่ผมยังอึ้งคนในพรรคเปลี่ยนไปได้ขนาดนั่น" . ด้าน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกับส.ส.ของพรรคเพื่อไทยตอนหนึ่งว่า เลือกตั้งนายก อบจ.มีแพ้ มีชนะ ครั้งนี้พรรคทำเต็มที่ พยายามประสานความเห็นที่แตกต่าง ทำให้เหนื่อยในการเคลียร์ อยากให้ปล่อยวางเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ และเป็นผลดีกับเรา ถ้ารวมใจกันชนะได้เหมือนบางจังหวัดที่เรารวมกันได้ก็ชนะ แต่จังหวัดที่มีความขัดแย้ง เพราะไม่ยอมกัน เราแตกสามัคคี . "ดังนั้นอยากให้ทุกคนปล่อยวาง ลดตัวตนของตัวเอง ความคิดความอ่านเพื่อให้เห็นแก่พรรค แก่ส่วนรวม" . ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย แสดงความคิดเห็นว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นที่่ผ่านมาว่าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรตอนนี้ทุกอย่างจบแล้วต้องมองไปข้างหน้า แข่งขันกันเสร็จก็กลับมาทำงาน ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองด้วยกันต่อไป . "ไม่มีหรอกสิ้นมนต์ขลัง จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์ ใครลองไปว่าท่านสิ้นมนต์ขลังดู คงจะประสบความหายนะอย่างยิ่ง อย่างที่ไม่เคยคาดการณ์หรือประมาณอะไรได้ ไม่มีหรอกครับ ยิ่งน่ากลัว" นายอนุทิน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่าทักษิณสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือไม่ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    17
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2312 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณหมดสเน่ห์ ภูมิใจไทย ประชาชน ได้ส่วนแบ่งการตลาดเกินครึ่ง
    ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. ที่เสร็จสิ้นแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นสัญญาณที่ทําให้ภาพการเมืองของประเทศไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีความชัดเจนระดับหนึ่งโดยเฉพาะขั้วการเมืองสามสี แดง ส้ม น้ําเงิน แม้ว่าถ้ามองในตัวเลขของจํานวนเก้าอี้ที่เพื่อไทยได้มาถึง 10 เก้าอี้นั้น เมื่อพิจารณาถึงจุดคุ้มทุนแล้วต้องยอมรับว่าด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยก็ขาดทุนไปไม่น้อยเช่นกัน
    เพราะแต่ละสนามที่เพื่อไทยลงแข่งขันนั้นทักษิณชินวัตรนายใหญ่ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปราศรัยด้วยท่าทีดุดัน แต่ก็สามารถชนะคู่แข่งได้เพียงหนึ่งที่นั่งเท่านั้น
    โดยอันดับสองอย่างภาคภูมิใจไทยที่ไม่ได้ประกาศส่งผู้สมัครอย่างเป็นทางการแต่ใช้วิธีกาสนับสนุนอยู่แบบห่างห่างอย่างห่วงห่วงกลับได้เก้าอี้มาถึงเก้าที่นั่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงกลายเป็นคําถามตัวใหญ่ขึ้นมาว่าทักษิณเสื่อมมนต์ขลังแล้วหรือไม่
    ย้อนกลับไปที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมามักจะประกาศว่าต้องการชนะในทุกพื้นที่ที่ได้ส่งผู้สมัครเพื่อจะประกาศชัยชนะ แบบแลนด์สไลด์ก่อนไปศึกใหญ่อย่างการเลือกตั้งระดับประเทศ จึงเป็นที่มาที่ทําให้ครอบครัวชินวัตรต้องลงแรงหาเสียงให้สมศักดิ์ศรีกับการกลับมาประเทศไทยของทักษิณ เพราะหากทักษิณลงสนามแล้วแพ้ แน่นอนว่าขวัญและกําลังใจของเหล่าสาวกในพรรคเพื่อไทยน่าจะกระเจิง
    แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาทักษิณและพรรคเพื่อไทยเองก็เดินเกมผิดพลาดมาตลอดเพราะแต่ละเวทีปราศรัยของทักษิณมักจะเน้นไปที่นโยบายของรัฐบาล
    เพื่ออวยแพทองธารชินวัตร มากกว่าการช่วยโปรโมทสรรพคุณผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและนโยบายการทํางานเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวใจของการเลือกตั้งท้องถิ่น
    ก่อนเข้าสู่ศึกใหญ่ในปี ๒๕๗๐การเมืองไทยนับจากนี้จะเป็นลักษณะของ ๓ ขั้วใหญ่แดง ส้ม น้ําเงิน ถึงผลการเลือกตั้งท้องถิ่น อาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอนาคตทางการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่ทุกขั้วการเมือง มีการบ้านที่ต้องรับไปทําอย่างลึกซึ้ง แน่นอน
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ทักษิณหมดสเน่ห์ ภูมิใจไทย ประชาชน ได้ส่วนแบ่งการตลาดเกินครึ่ง ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. ที่เสร็จสิ้นแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นสัญญาณที่ทําให้ภาพการเมืองของประเทศไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีความชัดเจนระดับหนึ่งโดยเฉพาะขั้วการเมืองสามสี แดง ส้ม น้ําเงิน แม้ว่าถ้ามองในตัวเลขของจํานวนเก้าอี้ที่เพื่อไทยได้มาถึง 10 เก้าอี้นั้น เมื่อพิจารณาถึงจุดคุ้มทุนแล้วต้องยอมรับว่าด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยก็ขาดทุนไปไม่น้อยเช่นกัน เพราะแต่ละสนามที่เพื่อไทยลงแข่งขันนั้นทักษิณชินวัตรนายใหญ่ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปราศรัยด้วยท่าทีดุดัน แต่ก็สามารถชนะคู่แข่งได้เพียงหนึ่งที่นั่งเท่านั้น โดยอันดับสองอย่างภาคภูมิใจไทยที่ไม่ได้ประกาศส่งผู้สมัครอย่างเป็นทางการแต่ใช้วิธีกาสนับสนุนอยู่แบบห่างห่างอย่างห่วงห่วงกลับได้เก้าอี้มาถึงเก้าที่นั่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงกลายเป็นคําถามตัวใหญ่ขึ้นมาว่าทักษิณเสื่อมมนต์ขลังแล้วหรือไม่ ย้อนกลับไปที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมามักจะประกาศว่าต้องการชนะในทุกพื้นที่ที่ได้ส่งผู้สมัครเพื่อจะประกาศชัยชนะ แบบแลนด์สไลด์ก่อนไปศึกใหญ่อย่างการเลือกตั้งระดับประเทศ จึงเป็นที่มาที่ทําให้ครอบครัวชินวัตรต้องลงแรงหาเสียงให้สมศักดิ์ศรีกับการกลับมาประเทศไทยของทักษิณ เพราะหากทักษิณลงสนามแล้วแพ้ แน่นอนว่าขวัญและกําลังใจของเหล่าสาวกในพรรคเพื่อไทยน่าจะกระเจิง แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาทักษิณและพรรคเพื่อไทยเองก็เดินเกมผิดพลาดมาตลอดเพราะแต่ละเวทีปราศรัยของทักษิณมักจะเน้นไปที่นโยบายของรัฐบาล เพื่ออวยแพทองธารชินวัตร มากกว่าการช่วยโปรโมทสรรพคุณผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและนโยบายการทํางานเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวใจของการเลือกตั้งท้องถิ่น ก่อนเข้าสู่ศึกใหญ่ในปี ๒๕๗๐การเมืองไทยนับจากนี้จะเป็นลักษณะของ ๓ ขั้วใหญ่แดง ส้ม น้ําเงิน ถึงผลการเลือกตั้งท้องถิ่น อาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอนาคตทางการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่ทุกขั้วการเมือง มีการบ้านที่ต้องรับไปทําอย่างลึกซึ้ง แน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาสิโนถูกกฎหมาย รอยร้าวใหม่ ระหว่างพรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ที่ดูท่าทางจะยังดีลไม่จบกับการแบ่งเค้กของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เลยต้องหาทางต่อรองกันต่อไป

    #กาสิโนดีลไม่จบ #มหาโปรเจกต์เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอลมเพล็กซ์ #เพิ่มโทษเล่นการพนัน #กาสิโน #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #แบ่งเค้ก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    กาสิโนถูกกฎหมาย รอยร้าวใหม่ ระหว่างพรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ที่ดูท่าทางจะยังดีลไม่จบกับการแบ่งเค้กของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เลยต้องหาทางต่อรองกันต่อไป #กาสิโนดีลไม่จบ #มหาโปรเจกต์เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอลมเพล็กซ์ #เพิ่มโทษเล่นการพนัน #กาสิโน #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #แบ่งเค้ก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Haha
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2185 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • 'เพื่อไทย'ไม่รับความจริง 'ทักษิณ' มนต์เสื่อม 'โทษรัฐราชการ-เศรษฐกิจไม่ดี'
    .
    หากพรรคประชาชนอ้างว่าการเลือกตั้งในวันเสาร์เป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่ได้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามเป้าหมาย ข้ออ้างถึงความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยก็คงมีไม่ต่างกัน โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ระบุว่า "รอบนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของคะแนนไม่มอบตัวเป็นของง่ายของใคร ทุกพรรคมีบทเรียนสำคัญให้ต้องสรุป และมีการบ้านข้อใหญ่ให้ต้องแก้ไข ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อจะเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งใหญ่"
    .
    "เพื่อไทยส่ง 16 ได้ 10 จังหวัด (บางสื่อว่าได้ 18 รวมคนในเครือข่ายของพรรคด้วย)ไม่คิดว่าจะแพ้ที่เชียงรายกับลำพูน ศรีสะเกษเรารู้ดีว่าไม่ง่าย แต่คิดว่าถ้าชนะก็สูสี หรือหากแพ้คะแนนน่าจะใกล้กันกว่านี้
    พรรคประชาชนส่ง 17 ได้ 1 จังหวัด พื้นที่ซึ่งมีส.ส.ยกจังหวัดแพ้ทุกที่ น่าสนใจว่าส่วนนำจะวิเคราะห์ผลอย่างไร พรรคอนุรักษ์นิยมไม่ได้เปิดตัวชัด แต่รู้กันในทีว่าไผเป็นไผ เสียแชมป์ก็มี ป้องกันแชมป์ได้ก็เห็น แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นขาขึ้น มองดีๆผมว่าไม่ใช่ เชื่อว่าคนทำงานต้องอ่านสัญญาณกันละเอียดเช่นกัน"
    .
    "ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง? นายกทักษิณและพรรคตั้งแต่ไทยรักไทยถึงเพื่อไทย ไม่เคยชนะเลือกตั้งด้วยเวทมนต์ แต่สำเร็จด้วยผลงานและนโยบายที่ทำได้จริง ประชาชนที่เลือกเล่าได้เป็นฉากๆว่าเลือกเพราะอะไร นโยบายไหนโดนใจ การว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลยาวนานร่วมทศวรรษทำให้จุดแข็งนี้พร่าเลือนไป กลับมาเป็นรัฐบาลผสมภายใต้แรงกดดันทางการเมือง เผชิญกับรัฐราชการที่รัฐบาลก่อนปักหมุดไว้ สภาพเศรษฐกิจที่ดำดิ่งต่อเนื่อง การผลักดันนโยบายจึงไม่ง่าย การบุกเบิกจากรัฐบาลเศรษฐาถึงรัฐบาลแพทองธาร ทำให้เนื้องานที่วางไว้เริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังแตกต่างถ้าเทียบกับความสำเร็จยุคไทยรักไทย และยังพูดว่าสำเร็จไม่ได้จนกว่าจะมีรูปธรรมที่ชัดเจนกว่านี้ ซึ่ง 2568 คือปีสำคัญ ชี้ขาดโดยหลายนโยบายที่กำลังเดินหน้าอยู่ ถ้าผลงานออกชัด งานในสนามเลือกตั้งของเพื่อไทยจะลดความยากลง
    .
    "บางคนถามว่าทักษิณมาเองได้แค่นี้หรือ? ผมว่าต้องถามใหม่คือ ถ้าทักษิณไม่ลงพื้นที่จะได้ขนาดนี้หรือไม่?นายกทักษิณยังคงมีพลังทางการเมือง ส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย 10 จาก 16 ที่ถือว่าผ่าน ได้มากกว่าทุกพรรคด้วย" นายณัฐวุฒิ ระบุ
    .
    ด้าน นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกฯอบจ.เชียงใหม่ แสดงทัศนะว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นกับการเลือกตั้งระดับชาติแตกต่างกัน แต่เฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ตนมองว่าการหาเสียงครั้งนี้ไม่ต่างจากการเลือกตั้งใหญ่ แต่การเลือกตั้งนายกฯอบจ.ครั้งนี้ เราทำงานกันอย่างหนัก ประชาชนเริ่มเข้าใจหลักการทำงานของพรรคเพื่อไทย จนทำให้กลับมาเป็นสีแดงเหมือนเดิม ทำให้เชื่อว่าภาพการเมืองใหญ่ที่เหลือเวลา 2 ปีกว่าจะมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแดงที่เปลี่ยนไปเลือกส้มจะกลับมาเป็นแดงเหมือนเดิมแล้วเพื่อไทยจะกลับมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
    ..............
    Sondhi X
    'เพื่อไทย'ไม่รับความจริง 'ทักษิณ' มนต์เสื่อม 'โทษรัฐราชการ-เศรษฐกิจไม่ดี' . หากพรรคประชาชนอ้างว่าการเลือกตั้งในวันเสาร์เป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่ได้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามเป้าหมาย ข้ออ้างถึงความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยก็คงมีไม่ต่างกัน โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ระบุว่า "รอบนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของคะแนนไม่มอบตัวเป็นของง่ายของใคร ทุกพรรคมีบทเรียนสำคัญให้ต้องสรุป และมีการบ้านข้อใหญ่ให้ต้องแก้ไข ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อจะเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งใหญ่" . "เพื่อไทยส่ง 16 ได้ 10 จังหวัด (บางสื่อว่าได้ 18 รวมคนในเครือข่ายของพรรคด้วย)ไม่คิดว่าจะแพ้ที่เชียงรายกับลำพูน ศรีสะเกษเรารู้ดีว่าไม่ง่าย แต่คิดว่าถ้าชนะก็สูสี หรือหากแพ้คะแนนน่าจะใกล้กันกว่านี้ พรรคประชาชนส่ง 17 ได้ 1 จังหวัด พื้นที่ซึ่งมีส.ส.ยกจังหวัดแพ้ทุกที่ น่าสนใจว่าส่วนนำจะวิเคราะห์ผลอย่างไร พรรคอนุรักษ์นิยมไม่ได้เปิดตัวชัด แต่รู้กันในทีว่าไผเป็นไผ เสียแชมป์ก็มี ป้องกันแชมป์ได้ก็เห็น แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นขาขึ้น มองดีๆผมว่าไม่ใช่ เชื่อว่าคนทำงานต้องอ่านสัญญาณกันละเอียดเช่นกัน" . "ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง? นายกทักษิณและพรรคตั้งแต่ไทยรักไทยถึงเพื่อไทย ไม่เคยชนะเลือกตั้งด้วยเวทมนต์ แต่สำเร็จด้วยผลงานและนโยบายที่ทำได้จริง ประชาชนที่เลือกเล่าได้เป็นฉากๆว่าเลือกเพราะอะไร นโยบายไหนโดนใจ การว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลยาวนานร่วมทศวรรษทำให้จุดแข็งนี้พร่าเลือนไป กลับมาเป็นรัฐบาลผสมภายใต้แรงกดดันทางการเมือง เผชิญกับรัฐราชการที่รัฐบาลก่อนปักหมุดไว้ สภาพเศรษฐกิจที่ดำดิ่งต่อเนื่อง การผลักดันนโยบายจึงไม่ง่าย การบุกเบิกจากรัฐบาลเศรษฐาถึงรัฐบาลแพทองธาร ทำให้เนื้องานที่วางไว้เริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังแตกต่างถ้าเทียบกับความสำเร็จยุคไทยรักไทย และยังพูดว่าสำเร็จไม่ได้จนกว่าจะมีรูปธรรมที่ชัดเจนกว่านี้ ซึ่ง 2568 คือปีสำคัญ ชี้ขาดโดยหลายนโยบายที่กำลังเดินหน้าอยู่ ถ้าผลงานออกชัด งานในสนามเลือกตั้งของเพื่อไทยจะลดความยากลง . "บางคนถามว่าทักษิณมาเองได้แค่นี้หรือ? ผมว่าต้องถามใหม่คือ ถ้าทักษิณไม่ลงพื้นที่จะได้ขนาดนี้หรือไม่?นายกทักษิณยังคงมีพลังทางการเมือง ส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย 10 จาก 16 ที่ถือว่าผ่าน ได้มากกว่าทุกพรรคด้วย" นายณัฐวุฒิ ระบุ . ด้าน นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกฯอบจ.เชียงใหม่ แสดงทัศนะว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นกับการเลือกตั้งระดับชาติแตกต่างกัน แต่เฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ตนมองว่าการหาเสียงครั้งนี้ไม่ต่างจากการเลือกตั้งใหญ่ แต่การเลือกตั้งนายกฯอบจ.ครั้งนี้ เราทำงานกันอย่างหนัก ประชาชนเริ่มเข้าใจหลักการทำงานของพรรคเพื่อไทย จนทำให้กลับมาเป็นสีแดงเหมือนเดิม ทำให้เชื่อว่าภาพการเมืองใหญ่ที่เหลือเวลา 2 ปีกว่าจะมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแดงที่เปลี่ยนไปเลือกส้มจะกลับมาเป็นแดงเหมือนเดิมแล้วเพื่อไทยจะกลับมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    25
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1747 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts