• "มท.อ้วน" ขออย่ามองลบปมสั่งปิดประชุมสภาฯ รับตามสภาพ สส.ที่เป็น รมต.ต้องหอบงานไปทำ ป้องกันสภาล่ม ชี้หน.พรรคร่วมต้องกำชับ สส.เข้าประชุม บอกปกติสามารถเกิดขึ้นได้ เผยยังไม่ได้คุยฝ่าย กม.เป็นรูปธรรม กรณีอำนาจรักษาการนายกฯยุบสภาได้หรือไม่ ยันทำตามอำนาจที่ รธน.

    วันนี้ (3ก.ค.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง สั่งปิดการประชุมระหว่างฝ่ายค้านขอให้นับองค์ประชุม ว่าเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ แต่เคยกำชับไว้แล้วว่าให้ทุกคนทำหน้าที่ในช่วงรอยต่อ ซึ่งอาจจะยังมีปัญหาอยู่บ้าง

    ส่วนที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีการระบุว่าสส.กว่า 90% ของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมประชุมในวันนี้ แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าร่วมเป็นสส.ของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งต้องให้ทางหัวหน้าพรรคกำชับกันต่อไป

    ทั้งนี้ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีจะประสานแก้ปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร หรือ ต้องให้วิปรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ นายภูมิธรรม ระบุว่า ทุกคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ซึ่งตนเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อช่วง 14:00 น. ที่ผ่านมา จึงเพิ่งได้เริ่มพูดคุยกัน ฉะนั้นต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่อง อะไรที่เคยทำและอะไรที่ควรทำตนก็ต้องทำ ขณะที่เรื่องของสภาวิปรัฐบาลก็ได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแต่งตั้งใหม่และกระบวนการต่างๆยังไม่ครบถ้วนจึงขอให้รอครบถ้วนก่อน เพราะตรงนี้เป็นปัญหาแต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ดังนั้นก็ต้องแก้ไขปัญหากันต่อ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000062818

    #MGROnline #ภูมิธรรมเวชยชัย #รองนายกรัฐมนตรี #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย #รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
    "มท.อ้วน" ขออย่ามองลบปมสั่งปิดประชุมสภาฯ รับตามสภาพ สส.ที่เป็น รมต.ต้องหอบงานไปทำ ป้องกันสภาล่ม ชี้หน.พรรคร่วมต้องกำชับ สส.เข้าประชุม บอกปกติสามารถเกิดขึ้นได้ เผยยังไม่ได้คุยฝ่าย กม.เป็นรูปธรรม กรณีอำนาจรักษาการนายกฯยุบสภาได้หรือไม่ ยันทำตามอำนาจที่ รธน. • วันนี้ (3ก.ค.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง สั่งปิดการประชุมระหว่างฝ่ายค้านขอให้นับองค์ประชุม ว่าเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ แต่เคยกำชับไว้แล้วว่าให้ทุกคนทำหน้าที่ในช่วงรอยต่อ ซึ่งอาจจะยังมีปัญหาอยู่บ้าง • ส่วนที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีการระบุว่าสส.กว่า 90% ของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมประชุมในวันนี้ แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าร่วมเป็นสส.ของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งต้องให้ทางหัวหน้าพรรคกำชับกันต่อไป • ทั้งนี้ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีจะประสานแก้ปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร หรือ ต้องให้วิปรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ นายภูมิธรรม ระบุว่า ทุกคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ซึ่งตนเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อช่วง 14:00 น. ที่ผ่านมา จึงเพิ่งได้เริ่มพูดคุยกัน ฉะนั้นต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่อง อะไรที่เคยทำและอะไรที่ควรทำตนก็ต้องทำ ขณะที่เรื่องของสภาวิปรัฐบาลก็ได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแต่งตั้งใหม่และกระบวนการต่างๆยังไม่ครบถ้วนจึงขอให้รอครบถ้วนก่อน เพราะตรงนี้เป็นปัญหาแต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ดังนั้นก็ต้องแก้ไขปัญหากันต่อ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000062818 • #MGROnline #ภูมิธรรมเวชยชัย #รองนายกรัฐมนตรี #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย #รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19 มิถุนายน 2568 -รายงานข่าวเพจ The Better ระบุว่าสเตฟานี เจิ้ง อ้างว่า เจิ้งจื่อเจี้ยน พ่อของเธอถูกพาตัวไปโดยถูกบังคับที่สนามบินพนมเปญในกัมพูชา ขณะที่พ่อของเธอมีกำหนดเข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา เพื่อเปิดโปงการฉ้อโกงของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เจีย โซทุน (Chea Sothun) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินจำนวนมากจาก เจิ้งจื่อเจี้ยน เธอมีเหตุผลที่จะสงสัยว่านี่เป็น "การกระทำทางการเมืองโดยเจตนา" เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อของเธอเปิดโปงคดีทุจริต สเตฟานี เจิ้ง อ้างว่าพ่อของเธอถูกลักพาตัว และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลของพ่อของเธอทางโซเชียลมีเดียติดตามรายละเอียดได้ที่นี่https://www.thebetter.co.th/news/world/31465
    19 มิถุนายน 2568 -รายงานข่าวเพจ The Better ระบุว่าสเตฟานี เจิ้ง อ้างว่า เจิ้งจื่อเจี้ยน พ่อของเธอถูกพาตัวไปโดยถูกบังคับที่สนามบินพนมเปญในกัมพูชา ขณะที่พ่อของเธอมีกำหนดเข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา เพื่อเปิดโปงการฉ้อโกงของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เจีย โซทุน (Chea Sothun) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินจำนวนมากจาก เจิ้งจื่อเจี้ยน เธอมีเหตุผลที่จะสงสัยว่านี่เป็น "การกระทำทางการเมืองโดยเจตนา" เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อของเธอเปิดโปงคดีทุจริต สเตฟานี เจิ้ง อ้างว่าพ่อของเธอถูกลักพาตัว และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลของพ่อของเธอทางโซเชียลมีเดียติดตามรายละเอียดได้ที่นี่https://www.thebetter.co.th/news/world/31465
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง

    เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง

    แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท

    ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ]
    .
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด
    .
    เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒
    .
    การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่
    .
    ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร
    .
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...”
    .
    จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...”

    ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย

    คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท

    แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16

    บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ] . พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด . เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ . การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่ . ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร . รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...” . จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...” ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16 บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • 9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี”

    เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน

    แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา

    จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี

    ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥)

    เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์

    แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น

    บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด
    บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
    บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์

    จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์

    ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย!

    จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น

    สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

    แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน

    รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก

    ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

    ธุรกิจเคมีภัณฑ์

    อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด

    ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู

    แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์

    มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า

    “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง”

    ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง

    สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที

    บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ

    “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้

    “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ

    นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้

    มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

    จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์

    จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568

    #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” 🐉 มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี” 📅 เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา 🧠 จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี 🇹🇭 👦 ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥) 👨‍👩‍👧‍👦 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์ แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น 🏗️ บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด ⚗️ บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 🧪 บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์ จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์ 💪 🏛️ ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย! 🗳️ 🏆 จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 🚆 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🏢 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 🌾 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 💰 บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น 👑 สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 📌 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🎯 ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน 💸 รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล 📈 จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 🏗️ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 📦 อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด 🏢 ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ⌚🚗 แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ 🌸 มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง” 🧱 ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที 📌 บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้ “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้ 📜 มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 🐉 จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์ จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย 🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568 🔖 #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1019 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 เมษายน 2568 -รายงานประกาศของราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ฉบับแรก เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร ที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(7) (ภู) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 47(พ.ศ. 2541)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่เมษายน พ.ศ.2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว สำหรับผู้ซื้อออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกินเจ็ดล้านบาทเป็นพิเศษโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝด และบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569ฉบับที่สอง เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 1(7) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน ท.ศ. 2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดในการโอนและการจำนองห้องชุดสำหรับผู้ชื่อห้องชุดราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเป็นพิเศษ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนห้องชุดและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนห้องชุดดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์และการจำนองห้องชุดในอาคารชุดที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมาย ว่าด้วยอาคารชุด ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อท้องชุดซึ่งเป็นบุคคธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
    22 เมษายน 2568 -รายงานประกาศของราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ฉบับแรก เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร ที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(7) (ภู) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 47(พ.ศ. 2541)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่เมษายน พ.ศ.2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว สำหรับผู้ซื้อออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกินเจ็ดล้านบาทเป็นพิเศษโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝด และบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569ฉบับที่สอง เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 1(7) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน ท.ศ. 2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดในการโอนและการจำนองห้องชุดสำหรับผู้ชื่อห้องชุดราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเป็นพิเศษ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนห้องชุดและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนห้องชุดดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์และการจำนองห้องชุดในอาคารชุดที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมาย ว่าด้วยอาคารชุด ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อท้องชุดซึ่งเป็นบุคคธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ ไม่ติดใจ “ไชยชนก” ประกาศกลางสภา ไม่เอากาสิโน ชี้ เป็นเรื่องภายใน ภท.เคลียร์กันเอง บอกไม่หนุนความขัดแย้ง ไม่อยากทะเลาะ ตื่นมาแล้วหน้าไม่สดใส ขณะที่ “อนุทิน” รีบปัดพัลวันการโหวตต้องเป็นมติพรรค แม้ส่วนตัวไม่เห็นด้วย ขอโทษนายกฯ แล้ว

    เมื่อเวลา 09.05 น. วันนี้ (10 เม.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรีหลังที่ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภา ค้านกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ได้คุยกันแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เข้าใจหรือไม่ ว่า สิ่งที่ นายไชยชนก พูดเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติพรรค นายอนุทิน กล่าวว่า ได้กล่าวขออภัยนายกฯ ไปแล้ว ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ได้ชี้แจงว่า ไม่ใช่มติพรรค แต่เข้าใจว่า ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น

    เมื่อถามว่า ในวันลงมติโหวตพรรคภูมิใจไทย จะให้เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ละบุคคลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวแทรกทันที ว่า ไม่ครับสนับสนุนรัฐบาล เมื่อถามว่า แม้ว่า นายไชยชนก จะเป็นเลขาธิการพรรค จะต้องทำตามมติของพรรคใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจกันอยู่แล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000034147

    #MGROnline #ไชยชนกชิดชอบ #กาสิโน #ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร #เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
    นายกฯ ไม่ติดใจ “ไชยชนก” ประกาศกลางสภา ไม่เอากาสิโน ชี้ เป็นเรื่องภายใน ภท.เคลียร์กันเอง บอกไม่หนุนความขัดแย้ง ไม่อยากทะเลาะ ตื่นมาแล้วหน้าไม่สดใส ขณะที่ “อนุทิน” รีบปัดพัลวันการโหวตต้องเป็นมติพรรค แม้ส่วนตัวไม่เห็นด้วย ขอโทษนายกฯ แล้ว • เมื่อเวลา 09.05 น. วันนี้ (10 เม.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรีหลังที่ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภา ค้านกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ได้คุยกันแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เข้าใจหรือไม่ ว่า สิ่งที่ นายไชยชนก พูดเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติพรรค นายอนุทิน กล่าวว่า ได้กล่าวขออภัยนายกฯ ไปแล้ว ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ได้ชี้แจงว่า ไม่ใช่มติพรรค แต่เข้าใจว่า ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น • เมื่อถามว่า ในวันลงมติโหวตพรรคภูมิใจไทย จะให้เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ละบุคคลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวแทรกทันที ว่า ไม่ครับสนับสนุนรัฐบาล เมื่อถามว่า แม้ว่า นายไชยชนก จะเป็นเลขาธิการพรรค จะต้องทำตามมติของพรรคใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจกันอยู่แล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000034147 • #MGROnline #ไชยชนกชิดชอบ #กาสิโน #ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร #เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเผยส่งไลน์ ขออภัยนายกฯ แล้ว หลัง "ไชยชนก ชิดชอบ" ประกาศกลางสภาฯ ว่าไม่เอากาสิโน ชี้เป็นความเห็นส่วนตัว แต่พรรคมีแนวทางเรื่องนี้แล้ว เผยเจ้าตัวเครียด พูดออกไปเองโดยที่พรรคยังไม่ได้อนุมัติ แต่ขออย่าไปมองว่าเป็นลูกใคร

    ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ ( 10 เม.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง กรณีนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯ ไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ได้มีการพูดคุย ทำความเข้าใจกันกับนายกรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ ว่า ตนเองได้ไลน์ไปแจ้งนายกรัฐมนตรีแล้ว ว่าสิ่งที่นายไชยชนกได้อภิปรายเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งพรรคก็มีแนวทางในเรื่องนี้แล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000034188

    #MGROnline #ไชยชนกชิดชอบ #กาสิโน #ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร #เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
    หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเผยส่งไลน์ ขออภัยนายกฯ แล้ว หลัง "ไชยชนก ชิดชอบ" ประกาศกลางสภาฯ ว่าไม่เอากาสิโน ชี้เป็นความเห็นส่วนตัว แต่พรรคมีแนวทางเรื่องนี้แล้ว เผยเจ้าตัวเครียด พูดออกไปเองโดยที่พรรคยังไม่ได้อนุมัติ แต่ขออย่าไปมองว่าเป็นลูกใคร • ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ ( 10 เม.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง กรณีนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯ ไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ได้มีการพูดคุย ทำความเข้าใจกันกับนายกรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ ว่า ตนเองได้ไลน์ไปแจ้งนายกรัฐมนตรีแล้ว ว่าสิ่งที่นายไชยชนกได้อภิปรายเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งพรรคก็มีแนวทางในเรื่องนี้แล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000034188 • #MGROnline #ไชยชนกชิดชอบ #กาสิโน #ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร #เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตจีนยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการสืบสวนเหตุอาคารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง พังถล่มลงมาสืบเนื่องจากแผ่นดินไหว ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศพม่า ในขณะที่ตึกแห่งนี้ดำเนินการก่อสร้างโดยกิจกรรมร่วมค้าระหว่างบริษัทไทยและบริษัทจีน

    เพจเฟซบุ๊กของสถานทูตจีนประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่าเมื่อวันอาทิตย์(30มี.ค.) เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ภัยแผ่นดินไหวของจีน ได้เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในเขตจตุจักร พังถล่มลงมา จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ของพม่า เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์(28มี.ค.)

    สัญญาโครงการก่อสร้างนี้ถูกมอบให้แก่ กิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ของจีน ที่ชนะการประกวดราคาด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท แต่งบบานปลายไปเกือบ 1,000 ล้านบาท ตามรายงานของ baohaiduong

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000030452

    #MGROnline #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.#แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    สถานทูตจีนยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการสืบสวนเหตุอาคารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง พังถล่มลงมาสืบเนื่องจากแผ่นดินไหว ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศพม่า ในขณะที่ตึกแห่งนี้ดำเนินการก่อสร้างโดยกิจกรรมร่วมค้าระหว่างบริษัทไทยและบริษัทจีน • เพจเฟซบุ๊กของสถานทูตจีนประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่าเมื่อวันอาทิตย์(30มี.ค.) เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ภัยแผ่นดินไหวของจีน ได้เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในเขตจตุจักร พังถล่มลงมา จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ของพม่า เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์(28มี.ค.) • สัญญาโครงการก่อสร้างนี้ถูกมอบให้แก่ กิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ของจีน ที่ชนะการประกวดราคาด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท แต่งบบานปลายไปเกือบ 1,000 ล้านบาท ตามรายงานของ baohaiduong • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000030452 • #MGROnline #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.#แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1008 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1245 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา
    .
    นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
    .
    นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้
    .
    1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ
    2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
    3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
    ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน
    4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
    5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    .
    นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา
    .
    “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว
    ...........
    Sondhi X
    กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา . นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา . นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้ . 1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ 3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน 4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม 5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา . นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา . “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว ........... Sondhi X
    Angry
    Like
    Sad
    Love
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2989 มุมมอง 0 รีวิว
  • มติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดช่องให้ขายเหล้าในวันพระใหญ่ ในโรงแรม-สถานบริการ-สนามบินระหว่างประเทศ-สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติ แต่ยังห้ามขายในสถานที่อื่นทั่วไป มั่นใจมาตรการออกทันก่อนวันวิสาขาบูชา 11 พ.ค.นี้

    ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 มี.ค.) นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ หรือ ดีอี​ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ให้ผ่อนคลายให้ขายได้บางสถานที่ดังนี้

    1. การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนานบินที่ให้บินการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

    2. การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

    3. การชายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือแหล่งที่เป็นบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    4. การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

    5. การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021005

    #MGROnline #ขายเหล้า #วันพระใหญ่
    มติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดช่องให้ขายเหล้าในวันพระใหญ่ ในโรงแรม-สถานบริการ-สนามบินระหว่างประเทศ-สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติ แต่ยังห้ามขายในสถานที่อื่นทั่วไป มั่นใจมาตรการออกทันก่อนวันวิสาขาบูชา 11 พ.ค.นี้ • ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 มี.ค.) นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ หรือ ดีอี​ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ให้ผ่อนคลายให้ขายได้บางสถานที่ดังนี้ • 1. การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนานบินที่ให้บินการเที่ยวบินระหว่างประเทศ • 2. การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ • 3. การชายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือแหล่งที่เป็นบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย • 4. การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม • 5. การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021005 • #MGROnline #ขายเหล้า #วันพระใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 830 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'บิ๊กป้อม' พร้อมลากสังขาร ไปสภาลุยซักฟอกรัฐบาล 'อนุทิน' ยันไม่มีแตกแถว
    .
    การอภิปรายไม่ไว้วางใจใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ภายหลังทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเตรียมความพร้อมกันแล้วโดยในส่วนของฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐมีความน่าสนใจตรงที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นผู้นำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยตัวเอง
    .
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้นำ สส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมสภาฯ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันแรกด้วยตัวเอง โดยจะเป็นผู้กำหนดแนวทางและประเด็นในการอภิปรายด้วย แต่ไม่ใช่ผู้ร่วมอภิปราย ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าพรรคจะมีการประชุมและสรุปตัวผู้อภิปราย
    .
    ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า จะมีการอภิปรายหลายเรื่องอย่างข้อพิพาทเรื่องที่ดินอัลไพน์ ขอให้ทุกคนคอยฟังการอภิปราย
    .
    ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลนั้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งภายในที่เริ่มมีความรุนแรงก็ได้มีการหารือถึงการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจเช่นกัน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงภาวะผู้นำ ท่านได้กำหนดแนวทางชัดเจน ว่าเราเป็นรัฐบาลด้วยกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันให้ยาวนานที่สุด และหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจและมีการออกนอกแนว ก็ให้แต่ละพรรคช่วยกันปกป้อง ไม่ใช่พรรคใครพรรคมัน ปกป้องแต่รัฐมนตรีของพรรคตัวเอง
    .
    "หากใครมีความรู้ก็สามารถแก้ต่างได้ มาช่วยกัน ซึ่งนายกฯ ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้คุมกฎ ที่ทุกคนต้องทำตามแนวทาง หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ต้องไปกำกับ ส.ส.อย่าให้มีการแหกคอก และเกิดความไม่เข้าใจในรัฐบาล""นายอนุทิน กล่าว
    ............
    Sondhi X
    'บิ๊กป้อม' พร้อมลากสังขาร ไปสภาลุยซักฟอกรัฐบาล 'อนุทิน' ยันไม่มีแตกแถว . การอภิปรายไม่ไว้วางใจใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ภายหลังทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเตรียมความพร้อมกันแล้วโดยในส่วนของฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐมีความน่าสนใจตรงที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นผู้นำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยตัวเอง . นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้นำ สส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมสภาฯ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันแรกด้วยตัวเอง โดยจะเป็นผู้กำหนดแนวทางและประเด็นในการอภิปรายด้วย แต่ไม่ใช่ผู้ร่วมอภิปราย ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าพรรคจะมีการประชุมและสรุปตัวผู้อภิปราย . ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า จะมีการอภิปรายหลายเรื่องอย่างข้อพิพาทเรื่องที่ดินอัลไพน์ ขอให้ทุกคนคอยฟังการอภิปราย . ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลนั้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งภายในที่เริ่มมีความรุนแรงก็ได้มีการหารือถึงการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจเช่นกัน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงภาวะผู้นำ ท่านได้กำหนดแนวทางชัดเจน ว่าเราเป็นรัฐบาลด้วยกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันให้ยาวนานที่สุด และหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจและมีการออกนอกแนว ก็ให้แต่ละพรรคช่วยกันปกป้อง ไม่ใช่พรรคใครพรรคมัน ปกป้องแต่รัฐมนตรีของพรรคตัวเอง . "หากใครมีความรู้ก็สามารถแก้ต่างได้ มาช่วยกัน ซึ่งนายกฯ ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้คุมกฎ ที่ทุกคนต้องทำตามแนวทาง หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ต้องไปกำกับ ส.ส.อย่าให้มีการแหกคอก และเกิดความไม่เข้าใจในรัฐบาล""นายอนุทิน กล่าว ............ Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2855 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์

    ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

    ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา

    การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534
    เหตุการณ์สำคัญ
    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
    วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย

    รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์
    1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท
    2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช
    3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา
    4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ
    5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์
    6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์
    7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง
    8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ
    9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร
    นายไพศาล กุมาลย์วิสัย

    แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

    คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์
    ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ

    “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ”

    “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง”

    จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
    เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช.

    เหตุการณ์สำคัญ:
    เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี
    17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง
    พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก

    พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536
    หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

    วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า
    คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา

    ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน

    บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย
    3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
    1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม

    2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง

    3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง

    34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย
    การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ
    แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
    ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568

    #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์ 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ 🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา 🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534 📅 เหตุการณ์สำคัญ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย 🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์ 1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท 2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช 3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา 4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ 5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ 6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์ 7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง 8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ 9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร 🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย 💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก 🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์ 📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ 🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ” 🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช. 📌 เหตุการณ์สำคัญ: เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี 17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก 🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536 📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา 📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน 🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย 📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ 1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม 2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง 3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง 📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย 📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ 📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน 📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568 🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1267 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตา “อนุทิน-เนวิน’ นัด “ทักษิณ-แพทองธาร” เคลียร์ใจ สยบศึกเพื่อไทย-ภูมิใจไทยเย็นนี้ คาด “ต๊อบ อัยยวัฒน์” ร่วมวงถกธุรกิจ “คิงเพาเวอร์“ หลังขาดทุนหนัก
    .
    วันนี้ (24 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเย็นวันนี้ได้มีการนัดหมายระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในการพบกันเย็นนี้ จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจของคิงเพาเวอร์ด้วย เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนโดยในปี 2566 ขาดทุนถึงจำนวน 651,512,785 บาท ซึ่งได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 จนถึงปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018123
    .........
    Sondhi X
    จับตา “อนุทิน-เนวิน’ นัด “ทักษิณ-แพทองธาร” เคลียร์ใจ สยบศึกเพื่อไทย-ภูมิใจไทยเย็นนี้ คาด “ต๊อบ อัยยวัฒน์” ร่วมวงถกธุรกิจ “คิงเพาเวอร์“ หลังขาดทุนหนัก . วันนี้ (24 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเย็นวันนี้ได้มีการนัดหมายระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล . อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในการพบกันเย็นนี้ จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจของคิงเพาเวอร์ด้วย เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนโดยในปี 2566 ขาดทุนถึงจำนวน 651,512,785 บาท ซึ่งได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 จนถึงปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018123 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    Sad
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2757 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1226 มุมมอง 0 รีวิว
  • งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม

    มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี

    มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด

    ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย
    การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น
    - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์
    - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง
    - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ

    เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม

    ป.12 คืออะไร?
    ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย

    ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12
    การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น
    เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
    เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง
    อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน

    แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง

    การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
    3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้
    1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ
    คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย

    2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง
    ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน

    3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน
    ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น

    ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ?
    - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว
    - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย
    - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม

    ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

    นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น
    - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV)
    - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
    - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง

    สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย
    จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
    - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12%
    - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18%
    - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22%

    มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม
    การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน

    ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4

    นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568

    #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม 📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔 📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี 📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด 🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์ - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ 😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม 🔍 ป.12 คืออะไร? 📜 ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย 📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12 การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ? 📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้ 1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย 2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน 3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น 🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄 - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม 🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ 📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง 📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย 🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12% - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18% - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22% 📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น 🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4 ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568 🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1173 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้
    9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน

    1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน
    2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%)
    3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร
    4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ
    5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต.
    6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก
    7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า
    8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย”
    9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย
    10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star
    11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star
    12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี
    13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น
    14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง
    15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี
    16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น
    17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง
    18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ
    19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
    20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี
    20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา
    20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้)
    21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น
    22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ
    23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด
    ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล
    24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม
    25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย
    26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี
    27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล
    28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง
    29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
    30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ
    31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง
    32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา
    33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม
    34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน…
    35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้
    36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ?
    37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ)
    38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ
    39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด
    40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ
    40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่……………
    40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่
    40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….”
    คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า
    40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน
    40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด
    40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ
    40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้ 9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน 1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน 2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%) 3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร 4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ 5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต. 6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก 7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า 8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย” 9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย 10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star 11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star 12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี 13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น 14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง 15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี 16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น 17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง 18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ 19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ 20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี 20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา 20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้) 21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น 22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ 23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล 24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม 25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย 26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี 27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล 28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง 29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ 31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง 32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา 33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม 34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน… 35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้ 36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ? 37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ) 38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ 39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด 40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ 40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่…………… 40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่ 40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….” คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า 40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน 40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด 40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ 40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2639 มุมมอง 0 รีวิว
  • "การรถไฟฯ" แถลงการณ์ยืนยัน ที่ดิน "เขากระโดง" เป็นกรรมสิทธิของ รฟท. ย้ำมีเอกสาร-ข้อมูล พร้อมยืนยัน
    ลั่นจะดำเนินการทุกอย่าง เพื่อให้ที่ดินดังกล่าว กลับมาเป็นของ รฟท. เพื่อรักษาสมบัติของแผ่นดิน

    การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แถลงการณ์จากกรณีที่มีผู้มาพาดพิง ตามที่มีการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ซึ่งกำกับดูแลกรมที่ดิน ได้นำอธิบดีกรมที่ดิน รองอธิบดีกรมที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พบกับราษฎรที่ครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อยืนยันสิทธิ์การครอบครองที่ดินของราษฎร และกล่าวพาดพิงถึง รฟท. ในทำนองว่า รฟท. จะไปก้าวล่วงสิทธิของประชาชนนั้น

    ทั้งนี้ รฟท. เห็นว่า การดำเนินการข้างต้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนต่อการดำเนินการของ รฟท. เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่า รฟท. เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ดินของ รฟท. จึงเป็นที่ดินของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่ง รฟท. มีวัตถุประสงค์เพื่อรับโอนกิจการของกรมรถไฟ ดังนั้นบรรดาที่ดินและทรัพย์สินที่เคยเป็นของกรมรถไฟจึงโอนมาเป็นของ รฟท. ซึ่ง รฟท. มีหน้าที่ต้องดูแลที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ และติดตามเอาที่ดินของ รฟท. ที่มีการยึดถือครอบครองและออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบให้กลับคืนมาเป็นของ รฟท. อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การดำเนินการของ รฟท. เพื่อทวงคืนที่ดินบริเวณเขากระโดง จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด

    ทั้งนี้ที่ดินบริเวณเขากระโดงได้รับการพิสูจน์และยืนยันผ่านกระบวนการทางศาล และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินประมาณ 5,000 ไร่เศษ บริเวณ ตำบลอิสาณ และ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิของ รฟท. พร้อมกันนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยโดยอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองเรื่องข้างต้นแล้วสรุปว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. นอกจากนี้ คำพิพากษาของศาลปกครองกลางยังระบุด้วยว่า กรมที่ดินมีหน้าที่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการรถไฟฯ ไม่จำต้องไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาทุกแปลง

    ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของกรมที่ดินที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินของ รฟท. ซึ่งเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีคำถามว่า เหตุใด รฟท. จึงไม่ยื่นเอกสารแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินชุดเดียวกับที่ยื่นต่อศาลฎีกา ซึ่งแสดงถึงเขตที่ดินของการรถไฟฯ ที่ครบถ้วน และที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนของกรมที่ดินพิจารณานั้น ขอชี้แจงว่า รฟท. ยื่นเอกสารซึ่งแสดงถึงการได้มาของที่ดินรถไฟ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้กับคณะกรรมการสอบสวนทั้งหมด และเป็นเอกสารชุดเดียวกันกับที่ยื่นต่อศาลยุติธรรมด้วย

    ทั้งนี้ปัญหาการออกเอกสารทับซ้อนที่ดินของ รฟท. นั้น หน่วยงานที่เป็นผู้ออกเอกสารสิทธิในที่ดิน คือ กรมที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนในการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมด

    พร้อมขอขอยืนยันว่า สิทธิในความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินของ รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง อันเป็นที่ดินของรัฐ โดยจะดำเนินการทุกอย่างภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวกลับคืนมาเป็นที่ดินของ รฟท. เพื่อสงวนไว้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของประชาชนทุกคนต่อไป

    โดยการแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดงไม่ใช่เรื่องยาก หากกรมที่ดินซึ่งเป็นผู้ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินได้ร่วมมือกับ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีฝ่ายใดนำเอาปัญหาที่ดินเขากระโดง ไปเชื่อมโยงเพื่อเป็นประเด็นการเมือง เพียงหวังเรื่องคะแนนนิยมทางการเมือง เพราะจะทำให้การแก้ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก
    "การรถไฟฯ" แถลงการณ์ยืนยัน ที่ดิน "เขากระโดง" เป็นกรรมสิทธิของ รฟท. ย้ำมีเอกสาร-ข้อมูล พร้อมยืนยัน ลั่นจะดำเนินการทุกอย่าง เพื่อให้ที่ดินดังกล่าว กลับมาเป็นของ รฟท. เพื่อรักษาสมบัติของแผ่นดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แถลงการณ์จากกรณีที่มีผู้มาพาดพิง ตามที่มีการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ซึ่งกำกับดูแลกรมที่ดิน ได้นำอธิบดีกรมที่ดิน รองอธิบดีกรมที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พบกับราษฎรที่ครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อยืนยันสิทธิ์การครอบครองที่ดินของราษฎร และกล่าวพาดพิงถึง รฟท. ในทำนองว่า รฟท. จะไปก้าวล่วงสิทธิของประชาชนนั้น ทั้งนี้ รฟท. เห็นว่า การดำเนินการข้างต้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนต่อการดำเนินการของ รฟท. เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่า รฟท. เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ดินของ รฟท. จึงเป็นที่ดินของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่ง รฟท. มีวัตถุประสงค์เพื่อรับโอนกิจการของกรมรถไฟ ดังนั้นบรรดาที่ดินและทรัพย์สินที่เคยเป็นของกรมรถไฟจึงโอนมาเป็นของ รฟท. ซึ่ง รฟท. มีหน้าที่ต้องดูแลที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ และติดตามเอาที่ดินของ รฟท. ที่มีการยึดถือครอบครองและออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบให้กลับคืนมาเป็นของ รฟท. อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การดำเนินการของ รฟท. เพื่อทวงคืนที่ดินบริเวณเขากระโดง จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด ทั้งนี้ที่ดินบริเวณเขากระโดงได้รับการพิสูจน์และยืนยันผ่านกระบวนการทางศาล และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินประมาณ 5,000 ไร่เศษ บริเวณ ตำบลอิสาณ และ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิของ รฟท. พร้อมกันนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยโดยอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองเรื่องข้างต้นแล้วสรุปว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. นอกจากนี้ คำพิพากษาของศาลปกครองกลางยังระบุด้วยว่า กรมที่ดินมีหน้าที่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการรถไฟฯ ไม่จำต้องไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาทุกแปลง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของกรมที่ดินที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินของ รฟท. ซึ่งเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีคำถามว่า เหตุใด รฟท. จึงไม่ยื่นเอกสารแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินชุดเดียวกับที่ยื่นต่อศาลฎีกา ซึ่งแสดงถึงเขตที่ดินของการรถไฟฯ ที่ครบถ้วน และที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนของกรมที่ดินพิจารณานั้น ขอชี้แจงว่า รฟท. ยื่นเอกสารซึ่งแสดงถึงการได้มาของที่ดินรถไฟ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้กับคณะกรรมการสอบสวนทั้งหมด และเป็นเอกสารชุดเดียวกันกับที่ยื่นต่อศาลยุติธรรมด้วย ทั้งนี้ปัญหาการออกเอกสารทับซ้อนที่ดินของ รฟท. นั้น หน่วยงานที่เป็นผู้ออกเอกสารสิทธิในที่ดิน คือ กรมที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนในการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมด พร้อมขอขอยืนยันว่า สิทธิในความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินของ รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง อันเป็นที่ดินของรัฐ โดยจะดำเนินการทุกอย่างภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวกลับคืนมาเป็นที่ดินของ รฟท. เพื่อสงวนไว้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของประชาชนทุกคนต่อไป โดยการแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดงไม่ใช่เรื่องยาก หากกรมที่ดินซึ่งเป็นผู้ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินได้ร่วมมือกับ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีฝ่ายใดนำเอาปัญหาที่ดินเขากระโดง ไปเชื่อมโยงเพื่อเป็นประเด็นการเมือง เพียงหวังเรื่องคะแนนนิยมทางการเมือง เพราะจะทำให้การแก้ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก
    Like
    Love
    3
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 817 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทักษิณ" ยอมรับมิตรภาพกับพรรคภูมิใจไทย เปรียบเหมือนลิ้นกับฟัน กัดโดนกันบ้างเป็นธรรมดา แจง "เจ้าสัวกลาง" ชวนตีกอล์ฟ เลยชวน "อนุทิน" ไปร่วมในฐานะเพื่อนกันมา 20 ปี ไม่มีเรื่องการเมือง แต่ส่งรูปให้สื่อเอาไปลงกลายเป็นการเมือง

    วันนี้ (23 ธ.ค. 67) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการออกรอบตีกอล์ฟ ร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ที่สนามกอล์ฟ Stone Hill club จ.ปทุมธานี ว่า สนุกดี เพราะไม่ค่อยได้ตี ตีโดนบ้างไม่โดนบ้าง ส่วนเป็นการสยบกระแส “อีแอบ” หรือไม่นั้น เมื่อวานนี้นายสารัชถ์ เป็นคนเชิญไป ไม่มีนักการเมือง แต่นายอนุทินเป็นเพื่อนกันมากว่า 20 ปี ก็เลยชวนในฐานะเพื่อน ปรากฏว่าไม่มีนักการเมือง แต่มีประเด็นการเมืองเยอะเลย ส่งรูปไปสื่อก็ลงเป็นการเมืองไปหมด โดยความจริงไม่มีอะไร

    เมื่อถามย้ำว่า คุณกลาง (ชื่อเล่น นายสารัชถ์) ก็เลยเป็นตัวกลางในการเคลียร์กันใช่หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า ก็ไม่รู้ว่าซ้ายขวาหรือเปล่า และไม่มีอะไรต้องเคลียร์เลยกับนายอนุทิน กติกาง่ายนิดเดียวคนเราเวลาอยู่ร่วมกันก็เคารพซึ่งกันและกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000122945

    #MGROnline #ทักษิณ #อนุทิน #พรรคภูมิใจไทย #ไม่เกี่ยวการเมือง
    "ทักษิณ" ยอมรับมิตรภาพกับพรรคภูมิใจไทย เปรียบเหมือนลิ้นกับฟัน กัดโดนกันบ้างเป็นธรรมดา แจง "เจ้าสัวกลาง" ชวนตีกอล์ฟ เลยชวน "อนุทิน" ไปร่วมในฐานะเพื่อนกันมา 20 ปี ไม่มีเรื่องการเมือง แต่ส่งรูปให้สื่อเอาไปลงกลายเป็นการเมือง • วันนี้ (23 ธ.ค. 67) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการออกรอบตีกอล์ฟ ร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ที่สนามกอล์ฟ Stone Hill club จ.ปทุมธานี ว่า สนุกดี เพราะไม่ค่อยได้ตี ตีโดนบ้างไม่โดนบ้าง ส่วนเป็นการสยบกระแส “อีแอบ” หรือไม่นั้น เมื่อวานนี้นายสารัชถ์ เป็นคนเชิญไป ไม่มีนักการเมือง แต่นายอนุทินเป็นเพื่อนกันมากว่า 20 ปี ก็เลยชวนในฐานะเพื่อน ปรากฏว่าไม่มีนักการเมือง แต่มีประเด็นการเมืองเยอะเลย ส่งรูปไปสื่อก็ลงเป็นการเมืองไปหมด โดยความจริงไม่มีอะไร • เมื่อถามย้ำว่า คุณกลาง (ชื่อเล่น นายสารัชถ์) ก็เลยเป็นตัวกลางในการเคลียร์กันใช่หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า ก็ไม่รู้ว่าซ้ายขวาหรือเปล่า และไม่มีอะไรต้องเคลียร์เลยกับนายอนุทิน กติกาง่ายนิดเดียวคนเราเวลาอยู่ร่วมกันก็เคารพซึ่งกันและกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000122945 • #MGROnline #ทักษิณ #อนุทิน #พรรคภูมิใจไทย #ไม่เกี่ยวการเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 649 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคร่วมฯ ลา ครม.จริง แจ้งไว้ก่อนแล้วไร้นัยยะ ไม่สน 'ทักษิณ' ตะเพิด
    .
    การสัมมนาโครงการเสริมศักยภาพ ส.ส.และบุคลากรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ปรากฎว่าไฮไลท์สำคัญไปอยู่ที่การขึ้นพูดของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเนื้อหาส่วนหนึ่งพาดพิงแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเนื่องจากพบว่ามีรัฐมนตรีลาการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง 7 คน ซึ่งแสดงออกถึงการไม่จริงใจ
    .
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า นายทักษิณไม่น่าจะหมายถึงพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าวได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติการประชุมคณะรัฐมนตรีจะประชุมทุกวันอังคาร โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ หลังจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย
    .
    "พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม" นายอนุทิน กล่าว
    .
    นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รวมทั้งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งลาประชุม ครม.ต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากติดภารกิจ
    .
    ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม มั่นใจว่า ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยังคงราบรื่น แม้นายทักษิณ จะมีการพูดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนตัวม่ทราบว่าการพูดของนายทักษิณเป็นการเตือนถึงพรรคร่วมรัฐฐาลหรือไม่ พราะท่านไม่ได้มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อท่านพูดมา เราก็รับฟังว่าเป็นอย่างไร ถือเป็นความเห็นของผู้มีอาวุโสทางการเมืองที่จะเห็นว่าวิธีการเช่นนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ ก็วิพากษ์วิจารณ์มา เพราะท่านเป็นบุคคลที่ติดตามการเมือง
    ...............
    Sondhi X
    พรรคร่วมฯ ลา ครม.จริง แจ้งไว้ก่อนแล้วไร้นัยยะ ไม่สน 'ทักษิณ' ตะเพิด . การสัมมนาโครงการเสริมศักยภาพ ส.ส.และบุคลากรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ปรากฎว่าไฮไลท์สำคัญไปอยู่ที่การขึ้นพูดของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเนื้อหาส่วนหนึ่งพาดพิงแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเนื่องจากพบว่ามีรัฐมนตรีลาการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง 7 คน ซึ่งแสดงออกถึงการไม่จริงใจ . นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า นายทักษิณไม่น่าจะหมายถึงพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าวได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติการประชุมคณะรัฐมนตรีจะประชุมทุกวันอังคาร โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ หลังจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย . "พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม" นายอนุทิน กล่าว . นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รวมทั้งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งลาประชุม ครม.ต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากติดภารกิจ . ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม มั่นใจว่า ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยังคงราบรื่น แม้นายทักษิณ จะมีการพูดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนตัวม่ทราบว่าการพูดของนายทักษิณเป็นการเตือนถึงพรรคร่วมรัฐฐาลหรือไม่ พราะท่านไม่ได้มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อท่านพูดมา เราก็รับฟังว่าเป็นอย่างไร ถือเป็นความเห็นของผู้มีอาวุโสทางการเมืองที่จะเห็นว่าวิธีการเช่นนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ ก็วิพากษ์วิจารณ์มา เพราะท่านเป็นบุคคลที่ติดตามการเมือง ............... Sondhi X
    Haha
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1266 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรณีสงฆ์อัลไพน์ถึงเขากระโดงในเกมการเมือง.การออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของรัฐมนตรีหลายคนที่เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงในช่วงนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ .จู่ๆ หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไปลงนามข้อตกลงกับกัมพูชาหลายเรื่อง ในการนำผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไปประชุมกัมพูชานั้น ในข้อที่ 8 ของข้อตกลง มีข้อความชัดเจนว่ารัฐบาลของสองประเทศจะเร่งรัดคณะกรรมการปักปันเขตแดนเจรจาทำการปักปันเขตแดนกันต่อไปโดยเร็ว ข้อตกลงดังกล่าวจึงกระเทือนแกนนำพรรคเพื่อไทยอย่างร้ายแรง .แผลลึกแผลนี้ยังไม่ทันสมาน ก็เกิดแผลสองขึ้น จู่ๆ กระทรวงมหาดไทยในอำนาจของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ แกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินมรดก "ยายเนื่อม" เสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองทางกฎหมาย เป็นผลทำให้บรรดาผู้ที่ซื้อที่ดินและบ้านหลายร้อยราย รวมทั้งบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ ซึ่งเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟอัลไพน์ และนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เป็นกรรมการมาก่อน ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายที่ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งนี้เสียภายใน 90 วัน มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าเป็นอันยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ จะเป็นผลทำให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ต้องตกเก้าอี้และยังถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต.แผลใจแผลนี้นับว่าเจ็บมาก ดังนั้น ไม่ถึง 3 วันต่อมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าคำพิพากษาคดีเขากระโดงของศาลฎีกา และศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่สุดแล้ว ผูกพันทุกส่วนราชการที่จะต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ให้เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามคำพิพากษานั้น เป็นการแถลงกระทบถึงใครที่กำลังสั่งการอธิบดีกรมที่ดินอย่างแน่นอน.พอ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงไม่ขาดคำ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทันที ว่าได้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการตามคำพิพากษา เข้าครอบครองที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นของการรถไฟฯ ตามคำพิพากษา.เมื่อสองรัฐมนตรีแถลงไปในแนวทางเดียวกัน ย่อมกระเทือนกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน ท่ามกลางเสียงเฮ และความทุเรศทุรังที่ประชาชนมีต่อกระทรวงมหาดไทย.วันถัดมา นายอนุทิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบออกมาแถลง แถว่าจะไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์เขากระโดง หมายความว่าที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการรถไฟ และรัชกาลที่ 6 ได้ตราพระราชกฤษฎีกามอบที่ดินนี้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ซ้ำเข้าไปอีก เป็นอันว่าใช้บังคับไม่ได้ ท่านผู้ชมว่ามันทุเรศไหม .มีประเด็นหนึ่งที่น่าสงสัย คือ ท่าทีขึงขังและแข็งกร้าวของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นการเล่นสงครามประสาททางการเมืองหรือเปล่า พุ่งเป้าไปที่พรรคภูมิใจไทยโดยตรง เนื่องจากเวลานี้พรรคภูมิใจไทยเอง อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่ขี่คอพรรคเพื่อไทยอยู่ ยิ่งพรรคภูมิใจไทยใหญ่คับรัฐบาลมากเท่าไร พรรคเพื่อไทยก็ต้องตกที่นั่งลำบากเท่านั้น.ไม่ทราบว่าท่านรองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับทราบปัญหานี้หรือเปล่า เพราะคุณเองเป็นคนที่อยู่นอกวงการ แต่ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ จุลจอมเกล้า นี่คุณกำลังตบหน้าพระราชกฤษฎีกาที่รัชกาลที่ 6 ออกมาประกาศว่าที่ดินนี้เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
    ธรณีสงฆ์อัลไพน์ถึงเขากระโดงในเกมการเมือง.การออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของรัฐมนตรีหลายคนที่เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงในช่วงนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ .จู่ๆ หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไปลงนามข้อตกลงกับกัมพูชาหลายเรื่อง ในการนำผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไปประชุมกัมพูชานั้น ในข้อที่ 8 ของข้อตกลง มีข้อความชัดเจนว่ารัฐบาลของสองประเทศจะเร่งรัดคณะกรรมการปักปันเขตแดนเจรจาทำการปักปันเขตแดนกันต่อไปโดยเร็ว ข้อตกลงดังกล่าวจึงกระเทือนแกนนำพรรคเพื่อไทยอย่างร้ายแรง .แผลลึกแผลนี้ยังไม่ทันสมาน ก็เกิดแผลสองขึ้น จู่ๆ กระทรวงมหาดไทยในอำนาจของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ แกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินมรดก "ยายเนื่อม" เสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองทางกฎหมาย เป็นผลทำให้บรรดาผู้ที่ซื้อที่ดินและบ้านหลายร้อยราย รวมทั้งบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ ซึ่งเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟอัลไพน์ และนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เป็นกรรมการมาก่อน ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายที่ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งนี้เสียภายใน 90 วัน มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าเป็นอันยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ จะเป็นผลทำให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ต้องตกเก้าอี้และยังถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต.แผลใจแผลนี้นับว่าเจ็บมาก ดังนั้น ไม่ถึง 3 วันต่อมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าคำพิพากษาคดีเขากระโดงของศาลฎีกา และศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่สุดแล้ว ผูกพันทุกส่วนราชการที่จะต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ให้เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามคำพิพากษานั้น เป็นการแถลงกระทบถึงใครที่กำลังสั่งการอธิบดีกรมที่ดินอย่างแน่นอน.พอ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงไม่ขาดคำ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทันที ว่าได้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการตามคำพิพากษา เข้าครอบครองที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นของการรถไฟฯ ตามคำพิพากษา.เมื่อสองรัฐมนตรีแถลงไปในแนวทางเดียวกัน ย่อมกระเทือนกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน ท่ามกลางเสียงเฮ และความทุเรศทุรังที่ประชาชนมีต่อกระทรวงมหาดไทย.วันถัดมา นายอนุทิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบออกมาแถลง แถว่าจะไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์เขากระโดง หมายความว่าที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการรถไฟ และรัชกาลที่ 6 ได้ตราพระราชกฤษฎีกามอบที่ดินนี้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ซ้ำเข้าไปอีก เป็นอันว่าใช้บังคับไม่ได้ ท่านผู้ชมว่ามันทุเรศไหม .มีประเด็นหนึ่งที่น่าสงสัย คือ ท่าทีขึงขังและแข็งกร้าวของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นการเล่นสงครามประสาททางการเมืองหรือเปล่า พุ่งเป้าไปที่พรรคภูมิใจไทยโดยตรง เนื่องจากเวลานี้พรรคภูมิใจไทยเอง อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่ขี่คอพรรคเพื่อไทยอยู่ ยิ่งพรรคภูมิใจไทยใหญ่คับรัฐบาลมากเท่าไร พรรคเพื่อไทยก็ต้องตกที่นั่งลำบากเท่านั้น.ไม่ทราบว่าท่านรองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับทราบปัญหานี้หรือเปล่า เพราะคุณเองเป็นคนที่อยู่นอกวงการ แต่ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ จุลจอมเกล้า นี่คุณกำลังตบหน้าพระราชกฤษฎีกาที่รัชกาลที่ 6 ออกมาประกาศว่าที่ดินนี้เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1472 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะเลือกผู้ว่าการรัฐนอร์ทดาโคตา ดั๊ก เบิร์กัม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย:
    .
    US President-elect Donald Trump said he would pick Governor Doug Burgum of North Dakota to lead the Interior Department:
    https://tass.com/world/1872627
    .
    1:37 PM · Nov 15, 2024 · 2,044 Views
    https://x.com/tassagency_en/status/1857311829451583538
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะเลือกผู้ว่าการรัฐนอร์ทดาโคตา ดั๊ก เบิร์กัม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย: . US President-elect Donald Trump said he would pick Governor Doug Burgum of North Dakota to lead the Interior Department: https://tass.com/world/1872627 . 1:37 PM · Nov 15, 2024 · 2,044 Views https://x.com/tassagency_en/status/1857311829451583538
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขาบอกว่า หากใครมีประเด็นก็ไปฟ้องศาล พื้นที่เขากระโดงมีพื้นที่กว่า 5 พันไร่ เท่าที่ทราบตระกูลชิดชอบมีอยู่ 300 ไร่ แล้วอีก 4,700 ไร่ จะผิดแค่ 300 ไร่ได้อย่างไร หากเป็นอย่างนั้นก็ไปพิสูจน์เอา ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่อำนาจในการเพิกถอนหรืออนุญาต อยากจะยุ่งก็ยุ่งไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ

    ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ายังมีรายละเอียดอีกเยอะที่หลายคนไม่รู้ ซึ่ง รฟท.หรือประชาชนเองต้องทำการพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน ตนไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ลองคิดดูว่าในประเทศไทยมีพื้นที่ใดที่กันรางรถไฟออกไป 1 กิโลเมตร ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ชุมทาง แต่เป็นสถานีใหญ่ๆ มีหรือไม่ หากมี มีที่ไหนบ้างช่วยตอบหน่อย แล้วทำไมต้องเป็นแค่พื้นที่ตรงนี้ รฟท.จะเอาที่ดินไปทำอะไร

    เขาบอกว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร และมองว่าน่าจะมีแผนที่บางตอนที่หายไป ซึ่งแผนที่ที่นำมาแสดงตนดูแล้วมีคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 500 เมตร ซึ่งมองว่าน่าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ทั้งนี้เราได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ซึ่งได้มีการพิจารณาไปแล้วว่า กรมที่ดินยังไม่ได้เพิกถอนโฉนดพื้นที่เขากระโดง แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์การรถไฟฯ แต่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพราะการรถไฟฯ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะทำให้คณะกรรมการสามารถเพิกถอนได้ ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ์ของการรถไฟฯ ที่จะไปฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป

    เมื่อถามว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็ระบุว่าพื้นที่เขากระโดงต้องเป็นของการรถไฟฯ เพราะถือว่าคำตัดสินของศาลฎีกาเป็นที่สิ้นสุด รมช.มหาดไทยตอบว่า ส่วนตัวมองว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา หากอ่านดีๆ จะพบว่ามีฎีกาทับฎีกาอยู่เสมอ ในโอกาสที่จะมีหลักฐานใหม่เข้ามา เพื่อให้เกิดความรอบคอบและความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน

    เมื่อถามถึงข้อกังขาว่า หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเป็นคนในกลุ่มเพื่อนเนวิน นายทรงศักดิ์กล่าวว่า คิดมากไป ทุกคนที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว หากการทำหน้าที่ทำอะไรผิดไปและมีคนติดใจ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย จะไปมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นใครไม่ได้ เพราะการทำงานของแต่ละคนก็มีบรรทัดฐานตามกรอบอยู่แล้ว

    ซักว่า ในพื้นที่เขากระโดงปรากฏว่ามีการถือครองที่ดินจากคนในตระกูลชิดชอบอยู่กว่า 20 แปลง ได้มีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายทรงศักดิ์กล่าวว่า การได้มาของที่ดินเขากระโดงก็ได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้สิทธิ์ตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการ จะจำกัดว่าตระกูลหนึ่ง จะไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองที่ดินเลยก็คงไม่ได้ มีกฎหมายตรงไหนที่ห้ามตระกูลหนึ่งเข้าไปถือสิทธิที่ดินตามกฎหมาย มีหรือไม่ มันไม่มี เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน

    ขณะที่นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจง งานในส่วนของกรมที่ดินว่าทำอยู่ 3 ส่วน โดยส่วนแรกทำตามคำสั่งศาลปกครอง ส่วนที่สองทำตามข้อกฎหมาย ไม่มีส่วนใดใช้เรื่องดุลยพินิจ และส่วนที่สามทำไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานและกฎหมายที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นทุกอย่างสามารถตรวจสอบในเรื่องการดำเนินการได้

    เมื่อถามต่อว่า ผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยอยู่ในพรรคภูมิใจไทย จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการฟอกขาว อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่า กระบวนการที่ดำเนินมาทำตั้งแต่ก่อนที่นายอนุทินจะเข้ามา การตั้งคณะกรรมการมีการตั้งก่อน และการหาเอกสารพยานหลักฐานในการดำเนินการก็ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ตนจึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

    อย่างไรก็ตาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ หากเป็นที่ดินของ รฟท.แม้กระทั่งตารางวาก็จะเสียไปไม่ได้ จึงให้ รฟท.ไปเช็กดู ซึ่งได้รับรายงานว่าวันที่ 10 พ.ย.นี้ รฟท.ได้ยื่นขอต่อศาลปกครองกลาง แจ้งว่าอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ครบถ้วน ขอให้ศาลปกครองพิจารณาหรือไต่สวนกำหนดวิธีการดำเนินการ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในการร่วมกันชี้แนวเขตที่ดินของ รฟท. และให้พิจารณามีคำสั่งในประเด็นต่างๆ ต่อไป ซึ่งผู้ว่าฯ รฟท.ได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อยื่นคัดค้านหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ตามมาตรา 44 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ซึ่งในนั้นระบุว่าเราต้องยื่นภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 12 พ.ย. และเราส่งไปเรียบร้อยแล้ววันที่ 11 พ.ย. รฟท.รู้กฎหมายอยู่ จะไปหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินกว่า 900 แปลง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ยังมีเวลา ยืนยันว่าจะดูให้รอบคอบ

    ถามว่า เรื่องนี้เรื้อรังมานานจะเคลียร์ให้จบภายในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ รมว.คมนาคมตอบว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มันไม่ช้าอยู่แล้ว

    ซักว่า จำเป็นต้องพูดคุยกับนายอนุทินหรือไม่ นายสุริยะชี้แจงว่า เป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ เมื่อกรมที่ดินบอกว่าเป็นที่ของเขา ไม่ได้เป็นที่ของ รฟท. เพราะมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ รฟท.เชื่อว่ามีหลักฐานเพียงพอ ก็ได้ดำเนินการไป

    เมื่อถามว่า มีการมองว่าที่ดินหลายแปลงในเขากระโดงเป็นของตระกูลชิดชอบ นายสุริยะกล่าวว่า ไม่อยากให้เรื่องขยายเป็นประเด็นการเมือง อยากให้ว่าไปตามกระบวนการ หรือ รฟท.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรเมื่ออธิบดีกรมที่ดินชี้มาแบบนี้ รฟท.เห็นว่าไม่ใช่ก็ต้องพยายามรักษาสิทธิ์ของ รฟท.ไว้

    "คิดว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าไปมองว่าใครอยู่พรรคไหนหรือมีความขัดแย้งกัน" รมว.คมนาคมกล่าว.

    ที่มา https://www.thaipost.net/one-newspaper/688793/

    #Thaitimes
    เขาบอกว่า หากใครมีประเด็นก็ไปฟ้องศาล พื้นที่เขากระโดงมีพื้นที่กว่า 5 พันไร่ เท่าที่ทราบตระกูลชิดชอบมีอยู่ 300 ไร่ แล้วอีก 4,700 ไร่ จะผิดแค่ 300 ไร่ได้อย่างไร หากเป็นอย่างนั้นก็ไปพิสูจน์เอา ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่อำนาจในการเพิกถอนหรืออนุญาต อยากจะยุ่งก็ยุ่งไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ายังมีรายละเอียดอีกเยอะที่หลายคนไม่รู้ ซึ่ง รฟท.หรือประชาชนเองต้องทำการพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน ตนไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ลองคิดดูว่าในประเทศไทยมีพื้นที่ใดที่กันรางรถไฟออกไป 1 กิโลเมตร ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ชุมทาง แต่เป็นสถานีใหญ่ๆ มีหรือไม่ หากมี มีที่ไหนบ้างช่วยตอบหน่อย แล้วทำไมต้องเป็นแค่พื้นที่ตรงนี้ รฟท.จะเอาที่ดินไปทำอะไร เขาบอกว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร และมองว่าน่าจะมีแผนที่บางตอนที่หายไป ซึ่งแผนที่ที่นำมาแสดงตนดูแล้วมีคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 500 เมตร ซึ่งมองว่าน่าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ทั้งนี้เราได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ซึ่งได้มีการพิจารณาไปแล้วว่า กรมที่ดินยังไม่ได้เพิกถอนโฉนดพื้นที่เขากระโดง แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์การรถไฟฯ แต่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพราะการรถไฟฯ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะทำให้คณะกรรมการสามารถเพิกถอนได้ ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ์ของการรถไฟฯ ที่จะไปฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป เมื่อถามว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็ระบุว่าพื้นที่เขากระโดงต้องเป็นของการรถไฟฯ เพราะถือว่าคำตัดสินของศาลฎีกาเป็นที่สิ้นสุด รมช.มหาดไทยตอบว่า ส่วนตัวมองว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา หากอ่านดีๆ จะพบว่ามีฎีกาทับฎีกาอยู่เสมอ ในโอกาสที่จะมีหลักฐานใหม่เข้ามา เพื่อให้เกิดความรอบคอบและความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงข้อกังขาว่า หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเป็นคนในกลุ่มเพื่อนเนวิน นายทรงศักดิ์กล่าวว่า คิดมากไป ทุกคนที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว หากการทำหน้าที่ทำอะไรผิดไปและมีคนติดใจ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย จะไปมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นใครไม่ได้ เพราะการทำงานของแต่ละคนก็มีบรรทัดฐานตามกรอบอยู่แล้ว ซักว่า ในพื้นที่เขากระโดงปรากฏว่ามีการถือครองที่ดินจากคนในตระกูลชิดชอบอยู่กว่า 20 แปลง ได้มีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายทรงศักดิ์กล่าวว่า การได้มาของที่ดินเขากระโดงก็ได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้สิทธิ์ตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการ จะจำกัดว่าตระกูลหนึ่ง จะไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองที่ดินเลยก็คงไม่ได้ มีกฎหมายตรงไหนที่ห้ามตระกูลหนึ่งเข้าไปถือสิทธิที่ดินตามกฎหมาย มีหรือไม่ มันไม่มี เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน ขณะที่นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจง งานในส่วนของกรมที่ดินว่าทำอยู่ 3 ส่วน โดยส่วนแรกทำตามคำสั่งศาลปกครอง ส่วนที่สองทำตามข้อกฎหมาย ไม่มีส่วนใดใช้เรื่องดุลยพินิจ และส่วนที่สามทำไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานและกฎหมายที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นทุกอย่างสามารถตรวจสอบในเรื่องการดำเนินการได้ เมื่อถามต่อว่า ผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยอยู่ในพรรคภูมิใจไทย จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการฟอกขาว อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่า กระบวนการที่ดำเนินมาทำตั้งแต่ก่อนที่นายอนุทินจะเข้ามา การตั้งคณะกรรมการมีการตั้งก่อน และการหาเอกสารพยานหลักฐานในการดำเนินการก็ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ตนจึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ หากเป็นที่ดินของ รฟท.แม้กระทั่งตารางวาก็จะเสียไปไม่ได้ จึงให้ รฟท.ไปเช็กดู ซึ่งได้รับรายงานว่าวันที่ 10 พ.ย.นี้ รฟท.ได้ยื่นขอต่อศาลปกครองกลาง แจ้งว่าอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ครบถ้วน ขอให้ศาลปกครองพิจารณาหรือไต่สวนกำหนดวิธีการดำเนินการ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในการร่วมกันชี้แนวเขตที่ดินของ รฟท. และให้พิจารณามีคำสั่งในประเด็นต่างๆ ต่อไป ซึ่งผู้ว่าฯ รฟท.ได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อยื่นคัดค้านหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ตามมาตรา 44 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ซึ่งในนั้นระบุว่าเราต้องยื่นภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 12 พ.ย. และเราส่งไปเรียบร้อยแล้ววันที่ 11 พ.ย. รฟท.รู้กฎหมายอยู่ จะไปหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินกว่า 900 แปลง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ยังมีเวลา ยืนยันว่าจะดูให้รอบคอบ ถามว่า เรื่องนี้เรื้อรังมานานจะเคลียร์ให้จบภายในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ รมว.คมนาคมตอบว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มันไม่ช้าอยู่แล้ว ซักว่า จำเป็นต้องพูดคุยกับนายอนุทินหรือไม่ นายสุริยะชี้แจงว่า เป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ เมื่อกรมที่ดินบอกว่าเป็นที่ของเขา ไม่ได้เป็นที่ของ รฟท. เพราะมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ รฟท.เชื่อว่ามีหลักฐานเพียงพอ ก็ได้ดำเนินการไป เมื่อถามว่า มีการมองว่าที่ดินหลายแปลงในเขากระโดงเป็นของตระกูลชิดชอบ นายสุริยะกล่าวว่า ไม่อยากให้เรื่องขยายเป็นประเด็นการเมือง อยากให้ว่าไปตามกระบวนการ หรือ รฟท.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรเมื่ออธิบดีกรมที่ดินชี้มาแบบนี้ รฟท.เห็นว่าไม่ใช่ก็ต้องพยายามรักษาสิทธิ์ของ รฟท.ไว้ "คิดว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าไปมองว่าใครอยู่พรรคไหนหรือมีความขัดแย้งกัน" รมว.คมนาคมกล่าว. ที่มา https://www.thaipost.net/one-newspaper/688793/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    มท.ปัดเอื้อที่ดินเขากระโดง ‘สุริยะ’ลั่นรฟท.ไม่ยอมแน่!
    "อนุทิน" ยัน “คดีเขากระโดง” ไม่มีแทรกแซง ไม่มีช่วยเพื่อน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1250 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอสพอล สั่งจากคุก เอาผิด "ทนายตั้ม" กรรโชกทรัพย์ 7 ล้าน
    .
    กรณีที่การตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือว่าเป็นโอกาสและวิกฤติของเหล่าบรรดานักร้องเรียนและทนายความชื่อดังในเวลาเดียว แม้ช่วงหนึ่งทั้งนักร้องเรียนและทนายความที่มีแสงจะได้พาผู้เสียหายเข้าไปแจ้งความ แต่ปรากฎว่าต่อเหล่านักร้องเรียนและทนายความต้องกลายมาเป็นผู้ถูกกล่าวหาแทนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
    .
    โดยนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เดินหน้าเอาผิดนักร้องเรียนและทนายความ แยกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ เรื่องที่ 1.แจ้งความเอาผิดนักร้องสาว ก. กรณีบอสพอลถูกกรรโชกทรัพย์ทรัพย์ 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
    .
    เรื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับทางนานเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล และนำข้อมูลที่อ้างว่าบอสพอลมีการเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งทางตำรวจได้มีการออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลนี้เชื่อถือไม่ได้
    .
    เรื่องที่ 3 บอสพอลก็มีการสั่งให้รวบรวมข้อมูล ในการดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในทนายดรีมทีม ซึ่งก่อนหน้าที่เหล่าบอสจะถูกจับกุมดำเนินคดี ทนายคนดังกล่าวมีการโทรศัพท์หาทางบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรอง โดยกล่าวว่าให้ทางบอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาท เพื่อแลกกับการที่จะไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับดิไอคอน โดยบอสพอลยังไม่ได้จ่ายจำนวนดังกล่าวไปแต่อย่างใด
    .
    ทีมทนายก็จะต้องไปตรวจสอบดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวตรงกับความเสียหายของผู้เสียหายกลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้เลขาของบอสพอลได้มีการบันทึกเสียงขณะเจรจากันไว้ หากตนได้คลิปเสียงดังกล่าวจะดูความเหมาะสมแล้วจะเปิดเผยอีกครั้ง
    .
    ตอนนี้ทนายคนดังกล่าวก็คือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยได้ออกมายอมรับเองแล้ว แต่แถว่าเรียกเงินให้ผู้เสียหาย
    .
    เรื่องที่ 4 จะรวบรวมรายชื่อแม่ข่ายที่มีพฤติกรรมไปเชิญชวนผู้เสียหายเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นแม่ข่ายขัดผลประโยชน์กับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด แต่มาแอบอ้างว่าเป็นผู้เสียหายด้วย โดยจะนำเอกสารรายชื่อมาให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    บอสพอล สั่งจากคุก เอาผิด "ทนายตั้ม" กรรโชกทรัพย์ 7 ล้าน . กรณีที่การตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือว่าเป็นโอกาสและวิกฤติของเหล่าบรรดานักร้องเรียนและทนายความชื่อดังในเวลาเดียว แม้ช่วงหนึ่งทั้งนักร้องเรียนและทนายความที่มีแสงจะได้พาผู้เสียหายเข้าไปแจ้งความ แต่ปรากฎว่าต่อเหล่านักร้องเรียนและทนายความต้องกลายมาเป็นผู้ถูกกล่าวหาแทนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน . โดยนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เดินหน้าเอาผิดนักร้องเรียนและทนายความ แยกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ เรื่องที่ 1.แจ้งความเอาผิดนักร้องสาว ก. กรณีบอสพอลถูกกรรโชกทรัพย์ทรัพย์ 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด . เรื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับทางนานเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล และนำข้อมูลที่อ้างว่าบอสพอลมีการเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งทางตำรวจได้มีการออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลนี้เชื่อถือไม่ได้ . เรื่องที่ 3 บอสพอลก็มีการสั่งให้รวบรวมข้อมูล ในการดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในทนายดรีมทีม ซึ่งก่อนหน้าที่เหล่าบอสจะถูกจับกุมดำเนินคดี ทนายคนดังกล่าวมีการโทรศัพท์หาทางบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรอง โดยกล่าวว่าให้ทางบอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาท เพื่อแลกกับการที่จะไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับดิไอคอน โดยบอสพอลยังไม่ได้จ่ายจำนวนดังกล่าวไปแต่อย่างใด . ทีมทนายก็จะต้องไปตรวจสอบดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวตรงกับความเสียหายของผู้เสียหายกลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้เลขาของบอสพอลได้มีการบันทึกเสียงขณะเจรจากันไว้ หากตนได้คลิปเสียงดังกล่าวจะดูความเหมาะสมแล้วจะเปิดเผยอีกครั้ง . ตอนนี้ทนายคนดังกล่าวก็คือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยได้ออกมายอมรับเองแล้ว แต่แถว่าเรียกเงินให้ผู้เสียหาย . เรื่องที่ 4 จะรวบรวมรายชื่อแม่ข่ายที่มีพฤติกรรมไปเชิญชวนผู้เสียหายเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นแม่ข่ายขัดผลประโยชน์กับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด แต่มาแอบอ้างว่าเป็นผู้เสียหายด้วย โดยจะนำเอกสารรายชื่อมาให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1782 มุมมอง 0 รีวิว
  • วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ

    23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย

    บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง

    ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/

    #Thaitimes
    วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ 23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/ #Thaitimes
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts