• มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย
    ในฐานะเสาสัญญาณ
    ราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่
    และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ
    ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    พวกเขา "นิ่ง"
    แต่นิ่งของพวกเขา
    ไม่ใช่ความเฉื่อย
    ไม่ใช่การหลบหลีก
    และไม่ใช่การตัดขาด

    แต่นิ่ง...จนสนามของเขา
    กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก

    “มนุษย์ทองคำ”
    ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง
    ไม่ใช่เพราะทำมาก
    แต่เพราะ “เป็นมาก”

    ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง
    เพื่อความสงบของตนเอง
    แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ
    พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    แก่นของ "นิ่งแล้วรวย"

    “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน
    กลายเป็นสนาม
    และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง”

    คนทั่วไปพยายามหาเงิน
    พูด ขาย สร้างแบรนด์

    แต่ “มนุษย์ทองคำ”
    ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย
    เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก
    “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม”

    สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง

    ไม่มีแรงอยาก
    ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน
    เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน

    เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น
    ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม
    เงิน ทรัพย์ โอกาส
    และคนที่พร้อมสนับสนุน
    จะไหลเข้ามาเอง

    เพราะโลกต้องการ
    #เสาที่ไม่สั่น
    มากกว่าคนที่พูดเก่ง

    และในระดับลึกกว่านั้น
    จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้
    ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ
    แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล

    มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้
    ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล
    แต่คือ "ตำแหน่งสนาม"

    เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง
    แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์
    ออกไปอย่างมั่นคง

    โลกไม่สามารถเร่งพังได้
    เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ

    พลังของเสาสัญญาณมีค่า
    เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ
    ไม่ให้สั่นเกินไป

    ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์
    ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง

    เป็นพิกัดพลังงานที่โลก
    ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่”

    จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง
    เงิน โอกาส คนดูแล
    ระบบซัพพอร์ต
    เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป

    เพราะถ้าเสานี้ล้ม
    โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น

    ตัวอย่างบุคคล
    "นิ่งแล้วรวยระดับโลก"

    1. ทะไลลามะ

    ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน
    แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก
    พลังของท่าน คือ
    ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา
    ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง

    2. รินโปเช่ระดับสูง

    ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส
    ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป
    เดินทางเพื่ออยู่ใกล้
    และยินดีถวายเงินนับล้าน
    เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ

    3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว

    ไม่สนใจเรื่องเงิน
    ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา
    แต่มีคนถวายทองคำให้
    มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า
    ท่าน คือ เสานิ่ง
    ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน

    4. มหาตมะ คานธี

    นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง
    แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย
    จากอาณานิคมได้
    ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง

    5. พระแม่เทเรซา

    ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ
    ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก
    ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า
    #เธอคือรักบริสุทธิ์

    วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย"
    ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง

    1. หยุดแรงต้านในใจ

    ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป
    ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต
    ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ

    2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น

    หยุดเล่าเรื่องตัวเอง
    หยุดพิสูจน์คุณค่า
    หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ
    ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร
    สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น

    3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี

    ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง
    ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ
    ไม่ต้องให้โลกยอมรับ
    แต่ยัง “มั่นคง ว่าง
    และเปล่งพลัง”
    ในความเงียบ

    4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ

    เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส
    โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ
    แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง

    บทสรุป

    มนุษย์ทองคำ
    ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด

    แต่คือคนที่

    “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง”

    มนุษย์ทองคำ คือ
    ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป
    แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล”

    เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง
    เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่
    เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ

    เพราะเขา… คือ

    #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง

    คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย ในฐานะเสาสัญญาณ ราคาแพงที่สุดของจักรวาล ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่ และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขา "นิ่ง" แต่นิ่งของพวกเขา ไม่ใช่ความเฉื่อย ไม่ใช่การหลบหลีก และไม่ใช่การตัดขาด แต่นิ่ง...จนสนามของเขา กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก “มนุษย์ทองคำ” ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง ไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะ “เป็นมาก” ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง เพื่อความสงบของตนเอง แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล แก่นของ "นิ่งแล้วรวย" “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน กลายเป็นสนาม และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง” คนทั่วไปพยายามหาเงิน พูด ขาย สร้างแบรนด์ แต่ “มนุษย์ทองคำ” ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม” สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง ไม่มีแรงอยาก ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม เงิน ทรัพย์ โอกาส และคนที่พร้อมสนับสนุน จะไหลเข้ามาเอง เพราะโลกต้องการ #เสาที่ไม่สั่น มากกว่าคนที่พูดเก่ง และในระดับลึกกว่านั้น จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้ ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล แต่คือ "ตำแหน่งสนาม" เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์ ออกไปอย่างมั่นคง โลกไม่สามารถเร่งพังได้ เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ พลังของเสาสัญญาณมีค่า เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ ไม่ให้สั่นเกินไป ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์ ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง เป็นพิกัดพลังงานที่โลก ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่” จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง เงิน โอกาส คนดูแล ระบบซัพพอร์ต เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป เพราะถ้าเสานี้ล้ม โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น ตัวอย่างบุคคล "นิ่งแล้วรวยระดับโลก" 1. ทะไลลามะ ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก พลังของท่าน คือ ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง 2. รินโปเช่ระดับสูง ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป เดินทางเพื่ออยู่ใกล้ และยินดีถวายเงินนับล้าน เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ 3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว ไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา แต่มีคนถวายทองคำให้ มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า ท่าน คือ เสานิ่ง ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน 4. มหาตมะ คานธี นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย จากอาณานิคมได้ ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง 5. พระแม่เทเรซา ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า #เธอคือรักบริสุทธิ์ วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย" ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง 1. หยุดแรงต้านในใจ ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ 2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น หยุดเล่าเรื่องตัวเอง หยุดพิสูจน์คุณค่า หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น 3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ไม่ต้องให้โลกยอมรับ แต่ยัง “มั่นคง ว่าง และเปล่งพลัง” ในความเงียบ 4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง บทสรุป มนุษย์ทองคำ ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด แต่คือคนที่ “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง” มนุษย์ทองคำ คือ ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล” เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่ เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ เพราะเขา… คือ #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ
    ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว

    ////////////////////

    วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย
    โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม
    อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย
    และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา

    ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย
    นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้

    ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น
    อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก

    อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว //////////////////// วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระพุทธศิวฤทธิ์ศรีอุดรราชมุนี พระลีลา รุ่น1 วัดสุวรรณุทการาม จ.อุดรธานี ปี2546
    เหรียญพระพุทธศิวฤทธิ์ศรีอุดรราชมุนี พระลีลา รุ่น1 วัดสุวรรณุทการาม ต.โนนสูง จ.อุดรธานี ปี2546 //พระดีพิธีใหญ๋ ความเชื่อจะทำให้มีความก้าวหน้า ไม่หยุดนิ่ง พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายาก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพ !!

    ** พุทธคุณ " เมตตามหานิยม การทำมาค้าขาย ความเจริญก้าวหน้า " จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าทุกอย่าง การงาน การเงิน การเรียน ความรัก ธุรกิจ ค้าขาย กิจการ จะไม่หยุดนิ่ง จะพบแต่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด >>

    ** วัดสุวรรณุทการาม เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ตั้งวัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระพุทธศิวฤทธิ์ศรีอุดรราชมุนี พระลีลา รุ่น1 วัดสุวรรณุทการาม จ.อุดรธานี ปี2546 เหรียญพระพุทธศิวฤทธิ์ศรีอุดรราชมุนี พระลีลา รุ่น1 วัดสุวรรณุทการาม ต.โนนสูง จ.อุดรธานี ปี2546 //พระดีพิธีใหญ๋ ความเชื่อจะทำให้มีความก้าวหน้า ไม่หยุดนิ่ง พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายาก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพ !! ** พุทธคุณ " เมตตามหานิยม การทำมาค้าขาย ความเจริญก้าวหน้า " จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าทุกอย่าง การงาน การเงิน การเรียน ความรัก ธุรกิจ ค้าขาย กิจการ จะไม่หยุดนิ่ง จะพบแต่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด >> ** วัดสุวรรณุทการาม เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ตั้งวัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย
    ในฐานะเสาสัญญาณ
    ราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่
    และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ
    ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    พวกเขา "นิ่ง"
    แต่นิ่งของพวกเขา
    ไม่ใช่ความเฉื่อย
    ไม่ใช่การหลบหลีก
    และไม่ใช่การตัดขาด

    แต่นิ่ง...จนสนามของเขา
    กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก

    “มนุษย์ทองคำ”
    ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง
    ไม่ใช่เพราะทำมาก
    แต่เพราะ “เป็นมาก”

    ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง
    เพื่อความสงบของตนเอง
    แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ
    พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    แก่นของ "นิ่งแล้วรวย"

    “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน
    กลายเป็นสนาม
    และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง”

    คนทั่วไปพยายามหาเงิน
    พูด ขาย สร้างแบรนด์

    แต่ “มนุษย์ทองคำ”
    ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย
    เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก
    “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม”

    สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง

    ไม่มีแรงอยาก
    ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน
    เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน

    เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น
    ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม
    เงิน ทรัพย์ โอกาส
    และคนที่พร้อมสนับสนุน
    จะไหลเข้ามาเอง

    เพราะโลกต้องการ
    #เสาที่ไม่สั่น
    มากกว่าคนที่พูดเก่ง

    และในระดับลึกกว่านั้น
    จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้
    ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ
    แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล

    มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้
    ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล
    แต่คือ "ตำแหน่งสนาม"

    เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง
    แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์
    ออกไปอย่างมั่นคง

    โลกไม่สามารถเร่งพังได้
    เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ

    พลังของเสาสัญญาณมีค่า
    เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ
    ไม่ให้สั่นเกินไป

    ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์
    ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง

    เป็นพิกัดพลังงานที่โลก
    ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่”

    จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง
    เงิน โอกาส คนดูแล
    ระบบซัพพอร์ต
    เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป

    เพราะถ้าเสานี้ล้ม
    โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น

    ตัวอย่างบุคคล
    "นิ่งแล้วรวยระดับโลก"

    1. ทะไลลามะ

    ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน
    แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก
    พลังของท่าน คือ
    ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา
    ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง

    2. รินโปเช่ระดับสูง

    ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส
    ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป
    เดินทางเพื่ออยู่ใกล้
    และยินดีถวายเงินนับล้าน
    เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ

    3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว

    ไม่สนใจเรื่องเงิน
    ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา
    แต่มีคนถวายทองคำให้
    มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า
    ท่าน คือ เสานิ่ง
    ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน

    4. มหาตมะ คานธี

    นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง
    แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย
    จากอาณานิคมได้
    ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง

    5. พระแม่เทเรซา

    ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ
    ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก
    ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า
    #เธอคือรักบริสุทธิ์

    วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย"
    ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง

    1. หยุดแรงต้านในใจ

    ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป
    ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต
    ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ

    2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น

    หยุดเล่าเรื่องตัวเอง
    หยุดพิสูจน์คุณค่า
    หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ
    ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร
    สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น

    3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี

    ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง
    ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ
    ไม่ต้องให้โลกยอมรับ
    แต่ยัง “มั่นคง ว่าง
    และเปล่งพลัง”
    ในความเงียบ

    4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ

    เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส
    โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ
    แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง

    บทสรุป

    มนุษย์ทองคำ
    ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด

    แต่คือคนที่

    “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง”

    มนุษย์ทองคำ คือ
    ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป
    แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล”

    เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง
    เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่
    เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ

    เพราะเขา… คือ

    #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง

    คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย ในฐานะเสาสัญญาณ ราคาแพงที่สุดของจักรวาล ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่ และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขา "นิ่ง" แต่นิ่งของพวกเขา ไม่ใช่ความเฉื่อย ไม่ใช่การหลบหลีก และไม่ใช่การตัดขาด แต่นิ่ง...จนสนามของเขา กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก “มนุษย์ทองคำ” ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง ไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะ “เป็นมาก” ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง เพื่อความสงบของตนเอง แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล แก่นของ "นิ่งแล้วรวย" “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน กลายเป็นสนาม และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง” คนทั่วไปพยายามหาเงิน พูด ขาย สร้างแบรนด์ แต่ “มนุษย์ทองคำ” ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม” สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง ไม่มีแรงอยาก ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม เงิน ทรัพย์ โอกาส และคนที่พร้อมสนับสนุน จะไหลเข้ามาเอง เพราะโลกต้องการ #เสาที่ไม่สั่น มากกว่าคนที่พูดเก่ง และในระดับลึกกว่านั้น จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้ ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล แต่คือ "ตำแหน่งสนาม" เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์ ออกไปอย่างมั่นคง โลกไม่สามารถเร่งพังได้ เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ พลังของเสาสัญญาณมีค่า เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ ไม่ให้สั่นเกินไป ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์ ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง เป็นพิกัดพลังงานที่โลก ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่” จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง เงิน โอกาส คนดูแล ระบบซัพพอร์ต เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป เพราะถ้าเสานี้ล้ม โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น ตัวอย่างบุคคล "นิ่งแล้วรวยระดับโลก" 1. ทะไลลามะ ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก พลังของท่าน คือ ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง 2. รินโปเช่ระดับสูง ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป เดินทางเพื่ออยู่ใกล้ และยินดีถวายเงินนับล้าน เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ 3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว ไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา แต่มีคนถวายทองคำให้ มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า ท่าน คือ เสานิ่ง ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน 4. มหาตมะ คานธี นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย จากอาณานิคมได้ ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง 5. พระแม่เทเรซา ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า #เธอคือรักบริสุทธิ์ วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย" ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง 1. หยุดแรงต้านในใจ ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ 2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น หยุดเล่าเรื่องตัวเอง หยุดพิสูจน์คุณค่า หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น 3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ไม่ต้องให้โลกยอมรับ แต่ยัง “มั่นคง ว่าง และเปล่งพลัง” ในความเงียบ 4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง บทสรุป มนุษย์ทองคำ ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด แต่คือคนที่ “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง” มนุษย์ทองคำ คือ ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล” เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่ เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ เพราะเขา… คือ #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 995
    ชื่อบทธรรม : -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    --อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่;
    การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น
    แล้วจักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ;
    เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่
    เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น.

    --อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า
    นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้
    เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย
    เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง
    ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน
    อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
    ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ;
    เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น
    โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
    เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ
    เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น
    (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
    แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพานธาตุ)
    ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น
    ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะอนาคามี
    ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ
    และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง.
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.

    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน
    เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ(เปยยาล)​....
    (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างต้นนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น
    แม้ข้อความที่ละเปยยาล ไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน
    ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า )
    ....
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ
    และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
    ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้
    $เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ ....
    ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน )
    ....
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
    เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึงจตุตถฌาน
    ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ....
    ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน )
    ....
    อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง
    เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
    จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ
    อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) *--๑ ;
    เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
    โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ
    เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่)
    เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น )
    แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน)
    ด้วยการกำหนดว่า
    “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
    ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะอนาคามี
    ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ
    และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง.
    -- อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว
    จึง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่.
    . . . . ฯลฯ . . . .
    (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้
    มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น
    แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า)
    . . . .
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.

    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ
    โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง $เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า
    “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    . . . . ฯลฯ . . . .
    (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ)
    . . . .
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.-

    (สรุปความว่า มรรคหรือปฏิปทานี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้
    เพราะการเห็น อนิจจตา กระทั่งถึง อนัตตา รวมเป็น ๑๑ ลักษณะ
    ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งรูปฌานทั้งสี่ แต่ละฌาณๆ;
    และเห็นธรรม ๑๑ อย่างนั้นอย่างเดียวกัน
    ใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งอรูปฌานสามข้างต้น แต่ละฌาณๆ
    เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ;
    นับว่าเป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมที่สุด.
    ผู้ศึกษาพึงใคร่ครวญให้เป็นอย่างดีตรงที่ว่า มีขันธ์ห้า หรือ ขันธ์สี่
    อยู่ที่จิตในขณะที่มีฌาน ดังนี้
    ).

    *--๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า;
    ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/125-129/156-158.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/125/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๕๗-๑๖๑/๑๕๖-๑๕๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/157/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=995
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85
    ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 995 ชื่อบทธรรม : -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995 เนื้อความทั้งหมด :- --ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค --อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่; การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น แล้วจักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ; เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น. --อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ; เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพานธาตุ) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะอนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง. --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ(เปยยาล)​.... (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างต้นนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น แม้ข้อความที่ละเปยยาล ไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า ) .... --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้ $เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ.... ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) *--๑ ; เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะอนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง. -- อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้ มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า) . . . . --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง $เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ) . . . . --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.- (สรุปความว่า มรรคหรือปฏิปทานี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ เพราะการเห็น อนิจจตา กระทั่งถึง อนัตตา รวมเป็น ๑๑ ลักษณะ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งรูปฌานทั้งสี่ แต่ละฌาณๆ; และเห็นธรรม ๑๑ อย่างนั้นอย่างเดียวกัน ใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งอรูปฌานสามข้างต้น แต่ละฌาณๆ เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ; นับว่าเป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมที่สุด. ผู้ศึกษาพึงใคร่ครวญให้เป็นอย่างดีตรงที่ว่า มีขันธ์ห้า หรือ ขันธ์สี่ อยู่ที่จิตในขณะที่มีฌาน ดังนี้ ). *--๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า; ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/125-129/156-158. http://etipitaka.com/read/thai/13/125/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๕๗-๑๖๑/๑๕๖-๑๕๘. http://etipitaka.com/read/pali/13/157/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=995 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85 ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่; การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น แล้ว จักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ; เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น. ...... อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ; เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะ อนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียน กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่งธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง. อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างบนนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น แม้ข้อความที่ละเปยยาลไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อนเข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ.... ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) ๑ ; เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะ อนาคามี ๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า; ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่งธัมมราคะธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง. อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้ มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า) . . . . อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ) . . . . อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีหรือแค่...โอ้อวด? 🤔 สำรวจพฤติกรรม "อวดเก่ง อวดรวย อวดสุข" ที่อาจทำให้เสียโอกาส พลาดการเติบโต

    จิตวิทยาความอยากอวดในยุคโซเชียล ทั้งอวดเก่ง อวดรวย อวดสุข มันคือความภูมิใจ หรือแค่สร้างภาพ? แล้วจะเติบโตโดยไม่ต้องโชว์ยังไง?

    จะพาสำรวจพฤติกรรมการโอ้อวด ในสังคมยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการอวดเก่ง อวดรวย หรืออวดความสุข พร้อมแนะแนวทางการเติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องใช้การโชว์เป็นเครื่องมือ

    🌐 โลกยุคแชร์ได้ในพริบตา ในโลกที่โซเชียลมีเดีย กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างก็มี “เวที” เป็นของตัวเอง ✨ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ TikTok ใครๆ ก็สามารถโพสต์ แชร์ และบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ได้แบบเรียลไทม์

    แต่เคยสงสัยไหมว่า...
    ทำไมบางโพสต์ถึงรู้สึกเหมือนเป็น "การโชว์"?
    ทำไมบางคนดูเหมือนต้อง “ยืนยัน” ตัวเองตลอดเวลา?

    อวดว่าเก่ง
    อวดว่าได้เงิน
    อวดว่าแฮปปี้สุดๆ 🏆💰😊

    แล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อน "ตัวตนจริง" หรือเป็นแค่ "ภาพที่สร้างขึ้น"? จะพาเจาะลึกเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมเสนอแนวทางใหม่ ในการเติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องโชว์ให้ใครเห็น 💡

    🌱 ความแตกต่างระหว่าง "ความภูมิใจที่แท้จริง" กับ "การโอ้อวด" 🌟 ก่อนที่เราจะลงลึก สำคัญมากที่เราจะต้องแยกให้ออกก่อนว่า...

    ความภูมิใจที่แท้จริง = ความรู้สึกดีในสิ่งที่เราสร้างขึ้น ด้วยความพยายาม

    การโอ้อวด = การแสดงออกเพื่อให้คนอื่นเห็นและยอมรับ แม้บางครั้งจะไม่ได้มาจากความจริงภายใน

    ความภูมิใจคือ การ "รู้ว่าเราทำได้"

    การอวดคือ การ "อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราทำได้" 😌✨

    ลองถามตัวเอง...

    🔍 ฉันโพสต์สิ่งนี้ เพราะภูมิใจในตัวเอง หรือเพราะอยากให้คนอื่นชื่นชม? คำตอบนั้น จะบอกได้เลยว่า เรากำลัง “เติบโต” หรือแค่ “แสดงตัวตน”

    พฤติกรรม “อวดเก่ง” 😎 ที่ต้องบอกว่าเราเก่ง? เพราะ...

    ความต้องการการยอมรับ มนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการพื้นฐานคือ “การได้รับการยอมรับ” จากสังคม 🧠 ในยุคที่ใครๆ ก็แชร์ได้ การโพสต์ความสำเร็จ กลายเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ ได้ง่ายที่สุด

    แต่คำถามคือ... ❓ ถ้าเราเก่งจริง เราต้องบอกทุกคนตลอดเวลาหรือเปล่า?

    อวดเก่ง = หยุดพัฒนา คนที่มัวแต่ “อวดว่าเก่ง” มักจะลืมไปว่า “การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด” เพราะพอได้รับคำชมแล้ว อาจทำให้รู้สึกว่า "เราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนาอีก" 😵‍💫

    สัญญาณที่ควรเช็กตัวเอง โพสต์ความสำเร็จ บ่อยกว่าความพยายามหรือเปล่า? เวลาคุยกับคนอื่น มักจะเน้นว่า “เราทำอะไรได้ดี” มากกว่าการ “เรียนรู้จากคนอื่น” หรือไม่?

    💬 หากคำตอบคือ "ใช่"... บางทีเรากำลังหลงอยู่กับภาพของตัวเอง

    พฤติกรรม “อวดรวย” 💸 ความมั่งคั่งที่แท้จริง ต้องโชว์หรือไม่?

    ความรวยที่แท้จริง "เงียบ" เสมอ จากงานวิจัยของ "มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด" พบว่า คนที่มีความมั่นคงทางการเงิน มักไม่รู้สึกต้องโชว์ เพราะพวกเขา “ไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น” 💼

    ✅ รวยจริง = มั่นใจ
    ❌ อวดรวย = แสวงหาการยอมรับ

    การอวดมักมาจาก “ความขาด” หลายครั้งที่การอวดเรื่องเงินทอง มาจาก "ความรู้สึกไม่เพียงพอ" ภายในใจ 🥺 คนที่เคยลำบาก อาจรู้สึกต้องโชว์ว่าตัวเอง "มีแล้ว" คนที่ยังกลัวความจน มักจะแสดงออกเพื่อปกปิดความกลัว

    พฤติกรรมที่เห็นได้ชัดคือ อวดของแบรนด์เนม แต่มีหนี้บัตรเครดิต 😬 โชว์ไลฟ์สไตล์หรู แต่ไม่มีการลงทุนในความรู้ หรือสุขภาพของตัวเอง

    พฤติกรรม “อวดสุข” 😊🌈 มีความสุขจริง หรือแค่ต้องการให้คนอื่นอิจฉา?

    ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องโชว์ คนที่มีความสุขจริง มักอยู่กับตัวเองหรือคนที่รัก ไม่รู้สึกจำเป็นต้องแชร์ทุกโมเมนต์ เพราะเขาไม่ต้องการการยืนยันจากคนอื่น 💖

    เมื่อ “อวดสุข” = “ฉันเหนือกว่า” โพสต์อาหารดี วิวสวย หรือชีวิตคู่สุดโรแมนติกตลอดเวลา... บางครั้งอาจกลายเป็นการแข่งขันทางอารมณ์ ที่หลอกตัวเองว่า “ฉันชนะแล้ว”

    🚨 นั่นคือกับดักของการเปรียบเทียบ!

    🚪 การ “อวด” ทำให้เสียโอกาส ❌ ไม่มีเวลาเรียนรู้ การมัวแต่สร้างภาพ ทำให้ไม่มีเวลา “เรียนรู้จริง” เพราะใช้พลังไปกับ การทำให้คนอื่นเชื่อว่าเราเก่ง เรารวย เรามีความสุข 😓

    ติดกับดักคำชม เมื่อเราต้องการคำชมมากเกินไป เราจะเริ่ม “ทำทุกอย่างเพื่อให้คนชอบ” แทนที่จะ “ทำในสิ่งที่เรารัก”

    เครียดจากการเปรียบเทียบ เมื่อเราอยากชนะจากการเปรียบเทียบ มันสร้างความกดดันให้เราต้อง “ดูดีกว่า” อยู่เสมอ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอย่างมาก 😵‍💫

    จะเติบโตได้ยังไง โดยไม่ต้องโชว์? 🌿🚀

    ✅ ฟกัสที่ “การเติบโต” ไม่ใช่ “ภาพลักษณ์” ถามตัวเองบ่อยๆ ว่า... สิ่งที่ฉันทำวันนี้ มันช่วยให้ฉันดีขึ้นจริงไหม? หรือแค่ทำเพื่อให้คนอื่นเห็น?

    ✅ สื่อสารแบบ “ภูมิใจ” ไม่ใช่ “โอ้อวด” ความภูมิใจคือ การแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อ “สร้างแรงบันดาลใจ” ไม่ใช่เพื่อ “ข่มคนอื่น” 🗣️

    ✅ มีความสุขแบบไม่ต้องโชว์ ลองอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับสิ่งเล็กๆ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือเดินเล่น โดยไม่ต้องถ่ายรูปแชร์ทุกครั้ง 🍃📚

    ✅ เปลี่ยนคำถามในใจ จาก “คนอื่นจะคิดยังไง?” 👉 เป็น “สิ่งนี้ทำให้ฉันเติบโตไหม?” หรือ “สิ่งนี้สะท้อนตัวตนของฉันจริงหรือเปล่า?”

    🧘‍♂️ ในยุคที่ใครๆ ก็สามารถสร้างภาพได้ คนที่ “เงียบแต่ลึก” กลับน่าสนใจกว่า

    จงเป็นคนที่ มี มากกว่าคนที่ต้อง โชว์ว่ามี เพราะสุดท้าย... ความสุขจริง ไม่ได้อยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ที่ใจของเราเอง 💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231249 เม.ย. 2568

    📲 #อวดเก่ง #อวดรวย #อวดสุข #ภูมิใจไม่อวด #เติบโตจากภายใน #ไม่ต้องโชว์ก็สุขได้ #สุขแบบเงียบๆ #ชีวิตเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง #แค่มีไม่ต้องโชว์ #จิตวิทยาโซเชียล
    มีหรือแค่...โอ้อวด? 🤔 สำรวจพฤติกรรม "อวดเก่ง อวดรวย อวดสุข" ที่อาจทำให้เสียโอกาส พลาดการเติบโต จิตวิทยาความอยากอวดในยุคโซเชียล ทั้งอวดเก่ง อวดรวย อวดสุข มันคือความภูมิใจ หรือแค่สร้างภาพ? แล้วจะเติบโตโดยไม่ต้องโชว์ยังไง? จะพาสำรวจพฤติกรรมการโอ้อวด ในสังคมยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการอวดเก่ง อวดรวย หรืออวดความสุข พร้อมแนะแนวทางการเติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องใช้การโชว์เป็นเครื่องมือ 🌐 โลกยุคแชร์ได้ในพริบตา ในโลกที่โซเชียลมีเดีย กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างก็มี “เวที” เป็นของตัวเอง ✨ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ TikTok ใครๆ ก็สามารถโพสต์ แชร์ และบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ได้แบบเรียลไทม์ แต่เคยสงสัยไหมว่า... ทำไมบางโพสต์ถึงรู้สึกเหมือนเป็น "การโชว์"? ทำไมบางคนดูเหมือนต้อง “ยืนยัน” ตัวเองตลอดเวลา? อวดว่าเก่ง อวดว่าได้เงิน อวดว่าแฮปปี้สุดๆ 🏆💰😊 แล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อน "ตัวตนจริง" หรือเป็นแค่ "ภาพที่สร้างขึ้น"? จะพาเจาะลึกเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมเสนอแนวทางใหม่ ในการเติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องโชว์ให้ใครเห็น 💡 🌱 ความแตกต่างระหว่าง "ความภูมิใจที่แท้จริง" กับ "การโอ้อวด" 🌟 ก่อนที่เราจะลงลึก สำคัญมากที่เราจะต้องแยกให้ออกก่อนว่า... ความภูมิใจที่แท้จริง = ความรู้สึกดีในสิ่งที่เราสร้างขึ้น ด้วยความพยายาม การโอ้อวด = การแสดงออกเพื่อให้คนอื่นเห็นและยอมรับ แม้บางครั้งจะไม่ได้มาจากความจริงภายใน ความภูมิใจคือ การ "รู้ว่าเราทำได้" การอวดคือ การ "อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราทำได้" 😌✨ ลองถามตัวเอง... 🔍 ฉันโพสต์สิ่งนี้ เพราะภูมิใจในตัวเอง หรือเพราะอยากให้คนอื่นชื่นชม? คำตอบนั้น จะบอกได้เลยว่า เรากำลัง “เติบโต” หรือแค่ “แสดงตัวตน” พฤติกรรม “อวดเก่ง” 😎 ที่ต้องบอกว่าเราเก่ง? เพราะ... ความต้องการการยอมรับ มนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการพื้นฐานคือ “การได้รับการยอมรับ” จากสังคม 🧠 ในยุคที่ใครๆ ก็แชร์ได้ การโพสต์ความสำเร็จ กลายเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ ได้ง่ายที่สุด แต่คำถามคือ... ❓ ถ้าเราเก่งจริง เราต้องบอกทุกคนตลอดเวลาหรือเปล่า? อวดเก่ง = หยุดพัฒนา คนที่มัวแต่ “อวดว่าเก่ง” มักจะลืมไปว่า “การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด” เพราะพอได้รับคำชมแล้ว อาจทำให้รู้สึกว่า "เราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนาอีก" 😵‍💫 สัญญาณที่ควรเช็กตัวเอง โพสต์ความสำเร็จ บ่อยกว่าความพยายามหรือเปล่า? เวลาคุยกับคนอื่น มักจะเน้นว่า “เราทำอะไรได้ดี” มากกว่าการ “เรียนรู้จากคนอื่น” หรือไม่? 💬 หากคำตอบคือ "ใช่"... บางทีเรากำลังหลงอยู่กับภาพของตัวเอง พฤติกรรม “อวดรวย” 💸 ความมั่งคั่งที่แท้จริง ต้องโชว์หรือไม่? ความรวยที่แท้จริง "เงียบ" เสมอ จากงานวิจัยของ "มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด" พบว่า คนที่มีความมั่นคงทางการเงิน มักไม่รู้สึกต้องโชว์ เพราะพวกเขา “ไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น” 💼 ✅ รวยจริง = มั่นใจ ❌ อวดรวย = แสวงหาการยอมรับ การอวดมักมาจาก “ความขาด” หลายครั้งที่การอวดเรื่องเงินทอง มาจาก "ความรู้สึกไม่เพียงพอ" ภายในใจ 🥺 คนที่เคยลำบาก อาจรู้สึกต้องโชว์ว่าตัวเอง "มีแล้ว" คนที่ยังกลัวความจน มักจะแสดงออกเพื่อปกปิดความกลัว พฤติกรรมที่เห็นได้ชัดคือ อวดของแบรนด์เนม แต่มีหนี้บัตรเครดิต 😬 โชว์ไลฟ์สไตล์หรู แต่ไม่มีการลงทุนในความรู้ หรือสุขภาพของตัวเอง พฤติกรรม “อวดสุข” 😊🌈 มีความสุขจริง หรือแค่ต้องการให้คนอื่นอิจฉา? ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องโชว์ คนที่มีความสุขจริง มักอยู่กับตัวเองหรือคนที่รัก ไม่รู้สึกจำเป็นต้องแชร์ทุกโมเมนต์ เพราะเขาไม่ต้องการการยืนยันจากคนอื่น 💖 เมื่อ “อวดสุข” = “ฉันเหนือกว่า” โพสต์อาหารดี วิวสวย หรือชีวิตคู่สุดโรแมนติกตลอดเวลา... บางครั้งอาจกลายเป็นการแข่งขันทางอารมณ์ ที่หลอกตัวเองว่า “ฉันชนะแล้ว” 🚨 นั่นคือกับดักของการเปรียบเทียบ! 🚪 การ “อวด” ทำให้เสียโอกาส ❌ ไม่มีเวลาเรียนรู้ การมัวแต่สร้างภาพ ทำให้ไม่มีเวลา “เรียนรู้จริง” เพราะใช้พลังไปกับ การทำให้คนอื่นเชื่อว่าเราเก่ง เรารวย เรามีความสุข 😓 ติดกับดักคำชม เมื่อเราต้องการคำชมมากเกินไป เราจะเริ่ม “ทำทุกอย่างเพื่อให้คนชอบ” แทนที่จะ “ทำในสิ่งที่เรารัก” เครียดจากการเปรียบเทียบ เมื่อเราอยากชนะจากการเปรียบเทียบ มันสร้างความกดดันให้เราต้อง “ดูดีกว่า” อยู่เสมอ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอย่างมาก 😵‍💫 จะเติบโตได้ยังไง โดยไม่ต้องโชว์? 🌿🚀 ✅ ฟกัสที่ “การเติบโต” ไม่ใช่ “ภาพลักษณ์” ถามตัวเองบ่อยๆ ว่า... สิ่งที่ฉันทำวันนี้ มันช่วยให้ฉันดีขึ้นจริงไหม? หรือแค่ทำเพื่อให้คนอื่นเห็น? ✅ สื่อสารแบบ “ภูมิใจ” ไม่ใช่ “โอ้อวด” ความภูมิใจคือ การแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อ “สร้างแรงบันดาลใจ” ไม่ใช่เพื่อ “ข่มคนอื่น” 🗣️ ✅ มีความสุขแบบไม่ต้องโชว์ ลองอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับสิ่งเล็กๆ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือเดินเล่น โดยไม่ต้องถ่ายรูปแชร์ทุกครั้ง 🍃📚 ✅ เปลี่ยนคำถามในใจ จาก “คนอื่นจะคิดยังไง?” 👉 เป็น “สิ่งนี้ทำให้ฉันเติบโตไหม?” หรือ “สิ่งนี้สะท้อนตัวตนของฉันจริงหรือเปล่า?” 🧘‍♂️ ในยุคที่ใครๆ ก็สามารถสร้างภาพได้ คนที่ “เงียบแต่ลึก” กลับน่าสนใจกว่า จงเป็นคนที่ มี มากกว่าคนที่ต้อง โชว์ว่ามี เพราะสุดท้าย... ความสุขจริง ไม่ได้อยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ที่ใจของเราเอง 💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231249 เม.ย. 2568 📲 #อวดเก่ง #อวดรวย #อวดสุข #ภูมิใจไม่อวด #เติบโตจากภายใน #ไม่ต้องโชว์ก็สุขได้ #สุขแบบเงียบๆ #ชีวิตเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง #แค่มีไม่ต้องโชว์ #จิตวิทยาโซเชียล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร
    สัทธรรมลำดับที่ : 949
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=949
    ชื่อบทธรรม : -แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร
    (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสข้อความปรารภการสงครามระหว่างเทวดากับอสูร
    : ถ้าฝ่ายใดแพ้ถูกไล่ติดตามไปจนถึงภพเป็นที่อยู่แห่งตน
    ก็พ้นจาการถูกไล่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน.
    สรุปความว่า ภพแห่งตนเป็นที่พึ่งที่ต้านทานของตน สำหรับชนสามัญทั่วไป;
    ส่วนสำหรับภิกษุนั้น ตรัสว่า :-
    )​
    --ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น
    : ในสมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง &​ปฐมฌาน
    อันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่ ;
    --ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมคิดอย่างนี้ว่า
    “ในกาลนี้ เรา มีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ มารจะไม่ทำอะไรได้”.
    --ภิกษุ ท. ! แม้มารผู้มีบาป ก็คิดอย่างนี้ว่า
    “ในกาลนี้ ภิกษุมีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ เราจะทำอะไรไม่ได้”.
    (ในกรณีแห่ง
    &ทุติยฌาน...
    &ตติยฌาน... และ
    &จตุตถฌาน...
    ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน
    ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว
    จักข้ามไปยังข้อความที่กล่าวถึง อากาสานัญจายตนะ :-
    )
    --ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะก้าวล่วงซึ่ง รูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง
    เพราะการดับไปแห่ง ปฏิฆสัญญา
    เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่ง นานัตตสัญญา
    จึงเข้าถึง &​อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศ ไม่มีที่สิ้นสุด”
    ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า
    ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป
    ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น.
    (ในกรณีแห่ฌานที่ถัดไป คือ
    &วิญญาณัญจายตนะ...
    &อากิญจัญญายตนะ... และ
    &เนวสัญญานาสัญญายตนะ....
    ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน
    ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว.
    ส่วนในกรณีแห่งสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น ได้ตรัสว่า:-
    )
    --ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะก้าวล่วงซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง
    จึงเข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่,
    #อาสวะของเธอก็สิ้นสุดไปเพราะเห็นแล้วด้วยปัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/456/?keywords=อาสวา+ปริกฺขีณา+โหนฺติ
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า
    ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป
    ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น ,
    ข้ามได้แล้วซึ่งเครื่องข้อง (คือตัณหา) ในโลก
    ดังนี้.-
    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า เมื่อจิตอยู่ในปฐมฌาน,
    เพียงเท่านั้นจิตก็จะพ้นจากการรบกวนทำร้ายของมาร
    คือนิวรณ์ กิเลส และความรู้สึกอันเป็นทุกข์อื่นๆ
    เพราะอำนาจของปฐมฌานมีมากพอที่จะระงับความรู้สึกอันเป็นทุกข์นั้นเสียได้
    แม้ไม่ตลอดไปก็ต้องได้ในระยะหนึ่งๆ เพื่อเป็นโอกาสให้ได้ปฏิบัติสูงขึ้นไป จนถึงที่สุด.
    ดังนั้น เราควรฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดในปฐมฌาน
    สำหรับ เป็นที่หลบภัยจากมารเมื่อไรก็ได้ ดังกล่าวแล้ว
    ).

    #สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก.อ. 23/350-353/243.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/350/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก.อ. ๒๓/๔๕๐-๔๕๓/๒๔๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/450/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=949
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=949
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81
    ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร สัทธรรมลำดับที่ : 949 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=949 ชื่อบทธรรม : -แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร เนื้อความทั้งหมด :- --แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสข้อความปรารภการสงครามระหว่างเทวดากับอสูร : ถ้าฝ่ายใดแพ้ถูกไล่ติดตามไปจนถึงภพเป็นที่อยู่แห่งตน ก็พ้นจาการถูกไล่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน. สรุปความว่า ภพแห่งตนเป็นที่พึ่งที่ต้านทานของตน สำหรับชนสามัญทั่วไป; ส่วนสำหรับภิกษุนั้น ตรัสว่า :- )​ --ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในสมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง &​ปฐมฌาน อันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่ ; --ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมคิดอย่างนี้ว่า “ในกาลนี้ เรา มีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ มารจะไม่ทำอะไรได้”. --ภิกษุ ท. ! แม้มารผู้มีบาป ก็คิดอย่างนี้ว่า “ในกาลนี้ ภิกษุมีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ เราจะทำอะไรไม่ได้”. (ในกรณีแห่ง &ทุติยฌาน... &ตติยฌาน... และ &จตุตถฌาน... ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว จักข้ามไปยังข้อความที่กล่าวถึง อากาสานัญจายตนะ :- ) --ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่ง รูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะการดับไปแห่ง ปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่ง นานัตตสัญญา จึงเข้าถึง &​อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศ ไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น. (ในกรณีแห่ฌานที่ถัดไป คือ &วิญญาณัญจายตนะ... &อากิญจัญญายตนะ... และ &เนวสัญญานาสัญญายตนะ.... ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว. ส่วนในกรณีแห่งสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น ได้ตรัสว่า:- ) --ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่, #อาสวะของเธอก็สิ้นสุดไปเพราะเห็นแล้วด้วยปัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/23/456/?keywords=อาสวา+ปริกฺขีณา+โหนฺติ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น , ข้ามได้แล้วซึ่งเครื่องข้อง (คือตัณหา) ในโลก ดังนี้.- (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า เมื่อจิตอยู่ในปฐมฌาน, เพียงเท่านั้นจิตก็จะพ้นจากการรบกวนทำร้ายของมาร คือนิวรณ์ กิเลส และความรู้สึกอันเป็นทุกข์อื่นๆ เพราะอำนาจของปฐมฌานมีมากพอที่จะระงับความรู้สึกอันเป็นทุกข์นั้นเสียได้ แม้ไม่ตลอดไปก็ต้องได้ในระยะหนึ่งๆ เพื่อเป็นโอกาสให้ได้ปฏิบัติสูงขึ้นไป จนถึงที่สุด. ดังนั้น เราควรฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดในปฐมฌาน สำหรับ เป็นที่หลบภัยจากมารเมื่อไรก็ได้ ดังกล่าวแล้ว ). #สัมมาสมาธิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก.อ. 23/350-353/243. http://etipitaka.com/read/thai/23/350/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก.อ. ๒๓/๔๕๐-๔๕๓/๒๔๓. http://etipitaka.com/read/pali/23/450/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=949 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=949 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81 ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ในสูตรอื่นแสดงอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นไว้ด้วยการ รู้ชัดการเกิดขึ้นและความดับไปแห่งขันธ์ห้า ก็มี. - ๑๗/๒๐/๓๐. (ดูรายละเอียดของความเกิดและความดับแห่งขันธ์ห้า ในหนังสือ ปฏิจจ. โอ. หน้า ๒๕๙ - ๒๖๒ และที่หน้า ๓๓๘ - ๓๔๑ .
    -(ในสูตรอื่นแสดงอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นไว้ด้วยการ รู้ชัดการเกิดขึ้นและความดับไปแห่งขันธ์ห้า ก็มี. - ๑๗/๒๐/๓๐. (ดูรายละเอียดของความเกิดและความดับแห่งขันธ์ห้า ในหนังสือ ปฏิจจ. โอ. หน้า ๒๕๙ - ๒๖๒ และที่หน้า ๓๓๘ - ๓๔๑ . ในสูตรอื่นแสดงไว้ด้วยการ รู้ชัดอริยสัจสี่ ก็มี ดังที่ได้ยกมาไว้ในภาคนำแห่งหนังสือเล่มนี้ ที่หน้า ๗๕. ในสูตรอื่นแสดงไว้ด้วยการ รู้ชัดอายตนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่างคือ จักษุ รูป จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดขึ้นจากจักขุสัมผัส ฯลฯ รวมเป็นรู้ชัดอายตนิกธรรม ๓๐ อย่าง ว่าเป็นอนิจจัง ก็มี. - ๑๘/๑๐๐/๑๔๘. ในสูตรอื่นแสดงไว้ด้วยการปรากฏของอายตนิกธรรมทั้ง ๖ หมวดนั้น โดยความเป็นอนิจจัง ก็มี. - ๑๘/๑๘๑/๒๕๐). แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่าเป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสข้อความปรารภการสงครามระหว่างเทวดากับอสูร : ถ้าฝ่ายใดแพ้ถูกไล่ติดตามไปจนถึงภพเป็นที่อยู่แห่งตน ก็พ้นจาการถูกไล่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน. สรุปความว่า ภพแห่งตนเป็นที่พึ่งที่ต้านทานของตน สำหรับชนสามัญทั่วไป; ส่วนสำหรับภิกษุนั้น ตรัสว่า :-) ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในสมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่ ; ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมคิดอย่างนี้ว่า “ในกาลนี้ เรา มีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ มารจะไม่ทำอะไรได้”. ภิกษุ ท. ! แม้มารผู้มีบาป ก็คิดอย่างนี้ว่า “ในกาลนี้ ภิกษุมีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำหรับสัตว์ผู้กลัว อยู่ เราจะทำอะไรไม่ได้”. (ในกรณีแห่ง ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว จักข้ามไปยังข้อความที่กล่าวถึงอากาสานัญจายตนะ :-) ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะการดับไปแห่ง ปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ทำไว้ในใจ ซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศ ไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น. (ในกรณีแห่ฌานที่ถัดไป คือ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ได้ตรัสข้อความทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌาน ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ไว้ ในที่นี้ให้ยืดยาว. ส่วนในกรณีแห่งสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น ได้ตรัสว่า:-) ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่, อาสวะของเธอก็สิ้นสุดไป เพราะเห็นแล้วด้วยปัญญา. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้กระทำมารให้ถึงที่สุด ให้ไม่มีทางไป ได้ถึงที่ซึ่งจักษุของมารผู้มีบาปมองไม่เห็น , ข้ามได้แล้วซึ่งเครื่องข้อง (คือตัณหา) ในโลก ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์สั่ง “ระงับ” ความช่วยเหลือยูเครนเพื่อบีบเซเลนสกีร่วมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย ลั่นไม่อดทนกับผู้นำเคียฟอีกต่อไป ด้านรองประธานาธิบดีแวนซ์ก็สำทับวิพากษ์วิจารณ์ยุโรปกำลังทำให้ยูเครนตกอยู่ในอันตรายด้วยการไม่กดดันให้เซเลนสกีหาทางยุติสงคราม แต่กลับสนับสนุนให้เคียฟสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ทางยูเครนแถลงวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า กองทหารของตนซึ่งกำลังสู้รบกับฝ่ายรัสเซียอยู่ ยังสามารถรักษาสถานการณ์ในสมรภูมิเอาไว้ได้ด้วยตัวเอง
    .
    ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นหลังการประชุมที่กลายเป็นการปะทะคารมอย่างดุเดือด ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา โดยที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ รุมทึ้งโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่ไม่ยินยอมเข้าเจรจาสร้างสันติภาพกับรัสเซียโดยรวดเร็ว รวมทั้งกล่าวหาประธานาธิบดียูเครน ไม่เคารพและไม่สำนึกบุญคุณอเมริกาอย่างเพียงพอ ทั้งที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางทหารเป็นจำนวนมหาศาลนับจากเคียฟถูกรัสเซียรุกรานเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
    .
    ในวันจันทร์ (3) สื่อต่างๆ พากันรายงานข่าวโดยอ้างเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผย ว่า ทรัมป์เวลานี้โฟกัสอยู่ที่การทำให้บรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และต้องการให้เซเลนสกีมุ่งมั่นกับเป้าหมายเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้อเมริกาได้ระงับเพื่อดำเนินการทบทวนความช่วยเหลือที่ให้แก่ยูเครนแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุประสงค์ของทรัมป์ดังกล่าวข้างต้นจะบรรลุผล โดยคำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้จนกว่าทรัมป์จะตัดสินใจว่า ยูเครนแสดงความมุ่งมั่นในการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย
    .
    ความเคลื่อนไหวคราวนี้มีความร้ายแรงยิ่งกว่าที่ทรัมป์ประกาศตอนกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเสียอีก โดยในตอนนั้นเป็นการระบุว่าสหรัฐฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือใหม่ๆ แก่ยูเครน แต่สำหรับคำสั่งล่าสุดนี้เป็นการระงับการจัดส่งอาวุธที่รวมถึงกระสุนและขีปนาวุธ ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน แล้ว แต่ยังอยู่ในกระบวนการจัดหาและจัดส่ง
    .
    ทางด้านสมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภาสหรัฐฯ ออกมาแสดงปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วด้วยการประณามการตัดสินใจครั้งนี้ของทรัมป์ เป็นต้นว่า ส.ว. จีน ชาฮีน ซึ่งเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา ตำหนิว่า การระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเท่ากับว่า ทรัมป์เปิดกว้างให้ปูตินรุกรานและกระทำรุนแรงต่อประชาชนยูเครนหนักข้อขึ้นซึ่งจะส่งผลร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
    .
    ทรัมป์ที่ประกาศระหว่างหาเสียงว่า จะทำให้สงครามในยูเครนยุติลงตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนั้น แสดงความไม่พอใจเซเลนสกีมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่ยังคงต้องทำสงครามต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็แสดงความเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียจะรักษาสันติภาพ หากบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายยูเครน
    .
    หลังจากที่สื่อรายงานว่า เซเลนสกีที่ให้สัมภาษณ์พวกผู้สื่อข่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ (2) ว่า น่าจะอีกนานมากกว่าที่สงครามจะยุติ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเจรจาข้อตกลง ทรัมป์ก็อยู่ในอาการฟิวส์ขาด ระบุว่า เป็นคำพูดที่แย่ที่สุดของประธานาธิบดียูเครน และอเมริกาจะไม่อดทนอีกต่อไป
    .
    ด้านเซเลนสกีพยายามอธิบายผ่านโซเชียลมีเดียว่า ยูเครนกำลังพยายามดำเนินมาตรการทางการทูตเพื่อให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุด และย้ำว่า ยูเครนต้องการสันติภาพที่แท้จริงและการรับประกันความมั่นคง ทว่า ทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้การรับประกันดังกล่าวมาโดยตลอด
    .
    ในส่วนของ แวนซ์ เขากล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อทีวีฟ็อกซ์ นิวส์ที่ ออกอากาศช่วงค่ำวันจันทร์ว่า พันธมิตรยุโรปกำลังทำให้ยูเครนตกอยู่ในอันตรายด้วยการไม่กดดันให้เซเลนสกีหาทางยุติสงคราม แต่กลับสนับสนุนให้ยูเครนสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด คำถามคือยูเครนจะเอาเงินและอาวุธจากไหนมาสู้ และจะต้องแลกด้วยชีวิตใครบ้าง
    .
    อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า ข้อตกลงลงทุนในแร่ธาตุของยูเครนยังมีทางสามารถบรรลุผลได้ และเขาจะอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดคืนวันอังคาร (4 มี.ค.) ระหว่างแถลงต่อการประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐฯ
    .
    เกี่ยวกับข้อตกลงฉบับนี้ คณะบริหารทรัมป์ มองว่า มันคือค่าชดเชยที่อเมริกาควรได้รับจากการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและการทหารแก่เคียฟหลายแสนล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    .
    ขณะที่แวนซ์กล่าวผ่านฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ถ้าเซเลนสกีต้องการการรับประกันความมั่นคง และอยากมั่นใจว่า ปูตินจะไม่รุกรานยูเครนอีก การเปิดทางให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าไปมีส่วนร่วมในอนาคตของยูเครนคือการรับประกันที่ดีที่สุด
    .
    ยูเครนโวยังมีหนทางประคองสถานการณ์ที่แนวหน้า
    .
    ในวันอังคาร (4) ภายหลังรายงานข่าวเรื่องสหรัฐฯ ระงับการส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนแพร่ออกไป นายกรัฐมนตรี เดนิส ชมีฮัล ของยูเครน ออกมาแถลงว่า เคียฟยังคงมีหนทางที่จะส่งกำลังบำรุงให้แก่กองทหารของตนเอง “กองทัพของเราและรัฐบาลมีสมรรถนะ มีเครื่องมือ พูดได้ว่าอย่างนั้น ที่จะประคองสถานการณ์ในแนวหน้าเอาไว้” เขากล่าว
    .
    ชมีฮัล ยังกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ และย้ำว่ายูเครนต้องการความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
    .
    “เราจะยังคงทำงานกับสหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงด้วยความสงบสุขุม” เขากล่าวในการแถลงข่าว “เรามีแผนการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเพื่อชัยชนะและเพื่อความอยู่รอด เราจะชนะหรือไม่ยังงัยก็จะต้องเจอกับแผนบี ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาโดยคนอื่นๆ”
    .
    สำหรับตัวเซเลนสกีเองนั้น เก็บตัวค่อนข้างเงียบเชียบ จนกระทั่งถึงบ่ายวันอังคารในกรุงเคียฟ สิ่งที่เขาแถลงต่อสาธารณชนก็มีเพียงว่าเขาได้พูดจากับ ฟรีดริช เมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พร้อมกับเน้นย้ำถึงความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางการเงินที่ได้รับจากเยอรมนี
    .
    “เราจักจดจำไว้ว่าเยอรมนีคือผู้นำในเรื่องการจัดหาจัดส่งระบบการป้องกันภัยทางอากาศให้แก่ยูเครน และแสดงบทบาทที่สำคัญยิ่งยวดในการรับประกันเสถียรภาพทางการเงินของเรา” เขาโพสต์ข้อความเช่นนี้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ภายหลังคุยโทรศัพท์กับเมร์ซ
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้เชี่ยวชาญทางทหารของฝ่ายตะวันตกบอกว่า อาจจะกินเวลาไปอีกระยะหนึ่งกว่าที่ผลกระทบจากการถูกตัดขาดความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะเป็นที่รู้สึกกัน ทั้งนี้เมื่อตอนที่งบประมาณความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ถูกแขวนเอาไว้เป็นเวลาหลายเดือนทีเดียวในปีที่แล้ว โดยฝีมือของพวกสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาล่าง ผลกระทบเบื้องต้นที่รู้สึกกันมากที่สุดคือการขาดแคลนอาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่จะสามารถสอยขีปนาวุธและโดรนของฝ่ายรัสเซีย ถึงแม้ในเวลาต่อมาทางกองทหารยูเครนร้องเรียนว่าพวกเครื่องกระสุนต่างๆ ในแนวน้าร่อยหรอลงไปมาก
    .
    “มันมีความสำคัญมากทีเดียว ทว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นถ้าหากมันเป็นช่วงก่อนหน้านี้ของสงคราม เพราะยูเครนเวลานี้ต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ โดยตรง ลดน้อยลงไปมากแล้ว” เป็นความเห็นของไมเคิล คอฟแมน นักวิจัยอาวุโสของคาร์เนกี เอนดาวเมนต์
    .
    ผลกระทบต่อพันธมิตรในยุโรปของสหรัฐฯ
    .
    การที่สหรัฐฯ ระงับจัดส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนคราวนี้ เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อพวกชาติพันธมิตรในยุโรปของสหรัฐฯ โดยที่ชาติเหล่านี้เองได้แสดงท่าทีออกมาปลอบขวัญโอบอุ้มเซเลนสกีอย่างเปิดเผยภายหลังจากเหตุการณ์ปะทะคารมเดือดที่ทำเนียบขาว
    .
    มีรายงานว่าเวลานี้ยุโรปกำลังเร่งรีบเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายทางทหารของพวกเขาเอง และในวันอังคาร (4) อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป ได้เปิดเผยข้อเสนอต่างๆ ที่มุ่งเพิ่มพูนการใช้จ่ายทางทหารในอียู ซึ่งเธอกล่าวว่าอาจจะระดมเงินในเรื่องนี้ออกมาได้สูงถึง 800,000 ล้านยูโร (840,000 ล้านดอลลาร์) กันทีเดียว ทั้งนี้อียูมีกำหนดจัดการประชุมฉุกเฉินในเรื่องเกี่ยวกับยูเครนในวันพฤหัสบดี (6) นี้
    .
    ในฝรั่งเศส เบนจามิน ฮัดดัด รัฐมนตรีช่วยดูแลด้านยุโรป ได้ออกมากล่าวประณามการระงับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ คราวนี้ โดยกล่าวว่ามันทำให้สันติภาพ “ห่างไกลออกไปมากขึ้น เพราะมันมีแต่ทำให้เงื้อมมือของผู้รุกราน ... ซึ่งก็คือรัสเซีย เข้มแข็งยิ่งขึ้น”
    .
    ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงทีท่าต้องการดึงให้คณะบริหารทรัมป์ยังคงอยู่ข้างๆ ตัว ไม่แตกแถวออกไปไกลกว่านี้ แสดงท่าทีสุขุมรอบคอบยิ่งกว่า โดยที่นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้พูดจาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ในคืนวันจันทร์ (3) ตามการแถลงของโฆษกผู้หนึ่งของสตาร์เมอร์ แต่ไม่ได้ระบุว่าทรมป์ได้เอ่ยถึงเรื่องการระงับความช่วยเหลือนี้หรือไม่
    .
    “ท่านนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังโฟกัสอยู่ที่ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน นั่นคือการทำให้เกิดสันติภาพที่มั่นคงและยั่งยืนขึ้นมาในยูเครน” โฆษกผู้นี้บอก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021233
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์สั่ง “ระงับ” ความช่วยเหลือยูเครนเพื่อบีบเซเลนสกีร่วมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย ลั่นไม่อดทนกับผู้นำเคียฟอีกต่อไป ด้านรองประธานาธิบดีแวนซ์ก็สำทับวิพากษ์วิจารณ์ยุโรปกำลังทำให้ยูเครนตกอยู่ในอันตรายด้วยการไม่กดดันให้เซเลนสกีหาทางยุติสงคราม แต่กลับสนับสนุนให้เคียฟสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ทางยูเครนแถลงวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า กองทหารของตนซึ่งกำลังสู้รบกับฝ่ายรัสเซียอยู่ ยังสามารถรักษาสถานการณ์ในสมรภูมิเอาไว้ได้ด้วยตัวเอง . ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นหลังการประชุมที่กลายเป็นการปะทะคารมอย่างดุเดือด ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา โดยที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ รุมทึ้งโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่ไม่ยินยอมเข้าเจรจาสร้างสันติภาพกับรัสเซียโดยรวดเร็ว รวมทั้งกล่าวหาประธานาธิบดียูเครน ไม่เคารพและไม่สำนึกบุญคุณอเมริกาอย่างเพียงพอ ทั้งที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางทหารเป็นจำนวนมหาศาลนับจากเคียฟถูกรัสเซียรุกรานเมื่อ 3 ปีที่แล้ว . ในวันจันทร์ (3) สื่อต่างๆ พากันรายงานข่าวโดยอ้างเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผย ว่า ทรัมป์เวลานี้โฟกัสอยู่ที่การทำให้บรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และต้องการให้เซเลนสกีมุ่งมั่นกับเป้าหมายเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้อเมริกาได้ระงับเพื่อดำเนินการทบทวนความช่วยเหลือที่ให้แก่ยูเครนแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุประสงค์ของทรัมป์ดังกล่าวข้างต้นจะบรรลุผล โดยคำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้จนกว่าทรัมป์จะตัดสินใจว่า ยูเครนแสดงความมุ่งมั่นในการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย . ความเคลื่อนไหวคราวนี้มีความร้ายแรงยิ่งกว่าที่ทรัมป์ประกาศตอนกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเสียอีก โดยในตอนนั้นเป็นการระบุว่าสหรัฐฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือใหม่ๆ แก่ยูเครน แต่สำหรับคำสั่งล่าสุดนี้เป็นการระงับการจัดส่งอาวุธที่รวมถึงกระสุนและขีปนาวุธ ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน แล้ว แต่ยังอยู่ในกระบวนการจัดหาและจัดส่ง . ทางด้านสมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภาสหรัฐฯ ออกมาแสดงปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วด้วยการประณามการตัดสินใจครั้งนี้ของทรัมป์ เป็นต้นว่า ส.ว. จีน ชาฮีน ซึ่งเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา ตำหนิว่า การระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเท่ากับว่า ทรัมป์เปิดกว้างให้ปูตินรุกรานและกระทำรุนแรงต่อประชาชนยูเครนหนักข้อขึ้นซึ่งจะส่งผลร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย . ทรัมป์ที่ประกาศระหว่างหาเสียงว่า จะทำให้สงครามในยูเครนยุติลงตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนั้น แสดงความไม่พอใจเซเลนสกีมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่ยังคงต้องทำสงครามต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็แสดงความเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียจะรักษาสันติภาพ หากบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายยูเครน . หลังจากที่สื่อรายงานว่า เซเลนสกีที่ให้สัมภาษณ์พวกผู้สื่อข่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ (2) ว่า น่าจะอีกนานมากกว่าที่สงครามจะยุติ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเจรจาข้อตกลง ทรัมป์ก็อยู่ในอาการฟิวส์ขาด ระบุว่า เป็นคำพูดที่แย่ที่สุดของประธานาธิบดียูเครน และอเมริกาจะไม่อดทนอีกต่อไป . ด้านเซเลนสกีพยายามอธิบายผ่านโซเชียลมีเดียว่า ยูเครนกำลังพยายามดำเนินมาตรการทางการทูตเพื่อให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุด และย้ำว่า ยูเครนต้องการสันติภาพที่แท้จริงและการรับประกันความมั่นคง ทว่า ทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้การรับประกันดังกล่าวมาโดยตลอด . ในส่วนของ แวนซ์ เขากล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อทีวีฟ็อกซ์ นิวส์ที่ ออกอากาศช่วงค่ำวันจันทร์ว่า พันธมิตรยุโรปกำลังทำให้ยูเครนตกอยู่ในอันตรายด้วยการไม่กดดันให้เซเลนสกีหาทางยุติสงคราม แต่กลับสนับสนุนให้ยูเครนสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด คำถามคือยูเครนจะเอาเงินและอาวุธจากไหนมาสู้ และจะต้องแลกด้วยชีวิตใครบ้าง . อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า ข้อตกลงลงทุนในแร่ธาตุของยูเครนยังมีทางสามารถบรรลุผลได้ และเขาจะอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดคืนวันอังคาร (4 มี.ค.) ระหว่างแถลงต่อการประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐฯ . เกี่ยวกับข้อตกลงฉบับนี้ คณะบริหารทรัมป์ มองว่า มันคือค่าชดเชยที่อเมริกาควรได้รับจากการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและการทหารแก่เคียฟหลายแสนล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา . ขณะที่แวนซ์กล่าวผ่านฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ถ้าเซเลนสกีต้องการการรับประกันความมั่นคง และอยากมั่นใจว่า ปูตินจะไม่รุกรานยูเครนอีก การเปิดทางให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าไปมีส่วนร่วมในอนาคตของยูเครนคือการรับประกันที่ดีที่สุด . ยูเครนโวยังมีหนทางประคองสถานการณ์ที่แนวหน้า . ในวันอังคาร (4) ภายหลังรายงานข่าวเรื่องสหรัฐฯ ระงับการส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนแพร่ออกไป นายกรัฐมนตรี เดนิส ชมีฮัล ของยูเครน ออกมาแถลงว่า เคียฟยังคงมีหนทางที่จะส่งกำลังบำรุงให้แก่กองทหารของตนเอง “กองทัพของเราและรัฐบาลมีสมรรถนะ มีเครื่องมือ พูดได้ว่าอย่างนั้น ที่จะประคองสถานการณ์ในแนวหน้าเอาไว้” เขากล่าว . ชมีฮัล ยังกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ และย้ำว่ายูเครนต้องการความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย . “เราจะยังคงทำงานกับสหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงด้วยความสงบสุขุม” เขากล่าวในการแถลงข่าว “เรามีแผนการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเพื่อชัยชนะและเพื่อความอยู่รอด เราจะชนะหรือไม่ยังงัยก็จะต้องเจอกับแผนบี ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาโดยคนอื่นๆ” . สำหรับตัวเซเลนสกีเองนั้น เก็บตัวค่อนข้างเงียบเชียบ จนกระทั่งถึงบ่ายวันอังคารในกรุงเคียฟ สิ่งที่เขาแถลงต่อสาธารณชนก็มีเพียงว่าเขาได้พูดจากับ ฟรีดริช เมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พร้อมกับเน้นย้ำถึงความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางการเงินที่ได้รับจากเยอรมนี . “เราจักจดจำไว้ว่าเยอรมนีคือผู้นำในเรื่องการจัดหาจัดส่งระบบการป้องกันภัยทางอากาศให้แก่ยูเครน และแสดงบทบาทที่สำคัญยิ่งยวดในการรับประกันเสถียรภาพทางการเงินของเรา” เขาโพสต์ข้อความเช่นนี้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ภายหลังคุยโทรศัพท์กับเมร์ซ . ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้เชี่ยวชาญทางทหารของฝ่ายตะวันตกบอกว่า อาจจะกินเวลาไปอีกระยะหนึ่งกว่าที่ผลกระทบจากการถูกตัดขาดความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะเป็นที่รู้สึกกัน ทั้งนี้เมื่อตอนที่งบประมาณความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ถูกแขวนเอาไว้เป็นเวลาหลายเดือนทีเดียวในปีที่แล้ว โดยฝีมือของพวกสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาล่าง ผลกระทบเบื้องต้นที่รู้สึกกันมากที่สุดคือการขาดแคลนอาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่จะสามารถสอยขีปนาวุธและโดรนของฝ่ายรัสเซีย ถึงแม้ในเวลาต่อมาทางกองทหารยูเครนร้องเรียนว่าพวกเครื่องกระสุนต่างๆ ในแนวน้าร่อยหรอลงไปมาก . “มันมีความสำคัญมากทีเดียว ทว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นถ้าหากมันเป็นช่วงก่อนหน้านี้ของสงคราม เพราะยูเครนเวลานี้ต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ โดยตรง ลดน้อยลงไปมากแล้ว” เป็นความเห็นของไมเคิล คอฟแมน นักวิจัยอาวุโสของคาร์เนกี เอนดาวเมนต์ . ผลกระทบต่อพันธมิตรในยุโรปของสหรัฐฯ . การที่สหรัฐฯ ระงับจัดส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนคราวนี้ เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อพวกชาติพันธมิตรในยุโรปของสหรัฐฯ โดยที่ชาติเหล่านี้เองได้แสดงท่าทีออกมาปลอบขวัญโอบอุ้มเซเลนสกีอย่างเปิดเผยภายหลังจากเหตุการณ์ปะทะคารมเดือดที่ทำเนียบขาว . มีรายงานว่าเวลานี้ยุโรปกำลังเร่งรีบเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายทางทหารของพวกเขาเอง และในวันอังคาร (4) อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป ได้เปิดเผยข้อเสนอต่างๆ ที่มุ่งเพิ่มพูนการใช้จ่ายทางทหารในอียู ซึ่งเธอกล่าวว่าอาจจะระดมเงินในเรื่องนี้ออกมาได้สูงถึง 800,000 ล้านยูโร (840,000 ล้านดอลลาร์) กันทีเดียว ทั้งนี้อียูมีกำหนดจัดการประชุมฉุกเฉินในเรื่องเกี่ยวกับยูเครนในวันพฤหัสบดี (6) นี้ . ในฝรั่งเศส เบนจามิน ฮัดดัด รัฐมนตรีช่วยดูแลด้านยุโรป ได้ออกมากล่าวประณามการระงับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ คราวนี้ โดยกล่าวว่ามันทำให้สันติภาพ “ห่างไกลออกไปมากขึ้น เพราะมันมีแต่ทำให้เงื้อมมือของผู้รุกราน ... ซึ่งก็คือรัสเซีย เข้มแข็งยิ่งขึ้น” . ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงทีท่าต้องการดึงให้คณะบริหารทรัมป์ยังคงอยู่ข้างๆ ตัว ไม่แตกแถวออกไปไกลกว่านี้ แสดงท่าทีสุขุมรอบคอบยิ่งกว่า โดยที่นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้พูดจาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ในคืนวันจันทร์ (3) ตามการแถลงของโฆษกผู้หนึ่งของสตาร์เมอร์ แต่ไม่ได้ระบุว่าทรมป์ได้เอ่ยถึงเรื่องการระงับความช่วยเหลือนี้หรือไม่ . “ท่านนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังโฟกัสอยู่ที่ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน นั่นคือการทำให้เกิดสันติภาพที่มั่นคงและยั่งยืนขึ้นมาในยูเครน” โฆษกผู้นี้บอก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021233 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2817 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดตัวเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ของ Angry Miao ที่ชื่อว่า Infinity Mouse เมาส์ตัวนี้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "เมาส์แบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด" หรือ "Infinite Battery" แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมาส์นี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 1.2 วินาทีเท่านั้น

    Angry Miao ได้โปรโมตเมาส์นี้ผ่านแพลตฟอร์ม Kickstarter โดยมีความสำเร็จอย่างมาก โดยได้ระดมทุนมากกว่า $71,000 แม้ว่าการเปิดเผยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สัญญาไว้ว่าจะมีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ยังไม่เกิดขึ้น และคาดว่าจะต้องรอจนถึงวันที่ 10 มีนาคม

    ที่น่าสนใจคือ เมาส์นี้ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาเพียง 50 กรัม และผลิตจากโลหะ มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ต Lotus และใช้เซนเซอร์ PAW3950 ที่มีอัตราการโพล 8K พร้อมปุ่มสวิตช์คุณภาพสูง

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการตลาดของเมาส์นี้ โดยเฉพาะการอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทั้งนี้ แม้ว่าเมาส์นี้จะมีความสามารถในการชาร์จอย่างรวดเร็ว แต่การอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุดอาจเป็นเรื่องเกินจริง

    เมื่อมองในด้านดี เมาส์นี้ยังมีการออกแบบที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพที่ดี ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการเมาส์น้ำหนักเบาและสามารถชาร์จได้รวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/peripherals/angry-miao-claims-new-gaming-mouse-offers-infinite-battery-premium-tri-mode-mouse-maker-makes-dubious-claims
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดตัวเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ของ Angry Miao ที่ชื่อว่า Infinity Mouse เมาส์ตัวนี้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "เมาส์แบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด" หรือ "Infinite Battery" แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมาส์นี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 1.2 วินาทีเท่านั้น Angry Miao ได้โปรโมตเมาส์นี้ผ่านแพลตฟอร์ม Kickstarter โดยมีความสำเร็จอย่างมาก โดยได้ระดมทุนมากกว่า $71,000 แม้ว่าการเปิดเผยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สัญญาไว้ว่าจะมีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ยังไม่เกิดขึ้น และคาดว่าจะต้องรอจนถึงวันที่ 10 มีนาคม ที่น่าสนใจคือ เมาส์นี้ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาเพียง 50 กรัม และผลิตจากโลหะ มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ต Lotus และใช้เซนเซอร์ PAW3950 ที่มีอัตราการโพล 8K พร้อมปุ่มสวิตช์คุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการตลาดของเมาส์นี้ โดยเฉพาะการอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทั้งนี้ แม้ว่าเมาส์นี้จะมีความสามารถในการชาร์จอย่างรวดเร็ว แต่การอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุดอาจเป็นเรื่องเกินจริง เมื่อมองในด้านดี เมาส์นี้ยังมีการออกแบบที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพที่ดี ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการเมาส์น้ำหนักเบาและสามารถชาร์จได้รวดเร็ว https://www.tomshardware.com/peripherals/angry-miao-claims-new-gaming-mouse-offers-infinite-battery-premium-tri-mode-mouse-maker-makes-dubious-claims
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Angry Miao claims new gaming mouse offers ‘infinite battery’ — premium tri-mode mouse maker makes dubious claims
    The AM Infinity Mouse might be better described as an ‘Instant Charging Mouse’ (1.2s charging), though.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1702 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงาน CES 2025 ที่เพิ่งจบลงไป Intel ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือคอมพิวเตอร์พกพาแบบโมดูลาร์และแล็ปท็อป "Lunar Lake" ที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ เช่น หน้าจอที่สามารถเปลี่ยนได้และบานพับที่มีมอเตอร์ช่วยเปิด-ปิด

    Intel ได้เริ่มสำรวจการพัฒนาอุปกรณ์โมดูลาร์ที่สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ง่ายๆ โดยผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจเนื่องจากความสะดวกในการอัปเกรดชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงในงานนี้มีการออกแบบที่ล้ำสมัยและมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วแบบ FHD ที่สามารถเปลี่ยนได้

    นอกจากนี้ Intel ยังได้แสดงแล็ปท็อป "Lunar Lake" ที่มีบานพับมอเตอร์ช่วยเปิด-ปิด และมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การติดตามสายตา ระบบเมาส์แบบวงแหวน และแผ่นชาร์จไร้สาย Qi ที่ติดตั้งบนที่พักมือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกพัฒนาโดย Quanta ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ชื่อดังจากไต้หวัน

    แม้ว่า Intel ยังไม่ได้เปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะวางจำหน่ายในตลาดหรือไม่ แต่แนวคิดเบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็น่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    https://wccf.tech/1fsu8
    ในงาน CES 2025 ที่เพิ่งจบลงไป Intel ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือคอมพิวเตอร์พกพาแบบโมดูลาร์และแล็ปท็อป "Lunar Lake" ที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ เช่น หน้าจอที่สามารถเปลี่ยนได้และบานพับที่มีมอเตอร์ช่วยเปิด-ปิด Intel ได้เริ่มสำรวจการพัฒนาอุปกรณ์โมดูลาร์ที่สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ง่ายๆ โดยผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจเนื่องจากความสะดวกในการอัปเกรดชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงในงานนี้มีการออกแบบที่ล้ำสมัยและมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วแบบ FHD ที่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ Intel ยังได้แสดงแล็ปท็อป "Lunar Lake" ที่มีบานพับมอเตอร์ช่วยเปิด-ปิด และมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การติดตามสายตา ระบบเมาส์แบบวงแหวน และแผ่นชาร์จไร้สาย Qi ที่ติดตั้งบนที่พักมือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกพัฒนาโดย Quanta ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ชื่อดังจากไต้หวัน แม้ว่า Intel ยังไม่ได้เปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะวางจำหน่ายในตลาดหรือไม่ แต่แนวคิดเบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็น่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ไม่มีที่สิ้นสุด https://wccf.tech/1fsu8
    WCCF.TECH
    Intel Showcases Next-Gen Modular Handheld & "Lunar Lake" Laptops At CES 2025; Swappable Screens, Motorized Hinges & Much More
    Intel presented its concepts of "modular computing" products at CES 2025, featuring next-gen laptops and a unique handheld design.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวเลขที่น่าทึ่งมาก—ผู้คนทั่วโลกกว่า 420 ล้านคนเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัล และแนวโน้มนี้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ! ต่อไปนี้คือข้อมูลเชิงลึกที่น่าประหลาดใจจากสถิติการเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลล่าสุด:1️⃣ อินเดียเป็นผู้นำด้วยจำนวนเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 103 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเงินดิจิทัลกำลังปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่อย่างไร 2️⃣ ประเทศไทย (9.32%)ของจำนวนเจ้าของคริปโต 6.7ล้านคน และบราซิลกับปากีสถาน (6.40%) ตามมาใกล้ชิด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น 3️⃣ ไนจีเรียได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของสกุลเงินดิจิทัลของแอฟริกาอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้ 12.8 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังปฏิวัติการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนอย่างไร สกุลเงินดิจิทัลไม่ใช่แค่สินทรัพย์เท่านั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่ปรับเปลี่ยนมุมมองของคนที่มีต่อเงิน อำนาจ และความเป็นเจ้าของ ตั้งแต่การลงทุนไปจนถึงการโอนเงิน กรณีการใช้งานนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ทำไมการนำคริปโตมาใช้จึงเพิ่มขึ้น• การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ผู้คนในเศรษฐกิจเกิดใหม่มองหาทางเลือกอื่นแทนสกุลเงินเฟียตที่ผันผวน• การทำธุรกรรมไร้พรมแดน: ไม่มีตัวกลาง เพียงแค่มีโซลูชันที่เร็วกว่าและถูกกว่า!• นวัตกรรมฟินเทคที่กำลังเติบโต: แพลตฟอร์มทำให้คริปโตเข้าถึงได้แม้กระทั่งบุคคลที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นที่สังเกตว่าการใช้งานคริปโตเป็นโอกาสของนักลงทุนโลกสีเทาที่มั่งคั่งร่ำรวยจากการฟอกเงินที่ได้จากคอรัปชั่นหรือมาจากขบวนการแก๊ง call center จากบ่อนการพนัน หรือการเรียกค่าไถ่ มัลแวร์ และมาจากการค้าสิ่งผิดกฎหมาย ที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินไม่ได้
    ตัวเลขที่น่าทึ่งมาก—ผู้คนทั่วโลกกว่า 420 ล้านคนเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัล และแนวโน้มนี้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ! ต่อไปนี้คือข้อมูลเชิงลึกที่น่าประหลาดใจจากสถิติการเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลล่าสุด:1️⃣ อินเดียเป็นผู้นำด้วยจำนวนเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 103 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเงินดิจิทัลกำลังปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่อย่างไร 2️⃣ ประเทศไทย (9.32%)ของจำนวนเจ้าของคริปโต 6.7ล้านคน และบราซิลกับปากีสถาน (6.40%) ตามมาใกล้ชิด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น 3️⃣ ไนจีเรียได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของสกุลเงินดิจิทัลของแอฟริกาอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้ 12.8 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังปฏิวัติการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนอย่างไร สกุลเงินดิจิทัลไม่ใช่แค่สินทรัพย์เท่านั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่ปรับเปลี่ยนมุมมองของคนที่มีต่อเงิน อำนาจ และความเป็นเจ้าของ ตั้งแต่การลงทุนไปจนถึงการโอนเงิน กรณีการใช้งานนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ทำไมการนำคริปโตมาใช้จึงเพิ่มขึ้น• การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ผู้คนในเศรษฐกิจเกิดใหม่มองหาทางเลือกอื่นแทนสกุลเงินเฟียตที่ผันผวน• การทำธุรกรรมไร้พรมแดน: ไม่มีตัวกลาง เพียงแค่มีโซลูชันที่เร็วกว่าและถูกกว่า!• นวัตกรรมฟินเทคที่กำลังเติบโต: แพลตฟอร์มทำให้คริปโตเข้าถึงได้แม้กระทั่งบุคคลที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นที่สังเกตว่าการใช้งานคริปโตเป็นโอกาสของนักลงทุนโลกสีเทาที่มั่งคั่งร่ำรวยจากการฟอกเงินที่ได้จากคอรัปชั่นหรือมาจากขบวนการแก๊ง call center จากบ่อนการพนัน หรือการเรียกค่าไถ่ มัลแวร์ และมาจากการค้าสิ่งผิดกฎหมาย ที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินไม่ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 543 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงคราว Deep State
    "มาริยานา เบซุกลายา" (Maryana Bezuglaya) นักการเมืองยูเครน อดีตหัวหน้าคณะอนุกรรมการด้านการควบคุมพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยประจำรัฐสภายูเครน (ภายหลังถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะวิจารณ์กองทัพมากเกินไป) กล่าวว่า ทีมงานของ Deep State สื่อออนไลน์ชื่อดังของยูเครน ถูกระดมพลเข้าสู่แนวหน้า

    บางรายงานระบุว่าพวกเขาหลบหนีไปโรมาเนียได้ทันเวลาก่อนถูกจับตัว

    ที่ผ่านมาช่องสื่อสาร Deep State ทำหน้าที่เหมือน Rybar ของฝ่ายรัสเซีย มีการเผยแพร่แผนที่ปฏิบัติการทางทหารที่ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ​​และยังเผยแพร่รายงานปัญหาต่างๆทีเกิดขึ้นในกองทัพยูเครนอยู่เสมอ

    มีข่าวลือมาตลอดว่า Syrsky ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนไม่ค่อยพอใจการนำเสนอข่าวแง่ลบของ Deep State สักเท่าไหร่ (ยูเครนมีแต่พ่ายแพ้และถอยทัพ ใครก็คงรายงานด้านบวกไม่ได้!)

    ตามที่ เบซุกลายา กล่าว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพยูเครนพยายามหาเหตุผลเพื่อจับกุมทีมงาน Deep State และส่งเข้าสู่แนวหน้า

    ทางด้านทีมงานของ Deep State ออกมายืนยันว่า พวกเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกองบัญชาการกองทัพยูเครนอย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:

    “เราทำงานและทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมอเพื่อชัยชนะและช่วยเหลือผู้ต่อสู้และประเทศของเรา

    นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจมากที่สุดในสังคม และที่สำคัญที่สุดคือในกองทัพ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีแผนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยูเครนและทั่วโลก

    แต่โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ใช่ทุกคนจะชอบความจริง และนั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย

    เราขอขอบคุณทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการสนับสนุนของพวกท่าน ผู้คนจำนวนมากเขียนและโทรหาเรา การสนับสนุนนี้ยอดเยี่ยมมาก และมันทำให้เรามีกำลังใจและแรงบันดาลใจ! พวกคุณทุกคนสุดยอดมาก! เราทำงานเพื่อชัยชนะ และเราจะไม่ยอมแพ้!

    คำโกหกจะทำลายเราทุกคน!”

    ถึงคราว Deep State "มาริยานา เบซุกลายา" (Maryana Bezuglaya) นักการเมืองยูเครน อดีตหัวหน้าคณะอนุกรรมการด้านการควบคุมพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยประจำรัฐสภายูเครน (ภายหลังถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะวิจารณ์กองทัพมากเกินไป) กล่าวว่า ทีมงานของ Deep State สื่อออนไลน์ชื่อดังของยูเครน ถูกระดมพลเข้าสู่แนวหน้า บางรายงานระบุว่าพวกเขาหลบหนีไปโรมาเนียได้ทันเวลาก่อนถูกจับตัว ที่ผ่านมาช่องสื่อสาร Deep State ทำหน้าที่เหมือน Rybar ของฝ่ายรัสเซีย มีการเผยแพร่แผนที่ปฏิบัติการทางทหารที่ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ​​และยังเผยแพร่รายงานปัญหาต่างๆทีเกิดขึ้นในกองทัพยูเครนอยู่เสมอ มีข่าวลือมาตลอดว่า Syrsky ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนไม่ค่อยพอใจการนำเสนอข่าวแง่ลบของ Deep State สักเท่าไหร่ (ยูเครนมีแต่พ่ายแพ้และถอยทัพ ใครก็คงรายงานด้านบวกไม่ได้!) ตามที่ เบซุกลายา กล่าว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพยูเครนพยายามหาเหตุผลเพื่อจับกุมทีมงาน Deep State และส่งเข้าสู่แนวหน้า ทางด้านทีมงานของ Deep State ออกมายืนยันว่า พวกเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกองบัญชาการกองทัพยูเครนอย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้: “เราทำงานและทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมอเพื่อชัยชนะและช่วยเหลือผู้ต่อสู้และประเทศของเรา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจมากที่สุดในสังคม และที่สำคัญที่สุดคือในกองทัพ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีแผนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยูเครนและทั่วโลก แต่โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ใช่ทุกคนจะชอบความจริง และนั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย เราขอขอบคุณทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการสนับสนุนของพวกท่าน ผู้คนจำนวนมากเขียนและโทรหาเรา การสนับสนุนนี้ยอดเยี่ยมมาก และมันทำให้เรามีกำลังใจและแรงบันดาลใจ! พวกคุณทุกคนสุดยอดมาก! เราทำงานเพื่อชัยชนะ และเราจะไม่ยอมแพ้! คำโกหกจะทำลายเราทุกคน!”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมตตาเสมอกัน: หลักปฏิบัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทุกสถานะ

    การมองคนอื่นในด้านดีและสร้างไมตรีจิตโดยไม่แบ่งแยกนั้น ไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ยังส่งผลให้จิตใจเราเองเบาสบาย ไม่ถูกครอบงำด้วยความอคติหรือการแบ่งแยกใดๆ หลักการสำคัญอยู่ที่ "เมตตาเสมอกัน" ซึ่งหมายถึงการปรารถนาดีต่อทุกคนในฐานะเพื่อนร่วมโลก แม้จะมีความแตกต่างในบทบาทหรือสถานะ

    ---

    1. ปฏิบัติตามฐานะ แต่เมตตาเท่าเทียมกัน

    ลูกน้องต่อเจ้านาย: ให้ความเคารพและปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ไม่ยอมลดคุณค่าตัวเอง มองเจ้านายในฐานะผู้ร่วมงานที่ต้องการความสำเร็จเช่นกัน

    เจ้านายต่อลูกน้อง: แสดงความใส่ใจ สนับสนุน และให้คำปรึกษา ด้วยความปรารถนาดี ไม่มองลูกน้องเป็นเพียงเครื่องมือ แต่เห็นเขาเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ

    เพื่อนร่วมงานต่อกัน: ปฏิบัติอย่างเป็นมิตร แบ่งปัน และช่วยเหลือกัน โดยไม่มองกันเป็นคู่แข่งหรือแบ่งชนชั้นในทีม

    ---

    2. มองในด้านดีและสร้างไมตรีจิต

    มองในด้านดี: เห็นจุดเด่นหรือสิ่งที่น่าชื่นชมในตัวผู้อื่น แม้บางครั้งอาจมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ให้เลือกที่จะเน้นในส่วนที่ดี

    ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา: หลีกเลี่ยงความคิดแบ่งแยกตามสถานะ ความคิดเห็น หรือความแตกต่างอื่นๆ

    สร้างไมตรีจิต: ใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดี เช่น การกล่าวคำขอบคุณ การยิ้ม หรือการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ

    ---

    3. กระแสจิตใจที่สร้างสุข

    การปรากฏตัวที่ให้ความรู้สึกดี: การปรากฏตัวของเราควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและอบอุ่น เช่น การทักทายด้วยความจริงใจ

    คำพูดที่สร้างสุข: พูดในสิ่งที่เป็นกำลังใจ สร้างพลังบวก และช่วยให้ผู้อื่นมองโลกในแง่ดี

    กระแสจิตใจที่ดี: แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่การมีจิตที่เมตตาและปรารถนาดีจริงๆ จะส่งผลให้คนรอบตัวรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย

    ---

    ผลของเมตตาเสมอกัน

    ต่อผู้อื่น: ทำให้ผู้อื่นรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการยอมรับ และมีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติตัวในทางที่ดี

    ต่อตนเอง: เกิดความสงบสุขในใจ เพราะไม่มีความอคติหรือความรู้สึกแบ่งแยกมารบกวน

    ต่อสังคม: สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ลดความขัดแย้ง และส่งเสริมบรรยากาศที่เกื้อกูลกัน

    ---

    เมตตาเสมอกัน คือเครื่องมือในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในทุกสถานะ หากทุกคนปฏิบัติด้วยใจเมตตาและไมตรีจิต โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยพลังบวกและความสุขที่ส่งต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
    เมตตาเสมอกัน: หลักปฏิบัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทุกสถานะ การมองคนอื่นในด้านดีและสร้างไมตรีจิตโดยไม่แบ่งแยกนั้น ไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ยังส่งผลให้จิตใจเราเองเบาสบาย ไม่ถูกครอบงำด้วยความอคติหรือการแบ่งแยกใดๆ หลักการสำคัญอยู่ที่ "เมตตาเสมอกัน" ซึ่งหมายถึงการปรารถนาดีต่อทุกคนในฐานะเพื่อนร่วมโลก แม้จะมีความแตกต่างในบทบาทหรือสถานะ --- 1. ปฏิบัติตามฐานะ แต่เมตตาเท่าเทียมกัน ลูกน้องต่อเจ้านาย: ให้ความเคารพและปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ไม่ยอมลดคุณค่าตัวเอง มองเจ้านายในฐานะผู้ร่วมงานที่ต้องการความสำเร็จเช่นกัน เจ้านายต่อลูกน้อง: แสดงความใส่ใจ สนับสนุน และให้คำปรึกษา ด้วยความปรารถนาดี ไม่มองลูกน้องเป็นเพียงเครื่องมือ แต่เห็นเขาเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ เพื่อนร่วมงานต่อกัน: ปฏิบัติอย่างเป็นมิตร แบ่งปัน และช่วยเหลือกัน โดยไม่มองกันเป็นคู่แข่งหรือแบ่งชนชั้นในทีม --- 2. มองในด้านดีและสร้างไมตรีจิต มองในด้านดี: เห็นจุดเด่นหรือสิ่งที่น่าชื่นชมในตัวผู้อื่น แม้บางครั้งอาจมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ให้เลือกที่จะเน้นในส่วนที่ดี ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา: หลีกเลี่ยงความคิดแบ่งแยกตามสถานะ ความคิดเห็น หรือความแตกต่างอื่นๆ สร้างไมตรีจิต: ใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดี เช่น การกล่าวคำขอบคุณ การยิ้ม หรือการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ --- 3. กระแสจิตใจที่สร้างสุข การปรากฏตัวที่ให้ความรู้สึกดี: การปรากฏตัวของเราควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและอบอุ่น เช่น การทักทายด้วยความจริงใจ คำพูดที่สร้างสุข: พูดในสิ่งที่เป็นกำลังใจ สร้างพลังบวก และช่วยให้ผู้อื่นมองโลกในแง่ดี กระแสจิตใจที่ดี: แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่การมีจิตที่เมตตาและปรารถนาดีจริงๆ จะส่งผลให้คนรอบตัวรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย --- ผลของเมตตาเสมอกัน ต่อผู้อื่น: ทำให้ผู้อื่นรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการยอมรับ และมีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติตัวในทางที่ดี ต่อตนเอง: เกิดความสงบสุขในใจ เพราะไม่มีความอคติหรือความรู้สึกแบ่งแยกมารบกวน ต่อสังคม: สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ลดความขัดแย้ง และส่งเสริมบรรยากาศที่เกื้อกูลกัน --- เมตตาเสมอกัน คือเครื่องมือในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในทุกสถานะ หากทุกคนปฏิบัติด้วยใจเมตตาและไมตรีจิต โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยพลังบวกและความสุขที่ส่งต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความดีของโทนี่เหลี่ยม ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก

    ก - โกงกิน
    ข - ขายชาติ
    ค - คบคนพาล
    ฆ - ฆ่าตัดตอน ยาเสพติด
    ง - งก ไม่จ่ายภาษี
    จ - จาบจ้วงเบื้องสูง
    ฉ - ฉ้อฉล แปลงกฏหมายเพื่อประโยชน์ตน
    ช - ชั่วหาที่เปรียบมิได้
    ซ - ซับซ้อน ซ่อนกลเพียงเพื่อผลประโยชน์
    ญ - ญาติตูต้องมาก่อน
    ฐ - ฐานะดี แค่ไหน ก็โกงได้ไม่อายฟ้าดิน
    ฒ - เฒ่าหัวงู มักมากในกาม
    ด - แด๊ก ไม่รู้อิ่ม
    ต - ตบตาคนจน
    ถ - ถร่อย เถื่อนทางจริยธรรม
    ท - ทำลายเศรษฐกิจชาติ
    ธ - ธรรมชาติลงโทษ
    น - นำหางแดงเผาบ้าน เผาเมือง
    บ - บ้าอำนาจ หลงตัวเอง
    ป - ประจาน ประนามประเทศตัวเองออกสื่อนอก
    ผ - ผูกขาดตัตอน ยอกย้อนผลประโยชน์ชาติเข้าตน
    ฝ - ฝากความเลวร้ายไว้บนแผ่นดิน
    พ - พูดปด มดเท็จ
    ฟ - ฟันข้าราชการดี ๆ ออกนอกเส้นทางโกง
    ภ - ภูมิใจในความเลวของตัว
    ม - ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
    ย - ยักยอกทรัพย์สมบัติชาติ
    ร - รกโลก จนต้องร่อนเร่
    ล - ลักลอบขนเงินออกนอก
    ว - วิดีโอลิ้งค์ ปลุกระดมให้เผาบ้าน เผาเมือง
    ศ - เศษคน กากเดนมนษย์
    ส - สนับสนุน คอร์รัปชั่น
    ห - หน้า (หมา) ตัวเมีย
    อ - อธรรม ตัวหัวหน้า
    ฮ - เฮี่ย ... ไม่มีที่สิ้นสุด
    ความดีของโทนี่เหลี่ยม ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ก - โกงกิน ข - ขายชาติ ค - คบคนพาล ฆ - ฆ่าตัดตอน ยาเสพติด ง - งก ไม่จ่ายภาษี จ - จาบจ้วงเบื้องสูง ฉ - ฉ้อฉล แปลงกฏหมายเพื่อประโยชน์ตน ช - ชั่วหาที่เปรียบมิได้ ซ - ซับซ้อน ซ่อนกลเพียงเพื่อผลประโยชน์ ญ - ญาติตูต้องมาก่อน ฐ - ฐานะดี แค่ไหน ก็โกงได้ไม่อายฟ้าดิน ฒ - เฒ่าหัวงู มักมากในกาม ด - แด๊ก ไม่รู้อิ่ม ต - ตบตาคนจน ถ - ถร่อย เถื่อนทางจริยธรรม ท - ทำลายเศรษฐกิจชาติ ธ - ธรรมชาติลงโทษ น - นำหางแดงเผาบ้าน เผาเมือง บ - บ้าอำนาจ หลงตัวเอง ป - ประจาน ประนามประเทศตัวเองออกสื่อนอก ผ - ผูกขาดตัตอน ยอกย้อนผลประโยชน์ชาติเข้าตน ฝ - ฝากความเลวร้ายไว้บนแผ่นดิน พ - พูดปด มดเท็จ ฟ - ฟันข้าราชการดี ๆ ออกนอกเส้นทางโกง ภ - ภูมิใจในความเลวของตัว ม - ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ย - ยักยอกทรัพย์สมบัติชาติ ร - รกโลก จนต้องร่อนเร่ ล - ลักลอบขนเงินออกนอก ว - วิดีโอลิ้งค์ ปลุกระดมให้เผาบ้าน เผาเมือง ศ - เศษคน กากเดนมนษย์ ส - สนับสนุน คอร์รัปชั่น ห - หน้า (หมา) ตัวเมีย อ - อธรรม ตัวหัวหน้า ฮ - เฮี่ย ... ไม่มีที่สิ้นสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลียนแบบ888มาเก๊าเป็นมากัว ไม่รอดตำรวจไซเบอร์

    ก่อนหน้านี้เคยมีเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในไทย นามว่า มาเก๊า 888 (Macau 888) สร้างปรากฎการณ์ด้วยการแต่งเพลง "มาเก๊า 888" โดยแมคคิง หรือนายอนุวัฒน์ คำยา พร้อมกับเอ็มวีที่มีนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ร่วมแสดง กลายเป็นที่เข้าถึงแม้แต่เยาวชนจนน่าเป็นห่วง แต่แล้วถึงกาลอวสาน เมื่อปี 2566 นักแสดงสาว ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กแฉอดีตคนรัก ที่บ้านทำเว็บพนันรายใหญ่ และหนึ่งในพี่น้องกำลังจะแต่งงาน ซึ่งระบุว่าเป็นเครือข่ายมาเก๊า 888 แม้ตำรวจจะจับกุมอดีตคนรักมาดำเนินคดี แต่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลย 7 คน แต่อดีตคนรักรายนั้นยกฟ้อง

    ถึงกระนั้น 888 กลายเป็นเลขที่เครือข่ายการพนันและธุรกิจสีเทานำมาใช้ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขที่นำพาไปสู่ความร่ำรวย แม้ในสายตาคนทั่วไป เลข 888 ลามไปถึงเลข 777 และ 999 ต้องมีคนคิดดีไม่ได้เลยก็ตาม

    การจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มากัว 888 (Macua 888) โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ที่นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และคณะ ทีแรกนึกไปว่าเครือข่ายมาเก๊า 888 กลับมาอีกแล้วหรือ แต่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เป็นการตั้งชื่อให้คล้ายกับเว็บมาเก๊า 888 ที่มีการจับกุมก่อนหน้านี้ สลับตัวกันแค่ตัว A และ U ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน เหตุผลเพราะมาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีชื่อเสียง โด่งดังในกลุ่มนักพนัน และดึงดูดนักพนันให้เข้าเว็บได้ง่ายขึ้น ก็เลยเลียนแบบ มีสมาชิกกว่า 117,000 คน ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 360 ล้านบาท

    ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายอังกฤษ บัวสาย อายุ 28 ปี เจ้าของเว็บพนัน นายภูมิรพี แสงวุธ อายุ 19 ปี แอดมินและดูแลการเงิน นายเจษฎา การภักดี อายุ 23 ปี น.ส.ณิรินทร์ญา ธนินเมธีเมศร์ อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการเงิน และ น.ส.นฤมล ทรัพย์สุข อายุ 27 ปี แอดมินเว็บ พร้อมของกลางเงินสด 6 ล้านบาท รถยนต์หรู นาฬิกา กำไลข้อมือ กระเป๋าแบรนด์เนม อาวุธปืน 2 กระบอก โมเดลอาร์ตทอย มือถือ 22 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 11 ชุด สมุดบัญชี 43 เล่ม และบัตรกดเงินสด 28 ใบ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้จับกุมเครือข่ายหวยใต้ดิน "ห้องซื้อเฮียดัง 888" อีกด้วย

    พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เลข 888 เป็นเลขที่มีความนิยม เพราะเมื่อเอาเลข 8 มาวางเป็นแนวนอนจะแปลเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ในภาษาอังกฤษ แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด ที่หมายถึงตัวเจ้าของจะรวยไม่สิ้นสุด ส่วนคนเล่นจะจนลง จึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนทุกคนว่า ไม่มีใครรวยจากเว็บพนัน คนที่รวยมีเพียงเจ้าของเว็บเท่านั้น

    #Newskit
    เลียนแบบ888มาเก๊าเป็นมากัว ไม่รอดตำรวจไซเบอร์ ก่อนหน้านี้เคยมีเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในไทย นามว่า มาเก๊า 888 (Macau 888) สร้างปรากฎการณ์ด้วยการแต่งเพลง "มาเก๊า 888" โดยแมคคิง หรือนายอนุวัฒน์ คำยา พร้อมกับเอ็มวีที่มีนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ร่วมแสดง กลายเป็นที่เข้าถึงแม้แต่เยาวชนจนน่าเป็นห่วง แต่แล้วถึงกาลอวสาน เมื่อปี 2566 นักแสดงสาว ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กแฉอดีตคนรัก ที่บ้านทำเว็บพนันรายใหญ่ และหนึ่งในพี่น้องกำลังจะแต่งงาน ซึ่งระบุว่าเป็นเครือข่ายมาเก๊า 888 แม้ตำรวจจะจับกุมอดีตคนรักมาดำเนินคดี แต่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลย 7 คน แต่อดีตคนรักรายนั้นยกฟ้อง ถึงกระนั้น 888 กลายเป็นเลขที่เครือข่ายการพนันและธุรกิจสีเทานำมาใช้ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขที่นำพาไปสู่ความร่ำรวย แม้ในสายตาคนทั่วไป เลข 888 ลามไปถึงเลข 777 และ 999 ต้องมีคนคิดดีไม่ได้เลยก็ตาม การจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มากัว 888 (Macua 888) โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ที่นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และคณะ ทีแรกนึกไปว่าเครือข่ายมาเก๊า 888 กลับมาอีกแล้วหรือ แต่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เป็นการตั้งชื่อให้คล้ายกับเว็บมาเก๊า 888 ที่มีการจับกุมก่อนหน้านี้ สลับตัวกันแค่ตัว A และ U ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน เหตุผลเพราะมาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีชื่อเสียง โด่งดังในกลุ่มนักพนัน และดึงดูดนักพนันให้เข้าเว็บได้ง่ายขึ้น ก็เลยเลียนแบบ มีสมาชิกกว่า 117,000 คน ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 360 ล้านบาท ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายอังกฤษ บัวสาย อายุ 28 ปี เจ้าของเว็บพนัน นายภูมิรพี แสงวุธ อายุ 19 ปี แอดมินและดูแลการเงิน นายเจษฎา การภักดี อายุ 23 ปี น.ส.ณิรินทร์ญา ธนินเมธีเมศร์ อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการเงิน และ น.ส.นฤมล ทรัพย์สุข อายุ 27 ปี แอดมินเว็บ พร้อมของกลางเงินสด 6 ล้านบาท รถยนต์หรู นาฬิกา กำไลข้อมือ กระเป๋าแบรนด์เนม อาวุธปืน 2 กระบอก โมเดลอาร์ตทอย มือถือ 22 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 11 ชุด สมุดบัญชี 43 เล่ม และบัตรกดเงินสด 28 ใบ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้จับกุมเครือข่ายหวยใต้ดิน "ห้องซื้อเฮียดัง 888" อีกด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เลข 888 เป็นเลขที่มีความนิยม เพราะเมื่อเอาเลข 8 มาวางเป็นแนวนอนจะแปลเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ในภาษาอังกฤษ แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด ที่หมายถึงตัวเจ้าของจะรวยไม่สิ้นสุด ส่วนคนเล่นจะจนลง จึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนทุกคนว่า ไม่มีใครรวยจากเว็บพนัน คนที่รวยมีเพียงเจ้าของเว็บเท่านั้น #Newskit
    Like
    Haha
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1361 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อความโลภบังตา ยามชราก็ต้องนอนตาราง
    ประเทศไทยในเวลานี้มีเรื่องราวที่วุ่นวาย ชวนหนหวยกันเยอะมาก ล่าสุด เกิดคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ ของหมอบุญ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรีที่คาดกันว่าอาจมีมูลค่าเสียหายมากถึงระดับหมื่นล้านบาท
    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจได้สรุปข้อเท็จจริงว่า หมอบุญและพวก มีการระดมทุนชักชวน ให้นายแพทย์บุญ นําไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ 16,000 พันล้านบาท จํานวนห้าโครงการประกอบด้วย โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า4 000 ล้านบาท โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ําเจ้าพระยา 4-5 พัน ล้านบาท โครงการสร้างโรงพยาบาลในสปป ลาว 3 แห่งรวม 2,000,ล้านบาท โครงการโรงพยาบาลในเวียดนาม 4-5 พันล้านบาท และ โครงการเมดิคอลอินเทเลเจนท์ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี งบลงทุนหนึ่งร้อยล้านบาท
    ซึ่งพฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนนั้นมีลักษณะการไปกู้ยืมกับแหล่งเงินกู้โดยมีภรรยาและลูกสาวเป็นผู้ค้ําประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับมอบให้ผู้เสียหาย
    หลังเปิดโครงการใหญ่ล่อลวงเหยื่อกระเป๋าหนักกว่า 247 คน โดยอดีตเมียกับลูก เข้ามอบตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยการอ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเซ็นค้ําประกันเงินกู้ เมื่อหมอบุญได้หลบหนีออกนอกประเทศเท่ากับว่าคนที่ต้องรับผิดชอบ คือคนในครอบครัวอย่างที่ปรากฏให้เห็น
    ความน่าเชื่อถือที่เคยมีนั้นสูญสลายไปในพริบตาโดยปริยาย สําหรับหมอบุญนั้น ครั้งหนึ่งเคยได้รับยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดสิบเก้าภายหลังประกาศเตรียมนําเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มาให้กับประชาชน แต่กลิ่นแปลกแปลกก็เริ่มเกิดขึ้นเนื่องจากเวลาผ่านไปการนําเข้าวัคซีนของหมอบุญยังไม่เกิดขึ้นแม้แต่เข็มเดียว ทําให้ถูกมองว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสเท่านั้น
    ไม่เชื่อก็เชื่อว่าเหตุใดที่คนรวยมหาศาลเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ดําเนินการภายใต้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงไม่รู้จักพอเช่นนี้ มองในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับมานุษยวิทยาแน่นอนว่า พื้นฐานของมนุษย์นั้นย่อมมีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยแล้วก็อยากรวยขึ้นไปอีก ถ้ารวยตามปกติไม่ได้ ก็ต้องหาทางลัด หากินจากความไว้ใจของประชาชนที่มีเพื่อแสวงหาประโยชน์ก่อนเอาทรัพย์สินที่ได้มา ไปนอนเกาะในต่างประเทศ อันเป็นวิธีการพื้นฐานที่โจรในเสื้อสูทนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสังคมไทยภายใต้ระบบทุนนิยมสุดโต่งเช่นนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    เมื่อความโลภบังตา ยามชราก็ต้องนอนตาราง ประเทศไทยในเวลานี้มีเรื่องราวที่วุ่นวาย ชวนหนหวยกันเยอะมาก ล่าสุด เกิดคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ ของหมอบุญ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรีที่คาดกันว่าอาจมีมูลค่าเสียหายมากถึงระดับหมื่นล้านบาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจได้สรุปข้อเท็จจริงว่า หมอบุญและพวก มีการระดมทุนชักชวน ให้นายแพทย์บุญ นําไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ 16,000 พันล้านบาท จํานวนห้าโครงการประกอบด้วย โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า4 000 ล้านบาท โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ําเจ้าพระยา 4-5 พัน ล้านบาท โครงการสร้างโรงพยาบาลในสปป ลาว 3 แห่งรวม 2,000,ล้านบาท โครงการโรงพยาบาลในเวียดนาม 4-5 พันล้านบาท และ โครงการเมดิคอลอินเทเลเจนท์ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี งบลงทุนหนึ่งร้อยล้านบาท ซึ่งพฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนนั้นมีลักษณะการไปกู้ยืมกับแหล่งเงินกู้โดยมีภรรยาและลูกสาวเป็นผู้ค้ําประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับมอบให้ผู้เสียหาย หลังเปิดโครงการใหญ่ล่อลวงเหยื่อกระเป๋าหนักกว่า 247 คน โดยอดีตเมียกับลูก เข้ามอบตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยการอ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเซ็นค้ําประกันเงินกู้ เมื่อหมอบุญได้หลบหนีออกนอกประเทศเท่ากับว่าคนที่ต้องรับผิดชอบ คือคนในครอบครัวอย่างที่ปรากฏให้เห็น ความน่าเชื่อถือที่เคยมีนั้นสูญสลายไปในพริบตาโดยปริยาย สําหรับหมอบุญนั้น ครั้งหนึ่งเคยได้รับยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดสิบเก้าภายหลังประกาศเตรียมนําเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มาให้กับประชาชน แต่กลิ่นแปลกแปลกก็เริ่มเกิดขึ้นเนื่องจากเวลาผ่านไปการนําเข้าวัคซีนของหมอบุญยังไม่เกิดขึ้นแม้แต่เข็มเดียว ทําให้ถูกมองว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสเท่านั้น ไม่เชื่อก็เชื่อว่าเหตุใดที่คนรวยมหาศาลเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ดําเนินการภายใต้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงไม่รู้จักพอเช่นนี้ มองในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับมานุษยวิทยาแน่นอนว่า พื้นฐานของมนุษย์นั้นย่อมมีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยแล้วก็อยากรวยขึ้นไปอีก ถ้ารวยตามปกติไม่ได้ ก็ต้องหาทางลัด หากินจากความไว้ใจของประชาชนที่มีเพื่อแสวงหาประโยชน์ก่อนเอาทรัพย์สินที่ได้มา ไปนอนเกาะในต่างประเทศ อันเป็นวิธีการพื้นฐานที่โจรในเสื้อสูทนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสังคมไทยภายใต้ระบบทุนนิยมสุดโต่งเช่นนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1089 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 2

    เรื่องของทรัพย์สมบัติในตอนที่แล้ว มันช่างสร้างปัญหาในการดำรงชีวิตมากมาย รวมไปถึงการส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยและการดำเนินชีวิตด้วย

    หากแต่ภูมิปัญหาของพระพุทธเจ้า ได้สอนและจำแนกไว้เป็นอย่างดีและชัดเจนมากๆแล้วว่า ทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ทรัพย์สมบัติภายนอก และทรัพย์สมบัติภายใน

    ตอนนี้เราจะมาลงรายละเอียดของทรัพย์สมบัติภายนอกกันครับ

    ทรัพย์สมบัติภายนอก มีอะไรบ้าง… เงิน , ทอง , บ้าน , รถยนต์ , โทรศัพท์มือถือ , รองเท้า , ปากกา, นาฬิกา หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งที่เรามองออกไปรอบๆตัวที่เห็นทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีทรัพย์สมบัติภายนอกที่เรายึดเอาไว้ว่าเป็นของตัวเอง อีกหลายๆอย่างซึ่งไม่ใช่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ(ของเรา) , โรงเรียน(ของเรา) , พ่อแม่(ของเรา) , ลูก(ของเรา) หรือ สามี/ภรรยา(ของเรา) สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้หรือเปล่า…ไม่แน่ใจ แต่เราก็ยึดไปแล้วว่าเป็นของเรา

    ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่เราเรียกว่าเป็นของเราอีกเช่น ร่างกาย(ของเรา) , ชื่อเสียงเกียรติยศ(ของเรา) , รูปร่างหน้าตา(ของเรา) , ทรงผม(ของเรา) , ความสวย/หล่อ(ของเรา) , ศักดิ์ศรี(ของเรา) หรือภูมิหลัง(ของเรา)

    สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของเราจริงๆหรือเปล่า? ถ้าเป็นของเราจริงๆเราต้องบังคับมันได้ เช่นบังคับให้จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง , บังคับให้(เขา)ทำแบบนั้นแบบนี้ตามใจเรา หรือบังคับไม่ให้มันเสื่อมสภาพไป ซึ่งเราไม่สามารถบังคับอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นของของเราได้ไหม

    สินทรัพย์ภายนอก เราต้องแลกมา หามา ได้มา ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งเรายังคงต้องได้มาจากผู้อื่น ในมุมมองของการหาสินทรัพย์ภายนอกที่เป็นเงิน เราก็ต้องแลกด้วยแรง แลกด้วยส่วนต่างของกำไร แล้วเอาเงินจากอีกคนหรืออีกฝ่ายหนึ่งมา ซึ่งเงินก้อนนี้ก็ถูกดึงมากจากอีกฝ่าย และพวกเขาก็ดึงมากจากผู้อื่นๆ รวมไปถึงเงินของเราก็ยังต้องจับจ่าย ใช้มันออกไปให้คนอื่นเช่นกัน ทรัพย์เหล่านี้สูญเสียไปง่าย เสื่อมค่าก็ง่าย เหมือนว่าวัฎจักรนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย

    ปัญหาหลักของคนเราทุกคนคือการสะสมและการปรียบเทียบทรัพย์สมบัติกับผู้อื่น สมบัติที่ว่าก็คือโดยเฉพาะทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายนอกอย่างที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งของที่เหมือนๆกันทั้งหมด ทั้งเงิน สิ่งของ และอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันง่าย เช่น ฉันเงินเยอะกว่า บ้านหลังใหญ่กว่า รถยนต์พึ่งออกใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่ พวกเราอยู่ในวังวนนี้มาโดยตลอด

    แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก เมื่อมีความเชื่อและความยึดถือว่าคนรวย คนมีทรัพย์มาก เป็นคนเก่ง เป็นคนที่น่านับหน้าถือตา รวมไปถึงอาจจะมีอำนาจวาสนาสูงด้วย ทำให้คนเราต้องไข่วคว้าหาเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ นอกจากต้องการมากแล้ว ยังต้องการให้มีมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินเหล่านอกจากหลายๆคนมีมากมายมาตั้งแต่กำเนิดได้จากมรดกตกทอดมาจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย บางคนหามาได้จากความมานะพยายาม บางคนสติปัญญาดี บางคนดวงดี ซึ่งในคนปกติอย่างเราๆ การหาทรัพย์สมบัติมาด้วยความสุจริตนั้นไม่ได้หามาได้ง่ายๆเลย

    การที่ต้องนำทรัพย์สมบัติสะสมมาเทียบเท่ากับคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหากทำได้เมื่อเทียบกับตัวเทียบที่หนึ่งแล้วยังไงต่อ คนที่เราคิดว่าเราไปเทียบด้วยนั้นรวยแล้วแต่ที่จริงก็ยังมีคนที่รวยกว่าและรวยมากกว่าอีก คนที่จ้องจะเปรียบเทียบก็ต้องเปรียบเทียบกับคู่เปรียบที่รวยกว่าเดิม และเมื่อทำได้มากกว่าคนนี้ก็มองหาคนที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ถ้าพิจารณาดีๆจากคนรวยในโลกแล้วเราจะเห็นว่าคนที่รวยนั้นเขามีความรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ รวยมหารวย ถ้าเปรียบเทียบกันไปแบบนี้ กว่าเราจะตายไปก็คงจะไม่สามารถเป็นคนที่รวยชนะทุกคนในประเทศได้ รวมไปถึงเป็นที่หนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน

    คนที่เห็นคนอื่นมีมาก มีสิ่งของชิ้นใหม่ อยากเป็นคนมีสมบัติมากๆ แต่ความสามารถ ความมีโชค ความขยัน และความอดทน ไม่เท่ากับคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะได้สมบัติมามากๆได้ยังไง เขาก็ต้องหาทางที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่น โกง ปล้น ยักยอก หรือบังคับขู่เข็น และนั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาป สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อ่านที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าทรัพย์สมบัติภายนอกมันต้องได้จากคนอื่นมา เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเห็นได้ตามหน้าสื่อต่างๆมากมาย ผู้กระทำก็ถูกจับติดคุก ติดตาราง บางคนถึงขั้นวางยาพิษผู้เสียหาย

    เรื่องราวของทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่จบ รออ่านตอนที่ 3 นะครับ
    ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 2 เรื่องของทรัพย์สมบัติในตอนที่แล้ว มันช่างสร้างปัญหาในการดำรงชีวิตมากมาย รวมไปถึงการส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยและการดำเนินชีวิตด้วย หากแต่ภูมิปัญหาของพระพุทธเจ้า ได้สอนและจำแนกไว้เป็นอย่างดีและชัดเจนมากๆแล้วว่า ทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ทรัพย์สมบัติภายนอก และทรัพย์สมบัติภายใน ตอนนี้เราจะมาลงรายละเอียดของทรัพย์สมบัติภายนอกกันครับ ทรัพย์สมบัติภายนอก มีอะไรบ้าง… เงิน , ทอง , บ้าน , รถยนต์ , โทรศัพท์มือถือ , รองเท้า , ปากกา, นาฬิกา หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งที่เรามองออกไปรอบๆตัวที่เห็นทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีทรัพย์สมบัติภายนอกที่เรายึดเอาไว้ว่าเป็นของตัวเอง อีกหลายๆอย่างซึ่งไม่ใช่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ(ของเรา) , โรงเรียน(ของเรา) , พ่อแม่(ของเรา) , ลูก(ของเรา) หรือ สามี/ภรรยา(ของเรา) สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้หรือเปล่า…ไม่แน่ใจ แต่เราก็ยึดไปแล้วว่าเป็นของเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่เราเรียกว่าเป็นของเราอีกเช่น ร่างกาย(ของเรา) , ชื่อเสียงเกียรติยศ(ของเรา) , รูปร่างหน้าตา(ของเรา) , ทรงผม(ของเรา) , ความสวย/หล่อ(ของเรา) , ศักดิ์ศรี(ของเรา) หรือภูมิหลัง(ของเรา) สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของเราจริงๆหรือเปล่า? ถ้าเป็นของเราจริงๆเราต้องบังคับมันได้ เช่นบังคับให้จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง , บังคับให้(เขา)ทำแบบนั้นแบบนี้ตามใจเรา หรือบังคับไม่ให้มันเสื่อมสภาพไป ซึ่งเราไม่สามารถบังคับอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นของของเราได้ไหม สินทรัพย์ภายนอก เราต้องแลกมา หามา ได้มา ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งเรายังคงต้องได้มาจากผู้อื่น ในมุมมองของการหาสินทรัพย์ภายนอกที่เป็นเงิน เราก็ต้องแลกด้วยแรง แลกด้วยส่วนต่างของกำไร แล้วเอาเงินจากอีกคนหรืออีกฝ่ายหนึ่งมา ซึ่งเงินก้อนนี้ก็ถูกดึงมากจากอีกฝ่าย และพวกเขาก็ดึงมากจากผู้อื่นๆ รวมไปถึงเงินของเราก็ยังต้องจับจ่าย ใช้มันออกไปให้คนอื่นเช่นกัน ทรัพย์เหล่านี้สูญเสียไปง่าย เสื่อมค่าก็ง่าย เหมือนว่าวัฎจักรนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย ปัญหาหลักของคนเราทุกคนคือการสะสมและการปรียบเทียบทรัพย์สมบัติกับผู้อื่น สมบัติที่ว่าก็คือโดยเฉพาะทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายนอกอย่างที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งของที่เหมือนๆกันทั้งหมด ทั้งเงิน สิ่งของ และอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันง่าย เช่น ฉันเงินเยอะกว่า บ้านหลังใหญ่กว่า รถยนต์พึ่งออกใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่ พวกเราอยู่ในวังวนนี้มาโดยตลอด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก เมื่อมีความเชื่อและความยึดถือว่าคนรวย คนมีทรัพย์มาก เป็นคนเก่ง เป็นคนที่น่านับหน้าถือตา รวมไปถึงอาจจะมีอำนาจวาสนาสูงด้วย ทำให้คนเราต้องไข่วคว้าหาเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ นอกจากต้องการมากแล้ว ยังต้องการให้มีมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินเหล่านอกจากหลายๆคนมีมากมายมาตั้งแต่กำเนิดได้จากมรดกตกทอดมาจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย บางคนหามาได้จากความมานะพยายาม บางคนสติปัญญาดี บางคนดวงดี ซึ่งในคนปกติอย่างเราๆ การหาทรัพย์สมบัติมาด้วยความสุจริตนั้นไม่ได้หามาได้ง่ายๆเลย การที่ต้องนำทรัพย์สมบัติสะสมมาเทียบเท่ากับคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหากทำได้เมื่อเทียบกับตัวเทียบที่หนึ่งแล้วยังไงต่อ คนที่เราคิดว่าเราไปเทียบด้วยนั้นรวยแล้วแต่ที่จริงก็ยังมีคนที่รวยกว่าและรวยมากกว่าอีก คนที่จ้องจะเปรียบเทียบก็ต้องเปรียบเทียบกับคู่เปรียบที่รวยกว่าเดิม และเมื่อทำได้มากกว่าคนนี้ก็มองหาคนที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ถ้าพิจารณาดีๆจากคนรวยในโลกแล้วเราจะเห็นว่าคนที่รวยนั้นเขามีความรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ รวยมหารวย ถ้าเปรียบเทียบกันไปแบบนี้ กว่าเราจะตายไปก็คงจะไม่สามารถเป็นคนที่รวยชนะทุกคนในประเทศได้ รวมไปถึงเป็นที่หนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน คนที่เห็นคนอื่นมีมาก มีสิ่งของชิ้นใหม่ อยากเป็นคนมีสมบัติมากๆ แต่ความสามารถ ความมีโชค ความขยัน และความอดทน ไม่เท่ากับคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะได้สมบัติมามากๆได้ยังไง เขาก็ต้องหาทางที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่น โกง ปล้น ยักยอก หรือบังคับขู่เข็น และนั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาป สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อ่านที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าทรัพย์สมบัติภายนอกมันต้องได้จากคนอื่นมา เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเห็นได้ตามหน้าสื่อต่างๆมากมาย ผู้กระทำก็ถูกจับติดคุก ติดตาราง บางคนถึงขั้นวางยาพิษผู้เสียหาย เรื่องราวของทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่จบ รออ่านตอนที่ 3 นะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 832 มุมมอง 0 รีวิว
  • การมองเข้ามาที่จิต ทำให้ชีวิตดูเรียบง่ายขึ้นเพราะจิตเป็นตัวกำหนดความรู้สึกทั้งหมดในชีวิต เมื่อจิตว้าวุ่น ชีวิตจะรู้สึกวุ่นวาย แต่เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งและสบายขึ้น ความอาฆาตในใจทำให้โลกดูมืดมน แต่ความเมตตาและใจที่ไม่เบียดเบียนทำให้โลกเยือกเย็นสว่างไสว

    หากเราเอาแต่ค้นหาคำตอบจากภายนอก ชีวิตจะดูซับซ้อนและวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งล่อใจต่าง ๆ จากภายนอกจะทำให้เราไล่ตามไม่รู้จบ จึงไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้าหรือความสงบที่แท้จริง การค้นหาคำตอบที่แท้ต้องเริ่มจากการสังเกตจิตของเราเอง ในขณะหายใจเข้าออก ดูว่าเราหายใจด้วยความสบายหรือกระวนกระวายหรือไม่

    เมื่อเราเริ่มเห็นความไม่เที่ยงของทุกข์และสุขที่มากับลมหายใจ ความไม่ยึดติดก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นในจิตใจ จิตจะเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งรอบตัวด้วยความเป็นกลาง ชีวิตก็จะเปลี่ยนจากการไล่ตามมาเป็นการทำสิ่งที่ควรทำโดยไม่หลงไปกับความต้องการที่ไร้จุดหมาย

    ที่สุดของการปฏิบัติคือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติดในสิ่งใด ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือเมื่อถึงวาระสุดท้าย สิ่งที่เราจะนำติดตัวไปคือจิตที่ปลอดโปร่ง อิสระจากพันธนาการของโลก
    การมองเข้ามาที่จิต ทำให้ชีวิตดูเรียบง่ายขึ้นเพราะจิตเป็นตัวกำหนดความรู้สึกทั้งหมดในชีวิต เมื่อจิตว้าวุ่น ชีวิตจะรู้สึกวุ่นวาย แต่เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งและสบายขึ้น ความอาฆาตในใจทำให้โลกดูมืดมน แต่ความเมตตาและใจที่ไม่เบียดเบียนทำให้โลกเยือกเย็นสว่างไสว หากเราเอาแต่ค้นหาคำตอบจากภายนอก ชีวิตจะดูซับซ้อนและวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งล่อใจต่าง ๆ จากภายนอกจะทำให้เราไล่ตามไม่รู้จบ จึงไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้าหรือความสงบที่แท้จริง การค้นหาคำตอบที่แท้ต้องเริ่มจากการสังเกตจิตของเราเอง ในขณะหายใจเข้าออก ดูว่าเราหายใจด้วยความสบายหรือกระวนกระวายหรือไม่ เมื่อเราเริ่มเห็นความไม่เที่ยงของทุกข์และสุขที่มากับลมหายใจ ความไม่ยึดติดก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นในจิตใจ จิตจะเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งรอบตัวด้วยความเป็นกลาง ชีวิตก็จะเปลี่ยนจากการไล่ตามมาเป็นการทำสิ่งที่ควรทำโดยไม่หลงไปกับความต้องการที่ไร้จุดหมาย ที่สุดของการปฏิบัติคือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติดในสิ่งใด ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือเมื่อถึงวาระสุดท้าย สิ่งที่เราจะนำติดตัวไปคือจิตที่ปลอดโปร่ง อิสระจากพันธนาการของโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลภ ลวง โกง รวย หายนะ

    ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ

    ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ

    "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม"

    นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน

    เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว

    "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ”

    เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน

    เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์

    ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio)

    ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม

    “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ"

    เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ

    “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้”

    ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง

    ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน"

    แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน

    ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง

    สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    โลภ ลวง โกง รวย หายนะ ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม" นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ” เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ" เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้” ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน" แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    Like
    Love
    Yay
    21
    0 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 1217 มุมมอง 0 รีวิว
  • คติธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๑. ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี

    ๒. การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา …การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริงให้รู้ ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์

    ๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ศีลคือ ดิน สมาธิ คือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอกผล เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน

    ๔. ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี้ทั้งนั้น

    ๕. “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
    เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    ๖. ให้พยายามภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลาถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่า พยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่ ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติ (นั่งสมาธิภาวนา) ทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน

    ๗. ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต

    ๘. คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร

    ๙. ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม
    ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ
    สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้
    ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง

    ๑๐. การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป

    ๑๑. รวยกับซวยมันใกล้กันนะ จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนจะมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา “ดี” ดีกว่า

    ๑๒. ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา
    ประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่าง
    รับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดูอัฐิของท่านก็เลยกลายเป็นพระธาตุกันหมด

    ๑๓. รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือหรือ
    แพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์

    ๑๔. ที่ว่านิมิต แสงสว่างเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส
    (อาศัยกิเลสละเอียดไปละกิเลสอย่างหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดแสงสว่างหรือหลง
    แสงสว่าง ท่านให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เกิดประโยชน์เหมือนอย่างกับเราเดินทางผ่านไปในที่มืด ก็ต้องอาศัยแสงไฟช่วยนำทาง หรืออย่างว่าเราจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไปด้วยทำไม


    ๑๕. อย่าต้มน้ำทิ้งเปล่า ๆ โดยไม่ได้เอาน้ำร้อนไปใช้ประโยชน์ (หมายถึงอย่าเอาแต่ทำสมาธิโดยไม่พิจารณาธรรม)

    ๑๖. อย่าปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง (หมายถึงไหม้วูบเดียวแล้วก็ดับ กล่าวคือ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็หยุด อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องทำ (ปฏิบัติธรรม) ให้สม่ำเสมอให้ได้ทั้งในยามขยันและขี้เกียจ)

    🙏🙏🙏
    คติธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ๑. ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี ๒. การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา …การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริงให้รู้ ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์ ๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ศีลคือ ดิน สมาธิ คือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอกผล เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน ๔. ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี้ทั้งนั้น ๕. “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม” เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง ๖. ให้พยายามภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลาถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่า พยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่ ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติ (นั่งสมาธิภาวนา) ทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน ๗. ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ๘. คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร ๙. ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้ ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง ๑๐. การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป ๑๑. รวยกับซวยมันใกล้กันนะ จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนจะมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา “ดี” ดีกว่า ๑๒. ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่าง รับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดูอัฐิของท่านก็เลยกลายเป็นพระธาตุกันหมด ๑๓. รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือหรือ แพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์ ๑๔. ที่ว่านิมิต แสงสว่างเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสละเอียดไปละกิเลสอย่างหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดแสงสว่างหรือหลง แสงสว่าง ท่านให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เกิดประโยชน์เหมือนอย่างกับเราเดินทางผ่านไปในที่มืด ก็ต้องอาศัยแสงไฟช่วยนำทาง หรืออย่างว่าเราจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไปด้วยทำไม ๑๕. อย่าต้มน้ำทิ้งเปล่า ๆ โดยไม่ได้เอาน้ำร้อนไปใช้ประโยชน์ (หมายถึงอย่าเอาแต่ทำสมาธิโดยไม่พิจารณาธรรม) ๑๖. อย่าปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง (หมายถึงไหม้วูบเดียวแล้วก็ดับ กล่าวคือ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็หยุด อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องทำ (ปฏิบัติธรรม) ให้สม่ำเสมอให้ได้ทั้งในยามขยันและขี้เกียจ) 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎻 แนวทางการฝึกซ้อมไวโอลินของ Hilary Hahn: การพัฒนาทักษะผ่านความมุ่งมั่นและวินัย

    Hilary Hahn เป็นหนึ่งในนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เธอมีชื่อเสียงในด้านเทคนิคที่ไร้ที่ติ ความสามารถในการตีความผลงานดนตรีอย่างลึกซึ้ง และความทุ่มเทให้กับดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย การฝึกซ้อมไวโอลินของเธอเป็นที่สนใจของนักดนตรีและผู้ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิกทั่วโลก

    ✅ 1. การฝึกฝนที่มีวินัยและต่อเนื่อง : ตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ Hilary Hahn เริ่มต้นเรียนไวโอลิน และได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นคือความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม เธอฝึกซ้อมไวโอลินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน โดยเน้นที่การพัฒนาเทคนิค การควบคุมจังหวะ และการตีความดนตรีอย่างลึกซึ้ง

    การฝึกซ้อมของ Hilary ไม่ได้เน้นที่ปริมาณเวลาเพียงอย่างเดียว แต่เน้นที่คุณภาพและการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งการมีวินัยนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการประสบความสำเร็จ

    ✅ 2. ความใส่ใจในรายละเอียด : สิ่งที่ทำให้ Hilary Hahn แตกต่างจากนักไวโอลินทั่วไปคือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เธอฝึกซ้อม เธอให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกส่วนของการเล่นไวโอลิน ตั้งแต่การจับโบว์ การควบคุมการเล่นโน้ต ไปจนถึงการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของเพลง เธอเชื่อว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดจะช่วยสร้างผลงานที่มีความสมบูรณ์แบบและสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้

    ✅ 3. การฝึกเทคนิคพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ : ถึงแม้ Hilary Hahn จะเป็นนักไวโอลินระดับโลก แต่เธอยังคงฝึกซ้อมเทคนิคพื้นฐานอยู่เสมอ เช่น การบรรเลงสายเปล่า (open strings) การฝึกซ้อมสเกล (scales) และการฝึกซ้อมเสียงสั้นและเสียงยาว (staccato/legato) เธอเชื่อว่าการมีพื้นฐานที่แข็งแรงจะช่วยสนับสนุนให้เธอสามารถเล่นเพลงที่ซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ 4. การตั้งเป้าหมายในการฝึก : ในการฝึกซ้อมแต่ละครั้ง Hilary Hahn มักจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาส่วนที่ต้องปรับปรุง เช่น การเล่นโน้ตที่ซับซ้อน การปรับปรุงการตีความในเพลงหนึ่ง ๆ หรือการทำความเข้าใจอารมณ์ของเพลง เธอเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายช่วยให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาที่แท้จริง

    ✅ 5. การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตีความส่วนตัว : Hilary Hahn ไม่ได้เป็นเพียงนักไวโอลินที่เล่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่เธอยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการตีความเพลงแต่ละบทอย่างเป็นเอกลักษณ์ เธอเชื่อว่าเพลงไม่ใช่เพียงแค่การเล่นโน้ตตามที่เขียนไว้ แต่เป็นการสื่อสารความรู้สึกและเรื่องราวของผู้ประพันธ์เพลงไปยังผู้ฟัง การฝึกฝนด้านการตีความนี้ช่วยให้การแสดงของเธอมีความน่าประทับใจและเป็นที่จดจำ

    ✅ 6. การทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น : Hilary Hahn ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงร่วมกับวงออเคสตร้า หรือการเล่นดนตรีแบบกลุ่มเล็ก ๆ เธอเชื่อว่าการทำงานร่วมกันช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นของคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการเป็นนักดนตรีที่มีความสมบูรณ์แบบ

    ✅ 7. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : ถึงแม้ว่า Hilary Hahn จะประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว แต่เธอยังคงมองหาวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ หรือการสำรวจเพลงใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น เธอเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของวงการดนตรีคลาสสิกมาอย่างยาวนาน

    📍บทสรุป

    แนวทางการฝึกไวโอลินของ Hilary Hahn สะท้อนถึงความมุ่งมั่น วินัย และความใส่ใจในรายละเอียด การฝึกซ้อมที่มีเป้าหมายและคุณภาพช่วยให้เธอกลายเป็นนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จระดับโลก สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะไวโอลิน การนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ในการฝึกฝนจะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในการเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน

    ---------

    🎻 Hilary Hahn’s Violin Practice Approach: Skill Development Through Dedication and Discipline

    Hilary Hahn is one of the most successful and respected violinists of the modern era. She is renowned for her flawless technique, deep musical interpretation, and commitment to music from an early age. Her violin practice regimen has drawn interest from musicians and classical music enthusiasts worldwide.

    ✅ 1. Discipline and Consistency in Practice:
    Hilary Hahn began learning the violin at the age of four and has undergone rigorous training ever since. One of the key traits that set her apart is the consistency of her practice. She dedicates several hours each day to practicing the violin, focusing on developing technique, controlling rhythm, and interpreting music deeply.

    Her practice is not just about the number of hours spent but also about quality and setting goals to improve daily. This discipline is crucial for any violinist striving for success.

    ✅ 2. Attention to Detail:
    What differentiates Hilary Hahn from other violinists is her meticulous attention to detail. In every practice session, she focuses on refining every aspect of her playing, from bow grip to note execution, to conveying the emotion and feeling of the music. She believes that paying attention to these details results in a flawless performance and leaves a lasting impression on the audience.

    ✅ 3. Regular Practice of Basic Techniques:
    Although Hilary Hahn is a world-class violinist, she still consistently practices basic techniques such as open strings, scales, and staccato/legato exercises. She believes that a strong foundation allows her to play complex and challenging pieces more effectively.

    ✅ 4. Goal Setting in Practice:
    During each practice session, Hilary Hahn sets clear goals, whether it’s improving difficult passages, refining her interpretation of a piece, or understanding the emotional tone of the music. She believes that setting goals helps make practice sessions more efficient and focused on solving real issues.

    ✅ 5. Creativity and Personal Interpretation:
    Hilary Hahn is not only a technically flawless violinist but also highly creative in her interpretation of each piece. She believes that music is not just about playing the notes as written but about communicating the composer’s emotions and story to the audience. Her focus on interpretation adds depth and memorability to her performances.

    ✅ 6. Collaboration with Other Musicians:
    Hilary Hahn values working with other musicians, whether performing with orchestras or in small chamber groups. She believes that collaboration helps develop listening skills and adaptability to different playing styles, which is essential for any violinist aiming to become a well-rounded musician.

    ✅ 7. Continuous Improvement:
    Despite her great success, Hilary Hahn continually seeks ways to improve herself. She is always learning new techniques and exploring new, more challenging pieces. She believes that learning is a never-ending journey, and this commitment to self-improvement has kept her at the pinnacle of the classical music world for many years.

    📍Conclusion:
    Hilary Hahn’s approach to violin practice reflects her dedication, discipline, and attention to detail. Her goal-oriented and high-quality practice has made her one of the world’s leading violinists. For those aspiring to improve their violin skills, adopting these approaches can help guide you toward becoming an exceptional musician.
    🎻 แนวทางการฝึกซ้อมไวโอลินของ Hilary Hahn: การพัฒนาทักษะผ่านความมุ่งมั่นและวินัย Hilary Hahn เป็นหนึ่งในนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เธอมีชื่อเสียงในด้านเทคนิคที่ไร้ที่ติ ความสามารถในการตีความผลงานดนตรีอย่างลึกซึ้ง และความทุ่มเทให้กับดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย การฝึกซ้อมไวโอลินของเธอเป็นที่สนใจของนักดนตรีและผู้ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิกทั่วโลก ✅ 1. การฝึกฝนที่มีวินัยและต่อเนื่อง : ตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ Hilary Hahn เริ่มต้นเรียนไวโอลิน และได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นคือความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม เธอฝึกซ้อมไวโอลินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน โดยเน้นที่การพัฒนาเทคนิค การควบคุมจังหวะ และการตีความดนตรีอย่างลึกซึ้ง การฝึกซ้อมของ Hilary ไม่ได้เน้นที่ปริมาณเวลาเพียงอย่างเดียว แต่เน้นที่คุณภาพและการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งการมีวินัยนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการประสบความสำเร็จ ✅ 2. ความใส่ใจในรายละเอียด : สิ่งที่ทำให้ Hilary Hahn แตกต่างจากนักไวโอลินทั่วไปคือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เธอฝึกซ้อม เธอให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกส่วนของการเล่นไวโอลิน ตั้งแต่การจับโบว์ การควบคุมการเล่นโน้ต ไปจนถึงการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของเพลง เธอเชื่อว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดจะช่วยสร้างผลงานที่มีความสมบูรณ์แบบและสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้ ✅ 3. การฝึกเทคนิคพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ : ถึงแม้ Hilary Hahn จะเป็นนักไวโอลินระดับโลก แต่เธอยังคงฝึกซ้อมเทคนิคพื้นฐานอยู่เสมอ เช่น การบรรเลงสายเปล่า (open strings) การฝึกซ้อมสเกล (scales) และการฝึกซ้อมเสียงสั้นและเสียงยาว (staccato/legato) เธอเชื่อว่าการมีพื้นฐานที่แข็งแรงจะช่วยสนับสนุนให้เธอสามารถเล่นเพลงที่ซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ 4. การตั้งเป้าหมายในการฝึก : ในการฝึกซ้อมแต่ละครั้ง Hilary Hahn มักจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาส่วนที่ต้องปรับปรุง เช่น การเล่นโน้ตที่ซับซ้อน การปรับปรุงการตีความในเพลงหนึ่ง ๆ หรือการทำความเข้าใจอารมณ์ของเพลง เธอเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายช่วยให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาที่แท้จริง ✅ 5. การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตีความส่วนตัว : Hilary Hahn ไม่ได้เป็นเพียงนักไวโอลินที่เล่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่เธอยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการตีความเพลงแต่ละบทอย่างเป็นเอกลักษณ์ เธอเชื่อว่าเพลงไม่ใช่เพียงแค่การเล่นโน้ตตามที่เขียนไว้ แต่เป็นการสื่อสารความรู้สึกและเรื่องราวของผู้ประพันธ์เพลงไปยังผู้ฟัง การฝึกฝนด้านการตีความนี้ช่วยให้การแสดงของเธอมีความน่าประทับใจและเป็นที่จดจำ ✅ 6. การทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น : Hilary Hahn ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงร่วมกับวงออเคสตร้า หรือการเล่นดนตรีแบบกลุ่มเล็ก ๆ เธอเชื่อว่าการทำงานร่วมกันช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นของคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการเป็นนักดนตรีที่มีความสมบูรณ์แบบ ✅ 7. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : ถึงแม้ว่า Hilary Hahn จะประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว แต่เธอยังคงมองหาวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ หรือการสำรวจเพลงใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น เธอเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของวงการดนตรีคลาสสิกมาอย่างยาวนาน 📍บทสรุป แนวทางการฝึกไวโอลินของ Hilary Hahn สะท้อนถึงความมุ่งมั่น วินัย และความใส่ใจในรายละเอียด การฝึกซ้อมที่มีเป้าหมายและคุณภาพช่วยให้เธอกลายเป็นนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จระดับโลก สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะไวโอลิน การนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ในการฝึกฝนจะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในการเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน --------- 🎻 Hilary Hahn’s Violin Practice Approach: Skill Development Through Dedication and Discipline Hilary Hahn is one of the most successful and respected violinists of the modern era. She is renowned for her flawless technique, deep musical interpretation, and commitment to music from an early age. Her violin practice regimen has drawn interest from musicians and classical music enthusiasts worldwide. ✅ 1. Discipline and Consistency in Practice: Hilary Hahn began learning the violin at the age of four and has undergone rigorous training ever since. One of the key traits that set her apart is the consistency of her practice. She dedicates several hours each day to practicing the violin, focusing on developing technique, controlling rhythm, and interpreting music deeply. Her practice is not just about the number of hours spent but also about quality and setting goals to improve daily. This discipline is crucial for any violinist striving for success. ✅ 2. Attention to Detail: What differentiates Hilary Hahn from other violinists is her meticulous attention to detail. In every practice session, she focuses on refining every aspect of her playing, from bow grip to note execution, to conveying the emotion and feeling of the music. She believes that paying attention to these details results in a flawless performance and leaves a lasting impression on the audience. ✅ 3. Regular Practice of Basic Techniques: Although Hilary Hahn is a world-class violinist, she still consistently practices basic techniques such as open strings, scales, and staccato/legato exercises. She believes that a strong foundation allows her to play complex and challenging pieces more effectively. ✅ 4. Goal Setting in Practice: During each practice session, Hilary Hahn sets clear goals, whether it’s improving difficult passages, refining her interpretation of a piece, or understanding the emotional tone of the music. She believes that setting goals helps make practice sessions more efficient and focused on solving real issues. ✅ 5. Creativity and Personal Interpretation: Hilary Hahn is not only a technically flawless violinist but also highly creative in her interpretation of each piece. She believes that music is not just about playing the notes as written but about communicating the composer’s emotions and story to the audience. Her focus on interpretation adds depth and memorability to her performances. ✅ 6. Collaboration with Other Musicians: Hilary Hahn values working with other musicians, whether performing with orchestras or in small chamber groups. She believes that collaboration helps develop listening skills and adaptability to different playing styles, which is essential for any violinist aiming to become a well-rounded musician. ✅ 7. Continuous Improvement: Despite her great success, Hilary Hahn continually seeks ways to improve herself. She is always learning new techniques and exploring new, more challenging pieces. She believes that learning is a never-ending journey, and this commitment to self-improvement has kept her at the pinnacle of the classical music world for many years. 📍Conclusion: Hilary Hahn’s approach to violin practice reflects her dedication, discipline, and attention to detail. Her goal-oriented and high-quality practice has made her one of the world’s leading violinists. For those aspiring to improve their violin skills, adopting these approaches can help guide you toward becoming an exceptional musician.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 820 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...???
    .
    ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...???
    .
    คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...???
    .
    ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...???
    .
    ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น
    .
    ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้....
    .
    สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด...
    .
    เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ...
    .
    เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี
    .
    คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป
    .
    อ้างแต่ คะแนนเสียง...
    .
    คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้...
    .
    แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้
    .
    ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ...
    .
    และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง...
    .
    ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!!
    .
    เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!!
    .
    เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง...
    .
    แปลกนะ...!!!
    .
    ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว...
    .
    เว้นเสียแต่ว่า...
    .
    จะจงใจ...
    .
    1.แกล้งโง่
    2.ให้ข้อมูลไม่ครบ
    3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ
    .
    ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง...
    .
    โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด"
    .
    พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน...
    .
    "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด"
    .
    นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว"
    .
    ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ...
    .
    หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...???
    .
    🤣🤣🤣🤣
    .
    ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ...
    ...
    ...
    อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ...
    .
    หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น...
    .
    ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ
    .
    ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ
    .
    ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ
    .
    ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
    .
    หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้
    .
    การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ...
    .
    นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!!
    .
    เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง
    .
    แบบนี้เป็นต้น ครับ
    .
    สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!!
    .
    เน๊าะ...!!!
    .
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...??? . ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...??? . คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...??? . ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...??? . ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น . ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้.... . สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด... . เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ... . เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี . คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป . อ้างแต่ คะแนนเสียง... . คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้... . แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้ . ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ... . และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง... . ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!! . เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!! . เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง... . แปลกนะ...!!! . ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว... . เว้นเสียแต่ว่า... . จะจงใจ... . 1.แกล้งโง่ 2.ให้ข้อมูลไม่ครบ 3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ . ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง... . โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด" . พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน... . "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด" . นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว" . ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ... . หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...??? . 🤣🤣🤣🤣 . ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ... ... ... อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ... . หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น... . ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ . ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ . ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์ . อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ . ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย . หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้ . การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ... . นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!! . เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง . แบบนี้เป็นต้น ครับ . สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!! . เน๊าะ...!!! . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    โรมท่องซ้ำ ไม่เอานิติสงคราม 10/10/67 #โรม รังสิมันต์ #นิติสงคราม #การเมือง #พรรคประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 361 0 รีวิว
  • #ได้เวลาล้างบางสตม
    โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้
    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง
    แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้
    ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย
    ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ
    คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว
    เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่
    เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ได้เวลาล้างบางสตม โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้ ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่ เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts