• วันนี้(10 พ.ค.) มีรายงานว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ออกประกาศปรับอัตราค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินและบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

    ประกาศดังกล่าวระบุว่า การโอนเงินภายในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงไม่มีค่าธรรมเนียม แต่สำหรับการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น จะเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อรายการ จากเดิมที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย

    นอกจากนี้ หากเป็นการโอนเงินข้ามเขต จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 0.1% ของยอดเงินที่โอน โดยกำหนดขั้นต่ำที่ 10 บาท และไม่เกิน 1,000 บาท

    ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดย ยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งหมด จากเดิมที่คิด 3 บาทต่อรายการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043823

    #MGROnline #SCB #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โอนเงิน #โอนเงินข้ามเขต
    วันนี้(10 พ.ค.) มีรายงานว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ออกประกาศปรับอัตราค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินและบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป • ประกาศดังกล่าวระบุว่า การโอนเงินภายในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงไม่มีค่าธรรมเนียม แต่สำหรับการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น จะเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อรายการ จากเดิมที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย • นอกจากนี้ หากเป็นการโอนเงินข้ามเขต จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 0.1% ของยอดเงินที่โอน โดยกำหนดขั้นต่ำที่ 10 บาท และไม่เกิน 1,000 บาท • ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดย ยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งหมด จากเดิมที่คิด 3 บาทต่อรายการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043823 • #MGROnline #SCB #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โอนเงิน #โอนเงินข้ามเขต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดภาคเช้าพุ่งแรงเกือบ 50 จุดตามตลาดต่างประเทศ ตอบรับความคลายกังวลงครามการค้าชั่วคราว หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐชะลอขึ้นภาษีกับประเทศที่ไม่ได้ตอบโต้ 90 วัน โดยมีแรงซื้อกลับหุ้นใหญ่ อาทิ KBANK , SCB, GULF, ADVANC, AOT เป็นต้น แต่ยังจับตาสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนต่อไป โดยเฉพาะการตอบโต้ของจีน

    โดยเมื่อเวลา 9.57 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,135.79 จุด เพิ่มขึ้น 47.51 จุด (+4.38%)

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000034191

    #MGROnline #ตลาดหุ้นไทย
    ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดภาคเช้าพุ่งแรงเกือบ 50 จุดตามตลาดต่างประเทศ ตอบรับความคลายกังวลงครามการค้าชั่วคราว หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐชะลอขึ้นภาษีกับประเทศที่ไม่ได้ตอบโต้ 90 วัน โดยมีแรงซื้อกลับหุ้นใหญ่ อาทิ KBANK , SCB, GULF, ADVANC, AOT เป็นต้น แต่ยังจับตาสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนต่อไป โดยเฉพาะการตอบโต้ของจีน • โดยเมื่อเวลา 9.57 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,135.79 จุด เพิ่มขึ้น 47.51 จุด (+4.38%) • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000034191 • #MGROnline #ตลาดหุ้นไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ
    .
    ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000033299

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ . ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000033299 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 614 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ
    .
    ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033297

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ . ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033297 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1751 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยังมืนๆ หัวหลังแผ่นดิน
    ไหวอยู่ใช่ไหม?

    คุณอาจกำลังเผชิญกับหนึ่งใน 2 อาการ
    ที่พบบ่อยหลังแผ่นดินไหว คือ
    ”Earthquake Drunk“ และ
    ”Earthquake Illusion“

    มาทำความรู้จักกับสองอาการนี้ และ วิธีรับมือกับอาการเหล่านี้กันค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCB Good Health

    #แผ่นดินไหว #earthquake #earthquakethailand2025
    #weshallpassthistogether
    #simplyugo
    ยังมืนๆ หัวหลังแผ่นดิน ไหวอยู่ใช่ไหม? คุณอาจกำลังเผชิญกับหนึ่งใน 2 อาการ ที่พบบ่อยหลังแผ่นดินไหว คือ ”Earthquake Drunk“ และ ”Earthquake Illusion“ มาทำความรู้จักกับสองอาการนี้ และ วิธีรับมือกับอาการเหล่านี้กันค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCB Good Health #แผ่นดินไหว #earthquake #earthquakethailand2025 #weshallpassthistogether #simplyugo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ บรรณาธิการและเจ้าของสำนักพิมพ์ อะไรเอ่ย โพสต์ให้ข้อมูลสำคัญจุดสังเกตสลิปแต่ละธนาคาร หลัง Chat GPT สามารถปลอมสลิปโอนเงินของธนาคารได้

    จากกรณี พบว่า Chat GPT สามารถปลอมสลิปโอนเงินของธนาคารได้แบบเนียนๆ พร้อมเตือนร้านค้าต่างๆจะดูแค่สลิปไม่ได้แล้วต้องรอดูเงินเข้าด้วย

    ทั้งนี้ คุณธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์นักเขียนและเจ้าจองสำนักพิมพ์ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันนี้ (27 มี.ค.) ชี้ จุดสังเกตุสลิปปลอมของแต่ละธนาคาร
    โดย

    SCB: ให้สังเกตที่รูปสุนัข ซึ่งอาจมีความผิดเพี้ยนจากของจริง

    BBL: มีความน่ากังวลที่สุด เนื่องจากปลอมได้ง่ายและแนบเนียน ทั้งสี รูปแบบ และตัวอักษร

    KBANK: ให้สังเกตความเนียนของตัวเลข

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000029269

    #MGROnline #ChatGPT #สลิปโอนเงิน #ธนาคาร
    ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ บรรณาธิการและเจ้าของสำนักพิมพ์ อะไรเอ่ย โพสต์ให้ข้อมูลสำคัญจุดสังเกตสลิปแต่ละธนาคาร หลัง Chat GPT สามารถปลอมสลิปโอนเงินของธนาคารได้ • จากกรณี พบว่า Chat GPT สามารถปลอมสลิปโอนเงินของธนาคารได้แบบเนียนๆ พร้อมเตือนร้านค้าต่างๆจะดูแค่สลิปไม่ได้แล้วต้องรอดูเงินเข้าด้วย • ทั้งนี้ คุณธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์นักเขียนและเจ้าจองสำนักพิมพ์ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันนี้ (27 มี.ค.) ชี้ จุดสังเกตุสลิปปลอมของแต่ละธนาคาร โดย • SCB: ให้สังเกตที่รูปสุนัข ซึ่งอาจมีความผิดเพี้ยนจากของจริง BBL: มีความน่ากังวลที่สุด เนื่องจากปลอมได้ง่ายและแนบเนียน ทั้งสี รูปแบบ และตัวอักษร KBANK: ให้สังเกตความเนียนของตัวเลข • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000029269 • #MGROnline #ChatGPT #สลิปโอนเงิน #ธนาคาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอความชัดเจน ไอเดีย‘รับซื้อหนี้เสียของประชาชน มาบริหารจัดการ’ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ห่วงก่อให้เกิดการ‘จงใจเบี้ยวหนี้’ (Moral hazard) กลายเป็นปัญหาเวียนวน ให้ตามแก้ไม่จบสิ้น! แนะหลักการ ต้องเพิ่มรายได้ เพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ และลดการก่อหนี้
    รอความชัดเจน ไอเดีย‘รับซื้อหนี้เสียของประชาชน มาบริหารจัดการ’ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ห่วงก่อให้เกิดการ‘จงใจเบี้ยวหนี้’ (Moral hazard) กลายเป็นปัญหาเวียนวน ให้ตามแก้ไม่จบสิ้น! แนะหลักการ ต้องเพิ่มรายได้ เพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ และลดการก่อหนี้
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 707 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม

    เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง

    นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ

    ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม

    Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

    การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว

    #Newskit
    ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 721 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.คลังแจงแนวคิด "ทักษิณ" ซื้อหนี้คืนจากประชาชนไม่ใช่ให้รัฐรับภาระหนี้แทน และไม่ได้ใช้งบประมาณ ส่วนจะให้ธนาคารแฮร์คัตหนี้หรือไม่ต้องดูก่อน ด้าน "จุลพันธ์" อ้างสอดคล้องแนวทางของกระทรวงแต่ยังไม่มีข้อสรุป ด้านซีอีโอ SCB EIC ชี้ ต้องระวัง Moral Hazard หลักการที่ยั่งยืนคือเพิ่มรายได้ให้ประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025954
    รมว.คลังแจงแนวคิด "ทักษิณ" ซื้อหนี้คืนจากประชาชนไม่ใช่ให้รัฐรับภาระหนี้แทน และไม่ได้ใช้งบประมาณ ส่วนจะให้ธนาคารแฮร์คัตหนี้หรือไม่ต้องดูก่อน ด้าน "จุลพันธ์" อ้างสอดคล้องแนวทางของกระทรวงแต่ยังไม่มีข้อสรุป ด้านซีอีโอ SCB EIC ชี้ ต้องระวัง Moral Hazard หลักการที่ยั่งยืนคือเพิ่มรายได้ให้ประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025954
    Like
    Haha
    3
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 919 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เครือข่ายใหม่ของ AEWIN ในรุ่น SCB-1953 Series ซึ่งใช้พลังประมวลผลจาก Intel Xeon 6 Processors ที่ทันสมัยที่สุดในตลาด โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงานเครือข่ายและงานประมวลผลที่ต้องการความหนาแน่นและประสิทธิภาพสูง เช่น การจัดการข้อมูลในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลในระบบเครือข่ายระดับองค์กร

    == คุณสมบัติเด่นของ SCB-1953 Series ==
    1) หลากหลายตัวเลือกในการปรับแต่ง
    - รุ่น SCB-1953-2U มีช่องขยาย PCIe 5.0 ถึง 8 ช่อง รองรับ NIC cards และ SSD เพื่อการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานอย่างยืดหยุ่น
    - รุ่น SCB-1953-1U มีช่องขยาย PCIe Gen 5 จำนวน 4 ช่อง รองรับการใช้งานในพื้นที่จำกัด

    2) การประมวลผลทรงพลัง
    - ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon 6 ซึ่งรองรับการประมวลผลสูงสุดถึง 144 E-cores หรือ 86 P-cores
    - สนับสนุนหน่วยความจำ DDR5 RDIMM สูงสุด 6400 MT/s และ MRDIMM สูงสุดถึง 8000 MT/s

    3) การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    - รองรับ CXL 2.0 add-on cards สำหรับการสื่อสารระหว่าง CPU, GPU, และ FPGA accelerators ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาแฝง
    - มีระบบระบายความร้อนที่ควบคุมด้วย BMC เพื่อการทำงานที่ราบรื่น

    == สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม ==
    - SCB-1953 Series มาพร้อมกับความสามารถในการจัดการผ่านพอร์ต RJ45 10G และ SFP56 50G หรือ SFP28 25G ขึ้นอยู่กับรุ่น ทำให้สามารถรองรับระบบเครือข่ายที่ต้องการการเชื่อมต่อความเร็วสูง
    - อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อม edge computing ที่ต้องการความยืดหยุ่น

    การพัฒนา SCB-1953 Series เป็นก้าวสำคัญของ AEWIN ในการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของตลาดเทคโนโลยีเครือข่าย

    https://www.techpowerup.com/334100/aewin-unveils-cb-1953-series-network-appliance-powered-by-intel-xeon-6-processors
    ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เครือข่ายใหม่ของ AEWIN ในรุ่น SCB-1953 Series ซึ่งใช้พลังประมวลผลจาก Intel Xeon 6 Processors ที่ทันสมัยที่สุดในตลาด โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงานเครือข่ายและงานประมวลผลที่ต้องการความหนาแน่นและประสิทธิภาพสูง เช่น การจัดการข้อมูลในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลในระบบเครือข่ายระดับองค์กร == คุณสมบัติเด่นของ SCB-1953 Series == 1) หลากหลายตัวเลือกในการปรับแต่ง - รุ่น SCB-1953-2U มีช่องขยาย PCIe 5.0 ถึง 8 ช่อง รองรับ NIC cards และ SSD เพื่อการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานอย่างยืดหยุ่น - รุ่น SCB-1953-1U มีช่องขยาย PCIe Gen 5 จำนวน 4 ช่อง รองรับการใช้งานในพื้นที่จำกัด 2) การประมวลผลทรงพลัง - ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon 6 ซึ่งรองรับการประมวลผลสูงสุดถึง 144 E-cores หรือ 86 P-cores - สนับสนุนหน่วยความจำ DDR5 RDIMM สูงสุด 6400 MT/s และ MRDIMM สูงสุดถึง 8000 MT/s 3) การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน - รองรับ CXL 2.0 add-on cards สำหรับการสื่อสารระหว่าง CPU, GPU, และ FPGA accelerators ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาแฝง - มีระบบระบายความร้อนที่ควบคุมด้วย BMC เพื่อการทำงานที่ราบรื่น == สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม == - SCB-1953 Series มาพร้อมกับความสามารถในการจัดการผ่านพอร์ต RJ45 10G และ SFP56 50G หรือ SFP28 25G ขึ้นอยู่กับรุ่น ทำให้สามารถรองรับระบบเครือข่ายที่ต้องการการเชื่อมต่อความเร็วสูง - อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อม edge computing ที่ต้องการความยืดหยุ่น การพัฒนา SCB-1953 Series เป็นก้าวสำคัญของ AEWIN ในการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของตลาดเทคโนโลยีเครือข่าย https://www.techpowerup.com/334100/aewin-unveils-cb-1953-series-network-appliance-powered-by-intel-xeon-6-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AEWIN Unveils CB-1953 Series Network Appliance Powered by Intel Xeon 6 Processors
    AEWIN is excited to unveil the SCB-1953 Series, 2U/1U performant network appliances powered by Intel's latest Xeon 6 processors built upon Intel 3. Equipped with a single Intel Xeon 6700/6500-series processor, it is a series of flagship products supporting up to 144 E-cores or 86 P-cores for high de...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌏 ล่องเรือ MSC Bellissima สัมผัสเสน่ห์ญี่ปุ่น & เกาหลีใต้ในทริปเดียว! 🚢 พาคุณ ล่องเรือชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านเมืองท่าที่มีทั้งความทันสมัยและธรรมชาติอันงดงาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างเป็นจุดหมายที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม อาหาร และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดเส้นทาง 🗼❤️

    🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ พักบนเรือเอ็มเอสซี เบลลิสซิมา เอเชีย 2 ประเทศ, Cruise Only 11 วัน 10 คืน

    📍 เส้นทาง : โตเกียว, ญี่ปุ่น - โอซาก้า, ญี่ปุ่น (Overninght) - ล่องเรือกลางทะเล - เกาะเชจู, เกาหลีใต้ - ล่องเรือกลางทะเล - คานาซาวะ, ญี่ปุ่น - อาคิตะ, ญี่ปุ่น - ฮาโกดาเตะ, ญี่ปุ่น - ล่องเรือกลางทะเล - โตเกียว, ญี่ปุ่น

    📅 วันที่ 2-12 เม.ย. 2568

    💰 ราคาเริ่มต้น : ฿45,900
    โปรโมชั่น! พักรวมกัน 4 ท่านต่อห้อง ลด 50% สำหรับท่านที่ 3 และ 4 🚨‼️

    ✅ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือ
    ✅ ห้องพักบนเรือสำราญ
    ✅ กิจกรรมบนเรือ

    ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : MSCP-11D10N-TYO-TYO-2504021
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e10050

    ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)

    #MSCCruise #MSCBellissima #Hakodate #Japan #Kanazawa #Jejuisland #Korea #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain#thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🌏 ล่องเรือ MSC Bellissima สัมผัสเสน่ห์ญี่ปุ่น & เกาหลีใต้ในทริปเดียว! 🚢 พาคุณ ล่องเรือชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านเมืองท่าที่มีทั้งความทันสมัยและธรรมชาติอันงดงาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างเป็นจุดหมายที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม อาหาร และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดเส้นทาง 🗼❤️ 🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ พักบนเรือเอ็มเอสซี เบลลิสซิมา เอเชีย 2 ประเทศ, Cruise Only 11 วัน 10 คืน 📍 เส้นทาง : โตเกียว, ญี่ปุ่น - โอซาก้า, ญี่ปุ่น (Overninght) - ล่องเรือกลางทะเล - เกาะเชจู, เกาหลีใต้ - ล่องเรือกลางทะเล - คานาซาวะ, ญี่ปุ่น - อาคิตะ, ญี่ปุ่น - ฮาโกดาเตะ, ญี่ปุ่น - ล่องเรือกลางทะเล - โตเกียว, ญี่ปุ่น 📅 วันที่ 2-12 เม.ย. 2568 💰 ราคาเริ่มต้น : ฿45,900 โปรโมชั่น! พักรวมกัน 4 ท่านต่อห้อง ลด 50% สำหรับท่านที่ 3 และ 4 🚨‼️ ✅ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือ ✅ ห้องพักบนเรือสำราญ ✅ กิจกรรมบนเรือ ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : MSCP-11D10N-TYO-TYO-2504021 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e10050 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #MSCCruise #MSCBellissima #Hakodate #Japan #Kanazawa #Jejuisland #Korea #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain#thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 989 มุมมอง 0 รีวิว
  • SCB EIC มอง กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้
    https://www.thai-tai.tv/news/17405/
    SCB EIC มอง กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้ https://www.thai-tai.tv/news/17405/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้อยู่ SCB Park นะจ๊ะ
    พฤ 23.01.25

    พาคุณๆ ชุดตรุษจีนมาด้วย
    ตั้งร้านพร้อมขายกันแต่เช้าาา
    อยู่ถึงบ่ายสองโมงนะจ๊ะ
    07.00 - 14.00 น.

    ใครอยู่ใกล้เรียนเชิญจ้าา
    ครั้งถัดไป พฤ. 27.02.25

    #ตลาดสุขใขสัญจร
    #SCBParkPlaza
    #สวนผักสายรุ้งออกร้าน
    วันนี้อยู่ SCB Park นะจ๊ะ พฤ 23.01.25 พาคุณๆ ชุดตรุษจีนมาด้วย ตั้งร้านพร้อมขายกันแต่เช้าาา อยู่ถึงบ่ายสองโมงนะจ๊ะ 07.00 - 14.00 น. ใครอยู่ใกล้เรียนเชิญจ้าา ครั้งถัดไป พฤ. 27.02.25 #ตลาดสุขใขสัญจร #SCBParkPlaza #สวนผักสายรุ้งออกร้าน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร กสิกรไทยรองรับ 2 รูปแบบ

    ในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน 2568 ที่ผ่านมา แต่ละธนาคารได้สำรองเงินสดเพื่อรองรับการใช้จ่าย ซึ่งพบว่าแต่ละธนาคารเปิดเผยตัวเลขจำนวนเครื่องเอทีเอ็มในปัจจุบัน โดยธนาคารไทยพาณิชย์ ยังคงมีเครื่องเอทีเอ็มมากที่สุดในประเทศ รวม 9,937 เครื่องแม้จะลดลงไม่ถึงหลักหมื่น จากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 รวม 10,398 เครื่อง ลดลง 461 เครื่องก็ตาม

    ส่วนธนาคารอื่นๆ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย 8,200 เครื่อง ธนาคารกรุงเทพ 8,000 เครื่อง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5,425 เครื่อง ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) 2,406 เครื่อง ธ.ก.ส. 2,300 เครื่อง ขณะที่ธนาคารกรุงไทยไม่ได้เปิดเผย ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 3/2567 มี 8,151 เครื่อง นอกนั้นเป็นธนาคารขนาดเล็ก เช่น ธนาคารยูโอบี 344 เครื่อง และบางธนาคารอย่างซีไอเอ็มบี ไทย ยกเลิกบริการเครื่องเอทีเอ็มไปเมื่อปี 2563 ทดแทนด้วยบริการบัตรเดบิตถอนเงินฟรีทุกตู้ทั่วไทย

    แม้ว่าบริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 แต่ก็เป็นไปในลักษณะให้บริการกับธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้บริการกับธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ก่อนจะมี ธ.ก.ส. ธนาคารไทยเครดิต และทีทีบี ตามมา แต่เมื่อสองธนาคารยักษ์อย่างธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย ให้บริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารร่วมกัน ยิ่งทำให้บริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ลูกค้ายอมเสียค่าธรรมเนียมเพื่อประหยัดเวลา ไม่ต้องการค้นหาตู้เอทีเอ็มธนาคารตัวเอง

    ตัวกลางในการให้บริการมาจากบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ (ITMX) ที่ต่อยอดบริการถอนเงินไม่ใช้บัตร ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมข้ามธนาคารได้ผ่านระบบ ITMX’s Single Payment และ ATM Switching ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเดิมสำหรับบริการถอนเงินสดข้ามธนาคาร ปัจจุบันรองรับทั้งการทำรายการแบบ One-Time-Password (OTP) และแบบ QR Code

    ล่าสุดตู้ K ATM ธนาคารกสิกรไทย รองรับการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารได้ทั้งสองรูปแบบ เช่น แอปฯ Bangkok Bank ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แอปฯ SCB Easy ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แอปฯ KKP Mobile ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) แอปฯ LHB You ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และล่าสุดแอปฯ MyMo ธนาคารออมสิน ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับธนาคารเจ้าของโมบายแอปพลิเคชัน อยู่ที่ประมาณ 10-15 บาทต่อรายการ จึงน่าสนใจว่าอาจมีธนาคารอื่นให้บริการรองรับทั้งสองรูปแบบตามมา สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ทดแทนค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตที่มีแนวโน้มลดลง

    #Newskit
    ถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร กสิกรไทยรองรับ 2 รูปแบบ ในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน 2568 ที่ผ่านมา แต่ละธนาคารได้สำรองเงินสดเพื่อรองรับการใช้จ่าย ซึ่งพบว่าแต่ละธนาคารเปิดเผยตัวเลขจำนวนเครื่องเอทีเอ็มในปัจจุบัน โดยธนาคารไทยพาณิชย์ ยังคงมีเครื่องเอทีเอ็มมากที่สุดในประเทศ รวม 9,937 เครื่องแม้จะลดลงไม่ถึงหลักหมื่น จากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 รวม 10,398 เครื่อง ลดลง 461 เครื่องก็ตาม ส่วนธนาคารอื่นๆ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย 8,200 เครื่อง ธนาคารกรุงเทพ 8,000 เครื่อง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5,425 เครื่อง ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) 2,406 เครื่อง ธ.ก.ส. 2,300 เครื่อง ขณะที่ธนาคารกรุงไทยไม่ได้เปิดเผย ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 3/2567 มี 8,151 เครื่อง นอกนั้นเป็นธนาคารขนาดเล็ก เช่น ธนาคารยูโอบี 344 เครื่อง และบางธนาคารอย่างซีไอเอ็มบี ไทย ยกเลิกบริการเครื่องเอทีเอ็มไปเมื่อปี 2563 ทดแทนด้วยบริการบัตรเดบิตถอนเงินฟรีทุกตู้ทั่วไทย แม้ว่าบริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 แต่ก็เป็นไปในลักษณะให้บริการกับธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้บริการกับธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ก่อนจะมี ธ.ก.ส. ธนาคารไทยเครดิต และทีทีบี ตามมา แต่เมื่อสองธนาคารยักษ์อย่างธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย ให้บริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารร่วมกัน ยิ่งทำให้บริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ลูกค้ายอมเสียค่าธรรมเนียมเพื่อประหยัดเวลา ไม่ต้องการค้นหาตู้เอทีเอ็มธนาคารตัวเอง ตัวกลางในการให้บริการมาจากบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ (ITMX) ที่ต่อยอดบริการถอนเงินไม่ใช้บัตร ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมข้ามธนาคารได้ผ่านระบบ ITMX’s Single Payment และ ATM Switching ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเดิมสำหรับบริการถอนเงินสดข้ามธนาคาร ปัจจุบันรองรับทั้งการทำรายการแบบ One-Time-Password (OTP) และแบบ QR Code ล่าสุดตู้ K ATM ธนาคารกสิกรไทย รองรับการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารได้ทั้งสองรูปแบบ เช่น แอปฯ Bangkok Bank ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แอปฯ SCB Easy ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แอปฯ KKP Mobile ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) แอปฯ LHB You ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และล่าสุดแอปฯ MyMo ธนาคารออมสิน ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับธนาคารเจ้าของโมบายแอปพลิเคชัน อยู่ที่ประมาณ 10-15 บาทต่อรายการ จึงน่าสนใจว่าอาจมีธนาคารอื่นให้บริการรองรับทั้งสองรูปแบบตามมา สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ทดแทนค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตที่มีแนวโน้มลดลง #Newskit
    Like
    Love
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 843 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/KKKKLb83exQ?si=oJgzggWV3aVTSCBU
    https://youtu.be/KKKKLb83exQ?si=oJgzggWV3aVTSCBU
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชณ์ ได้คาดการณ์
    ภาวะเศรษฐกิจไทย ในปีหน้า 2568 ดังนี้

    1.1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย (GDP ประเทศไทย)

    SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.4%
    จากเดิมที่คาดไว้ 2.6% เนื่องจากผลกระทบของนโยบาย
    "Trump 2.0" ที่อาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
    และการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย
    ผ่านช่องทางการค้า การผลิต และการลงทุนเป็นหลัก

    สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 SCB EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์
    การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น 2.7% จากเดิม 2.5%
    โดยเหตุผลหลักมาจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท
    เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3
    การใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกงบประมาณ
    รวมถึงการส่งออกสินค้าที่กลับมาฟื้นตัว

    นอกจากนี้ ยังมีการเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
    ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

    1.2 อัตราเงินเฟ้อของไทย
    SCB EIC ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2567
    จะอยู่ที่ 0.5% สำหรับปีหน้า (2568) จะอยู่ที่ 1%
    (ประเมิน ณ เดือน พ.ย. 2567)

    1.3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย
    SCB EIC คาดการณ์ว่า ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ กนง.
    จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม ตามแนวทางที่ กนง.
    สื่อสารไว้เกี่ยวกับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน
    (Policy space) เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิ
    จและการเงินของไทยในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า กนง. อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย
    นโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ก.พ. 2568
    เพื่อช่วยผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติม
    และเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงด้านลบเพิ่มขึ้นจากนโยบาย
    Trump 2.0

    ที่มา : SCBEIC

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ภาวะเศรษฐกิจไทย2568
    #SCBEIC #thaitimes
    💥💥SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชณ์ ได้คาดการณ์ ภาวะเศรษฐกิจไทย ในปีหน้า 2568 ดังนี้ 1.1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย (GDP ประเทศไทย) SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ 2.6% เนื่องจากผลกระทบของนโยบาย "Trump 2.0" ที่อาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านช่องทางการค้า การผลิต และการลงทุนเป็นหลัก สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 SCB EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น 2.7% จากเดิม 2.5% โดยเหตุผลหลักมาจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 การใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกงบประมาณ รวมถึงการส่งออกสินค้าที่กลับมาฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังมีการเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 1.2 อัตราเงินเฟ้อของไทย SCB EIC ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2567 จะอยู่ที่ 0.5% สำหรับปีหน้า (2568) จะอยู่ที่ 1% (ประเมิน ณ เดือน พ.ย. 2567) 1.3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย SCB EIC คาดการณ์ว่า ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม ตามแนวทางที่ กนง. สื่อสารไว้เกี่ยวกับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy space) เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิ จและการเงินของไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า กนง. อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย นโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ก.พ. 2568 เพื่อช่วยผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติม และเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงด้านลบเพิ่มขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 ที่มา : SCBEIC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ภาวะเศรษฐกิจไทย2568 #SCBEIC #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
    แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง
    ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว
    จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
    และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง
    แต่ในอัตราที่ลดลง

    🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
    โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้
    ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง

    🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย
    และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย
    และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว
    ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง
    ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป

    🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
    ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว
    -1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568

    🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567
    มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้
    หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568

    🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว
    ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย
    เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า


    🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว
    ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ
    จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น

    🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย
    เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว
    -28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว
    -2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568
    โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก
    เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ

    🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา
    กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง
    ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน

    🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป
    อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย
    สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน


    🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย
    ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง
    ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ
    ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

    🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง
    🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด
    🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ
    🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา
    อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ
    กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น
    โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    ที่มา : scbeic
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ลดลง 🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้ ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง 🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป 🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว -1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้ หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า 🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น 🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว -28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว -2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ 🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน 🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน 🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง 🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด 🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ 🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มา : scbeic #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1271 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
    ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ
    อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย

    นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก
    เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
    คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
    ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ
    ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม
    ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท
    และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา

    SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก
    จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย
    ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
    ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก
    ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน

    ปัจจัยภายในประเทศ :

    1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก :
    ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ
    ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
    เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด
    ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต
    กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD)
    ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี
    เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD
    ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ
    และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์
    และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย
    จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า
    การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก
    ไทยทั้งหมดในปี 2566

    2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า :
    ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก
    ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า
    ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย
    ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ
    ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้
    อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก
    ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์
    สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก)

    ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก
    ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23%
    ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
    ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38%
    เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า
    ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
    มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้
    ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง
    และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
    แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
    ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน

    3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง :
    การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ
    ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น
    ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน
    ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย
    สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
    และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้

    จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก
    ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์
    สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้?

    SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน
    จากต่างชาติที่ลดลง :

    1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ
    22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม
    เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ
    ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า
    และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ
    เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
    เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

    2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง :
    FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย
    เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก
    รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง
    ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ
    อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3,
    และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank)

    สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก

    (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย
    ยังมีมากที่สุดในอาเซียน

    (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
    กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
    เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป
    และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น

    (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง

    (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง
    นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน
    วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง
    และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ

    (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน
    ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
    และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า

    ปัจจัยภายนอก :

    การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ

    ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ
    ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
    กับสินค้าจีน

    2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี
    สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม

    3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว
    ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ
    ต่อการค้าโลก

    4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
    สำคัญทั่วโลก

    (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย
    และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์


    ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย
    อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน
    ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้
    ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ
    ที่เปราะบาง

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว
    หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน
    โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน
    ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น
    และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว
    เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ
    ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย
    แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย
    ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง
    การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ

    การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า
    ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์
    ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง
    แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า
    ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า
    ไปคันแล้วคันเล่า

    ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน ปัจจัยภายในประเทศ : 1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก : ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก ไทยทั้งหมดในปี 2566 2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า : ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก) ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23% ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38% เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้ ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน 3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง : การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์ สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้? SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน จากต่างชาติที่ลดลง : 1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ 22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง : FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3, และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย ยังมีมากที่สุดในอาเซียน (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า ปัจจัยภายนอก : การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กับสินค้าจีน 2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการค้าโลก 4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำคัญทั่วโลก (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้ ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ ที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์ ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า ไปคันแล้วคันเล่า ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1617 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยข้อมูล
    เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
    จะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและส่งออก

    🚩โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    ในไตรมาส 4 จากกลุ่มตลาดประเทศระยะไกล
    รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจะได้ปัจจัยบวก
    จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
    ที่จะออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ
    และเมืองน่าเที่ยว

    🚩การส่งออกไทยจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญ
    จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น อย่างไรก็ดี
    ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังฟื้นตัวได้ช้า
    และมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน
    ขณะที่สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง
    ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง
    จากสถานการณ์น้ำท่วมและค่าเงินบาทแข็ง

    🚩สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เกษตรเริ่มคลี่คลายลงบ้าง
    โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงมากหากเทียบกับ
    ภัยน้ำท่วมในอดีต SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าความเสียหาย
    ในภาคเกษตรอยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท (0.03% ของจีดีพี)
    โดยคาดว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะเสียหาย 0.83 ล้านไร่

    🚩สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท
    จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมในปีนี้ SCB EIC ประเมินโครงการนี้
    มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมด
    อาจไม่ได้ใช้จ่ายลงเศรษฐกิจ สะท้อนจากผลสำรวจ
    SCB EIC consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วน
    จะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้
    แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว สำหรับการบริโภค
    ภาคเอกชนคาดว่าจะแผ่วลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ
    ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง 7 เดือนติดต่อกัน
    และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน

    ที่มา : SCBEIC

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจไทย #จีดีพี
    #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยข้อมูล เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและส่งออก 🚩โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 4 จากกลุ่มตลาดประเทศระยะไกล รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจะได้ปัจจัยบวก จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ที่จะออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ และเมืองน่าเที่ยว 🚩การส่งออกไทยจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญ จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน ขณะที่สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง จากสถานการณ์น้ำท่วมและค่าเงินบาทแข็ง 🚩สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เกษตรเริ่มคลี่คลายลงบ้าง โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงมากหากเทียบกับ ภัยน้ำท่วมในอดีต SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าความเสียหาย ในภาคเกษตรอยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท (0.03% ของจีดีพี) โดยคาดว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะเสียหาย 0.83 ล้านไร่ 🚩สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมในปีนี้ SCB EIC ประเมินโครงการนี้ มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมด อาจไม่ได้ใช้จ่ายลงเศรษฐกิจ สะท้อนจากผลสำรวจ SCB EIC consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วน จะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้ แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว สำหรับการบริโภค ภาคเอกชนคาดว่าจะแผ่วลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง 7 เดือนติดต่อกัน และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ที่มา : SCBEIC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจไทย #จีดีพี #thaitimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1154 มุมมอง 0 รีวิว
  • KTM Go Cashless รถไฟมาเลเซียไร้เงินสด

    การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย กำลังรณรงค์แคมเปญ Go Cashless หรือ Komuniti Tanpa Tunai (สังคมไร้เงินสด) ให้ผู้ใช้บริการรถไฟทุกประเภทซื้อตั๋วรถไฟ ชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ช่องทางออนไลน์ผ่านแอปฯ เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และประตูอัตโนมัติ (ACG) ของทุกสถานี พร้อมกับออกบูธจัดกิจกรรมโรดโชว์ตามสถานีต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้บริการ และจะงดรับเงินสดเต็มรูปแบบในระยะถัดไป

    • การซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์สถานี ทั้งรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter สาย Klang Valley และสาย Utara รถไฟทางไกล ETS และ KTM Intercity สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit ที่ออกโดยสถาบันการเงินในมาเลเซีย บัตร VISA และ Mastercard และ KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) ส่วนผู้ถือบัตร Komuter Link ใช้ได้เฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter

    • การซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ แอปพลิเคชัน KTMB Mobile เลือกชำระได้ทั้ง KTM Wallet, บัตร VISA และ Mastercard, บัตรเดบิต MyDebit, Touch 'n Go eWallet, Boost Wallet และคิวอาร์โค้ด DuitNow

    • การซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (Ticket Kiosk) สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, คิวอาร์โค้ด DuitNow, อีวอลเล็ต Boost Wallet และ Touch 'n Go eWallet

    • การเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) รองรับทั้งบัตร Komuter Link, บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, บัตร Touch 'n Go, Google Pay, Apple Pay และ Samsung Pay

    ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้บัตร VISA และ Mastercard เข้าสู่ประตูอัตโนมัติ (ACG) ระบบจะกันวงเงินบัตรไว้ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) และจะได้รับคืนภายหลัง ส่วนอีวอลเล็ต KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter เท่านั้น

    สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถสมัครสมาชิก KTMB Mobile (KITS) เพื่อซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ โดยใช้หนังสือเดินทางเป็นหลักฐาน ส่วนการซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และการเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) ด้วยบัตร VISA และ Mastercard ควรสอบถามธนาคารผู้ออกบัตรว่าใช้ที่ต่างประเทศได้หรือไม่

    หรือสมัครบัตรที่ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน 2.5% มีทั้งบัตร Travel Card เช่น YouTrip, Planet SCB, Krungsri Boarding Card หรือบัตรเดบิต เช่น Chill D CIMB Thai, ttb all free, Krungthai Travel Mastercard Debit, KBank Journey Travel Card เป็นต้น

    #Newskit #KTMB #GoCashless
    KTM Go Cashless รถไฟมาเลเซียไร้เงินสด การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย กำลังรณรงค์แคมเปญ Go Cashless หรือ Komuniti Tanpa Tunai (สังคมไร้เงินสด) ให้ผู้ใช้บริการรถไฟทุกประเภทซื้อตั๋วรถไฟ ชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ช่องทางออนไลน์ผ่านแอปฯ เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และประตูอัตโนมัติ (ACG) ของทุกสถานี พร้อมกับออกบูธจัดกิจกรรมโรดโชว์ตามสถานีต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้บริการ และจะงดรับเงินสดเต็มรูปแบบในระยะถัดไป • การซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์สถานี ทั้งรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter สาย Klang Valley และสาย Utara รถไฟทางไกล ETS และ KTM Intercity สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit ที่ออกโดยสถาบันการเงินในมาเลเซีย บัตร VISA และ Mastercard และ KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) ส่วนผู้ถือบัตร Komuter Link ใช้ได้เฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter • การซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ แอปพลิเคชัน KTMB Mobile เลือกชำระได้ทั้ง KTM Wallet, บัตร VISA และ Mastercard, บัตรเดบิต MyDebit, Touch 'n Go eWallet, Boost Wallet และคิวอาร์โค้ด DuitNow • การซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (Ticket Kiosk) สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, คิวอาร์โค้ด DuitNow, อีวอลเล็ต Boost Wallet และ Touch 'n Go eWallet • การเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) รองรับทั้งบัตร Komuter Link, บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, บัตร Touch 'n Go, Google Pay, Apple Pay และ Samsung Pay ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้บัตร VISA และ Mastercard เข้าสู่ประตูอัตโนมัติ (ACG) ระบบจะกันวงเงินบัตรไว้ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) และจะได้รับคืนภายหลัง ส่วนอีวอลเล็ต KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter เท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถสมัครสมาชิก KTMB Mobile (KITS) เพื่อซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ โดยใช้หนังสือเดินทางเป็นหลักฐาน ส่วนการซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และการเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) ด้วยบัตร VISA และ Mastercard ควรสอบถามธนาคารผู้ออกบัตรว่าใช้ที่ต่างประเทศได้หรือไม่ หรือสมัครบัตรที่ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน 2.5% มีทั้งบัตร Travel Card เช่น YouTrip, Planet SCB, Krungsri Boarding Card หรือบัตรเดบิต เช่น Chill D CIMB Thai, ttb all free, Krungthai Travel Mastercard Debit, KBank Journey Travel Card เป็นต้น #Newskit #KTMB #GoCashless
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1055 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขาย อาคารพาณิชย์
    อยู่ที่ถนนอโศกมนตรี 3 คูหา 6 ชั้น รวมดาดฟ้า
    ราคา 90 ล้านบาท

    การเดินทาง สะดวกที่สุดถ้ามาโดยรถไฟฟ้า ลงสถานีสุขุมวิทอโศก แล้วออกทาง exit สยามสมาคม
    เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอซอยเล็กๆ ข้ามซอยเล็ก เห็นเซเว่น 7-11
    อยู่ประมาณติดกับเซเว่น 155 / 4-7 ถ้าเดินจากสยามสมาคม จะอยู่ฝั่งซ้ายมือฝั่งเดียว กับสยามสมาคมถนนอโศกมนตรี
    พื้นที่เศรษฐกิจสุขุมวิท 21 ตรงข้ามธนาคาร SCB ตึกชิโนไทย
    สามารถจอดรถเข้าออก หรือพักเสียค่าจอดรถรายเดือนได้ ที่ตึกชิโนไทย ตรงข้าม
    สามารถทะลุซอยอารีย์อ้อม มาทางเทอร์มินอล 21 และโรงแรมแกรนด์เทอร์มินอล ด้านหลังเป็นสีลม ,
    ด้านหน้ารัชดาภิเษกพื้นที่ไกล้เคียง

    ที่จอดรถ เช่าสยามสมาคมด้านข้างเอาครับเดินประมาณ 500 เมตร

    ทำเล ใจกลางเมือง สุขุมวิท

    ขนาดพื้นที่ รวม 42 ตารางวา อาคารพาณิชย์ 3 คูหา 6 ชั้น รวมดาดฟ้า
    ราคา 90 ล้านบาท

    +++++++++++++++++++

    ประสงค์ซื้อต้องแสดงเอกสารหลักการเงินมาเป็น Bank Statement. หรือ Bank Guaranteed
    ของธนาคารไทย และจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย

    1) ผู้ประสงค์ซื้อทำหนังสือเจตจำนงประสงค์ซื้อ
    2) ผู้ประสงค์ซื้อต้องแสดงเอกสารหลักการเงินมาเป็น Bank Statement. หรือ Bank Guaranteed
    ของธนาคารไทย และจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย
    3) ยื่นเอกสารตามข้อ 1 และ 2 หลังเจ้าของตรวจสอบเอกสารถูกต้องแล้ว จะนัดเจรจาภายใน 3 วัน
    4) เมื่อสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น ผู้ซื้อต้องวางเงิน 50%+3 ของราคาซื้อขายสุทธิ และต้องโอนภายใน
    60-180 วัน.

    https://www.connectrealestates.com/property/asoke-bld/

    สอบถามได้ที่ https://lin.ee/niqQSKh
    หรือ Line : @connectrealestates (มี @)
    ขาย อาคารพาณิชย์ อยู่ที่ถนนอโศกมนตรี 3 คูหา 6 ชั้น รวมดาดฟ้า ราคา 90 ล้านบาท การเดินทาง สะดวกที่สุดถ้ามาโดยรถไฟฟ้า ลงสถานีสุขุมวิทอโศก แล้วออกทาง exit สยามสมาคม เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอซอยเล็กๆ ข้ามซอยเล็ก เห็นเซเว่น 7-11 อยู่ประมาณติดกับเซเว่น 155 / 4-7 ถ้าเดินจากสยามสมาคม จะอยู่ฝั่งซ้ายมือฝั่งเดียว กับสยามสมาคมถนนอโศกมนตรี พื้นที่เศรษฐกิจสุขุมวิท 21 ตรงข้ามธนาคาร SCB ตึกชิโนไทย สามารถจอดรถเข้าออก หรือพักเสียค่าจอดรถรายเดือนได้ ที่ตึกชิโนไทย ตรงข้าม สามารถทะลุซอยอารีย์อ้อม มาทางเทอร์มินอล 21 และโรงแรมแกรนด์เทอร์มินอล ด้านหลังเป็นสีลม , ด้านหน้ารัชดาภิเษกพื้นที่ไกล้เคียง ที่จอดรถ เช่าสยามสมาคมด้านข้างเอาครับเดินประมาณ 500 เมตร ทำเล ใจกลางเมือง สุขุมวิท ขนาดพื้นที่ รวม 42 ตารางวา อาคารพาณิชย์ 3 คูหา 6 ชั้น รวมดาดฟ้า ราคา 90 ล้านบาท +++++++++++++++++++ ประสงค์ซื้อต้องแสดงเอกสารหลักการเงินมาเป็น Bank Statement. หรือ Bank Guaranteed ของธนาคารไทย และจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย 1) ผู้ประสงค์ซื้อทำหนังสือเจตจำนงประสงค์ซื้อ 2) ผู้ประสงค์ซื้อต้องแสดงเอกสารหลักการเงินมาเป็น Bank Statement. หรือ Bank Guaranteed ของธนาคารไทย และจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย 3) ยื่นเอกสารตามข้อ 1 และ 2 หลังเจ้าของตรวจสอบเอกสารถูกต้องแล้ว จะนัดเจรจาภายใน 3 วัน 4) เมื่อสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น ผู้ซื้อต้องวางเงิน 50%+3 ของราคาซื้อขายสุทธิ และต้องโอนภายใน 60-180 วัน. https://www.connectrealestates.com/property/asoke-bld/ สอบถามได้ที่ https://lin.ee/niqQSKh หรือ Line : @connectrealestates (มี @)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥 ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC เผยแพร่ข้อมูล
    แนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมเหล็กไทยปี 2568

    🚩โดยมองว่า การผลิตเหล็กในปี 2568 ของไทยมีแนวโน้ม
    ขยายตัวเล็กน้อย จากการผลิตเหล็กทรงยาวที่เพิ่มขึ้น
    และอุปสงค์การใช้งานที่เพิ่มขึ้นในภาคการก่อสร้างเป็นหลัก
    แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากเหล็กจีนที่เข้ามาตีตลาดอย่างต่อเนื่อง

    🚩ในปี 2567 นี้ อุปสงค์การใช้งานเหล็กที่หดตัวทั้งในภาคการก่อสร้าง
    และการผลิตรถยนต์ ประกอบกับเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศ
    เข้ามาตีตลาด ส่งผลให้ปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศปี 2567 นี้
    มีแนวโน้มหดตัว 12.7%

    🚩อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2568
    โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านตัน จากอุปสงค์การใช้งาน
    ที่ขยายตัว โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง

    🚩ขณะที่เหล็กจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่ายังคงถูกนำเข้ามา
    ใช้งานต่อไป กระทบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทย
    ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับต่ำกว่า 30%
    ซึ่งเป็นอัตราที่ถือว่าค่อนข้างวิกฤตในปัจจุบัน

    🚩นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
    ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้ามาทำการตลาดเชิงรุก
    ของผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กจากจีน ยังเป็นปัจจัยกดดันให้
    อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตที่หนักกว่าเดิม

    🚩สำหรับราคาเหล็กในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มที่ลดลง
    ตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบ และราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการ
    ในอุตสาหกรรมเหล็กต้องหาแนวทางบริหารจัดการต้นทุน และ
    การระบายสต็อกสินค้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
    ของราคาจำหน่ายสินค้าเหล็กที่มีโอกาสลดลง

    ที่มา : SCBEIC

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อุตสาหกรรมเหล็กไทย #thaitimes
    🔥🔥 ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC เผยแพร่ข้อมูล แนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมเหล็กไทยปี 2568 🚩โดยมองว่า การผลิตเหล็กในปี 2568 ของไทยมีแนวโน้ม ขยายตัวเล็กน้อย จากการผลิตเหล็กทรงยาวที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์การใช้งานที่เพิ่มขึ้นในภาคการก่อสร้างเป็นหลัก แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากเหล็กจีนที่เข้ามาตีตลาดอย่างต่อเนื่อง 🚩ในปี 2567 นี้ อุปสงค์การใช้งานเหล็กที่หดตัวทั้งในภาคการก่อสร้าง และการผลิตรถยนต์ ประกอบกับเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศ เข้ามาตีตลาด ส่งผลให้ปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศปี 2567 นี้ มีแนวโน้มหดตัว 12.7% 🚩อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านตัน จากอุปสงค์การใช้งาน ที่ขยายตัว โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง 🚩ขณะที่เหล็กจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่ายังคงถูกนำเข้ามา ใช้งานต่อไป กระทบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทย ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ซึ่งเป็นอัตราที่ถือว่าค่อนข้างวิกฤตในปัจจุบัน 🚩นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้ามาทำการตลาดเชิงรุก ของผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กจากจีน ยังเป็นปัจจัยกดดันให้ อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตที่หนักกว่าเดิม 🚩สำหรับราคาเหล็กในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มที่ลดลง ตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบ และราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมเหล็กต้องหาแนวทางบริหารจัดการต้นทุน และ การระบายสต็อกสินค้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของราคาจำหน่ายสินค้าเหล็กที่มีโอกาสลดลง ที่มา : SCBEIC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อุตสาหกรรมเหล็กไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 722 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้

    การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว

    ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว

    น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น

    ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568

    ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้

    ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม

    #Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่าย
    ไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้ การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม #Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่าย
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1348 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน


    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 559 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts