• คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    Binance เคยถูกกล่าวหาว่า เพิ่มปริมาณการซื้อขายโดยไม่โปร่งใส, โอนเงินลูกค้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่นักลงทุน อย่างไรก็ตาม การยกเลิกคดีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน และ Binance ยอมจ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

    นอกจากนี้ SEC ยังเคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Coinbase จัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นหลักทรัพย์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SEC ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย
    - Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน
    - Binance จ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีอาญา
    - SEC เคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การยกเลิกคดีไม่ได้หมายความว่า Binance ไม่มีความผิด แต่เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายของ SEC
    - นักลงทุนควรติดตามแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของทรัมป์
    - Binance ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในประเทศอื่น ๆ
    - ตลาดคริปโตยังคงมีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

    การยกเลิกคดี Binance ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต และอาจส่งผลต่อแนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/us-sec-voluntarily-dismisses-lawsuit-against-binance
    คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ Binance เคยถูกกล่าวหาว่า เพิ่มปริมาณการซื้อขายโดยไม่โปร่งใส, โอนเงินลูกค้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่นักลงทุน อย่างไรก็ตาม การยกเลิกคดีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน และ Binance ยอมจ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ SEC ยังเคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Coinbase จัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SEC ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย - Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน - Binance จ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีอาญา - SEC เคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การยกเลิกคดีไม่ได้หมายความว่า Binance ไม่มีความผิด แต่เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายของ SEC - นักลงทุนควรติดตามแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของทรัมป์ - Binance ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในประเทศอื่น ๆ - ตลาดคริปโตยังคงมีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน การยกเลิกคดี Binance ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต และอาจส่งผลต่อแนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/us-sec-voluntarily-dismisses-lawsuit-against-binance
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US SEC dismisses lawsuit against Binance crypto exchange
    (Reuters) -The U.S. Securities and Exchange Commission on Thursday voluntarily dismissed its civil lawsuit against Binance, the world's largest cryptocurrency exchange, extending the regulator's new approach to cryptocurrencies since President Donald Trump reentered the White House.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • ระวัง! มิจฉาชีพใช้ Booking.com หลอกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต

    นักท่องเที่ยวที่ใช้ Booking.com อาจตกเป็นเป้าหมายของกลโกงใหม่ที่ใช้ ระบบแชทของแพลตฟอร์ม เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต โดยมิจฉาชีพ แฮ็กบัญชีของโรงแรมและที่พัก แล้วส่งข้อความแจ้งว่า การจองยังไม่สมบูรณ์และต้องยืนยันการชำระเงิน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกง Booking.com
    ✅ มิจฉาชีพใช้บัญชีของโรงแรมจริงเพื่อส่งข้อความหลอกลวงผ่านระบบแชทของ Booking.com
    - ทำให้ ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นข้อความจากที่พักจริง

    ✅ ข้อความแจ้งว่า "การจองยังไม่สมบูรณ์" และต้องยืนยันการชำระเงิน
    - หากผู้ใช้กดลิงก์ จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบ Booking.com

    ✅ เมื่อกรอกข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลจะถูกขโมยทันที
    - มิจฉาชีพ สามารถนำข้อมูลไปใช้ซื้อสินค้าออนไลน์หรือถอนเงินจากบัญชี

    ✅ Booking.com แนะนำให้ตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงินในหน้ารายละเอียดที่พัก
    - หากมีข้อสงสัย ควรติดต่อโรงแรมโดยตรงทางโทรศัพท์

    ✅ นอกจากกลโกงการยืนยันการจอง ยังมีมิจฉาชีพที่สร้างรายการที่พักปลอม
    - เสนอราคาถูกผิดปกติ และขอให้ผู้ใช้โอนเงินผ่าน WhatsApp หรืออีเมล

    ✅ Booking.com ใช้มาตรการตรวจจับการฉ้อโกงและบล็อกการจองปลอมกว่า 1.5 ล้านครั้งในปี 2023
    - ในปี 2024 จำนวนการฉ้อโกงลดลงเหลือ 250,000 ครั้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/bookingcom-scams-watch-for-these-fake-emails-targeting-users
    ระวัง! มิจฉาชีพใช้ Booking.com หลอกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต นักท่องเที่ยวที่ใช้ Booking.com อาจตกเป็นเป้าหมายของกลโกงใหม่ที่ใช้ ระบบแชทของแพลตฟอร์ม เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต โดยมิจฉาชีพ แฮ็กบัญชีของโรงแรมและที่พัก แล้วส่งข้อความแจ้งว่า การจองยังไม่สมบูรณ์และต้องยืนยันการชำระเงิน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกง Booking.com ✅ มิจฉาชีพใช้บัญชีของโรงแรมจริงเพื่อส่งข้อความหลอกลวงผ่านระบบแชทของ Booking.com - ทำให้ ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นข้อความจากที่พักจริง ✅ ข้อความแจ้งว่า "การจองยังไม่สมบูรณ์" และต้องยืนยันการชำระเงิน - หากผู้ใช้กดลิงก์ จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบ Booking.com ✅ เมื่อกรอกข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลจะถูกขโมยทันที - มิจฉาชีพ สามารถนำข้อมูลไปใช้ซื้อสินค้าออนไลน์หรือถอนเงินจากบัญชี ✅ Booking.com แนะนำให้ตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงินในหน้ารายละเอียดที่พัก - หากมีข้อสงสัย ควรติดต่อโรงแรมโดยตรงทางโทรศัพท์ ✅ นอกจากกลโกงการยืนยันการจอง ยังมีมิจฉาชีพที่สร้างรายการที่พักปลอม - เสนอราคาถูกผิดปกติ และขอให้ผู้ใช้โอนเงินผ่าน WhatsApp หรืออีเมล ✅ Booking.com ใช้มาตรการตรวจจับการฉ้อโกงและบล็อกการจองปลอมกว่า 1.5 ล้านครั้งในปี 2023 - ในปี 2024 จำนวนการฉ้อโกงลดลงเหลือ 250,000 ครั้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/bookingcom-scams-watch-for-these-fake-emails-targeting-users
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Booking.com scams: Watch for these fake emails targeting users
    What's particularly perfidious is that, according to consumer protection website Watchlist Internet, contact is often made not via email or text message, but using the chat feature on Booking.com – the official communication channel between accommodation and guest.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • ชายชาวสหรัฐฯ สูญเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ หลังถูกหลอกผ่าน Instagram

    ชายคนหนึ่งในเมือง Trenton สหรัฐฯ ถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 850,099 บาท) หลังจากกดไลก์รูปของ Angelina Jolie บน Instagram โดยเขาเชื่อว่า กำลังพูดคุยกับนักแสดงชื่อดังผ่านข้อความ แต่แท้จริงแล้ว เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้กลยุทธ์หลอกลวงทางออนไลน์

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกงนี้
    ✅ เหยื่อเริ่มพูดคุยกับมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็น Angelina Jolie ตั้งแต่เดือนกันยายน 2023
    - มิจฉาชีพ แนะนำให้เขาลงทุนใน Bitcoin โดยอ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยได้

    ✅ เหยื่อซื้อบัตร Apple Gift Card และส่งรูปให้มิจฉาชีพ รวมมูลค่ากว่า 150,000 ดอลลาร์
    - มิจฉาชีพ ใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ✅ เมื่อเหยื่อเริ่มสงสัยว่าถูกหลอก เขาติดต่อบุคคลที่อ้างว่าเป็นนักข่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ
    - นักข่าวปลอม แนะนำให้เขาติดต่อทนายความ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นมิจฉาชีพอีกคนหนึ่ง

    ✅ ทนายความปลอมส่งรูปตัวเองพร้อมใบขับขี่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    - จากนั้น เรียกร้องให้เหยื่อจ่ายค่าบริการเป็น Bitcoin และออกใบเสร็จปลอม

    ✅ เหยื่อพบว่ามีการพยายามถอนเงิน 31,000 ดอลลาร์จากบัญชีของเขา
    - เขาสามารถ ยับยั้งการทำธุรกรรมได้ทัน และยื่นเรื่องร้องเรียนกับธนาคาร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/man-taken-for-us200000-after-liking-instagram-picture-of-angelina-jolie
    ชายชาวสหรัฐฯ สูญเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ หลังถูกหลอกผ่าน Instagram ชายคนหนึ่งในเมือง Trenton สหรัฐฯ ถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 850,099 บาท) หลังจากกดไลก์รูปของ Angelina Jolie บน Instagram โดยเขาเชื่อว่า กำลังพูดคุยกับนักแสดงชื่อดังผ่านข้อความ แต่แท้จริงแล้ว เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้กลยุทธ์หลอกลวงทางออนไลน์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกงนี้ ✅ เหยื่อเริ่มพูดคุยกับมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็น Angelina Jolie ตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 - มิจฉาชีพ แนะนำให้เขาลงทุนใน Bitcoin โดยอ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยได้ ✅ เหยื่อซื้อบัตร Apple Gift Card และส่งรูปให้มิจฉาชีพ รวมมูลค่ากว่า 150,000 ดอลลาร์ - มิจฉาชีพ ใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ✅ เมื่อเหยื่อเริ่มสงสัยว่าถูกหลอก เขาติดต่อบุคคลที่อ้างว่าเป็นนักข่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ - นักข่าวปลอม แนะนำให้เขาติดต่อทนายความ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นมิจฉาชีพอีกคนหนึ่ง ✅ ทนายความปลอมส่งรูปตัวเองพร้อมใบขับขี่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ - จากนั้น เรียกร้องให้เหยื่อจ่ายค่าบริการเป็น Bitcoin และออกใบเสร็จปลอม ✅ เหยื่อพบว่ามีการพยายามถอนเงิน 31,000 ดอลลาร์จากบัญชีของเขา - เขาสามารถ ยับยั้งการทำธุรกรรมได้ทัน และยื่นเรื่องร้องเรียนกับธนาคาร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/man-taken-for-us200000-after-liking-instagram-picture-of-angelina-jolie
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Man taken for US$200,000 after liking Instagram picture of Angelina Jolie
    According to a police report, the man first conversed via text message with a woman he thought was Jolie back in September 2023.
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • งานวิ่งทิพย์ 18 มงกุฎผุดอีเวนต์

    กระแสออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ทำให้งานวิ่งได้รับความนิยม ตั้งแต่มินิมาราธอนยันไตรกีฬา แต่บางครั้งงานวิ่งกลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ ที่สุดท้ายนักวิ่งต้องรอเก้อเพราะงานวิ่งไม่เกิดขึ้นจริง เฉกเช่นงาน Run for Destination 2025 ที่สวนหลวง ร.๙ วันที่ 25 พ.ค. ปรากฎว่าพอถึงวันงานจริงมีเพียงแต่ซุ้มประตู และนักวิ่งจำนวนมากต่างรอคอยด้วยความงุนงง พอรู้ว่าถูกหลอกก็เสียความรู้สึก ต่างแจ้งความดำเนินคดีกับผู้จัดงานที่ สน.ประเวศ

    มลฤดี อายุ 42 ปี และ สุชานันท์ อายุ 31 ปี กรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้นสนเก้าเก้า สปอร์ตคอมเพล็กซ์ เข้าให้ปากคำกับตำรวจ ก่อนเปิดเผยว่าจัดงานวิ่งเป็นครั้งแรก ขออนุญาตสำนักงานเขตและสวนหลวง ร.๙ เรียบร้อย อ้างว่าขาดประสบการณ์ เพราะว่าจ้างออแกไนซ์รายหนึ่งแต่กลับยกเลิกกะทันหัน และไม่มีบริษัทไหนรับงาน จึงพยายามหาส่วนต่างๆ เองเพื่อให้งานเดินต่อ ส่วนการเยียวยาขอหารือก่อนแต่ก็ต้องทยอยชดเชย เพราะการจัดงานมีต้นทุน ยอมรับว่าความเชื่อมั่นบริษัทหายไปแล้ว แต่ยืนยันว่าจะดำเนินธุรกิจต่อ

    อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนและกระแสโซเชียลฯ ต่างขุดค้นข้อมูลเกี่ยวกับนิติบุคคลผู้จัดงาน พบว่าเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท อีกทั้งยังเตรียมจัดแข่งขันแบดมินตันอีกด้วย อีกด้านหนึ่งพบว่าชื่อกรรมการยังเชื่อมโยงกับขบวนการมิจฉาชีพในคราบนายหน้าติวเตอร์ กรรมการรายหนึ่งถูกระบุว่าฉ้อโกงค่านายหน้าติวเตอร์ 2 ครั้ง ยอดรวม 2,250 บาท อีกรายหนึ่งเคยเป็นนายหน้ามาก่อน ติวเตอร์ระบุว่างานที่ได้รับมาส่วนมากเด็กหายไป ขาดบ่อย ตอนเรียนก็เงียบ และยังพบว่าเป็นหนึ่งในขบวนการที่เคยหลอกลวงติวเตอร์รายหนึ่งมาแล้ว จากบัญชีที่คืนเงิน

    กรณีงานวิ่งทิพย์ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2560 เคยมีการจัดงานเนินมะปราง ซีนิค มาราธอน ที่ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ปรากฎว่ายกเลิกแบบไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้นักวิ่งกว่า 1,200 คนได้รับผลกระทบ ชาวบ้านจึงร่วมกันจัดงานปลอบใจนักวิ่งเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ส่วนผู้จัด นายเวหา แสนชนชนะศึก ประกาศแจ้งให้ขอคืนเงินค่าสมัครผ่านทางอีเมล แต่นักวิ่งไม่ได้เงินคืน คดีนี้ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิพากษาจำคุก 2 ปี ปรับ 25,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี ปัจจุบันถูกดำเนินคดีข้อหามาตรา 112 ทั้งหมด 3 คดี

    งานวิ่งทิพย์เป็นอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับผู้สมัครงานวิ่งต่างๆ ถ้าหากงานวิ่งใดไม่ใช้บริการระบบรับสมัครงานวิ่งจากบริษัทโดยเฉพาะ แต่ให้โอนเงินโดยตรง ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง หากเจอผู้จัดงานที่ไม่มีโปร์ไฟล์ ไม่น่าเชื่อถือ งานวิ่งอาจไม่มีจริง

    #Newskit
    งานวิ่งทิพย์ 18 มงกุฎผุดอีเวนต์ กระแสออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ทำให้งานวิ่งได้รับความนิยม ตั้งแต่มินิมาราธอนยันไตรกีฬา แต่บางครั้งงานวิ่งกลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ ที่สุดท้ายนักวิ่งต้องรอเก้อเพราะงานวิ่งไม่เกิดขึ้นจริง เฉกเช่นงาน Run for Destination 2025 ที่สวนหลวง ร.๙ วันที่ 25 พ.ค. ปรากฎว่าพอถึงวันงานจริงมีเพียงแต่ซุ้มประตู และนักวิ่งจำนวนมากต่างรอคอยด้วยความงุนงง พอรู้ว่าถูกหลอกก็เสียความรู้สึก ต่างแจ้งความดำเนินคดีกับผู้จัดงานที่ สน.ประเวศ มลฤดี อายุ 42 ปี และ สุชานันท์ อายุ 31 ปี กรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้นสนเก้าเก้า สปอร์ตคอมเพล็กซ์ เข้าให้ปากคำกับตำรวจ ก่อนเปิดเผยว่าจัดงานวิ่งเป็นครั้งแรก ขออนุญาตสำนักงานเขตและสวนหลวง ร.๙ เรียบร้อย อ้างว่าขาดประสบการณ์ เพราะว่าจ้างออแกไนซ์รายหนึ่งแต่กลับยกเลิกกะทันหัน และไม่มีบริษัทไหนรับงาน จึงพยายามหาส่วนต่างๆ เองเพื่อให้งานเดินต่อ ส่วนการเยียวยาขอหารือก่อนแต่ก็ต้องทยอยชดเชย เพราะการจัดงานมีต้นทุน ยอมรับว่าความเชื่อมั่นบริษัทหายไปแล้ว แต่ยืนยันว่าจะดำเนินธุรกิจต่อ อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนและกระแสโซเชียลฯ ต่างขุดค้นข้อมูลเกี่ยวกับนิติบุคคลผู้จัดงาน พบว่าเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท อีกทั้งยังเตรียมจัดแข่งขันแบดมินตันอีกด้วย อีกด้านหนึ่งพบว่าชื่อกรรมการยังเชื่อมโยงกับขบวนการมิจฉาชีพในคราบนายหน้าติวเตอร์ กรรมการรายหนึ่งถูกระบุว่าฉ้อโกงค่านายหน้าติวเตอร์ 2 ครั้ง ยอดรวม 2,250 บาท อีกรายหนึ่งเคยเป็นนายหน้ามาก่อน ติวเตอร์ระบุว่างานที่ได้รับมาส่วนมากเด็กหายไป ขาดบ่อย ตอนเรียนก็เงียบ และยังพบว่าเป็นหนึ่งในขบวนการที่เคยหลอกลวงติวเตอร์รายหนึ่งมาแล้ว จากบัญชีที่คืนเงิน กรณีงานวิ่งทิพย์ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2560 เคยมีการจัดงานเนินมะปราง ซีนิค มาราธอน ที่ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ปรากฎว่ายกเลิกแบบไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้นักวิ่งกว่า 1,200 คนได้รับผลกระทบ ชาวบ้านจึงร่วมกันจัดงานปลอบใจนักวิ่งเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ส่วนผู้จัด นายเวหา แสนชนชนะศึก ประกาศแจ้งให้ขอคืนเงินค่าสมัครผ่านทางอีเมล แต่นักวิ่งไม่ได้เงินคืน คดีนี้ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิพากษาจำคุก 2 ปี ปรับ 25,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี ปัจจุบันถูกดำเนินคดีข้อหามาตรา 112 ทั้งหมด 3 คดี งานวิ่งทิพย์เป็นอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับผู้สมัครงานวิ่งต่างๆ ถ้าหากงานวิ่งใดไม่ใช้บริการระบบรับสมัครงานวิ่งจากบริษัทโดยเฉพาะ แต่ให้โอนเงินโดยตรง ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง หากเจอผู้จัดงานที่ไม่มีโปร์ไฟล์ ไม่น่าเชื่อถือ งานวิ่งอาจไม่มีจริง #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท

    วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน

    พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา

    เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น"

    โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส

    พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี

    โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ

    แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท

    อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน

    ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป

    นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน

    จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้

    โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม"

    ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน

    จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ"

    โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้

    ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม

    นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง"

    ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท

    นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น" โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้ โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม" ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ" โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้ ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    NEWS.CH7.COM
    ข่าวอึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง"
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน…
    0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • TNG eWallet เติมเงินด้วยบัตรไทยได้แล้ว

    สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เดินทางไปเที่ยวประเทศมาเลเซียบ่อยครั้ง นอกจากจะต้องมีหัวแปลงปลั๊กไฟมาเลเซีย กับเบอร์มือถือมาเลเซียไว้เล่นเน็ตแทนการซื้อแพ็คเกจโรมมิ่งราคาแพงแล้ว บัตร Touch 'n Go สำหรับใช้บริการขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จ่ายค่าทางด่วน ที่จอดรถ และร้านค้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับแอปพลิเคชัน TNG eWallet ก็สามารถทำธุรกรรมกับบัตร Touch 'n Go รุ่น NFC ได้ทันที รวมทั้งใช้จ่ายที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และประเทศไทยได้อีกด้วย

    การเติมเงินถ้าเป็นในประเทศมาเลเซีย มีช่องทางที่หลากหลาย โดยเฉพาะสถานีรถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ขั้นต่ำ 10 ริงกิตโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ คนที่อยู่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อาจเลือกใช้วิธีแลกเงินที่ร้านแลกเงิน แล้วซื้อรหัสเติมเงิน (Reload PIN) ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นฝั่งประเทศมาเลเซีย หรือหากอยู่ที่ต่างประเทศมักจะซื้อรหัสผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น เว็บไซต์ SEAGM ขั้นต่ำ 10 ริงกิต บวกค่าบริการ 0.10 ริงกิต สำหรับชาวไทยสามารถซื้อรหัสผ่านเว็บไซต์ เลือกสกุลเงิน MYR แล้วเลือกชำระผ่าน DuitNow QR สแกนจ่ายผ่านแอปฯ Krungthai NEXT หรือ CIMB THAI ได้

    อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ผู้ใช้งาน Touch N'Go e-Wallet ที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเติมเงินด้วยบัตร VISA, Mastercard และ AMEX ที่ออกจากต่างประเทศได้แล้วบางธนาคารในประเทศไทย ขั้นต่ำ 20 ริงกิต เช่น บัตร YouTrip ของธนาคารกสิกรไทย บัตร Krungthai Travel Debit Card ธนาคารกรุงไทย โดยคิดค่าธรรมเนียม 2.6% ของยอดที่เติม โดยจะเป็นยอดเงินแบบ Transferable สามารถโอนเงินระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer) ได้ ต่างจากการเติมเงินผ่าน Reload PIN สามารถเลือกแบบ Non-Transferable สำหรับสแกนจ่ายร้านค้าเท่านั้น ที่ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หากโอนเงินระหว่างบุคคลจะถูกหัก 1% ต่อรายการ

    วิธีการเติมเงิน ให้เข้าไปที่ "Add money" เลือก "Credit Card" ใส่จำนวนเงินที่ต้องการลงไป (ขั้นต่ำ 20 ริงกิต) แล้วกด Continue จากนั้นกรอกเลขที่บัตรเครดิต (Card Number) เดือน/ปีที่หมดอายุบัตร (MM/YY) รหัสความปลอดภัย (CVV/CVV2) แล้วกด Next ระบบจะยืนยันการทำรายการ (Confirm amount) โดยจะแสดงจำนวนเงิน (Amount) และค่าธรรมเนียม (Convenience fee 2.6%) กด Continue ระบบจะเข้าสู่หน้าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร กรอกรหัส OTP ลงไปเหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ เมื่อทำรายการสำเร็จจะมีข้อความแจ้งเตือนและหน้าธุรกรรมสำเร็จ (Successfully added)

    #Newskit
    TNG eWallet เติมเงินด้วยบัตรไทยได้แล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เดินทางไปเที่ยวประเทศมาเลเซียบ่อยครั้ง นอกจากจะต้องมีหัวแปลงปลั๊กไฟมาเลเซีย กับเบอร์มือถือมาเลเซียไว้เล่นเน็ตแทนการซื้อแพ็คเกจโรมมิ่งราคาแพงแล้ว บัตร Touch 'n Go สำหรับใช้บริการขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จ่ายค่าทางด่วน ที่จอดรถ และร้านค้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับแอปพลิเคชัน TNG eWallet ก็สามารถทำธุรกรรมกับบัตร Touch 'n Go รุ่น NFC ได้ทันที รวมทั้งใช้จ่ายที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และประเทศไทยได้อีกด้วย การเติมเงินถ้าเป็นในประเทศมาเลเซีย มีช่องทางที่หลากหลาย โดยเฉพาะสถานีรถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ขั้นต่ำ 10 ริงกิตโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ คนที่อยู่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อาจเลือกใช้วิธีแลกเงินที่ร้านแลกเงิน แล้วซื้อรหัสเติมเงิน (Reload PIN) ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นฝั่งประเทศมาเลเซีย หรือหากอยู่ที่ต่างประเทศมักจะซื้อรหัสผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น เว็บไซต์ SEAGM ขั้นต่ำ 10 ริงกิต บวกค่าบริการ 0.10 ริงกิต สำหรับชาวไทยสามารถซื้อรหัสผ่านเว็บไซต์ เลือกสกุลเงิน MYR แล้วเลือกชำระผ่าน DuitNow QR สแกนจ่ายผ่านแอปฯ Krungthai NEXT หรือ CIMB THAI ได้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ผู้ใช้งาน Touch N'Go e-Wallet ที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเติมเงินด้วยบัตร VISA, Mastercard และ AMEX ที่ออกจากต่างประเทศได้แล้วบางธนาคารในประเทศไทย ขั้นต่ำ 20 ริงกิต เช่น บัตร YouTrip ของธนาคารกสิกรไทย บัตร Krungthai Travel Debit Card ธนาคารกรุงไทย โดยคิดค่าธรรมเนียม 2.6% ของยอดที่เติม โดยจะเป็นยอดเงินแบบ Transferable สามารถโอนเงินระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer) ได้ ต่างจากการเติมเงินผ่าน Reload PIN สามารถเลือกแบบ Non-Transferable สำหรับสแกนจ่ายร้านค้าเท่านั้น ที่ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หากโอนเงินระหว่างบุคคลจะถูกหัก 1% ต่อรายการ วิธีการเติมเงิน ให้เข้าไปที่ "Add money" เลือก "Credit Card" ใส่จำนวนเงินที่ต้องการลงไป (ขั้นต่ำ 20 ริงกิต) แล้วกด Continue จากนั้นกรอกเลขที่บัตรเครดิต (Card Number) เดือน/ปีที่หมดอายุบัตร (MM/YY) รหัสความปลอดภัย (CVV/CVV2) แล้วกด Next ระบบจะยืนยันการทำรายการ (Confirm amount) โดยจะแสดงจำนวนเงิน (Amount) และค่าธรรมเนียม (Convenience fee 2.6%) กด Continue ระบบจะเข้าสู่หน้าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร กรอกรหัส OTP ลงไปเหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ เมื่อทำรายการสำเร็จจะมีข้อความแจ้งเตือนและหน้าธุรกรรมสำเร็จ (Successfully added) #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 419 Views 0 Reviews
  • แอปฯ K PLUS สแกนจ่ายที่ลาวได้แล้ว

    แอปพลิเคชัน K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เวอร์ชัน 5.19.11 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ สแกนจ่ายผ่าน QR Code ระบบ Cross-border QR Payment ของ LAO QR ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องแลกเงิน และไม่มีค่าธรรมเนียม เป็นธนาคารที่สี่ ต่อจากแอปพลิเคชัน KMA ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, Krungthai NEXT ธนาคารกรุงไทย และ Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกรุงเทพ

    ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของโมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 23 ล้านราย หันมาพัฒนาระบบ Cross-border QR Payment เอง นอกจากพัฒนารองรับการสแกน QR Code ในต่างประเทศหลากหลายรูปแบบ เช่น UnionPay QR Payment, Alipay+, WeChat เฉพาะประเทศจีน และ Cross Border Outbound เฉพาะประเทศมาเลเซีย ที่สแกนจ่าย QR Code ของ DuitNow ผ่านเครือข่าย Alipay+ ต่างจากธนาคารอื่น ที่เชื่อมโยงระบบจากเครือข่าย PayNet ผู้ให้บริการระบบ DuitNow

    ผู้ใช้งาน K PLUS สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจากร้านค้าที่ใช้ระบบ LAO QR ของธนาคารในลาว 12 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารเอซีลีดา (ACLEDA) ธนาคารส่งเสริมกสิกรรรม (APB) ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL) ธนาคารลาว-ฝรั่งเศส (LBF) ธนาคารบีไอซี (BIC) ธนาคารอินโดจีน (IBL) ธนาคารร่วมพัฒนา (JDB) ธนาคารกสิกรไทย ลาว (KBANK LAOS) ธนาคารพัฒนาลาว (LDB) ธนาคารร่วมธุรกิจลาว-เวียด (Laoviet) ธนาคารพงสะหวัน (Pongsavanh) และธนาคารเอสที (ST Bank) วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายการ และไม่เกิน 500,000 บาทต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม แอปฯ ธนาคารในไทยทั้ง 4 แห่ง สามารถสแกน QR Code ของ LAO QR ได้เฉพาะคิวอาร์โค้ดร้านค้าที่รองรับเท่านั้น แต่คิวอาร์โค้ดสำหรับโอนเงินระหว่างบุคคล หรือร้านค้าขนาดเล็กในประเทศลาวไม่สามารถใช้ได้ จึงควรทดลองใช้ธนาคารของไทยสแกนคิวอาร์โค้ดก่อน โดยยังไม่ต้องโอนเงิน หากขึ้นหน้าจอชำระเงินถือว่าสามารถสแกนจ่ายได้

    ก่อนหน้านี้ผู้ใช้โมบายแบงกิ้งในประเทศลาว สามารถสแกนจ่ายตามร้านค้า Thai QR Payment ผ่านเครื่องรับบัตร EDC หรือ QR Code สำหรับร้านค้า มาตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2567 อาทิ K SHOP ธนาคารกสิกรไทย, ถุงเงิน ธนาคารกรุงไทย, BeMerchant NextGen ธนาคารกรุงเทพ และ krungsri Mung-Mee SHOP ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

    ข้อมูลจากกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว ประเทศลาว พบว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศลาวต้อนรับนักท่องเที่ยว 4,120,832 คน โดยอันดับ 1 นักท่องเที่ยวจากไทย 1,215,553 คน อันดับ 2 จากเวียดนาม 1,054,204 คน และอันดับ 3 จากจีน 1,048,034 คน

    #Newskit
    แอปฯ K PLUS สแกนจ่ายที่ลาวได้แล้ว แอปพลิเคชัน K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เวอร์ชัน 5.19.11 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ สแกนจ่ายผ่าน QR Code ระบบ Cross-border QR Payment ของ LAO QR ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องแลกเงิน และไม่มีค่าธรรมเนียม เป็นธนาคารที่สี่ ต่อจากแอปพลิเคชัน KMA ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, Krungthai NEXT ธนาคารกรุงไทย และ Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกรุงเทพ ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของโมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 23 ล้านราย หันมาพัฒนาระบบ Cross-border QR Payment เอง นอกจากพัฒนารองรับการสแกน QR Code ในต่างประเทศหลากหลายรูปแบบ เช่น UnionPay QR Payment, Alipay+, WeChat เฉพาะประเทศจีน และ Cross Border Outbound เฉพาะประเทศมาเลเซีย ที่สแกนจ่าย QR Code ของ DuitNow ผ่านเครือข่าย Alipay+ ต่างจากธนาคารอื่น ที่เชื่อมโยงระบบจากเครือข่าย PayNet ผู้ให้บริการระบบ DuitNow ผู้ใช้งาน K PLUS สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจากร้านค้าที่ใช้ระบบ LAO QR ของธนาคารในลาว 12 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารเอซีลีดา (ACLEDA) ธนาคารส่งเสริมกสิกรรรม (APB) ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL) ธนาคารลาว-ฝรั่งเศส (LBF) ธนาคารบีไอซี (BIC) ธนาคารอินโดจีน (IBL) ธนาคารร่วมพัฒนา (JDB) ธนาคารกสิกรไทย ลาว (KBANK LAOS) ธนาคารพัฒนาลาว (LDB) ธนาคารร่วมธุรกิจลาว-เวียด (Laoviet) ธนาคารพงสะหวัน (Pongsavanh) และธนาคารเอสที (ST Bank) วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายการ และไม่เกิน 500,000 บาทต่อวัน อย่างไรก็ตาม แอปฯ ธนาคารในไทยทั้ง 4 แห่ง สามารถสแกน QR Code ของ LAO QR ได้เฉพาะคิวอาร์โค้ดร้านค้าที่รองรับเท่านั้น แต่คิวอาร์โค้ดสำหรับโอนเงินระหว่างบุคคล หรือร้านค้าขนาดเล็กในประเทศลาวไม่สามารถใช้ได้ จึงควรทดลองใช้ธนาคารของไทยสแกนคิวอาร์โค้ดก่อน โดยยังไม่ต้องโอนเงิน หากขึ้นหน้าจอชำระเงินถือว่าสามารถสแกนจ่ายได้ ก่อนหน้านี้ผู้ใช้โมบายแบงกิ้งในประเทศลาว สามารถสแกนจ่ายตามร้านค้า Thai QR Payment ผ่านเครื่องรับบัตร EDC หรือ QR Code สำหรับร้านค้า มาตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2567 อาทิ K SHOP ธนาคารกสิกรไทย, ถุงเงิน ธนาคารกรุงไทย, BeMerchant NextGen ธนาคารกรุงเทพ และ krungsri Mung-Mee SHOP ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ข้อมูลจากกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว ประเทศลาว พบว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศลาวต้อนรับนักท่องเที่ยว 4,120,832 คน โดยอันดับ 1 นักท่องเที่ยวจากไทย 1,215,553 คน อันดับ 2 จากเวียดนาม 1,054,204 คน และอันดับ 3 จากจีน 1,048,034 คน #Newskit
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 405 Views 0 Reviews
  • ผบก.ปปป.เผย"ทิดแย้ม" เปิดบัญชีเฉพาะกิจเช่าบูชาพระเครื่อง-กิจกรรมของวัดกว่า 20 บัญชี ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบอีกหลายบัญชี

    วันนี้ (18 พ.ค.) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินวัดไร่ขิงว่า พนักงานสอบสวนยังคงเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานเส้นทางการเงิน สอบปากคำพยานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีวัดไร่ขิง จำนวนหลายบัญชีทยอยเข้ามาสอบปากคำ โดยตั้งศูนย์ปฏิบัติงานที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จากข้อมูลการสอบสวนปัจจุบัน พบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินระหว่าง นายแย้ม กับ น.ส.อรัญญาวรรณ หลายช่องทาง ช่วงปี 2563 - 2567 รวมเป็นเงินกว่า 300 บาท แยกออกเป็นบัญชีส่วนตัวของ นายแย้ม โอนเงินให้ น.ส.อรัญญาวรรณ ในช่วงปี 2566 รวมกัน 80 ล้านบาท และ ใช้บัญชีของอดีตพระเอกพจน์ หรือนายเอกพจน์ โอนเงิน และตระเวณนำเงินสดไปฝากตู้ธนาคารต่าง ๆ ให้ น.ส.อรัญญาวรรณ หลายรายการรวมแล้วกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่ามีชื่อบัญชีบุคคลอื่นอีก 1 บัญชีโอนเงินให้ น.ส.อรัญญาวรรณ ด้วยเช่นกันอีก 60 ล้านบาท

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000046327

    #MGROnline #ทิดแย้ม
    ผบก.ปปป.เผย"ทิดแย้ม" เปิดบัญชีเฉพาะกิจเช่าบูชาพระเครื่อง-กิจกรรมของวัดกว่า 20 บัญชี ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบอีกหลายบัญชี • วันนี้ (18 พ.ค.) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินวัดไร่ขิงว่า พนักงานสอบสวนยังคงเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานเส้นทางการเงิน สอบปากคำพยานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีวัดไร่ขิง จำนวนหลายบัญชีทยอยเข้ามาสอบปากคำ โดยตั้งศูนย์ปฏิบัติงานที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จากข้อมูลการสอบสวนปัจจุบัน พบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินระหว่าง นายแย้ม กับ น.ส.อรัญญาวรรณ หลายช่องทาง ช่วงปี 2563 - 2567 รวมเป็นเงินกว่า 300 บาท แยกออกเป็นบัญชีส่วนตัวของ นายแย้ม โอนเงินให้ น.ส.อรัญญาวรรณ ในช่วงปี 2566 รวมกัน 80 ล้านบาท และ ใช้บัญชีของอดีตพระเอกพจน์ หรือนายเอกพจน์ โอนเงิน และตระเวณนำเงินสดไปฝากตู้ธนาคารต่าง ๆ ให้ น.ส.อรัญญาวรรณ หลายรายการรวมแล้วกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่ามีชื่อบัญชีบุคคลอื่นอีก 1 บัญชีโอนเงินให้ น.ส.อรัญญาวรรณ ด้วยเช่นกันอีก 60 ล้านบาท • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000046327 • #MGROnline #ทิดแย้ม
    0 Comments 0 Shares 341 Views 0 Reviews
  • รอง ผบช.ก.เตรียมประสาน ปปง.-สตง. ร่วมตรวจสอบบัญชีการเงินวัดไร่ขิง ย้อนหลังอย่างละเอียด พบเส้นเงินปริศนาเพิ่มโอนให้อดีตพระเอกพจน์ 200 ล้าน- คนใกล้ชิดอีก 60 ล้านโอนให้นายหน้าสาว 300 ล้าน ผงะ! เดือนเดียวโอน 80 ล้าน นอกจากนี้แอบโอนเงินวัดเข้าบัญชีส่วนตัวแล้วทำทีให้ลูกน้องไปเบิกมาซื้อรถหรูถวายตัวเอง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046135

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รอง ผบช.ก.เตรียมประสาน ปปง.-สตง. ร่วมตรวจสอบบัญชีการเงินวัดไร่ขิง ย้อนหลังอย่างละเอียด พบเส้นเงินปริศนาเพิ่มโอนให้อดีตพระเอกพจน์ 200 ล้าน- คนใกล้ชิดอีก 60 ล้านโอนให้นายหน้าสาว 300 ล้าน ผงะ! เดือนเดียวโอน 80 ล้าน นอกจากนี้แอบโอนเงินวัดเข้าบัญชีส่วนตัวแล้วทำทีให้ลูกน้องไปเบิกมาซื้อรถหรูถวายตัวเอง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046135 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 557 Views 0 Reviews
  • Coinbase เผชิญเหตุโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ พร้อมเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์

    Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เปิดเผยว่ามีการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่ทำให้ข้อมูลลูกค้าบางส่วนรั่วไหล โดยแฮกเกอร์เรียกร้องค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทปฏิเสธที่จะจ่ายเงินและเลือกที่จะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแทน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุโจมตีไซเบอร์ของ Coinbase
    ✅ Coinbase ถูกโจมตีไซเบอร์โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้เครือข่ายพนักงานภายนอก
    - แฮกเกอร์ ติดสินบนพนักงานฝ่ายสนับสนุนเพื่อเข้าถึงข้อมูลลูกค้า

    ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัญชีธนาคารที่ถูกปกปิด และหมายเลขประกันสังคมบางส่วน
    - แต่ ไม่มีรหัสผ่าน, คีย์ส่วนตัว หรือการเข้าถึงเงินของลูกค้าโดยตรง

    ✅ Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ให้กับแฮกเกอร์
    - บริษัท เลือกที่จะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแทน

    ✅ Coinbase ตั้งกองทุนรางวัล 20 ล้านดอลลาร์สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด
    - พร้อม เพิ่มระบบตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต

    ✅ Coinbase ให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังแฮกเกอร์
    - เพื่อ ลดผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้

    ✅ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Coinbase กำลังเตรียมเข้าร่วมดัชนี S&P 500
    - ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม

    https://www.techspot.com/news/107943-coinbase-data-breach-exposes-customer-info-20-million.html
    Coinbase เผชิญเหตุโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ พร้อมเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เปิดเผยว่ามีการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่ทำให้ข้อมูลลูกค้าบางส่วนรั่วไหล โดยแฮกเกอร์เรียกร้องค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทปฏิเสธที่จะจ่ายเงินและเลือกที่จะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแทน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุโจมตีไซเบอร์ของ Coinbase ✅ Coinbase ถูกโจมตีไซเบอร์โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้เครือข่ายพนักงานภายนอก - แฮกเกอร์ ติดสินบนพนักงานฝ่ายสนับสนุนเพื่อเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัญชีธนาคารที่ถูกปกปิด และหมายเลขประกันสังคมบางส่วน - แต่ ไม่มีรหัสผ่าน, คีย์ส่วนตัว หรือการเข้าถึงเงินของลูกค้าโดยตรง ✅ Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ให้กับแฮกเกอร์ - บริษัท เลือกที่จะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแทน ✅ Coinbase ตั้งกองทุนรางวัล 20 ล้านดอลลาร์สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด - พร้อม เพิ่มระบบตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต ✅ Coinbase ให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังแฮกเกอร์ - เพื่อ ลดผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้ ✅ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Coinbase กำลังเตรียมเข้าร่วมดัชนี S&P 500 - ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม https://www.techspot.com/news/107943-coinbase-data-breach-exposes-customer-info-20-million.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Inside job at Coinbase leads to massive data breach, $20 million ransom demanded
    Coinbase, the largest cryptocurrency exchange in the United States, is facing significant fallout after disclosing a major cyberattack that compromised sensitive data from some of its customers....
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • ป.ป.ช.ร่วมบุกค้นวัดไร่ขิง พบหลักฐานโยงคดียักยอก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์-สลิปโอนเงินให้นายหน้าสาวเพียบ
    https://www.thai-tai.tv/news/18728/
    ป.ป.ช.ร่วมบุกค้นวัดไร่ขิง พบหลักฐานโยงคดียักยอก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์-สลิปโอนเงินให้นายหน้าสาวเพียบ https://www.thai-tai.tv/news/18728/
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • "บิ๊กเต่า" สอบเข้ม "เอก ภูฆัง" อดีตพระลูกวัดคนสนิท "ทิศแย้ม" เจ้าตัวสารภาพอดีตเจ้าอาวาสสั่งโอนเงินให้นายหน้าสาวเพื่อเล่นพนันออนไลน์จริง - เรียกอดีตทหารเรือให้ปากคำ หลังพบมีชื่อครอบครองรถวัดเกือบทั้งหมด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000045804

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    "บิ๊กเต่า" สอบเข้ม "เอก ภูฆัง" อดีตพระลูกวัดคนสนิท "ทิศแย้ม" เจ้าตัวสารภาพอดีตเจ้าอาวาสสั่งโอนเงินให้นายหน้าสาวเพื่อเล่นพนันออนไลน์จริง - เรียกอดีตทหารเรือให้ปากคำ หลังพบมีชื่อครอบครองรถวัดเกือบทั้งหมด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000045804 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 521 Views 0 Reviews
  • ขอบคุณเงินบุญ ต่อทุนอาตมา

    นับเป็นข่าวเสื่อมเสียต่อวงการพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 15 พ.ค. เจ้าคุณแย้ม หรือพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) หรือนายแย้ม อินทร์กรุงเก่า อายุ 70 ปี เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เจ้าคณะภาค 14 เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หลังทราบว่ากำลังจะถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริตยักยอกเงินวัด 300 ล้านบาท ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอออกหมายจับข้อหายักยอกทรัพย์ ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ก่อนที่ศาลอนุมัติหมายจับช่วงเที่ยง

    ก่อนหน้านี้ชาวบ้านร้องเรียนตำรวจกองปราบปราม เจ้าคุณแย้มยักยอกเงินวัดไร่ขิงไปเล่นพนันออนไลน์ จึงส่งสายลับแฝงตัวอยู่ในวัดตั้งแต่ปี 2567 ทั้งไปทำบุญและทำกิจกรรมในวัดนานกว่า 8 เดือน สืบสวนพบว่าเจ้าคุณแย้มสั่งให้คณะกรรมการวัดโอนเงินจากบัญชีวัดเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วโอนไปให้สีกา คือ น.ส.อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ อายุ 28 ปี นายหน้าเครือข่ายเว็บพนัน เพื่อโอนเข้าบัญชีเว็บพนันออนไลน์เติมเครดิตใช้เล่นบาคาร่า ตรวจสอบเส้นเงินพบว่าตั้งแต่ปี 2564-2568 เงินบัญชีวัดถูกโอนออกหลายครั้ง รวมกว่า 300 ล้านบาท ส่วนเส้นเงินบัญชีเจ้าคุณแย้มกับบัญชีเว็บพนัน พบว่ามียอดโอนเข้า-ออกจากการได้และเสียไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

    เมื่อเงินในบัญชีวัดร่อยหรอ เจ้าคุณแย้มเริ่มหันไปยืมเงินพระผู้ใหญ่วัดอื่นๆ ที่สนิทสนมกัน เพื่อนำมาเล่นพนัน มีตั้งแต่หลักแสนบาท ถึงหลักล้านบาทต่อครั้ง ด้าน น.ส.อรัญญาวรรณ สีการุ่นเอ๊าะ ตรวจสอบเชิงลึกพบว่าเป็นเจ้าของบัญชีและดูแลเส้นเงินธุรกิจพนันออนไลน์ เมื่อปลายปี 2567 เคยถูกตำรวจไซเบอร์จับกุมหลังพัวพันเครือข่ายเว็บพนัน LAGALAXY911 ก่อนประกันตัวสู้คดี ล่าสุดตำรวจกองปราบปรามจับกุมที่บ้านพักในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิด

    สำหรับวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี มีชื่อเสียงจากพระพุทธรูปหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้อย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งเป็นที่วิจารณ์ว่ามีเรื่องพุทธพาณิชย์ โดยเฉพาะค่าเช่าแผงค้างานประจำปีวัดไร่ขิง ปี 2565 แผงละ 120,000 บาท ปี 2566 พุ่งสูงถึงแผงละ 400,000 บาท ปี 2567 ย้ายมายังทำเลทองแผงละ 2,300,000 บาท และล่าสุดปลายปี 2567 แผงละ 1,500,000 บาท กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยบนโลกออนไลน์ กรณีวัดไร่ขิงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะยังมีอีกหลายวัดในประเทศไทยที่มีลักษณะพุทธพาณิชย์ชัดเจน แต่ก็ยังมีคนไม่รู้ไปบูชาสักการะ และแก้บนด้วยของเซ่นไหว้สิ้นเปลืองมหาศาลอย่างต่อเนื่อง

    #Newskit
    ขอบคุณเงินบุญ ต่อทุนอาตมา นับเป็นข่าวเสื่อมเสียต่อวงการพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 15 พ.ค. เจ้าคุณแย้ม หรือพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) หรือนายแย้ม อินทร์กรุงเก่า อายุ 70 ปี เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เจ้าคณะภาค 14 เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หลังทราบว่ากำลังจะถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริตยักยอกเงินวัด 300 ล้านบาท ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอออกหมายจับข้อหายักยอกทรัพย์ ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ก่อนที่ศาลอนุมัติหมายจับช่วงเที่ยง ก่อนหน้านี้ชาวบ้านร้องเรียนตำรวจกองปราบปราม เจ้าคุณแย้มยักยอกเงินวัดไร่ขิงไปเล่นพนันออนไลน์ จึงส่งสายลับแฝงตัวอยู่ในวัดตั้งแต่ปี 2567 ทั้งไปทำบุญและทำกิจกรรมในวัดนานกว่า 8 เดือน สืบสวนพบว่าเจ้าคุณแย้มสั่งให้คณะกรรมการวัดโอนเงินจากบัญชีวัดเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วโอนไปให้สีกา คือ น.ส.อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ อายุ 28 ปี นายหน้าเครือข่ายเว็บพนัน เพื่อโอนเข้าบัญชีเว็บพนันออนไลน์เติมเครดิตใช้เล่นบาคาร่า ตรวจสอบเส้นเงินพบว่าตั้งแต่ปี 2564-2568 เงินบัญชีวัดถูกโอนออกหลายครั้ง รวมกว่า 300 ล้านบาท ส่วนเส้นเงินบัญชีเจ้าคุณแย้มกับบัญชีเว็บพนัน พบว่ามียอดโอนเข้า-ออกจากการได้และเสียไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เมื่อเงินในบัญชีวัดร่อยหรอ เจ้าคุณแย้มเริ่มหันไปยืมเงินพระผู้ใหญ่วัดอื่นๆ ที่สนิทสนมกัน เพื่อนำมาเล่นพนัน มีตั้งแต่หลักแสนบาท ถึงหลักล้านบาทต่อครั้ง ด้าน น.ส.อรัญญาวรรณ สีการุ่นเอ๊าะ ตรวจสอบเชิงลึกพบว่าเป็นเจ้าของบัญชีและดูแลเส้นเงินธุรกิจพนันออนไลน์ เมื่อปลายปี 2567 เคยถูกตำรวจไซเบอร์จับกุมหลังพัวพันเครือข่ายเว็บพนัน LAGALAXY911 ก่อนประกันตัวสู้คดี ล่าสุดตำรวจกองปราบปรามจับกุมที่บ้านพักในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิด สำหรับวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี มีชื่อเสียงจากพระพุทธรูปหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้อย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งเป็นที่วิจารณ์ว่ามีเรื่องพุทธพาณิชย์ โดยเฉพาะค่าเช่าแผงค้างานประจำปีวัดไร่ขิง ปี 2565 แผงละ 120,000 บาท ปี 2566 พุ่งสูงถึงแผงละ 400,000 บาท ปี 2567 ย้ายมายังทำเลทองแผงละ 2,300,000 บาท และล่าสุดปลายปี 2567 แผงละ 1,500,000 บาท กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยบนโลกออนไลน์ กรณีวัดไร่ขิงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะยังมีอีกหลายวัดในประเทศไทยที่มีลักษณะพุทธพาณิชย์ชัดเจน แต่ก็ยังมีคนไม่รู้ไปบูชาสักการะ และแก้บนด้วยของเซ่นไหว้สิ้นเปลืองมหาศาลอย่างต่อเนื่อง #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 484 Views 0 Reviews
  • จับแล้วที่พัทยา โบรกเกอร์สาว รับโอนเงินจาก "เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง"
    https://www.thai-tai.tv/news/18696/
    จับแล้วที่พัทยา โบรกเกอร์สาว รับโอนเงินจาก "เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง" https://www.thai-tai.tv/news/18696/
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • ช่วงนี้ มิจฉาชีพมักหลอกให้ทำงานออนไลน์ หรือทำภารกิจง่ายๆ ที่ได้เงินแบบสบาย ๆ 🤔

    ✨ข้อสังเกต คือ ช่วงแรกๆ ได้เงินจริง ถอนเงินได้ แต่จะหลอกล่อให้ทำภารกิจเพิ่ม
    จากนั้นจะขอให้มีการโอนค่าธรรมเนียม หรือค่าถอน เพื่อปลดล๊อกถอนเงินออก
    สุดท้าย ไม่สามารถถอนเงินได้ สูญเงินทั้งหมดที่โอนไป

    อย่าหลงเชื่อ หากทำงานแล้ว มีให้โอนเงินไปก่อนเพื่อปลดล๊อกถอนเงินออก
    ช่วงนี้ มิจฉาชีพมักหลอกให้ทำงานออนไลน์ หรือทำภารกิจง่ายๆ ที่ได้เงินแบบสบาย ๆ 🤔 ✨ข้อสังเกต คือ ช่วงแรกๆ ได้เงินจริง ถอนเงินได้ แต่จะหลอกล่อให้ทำภารกิจเพิ่ม จากนั้นจะขอให้มีการโอนค่าธรรมเนียม หรือค่าถอน เพื่อปลดล๊อกถอนเงินออก สุดท้าย ไม่สามารถถอนเงินได้ สูญเงินทั้งหมดที่โอนไป อย่าหลงเชื่อ หากทำงานแล้ว มีให้โอนเงินไปก่อนเพื่อปลดล๊อกถอนเงินออก
    0 Comments 0 Shares 143 Views 2 0 Reviews
  • 14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 Comments 0 Shares 493 Views 0 Reviews
  • 12 พฤษภาคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า นายจุลภาส เครือโสภณ หรือ ทอม เครือโสภณ นักธุรกิจดัง ในฐานะกรรมการบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด พร้อมด้วยนายวิฑูรย์ เก่งงาน หรือทนายอ๋อง ในฐานะทนายความบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด แถลงข่าวเปิดโปงธุรกรรมผิดกฎหมาย หลังตรวจพบความเสี่ยงปกปิดข้อมูล ก่อนเข้าซื้อกิจการ โดยผู้บริหารชุดเก่าปล่อยให้เว็บพนันมาใช้บริการช่องทางการรับชำระเงินทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก พบเงินหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาท

    โดย นายวิฑูรย์ ทนายระบุว่า บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เป็นบริษัทจากทางอินโดนีเซียและอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย โดยมีการซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับ Payment Gateway เพื่อเอามาพัฒนาต่อ เนื่องจากหากเป็นบริษัทแม่จากต่างประเทศจะไม่มี license เป็นของตัวเอง การซื้อบริษัทจากไทยจึงง่ายกว่า ซึ่งบริษัทเรามีลักษณะเป็นบริษัทตัวกลางรับชำระเงิน ทำธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ Payment Gateway

    และการลงทุนซื้อบริษัทดังกล่าว เกิดขึ้นในกลางปี 2565 โดยผู้บริหารของ บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เข้ามาบริหาร เมื่อปลายปี 2566 แต่ตอนนั้นยังเป็นชื่อเดิมและมีการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด ในกุมภาพันธ์ปี 2567

    แต่ในระหว่างปลายปี 2566 ที่ผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาบริหาร ได้มีการตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยของลูกค้า 20 อันดับแรก จากนั้นจึงทำการตรวจสอบเชิงลึก และตรวจสอบเป็นลิงก์ URL จึงพบว่า เป็นธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ และเว็บพนันไม่ใช่ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย

    ซึ่งตรวจพบ URL กว่า 100 ร้านค้า พบเงินหมุนเวียนปีละ กว่า 10,000 ล้านบาท เป็นเว็บพนันจากในประเทศไทยทั้งหมด

    ทางบริษัท จึงได้ทำการไล่ ผู้บริหารชุดเก่า 2 คนออก จากนั้นผู้บริหารชุดเก่าจึงได้ไปฟ้องศาลแรงงานกับบริษัทในข้อหาผิดสัญญาจ้างและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงได้มีการต่อสู้คดีกัน โดยทางบริษัทส่งหลักฐานทางธุรกรรมที่ชี้ให้เห็นว่า มีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งศาลพิพากษาว่า 2 ผู้บริหารเก่าทำผิดกฎหมายจริง และทำให้บริษัทเสียหาย แต่ศาลสั่งให้จ่ายโบนัสตามสัญญาจ้าง 300 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า สัญญาจ้างไม่มีการระบุว่า จะไม่จ่ายเงินให้**กรณีมีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย แม้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะระบุไว้ว่าผิดก็ตาม ทางบริษัทจึงใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์

    นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางบริษัท คือ บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ และจะถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทในวันอังคาร-ศุกร์ที่จะถึงนี้ เพราะไม่ใช่แค่เว็บพนันออนไลน์ แต่มีการกู้ยืมเงินออนไลน์ด้วย แต่ทางบริษัทยินดีให้มาดำเนินการตรวจสอบ

    นายวิฑูรย์ บอกอีกว่า สิ่งที่น่าตกใจกับบริษัท คือกรมบังคับคดี มีการอายัดเงินของลูกค้าบริษัท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568 มูลค่า 8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จึงมีข้อสงสัยว่า ปกติแล้วมีการอายัดกันไวขนาดนี้เลยหรือ เพราะทำเรื่องอายัดวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 12.44 น. หลังจากนั้นมีออกคำสั่งอายัดเวลา 13.00 น. และยังออกหมายการอายัดเงินไปยังธนาคารภายในวันเดียวกัน และส่งหมายผ่านทางไปรษณีย์มาที่บริษัทวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 จึงตั้งข้อสังเกตว่าทนายส่วนใหญ่ไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน ที่กระบวนการการออกหมายและอายัดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว

    โดยหลังจากนี้ทางบริษัท จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะไปยื่นให้กับตำรวจไซเบอร์ และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน

    ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จะไปยื่นหลักฐานให้กับ ปปง. และประสานงาน เพื่อที่จะนำข้อมูลส่งไปให้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในการตรวจสอบ เนื่องจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการทำธุรกรรมที่ใหญ่ในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่า ทางบริษัทจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทลายเครือข่ายเว็บพนันอย่างเต็มที่ พร้อมเน้นว่า เรื่องนี้ทำงานกันอย่างสนุกแน่นอน โดยหลังจากนี้จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางกรมบังคับคดีอีกด้วย

    นายทอม เครือโสภณ เปิดใจถึงความไม่ชอบมาพากลว่า ว่า ระหว่างการสู้คดี มีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ พูดไปแล้วทุกคนรู้จัก และมีเสธ.ท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาตนเอง ซึ่งรวมๆแล้วที่โทรมาหาตนเองมีมากกว่า 10 คน เป็นการโทรมาเจรจาขอให้ยุติเรื่องและจ่ายเงิน 300 ล้านบาท ให้กับ 2 ผู้บริหารชุดเก่าที่กระทำความผิด และกล่าวหาว่าตนเองทำไมถึงไปช่วยชาวต่างชาติ ตนเองจึงขอบอกเสธ.ที่โทรมาว่า “ผมไม่เล่นเกมนี้”

    สิ่งที่ตนยอมไม่ได้ เนื่องจากมีการกลั่นแกล้งลูกค้าของตนเอง โดยการส่งหมายอายัดบัญชีมา ทั้งๆที่รู้ว่าเรากำลังอุทธรณ์ จึงเป็นเหมือนการกลั่นแกล้งนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย

    นอกจากนี้ในเรื่องของความสัมพันธ์ของ 2 ผู้บริหารชุดเก่ากับเสธ. ตนเองไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน แต่ในช่วงเวลานั้นใครที่น่าจะ เจรจากับตนเองได้ ก็คงจะให้คนระดับเดียวกันมาเจรจา

    “คุณมีผู้ใหญ่ผมก็มีผู้ใหญ่ คุณมีเสธผมมีนายพล ทุกคนที่โทรมาล็อบบี้ บอกผมว่าเดี๋ยวมีของขวัญให้คุณทอม โชคดีเมียพี่รวย ล็อบบี้คนผิดแล้ว“ นายทอม เครือโสภณ กล่าว

    ทั้งนี้ การออกมาแถลงข่าว แม้จะเกิดความเสียหายเป็นหมื่นล้าน แต่บริษัท ตัดสินใจแล้วว่า จะจ่ายเงินให้กับลูกค้าแทนที่ถูกอายัดบัญชี เองจำนวนกว่า 10,000 ราย จะต้องควักเงินตัวเองเพื่อประเทศชาติ เพราะบริษัทต้องการเป็นบริษัทที่โปร่งใส และมองว่า การทำแบบนี้ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์

    ดังนั้น ตนเองในฐานะผู้บริหารของบริษัท อยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความเข้มงวดและปราบปรามบริษัท Payment Gateway ของรายอื่นที่รับโอนเงินจาก เว็บพนันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเงินหมุนเวียนหลักหมื่นล้านที่เป็นเงินจากเว็บพนัน จะหมุนเวียนไปใช้บริษัท Payment Gateway ของบริษัทอื่นแน่นอน

    ส่วนกรณีที่ 2 ผู้บริหารชุดเก่าจะอ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่ามีลูกค้าเป็นเว็บพนันออนไลน์ เรื่องนี้ นายยศกร เหล่าโชติธนกุล ทีมทนายความ ระบุด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นผู้บริหาร ก็ต้องรู้ฐานลูกค้าอยู่เเล้ว และก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือเตือนถึงผู้บริหารชุดเก่าให้ปรับเปลี่ยนการบริหาร และปรับเปลี่ยนการดำเนินการหลายอย่าง เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารชุดเก่ามีความหละหลวมในการบริหารงาน
    12 พฤษภาคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า นายจุลภาส เครือโสภณ หรือ ทอม เครือโสภณ นักธุรกิจดัง ในฐานะกรรมการบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด พร้อมด้วยนายวิฑูรย์ เก่งงาน หรือทนายอ๋อง ในฐานะทนายความบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด แถลงข่าวเปิดโปงธุรกรรมผิดกฎหมาย หลังตรวจพบความเสี่ยงปกปิดข้อมูล ก่อนเข้าซื้อกิจการ โดยผู้บริหารชุดเก่าปล่อยให้เว็บพนันมาใช้บริการช่องทางการรับชำระเงินทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก พบเงินหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาท โดย นายวิฑูรย์ ทนายระบุว่า บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เป็นบริษัทจากทางอินโดนีเซียและอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย โดยมีการซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับ Payment Gateway เพื่อเอามาพัฒนาต่อ เนื่องจากหากเป็นบริษัทแม่จากต่างประเทศจะไม่มี license เป็นของตัวเอง การซื้อบริษัทจากไทยจึงง่ายกว่า ซึ่งบริษัทเรามีลักษณะเป็นบริษัทตัวกลางรับชำระเงิน ทำธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ Payment Gateway และการลงทุนซื้อบริษัทดังกล่าว เกิดขึ้นในกลางปี 2565 โดยผู้บริหารของ บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เข้ามาบริหาร เมื่อปลายปี 2566 แต่ตอนนั้นยังเป็นชื่อเดิมและมีการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด ในกุมภาพันธ์ปี 2567 แต่ในระหว่างปลายปี 2566 ที่ผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาบริหาร ได้มีการตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยของลูกค้า 20 อันดับแรก จากนั้นจึงทำการตรวจสอบเชิงลึก และตรวจสอบเป็นลิงก์ URL จึงพบว่า เป็นธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ และเว็บพนันไม่ใช่ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ซึ่งตรวจพบ URL กว่า 100 ร้านค้า พบเงินหมุนเวียนปีละ กว่า 10,000 ล้านบาท เป็นเว็บพนันจากในประเทศไทยทั้งหมด ทางบริษัท จึงได้ทำการไล่ ผู้บริหารชุดเก่า 2 คนออก จากนั้นผู้บริหารชุดเก่าจึงได้ไปฟ้องศาลแรงงานกับบริษัทในข้อหาผิดสัญญาจ้างและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงได้มีการต่อสู้คดีกัน โดยทางบริษัทส่งหลักฐานทางธุรกรรมที่ชี้ให้เห็นว่า มีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งศาลพิพากษาว่า 2 ผู้บริหารเก่าทำผิดกฎหมายจริง และทำให้บริษัทเสียหาย แต่ศาลสั่งให้จ่ายโบนัสตามสัญญาจ้าง 300 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า สัญญาจ้างไม่มีการระบุว่า จะไม่จ่ายเงินให้**กรณีมีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย แม้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะระบุไว้ว่าผิดก็ตาม ทางบริษัทจึงใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางบริษัท คือ บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ และจะถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทในวันอังคาร-ศุกร์ที่จะถึงนี้ เพราะไม่ใช่แค่เว็บพนันออนไลน์ แต่มีการกู้ยืมเงินออนไลน์ด้วย แต่ทางบริษัทยินดีให้มาดำเนินการตรวจสอบ นายวิฑูรย์ บอกอีกว่า สิ่งที่น่าตกใจกับบริษัท คือกรมบังคับคดี มีการอายัดเงินของลูกค้าบริษัท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568 มูลค่า 8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จึงมีข้อสงสัยว่า ปกติแล้วมีการอายัดกันไวขนาดนี้เลยหรือ เพราะทำเรื่องอายัดวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 12.44 น. หลังจากนั้นมีออกคำสั่งอายัดเวลา 13.00 น. และยังออกหมายการอายัดเงินไปยังธนาคารภายในวันเดียวกัน และส่งหมายผ่านทางไปรษณีย์มาที่บริษัทวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 จึงตั้งข้อสังเกตว่าทนายส่วนใหญ่ไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน ที่กระบวนการการออกหมายและอายัดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว โดยหลังจากนี้ทางบริษัท จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะไปยื่นให้กับตำรวจไซเบอร์ และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จะไปยื่นหลักฐานให้กับ ปปง. และประสานงาน เพื่อที่จะนำข้อมูลส่งไปให้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในการตรวจสอบ เนื่องจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการทำธุรกรรมที่ใหญ่ในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่า ทางบริษัทจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทลายเครือข่ายเว็บพนันอย่างเต็มที่ พร้อมเน้นว่า เรื่องนี้ทำงานกันอย่างสนุกแน่นอน โดยหลังจากนี้จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางกรมบังคับคดีอีกด้วย นายทอม เครือโสภณ เปิดใจถึงความไม่ชอบมาพากลว่า ว่า ระหว่างการสู้คดี มีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ พูดไปแล้วทุกคนรู้จัก และมีเสธ.ท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาตนเอง ซึ่งรวมๆแล้วที่โทรมาหาตนเองมีมากกว่า 10 คน เป็นการโทรมาเจรจาขอให้ยุติเรื่องและจ่ายเงิน 300 ล้านบาท ให้กับ 2 ผู้บริหารชุดเก่าที่กระทำความผิด และกล่าวหาว่าตนเองทำไมถึงไปช่วยชาวต่างชาติ ตนเองจึงขอบอกเสธ.ที่โทรมาว่า “ผมไม่เล่นเกมนี้” สิ่งที่ตนยอมไม่ได้ เนื่องจากมีการกลั่นแกล้งลูกค้าของตนเอง โดยการส่งหมายอายัดบัญชีมา ทั้งๆที่รู้ว่าเรากำลังอุทธรณ์ จึงเป็นเหมือนการกลั่นแกล้งนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ในเรื่องของความสัมพันธ์ของ 2 ผู้บริหารชุดเก่ากับเสธ. ตนเองไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน แต่ในช่วงเวลานั้นใครที่น่าจะ เจรจากับตนเองได้ ก็คงจะให้คนระดับเดียวกันมาเจรจา “คุณมีผู้ใหญ่ผมก็มีผู้ใหญ่ คุณมีเสธผมมีนายพล ทุกคนที่โทรมาล็อบบี้ บอกผมว่าเดี๋ยวมีของขวัญให้คุณทอม โชคดีเมียพี่รวย ล็อบบี้คนผิดแล้ว“ นายทอม เครือโสภณ กล่าว ทั้งนี้ การออกมาแถลงข่าว แม้จะเกิดความเสียหายเป็นหมื่นล้าน แต่บริษัท ตัดสินใจแล้วว่า จะจ่ายเงินให้กับลูกค้าแทนที่ถูกอายัดบัญชี เองจำนวนกว่า 10,000 ราย จะต้องควักเงินตัวเองเพื่อประเทศชาติ เพราะบริษัทต้องการเป็นบริษัทที่โปร่งใส และมองว่า การทำแบบนี้ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ตนเองในฐานะผู้บริหารของบริษัท อยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความเข้มงวดและปราบปรามบริษัท Payment Gateway ของรายอื่นที่รับโอนเงินจาก เว็บพนันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเงินหมุนเวียนหลักหมื่นล้านที่เป็นเงินจากเว็บพนัน จะหมุนเวียนไปใช้บริษัท Payment Gateway ของบริษัทอื่นแน่นอน ส่วนกรณีที่ 2 ผู้บริหารชุดเก่าจะอ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่ามีลูกค้าเป็นเว็บพนันออนไลน์ เรื่องนี้ นายยศกร เหล่าโชติธนกุล ทีมทนายความ ระบุด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นผู้บริหาร ก็ต้องรู้ฐานลูกค้าอยู่เเล้ว และก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือเตือนถึงผู้บริหารชุดเก่าให้ปรับเปลี่ยนการบริหาร และปรับเปลี่ยนการดำเนินการหลายอย่าง เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารชุดเก่ามีความหละหลวมในการบริหารงาน
    0 Comments 0 Shares 491 Views 0 Reviews
  • “อัยการดาว” เข้าแจ้งความตำรวจไซเบอร์ หลังมารดาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินสูญกว่า 7 แสนบาท

    วันนี้ (12 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดียาเสพติด หรือ “อัยการดาว” อัยการมือทำคดีเเตงโม ดาราสาวชื่อดังตกเรือเสียชีวิต เมื่อครั้งนั่งตำเเหน่งอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้รับมอบอำนาจจากมารดาเข้าเเจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บช.สอท.ให้ดำเนินคดีกับขบวนการ แก๊งคอลเซนเตอร์ซึ่งหลอกลวงมารดาของตนที่มีอายุเกือบ 80 ปี โดยมีพฤติการณ์เข้ามาตีสนิทในโลกออนไลน์หลอกให้โอนเงินในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 4-5 วัน ให้มีการโอนเงินจำนวนหลายสิบครั้งจนหมดยอดเงินถึง 7 เเสนกว่าบาทเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000044344

    #MGROnline #อัยการดาว #ตำรวจไซเบอร์
    “อัยการดาว” เข้าแจ้งความตำรวจไซเบอร์ หลังมารดาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินสูญกว่า 7 แสนบาท • วันนี้ (12 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดียาเสพติด หรือ “อัยการดาว” อัยการมือทำคดีเเตงโม ดาราสาวชื่อดังตกเรือเสียชีวิต เมื่อครั้งนั่งตำเเหน่งอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้รับมอบอำนาจจากมารดาเข้าเเจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บช.สอท.ให้ดำเนินคดีกับขบวนการ แก๊งคอลเซนเตอร์ซึ่งหลอกลวงมารดาของตนที่มีอายุเกือบ 80 ปี โดยมีพฤติการณ์เข้ามาตีสนิทในโลกออนไลน์หลอกให้โอนเงินในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 4-5 วัน ให้มีการโอนเงินจำนวนหลายสิบครั้งจนหมดยอดเงินถึง 7 เเสนกว่าบาทเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000044344 • #MGROnline #อัยการดาว #ตำรวจไซเบอร์
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • วันนี้(10 พ.ค.) มีรายงานว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ออกประกาศปรับอัตราค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินและบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

    ประกาศดังกล่าวระบุว่า การโอนเงินภายในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงไม่มีค่าธรรมเนียม แต่สำหรับการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น จะเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อรายการ จากเดิมที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย

    นอกจากนี้ หากเป็นการโอนเงินข้ามเขต จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 0.1% ของยอดเงินที่โอน โดยกำหนดขั้นต่ำที่ 10 บาท และไม่เกิน 1,000 บาท

    ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดย ยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งหมด จากเดิมที่คิด 3 บาทต่อรายการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043823

    #MGROnline #SCB #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โอนเงิน #โอนเงินข้ามเขต
    วันนี้(10 พ.ค.) มีรายงานว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ออกประกาศปรับอัตราค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินและบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป • ประกาศดังกล่าวระบุว่า การโอนเงินภายในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงไม่มีค่าธรรมเนียม แต่สำหรับการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น จะเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อรายการ จากเดิมที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย • นอกจากนี้ หากเป็นการโอนเงินข้ามเขต จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 0.1% ของยอดเงินที่โอน โดยกำหนดขั้นต่ำที่ 10 บาท และไม่เกิน 1,000 บาท • ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการแจ้งเตือนผู้รับเงินผ่านทางอีเมล โดย ยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งหมด จากเดิมที่คิด 3 บาทต่อรายการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043823 • #MGROnline #SCB #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โอนเงิน #โอนเงินข้ามเขต
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • Zelle กำลังเผชิญกับ ปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถส่งเงินผ่านธนาคารต่าง ๆ เช่น Chase, Bank of America และ TD Bank ได้ตามปกติ โดยมีรายงานปัญหามากกว่า 1,000 ครั้ง บน Down Detector ในช่วงเวลาสูงสุด

    Zelle เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมเนื่องจาก สามารถโอนเงินได้ทันทีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ปัญหาครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมาก ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ และต้องรอให้ระบบกลับมาเป็นปกติ

    Fiserv ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีแก่ Zelle ได้ออกแถลงการณ์ว่า ปัญหานี้เกิดจากข้อผิดพลาดภายใน และขณะนี้กำลังดำเนินการแก้ไข โดยระบุว่า ระบบกลับมาใช้งานได้แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาในการจัดการธุรกรรมที่ค้างอยู่

    Zelle เป็นบริการโอนเงินแบบทันทีที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับเงินผ่าน แอปธนาคารหรือเครดิตยูเนียน ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

    ✅ Zelle ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่
    - ผู้ใช้ไม่สามารถส่งเงินผ่านธนาคารต่าง ๆ เช่น Chase, Bank of America และ TD Bank
    - มีรายงานปัญหามากกว่า 1,000 ครั้ง บน Down Detector

    ✅ สาเหตุของปัญหา
    - Fiserv ระบุว่า เกิดจากข้อผิดพลาดภายใน
    - ขณะนี้ระบบกลับมาใช้งานได้แล้ว แต่ยังต้องจัดการธุรกรรมที่ค้างอยู่

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้
    - ผู้ใช้บางรายเห็นสถานะ "payment pending" ในธุรกรรมของตน
    - บางธนาคารยังคงมีปัญหา แม้ว่าระบบจะเริ่มฟื้นตัว

    ✅ แนวทางแก้ไขของ Zelle และ Fiserv
    - Fiserv ระบุว่า กำลังดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ
    - Zelle กำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด

    https://www.techradar.com/news/live/zelle-outage-may-2025
    Zelle กำลังเผชิญกับ ปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถส่งเงินผ่านธนาคารต่าง ๆ เช่น Chase, Bank of America และ TD Bank ได้ตามปกติ โดยมีรายงานปัญหามากกว่า 1,000 ครั้ง บน Down Detector ในช่วงเวลาสูงสุด Zelle เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมเนื่องจาก สามารถโอนเงินได้ทันทีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ปัญหาครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมาก ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ และต้องรอให้ระบบกลับมาเป็นปกติ Fiserv ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีแก่ Zelle ได้ออกแถลงการณ์ว่า ปัญหานี้เกิดจากข้อผิดพลาดภายใน และขณะนี้กำลังดำเนินการแก้ไข โดยระบุว่า ระบบกลับมาใช้งานได้แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาในการจัดการธุรกรรมที่ค้างอยู่ Zelle เป็นบริการโอนเงินแบบทันทีที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับเงินผ่าน แอปธนาคารหรือเครดิตยูเนียน ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ✅ Zelle ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ - ผู้ใช้ไม่สามารถส่งเงินผ่านธนาคารต่าง ๆ เช่น Chase, Bank of America และ TD Bank - มีรายงานปัญหามากกว่า 1,000 ครั้ง บน Down Detector ✅ สาเหตุของปัญหา - Fiserv ระบุว่า เกิดจากข้อผิดพลาดภายใน - ขณะนี้ระบบกลับมาใช้งานได้แล้ว แต่ยังต้องจัดการธุรกรรมที่ค้างอยู่ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ - ผู้ใช้บางรายเห็นสถานะ "payment pending" ในธุรกรรมของตน - บางธนาคารยังคงมีปัญหา แม้ว่าระบบจะเริ่มฟื้นตัว ✅ แนวทางแก้ไขของ Zelle และ Fiserv - Fiserv ระบุว่า กำลังดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ - Zelle กำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด https://www.techradar.com/news/live/zelle-outage-may-2025
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน

    ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า

    การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน

    วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง

    ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย

    คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

    การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

    มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก

    ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน.


    “ลม เปลี่ยนทิศ”

    https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน. “ลม เปลี่ยนทิศ” https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    WWW.THAIRATH.CO.TH
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน
    ผมเพิ่งเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 477 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงคำเตือนจาก FBI เกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีเป้าหมายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน FBI ระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการโจมตี ตั้งแต่การค้นหาช่องโหว่ไปจนถึงการเคลื่อนย้ายภายในระบบ

    ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกลุ่ม Volt Typhoon ที่ใช้เราเตอร์รุ่นเก่าเพื่อสร้างเครือข่ายบอตเน็ตสำหรับการโจมตี และกลุ่ม Salt Typhoon ที่เจาะระบบของบริษัทโทรคมนาคมและรัฐบาลสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไข

    นอกจากนี้ FBI ยังเตือนถึงการใช้เทคโนโลยี deepfake ในการหลอกลวง เช่น การปลอมตัวเป็นผู้บริหารเพื่อขอการโอนเงินหรือจัดประชุมออนไลน์

    ✅ การใช้ AI ในการโจมตี
    - กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการโจมตี
    - ตัวอย่างเช่น Volt Typhoon และ Salt Typhoon ที่ใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เก่า

    ✅ เป้าหมายของการโจมตี
    - โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โทรคมนาคม พลังงาน และน้ำ
    - การเคลื่อนย้ายภายในระบบเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ

    ✅ การใช้ deepfake ในการหลอกลวง
    - การปลอมตัวเป็นผู้บริหารเพื่อขอการโอนเงินหรือจัดประชุมออนไลน์
    - การใช้ deepfake เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในข้อความหลอกลวง

    ✅ คำแนะนำจาก FBI
    - ใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA)
    - ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและจำกัดการเคลื่อนย้ายในระบบ

    https://www.techspot.com/news/107730-fbi-warns-china-using-ai-sharpen-cyberattacks-us.html
    บทความนี้กล่าวถึงคำเตือนจาก FBI เกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีเป้าหมายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน FBI ระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการโจมตี ตั้งแต่การค้นหาช่องโหว่ไปจนถึงการเคลื่อนย้ายภายในระบบ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกลุ่ม Volt Typhoon ที่ใช้เราเตอร์รุ่นเก่าเพื่อสร้างเครือข่ายบอตเน็ตสำหรับการโจมตี และกลุ่ม Salt Typhoon ที่เจาะระบบของบริษัทโทรคมนาคมและรัฐบาลสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ FBI ยังเตือนถึงการใช้เทคโนโลยี deepfake ในการหลอกลวง เช่น การปลอมตัวเป็นผู้บริหารเพื่อขอการโอนเงินหรือจัดประชุมออนไลน์ ✅ การใช้ AI ในการโจมตี - กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการโจมตี - ตัวอย่างเช่น Volt Typhoon และ Salt Typhoon ที่ใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เก่า ✅ เป้าหมายของการโจมตี - โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โทรคมนาคม พลังงาน และน้ำ - การเคลื่อนย้ายภายในระบบเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ✅ การใช้ deepfake ในการหลอกลวง - การปลอมตัวเป็นผู้บริหารเพื่อขอการโอนเงินหรือจัดประชุมออนไลน์ - การใช้ deepfake เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในข้อความหลอกลวง ✅ คำแนะนำจาก FBI - ใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) - ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและจำกัดการเคลื่อนย้ายในระบบ https://www.techspot.com/news/107730-fbi-warns-china-using-ai-sharpen-cyberattacks-us.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FBI warns China is using AI to sharpen cyberattacks on US infrastructure
    In an interview with The Register, FBI Deputy Assistant Director Cynthia Kaiser explained how Chinese state-backed cyber groups use artificial intelligence at every stage of their attack...
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • 🇨🇳 ตู้ ATM ทองคำได้ถูกติดตั้งในประเทศจีนแล้ว!

    คุณสามารถฝากทองคำและเครื่องจะหลอมทองคำ วัดน้ำหนักและความบริสุทธิ์ภายใน 3 นาที จากนั้นโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคุณ

    ทั้งกระบวนการใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที!
    🇨🇳 ตู้ ATM ทองคำได้ถูกติดตั้งในประเทศจีนแล้ว! คุณสามารถฝากทองคำและเครื่องจะหลอมทองคำ วัดน้ำหนักและความบริสุทธิ์ภายใน 3 นาที จากนั้นโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคุณ ทั้งกระบวนการใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที!
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 0 Reviews
  • ใครเหนือกว่าใครในระบบการเงินโลกใหม่?
    BEYOND DIGITAL : The new world financial system?
    เหลือเวลาเพียง 5 นาทีใน 24 ชม.ของระบบ ในระบบโลกการเงินแบบเก่าที่เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินหลักของโลกในวันนี้ กำลังๆๆๆ หมดคุณค่าที่เป็นเงินตราของโลกเข้ามาทุกที อะไรจะมาแทนระหว่าง Bitcoin กับ Digital Yuan?

    ถ้าโลกแบ่งออกเป็นสองขั้วทางการเงินใหญ่ ๆ คือ
    • ฝ่ายอเมริกาและพันธมิตรเลือกใช้ Bitcoin
    • ฝ่ายจีนและกลุ่ม BRICS เลือกใช้ Digital หยวน (e-CNY)
    จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระดับโลกครั้งใหญ่มาก เราอาจจะได้เห็นระบบการเงินโลกใหม่ที่ไม่ได้มีศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป
    ลักษณะของระบบการเงินทั้งสอง
    1. ฝ่ายอเมริกา + พันธมิตร (Bitcoin)
    • ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ไม่มีรัฐบาลควบคุม
    • ใช้ระบบ Blockchain แบบเปิด โปร่งใสและตรวจสอบได้
    • มีจำนวนจำกัด (21 ล้าน BTC) ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยในระยะยาว
    • อิงหลักการ ตลาดเสรี และความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน
    • ธนาคารกลางจะมีบทบาทลดลงมาก หรือถูกบีบให้ปรับตัว
    2. ฝ่ายจีน + BRICS (Digital Yuan/e-CNY)
    • มีศูนย์กลาง (Centralized) ควบคุมโดยรัฐและธนาคารกลางจีน
    • ใช้ Blockchain แบบปิด หรือเทคโนโลยี ledger เฉพาะภายใน
    • ใช้เป็นเครื่องมือกำหนดนโยบายการเงินของรัฐได้อย่างแม่นยำ
    • ติดตามและควบคุมธุรกรรมของผู้ใช้งานได้
    • สร้างระบบการโอนเงินระหว่างประเทศใหม่ เช่น CIPS แทน SWIFT
    จุดร่วมของทั้งสองระบบ
    • เป็น เงินดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain หรือ DLT
    • มีความเร็วในการโอนเงินข้ามประเทศสูงกว่าระบบธนาคารเดิม
    • ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม
    • เป็นการท้าทายระบบการเงินเดิมที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ
    จุดแตกต่างหลัก
    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    • ระบบการเงินโลกจะแตกออกเป็น 2 มาตรฐาน เหมือนสงครามเย็นทางเศรษฐกิจ
    • ประเทศต่าง ๆ อาจต้องเลือกข้าง หรือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้รองรับทั้งสองระบบ
    • ดอลลาร์สหรัฐอาจสูญเสียสถานะการเป็นเงินสำรองหลักของโลก หาก Bitcoin หรือ e-CNY ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
    • แรงกดดันต่อ IMF, World Bank และระบบ SWIFT ให้ปรับตัวหรือเสื่อมอิทธิพลลง
    • เกิดโอกาสใหม่สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่จะพึ่งพาระบบใหม่โดยไม่ผ่านระบบดั้งเดิมของตะวันตก
    นี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชั่วโมงต่อไปในวันใหม่ เราจะยื่นตรงไหนจะเลือกใช่ระบบการเงินใหม่ในโลกอนาคตกันอย่างไรตัวเราเล็กเกินที่จะกำหนดอะไรได้เองแต่เราเลือกที่จะเข้าใจและเลือกที่จะเดินไปพร้อมกับระบบใหม่นี้กันดีกว่า...

    TABU
    รัชชสิทธิ์ เปี่ยมโรจนภัทร
    ใครเหนือกว่าใครในระบบการเงินโลกใหม่? BEYOND DIGITAL : The new world financial system? เหลือเวลาเพียง 5 นาทีใน 24 ชม.ของระบบ ในระบบโลกการเงินแบบเก่าที่เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินหลักของโลกในวันนี้ กำลังๆๆๆ หมดคุณค่าที่เป็นเงินตราของโลกเข้ามาทุกที อะไรจะมาแทนระหว่าง Bitcoin กับ Digital Yuan? ถ้าโลกแบ่งออกเป็นสองขั้วทางการเงินใหญ่ ๆ คือ • ฝ่ายอเมริกาและพันธมิตรเลือกใช้ Bitcoin • ฝ่ายจีนและกลุ่ม BRICS เลือกใช้ Digital หยวน (e-CNY) จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระดับโลกครั้งใหญ่มาก เราอาจจะได้เห็นระบบการเงินโลกใหม่ที่ไม่ได้มีศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป ลักษณะของระบบการเงินทั้งสอง 1. ฝ่ายอเมริกา + พันธมิตร (Bitcoin) • ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ไม่มีรัฐบาลควบคุม • ใช้ระบบ Blockchain แบบเปิด โปร่งใสและตรวจสอบได้ • มีจำนวนจำกัด (21 ล้าน BTC) ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยในระยะยาว • อิงหลักการ ตลาดเสรี และความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน • ธนาคารกลางจะมีบทบาทลดลงมาก หรือถูกบีบให้ปรับตัว 2. ฝ่ายจีน + BRICS (Digital Yuan/e-CNY) • มีศูนย์กลาง (Centralized) ควบคุมโดยรัฐและธนาคารกลางจีน • ใช้ Blockchain แบบปิด หรือเทคโนโลยี ledger เฉพาะภายใน • ใช้เป็นเครื่องมือกำหนดนโยบายการเงินของรัฐได้อย่างแม่นยำ • ติดตามและควบคุมธุรกรรมของผู้ใช้งานได้ • สร้างระบบการโอนเงินระหว่างประเทศใหม่ เช่น CIPS แทน SWIFT จุดร่วมของทั้งสองระบบ • เป็น เงินดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain หรือ DLT • มีความเร็วในการโอนเงินข้ามประเทศสูงกว่าระบบธนาคารเดิม • ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม • เป็นการท้าทายระบบการเงินเดิมที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ จุดแตกต่างหลัก ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น • ระบบการเงินโลกจะแตกออกเป็น 2 มาตรฐาน เหมือนสงครามเย็นทางเศรษฐกิจ • ประเทศต่าง ๆ อาจต้องเลือกข้าง หรือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้รองรับทั้งสองระบบ • ดอลลาร์สหรัฐอาจสูญเสียสถานะการเป็นเงินสำรองหลักของโลก หาก Bitcoin หรือ e-CNY ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง • แรงกดดันต่อ IMF, World Bank และระบบ SWIFT ให้ปรับตัวหรือเสื่อมอิทธิพลลง • เกิดโอกาสใหม่สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่จะพึ่งพาระบบใหม่โดยไม่ผ่านระบบดั้งเดิมของตะวันตก นี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชั่วโมงต่อไปในวันใหม่ เราจะยื่นตรงไหนจะเลือกใช่ระบบการเงินใหม่ในโลกอนาคตกันอย่างไรตัวเราเล็กเกินที่จะกำหนดอะไรได้เองแต่เราเลือกที่จะเข้าใจและเลือกที่จะเดินไปพร้อมกับระบบใหม่นี้กันดีกว่า... TABU รัชชสิทธิ์ เปี่ยมโรจนภัทร
    0 Comments 0 Shares 483 Views 0 Reviews
  • “คะน้า ริญญารัตน์” เผยพฤติกรรมอดีตแฟนหนุ่มมีโลก 2 ใบ สร้างโปรไฟล์ไฮโซ หลอกโอนเงิน แอบอ้างเบื้องสูง พร้อมขอให้ “กัน จอมพลัง” เข้าช่วยเพราะห่วงความปลอดภัย

    จากกรณี “คะน้า” ริญญารัตน์ วัชรโรจน์สิริ ดารานางแบบสาวช่อง 7 ประกาศโสดกะทันหัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยแฟนหนุ่มเพิ่งจัดเซอร์ไพรส์ขอเธอแต่งงาน ด้วยแหวนเพชรเม็ดโต ท่ามกลางความดีใจของทั้งคู่ เหล่าเพื่อนพี่น้องวงการบันเทิงก็ร่วมแสดงความยินดี ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (7 เม.ย.) นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ พร้อมด้วยคะน้า ริญญารัตน์ ได้เดินทางมาที่อาคารมาลีนนท์ ช่อง 3 เพื่อเตรียมไปออกรายการ “โหนกระแส” พร้อมให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะเข้ารายการ ในกรณีถูกแฟนหนุ่มหลังพบว่า มีโลกสองใบหลอกให้คบ พร้อมเรื่องราวทั้งหมดที่เจอ จึงทำให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่

    โดย กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้น้องคบกับผู้ชายคนนึง ในวันที่น้องไม่มีใคร คนนี้ทักมาหา ระหว่างที่คุยกัน เขาพยายามทำดีกับน้อง หลังๆ เริ่มอ้างตัวว่ามีความสนิทสนมกับเบื้องสูง แต่งชุดเหมือนเป็นข้าราชการ ใส่ชุดขาวมารับน้อง มีรถนำขบวน 5 คัน ทำให้โปรไฟล์ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งเขาก็ดีกับน้องมาตลอด จนมีพักนึงน้องเองมีเส้นเงินที่เชื่อมโยงกับเงินเทาเงินดำ เขาบอกจะหาทางช่วย น้องก็เอาข้อมูลเอกสารบริษัทไปให้เขาหมดเลย โดยเขาอ้างว่า คนที่ช่วยเหลือเขาตอนนี้คือนายกรัฐมนตรี โดยมีแชทมาประกอบด้วย และน่าตกใจมาก ส่งแชทของท่านผู้บัญชาการไซเบอร์ อ้างว่ากำลังช่วยเหลืออยู่ อีกแชทนึงเป็นคนที่อยู่ในวัง และสนิทกับเบื้องบนมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000033093

    #MGROnline #คะน้า #คะน้าริญญารัตน์ #กันจอมพลัง
    “คะน้า ริญญารัตน์” เผยพฤติกรรมอดีตแฟนหนุ่มมีโลก 2 ใบ สร้างโปรไฟล์ไฮโซ หลอกโอนเงิน แอบอ้างเบื้องสูง พร้อมขอให้ “กัน จอมพลัง” เข้าช่วยเพราะห่วงความปลอดภัย • จากกรณี “คะน้า” ริญญารัตน์ วัชรโรจน์สิริ ดารานางแบบสาวช่อง 7 ประกาศโสดกะทันหัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยแฟนหนุ่มเพิ่งจัดเซอร์ไพรส์ขอเธอแต่งงาน ด้วยแหวนเพชรเม็ดโต ท่ามกลางความดีใจของทั้งคู่ เหล่าเพื่อนพี่น้องวงการบันเทิงก็ร่วมแสดงความยินดี ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้ • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (7 เม.ย.) นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ พร้อมด้วยคะน้า ริญญารัตน์ ได้เดินทางมาที่อาคารมาลีนนท์ ช่อง 3 เพื่อเตรียมไปออกรายการ “โหนกระแส” พร้อมให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะเข้ารายการ ในกรณีถูกแฟนหนุ่มหลังพบว่า มีโลกสองใบหลอกให้คบ พร้อมเรื่องราวทั้งหมดที่เจอ จึงทำให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ • โดย กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้น้องคบกับผู้ชายคนนึง ในวันที่น้องไม่มีใคร คนนี้ทักมาหา ระหว่างที่คุยกัน เขาพยายามทำดีกับน้อง หลังๆ เริ่มอ้างตัวว่ามีความสนิทสนมกับเบื้องสูง แต่งชุดเหมือนเป็นข้าราชการ ใส่ชุดขาวมารับน้อง มีรถนำขบวน 5 คัน ทำให้โปรไฟล์ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งเขาก็ดีกับน้องมาตลอด จนมีพักนึงน้องเองมีเส้นเงินที่เชื่อมโยงกับเงินเทาเงินดำ เขาบอกจะหาทางช่วย น้องก็เอาข้อมูลเอกสารบริษัทไปให้เขาหมดเลย โดยเขาอ้างว่า คนที่ช่วยเหลือเขาตอนนี้คือนายกรัฐมนตรี โดยมีแชทมาประกอบด้วย และน่าตกใจมาก ส่งแชทของท่านผู้บัญชาการไซเบอร์ อ้างว่ากำลังช่วยเหลืออยู่ อีกแชทนึงเป็นคนที่อยู่ในวัง และสนิทกับเบื้องบนมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000033093 • #MGROnline #คะน้า #คะน้าริญญารัตน์ #กันจอมพลัง
    0 Comments 0 Shares 472 Views 0 Reviews
More Results