• โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ

    อดิเทพ จาวลาห์
    https://linktr.ee/chawlaadithep
    ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330

    เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ —ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย

    การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ —ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี การเดินทางระหว่างประเทศ พักในโรงแรมห้าดาว บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก

    ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก

    ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง

    เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม

    ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ

    องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก

    เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท

    แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ”

    ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร ไม่มีทางเลือก ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ

    สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด

    ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข

    ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins

    ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” —จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️

    อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้

    แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี

    ในระบบที่มีลำดับขั้น ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม”

    ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ

    ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก”

    เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง

    แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต

    ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ

    สรุปและแนวทางปลุกพลัง

    * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ
    * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้
    * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง
    * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น
    * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
    * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼

    สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง มีสิทธิ์ มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง

    ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ
    https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    🌍 โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ 🧠💉 ✍️ อดิเทพ จาวลาห์ 🔗 https://linktr.ee/chawlaadithep 📖 ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330 เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ 🏥 สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ 🌐 เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ 💵—ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย 🙌 หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ 😢 หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย ⚠️ การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง 🧠 เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น 🧍‍♀️🧍‍♂️ เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ 👕—ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ✨ ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี 💰 การเดินทางระหว่างประเทศ ✈️ พักในโรงแรมห้าดาว 🏨 บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ 📊 คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก 🚗🍽️ ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ 💪 ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ⬆️ มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน 🎯 ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก 👶 หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน 🛫 — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก 😇 ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) 🌏 ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง ❗ 💸 เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน 🧩 ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน 💼 ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ 💉💰 องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ 🏢 หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก 🌐 เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” ⛱️ เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท 💹 👷‍♂️ แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ” ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ 📢 เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร 🏛️ ไม่มีทางเลือก ❌ ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา 😶 แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ ❌ สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง 🖨️💵 และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ⚙️ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด 🗞️ 📜 ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ 🇺🇸 ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) 🧬 ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง 🧑‍🦽 ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ 🏚️ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins 🏫 ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” ☠️—จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ 🩸 และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️ 🧠 อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้ แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ✅ จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี 🔥 ในระบบที่มีลำดับขั้น 🧱 ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม” 🫂 🌿 ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม 🧬 แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก” 🗳️ เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา 🧘 ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง 🧡 แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ 🤖 📢 สรุปและแนวทางปลุกพลัง * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ 🕵️‍♀️ * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้ 💔 * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง 🧨 * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น 🧱 * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง 🗣️ * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼 สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง 📢 มีสิทธิ์ 🧾 มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง 🙌 ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ ❌ https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี้คือความบัดสบจริงของนายกฯไทยที่ว่าทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเรา,ปิดตาให้พวกมันขุดคูเลตตามที่เป็นข่าวโดยไม่ประกาศต่อต้านอย่างเป็นทางการอะไรเสือกนิ่งเงียบเฉยไปนั้นเอง.,ถอนถมไปก็ขุดตัวใหม่และถมวางฝังกับระเบิดไว้ด้วยอีก.,ทหารเขมรทั้งหมดต้องถูกลงโทษตลอดคนบัญชาการทหารเขมรด้วยหรือผู้นำเขมรนั้นเองต้องถูกจับกุมตัวและประหารชีวิตอย่างเดียวเพราะอยู่ดีๆไม่ว่าดี อยู่อย่างสงบสุขใครมันไม่เป็นเสือกอยากรุกรานไทยคุกคามยึดประเทศไทย,เก่งมาก ชกกับไทยมันว่าคุ้มโดยมีคนทรยศภายในประเทศไทยอยู่เบื้องหลังการให้ความสนับสนุนด้วยคืออ้างว่ายึดทรัพย์สินทักษิณนั้นล่ะแต่เอาไปซื้ออาวุธสงครามเพื่อส่งรบกับไทยนั้นเอง ตังนั้นจึงคือมุกให้การสนับสนุนการก่อสงครามกับไทยด้วยนั้นเอง.,บัญชีเขมรทั่วไทยและทั่วโลกจึงอายัดให้หมด,แฮ็กเกอร์ไทยต้องตามไปแฮ็กเอาตังคนเขมรฮุนเซนลูกหลานมันทั้งหมดฮุนหมาเน็ตก็ด้วย ตระกูลฮุนเซนและเครือข่ายตามแฮ็กบัญชีมันอายัดตังมันยึดทรัพย์มันโอนไปบัญชีอื่นเลย,ตัดเสบียงตัดการเงินมันเลย.
    ..

    https://youtube.com/watch?v=N3DtojeSKNc&feature=shared
    นี้คือความบัดสบจริงของนายกฯไทยที่ว่าทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเรา,ปิดตาให้พวกมันขุดคูเลตตามที่เป็นข่าวโดยไม่ประกาศต่อต้านอย่างเป็นทางการอะไรเสือกนิ่งเงียบเฉยไปนั้นเอง.,ถอนถมไปก็ขุดตัวใหม่และถมวางฝังกับระเบิดไว้ด้วยอีก.,ทหารเขมรทั้งหมดต้องถูกลงโทษตลอดคนบัญชาการทหารเขมรด้วยหรือผู้นำเขมรนั้นเองต้องถูกจับกุมตัวและประหารชีวิตอย่างเดียวเพราะอยู่ดีๆไม่ว่าดี อยู่อย่างสงบสุขใครมันไม่เป็นเสือกอยากรุกรานไทยคุกคามยึดประเทศไทย,เก่งมาก ชกกับไทยมันว่าคุ้มโดยมีคนทรยศภายในประเทศไทยอยู่เบื้องหลังการให้ความสนับสนุนด้วยคืออ้างว่ายึดทรัพย์สินทักษิณนั้นล่ะแต่เอาไปซื้ออาวุธสงครามเพื่อส่งรบกับไทยนั้นเอง ตังนั้นจึงคือมุกให้การสนับสนุนการก่อสงครามกับไทยด้วยนั้นเอง.,บัญชีเขมรทั่วไทยและทั่วโลกจึงอายัดให้หมด,แฮ็กเกอร์ไทยต้องตามไปแฮ็กเอาตังคนเขมรฮุนเซนลูกหลานมันทั้งหมดฮุนหมาเน็ตก็ด้วย ตระกูลฮุนเซนและเครือข่ายตามแฮ็กบัญชีมันอายัดตังมันยึดทรัพย์มันโอนไปบัญชีอื่นเลย,ตัดเสบียงตัดการเงินมันเลย. .. https://youtube.com/watch?v=N3DtojeSKNc&feature=shared
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่อยากจะฟังอีกแล้วกับเรื่องเดิมเดิม
    ไม่อยากจะเติมรอยช้ำกันอยู่ร่ำไป
    เคยบอกกี่ครั้งว่ามันทำร้ายจิตใจ
    แต่เหตุไฉนเธอจึงยังไม่เลิกทำ
    ที่ฉันเงียบเฉยใช่แปลว่าฉันจะโกรธ
    แต่อยู่ในโหมดเหนื่อยหน่ายกับสิ่งซ้ำซ้ำ
    คอยตามใจเธอทุกสิ่งที่เธอกระทำ
    แต่เธอไม่พยายามที่จะเข้าใจฉันเลย
    โปรดอย่าโทษฉันถ้าเธอไม่คิดจะแก้
    มันคงจะแย่เมื่อฉันจะยิ่งเงียบเฉย
    แล้วสักวันหนึ่งที่ฉันเงียบหายไปเลย
    ก็จะลงเอยที่เราต้องจบสิ้นกัน
    ไม่อยากจะฟังอีกแล้วกับเรื่องเดิมเดิม ไม่อยากจะเติมรอยช้ำกันอยู่ร่ำไป เคยบอกกี่ครั้งว่ามันทำร้ายจิตใจ แต่เหตุไฉนเธอจึงยังไม่เลิกทำ ที่ฉันเงียบเฉยใช่แปลว่าฉันจะโกรธ แต่อยู่ในโหมดเหนื่อยหน่ายกับสิ่งซ้ำซ้ำ คอยตามใจเธอทุกสิ่งที่เธอกระทำ แต่เธอไม่พยายามที่จะเข้าใจฉันเลย โปรดอย่าโทษฉันถ้าเธอไม่คิดจะแก้ มันคงจะแย่เมื่อฉันจะยิ่งเงียบเฉย แล้วสักวันหนึ่งที่ฉันเงียบหายไปเลย ก็จะลงเอยที่เราต้องจบสิ้นกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์กรสื่อ องค์กรสิทธิ์ต่างๆ ทำไมเงียบเฉย
    กับกรณ๊ ตร.ไซเบอร์ยกกำลังบุกบ้านพิธีกร
    ของสื่อออนไลน์แห่งนึง ซึ่งดูไงก็เกินกว่าเหตุครับ
    หรือนี่คือการเลือกปฎิบัติ ที่ต่างกันกับบางสื่อบางคน
    จะรีบออกมาเสนอหน้าป้องทันควัน หากมีกรณีเช่นนี้
    หุหุหุหุ
    สื่อดี สังคมงาม สื่อทราม สังคมเสื่อมเสีย
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    องค์กรสื่อ องค์กรสิทธิ์ต่างๆ ทำไมเงียบเฉย กับกรณ๊ ตร.ไซเบอร์ยกกำลังบุกบ้านพิธีกร ของสื่อออนไลน์แห่งนึง ซึ่งดูไงก็เกินกว่าเหตุครับ หรือนี่คือการเลือกปฎิบัติ ที่ต่างกันกับบางสื่อบางคน จะรีบออกมาเสนอหน้าป้องทันควัน หากมีกรณีเช่นนี้ หุหุหุหุ สื่อดี สังคมงาม สื่อทราม สังคมเสื่อมเสีย มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการเปลี่ยนแปลงท่าทีของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสครั้งแรกในปี 2017 ผู้นำเทคโนโลยีหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ในปี 2025 เมื่อทรัมป์ถอนตัวอีกครั้งในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำเทคโนโลยีกลับเงียบเฉย

    เหตุผลที่ผู้นำเทคโนโลยีเปลี่ยนท่าทีนี้อาจเป็นเพราะพวกเขามีวาระที่ใหญ่กว่า เช่น นโยบายภาษีและการค้า และไม่ต้องการทำให้ทรัมป์ไม่พอใจ นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI ซึ่งต้องการพลังงานมากมาย และพวกเขากำลังวิ่งเต้นเพื่อจำกัดกฎระเบียบที่อาจขัดขวางนวัตกรรม

    ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาสำคัญ แต่ความสนใจของสาธารณชนกลับเปลี่ยนไปสู่ปัญหาที่ดูเหมือนจะมีผลกระทบทันที เช่น ราคาสินค้าที่สูงขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/25/039fawning-tech-bro-sycophancy039-big-tech039s-new-climate-silence-under-trump
    มีการเปลี่ยนแปลงท่าทีของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสครั้งแรกในปี 2017 ผู้นำเทคโนโลยีหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ในปี 2025 เมื่อทรัมป์ถอนตัวอีกครั้งในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำเทคโนโลยีกลับเงียบเฉย เหตุผลที่ผู้นำเทคโนโลยีเปลี่ยนท่าทีนี้อาจเป็นเพราะพวกเขามีวาระที่ใหญ่กว่า เช่น นโยบายภาษีและการค้า และไม่ต้องการทำให้ทรัมป์ไม่พอใจ นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI ซึ่งต้องการพลังงานมากมาย และพวกเขากำลังวิ่งเต้นเพื่อจำกัดกฎระเบียบที่อาจขัดขวางนวัตกรรม ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาสำคัญ แต่ความสนใจของสาธารณชนกลับเปลี่ยนไปสู่ปัญหาที่ดูเหมือนจะมีผลกระทบทันที เช่น ราคาสินค้าที่สูงขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/25/039fawning-tech-bro-sycophancy039-big-tech039s-new-climate-silence-under-trump
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Fawning tech bro sycophancy': Big Tech's new climate silence under Trump
    The social media channels of tech billionaires have been silent this week on Trump's climate actions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยกเลิก #MOU2544 #JC2544 เร็วที่สุด
    ถ้าโดน #กฎหมายปิดปาก แบบเดิม #ไทย ก็ #เสียดินแดน เสีย #พื้นที่ #ทะเล เสีย #ทรัพยากร ทางทะเลทั้งหมด ทั้ง #อาหารทะเล #น้ำมัน #แร่ธาตุ #พืชน้ำสัตว์น้ำ ฯลฯ

    #ประเทศไทย เคยเสีย #ดินแดน #อาณาเขต #อธิปไตย #เขาพระวิหาร เพราะ กฎหมายปิดปาก คือ การ #เงียบเฉย #ปล่อย และ #ไม่ปฏิเสธ #เส้นแบ่งเขต #พื้นที่ของไทย ที่ #เพื่อนบ้าน #รุกล้ำ เข้ามา #ศาลโลก ตัดสินว่า นั่นคือการ #ยอมรับ แล้ว ทำให้พื้นที่ที่โดนรุกตกเป็นของเพื่อนบ้านไปเลย … ในครั้งนี้ #เขมร กำลังทำแบบเดิม

    ขอถาม #ประชาชน #คนไทย #ทหาร #กองทัพ #กระทรวงการต่างประเทศ จะยังเฉย ยังปล่อย ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่สนใจ เอาตัวรอด ก้มหน้าทำมาหากินแต่ตัวเอง แบบเดิมๆ อีกไหม?
    #ยกเลิก #MOU2544 #JC2544 เร็วที่สุด ถ้าโดน #กฎหมายปิดปาก แบบเดิม #ไทย ก็ #เสียดินแดน เสีย #พื้นที่ #ทะเล เสีย #ทรัพยากร ทางทะเลทั้งหมด ทั้ง #อาหารทะเล #น้ำมัน #แร่ธาตุ #พืชน้ำสัตว์น้ำ ฯลฯ #ประเทศไทย เคยเสีย #ดินแดน #อาณาเขต #อธิปไตย #เขาพระวิหาร เพราะ กฎหมายปิดปาก คือ การ #เงียบเฉย #ปล่อย และ #ไม่ปฏิเสธ #เส้นแบ่งเขต #พื้นที่ของไทย ที่ #เพื่อนบ้าน #รุกล้ำ เข้ามา #ศาลโลก ตัดสินว่า นั่นคือการ #ยอมรับ แล้ว ทำให้พื้นที่ที่โดนรุกตกเป็นของเพื่อนบ้านไปเลย … ในครั้งนี้ #เขมร กำลังทำแบบเดิม ขอถาม #ประชาชน #คนไทย #ทหาร #กองทัพ #กระทรวงการต่างประเทศ จะยังเฉย ยังปล่อย ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่สนใจ เอาตัวรอด ก้มหน้าทำมาหากินแต่ตัวเอง แบบเดิมๆ อีกไหม?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1307 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟ้องด้วยภาพ…
    มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ

    รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา

    และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด

    ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท

    ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท

    ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท

    ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์
    https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms

    #Thaitimes
    ฟ้องด้วยภาพ… มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1409 มุมมอง 0 รีวิว