• https://youtu.be/mElM3Rv0zJQ?si=Ly0PKA7VotvS6hqw
    https://youtu.be/mElM3Rv0zJQ?si=Ly0PKA7VotvS6hqw
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • Meta เปิดให้ใช้ชื่อเล่นใน Groups

    Meta ปรับนโยบายชื่อจริงบน Facebook โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups ใช้ ชื่อเล่น (nickname) และ อวาตาร์ แทนชื่อจริงได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎชุมชนและการอนุมัติจากผู้ดูแลกลุ่ม

    Meta เคยยึดมั่นนโยบาย “Real Name” มายาวนาน แต่ล่าสุดได้ปรับเปลี่ยน โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups สามารถตั้งชื่อเล่นและใช้อวาตาร์แทนชื่อจริงได้เมื่อเข้าร่วมสนทนาในกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

    เงื่อนไขการใช้งาน
    การใช้ชื่อเล่นต้องเปิดใช้งานโดย ผู้ดูแลกลุ่ม (admins)
    บางกรณีอาจต้องได้รับการอนุมัติแบบ manual
    ชื่อเล่นและอวาตาร์ยังคงต้องปฏิบัติตาม Community Standards ของ Meta
    ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ตามต้องการ

    อวาตาร์และการมีส่วนร่วม
    Meta เปิดตัวชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารัก เช่น “สัตว์ใส่แว่นกันแดด” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ร่วมกับชื่อเล่น การเพิ่มฟีเจอร์นี้ถูกมองว่าเป็นการลดแรงกดดันทางสังคม และช่วยให้ผู้ใช้เข้าร่วมสนทนาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดเผยตัวตนมากเกินไป

    ความหมายเชิงกลยุทธ์
    การปรับนโยบายครั้งนี้สะท้อนว่า Meta กำลังพยายามทำให้ Facebook Groups เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่มากขึ้น หลังจากที่เปิดฟีเจอร์ฟีดกิจกรรมท้องถิ่น และการเปลี่ยนกลุ่มส่วนตัวเป็นสาธารณะในปีที่ผ่านมา การอนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตร

    สรุปสาระสำคัญ
    Meta ปรับนโยบาย Real Name
    อนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นและอวาตาร์ใน Facebook Groups
    ผู้ใช้สามารถสลับระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องเปิดใช้งานโดยผู้ดูแลกลุ่ม
    ต้องปฏิบัติตาม Community Standards

    อวาตาร์และการมีส่วนร่วม
    มีชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารักให้เลือก
    ลดแรงกดดันทางสังคมและเพิ่มการมีส่วนร่วม

    ความหมายเชิงกลยุทธ์
    ช่วยดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่เข้าสู่ Facebook Groups
    เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงฟีเจอร์เพื่อเพิ่มการใช้งาน

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การใช้ชื่อเล่นอาจทำให้เกิดการแอบอ้างหรือการละเมิดกฎชุมชน
    ผู้ดูแลกลุ่มต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด

    https://securityonline.info/meta-shifts-real-name-policy-facebook-groups-now-allow-custom-nicknames-avatars/
    👥 Meta เปิดให้ใช้ชื่อเล่นใน Groups Meta ปรับนโยบายชื่อจริงบน Facebook โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups ใช้ ชื่อเล่น (nickname) และ อวาตาร์ แทนชื่อจริงได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎชุมชนและการอนุมัติจากผู้ดูแลกลุ่ม Meta เคยยึดมั่นนโยบาย “Real Name” มายาวนาน แต่ล่าสุดได้ปรับเปลี่ยน โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups สามารถตั้งชื่อเล่นและใช้อวาตาร์แทนชื่อจริงได้เมื่อเข้าร่วมสนทนาในกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 🛡️ เงื่อนไขการใช้งาน 💠 การใช้ชื่อเล่นต้องเปิดใช้งานโดย ผู้ดูแลกลุ่ม (admins) 💠 บางกรณีอาจต้องได้รับการอนุมัติแบบ manual 💠 ชื่อเล่นและอวาตาร์ยังคงต้องปฏิบัติตาม Community Standards ของ Meta 💠 ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ตามต้องการ 🎨 อวาตาร์และการมีส่วนร่วม Meta เปิดตัวชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารัก เช่น “สัตว์ใส่แว่นกันแดด” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ร่วมกับชื่อเล่น การเพิ่มฟีเจอร์นี้ถูกมองว่าเป็นการลดแรงกดดันทางสังคม และช่วยให้ผู้ใช้เข้าร่วมสนทนาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดเผยตัวตนมากเกินไป 🌍 ความหมายเชิงกลยุทธ์ การปรับนโยบายครั้งนี้สะท้อนว่า Meta กำลังพยายามทำให้ Facebook Groups เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่มากขึ้น หลังจากที่เปิดฟีเจอร์ฟีดกิจกรรมท้องถิ่น และการเปลี่ยนกลุ่มส่วนตัวเป็นสาธารณะในปีที่ผ่านมา การอนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Meta ปรับนโยบาย Real Name ➡️ อนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นและอวาตาร์ใน Facebook Groups ➡️ ผู้ใช้สามารถสลับระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องเปิดใช้งานโดยผู้ดูแลกลุ่ม ➡️ ต้องปฏิบัติตาม Community Standards ✅ อวาตาร์และการมีส่วนร่วม ➡️ มีชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารักให้เลือก ➡️ ลดแรงกดดันทางสังคมและเพิ่มการมีส่วนร่วม ✅ ความหมายเชิงกลยุทธ์ ➡️ ช่วยดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่เข้าสู่ Facebook Groups ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงฟีเจอร์เพื่อเพิ่มการใช้งาน ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การใช้ชื่อเล่นอาจทำให้เกิดการแอบอ้างหรือการละเมิดกฎชุมชน ⛔ ผู้ดูแลกลุ่มต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด https://securityonline.info/meta-shifts-real-name-policy-facebook-groups-now-allow-custom-nicknames-avatars/
    SECURITYONLINE.INFO
    Meta Shifts Real Name Policy: Facebook Groups Now Allow Custom Nicknames & Avatars
    Meta is relaxing its real-name policy! Facebook Group admins can now allow members to use custom nicknames and dedicated avatars for semi-anonymous discussions.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+

    X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก

    X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน

    ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare
    Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี

    Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์

    เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด
    ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้

    ผลกระทบและข้อถกเถียง
    การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+
    ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี
    เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้

    ประเภทชื่อผู้ใช้
    Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที
    Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ
    X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ

    ผลกระทบ
    สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม
    อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน
    ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน

    https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    📰 X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน 🎯 ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์ ⚠️ เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้ 🌍 ผลกระทบและข้อถกเถียง การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ ➡️ ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี ➡️ เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้ ✅ ประเภทชื่อผู้ใช้ ➡️ Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที ➡️ Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ ➡️ X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ ✅ ผลกระทบ ➡️ สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม ➡️ อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน ⛔ ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    SECURITYONLINE.INFO
    X Opens Username Marketplace to Premium+ Users: Rare Handles Cost Millions?
    X is now letting Premium+ subscribers request dormant usernames, dividing them into 'Priority' and 'Rare' categories with ambiguous rules and rumored costs up to millions.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ

    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive

    แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

    การสูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design)

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028
    กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง

    Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive
    OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่
    อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม
    หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก

    https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    🍏 ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple 👔 ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 🚪 การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design) 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028 ➡️ กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple ✅ ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ➡️ John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ✅ Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ ➡️ ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive ➡️ OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว ✅ ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple ➡️ ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ➡️ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม ⛔ หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    WCCFTECH.COM
    Tim Cook Isn't Going Away Anytime Soon, But Apple's Talent Is
    According to Gurman, Tim Cook might stick around until 2028, and OpenAI has hired around 40 Apple engineers in the last month or so alone!
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Steam Machine แพงแน่ เพราะ Valve ยันไม่ลดราคา

    Valve ยืนยันว่า Steam Machine รุ่นใหม่ จะไม่ถูกอุดหนุนราคาเหมือนเครื่องคอนโซล ทำให้ราคาคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่เริ่มต้นเพียง 399–499 ดอลลาร์

    Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Machine จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ขายขาดทุนเพื่อดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบนิเวศเหมือนที่ Sony และ Microsoft ทำกับ PlayStation และ Xbox แต่จะตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงของการสร้างพีซีเกมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง

    สเปกและคุณสมบัติ
    Steam Machine ใช้ซีพียู AMD Zen 4 แบบ 6 คอร์ 12 เธรด และจีพียู AMD RDNA3 28 CU พร้อมแรม DDR5 16GB และ VRAM GDDR6 8GB รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K@240Hz หรือ 8K@60Hz มีฟีเจอร์เด่น เช่น ระบบระบายเสียงเงียบมาก, HDMI CEC, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 และรองรับการเชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์หลายตัว

    ราคาและการแข่งขัน
    ด้วยการไม่อุดหนุนราคา Steam Machine อาจมีราคาสูงถึง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้คอนโซลลังเล เพราะ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีราคาถูกกว่าและยังทรงพลังพอสมควร อย่างไรก็ตาม Valve มองว่าจุดขายคือความยืดหยุ่นของพีซีและการเข้าถึงเกมมหาศาลบน Steam

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนว่า Valve ต้องการให้ Steam Machine เป็น “พีซีเกมขนาดเล็ก” ที่คุ้มค่ากับประสิทธิภาพ ไม่ใช่เครื่องคอนโซลราคาถูก หากผู้ใช้ต้องการความเงียบ ความยืดหยุ่น และการเข้าถึงเกมจำนวนมาก Steam Machine อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ราคาสูงอาจทำให้ตลาดจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นฮาร์ดคอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    Valve ยืนยัน Steam Machine ไม่ถูกอุดหนุนราคา
    ตั้งราคาตามต้นทุนจริง ไม่ขายขาดทุนเหมือนคอนโซล
    คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์

    สเปกและคุณสมบัติ
    CPU AMD Zen 4, GPU AMD RDNA3
    รองรับ 4K@240Hz และ 8K@60Hz
    ระบบเสียงเงียบ, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3

    การแข่งขันกับคอนโซล
    PS5 ราคาเริ่มต้น 399–499 ดอลลาร์
    Steam Machine เน้นความยืดหยุ่นและเกมบน Steam

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เป็นพีซีเกมขนาดเล็กที่ทรงพลังและเงียบ
    ราคาสูงอาจจำกัดตลาดในกลุ่มผู้เล่นจริงจัง

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ราคาสูงกว่าเครื่องคอนโซล อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่เลือกซื้อ
    หาก Valve ไม่สร้าง ecosystem ที่ชัดเจน อาจเสี่ยงต่อยอดขายต่ำ

    https://wccftech.com/steam-machine-isnt-going-to-be-subsidized-valve-confirms-prepare-for-high-price/
    🎮 Steam Machine แพงแน่ เพราะ Valve ยันไม่ลดราคา Valve ยืนยันว่า Steam Machine รุ่นใหม่ จะไม่ถูกอุดหนุนราคาเหมือนเครื่องคอนโซล ทำให้ราคาคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่เริ่มต้นเพียง 399–499 ดอลลาร์ Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Machine จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ขายขาดทุนเพื่อดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบนิเวศเหมือนที่ Sony และ Microsoft ทำกับ PlayStation และ Xbox แต่จะตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงของการสร้างพีซีเกมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ⚙️ สเปกและคุณสมบัติ Steam Machine ใช้ซีพียู AMD Zen 4 แบบ 6 คอร์ 12 เธรด และจีพียู AMD RDNA3 28 CU พร้อมแรม DDR5 16GB และ VRAM GDDR6 8GB รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K@240Hz หรือ 8K@60Hz มีฟีเจอร์เด่น เช่น ระบบระบายเสียงเงียบมาก, HDMI CEC, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 และรองรับการเชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์หลายตัว 💰 ราคาและการแข่งขัน ด้วยการไม่อุดหนุนราคา Steam Machine อาจมีราคาสูงถึง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้คอนโซลลังเล เพราะ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีราคาถูกกว่าและยังทรงพลังพอสมควร อย่างไรก็ตาม Valve มองว่าจุดขายคือความยืดหยุ่นของพีซีและการเข้าถึงเกมมหาศาลบน Steam 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนว่า Valve ต้องการให้ Steam Machine เป็น “พีซีเกมขนาดเล็ก” ที่คุ้มค่ากับประสิทธิภาพ ไม่ใช่เครื่องคอนโซลราคาถูก หากผู้ใช้ต้องการความเงียบ ความยืดหยุ่น และการเข้าถึงเกมจำนวนมาก Steam Machine อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ราคาสูงอาจทำให้ตลาดจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นฮาร์ดคอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Valve ยืนยัน Steam Machine ไม่ถูกอุดหนุนราคา ➡️ ตั้งราคาตามต้นทุนจริง ไม่ขายขาดทุนเหมือนคอนโซล ➡️ คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ✅ สเปกและคุณสมบัติ ➡️ CPU AMD Zen 4, GPU AMD RDNA3 ➡️ รองรับ 4K@240Hz และ 8K@60Hz ➡️ ระบบเสียงเงียบ, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 ✅ การแข่งขันกับคอนโซล ➡️ PS5 ราคาเริ่มต้น 399–499 ดอลลาร์ ➡️ Steam Machine เน้นความยืดหยุ่นและเกมบน Steam ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ เป็นพีซีเกมขนาดเล็กที่ทรงพลังและเงียบ ➡️ ราคาสูงอาจจำกัดตลาดในกลุ่มผู้เล่นจริงจัง ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ราคาสูงกว่าเครื่องคอนโซล อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่เลือกซื้อ ⛔ หาก Valve ไม่สร้าง ecosystem ที่ชัดเจน อาจเสี่ยงต่อยอดขายต่ำ https://wccftech.com/steam-machine-isnt-going-to-be-subsidized-valve-confirms-prepare-for-high-price/
    WCCFTECH.COM
    The Steam Machine Isn't Going to Be Subsidized, Valve Confirms - Prepare for High Price
    Valve has now confirmed unequivocally that the Steam Machine will not be subsidized. As such, its pricing might be far steeper than a console
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ASML เปิดศูนย์ฝึกอบรมในสหรัฐฯ

    ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งแรกในสหรัฐฯ ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เพื่อฝึกวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปีบนเครื่องจักร DUV และ EUV ถือเป็นการเสริมกำลังบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    ASML เปิด Talent Academy ที่ฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้าน R&D ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทอย่าง TSMC และ Intel กำลังลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ การฝึกอบรมนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงโดยไม่ต้องเดินทางไปยุโรป

    รายละเอียดของศูนย์ฝึกอบรม
    ศูนย์ฝึกอบรมประกอบด้วย 14 ห้องเรียนและห้องคลีนรูม ที่ติดตั้งเครื่องจักร DUV และ EUV ของ ASML เพื่อให้วิศวกรได้เรียนรู้และทดลองใช้งานจริง โดยตั้งเป้าฝึกอบรมวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปี ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ

    ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
    Christophe Fouquet ซีอีโอของ ASML ระบุว่า การเปิดศูนย์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะอุตสาหกรรมชิปในสหรัฐฯ กำลังบูม โดยมีการลงทุนในรัฐแอริโซนา เท็กซัส และไอดาโฮ การมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเครื่องจักรจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาต่างประเทศและสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งขึ้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก
    แม้ศูนย์นี้จะไม่ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV ซึ่งยังคงจำกัดไว้ที่เนเธอร์แลนด์ แต่การขยายเข้าสู่สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการกระจายความรู้และการเสริมกำลังบุคลากรในระดับโลก ASML ยังคงเป็น “กระดูกสันหลัง” ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ มีความสามารถแข่งขันมากขึ้นในตลาดโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    ASML เปิด Talent Academy ที่ฟีนิกซ์
    ฝึกอบรมวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปี
    มี 14 ห้องเรียนและคลีนรูมพร้อมเครื่อง DUV/EUV

    ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
    ช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศด้านบุคลากร
    สนับสนุนการลงทุนของ Intel และ TSMC ในสหรัฐฯ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก
    เสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานชิป
    แม้ยังไม่ติดตั้ง High-NA EUV แต่เป็นก้าวสำคัญของ ASML

    https://wccftech.com/asml-opens-up-the-first-u-s-training-facility-in-arizona/
    🧑‍🏫 ASML เปิดศูนย์ฝึกอบรมในสหรัฐฯ ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งแรกในสหรัฐฯ ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เพื่อฝึกวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปีบนเครื่องจักร DUV และ EUV ถือเป็นการเสริมกำลังบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ASML เปิด Talent Academy ที่ฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้าน R&D ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทอย่าง TSMC และ Intel กำลังลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ การฝึกอบรมนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงโดยไม่ต้องเดินทางไปยุโรป 📚 รายละเอียดของศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์ฝึกอบรมประกอบด้วย 14 ห้องเรียนและห้องคลีนรูม ที่ติดตั้งเครื่องจักร DUV และ EUV ของ ASML เพื่อให้วิศวกรได้เรียนรู้และทดลองใช้งานจริง โดยตั้งเป้าฝึกอบรมวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปี ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ⚡ ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ Christophe Fouquet ซีอีโอของ ASML ระบุว่า การเปิดศูนย์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะอุตสาหกรรมชิปในสหรัฐฯ กำลังบูม โดยมีการลงทุนในรัฐแอริโซนา เท็กซัส และไอดาโฮ การมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเครื่องจักรจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาต่างประเทศและสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งขึ้น 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก แม้ศูนย์นี้จะไม่ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV ซึ่งยังคงจำกัดไว้ที่เนเธอร์แลนด์ แต่การขยายเข้าสู่สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการกระจายความรู้และการเสริมกำลังบุคลากรในระดับโลก ASML ยังคงเป็น “กระดูกสันหลัง” ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ มีความสามารถแข่งขันมากขึ้นในตลาดโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ASML เปิด Talent Academy ที่ฟีนิกซ์ ➡️ ฝึกอบรมวิศวกรกว่า 1,000 คนต่อปี ➡️ มี 14 ห้องเรียนและคลีนรูมพร้อมเครื่อง DUV/EUV ✅ ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศด้านบุคลากร ➡️ สนับสนุนการลงทุนของ Intel และ TSMC ในสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก ➡️ เสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานชิป ➡️ แม้ยังไม่ติดตั้ง High-NA EUV แต่เป็นก้าวสำคัญของ ASML https://wccftech.com/asml-opens-up-the-first-u-s-training-facility-in-arizona/
    WCCFTECH.COM
    ASML Opens Its First Training Facility in Arizona to Bolster America’s Push for a More Resilient Chip Supply Chain
    ASML has opened its first training facility in the US, located in Phoenix, Arizona, with the intention of meeting the growing talent demand.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า

    บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี

    นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล

    การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ
    บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง

    ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์
    หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า

    ความหมายต่อจักรวาล
    การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Dark Dimension Scenario
    เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล
    อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter

    การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ
    Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร
    เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น

    ผลกระทบต่อการวิจัย
    อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter
    ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ

    ความหมายต่อจักรวาล
    อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น
    ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม
    การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน

    https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    🌌 Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล 🌀 การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง 🔭 ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์ หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า 🌍 ความหมายต่อจักรวาล การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Dark Dimension Scenario ➡️ เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล ➡️ อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter ✅ การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ ➡️ Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร ➡️ เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น ✅ ผลกระทบต่อการวิจัย ➡️ อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter ➡️ ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ ✅ ความหมายต่อจักรวาล ➡️ อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น ➡️ ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม ⛔ การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Answer To Physics' Dark Matter Problem Could Lie In The Fifth Dimension - SlashGear
    Physicists have determined that most of the universe is dark matter -- invisible to us but affecting the universe anyway. Could it exist in another dimension?
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • microSD ความจุสูงขาดตลาดในญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนหน่วยความจำและสตอเรจครั้งใหญ่ ส่งผลให้ microSD ความจุสูง (512GB–2TB) และ HDD ความจุใหญ่ หายากและราคาพุ่งขึ้น เนื่องจากความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและการใช้งานด้าน AI ที่ดูดซับทรัพยากรไปเกือบหมด

    รายงานจาก IT Media ระบุว่า microSD รุ่นความจุสูง เช่น 512GB, 1TB และ 2TB กำลังหมดสต็อกอย่างต่อเนื่องในร้านค้าญี่ปุ่น เนื่องจากผู้ใช้หันมาเลือกใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลแบบพกพา ทำให้ตลาดผู้บริโภคแทบไม่เหลือสินค้าให้เลือก

    HDD ความจุใหญ่ก็หายไปเช่นกัน
    ไม่เพียงแต่ microSD เท่านั้น แต่ HDD ความจุสูง ก็ถูกกวาดซื้อไปอย่างรวดเร็ว โดยร้านค้าญี่ปุ่นเผยว่าถูกดูดไปใช้ในงาน AI และ Data Center ทำให้สินค้าขาดตลาดทันทีที่เข้ามา แม้ราคาจะสูงขึ้นก็ยังขายหมดอย่างรวดเร็ว

    สถานการณ์หน่วยความจำโลก
    นอกจากสตอเรจแล้ว DDR5 DRAM ก็เป็นอีกสินค้าที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างหนัก เช่น ชุด Corsair Vengeance 64GB ที่เคยราคา ¥40,000 (~260 USD) ในต้นเดือนพฤศจิกายน กลับเพิ่มขึ้นเป็น ¥70,000 (~460 USD) ภายในสามสัปดาห์ สะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลจากความต้องการด้าน AI ที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคได้รับผลกระทบเต็ม ๆ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    แม้กราฟิกการ์ดยังคงเสถียร แต่แนวโน้มคือสินค้าสตอเรจและหน่วยความจำจะยังคงขาดตลาดต่อไปในปีหน้า หากความต้องการจาก AI และศูนย์ข้อมูลไม่ลดลง ผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นและการหาสินค้าที่ต้องการได้ยากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    microSD ความจุสูงขาดตลาด
    รุ่น 512GB–2TB หมดสต็อกในร้านค้าญี่ปุ่น
    ผู้ใช้หันมาใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน

    HDD ความจุใหญ่หายาก
    ถูกกวาดซื้อไปใช้ในงาน AI และ Data Center
    ราคาสูงขึ้นแต่ยังขายหมดทันที

    หน่วยความจำ DDR5 ราคาพุ่ง
    Corsair Vengeance 64GB เพิ่มจาก ¥40,000 เป็น ¥70,000 ภายใน 3 สัปดาห์
    สะท้อนแรงกดดันจากความต้องการ AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ตลาดสตอเรจและ DRAM จะยังคงตึงตัวในปีหน้า
    ผู้บริโภคทั่วไปเจอราคาสูงและสินค้าหายาก

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การขาดแคลนหน่วยความจำอาจกระทบต่อการอัปเกรดและการสร้างระบบใหม่
    ราคาที่พุ่งขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/large-capacity-microsd-cards-are-now-regularly-out-of-stock-in-japan-as-storage-crunch-claims-another-victim-high-capacity-hdds-are-also-vanishing
    💾 microSD ความจุสูงขาดตลาดในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนหน่วยความจำและสตอเรจครั้งใหญ่ ส่งผลให้ microSD ความจุสูง (512GB–2TB) และ HDD ความจุใหญ่ หายากและราคาพุ่งขึ้น เนื่องจากความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและการใช้งานด้าน AI ที่ดูดซับทรัพยากรไปเกือบหมด รายงานจาก IT Media ระบุว่า microSD รุ่นความจุสูง เช่น 512GB, 1TB และ 2TB กำลังหมดสต็อกอย่างต่อเนื่องในร้านค้าญี่ปุ่น เนื่องจากผู้ใช้หันมาเลือกใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลแบบพกพา ทำให้ตลาดผู้บริโภคแทบไม่เหลือสินค้าให้เลือก 📉 HDD ความจุใหญ่ก็หายไปเช่นกัน ไม่เพียงแต่ microSD เท่านั้น แต่ HDD ความจุสูง ก็ถูกกวาดซื้อไปอย่างรวดเร็ว โดยร้านค้าญี่ปุ่นเผยว่าถูกดูดไปใช้ในงาน AI และ Data Center ทำให้สินค้าขาดตลาดทันทีที่เข้ามา แม้ราคาจะสูงขึ้นก็ยังขายหมดอย่างรวดเร็ว ⚡ สถานการณ์หน่วยความจำโลก นอกจากสตอเรจแล้ว DDR5 DRAM ก็เป็นอีกสินค้าที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างหนัก เช่น ชุด Corsair Vengeance 64GB ที่เคยราคา ¥40,000 (~260 USD) ในต้นเดือนพฤศจิกายน กลับเพิ่มขึ้นเป็น ¥70,000 (~460 USD) ภายในสามสัปดาห์ สะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลจากความต้องการด้าน AI ที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคได้รับผลกระทบเต็ม ๆ 🌍 ผลกระทบต่อผู้บริโภค แม้กราฟิกการ์ดยังคงเสถียร แต่แนวโน้มคือสินค้าสตอเรจและหน่วยความจำจะยังคงขาดตลาดต่อไปในปีหน้า หากความต้องการจาก AI และศูนย์ข้อมูลไม่ลดลง ผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นและการหาสินค้าที่ต้องการได้ยากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ microSD ความจุสูงขาดตลาด ➡️ รุ่น 512GB–2TB หมดสต็อกในร้านค้าญี่ปุ่น ➡️ ผู้ใช้หันมาใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน ✅ HDD ความจุใหญ่หายาก ➡️ ถูกกวาดซื้อไปใช้ในงาน AI และ Data Center ➡️ ราคาสูงขึ้นแต่ยังขายหมดทันที ✅ หน่วยความจำ DDR5 ราคาพุ่ง ➡️ Corsair Vengeance 64GB เพิ่มจาก ¥40,000 เป็น ¥70,000 ภายใน 3 สัปดาห์ ➡️ สะท้อนแรงกดดันจากความต้องการ AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ตลาดสตอเรจและ DRAM จะยังคงตึงตัวในปีหน้า ➡️ ผู้บริโภคทั่วไปเจอราคาสูงและสินค้าหายาก ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การขาดแคลนหน่วยความจำอาจกระทบต่อการอัปเกรดและการสร้างระบบใหม่ ⛔ ราคาที่พุ่งขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/large-capacity-microsd-cards-are-now-regularly-out-of-stock-in-japan-as-storage-crunch-claims-another-victim-high-capacity-hdds-are-also-vanishing
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่

    นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที

    Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด

    การทำงานและความเร็ว
    เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980

    ความท้าทายในการสร้าง
    Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre
    สร้างโดย Skyriver จากศูนย์
    ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง

    ความเร็วและการทำงาน
    อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที
    ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล

    ความท้าทายในการสร้าง
    ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด
    ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก
    โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์
    ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    🖥️ เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่ นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด 🔧 การทำงานและความเร็ว เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980 🛠️ ความท้าทายในการสร้าง Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ 📜 ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre ➡️ สร้างโดย Skyriver จากศูนย์ ➡️ ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง ✅ ความเร็วและการทำงาน ➡️ อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที ➡️ ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล ✅ ความท้าทายในการสร้าง ➡️ ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด ➡️ ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป ✅ ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ ➡️ เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก ➡️ โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ⛔ ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Retro computing enthusiast creates perforated tape reader designed 'from scratch' — reads data at about 50 bytes per second
    The punched card computer era finally shuttered in 1984, when IBM discontinued card manufacturing, but some people miss it.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ

    ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์

    ข้อตกลงและการละเมิด
    ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ

    ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง
    แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง

    ผลกระทบและความกังวล
    กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อกล่าวหาต่อ ASML
    เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ
    เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน

    ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์
    ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023
    ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้

    การปฏิเสธของ ASML
    บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง
    ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ

    ผลกระทบที่ตามมา
    กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร
    สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    📖 ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ⚖️ ข้อตกลงและการละเมิด ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ 🕵️ ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง 🌍 ผลกระทบและความกังวล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ ASML ➡️ เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ➡️ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน ✅ ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ➡️ ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023 ➡️ ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ✅ การปฏิเสธของ ASML ➡️ บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง ➡️ ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ ✅ ผลกระทบที่ตามมา ➡️ กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ➡️ สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • การเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพา

    เรื่องราวของ Winnebiko คือการเดินทางกว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือนโดย Steven K. Roberts นักเทคโนโลยีผู้บุกเบิกการใช้คอมพิวเตอร์พกพาและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทำงานระหว่างทาง ถือเป็นการทดลองชีวิตแบบ Digital Nomad ยุคแรกสุดเมื่อกว่า 40 ปีก่อน

    ในปี 1983–1984 Steven K. Roberts ได้ออกเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพาและระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เขาเรียกมันว่า Winnebiko การเดินทางครั้งนี้ครอบคลุมระยะทางกว่า 17,000 ไมล์ทั่วสหรัฐฯ ใช้เวลารวม 17 เดือน ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น

    พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s
    Winnebiko ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และมีอุปกรณ์พกพาอย่างโมเด็ม, เครื่องบันทึกข้อมูล และคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่สามารถพิมพ์และส่งข้อความได้ แม้จะเป็นยุคก่อนอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน แต่ Roberts สามารถทำงาน “บนถนน” ได้จริง ๆ ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตแบบ mobile computing ที่ล้ำหน้าไปหลายสิบปี

    การทำงานระหว่างเดินทาง
    Roberts ใช้จักรยานเป็นทั้งพาหนะและสำนักงานเคลื่อนที่ เขาสามารถเขียนบทความ ส่งข้อมูล และสื่อสารกับผู้คนระหว่างทาง การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัย แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถทำให้การทำงานแบบ remote เป็นไปได้ แม้ในยุคที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม

    มรดกของ Winnebiko
    การเดินทาง Computing Across America กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ที่เฟื่องฟูในปัจจุบัน Roberts แสดงให้เห็นว่า การผสมผสานเทคโนโลยีกับการเดินทางสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ได้ และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี เรื่องราวของเขายังคงถูกยกขึ้นมาเป็นตำนานของการใช้เทคโนโลยีเพื่ออิสระในการทำงาน

    สรุปสาระสำคัญ
    การเดินทาง Computing Across America
    Steven K. Roberts เดินทางด้วยจักรยาน Winnebiko กว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือน
    ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยี

    พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s
    ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชาร์จแบตเตอรี่
    มีคอมพิวเตอร์พกพาและโมเด็มสำหรับส่งข้อมูล

    การทำงานระหว่างเดินทาง
    ใช้จักรยานเป็นสำนักงานเคลื่อนที่
    สามารถเขียนบทความและสื่อสารได้แม้ระหว่างทาง

    มรดกของ Winnebiko
    เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism
    แสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ remote เป็นไปได้ตั้งแต่ยุค 80s

    https://www.tomshardware.com/laptops/the-winnebiko-travelled-17-000-miles-to-complete-the-computing-across-america-expedition-40-years-ago-solar-and-1980s-portable-gadgets-powered-digital-nomadism-in-its-earliest-and-purest-form
    🚴 การเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพา เรื่องราวของ Winnebiko คือการเดินทางกว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือนโดย Steven K. Roberts นักเทคโนโลยีผู้บุกเบิกการใช้คอมพิวเตอร์พกพาและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทำงานระหว่างทาง ถือเป็นการทดลองชีวิตแบบ Digital Nomad ยุคแรกสุดเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ในปี 1983–1984 Steven K. Roberts ได้ออกเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพาและระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เขาเรียกมันว่า Winnebiko การเดินทางครั้งนี้ครอบคลุมระยะทางกว่า 17,000 ไมล์ทั่วสหรัฐฯ ใช้เวลารวม 17 เดือน ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น 🔋 พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s Winnebiko ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และมีอุปกรณ์พกพาอย่างโมเด็ม, เครื่องบันทึกข้อมูล และคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่สามารถพิมพ์และส่งข้อความได้ แม้จะเป็นยุคก่อนอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน แต่ Roberts สามารถทำงาน “บนถนน” ได้จริง ๆ ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตแบบ mobile computing ที่ล้ำหน้าไปหลายสิบปี 🌍 การทำงานระหว่างเดินทาง Roberts ใช้จักรยานเป็นทั้งพาหนะและสำนักงานเคลื่อนที่ เขาสามารถเขียนบทความ ส่งข้อมูล และสื่อสารกับผู้คนระหว่างทาง การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัย แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถทำให้การทำงานแบบ remote เป็นไปได้ แม้ในยุคที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม 📜 มรดกของ Winnebiko การเดินทาง Computing Across America กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ที่เฟื่องฟูในปัจจุบัน Roberts แสดงให้เห็นว่า การผสมผสานเทคโนโลยีกับการเดินทางสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ได้ และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี เรื่องราวของเขายังคงถูกยกขึ้นมาเป็นตำนานของการใช้เทคโนโลยีเพื่ออิสระในการทำงาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเดินทาง Computing Across America ➡️ Steven K. Roberts เดินทางด้วยจักรยาน Winnebiko กว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือน ➡️ ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยี ✅ พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s ➡️ ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชาร์จแบตเตอรี่ ➡️ มีคอมพิวเตอร์พกพาและโมเด็มสำหรับส่งข้อมูล ✅ การทำงานระหว่างเดินทาง ➡️ ใช้จักรยานเป็นสำนักงานเคลื่อนที่ ➡️ สามารถเขียนบทความและสื่อสารได้แม้ระหว่างทาง ✅ มรดกของ Winnebiko ➡️ เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ➡️ แสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ remote เป็นไปได้ตั้งแต่ยุค 80s https://www.tomshardware.com/laptops/the-winnebiko-travelled-17-000-miles-to-complete-the-computing-across-america-expedition-40-years-ago-solar-and-1980s-portable-gadgets-powered-digital-nomadism-in-its-earliest-and-purest-form
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    40 years ago an enthusiast biked 17,000 miles over 17 months with mobile computer to complete the pioneering Computing Across America expedition — solar and 1980s portable gadgets powered the 'Winnebiko' across America
    The journey started before Windows 1, before the Apple Mac, before cell phones, and before the Internet, but Steven K. Roberts managed to work ‘on the road’ for 17 months.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผู้ใช้ Lenovo Legion รวมตัวแชร์เงินแก้บั๊กเสียง

    ผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 ที่ใช้ Linux รวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาเสียงลำโพงที่ผิดปกติ และนักพัฒนาคนหนึ่งสามารถแก้ไขได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน

    กลุ่มผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 (16IAX10H) ที่ใช้ Linux รู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพเสียงลำโพงที่ “เบาและอู้อี้” ซึ่งเกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec พวกเขาจึงรวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub โดยเริ่มต้นจากเงินส่วนตัวของ Nadim Kobeissi จำนวน 500 ดอลลาร์ ก่อนจะมีผู้ร่วมสมทบจนรวมเป็น 2,000 ดอลลาร์

    การแก้ไขที่สำเร็จ
    นักพัฒนาที่ใช้ชื่อว่า Yakov Till (Lepsus) ได้เข้ามารับงานและทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ โดยการปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่าง codec และ amplifier ในระบบเสียงของเครื่อง ซึ่งมีทั้ง Tweeters และ Woofers ทำให้เสียงกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง

    วิธีแก้ไขสำหรับผู้ใช้
    Kobeissi ได้เผยแพร่ คู่มือการติดตั้งแก้ไข สำหรับ Linux kernel เวอร์ชัน 6.17.8 และสัญญาว่าจะอัปเดตให้รองรับเวอร์ชันใหม่ ๆ จนกว่าการแก้ไขจะถูกบรรจุเข้าไปใน kernel อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ที่ทำตามขั้นตอนจะได้เสียงที่ถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง

    ความหมายต่อวงการโอเพนซอร์ส
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า บั๊กบาวน์ตี้ในระดับชุมชน สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่บริษัทใหญ่ไม่สนใจได้ และยังเป็นตัวอย่างของการร่วมมือกันในวงการโอเพนซอร์ส ที่ผู้ใช้สามารถรวมพลังเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบกับชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาลำโพง Lenovo Legion Pro 7 บน Linux
    เกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec
    เสียงลำโพงเบาและผิดเพี้ยน

    การตั้งบั๊กบาวน์ตี้
    เริ่มต้นด้วยเงิน 500 ดอลลาร์จาก Nadim Kobeissi
    รวมยอดเป็น 2,000 ดอลลาร์จากผู้ใช้หลายคน

    การแก้ไขโดย Yakov Till (Lepsus)
    ทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด
    ปรับปรุงการเชื่อมต่อ codec และ amplifier

    คู่มือแก้ไขสำหรับผู้ใช้
    รองรับ Linux kernel 6.17.8 และจะอัปเดตต่อไป
    เสียงทำงานถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การแก้ไขด้วยวิธีชุมชนอาจยังไม่เสถียรเท่าการบรรจุใน kernel อย่างเป็นทางการ
    ผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญการติดตั้ง Linux kernel อาจเจอความเสี่ยงในการทำตามขั้นตอน

    https://www.tomshardware.com/software/linux/frustrated-users-paid-usd2-000-dollars-to-fix-lenovo-legion-speakers-not-working-properly-error-by-posting-a-bug-bounty-coder-wins-the-cash-by-fixing-complex-audio-annoyance-eliminated-in-just-a-month
    💻 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผู้ใช้ Lenovo Legion รวมตัวแชร์เงินแก้บั๊กเสียง ผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 ที่ใช้ Linux รวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาเสียงลำโพงที่ผิดปกติ และนักพัฒนาคนหนึ่งสามารถแก้ไขได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน กลุ่มผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 (16IAX10H) ที่ใช้ Linux รู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพเสียงลำโพงที่ “เบาและอู้อี้” ซึ่งเกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec พวกเขาจึงรวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub โดยเริ่มต้นจากเงินส่วนตัวของ Nadim Kobeissi จำนวน 500 ดอลลาร์ ก่อนจะมีผู้ร่วมสมทบจนรวมเป็น 2,000 ดอลลาร์ 🛠️ การแก้ไขที่สำเร็จ นักพัฒนาที่ใช้ชื่อว่า Yakov Till (Lepsus) ได้เข้ามารับงานและทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ โดยการปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่าง codec และ amplifier ในระบบเสียงของเครื่อง ซึ่งมีทั้ง Tweeters และ Woofers ทำให้เสียงกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง 📑 วิธีแก้ไขสำหรับผู้ใช้ Kobeissi ได้เผยแพร่ คู่มือการติดตั้งแก้ไข สำหรับ Linux kernel เวอร์ชัน 6.17.8 และสัญญาว่าจะอัปเดตให้รองรับเวอร์ชันใหม่ ๆ จนกว่าการแก้ไขจะถูกบรรจุเข้าไปใน kernel อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ที่ทำตามขั้นตอนจะได้เสียงที่ถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง 🔮 ความหมายต่อวงการโอเพนซอร์ส เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า บั๊กบาวน์ตี้ในระดับชุมชน สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่บริษัทใหญ่ไม่สนใจได้ และยังเป็นตัวอย่างของการร่วมมือกันในวงการโอเพนซอร์ส ที่ผู้ใช้สามารถรวมพลังเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบกับชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาลำโพง Lenovo Legion Pro 7 บน Linux ➡️ เกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec ➡️ เสียงลำโพงเบาและผิดเพี้ยน ✅ การตั้งบั๊กบาวน์ตี้ ➡️ เริ่มต้นด้วยเงิน 500 ดอลลาร์จาก Nadim Kobeissi ➡️ รวมยอดเป็น 2,000 ดอลลาร์จากผู้ใช้หลายคน ✅ การแก้ไขโดย Yakov Till (Lepsus) ➡️ ทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด ➡️ ปรับปรุงการเชื่อมต่อ codec และ amplifier ✅ คู่มือแก้ไขสำหรับผู้ใช้ ➡️ รองรับ Linux kernel 6.17.8 และจะอัปเดตต่อไป ➡️ เสียงทำงานถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การแก้ไขด้วยวิธีชุมชนอาจยังไม่เสถียรเท่าการบรรจุใน kernel อย่างเป็นทางการ ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญการติดตั้ง Linux kernel อาจเจอความเสี่ยงในการทำตามขั้นตอน https://www.tomshardware.com/software/linux/frustrated-users-paid-usd2-000-dollars-to-fix-lenovo-legion-speakers-not-working-properly-error-by-posting-a-bug-bounty-coder-wins-the-cash-by-fixing-complex-audio-annoyance-eliminated-in-just-a-month
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • IPv5 โปรโตคอลที่ถูกลืม

    IPv5 หรือ Internet Stream Protocol (ST) เป็นโปรโตคอลทดลองที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปลายยุค 1970 เพื่อรองรับการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่สุดท้ายถูกทิ้งไปเพราะเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแก้ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และความหน่วงได้ดีกว่า

    หลายคนคุ้นเคยกับ IPv4 และ IPv6 แต่แทบไม่รู้จัก IPv5 ซึ่งจริง ๆ แล้วคือ Internet Stream Protocol (ST) ที่ MIT Lincoln Labs พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 70 เพื่อรองรับการสื่อสารแบบสตรีมมิ่ง เช่น เสียงและวิดีโอแบบเรียลไทม์ ถือเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น เพราะเปรียบเสมือน “Zoom ก่อน Zoom” แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านกลาโหมเป็นหลัก

    จุดเริ่มต้นของ VoIP
    IPv5 ถูกนำไปทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) เพื่อสร้างฮาร์ดแวร์โทรศัพท์ VoIP รุ่นแรก ๆ แม้จะไม่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ก็เป็นการปูทางให้เทคโนโลยีการสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการสตรีมข้อมูลแบบต่อเนื่องสามารถทำได้จริง แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและโครงสร้างเครือข่ายในยุคนั้น

    ทำไม IPv5 ถึงไม่ถูกใช้จริง
    แม้จะมีศักยภาพ แต่ IPv5 ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐานสากล เพราะถูกมองว่าเป็น “กิ่งก้านที่ไม่จำเป็น” ของการพัฒนาอินเทอร์เน็ต เมื่อเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาในยุค 1990 ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และ latency ที่ IPv5 พยายามแก้ก็หมดความสำคัญไป ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตข้ามจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 โดยตรง

    บทเรียนจาก IPv5
    เรื่องราวของ IPv5 สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกการทดลองจะกลายเป็นมาตรฐาน แต่ก็มีคุณค่าในฐานะ “รากฐาน” ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น VoIP และการสตรีมมิ่งที่เราใช้กันทุกวันนี้ หากไม่มีการทดลองเหล่านี้ อินเทอร์เน็ตอาจไม่ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เราคุ้นเคย

    สรุปสาระสำคัญ
    IPv5 คือ Internet Stream Protocol (ST)
    พัฒนาขึ้นในปลายยุค 70 โดย MIT Lincoln Labs
    ออกแบบมาเพื่อการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์

    จุดเริ่มต้นของ VoIP
    ใช้ทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP)
    เป็นพื้นฐานให้การสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต

    เหตุผลที่ไม่ถูกใช้จริง
    ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐาน
    เทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแทนที่และแก้ปัญหาได้ดีกว่า

    บทเรียนจาก IPv5
    แม้ไม่ถูกใช้งานจริง แต่เป็นแรงบันดาลใจให้เทคโนโลยีสตรีมมิ่งและ VoIP

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การพัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่ไม่ถูกยอมรับอาจทำให้เกิดความสับสนในระบบเครือข่าย
    การพึ่งพาเทคโนโลยีที่ไม่เป็นมาตรฐานอาจเสี่ยงต่อความเข้ากันได้และความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/networking/ipv5-and-the-internet-stream-protocol-a-data-streaming-experiment-rendered-unnecessary-by-broadband
    🌐 IPv5 โปรโตคอลที่ถูกลืม IPv5 หรือ Internet Stream Protocol (ST) เป็นโปรโตคอลทดลองที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปลายยุค 1970 เพื่อรองรับการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่สุดท้ายถูกทิ้งไปเพราะเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแก้ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และความหน่วงได้ดีกว่า หลายคนคุ้นเคยกับ IPv4 และ IPv6 แต่แทบไม่รู้จัก IPv5 ซึ่งจริง ๆ แล้วคือ Internet Stream Protocol (ST) ที่ MIT Lincoln Labs พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 70 เพื่อรองรับการสื่อสารแบบสตรีมมิ่ง เช่น เสียงและวิดีโอแบบเรียลไทม์ ถือเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น เพราะเปรียบเสมือน “Zoom ก่อน Zoom” แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านกลาโหมเป็นหลัก 📞 จุดเริ่มต้นของ VoIP IPv5 ถูกนำไปทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) เพื่อสร้างฮาร์ดแวร์โทรศัพท์ VoIP รุ่นแรก ๆ แม้จะไม่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ก็เป็นการปูทางให้เทคโนโลยีการสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการสตรีมข้อมูลแบบต่อเนื่องสามารถทำได้จริง แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและโครงสร้างเครือข่ายในยุคนั้น 🚀 ทำไม IPv5 ถึงไม่ถูกใช้จริง แม้จะมีศักยภาพ แต่ IPv5 ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐานสากล เพราะถูกมองว่าเป็น “กิ่งก้านที่ไม่จำเป็น” ของการพัฒนาอินเทอร์เน็ต เมื่อเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาในยุค 1990 ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และ latency ที่ IPv5 พยายามแก้ก็หมดความสำคัญไป ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตข้ามจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 โดยตรง 📜 บทเรียนจาก IPv5 เรื่องราวของ IPv5 สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกการทดลองจะกลายเป็นมาตรฐาน แต่ก็มีคุณค่าในฐานะ “รากฐาน” ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น VoIP และการสตรีมมิ่งที่เราใช้กันทุกวันนี้ หากไม่มีการทดลองเหล่านี้ อินเทอร์เน็ตอาจไม่ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เราคุ้นเคย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ IPv5 คือ Internet Stream Protocol (ST) ➡️ พัฒนาขึ้นในปลายยุค 70 โดย MIT Lincoln Labs ➡️ ออกแบบมาเพื่อการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเริ่มต้นของ VoIP ➡️ ใช้ทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) ➡️ เป็นพื้นฐานให้การสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต ✅ เหตุผลที่ไม่ถูกใช้จริง ➡️ ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐาน ➡️ เทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแทนที่และแก้ปัญหาได้ดีกว่า ✅ บทเรียนจาก IPv5 ➡️ แม้ไม่ถูกใช้งานจริง แต่เป็นแรงบันดาลใจให้เทคโนโลยีสตรีมมิ่งและ VoIP ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การพัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่ไม่ถูกยอมรับอาจทำให้เกิดความสับสนในระบบเครือข่าย ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีที่ไม่เป็นมาตรฐานอาจเสี่ยงต่อความเข้ากันได้และความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/networking/ipv5-and-the-internet-stream-protocol-a-data-streaming-experiment-rendered-unnecessary-by-broadband
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The industry skipped from IPv4 to IPv6, leaving IPv5 and the Internet Stream Protocol to the annals of history — a data streaming experiment rendered unnecessary by broadband
    IPv5 wasn't a general purpose Internet Protocol like IPv4 or IPv6, and was never ratified as such, but it would give birth to the first VOIP hardware.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก

    โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้

    การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971

    นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์
    โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน

    ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์
    แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรเจกต์ Supersized Intel 4004
    สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า
    ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971

    นิทรรศการ Enter Museum
    จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026
    ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง

    ความพิเศษของชิปใหม่
    ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz)
    ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก
    แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม
    การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    🎂 ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้ การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971 🏛️ นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์ โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ⚡ ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์ แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม 📜 บทเรียนจากประวัติศาสตร์ Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรเจกต์ Supersized Intel 4004 ➡️ สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า ➡️ ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971 ✅ นิทรรศการ Enter Museum ➡️ จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026 ➡️ ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง ✅ ความพิเศษของชิปใหม่ ➡️ ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz) ➡️ ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ✅ บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ➡️ แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060

    #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060 • #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • จับตายุบสภา! “อนุทิน” สั่งสมาชิกพรรครอฟังสัญญาณ 12 ธ.ค., หลังประชุมใหญ่วิสามัญเลือกคณะกรรมการสรรหา เตรียมพร้อมทำไพรมารีโหวต รองรับการเลือกตั้งที่อาจมาถึงเร็วกว่าคาด ขณะเดียวกันยังขับเคลื่อนประเด็นประชามติแก้รัฐธรรมนูญ และเตรียมขอเปิดประชุมวิสามัญวันที่ 10–11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112046

    #การเมืองไทย #อนุทิน #ภูมิใจไทย #เลือกตั้ง #News1live #News1
    จับตายุบสภา! “อนุทิน” สั่งสมาชิกพรรครอฟังสัญญาณ 12 ธ.ค., หลังประชุมใหญ่วิสามัญเลือกคณะกรรมการสรรหา เตรียมพร้อมทำไพรมารีโหวต รองรับการเลือกตั้งที่อาจมาถึงเร็วกว่าคาด ขณะเดียวกันยังขับเคลื่อนประเด็นประชามติแก้รัฐธรรมนูญ และเตรียมขอเปิดประชุมวิสามัญวันที่ 10–11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112046 • #การเมืองไทย #อนุทิน #ภูมิใจไทย #เลือกตั้ง #News1live #News1
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ออกโรงโต้เสียงวิจารณ์จากไทย ยืนยันไม่ได้แทรกแซงความตึงเครียดไทย-กัมพูชา แต่เพียงเปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามสถานะ “เพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้” , บอกไทย–กัมพูชาตัดสินใจเองทุกขั้นตอน , เผยทรัมป์ก็ติดต่อทั้งสองฝ่ายระหว่างกระบวนการ

    อ่านต่อ: https://news1live.com/detail/9680000111870

    #มาเลเซีย #อันวาร์ #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #news1live
    อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ออกโรงโต้เสียงวิจารณ์จากไทย ยืนยันไม่ได้แทรกแซงความตึงเครียดไทย-กัมพูชา แต่เพียงเปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามสถานะ “เพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้” , บอกไทย–กัมพูชาตัดสินใจเองทุกขั้นตอน , เผยทรัมป์ก็ติดต่อทั้งสองฝ่ายระหว่างกระบวนการ • อ่านต่อ: https://news1live.com/detail/9680000111870 • #มาเลเซีย #อันวาร์ #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #news1live
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • O.P.K.

    คดีจอมผีดิบ

    การระบาดลึกลับในกรุงเทพ

    เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล

    ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง
    มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด]
    B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด]
    C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้]
    D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด]
    ```

    ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์

    แพทย์รายงานลักษณะประหลาด:
    "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป...
    แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้
    และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!"

    การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์

    การตามหาต้นตอ

    ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน]
    B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย]
    C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม]
    ```

    ลักษณะทางวิทยาศาสตร์

    ```python
    class MutatedParasite:
    def __init__(self):
    self.characteristics = {
    "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด",
    "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย",
    "incubation": "24-48 ชั่วโมง",
    "symptoms": [
    "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ",
    "ตาขาวกลายเป็นสีดำ",
    "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%",
    "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น"
    ],
    "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้"
    }

    self.abilities = {
    "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง",
    "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว",
    "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ",
    "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ"
    }
    ```

    วิกฤตการณ์ระบาด

    การแพร่กระจายในเมือง

    การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ:

    · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้
    · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด
    · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์

    ความน่าสะพรึงกลัว

    ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ:

    · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ
    · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่
    · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ
    · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน

    การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย

    ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ

    หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า:
    "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด...
    โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!"

    สูตรสมุนไพรรักษา

    ```python
    class ThaiHerbalVaccine:
    def __init__(self):
    self.herbal_components = {
    "primary": [
    "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต",
    "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต",
    "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต",
    "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย"
    ],
    "secondary": [
    "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ",
    "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต",
    "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย",
    "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต"
    ]
    }

    self.preparation = {
    "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม",
    "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง",
    "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน",
    "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ"
    }
    ```

    กระบวนการผลิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม]
    B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ]
    C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ]
    D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา]
    ```

    การรักษาและป้องกัน

    โปรโตคอลการรักษา

    พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ:

    1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย
    2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ
    3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
    4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด

    มาตรการป้องกัน

    สำหรับประชาชนทั่วไป:

    · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย
    · การตรวจเลือด: เป็นประจำ
    · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น
    · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น

    ความร่วมมือระดับชาติ

    การระดมสรรพกำลัง

    รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ:

    ```python
    class NationalResponse:
    def __init__(self):
    self.agencies_involved = [
    "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์",
    "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์",
    "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา",
    "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา"
    ]

    self.resources_mobilized = {
    "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร",
    "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร",
    "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์",
    "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร"
    }
    ```

    การจัดการวิกฤต

    ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน:

    · สถานที่: กรมควบคุมโรค
    · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน
    · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน

    ผลการดำเนินงาน

    ความคืบหน้าของการรักษา

    หลังใช้สมุนไพรไทย:

    ```mermaid
    graph LR
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้]
    ```

    อัตราความสำเร็จ

    · ป้องกันการติดเชื้อ: 95%
    · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85%
    · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง
    · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์

    ความสำเร็จที่โดดเด่น

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    การค้นพบที่สำคัญ:

    · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต
    · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต
    · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว

    การได้รับการยอมรับ

    องค์การอนามัยโลกยกย่อง:
    "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ...
    ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่"

    บทเรียนจากวิกฤต

    สำหรับวงการแพทย์

    "เราเรียนรู้ว่า...
    ยาสมัยใหม่不是คำตอบเดียว
    และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้"

    สำหรับสังคมไทย

    "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า...
    ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม

    และแสดงให้เห็นว่า...
    เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต"

    สำหรับอนาคต

    "การวิจัยสมุนไพรไทย...
    ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง

    เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป...
    ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก"

    การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

    นวัตกรรมต่อยอด

    พัฒนาจากบทเรียนนี้:

    · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ
    · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ
    · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่

    โครงการระยะยาว

    ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย:

    · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร
    · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน
    · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์:
    "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า...
    บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก

    และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ...
    คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้"

    บทเรียนแห่งการอยู่รอด:
    "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่...
    ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"

    มรดกจากวิกฤต:
    "จากผีดิบปรสิต...
    สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย

    และจากความสยองขวัญ...
    สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"
    O.P.K. 🧟‍♂️ คดีจอมผีดิบ 🚨 การระบาดลึกลับในกรุงเทพ 🏥 เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์ ```mermaid graph TB A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด] B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด] C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้] D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด] ``` 🧬 ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์ แพทย์รายงานลักษณะประหลาด: "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป... แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้ และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!" 🔬 การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ 🕵️ การตามหาต้นตอ ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน: ```mermaid graph LR A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน] B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย] C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม] ``` 🧪 ลักษณะทางวิทยาศาสตร์ ```python class MutatedParasite: def __init__(self): self.characteristics = { "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด", "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย", "incubation": "24-48 ชั่วโมง", "symptoms": [ "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ", "ตาขาวกลายเป็นสีดำ", "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%", "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น" ], "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้" } self.abilities = { "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง", "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว", "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ", "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ" } ``` 🚨 วิกฤตการณ์ระบาด 🏙️ การแพร่กระจายในเมือง การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ: · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้ · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์ 💀 ความน่าสะพรึงกลัว ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ: · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่ · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน 🌿 การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย 🔍 ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า: "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด... โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!" 💊 สูตรสมุนไพรรักษา ```python class ThaiHerbalVaccine: def __init__(self): self.herbal_components = { "primary": [ "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต", "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต", "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต", "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย" ], "secondary": [ "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ", "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต", "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย", "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต" ] } self.preparation = { "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม", "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง", "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน", "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ" } ``` 🧪 กระบวนการผลิต ```mermaid graph TB A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม] B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ] C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ] D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา] ``` 🏥 การรักษาและป้องกัน 💉 โปรโตคอลการรักษา พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ: 1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย 2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ 3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ 4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด 🛡️ มาตรการป้องกัน สำหรับประชาชนทั่วไป: · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย · การตรวจเลือด: เป็นประจำ · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น 🌍 ความร่วมมือระดับชาติ 🤝 การระดมสรรพกำลัง รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ: ```python class NationalResponse: def __init__(self): self.agencies_involved = [ "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์", "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์", "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา", "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา" ] self.resources_mobilized = { "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร", "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร", "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์", "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร" } ``` 📊 การจัดการวิกฤต ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน: · สถานที่: กรมควบคุมโรค · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน 🎯 ผลการดำเนินงาน 📈 ความคืบหน้าของการรักษา หลังใช้สมุนไพรไทย: ```mermaid graph LR A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้] ``` 💪 อัตราความสำเร็จ · ป้องกันการติดเชื้อ: 95% · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85% · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์ 🏆 ความสำเร็จที่โดดเด่น 🌟 จุดเปลี่ยนสำคัญ การค้นพบที่สำคัญ: · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว 🎖️ การได้รับการยอมรับ องค์การอนามัยโลกยกย่อง: "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ... ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่" 📚 บทเรียนจากวิกฤต 🧠 สำหรับวงการแพทย์ "เราเรียนรู้ว่า... ยาสมัยใหม่不是คำตอบเดียว และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้" 💫 สำหรับสังคมไทย "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า... ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม และแสดงให้เห็นว่า... เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต" 🌿 สำหรับอนาคต "การวิจัยสมุนไพรไทย... ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป... ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก" 🔮 การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต 💊 นวัตกรรมต่อยอด พัฒนาจากบทเรียนนี้: · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่ 🌱 โครงการระยะยาว ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย: · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน --- คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์: "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า... บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ... คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้" บทเรียนแห่งการอยู่รอด: "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่... ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"🌿✨ มรดกจากวิกฤต: "จากผีดิบปรสิต... สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย และจากความสยองขวัญ... สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"🏥💚
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • O.P.K. เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ




    ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน
    อายุ:42 ปี
    สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล]
    B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์]
    C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ]
    ```

    ความสำเร็จในวงการ

    ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ:

    · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก
    · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน
    · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่

    ชีวิตครอบครัว

    ```python
    class FamilyLife:
    def __init__(self):
    self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ"
    self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ"
    self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท"

    self.routine = {
    "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน",
    "day": "ทำงานวิจัย",
    "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน",
    "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์"
    }
    ```





    ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า:
    "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป...
    การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ"

    โครงการอสรพิษ

    ```python
    class ProjectOscrop:
    def __init__(self):
    self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ"
    self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ"
    self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี"

    self.ethical_concerns = [
    "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต",
    "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม",
    "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร",
    "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต"
    ]
    ```



    15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย]
    B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง]
    C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย]
    D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์]
    ```



    3 แรงขับเคลื่อนหลัก

    ```python
    class Motivation:
    def __init__(self):
    self.conscious_motives = {
    "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ",
    "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย",
    "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม"
    }

    self.subconscious_motives = {
    "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง",
    "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก",
    "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ"
    }
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ:
    "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน...
    และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ

    แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน...
    และความสงสัยนั้นก็หายไป"

    การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ

    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์]
    ```

    การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

    ```python
    class PhysicalChanges:
    def __init__(self):
    self.enhancements = {
    "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า",
    "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า",
    "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง",
    "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก"
    }

    side_effects = {
    "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม",
    "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง",
    "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น",
    "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน"
    }
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน

    ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง

    ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง:

    · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ
    · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท
    · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง

    บันทึกความในใจ

    "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'...
    หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง

    แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น...
    และความอบอุ่นนั้นก็หายไป"

    ความขัดแย้งทางจริยธรรม

    การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย

    ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!"
    ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!"
    ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!"

    การตัดสินใจครั้งสำคัญ

    ```python
    class CriticalDecisions:
    def __init__(self):
    self.crossroads = [
    "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์",
    "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ",
    "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ",
    "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า"
    ]

    self.regrets = [
    "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน",
    "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา",
    "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ",
    "สร้างความเสียหายให้สังคม"
    ]
    ```



    หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?"
    ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป"
    หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..."

    ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก

    ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน
    "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด...
    น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก

    และฉันก็เข้าใจว่า...
    การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก
    就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด"

    กระบวนการบำบัด

    การรักษาด้วยสมุนไพร

    ```mermaid
    graph TB
    A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน]
    B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง]
    C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา]
    D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน]
    ```

    การกลับสู่ครอบครัว

    หลังการบำบัดบางส่วน:

    · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ
    · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์
    · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต

    บทเรียนชีวิต

    🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์
    ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม

    และการมีชีวิตที่จำกัด...
    ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า"

    การให้อภัยตัวเอง

    "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง...
    สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด

    และใช้สิ่งที่เรียนรู้...
    เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน"

    อนาคตใหม่

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่:

    · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป
    · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
    · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป

    โครงการใหม่

    ```python
    class NewProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่",
    "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม",
    "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ",
    "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่"
    }
    ```

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ:
    "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ...
    แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์

    และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู...
    แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า

    บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง
    แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"

    บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์:
    "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ...
    และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์

    การเดินทางนี้สอนเราว่า...
    ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน
    ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"
    O.P.K. 🔬 เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน อายุ:42 ปี สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน ```mermaid graph TB A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล] B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์] C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ] ``` 🏆 ความสำเร็จในวงการ ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ: · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่ 💞 ชีวิตครอบครัว ```python class FamilyLife: def __init__(self): self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ" self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ" self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท" self.routine = { "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน", "day": "ทำงานวิจัย", "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน", "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์" } ``` ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า: "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป... การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ" 🧪 โครงการอสรพิษ ```python class ProjectOscrop: def __init__(self): self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ" self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ" self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี" self.ethical_concerns = [ "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต", "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม", "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร", "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต" ] ``` 15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ: ```mermaid graph LR A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย] B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง] C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย] D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์] ``` 🎯 3 แรงขับเคลื่อนหลัก ```python class Motivation: def __init__(self): self.conscious_motives = { "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ", "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย", "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม" } self.subconscious_motives = { "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง", "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก", "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ" } ``` 💔 ความขัดแย้งภายใน ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ: "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน... และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน... และความสงสัยนั้นก็หายไป" 🧟‍♂️ การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ 🔄 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ```mermaid graph TB A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์] ``` 🧬 การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ```python class PhysicalChanges: def __init__(self): self.enhancements = { "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า", "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า", "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง", "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก" } side_effects = { "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม", "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง", "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น", "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน" } ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน 🏠 ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง: · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง 📖 บันทึกความในใจ "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'... หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น... และความอบอุ่นนั้นก็หายไป" ⚖️ ความขัดแย้งทางจริยธรรม 🔥 การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!" ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!" ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!" 💔 การตัดสินใจครั้งสำคัญ ```python class CriticalDecisions: def __init__(self): self.crossroads = [ "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์", "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ", "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ", "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า" ] self.regrets = [ "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน", "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา", "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ", "สร้างความเสียหายให้สังคม" ] ``` หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?" ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป" หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..." 💫 ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด... น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก และฉันก็เข้าใจว่า... การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก 就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด" 🏥 กระบวนการบำบัด 🌿 การรักษาด้วยสมุนไพร ```mermaid graph TB A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน] B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง] C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา] D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน] ``` 💞 การกลับสู่ครอบครัว หลังการบำบัดบางส่วน: · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์ · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต 📚 บทเรียนชีวิต 🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ "ฉันเรียนรู้ว่า... ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม และการมีชีวิตที่จำกัด... ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า" 💝 การให้อภัยตัวเอง "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง... สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด และใช้สิ่งที่เรียนรู้... เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน" 🔮 อนาคตใหม่ 🎯 บทบาทใหม่ในสังคม ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่: · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป 🌟 โครงการใหม่ ```python class NewProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่", "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม", "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ", "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่" } ``` --- คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ: "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ... แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์ และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู... แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"🔬✨ บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์: "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ... และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์ การเดินทางนี้สอนเราว่า... ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"🌈
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/Vqpck0kvSMM?si=LMWPkxR_Vzpm-EdS
    https://youtu.be/Vqpck0kvSMM?si=LMWPkxR_Vzpm-EdS
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/41pmXphpOEM?si=6BAM-_ZVsEHR-Qbr
    https://youtu.be/41pmXphpOEM?si=6BAM-_ZVsEHR-Qbr
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/2VHz4lYRhio?si=x_unZpz4tRikWNs6
    https://youtu.be/2VHz4lYRhio?si=x_unZpz4tRikWNs6
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar
    #รวมข่าวIT #20251123 #TechRadar

    Apple ขยับพลังชิปจาก CPU ไปสู่ GPU และหน่วยความจำ
    Apple เริ่มต้นจากชิป M1 ที่เน้นประสิทธิภาพ CPU แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึง M4 และ M5 แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — พลังงานที่เคยทุ่มให้ CPU ถูกโยกไปสู่ GPU และระบบหน่วยความจำแทน เพื่อรองรับงานหนักแบบต่อเนื่อง เช่น งานกราฟิกและ AI ที่ต้องการการประมวลผลมหาศาล การออกแบบใหม่นี้ทำให้ MacBook Pro และ iPad Pro รุ่นล่าสุดไม่ได้เน้นแค่ “ความเร็วซีพียู” อีกต่อไป แต่เน้น “ความสมดุล” ของทั้งระบบ
    https://www.techradar.com/pro/where-apple-spends-its-power-m4-max-cpu-consumes-just-48w-why-the-gpu-and-memory-system-define-the-true-cost-of-your-macbook-pro

    Ricoh GR IV กล้องคอมแพคที่ทำให้หลงรักการถ่ายภาพยาวนาน
    นักรีวิวได้ลองถ่ายภาพกว่า 1,000 รูปด้วย Ricoh GR IV และพบว่ามีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจที่สุดคือระบบกันสั่นแบบ 5 แกน ทำให้สามารถถ่ายภาพถือมือด้วยสปีดชัตเตอร์ช้าได้อย่างคมชัด เหมาะกับการสร้างเอฟเฟกต์แสงไฟลากยาวในเมือง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นและการออกแบบที่จับถนัดมือกว่าเดิม ถึงแม้บางส่วนยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้การถ่ายภาพสนุกและสร้างสรรค์มากขึ้น
    https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/ive-shot-over-1-000-photos-with-the-ricoh-gr-iv-here-are-my-favorites-and-one-new-feature-stands-out

    ยุคใหม่ของ “Agentic Internet” กำลังมา
    บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอินเทอร์เน็ต เมื่อ AI ไม่ได้แค่ช่วยเรา แต่จะ “ทำแทนเรา” เช่น การเปรียบเทียบราคา ซื้อสินค้า หรือจัดการธุรกรรมต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ธุรกิจจึงต้องเตรียมตัวออกแบบระบบที่ไม่ใช่แค่ให้คนใช้ง่าย แต่ต้องให้ “AI Agent” เข้าใจและทำงานได้ด้วย โลกออนไลน์กำลังจะเปลี่ยนจาก UX (User Experience) ไปสู่ AX (Agent Experience) อย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/the-agentic-internet-is-coming-and-businesses-need-to-be-ready

    Incognito Mode จริง ๆ แล้วไม่ได้ “ลับ” อย่างที่คิด
    หลายคนเข้าใจผิดว่าเปิด Incognito Mode แล้วจะหายตัวจากโลกออนไลน์ แต่ความจริงคือมันแค่ไม่บันทึกประวัติในเครื่องเท่านั้น เว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่เจ้านายยังสามารถเห็นการใช้งานได้อยู่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริง ๆ ต้องใช้เครื่องมือเสริม เช่น VPN หรือเบราว์เซอร์ที่เน้นความปลอดภัยอย่าง Brave หรือ DuckDuckGo https://www.techradar.com/computing/browsers/is-incognito-mode-actually-private-heres-the-surprising-answer-from-cybersecurity-experts

    Google Pixel 10 ได้ฟีเจอร์คล้าย AirDrop แต่ยังตาม Apple อยู่
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ Pixel 10 สามารถส่งไฟล์แบบไร้สายเข้ากับ iPhone ได้ คล้ายกับ AirDrop ของ Apple ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นการ “ตามรอย” มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ จุดเด่นอื่น ๆ ของ Pixel 10 คือระบบ PixelSnap ที่คล้าย MagSafe และกล้องเทเลโฟโต้ 5x ถึงอย่างนั้น Google ยังต้องหาทางสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้
    https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/googles-new-airdrop-feature-is-great-for-pixel-phones-but-it-cant-chase-apples-tail-forever

    Microsoft เคยทำแท็บเล็ตก่อน Apple แต่ไม่รุ่ง
    ย้อนกลับไปในปี 2001 Microsoft เคยเปิดตัวแท็บเล็ตที่ใช้ Windows XP Tablet Edition โดยหวังว่าจะเป็นอนาคตของคอมพิวเตอร์พกพา แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ น้ำหนักที่มาก และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เหมาะกับการสัมผัส ทำให้มันไม่สามารถครองตลาดได้ สุดท้าย Apple iPad ที่เปิดตัวในปี 2010 กลับกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมแทน
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-created-a-tablet-years-before-apple-but-it-never-took-off-heres-why

    AIOps: ใช้ AI พลิกโฉมการจัดการระบบ IT
    AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กร เพราะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากระบบ IT ได้แบบเรียลไทม์ ลดเวลาในการแก้ปัญหา และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ทำให้ทีม IT สามารถทำงานเชิงรุกมากขึ้น และลด downtime ของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    https://www.techradar.com/pro/aiops-how-companies-can-harness-ai-to-reshape-it-operations

    API ของ X (Twitter เดิม) เปลี่ยนเป็นคิดตามการใช้งาน
    แพลตฟอร์ม X ได้ปรับโมเดลการคิดค่าบริการ API ใหม่ โดยเปลี่ยนจากการคิดแบบเหมาจ่ายรายเดือน ไปเป็นการคิดตามการใช้งานจริง หวังว่าจะดึงดูดนักพัฒนาให้กลับมาใช้มากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าราคาจะสูงเกินไปสำหรับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ และอาจทำให้บางคนเลือกหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นแทน
    https://www.techradar.com/pro/will-xs-usage-based-api-pricing-succeed-in-winning-over-developers

    Shark PowerPro เครื่องดูดฝุ่นคุ้มค่า ใช้ง่าย
    Shark PowerPro ถูกรีวิวว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับครัวเรือนทั่วไป ด้วยราคาที่ไม่แพงและการใช้งานที่ง่าย มีหัวดูดหลายแบบสำหรับพื้นต่าง ๆ และแรงดูดที่เพียงพอสำหรับฝุ่นในบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราเหมือนรุ่นไฮเอนด์ แต่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานประจำวัน
    https://www.techradar.com/home/vacuums/shark-powerpro-vacuum-review

    Apple เตรียมออก MacBook ราคาประหยัดและ iPhone รุ่นถูกในปี 2026
    มีข่าวลือว่า Apple กำลังวางแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาย่อมเยา และ iPhone รุ่นใหม่ที่ถูกลงในต้นปี 2026 เพื่อเจาะตลาดนักเรียนและผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์ Apple แต่มีงบจำกัด ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่กว้างขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันให้คู่แข่งในตลาดโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนราคาประหยัด
    https://www.techradar.com/computing/macbooks/apple-rumored-to-be-releasing-its-affordable-macbook-and-another-cut-price-iphone-early-in-2026

    Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D H2C หัวฉีด 7 หัว
    Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ H2C ที่มาพร้อมหัวฉีดถึง 7 หัว ใช้ระบบ Vortek Hotend ที่สามารถสลับหัวฉีดได้อย่างรวดเร็วด้วยแม่เหล็กและความร้อนเหนี่ยวนำ จุดเด่นคือช่วยลดการสิ้นเปลืองวัสดุและเพิ่มความเร็วในการพิมพ์มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังช้ากว่าเครื่อง Prusa XL อยู่พอสมควร ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $2,399 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ต้องรอถึงเดือนธันวาคม 2025 เนื่องจากปัญหาด้านการนำเข้า
    https://www.techradar.com/pro/sorry-us-3d-printing-fans-bambu-lab-has-a-mighty-new-seven-nozzle-printer-but-you-wont-be-able-to-get-it-anytime-soon

    Microsoft ปรับปรุง Windows 11 ลดภาพ BSOD บนจอใหญ่
    Microsoft เพิ่มโหมดใหม่ใน Windows 11 สำหรับหน้าจอสาธารณะ เช่น ป้ายดิจิทัลหรือบอร์ดแสดงผล เมื่อเกิด Blue Screen of Death (BSOD) จะโชว์เพียง 15 วินาทีแล้วดับหน้าจอ เพื่อลดความน่าอายในการใช้งาน พร้อมทั้งเพิ่มระบบกู้คืนแบบ snapshot และ Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT กู้คืนเครื่องได้ง่ายขึ้น รวมถึงเตรียมใช้การเข้ารหัส BitLocker ที่เร็วขึ้นและรองรับการป้องกันจากการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-hoping-to-kill-off-embarrassing-big-screen-bsod-errors-for-good

    Nano Banana Pro เติมพลังดีไซน์ให้ NotebookLM
    Google นำโมเดล AI สร้างภาพ Nano Banana Pro มาเสริมใน NotebookLM เพื่อช่วยสร้าง infographic และสไลด์ได้อย่างสวยงามและมีข้อมูลครบถ้วน ตัวอย่างที่ทดสอบคือการเล่าเรื่องตำนาน King Arthur ที่ถูกแปลงเป็นภาพและสไลด์หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงไซเบอร์พังค์ จุดเด่นคือความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องของตัวละครและการเล่าเรื่องในเชิงภาพ ทำให้การทำงานวิจัยและการนำเสนอมีความน่าสนใจมากขึ้น
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/nano-banana-pro-cast-a-design-spell-in-notebooklm-to-explore-the-legend-of-camelot

    Anthropic จับมือ Microsoft และ Nvidia ขยาย Claude บน Azure
    Anthropic ลงทุนซื้อ compute capacity บน Microsoft Azure มูลค่า $30 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการขยายโมเดล Claude ในอนาคต พร้อมได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $15 พันล้านจาก Microsoft และ Nvidia ความร่วมมือนี้ทำให้ Claude สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์ม Microsoft Foundry และ Copilot ต่าง ๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงานในระยะยาว ถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ของ Anthropic ในตลาด AI ระดับโลก
    https://www.techradar.com/pro/anthropic-just-bought-usd30-billion-of-azure-cloud-capability-and-has-netted-usd15-billion-investment-from-microsoft-and-nvidia-in-return

    Xbox Full Screen Experience มาสู่ Windows 11
    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องด้วยจอย Xbox ได้สะดวกขึ้น โดยมีหน้าตาแบบคอนโซล ใช้งานง่ายและจัดการเกมได้รวดเร็ว ฟีเจอร์นี้ยังช่วยปรับทรัพยากรเครื่องให้เหมาะกับการเล่นเกม สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Task View, Game Bar หรือปุ่ม Win+F11 และคาดว่าจะเป็นรากฐานของ Xbox PC รุ่นใหม่ในอนาคต
    https://www.techradar.com/computing/microsoft-is-now-testing-the-xbox-full-screen-experience-across-windows-11-pcs

    5 แอปที่ผู้เชี่ยวชาญมือถือแนะนำว่าต้องมี
    ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาร์ทโฟนแนะนำ 5 แอปที่ควรติดตั้งทั้งบน iPhone และ Android เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ได้แก่ แอปสำหรับความปลอดภัย การจัดการรหัสผ่าน แอปสุขภาพ แอปถ่ายภาพ และแอปจัดการการเงิน จุดเด่นคือช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
    https://www.techradar.com/phones/im-a-phones-expert-and-these-are-my-5-must-have-apps-for-iphone-and-android

    Microsoft เปิดตัวชิป Cobalt 200 แข่งตลาด CPU
    Microsoft เปิดตัวชิป ARM-based รุ่นใหม่ชื่อ Cobalt 200 ที่ออกแบบเองเพื่อใช้กับ Azure โดยเน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ถือเป็นการเข้าสู่การแข่งขันด้าน custom silicon อย่างจริงจัง เพื่อให้บริการคลาวด์มีความเร็วและคุ้มค่ามากขึ้น พร้อมท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ที่พัฒนาชิปเองเช่นกัน
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-unveils-its-next-generation-arm-based-cpu-cobalt-200-looks-to-unlock-even-more-azure-power

    AI ในงาน QA: ใช้อย่างไรไม่ให้เกิดหนี้ทางเทคนิค
    บทความนี้อธิบายการนำ Generative AI มาใช้ในงานทดสอบคุณภาพซอฟต์แวร์ (QA) โดยเน้นว่าถ้าใช้ไม่ระวังอาจสร้าง “หนี้ทางเทคนิค” เช่น การสร้างโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา หรือการทดสอบที่ไม่ครอบคลุม แต่หากใช้อย่างถูกต้อง AI สามารถช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ทีม QA มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/ai-in-qa-how-to-use-generative-ai-in-testing-without-creating-technical-debt

    ChatGPT ช่วยให้คุณกินอาหารสุขภาพได้
    บทความนี้เล่าว่า ChatGPT สามารถช่วยผู้ใช้วางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพได้ เช่น แนะนำเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จัดตารางอาหารให้เหมาะกับเป้าหมายสุขภาพ และให้เคล็ดลับการทำอาหารที่ง่ายและดีต่อร่างกาย ถือเป็นการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/how-chatgpt-can-help-you-eat-healthier-ai-tips-to-get-back-on-your-health-kick

    คอนโทรลเลอร์เกมที่คุณชอบที่สุดคืออะไร
    บทความนี้เปิดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับคอนโทรลเลอร์เกมที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุด โดยยกตัวอย่างคอนโทรลเลอร์ที่เคยมีในอดีต เช่น Steam Machine Controller ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม พร้อมเชิญชวนให้ผู้อ่านแชร์ประสบการณ์และความเห็นว่าคอนโทรลเลอร์ใดที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/gaming/gaming-accessories/forget-the-weird-steam-machine-controller-tell-me-whats-your-favourite-controller-of-all-time
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251123 #TechRadar 🖥️ Apple ขยับพลังชิปจาก CPU ไปสู่ GPU และหน่วยความจำ Apple เริ่มต้นจากชิป M1 ที่เน้นประสิทธิภาพ CPU แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึง M4 และ M5 แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — พลังงานที่เคยทุ่มให้ CPU ถูกโยกไปสู่ GPU และระบบหน่วยความจำแทน เพื่อรองรับงานหนักแบบต่อเนื่อง เช่น งานกราฟิกและ AI ที่ต้องการการประมวลผลมหาศาล การออกแบบใหม่นี้ทำให้ MacBook Pro และ iPad Pro รุ่นล่าสุดไม่ได้เน้นแค่ “ความเร็วซีพียู” อีกต่อไป แต่เน้น “ความสมดุล” ของทั้งระบบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/where-apple-spends-its-power-m4-max-cpu-consumes-just-48w-why-the-gpu-and-memory-system-define-the-true-cost-of-your-macbook-pro 📸 Ricoh GR IV กล้องคอมแพคที่ทำให้หลงรักการถ่ายภาพยาวนาน นักรีวิวได้ลองถ่ายภาพกว่า 1,000 รูปด้วย Ricoh GR IV และพบว่ามีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจที่สุดคือระบบกันสั่นแบบ 5 แกน ทำให้สามารถถ่ายภาพถือมือด้วยสปีดชัตเตอร์ช้าได้อย่างคมชัด เหมาะกับการสร้างเอฟเฟกต์แสงไฟลากยาวในเมือง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นและการออกแบบที่จับถนัดมือกว่าเดิม ถึงแม้บางส่วนยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้การถ่ายภาพสนุกและสร้างสรรค์มากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/ive-shot-over-1-000-photos-with-the-ricoh-gr-iv-here-are-my-favorites-and-one-new-feature-stands-out 🌐 ยุคใหม่ของ “Agentic Internet” กำลังมา บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอินเทอร์เน็ต เมื่อ AI ไม่ได้แค่ช่วยเรา แต่จะ “ทำแทนเรา” เช่น การเปรียบเทียบราคา ซื้อสินค้า หรือจัดการธุรกรรมต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ธุรกิจจึงต้องเตรียมตัวออกแบบระบบที่ไม่ใช่แค่ให้คนใช้ง่าย แต่ต้องให้ “AI Agent” เข้าใจและทำงานได้ด้วย โลกออนไลน์กำลังจะเปลี่ยนจาก UX (User Experience) ไปสู่ AX (Agent Experience) อย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-agentic-internet-is-coming-and-businesses-need-to-be-ready 🕵️‍♂️ Incognito Mode จริง ๆ แล้วไม่ได้ “ลับ” อย่างที่คิด หลายคนเข้าใจผิดว่าเปิด Incognito Mode แล้วจะหายตัวจากโลกออนไลน์ แต่ความจริงคือมันแค่ไม่บันทึกประวัติในเครื่องเท่านั้น เว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่เจ้านายยังสามารถเห็นการใช้งานได้อยู่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริง ๆ ต้องใช้เครื่องมือเสริม เช่น VPN หรือเบราว์เซอร์ที่เน้นความปลอดภัยอย่าง Brave หรือ DuckDuckGo 🔗 https://www.techradar.com/computing/browsers/is-incognito-mode-actually-private-heres-the-surprising-answer-from-cybersecurity-experts 📱 Google Pixel 10 ได้ฟีเจอร์คล้าย AirDrop แต่ยังตาม Apple อยู่ Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ Pixel 10 สามารถส่งไฟล์แบบไร้สายเข้ากับ iPhone ได้ คล้ายกับ AirDrop ของ Apple ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นการ “ตามรอย” มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ จุดเด่นอื่น ๆ ของ Pixel 10 คือระบบ PixelSnap ที่คล้าย MagSafe และกล้องเทเลโฟโต้ 5x ถึงอย่างนั้น Google ยังต้องหาทางสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้ 🔗 https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/googles-new-airdrop-feature-is-great-for-pixel-phones-but-it-cant-chase-apples-tail-forever 📱 Microsoft เคยทำแท็บเล็ตก่อน Apple แต่ไม่รุ่ง ย้อนกลับไปในปี 2001 Microsoft เคยเปิดตัวแท็บเล็ตที่ใช้ Windows XP Tablet Edition โดยหวังว่าจะเป็นอนาคตของคอมพิวเตอร์พกพา แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ น้ำหนักที่มาก และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เหมาะกับการสัมผัส ทำให้มันไม่สามารถครองตลาดได้ สุดท้าย Apple iPad ที่เปิดตัวในปี 2010 กลับกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมแทน 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-created-a-tablet-years-before-apple-but-it-never-took-off-heres-why 🤖 AIOps: ใช้ AI พลิกโฉมการจัดการระบบ IT AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กร เพราะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากระบบ IT ได้แบบเรียลไทม์ ลดเวลาในการแก้ปัญหา และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ทำให้ทีม IT สามารถทำงานเชิงรุกมากขึ้น และลด downtime ของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔗 https://www.techradar.com/pro/aiops-how-companies-can-harness-ai-to-reshape-it-operations 💻 API ของ X (Twitter เดิม) เปลี่ยนเป็นคิดตามการใช้งาน แพลตฟอร์ม X ได้ปรับโมเดลการคิดค่าบริการ API ใหม่ โดยเปลี่ยนจากการคิดแบบเหมาจ่ายรายเดือน ไปเป็นการคิดตามการใช้งานจริง หวังว่าจะดึงดูดนักพัฒนาให้กลับมาใช้มากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าราคาจะสูงเกินไปสำหรับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ และอาจทำให้บางคนเลือกหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นแทน 🔗 https://www.techradar.com/pro/will-xs-usage-based-api-pricing-succeed-in-winning-over-developers 🧹 Shark PowerPro เครื่องดูดฝุ่นคุ้มค่า ใช้ง่าย Shark PowerPro ถูกรีวิวว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับครัวเรือนทั่วไป ด้วยราคาที่ไม่แพงและการใช้งานที่ง่าย มีหัวดูดหลายแบบสำหรับพื้นต่าง ๆ และแรงดูดที่เพียงพอสำหรับฝุ่นในบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราเหมือนรุ่นไฮเอนด์ แต่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานประจำวัน 🔗 https://www.techradar.com/home/vacuums/shark-powerpro-vacuum-review 💸 Apple เตรียมออก MacBook ราคาประหยัดและ iPhone รุ่นถูกในปี 2026 มีข่าวลือว่า Apple กำลังวางแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาย่อมเยา และ iPhone รุ่นใหม่ที่ถูกลงในต้นปี 2026 เพื่อเจาะตลาดนักเรียนและผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์ Apple แต่มีงบจำกัด ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่กว้างขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันให้คู่แข่งในตลาดโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนราคาประหยัด 🔗 https://www.techradar.com/computing/macbooks/apple-rumored-to-be-releasing-its-affordable-macbook-and-another-cut-price-iphone-early-in-2026 🖨️ Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D H2C หัวฉีด 7 หัว Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ H2C ที่มาพร้อมหัวฉีดถึง 7 หัว ใช้ระบบ Vortek Hotend ที่สามารถสลับหัวฉีดได้อย่างรวดเร็วด้วยแม่เหล็กและความร้อนเหนี่ยวนำ จุดเด่นคือช่วยลดการสิ้นเปลืองวัสดุและเพิ่มความเร็วในการพิมพ์มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังช้ากว่าเครื่อง Prusa XL อยู่พอสมควร ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $2,399 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ต้องรอถึงเดือนธันวาคม 2025 เนื่องจากปัญหาด้านการนำเข้า 🔗 https://www.techradar.com/pro/sorry-us-3d-printing-fans-bambu-lab-has-a-mighty-new-seven-nozzle-printer-but-you-wont-be-able-to-get-it-anytime-soon 💻 Microsoft ปรับปรุง Windows 11 ลดภาพ BSOD บนจอใหญ่ Microsoft เพิ่มโหมดใหม่ใน Windows 11 สำหรับหน้าจอสาธารณะ เช่น ป้ายดิจิทัลหรือบอร์ดแสดงผล เมื่อเกิด Blue Screen of Death (BSOD) จะโชว์เพียง 15 วินาทีแล้วดับหน้าจอ เพื่อลดความน่าอายในการใช้งาน พร้อมทั้งเพิ่มระบบกู้คืนแบบ snapshot และ Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT กู้คืนเครื่องได้ง่ายขึ้น รวมถึงเตรียมใช้การเข้ารหัส BitLocker ที่เร็วขึ้นและรองรับการป้องกันจากการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-hoping-to-kill-off-embarrassing-big-screen-bsod-errors-for-good 🎨 Nano Banana Pro เติมพลังดีไซน์ให้ NotebookLM Google นำโมเดล AI สร้างภาพ Nano Banana Pro มาเสริมใน NotebookLM เพื่อช่วยสร้าง infographic และสไลด์ได้อย่างสวยงามและมีข้อมูลครบถ้วน ตัวอย่างที่ทดสอบคือการเล่าเรื่องตำนาน King Arthur ที่ถูกแปลงเป็นภาพและสไลด์หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงไซเบอร์พังค์ จุดเด่นคือความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องของตัวละครและการเล่าเรื่องในเชิงภาพ ทำให้การทำงานวิจัยและการนำเสนอมีความน่าสนใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/nano-banana-pro-cast-a-design-spell-in-notebooklm-to-explore-the-legend-of-camelot ☁️ Anthropic จับมือ Microsoft และ Nvidia ขยาย Claude บน Azure Anthropic ลงทุนซื้อ compute capacity บน Microsoft Azure มูลค่า $30 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการขยายโมเดล Claude ในอนาคต พร้อมได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $15 พันล้านจาก Microsoft และ Nvidia ความร่วมมือนี้ทำให้ Claude สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์ม Microsoft Foundry และ Copilot ต่าง ๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงานในระยะยาว ถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ของ Anthropic ในตลาด AI ระดับโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/anthropic-just-bought-usd30-billion-of-azure-cloud-capability-and-has-netted-usd15-billion-investment-from-microsoft-and-nvidia-in-return 🎮 Xbox Full Screen Experience มาสู่ Windows 11 Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องด้วยจอย Xbox ได้สะดวกขึ้น โดยมีหน้าตาแบบคอนโซล ใช้งานง่ายและจัดการเกมได้รวดเร็ว ฟีเจอร์นี้ยังช่วยปรับทรัพยากรเครื่องให้เหมาะกับการเล่นเกม สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Task View, Game Bar หรือปุ่ม Win+F11 และคาดว่าจะเป็นรากฐานของ Xbox PC รุ่นใหม่ในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/computing/microsoft-is-now-testing-the-xbox-full-screen-experience-across-windows-11-pcs 📱 5 แอปที่ผู้เชี่ยวชาญมือถือแนะนำว่าต้องมี ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาร์ทโฟนแนะนำ 5 แอปที่ควรติดตั้งทั้งบน iPhone และ Android เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ได้แก่ แอปสำหรับความปลอดภัย การจัดการรหัสผ่าน แอปสุขภาพ แอปถ่ายภาพ และแอปจัดการการเงิน จุดเด่นคือช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  🔗 https://www.techradar.com/phones/im-a-phones-expert-and-these-are-my-5-must-have-apps-for-iphone-and-android 🔋 Microsoft เปิดตัวชิป Cobalt 200 แข่งตลาด CPU Microsoft เปิดตัวชิป ARM-based รุ่นใหม่ชื่อ Cobalt 200 ที่ออกแบบเองเพื่อใช้กับ Azure โดยเน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ถือเป็นการเข้าสู่การแข่งขันด้าน custom silicon อย่างจริงจัง เพื่อให้บริการคลาวด์มีความเร็วและคุ้มค่ามากขึ้น พร้อมท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ที่พัฒนาชิปเองเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-unveils-its-next-generation-arm-based-cpu-cobalt-200-looks-to-unlock-even-more-azure-power 🤖 AI ในงาน QA: ใช้อย่างไรไม่ให้เกิดหนี้ทางเทคนิค บทความนี้อธิบายการนำ Generative AI มาใช้ในงานทดสอบคุณภาพซอฟต์แวร์ (QA) โดยเน้นว่าถ้าใช้ไม่ระวังอาจสร้าง “หนี้ทางเทคนิค” เช่น การสร้างโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา หรือการทดสอบที่ไม่ครอบคลุม แต่หากใช้อย่างถูกต้อง AI สามารถช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ทีม QA มีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/ai-in-qa-how-to-use-generative-ai-in-testing-without-creating-technical-debt 🥗 ChatGPT ช่วยให้คุณกินอาหารสุขภาพได้ บทความนี้เล่าว่า ChatGPT สามารถช่วยผู้ใช้วางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพได้ เช่น แนะนำเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จัดตารางอาหารให้เหมาะกับเป้าหมายสุขภาพ และให้เคล็ดลับการทำอาหารที่ง่ายและดีต่อร่างกาย ถือเป็นการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/how-chatgpt-can-help-you-eat-healthier-ai-tips-to-get-back-on-your-health-kick 🎮 คอนโทรลเลอร์เกมที่คุณชอบที่สุดคืออะไร บทความนี้เปิดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับคอนโทรลเลอร์เกมที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุด โดยยกตัวอย่างคอนโทรลเลอร์ที่เคยมีในอดีต เช่น Steam Machine Controller ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม พร้อมเชิญชวนให้ผู้อ่านแชร์ประสบการณ์และความเห็นว่าคอนโทรลเลอร์ใดที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/gaming/gaming-accessories/forget-the-weird-steam-machine-controller-tell-me-whats-your-favourite-controller-of-all-time
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • หลุดรายละเอียดของ Arc B390

    Intel Arc B390 iGPU รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 บน Panther Lake CPUs ถูกลือว่าทำคะแนนได้ถึง 7,000 คะแนนใน 3DMark Time Spy Graphics ซึ่งถือว่าแรงกว่า Radeon 890M ถึง 2 เท่า และยังเหนือกว่า RTX 3050 Desktop เล็กน้อย แต่ยังเป็นเพียงผลทดสอบจากตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความ

    Arc B390 เป็น iGPU รุ่นท็อปของ Panther Lake ที่มี 12 Xe3 cores โดยผลทดสอบที่หลุดออกมาระบุว่าได้ 7,000 คะแนนใน Time Spy Graphics ซึ่งสูงกว่า Arc 140T (Arrow Lake-H) ที่ทำได้เพียง 3,720 คะแนน และ Radeon 890M ที่ทำได้ 3,374 คะแนน ถือเป็นการก้าวกระโดดด้านประสิทธิภาพของ iGPU Intel

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    GeForce RTX 3050 Desktop: Arc B390 ทำคะแนนสูงกว่า ~12%
    Radeon 8050S และ 8060S: Arc B390 ยังตามหลัง โดย 8050S ทำได้ 9,278 คะแนน และ 8060S ทำได้ 10,924 คะแนน
    Radeon 890M: Arc B390 แรงกว่าเกือบ 2 เท่า

    ผลทดสอบอื่น ๆ
    นอกจาก Time Spy Graphics ยังมีผลทดสอบ Steel Nomad Light ที่ Arc B390 ทำได้ 6,000 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Radeon 890M ถึง 90% และเหนือกว่า Arc 140T ประมาณ 80% ทำให้ Panther Lake ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ เกมพกพาและโน้ตบุ๊กเล่นเกมราคาประหยัด

    ความหมายต่ออนาคต
    แม้ผลทดสอบยังไม่เป็นทางการ แต่ถ้า Arc B390 ทำได้จริงตามที่ลือ จะเป็นการยกระดับ iGPU ของ Intel ให้แข่งขันกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้นได้ และอาจทำให้โน้ตบุ๊กที่ใช้ Panther Lake กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าโดยไม่ต้องพึ่ง GPU แยก

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียด Arc B390
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 บน Panther Lake
    มี 12 Xe3 cores

    ผลทดสอบ Time Spy Graphics
    Arc B390: 7,000 คะแนน
    Arc 140T: 3,720 คะแนน
    Radeon 890M: 3,374 คะแนน

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    แรงกว่า RTX 3050 Desktop ~12%
    ยังตามหลัง Radeon 8050S และ 8060S

    ผลทดสอบอื่น
    Steel Nomad Light: 6,000 คะแนน
    สูงกว่า Radeon 890M 90% และ Arc 140T 80%

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    เป็นผลทดสอบจากตัวอย่างวิศวกรรม ยังไม่ใช่รุ่นขายจริง
    คะแนน 3DMark ไม่สะท้อนประสิทธิภาพเกมจริงเสมอไป

    https://wccftech.com/intel-arc-b390-reportedly-delivers-7000-points-in-time-spy-graphics/
    🖥️ หลุดรายละเอียดของ Arc B390 Intel Arc B390 iGPU รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 บน Panther Lake CPUs ถูกลือว่าทำคะแนนได้ถึง 7,000 คะแนนใน 3DMark Time Spy Graphics ซึ่งถือว่าแรงกว่า Radeon 890M ถึง 2 เท่า และยังเหนือกว่า RTX 3050 Desktop เล็กน้อย แต่ยังเป็นเพียงผลทดสอบจากตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความ Arc B390 เป็น iGPU รุ่นท็อปของ Panther Lake ที่มี 12 Xe3 cores โดยผลทดสอบที่หลุดออกมาระบุว่าได้ 7,000 คะแนนใน Time Spy Graphics ซึ่งสูงกว่า Arc 140T (Arrow Lake-H) ที่ทำได้เพียง 3,720 คะแนน และ Radeon 890M ที่ทำได้ 3,374 คะแนน ถือเป็นการก้าวกระโดดด้านประสิทธิภาพของ iGPU Intel 🎮 เปรียบเทียบกับคู่แข่ง 🎗️ GeForce RTX 3050 Desktop: Arc B390 ทำคะแนนสูงกว่า ~12% 🎗️ Radeon 8050S และ 8060S: Arc B390 ยังตามหลัง โดย 8050S ทำได้ 9,278 คะแนน และ 8060S ทำได้ 10,924 คะแนน 🎗️ Radeon 890M: Arc B390 แรงกว่าเกือบ 2 เท่า ⚡ ผลทดสอบอื่น ๆ นอกจาก Time Spy Graphics ยังมีผลทดสอบ Steel Nomad Light ที่ Arc B390 ทำได้ 6,000 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Radeon 890M ถึง 90% และเหนือกว่า Arc 140T ประมาณ 80% ทำให้ Panther Lake ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ เกมพกพาและโน้ตบุ๊กเล่นเกมราคาประหยัด 🔮 ความหมายต่ออนาคต แม้ผลทดสอบยังไม่เป็นทางการ แต่ถ้า Arc B390 ทำได้จริงตามที่ลือ จะเป็นการยกระดับ iGPU ของ Intel ให้แข่งขันกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้นได้ และอาจทำให้โน้ตบุ๊กที่ใช้ Panther Lake กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าโดยไม่ต้องพึ่ง GPU แยก 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียด Arc B390 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 บน Panther Lake ➡️ มี 12 Xe3 cores ✅ ผลทดสอบ Time Spy Graphics ➡️ Arc B390: 7,000 คะแนน ➡️ Arc 140T: 3,720 คะแนน ➡️ Radeon 890M: 3,374 คะแนน ✅ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ แรงกว่า RTX 3050 Desktop ~12% ➡️ ยังตามหลัง Radeon 8050S และ 8060S ✅ ผลทดสอบอื่น ➡️ Steel Nomad Light: 6,000 คะแนน ➡️ สูงกว่า Radeon 890M 90% และ Arc 140T 80% ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ เป็นผลทดสอบจากตัวอย่างวิศวกรรม ยังไม่ใช่รุ่นขายจริง ⛔ คะแนน 3DMark ไม่สะท้อนประสิทธิภาพเกมจริงเสมอไป https://wccftech.com/intel-arc-b390-reportedly-delivers-7000-points-in-time-spy-graphics/
    WCCFTECH.COM
    Intel Arc B390 Reportedly Delivers 7,000 Points In Time Spy Graphics, Crushing Radeon 890M And Arc 140T With Ease
    The Intel Arc B390 was allegedly benchmarked in 3D Mark Time Spy and scored nearly 7,000 points, making it significantly faster than 890M
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
More Results