• การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis)

    เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม

    เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่

    เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน

    ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้

    หอย

    หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ

    ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก

    ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช

    ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ

    EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์

    ผักโขม

    มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก

    ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน)
    แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก

    ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ

    การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม

    ตับและเครื่องในอื่นๆ

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง

    ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV

    เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม

    ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์

    ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ

    พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ถั่ว

    ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย

    ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย

    นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

    แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน

    เนื้อแดง

    มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด

    นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง

    ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน

    เมล็ดฟักทอง

    เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า

    บรอกโคลี

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
    นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

    ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี

    ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง

    โกโก้และช็อกโกแลตดำ

    มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่

    การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

    อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก

    ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

    ปลา

    เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ

    อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง

    นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้

    วิตามินบี 12

    วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต

    ปริมาณที่ควรได้รับ

    วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid)

    โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย

    โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ

    โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ

    -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย

    -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร

    -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก

    สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก
    -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน

    -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง

    - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ

    -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

    -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค

    -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร

    -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง

    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า
    Glap
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis) เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่ เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้ หอย หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์ ผักโขม มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน) แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม ตับและเครื่องในอื่นๆ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์ ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ถั่ว ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน เนื้อแดง มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน เมล็ดฟักทอง เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า บรอกโคลี มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง โกโก้และช็อกโกแลตดำ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ปลา เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้ วิตามินบี 12 วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต ปริมาณที่ควรได้รับ วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid) โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Glap Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ถุงใต้ตา

    เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ

    ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ

    มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่:

    • ริ้วรอยก่อนวัย

    • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม

    • นอนไม่หลับ

    • ภูมิแพ้

    • สูบบุหรี่

    • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว

    • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์

    คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ

    1.ใช้ถุงชา

    คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา

    คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020

    วิธีลองทำ:

    • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที

    • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที

    2. ใช้ผ้าเย็นประคบ

    คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา

    แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน

    วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่

    • ช้อนชาแช่เย็น

    • แตงกวาแช่เย็น

    • ผ้าเช็ดตัวเปียก

    • ถุงผักแช่แข็ง

    ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว

    3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน

    ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง:

    • อายุ

    • ระดับการออกกำลังกาย

    • สภาพอากาศ

    • เพศ

    • การตั้งครรภ์

    4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ

    คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง:

    • สิว

    • โรคสะเก็ดเงิน

    • การแก่ก่อนวัย

    ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว

    เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง

    โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า

    หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม

    5.ล้างหน้าก่อนนอน

    การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า

    หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ:

    • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง

    • เกิดอาการแพ้

    • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ

    เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้

    6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น

    เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย

    การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ

    อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น

    แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่:

    • มะนาว

    • พริกแดง

    • ผักคะน้า

    • กะหล่ำ

    • บรอกโคลี

    • สตรอว์เบอร์รี่

    7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น

    โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่:

    • อ่อนเพลียอย่างมาก

    • มือและเท้าเย็น

    • เล็บเปราะ

    แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง

    อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่:

    • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก

    • อาหารทะเล

    • ถั่ว

    • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม

    • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ

    • ถั่ว

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glap
    Paa super h
    Whole c
    K cal
    Prink

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #ถุงใต้ตา เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่: • ริ้วรอยก่อนวัย • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม • นอนไม่หลับ • ภูมิแพ้ • สูบบุหรี่ • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์ คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.ใช้ถุงชา คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020 วิธีลองทำ: • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที 2. ใช้ผ้าเย็นประคบ คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่ • ช้อนชาแช่เย็น • แตงกวาแช่เย็น • ผ้าเช็ดตัวเปียก • ถุงผักแช่แข็ง ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว 3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง: • อายุ • ระดับการออกกำลังกาย • สภาพอากาศ • เพศ • การตั้งครรภ์ 4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง: • สิว • โรคสะเก็ดเงิน • การแก่ก่อนวัย ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม 5.ล้างหน้าก่อนนอน การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ: • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง • เกิดอาการแพ้ • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้ 6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่: • มะนาว • พริกแดง • ผักคะน้า • กะหล่ำ • บรอกโคลี • สตรอว์เบอร์รี่ 7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่: • อ่อนเพลียอย่างมาก • มือและเท้าเย็น • เล็บเปราะ แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่: • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก • อาหารทะเล • ถั่ว • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ • ถั่ว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glap Paa super h Whole c K cal Prink ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงภาพรวมปี 2568

    #คนเกิดวันเสาร์

    #การงาน...จะต้องระวังทะเลาะกับผู้ร่วมงาน เพราะโดยส่วนตัวเรานั้นจะเป็นคนที่ชอบทำงานคนเดียว มีอีโก้สูง เหมาะกับงานอิสระ หรืองานที่เป็นเจ้าของกิจการ ...งานค่อนข้างเครียด และความรุ่งเรืองก้าวหน้าอาจจะยังไม่เด่นเท่าไหร่ เพราะเป็นคนที่เอาอกเอาใจใครไม่เป็น ประจบใครไม่เป็น เป็นคนตรงๆ ให้ระวังจะมีปัญหาทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่าย ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม ...และงานจะหนักมากๆช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม จะต้องผ่านไปให้ได้...หากใครอยากออกงานเปลี่ยนงาน ก็มีดวงด้วยเช่นกัน จะเด่นในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม

    #การเงิน ...จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับคนรัก หรือคนที่เราไปจีบเขา เพราะเป็นคนชอบเปย์ด้วย และอาจจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับหนี้สิน หรือค่าใช้จ่ายแบบครบรอบ ถ้ามีลูกก็จะหมดเงินกับลูก ให้ระวังช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม อาจจะติดขัดได้...ส่วนใครที่จะเอาเงินไปลงทุนจะเด่นช่วงเดือนกันยายนตุลาคม ...การเงินยังพอหมุนไปได้ แต่ยังไม่ควรที่จะซื้อของแพงๆ โดยเฉพาะใครที่มีโครงการที่จะซื้อรถ บ้าน ในช่วงปีนี้ ถ้าเป็นไปได้ให้เลื่อนไปอีก 2 ปีจะดี

    #ความรัก คนมีคู่...ระวังจะมีเรื่องวุ่นวายทะเลาะกันเพราะปัญหาในครอบครัวเช่นปัญหาลูก และปัญหาการเงินหนี้สิน คนที่อยู่ไกลกันก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรก ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มิถุนายนและเดือนตุลาคม คนโสด...จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบแต่จะเป็นแบบสถานะไม่ชัดเจน คนที่เข้ามาลักษณะเด่นๆจะเป็นคนลักษณะท้วมหรืออ้วนผิวขาว หรืออวบขาว หรืออาจจะเป็นพ่อหม้ายแม่หม้าย หรือคนที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว คนที่สถานะไม่ชัดเจน...จะเหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวได้ เพราะอาจจะเป็นความรักที่ไม่ถูกต้อง ...ตัวเราหรือตัวเขาอาจจะมีเจ้าของอยู่แล้ว ต้องระวังการเลิกราหรือจบความสัมพันธ์ในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม

    #สุขภาพ โรคในช่องท้อง แพ้อากาศ แพ้น้ำ แพ้อาหารทะเล ให้ระวังหากเจ็บป่วยช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน มีโอกาสที่จะเป็นหนัก ...และบางคนอาจจะเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะคนที่มีเรื่องติดกรรมกับวิญญาณเด็ก ต้องพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาและรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด

    #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือได้จากคนรักคนที่มาชอบเรา เพิ่งจะเด่นในช่วงเดือนมกราคม และมิถุนายน เลขนำโชค 5/7/4

    #การเดินทาง จะมีปัญหาและอุปสรรคให้หลีกเลี่ยงเดินทางช่วงเดือน กุมภาพันธ์ และตุลาคม ...และถ้าหากเดินทางไปทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำเรื่องที่ผิดศีล หนีวีซ่า ก็อาจจะมีปัญหาอุปสรรคหรือมีคนจับได้

    #สิ่งที่ต้องระวัง ให้ระวังคนรู้จักหรือคนใกล้ตัวใกล้ชิดอาจจะเจ็บป่วย มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น คดีความ...หรือนำปัญหานำเรื่องเดือดร้อนทางการเงินมาให้เราต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน เมษายน ตุลาคม

    #วิธีเสริมดวง สวดมนต์ และรักษาศีล 5 ถวายน้ำดื่ม ทำบุญทำทานให้กับโรงพยาบาล คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำบุญโลงศพ

    #บทสวดมนต์ที่แนะนำ อภิธรรม/มหาเมตตาใหญ่/มหาสมัยสูตร/บทพระมหาจักรพรรดิ
    ---------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    ดวงภาพรวมปี 2568 #คนเกิดวันเสาร์ #การงาน...จะต้องระวังทะเลาะกับผู้ร่วมงาน เพราะโดยส่วนตัวเรานั้นจะเป็นคนที่ชอบทำงานคนเดียว มีอีโก้สูง เหมาะกับงานอิสระ หรืองานที่เป็นเจ้าของกิจการ ...งานค่อนข้างเครียด และความรุ่งเรืองก้าวหน้าอาจจะยังไม่เด่นเท่าไหร่ เพราะเป็นคนที่เอาอกเอาใจใครไม่เป็น ประจบใครไม่เป็น เป็นคนตรงๆ ให้ระวังจะมีปัญหาทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่าย ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม ...และงานจะหนักมากๆช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม จะต้องผ่านไปให้ได้...หากใครอยากออกงานเปลี่ยนงาน ก็มีดวงด้วยเช่นกัน จะเด่นในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม #การเงิน ...จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับคนรัก หรือคนที่เราไปจีบเขา เพราะเป็นคนชอบเปย์ด้วย และอาจจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับหนี้สิน หรือค่าใช้จ่ายแบบครบรอบ ถ้ามีลูกก็จะหมดเงินกับลูก ให้ระวังช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม อาจจะติดขัดได้...ส่วนใครที่จะเอาเงินไปลงทุนจะเด่นช่วงเดือนกันยายนตุลาคม ...การเงินยังพอหมุนไปได้ แต่ยังไม่ควรที่จะซื้อของแพงๆ โดยเฉพาะใครที่มีโครงการที่จะซื้อรถ บ้าน ในช่วงปีนี้ ถ้าเป็นไปได้ให้เลื่อนไปอีก 2 ปีจะดี #ความรัก คนมีคู่...ระวังจะมีเรื่องวุ่นวายทะเลาะกันเพราะปัญหาในครอบครัวเช่นปัญหาลูก และปัญหาการเงินหนี้สิน คนที่อยู่ไกลกันก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรก ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มิถุนายนและเดือนตุลาคม คนโสด...จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบแต่จะเป็นแบบสถานะไม่ชัดเจน คนที่เข้ามาลักษณะเด่นๆจะเป็นคนลักษณะท้วมหรืออ้วนผิวขาว หรืออวบขาว หรืออาจจะเป็นพ่อหม้ายแม่หม้าย หรือคนที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว คนที่สถานะไม่ชัดเจน...จะเหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวได้ เพราะอาจจะเป็นความรักที่ไม่ถูกต้อง ...ตัวเราหรือตัวเขาอาจจะมีเจ้าของอยู่แล้ว ต้องระวังการเลิกราหรือจบความสัมพันธ์ในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม #สุขภาพ โรคในช่องท้อง แพ้อากาศ แพ้น้ำ แพ้อาหารทะเล ให้ระวังหากเจ็บป่วยช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน มีโอกาสที่จะเป็นหนัก ...และบางคนอาจจะเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะคนที่มีเรื่องติดกรรมกับวิญญาณเด็ก ต้องพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาและรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือได้จากคนรักคนที่มาชอบเรา เพิ่งจะเด่นในช่วงเดือนมกราคม และมิถุนายน เลขนำโชค 5/7/4 #การเดินทาง จะมีปัญหาและอุปสรรคให้หลีกเลี่ยงเดินทางช่วงเดือน กุมภาพันธ์ และตุลาคม ...และถ้าหากเดินทางไปทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำเรื่องที่ผิดศีล หนีวีซ่า ก็อาจจะมีปัญหาอุปสรรคหรือมีคนจับได้ #สิ่งที่ต้องระวัง ให้ระวังคนรู้จักหรือคนใกล้ตัวใกล้ชิดอาจจะเจ็บป่วย มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น คดีความ...หรือนำปัญหานำเรื่องเดือดร้อนทางการเงินมาให้เราต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน เมษายน ตุลาคม #วิธีเสริมดวง สวดมนต์ และรักษาศีล 5 ถวายน้ำดื่ม ทำบุญทำทานให้กับโรงพยาบาล คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำบุญโลงศพ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ อภิธรรม/มหาเมตตาใหญ่/มหาสมัยสูตร/บทพระมหาจักรพรรดิ --------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่ Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 780 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (4)

    ครั้งหนึ่งเมื่อโปรตีนตกไปถึงกระเพาะอาหารส่วนล่างและลำไส้เล็กส่วนบน..แต่เครื่องยนต์ของคุณไม่ทำการสตาร์ทเครื่อง น้ำมันจึงท่วมคาร์บูเรเตอร์และยากที่คุณจะได้มาซึ่งกรดอะมิโนตัวนี้...ตามมา..!!
    Arginine
    (Semi-essential amino acid)
    อาร์จินีนเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีผลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพ ในทางโภชนาการจัดเป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็น L-Arginine จำเป็นต่อร่างกายเนื่องจากทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) : ทำหน้าที่ขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับคำสั่งในระบบไหลเวียน(circulatory system) เมื่อปราศจากไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) หลอดเลือดก็จะเริ่มหดตัว การไหลเวียนของเลือดจะลดลงจากนั้นความดันโลหิตจะสูง
    ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอกส่วนใหญ่มักจะได้รับ nitroglycerin (ไนโตรกลีเซอริน):ยาขยายหลอดเลือดในกลุ่มไนเตรต อาร์จินีนให้ผลในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้อาร์จินีนยังใช้ในการรักษาบาดแผล การแบ่งเซลล์ การแข็งตัวขององคชาต (penile erection):”ผู้เป็นโรคกรดไหลย้อนมักจะประสบปัญหานี้” การทำหน้าที่ของภูมิคุ้มกัน การหมุนเวียนเลือดส่วนปลาย (Peripheral Circulation) การปล่อยฮอร์โมนรวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความแก่และยังช่วยในการกำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษออกจากร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดโปรตีน myelin :เยื่อหุ้มแอกซอน (Axon) ของเซลล์ประสาท เป็นฉนวนไฟฟ้าช่วยทำให้กระแสประสาทผ่านไปได้เร็วขึ้นโดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 เมตรต่อวินาที ซ่อมแซม DNA และป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน
    ที่สำคัญไปกว่านั้นอาร์จินีนยังเป็นตัวการสร้าง Creatine : แหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทตามธรรมชาติ Creatine มักถูกใช้ในการเพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อ (ความปลอดภัยอยู่ที่ 3 กรัมต่อวัน) และใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ(neuromuscular diseases)
    อาร์จินีนมักถูกแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อช่วยให้หลอดเลือดขายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณส่วนปลาย เหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็เพราะพวกเขาเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
    อาร์จินีนบริสุทธิ์ละลายในน้ำได้ดีมากและมีสมบัติเป็นด่างที่มีประจุบวก...
    !!..แต่โปรดจำไว้ว่า..!!!
    อาร์จินีนจะเข้าสู่เซลล์ของเราไม่ได้และการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide)จะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจาก...โซเดียม...
    แหล่งที่พบในอาหาร ได้แก่
    -เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก อาหารทะเลเช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดอะมิโนทุกชนิดรวมถึงอาร์จินีนด้วย
    -ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย almonds (2.5 g ต่อ 100 g) walnuts (2.3 g ต่อ100 g) hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน Brazil nuts, pistachios ,pecans และ งา
    -ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีนแต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีนโดยผักโขมมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g
    -เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี มีปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g.
    -ไข่ โดยเฉพาะไข่แดงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ไข่ขาว มี 0.65 g ต่อ100 g
    พอมองภาพออกใช่ไหมครับว่า...ทำไมโรคต่าง ๆ จึงเกิดตามมามากมายและตามแก้ผลของการเกิดโรคใหม่ ๆ ราวกับว่าไม่มีจุดจบ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (4) ครั้งหนึ่งเมื่อโปรตีนตกไปถึงกระเพาะอาหารส่วนล่างและลำไส้เล็กส่วนบน..แต่เครื่องยนต์ของคุณไม่ทำการสตาร์ทเครื่อง น้ำมันจึงท่วมคาร์บูเรเตอร์และยากที่คุณจะได้มาซึ่งกรดอะมิโนตัวนี้...ตามมา..!! Arginine (Semi-essential amino acid) อาร์จินีนเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีผลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพ ในทางโภชนาการจัดเป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็น L-Arginine จำเป็นต่อร่างกายเนื่องจากทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) : ทำหน้าที่ขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับคำสั่งในระบบไหลเวียน(circulatory system) เมื่อปราศจากไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) หลอดเลือดก็จะเริ่มหดตัว การไหลเวียนของเลือดจะลดลงจากนั้นความดันโลหิตจะสูง ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอกส่วนใหญ่มักจะได้รับ nitroglycerin (ไนโตรกลีเซอริน):ยาขยายหลอดเลือดในกลุ่มไนเตรต อาร์จินีนให้ผลในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้อาร์จินีนยังใช้ในการรักษาบาดแผล การแบ่งเซลล์ การแข็งตัวขององคชาต (penile erection):”ผู้เป็นโรคกรดไหลย้อนมักจะประสบปัญหานี้” การทำหน้าที่ของภูมิคุ้มกัน การหมุนเวียนเลือดส่วนปลาย (Peripheral Circulation) การปล่อยฮอร์โมนรวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความแก่และยังช่วยในการกำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษออกจากร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดโปรตีน myelin :เยื่อหุ้มแอกซอน (Axon) ของเซลล์ประสาท เป็นฉนวนไฟฟ้าช่วยทำให้กระแสประสาทผ่านไปได้เร็วขึ้นโดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 เมตรต่อวินาที ซ่อมแซม DNA และป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน ที่สำคัญไปกว่านั้นอาร์จินีนยังเป็นตัวการสร้าง Creatine : แหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทตามธรรมชาติ Creatine มักถูกใช้ในการเพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อ (ความปลอดภัยอยู่ที่ 3 กรัมต่อวัน) และใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ(neuromuscular diseases) อาร์จินีนมักถูกแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อช่วยให้หลอดเลือดขายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณส่วนปลาย เหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็เพราะพวกเขาเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาร์จินีนบริสุทธิ์ละลายในน้ำได้ดีมากและมีสมบัติเป็นด่างที่มีประจุบวก... !!..แต่โปรดจำไว้ว่า..!!! อาร์จินีนจะเข้าสู่เซลล์ของเราไม่ได้และการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide)จะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจาก...โซเดียม... แหล่งที่พบในอาหาร ได้แก่ -เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก อาหารทะเลเช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดอะมิโนทุกชนิดรวมถึงอาร์จินีนด้วย -ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย almonds (2.5 g ต่อ 100 g) walnuts (2.3 g ต่อ100 g) hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน Brazil nuts, pistachios ,pecans และ งา -ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีนแต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีนโดยผักโขมมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g -เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี มีปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g. -ไข่ โดยเฉพาะไข่แดงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ไข่ขาว มี 0.65 g ต่อ100 g พอมองภาพออกใช่ไหมครับว่า...ทำไมโรคต่าง ๆ จึงเกิดตามมามากมายและตามแก้ผลของการเกิดโรคใหม่ ๆ ราวกับว่าไม่มีจุดจบ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS:

    เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา

    ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา

    ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้

    ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้

    ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ
    ---------------------------------------------------------
    อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก
    โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
    การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด

    https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/



    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS: เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้ ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้ ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ --------------------------------------------------------- อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยกเลิก #MOU2544 #JC2544 เร็วที่สุด
    ถ้าโดน #กฎหมายปิดปาก แบบเดิม #ไทย ก็ #เสียดินแดน เสีย #พื้นที่ #ทะเล เสีย #ทรัพยากร ทางทะเลทั้งหมด ทั้ง #อาหารทะเล #น้ำมัน #แร่ธาตุ #พืชน้ำสัตว์น้ำ ฯลฯ

    #ประเทศไทย เคยเสีย #ดินแดน #อาณาเขต #อธิปไตย #เขาพระวิหาร เพราะ กฎหมายปิดปาก คือ การ #เงียบเฉย #ปล่อย และ #ไม่ปฏิเสธ #เส้นแบ่งเขต #พื้นที่ของไทย ที่ #เพื่อนบ้าน #รุกล้ำ เข้ามา #ศาลโลก ตัดสินว่า นั่นคือการ #ยอมรับ แล้ว ทำให้พื้นที่ที่โดนรุกตกเป็นของเพื่อนบ้านไปเลย … ในครั้งนี้ #เขมร กำลังทำแบบเดิม

    ขอถาม #ประชาชน #คนไทย #ทหาร #กองทัพ #กระทรวงการต่างประเทศ จะยังเฉย ยังปล่อย ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่สนใจ เอาตัวรอด ก้มหน้าทำมาหากินแต่ตัวเอง แบบเดิมๆ อีกไหม?
    #ยกเลิก #MOU2544 #JC2544 เร็วที่สุด ถ้าโดน #กฎหมายปิดปาก แบบเดิม #ไทย ก็ #เสียดินแดน เสีย #พื้นที่ #ทะเล เสีย #ทรัพยากร ทางทะเลทั้งหมด ทั้ง #อาหารทะเล #น้ำมัน #แร่ธาตุ #พืชน้ำสัตว์น้ำ ฯลฯ #ประเทศไทย เคยเสีย #ดินแดน #อาณาเขต #อธิปไตย #เขาพระวิหาร เพราะ กฎหมายปิดปาก คือ การ #เงียบเฉย #ปล่อย และ #ไม่ปฏิเสธ #เส้นแบ่งเขต #พื้นที่ของไทย ที่ #เพื่อนบ้าน #รุกล้ำ เข้ามา #ศาลโลก ตัดสินว่า นั่นคือการ #ยอมรับ แล้ว ทำให้พื้นที่ที่โดนรุกตกเป็นของเพื่อนบ้านไปเลย … ในครั้งนี้ #เขมร กำลังทำแบบเดิม ขอถาม #ประชาชน #คนไทย #ทหาร #กองทัพ #กระทรวงการต่างประเทศ จะยังเฉย ยังปล่อย ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่สนใจ เอาตัวรอด ก้มหน้าทำมาหากินแต่ตัวเอง แบบเดิมๆ อีกไหม?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 722 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/12/67

    แพ้อาหาร

    กุ้ง

    อาการแพ้กุ้งกับสาเหตุที่หลายคนอาจไม่รู้

    อาการแพ้กุ้งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลมพิษ ผื่นคัน หน้าบวม หรือหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ

    ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาการแพ้มีตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กุ้งอาจบรรเทาและป้องกันได้หลายวิธี
    อย่างที่กล่าวไปว่า อาการแพ้กุ้งเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองมากกว่าปกติ โดยร่างกายมองว่าสารบางอย่างในตัวกุ้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงกระตุ้นการหลั่งสารเคมีเพื่อมากำจัดสารชนิดนั้น ซึ่งการต่อสู้กันระหว่างสารและร่างกายจะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา

    อาการแพ้กุ้งเป็นอย่างไร ?
    โดยทั่วไป อาการแพ้อาหารนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาจเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารในทันทีหรือเกิดขึ้นหลังรับประทานไปหลายชั่วโมง ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอาจแบ่งได้ ดังนี้

    * ผิวหนัง
อาการแพ้ในรูปแบบนี้มักเห็นได้ชัด อย่างลมพิษ ผื่นแดง คัน พบอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก และคอ

    * ระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณคอที่บวมมากขึ้นอาจส่งผลให้หายใจไม่สะดวก รวมถึงสารฮิสตามีนที่หลั่งออกมาจะส่งผลให้มีอาการไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือหายใจลำบาก

    * ลำไส้และกระเพาะอาหาร
อาการแพ้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และปวดท้อง

    * ระบบประสาท
อาการแพ้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด และเป็นลมได้

    * ภาวะปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง
ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่เป็นภาวะที่อันตรายจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้จะส่งผลให้หายใจไม่ออก หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดลดต่ำลง ช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ดังนั้น หากปรากฏสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงให้โทรเรียกรถพยาบาลทันที

    แม้ความรุนแรงของอาการแพ้กุ้งอาจขึ้นอยู่ปริมาณที่รับประทาน แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการได้รับสารก่ออาการแพ้เพียงเล็กน้อยในผู้ที่มีอาการแพ้กุ้งบางรายก็อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงตามมาได้

    เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการแพ้กุ้ง
    เมื่อเกิดอาการผิดปกติภายหลังจากการรับประทานกุ้ง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการที่เกิดมาจากการแพ้กุ้ง

    ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นการแพ้สารในกุ้งโดยตรง หรือแพ้สารที่เกิดจากอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก็ได้ ส่วนใหญ่แล้ว อาการแพ้กุ้งของคนไทยมักเกิดจากสารฮีโมไซยานิน (Hemocyanin) ที่อยู่ในกุ้งแม่น้ำหรือกุ้งก้ามกราม สารโปรตีนลิพิดไบน์ดิง (Lipid-binding Protein) และโปรตีนแอลฟาแอกตินิน (Alpha-actinin Protein) ที่อยู่ในกุ้งกุลาดำหรือกุ้งลายเสือ

    โดยสารเหล่านี้เป็นสารที่อยู่ภายในตัวกุ้งโดยตรง แต่ในบางกรณี สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อาจมาอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยงกุ้ง จึงอาจทำให้บางคนแพ้กุ้งเพียงบางครั้ง เนื่องจากรับประทานกุ้งที่มาจากคนละแหล่งกัน

    หลายคนอาจสงสัยว่าตอนเด็กไม่เคยมีอาการแพ้กุ้งมาก่อน แต่กลับมามีอาการแพ้กุ้งในตอนโต โดยสาเหตุอาจมาจากการสะสมสารก่ออาการแพ้มาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อมีการกระตุ้นมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้

    รวมถึงบางคนที่แพ้กุ้งเพียงบางชนิดก็อาจเกิดจากสารภายในตัวกุ้งที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างกุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม ขณะที่บางคนอาจแพ้โปรตีนทีอยู่ในเปลือกของกุ้ง ซึ่งมักจะมีอาการแพ้สัตว์มีกระดองหรือแพ้อาหารทะเลชนิดอื่น อย่างปู หอย หรือปลาหมึกร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็สามารถรับประทานอาหารทะเลชนิดอื่นได้ปกติ

    นอกจากนี้ อาการแพ้ที่หลายคนคิดว่าเกิดจากการรับประทานกุ้งยังอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันได้ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ หรือความรู้สึกกลัวอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นต้น

    อาการแพ้กุ้งรับมือได้
    การรับมือกับอาการแพ้กุ้งหรือการแพ้อาหารที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ เพื่อป้องกันอาการแพ้ จึงควรใส่ใจที่จะอ่านฉลากอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง

    ถ้าหากรับประทานไปแล้วเกิดอาการแพ้ในระดับที่ไม่รุนแรงอาจใช้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการได้

    สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง มีอาการเวียนศีรษะ ความดันต่ำ หรือรู้สึกคล้ายจะหมดสติ ควรเรียกรถพยาบาลทันที สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้รุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยา✅อิพิเนฟริน (Epinephrin) ในรูปเข็มฉีดสำหรับรูปไว้ใช้เมื่อเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยหลังจากฉีดควรไปโรงพยาบาลทันที

    นอกจากนี้ ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้กุ้ง อาหารทะเล หรืออาหารอื่น ๆ อย่างรุนแรง ควรอยู่ให้ห่างจากแหล่งที่มีของที่แพ้จำหน่าย อย่างตลาด ร้านอาหารทะเล หรือโรงงาน เนื่องจากการสูดดมสารก่ออาการแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

    อย่างไรก็ตาม หากหาสาเหตุของการแพ้ไม่ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจหาสารก่ออาการแพ้ด้วยวิธีทางการแพทย์
    cr:POBPOD





    10/12/67 แพ้อาหาร กุ้ง อาการแพ้กุ้งกับสาเหตุที่หลายคนอาจไม่รู้ อาการแพ้กุ้งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลมพิษ ผื่นคัน หน้าบวม หรือหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาการแพ้มีตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กุ้งอาจบรรเทาและป้องกันได้หลายวิธี อย่างที่กล่าวไปว่า อาการแพ้กุ้งเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองมากกว่าปกติ โดยร่างกายมองว่าสารบางอย่างในตัวกุ้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงกระตุ้นการหลั่งสารเคมีเพื่อมากำจัดสารชนิดนั้น ซึ่งการต่อสู้กันระหว่างสารและร่างกายจะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา อาการแพ้กุ้งเป็นอย่างไร ? โดยทั่วไป อาการแพ้อาหารนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาจเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารในทันทีหรือเกิดขึ้นหลังรับประทานไปหลายชั่วโมง ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอาจแบ่งได้ ดังนี้ * ผิวหนัง
อาการแพ้ในรูปแบบนี้มักเห็นได้ชัด อย่างลมพิษ ผื่นแดง คัน พบอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก และคอ * ระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณคอที่บวมมากขึ้นอาจส่งผลให้หายใจไม่สะดวก รวมถึงสารฮิสตามีนที่หลั่งออกมาจะส่งผลให้มีอาการไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือหายใจลำบาก * ลำไส้และกระเพาะอาหาร
อาการแพ้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และปวดท้อง * ระบบประสาท
อาการแพ้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด และเป็นลมได้ * ภาวะปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง
ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่เป็นภาวะที่อันตรายจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้จะส่งผลให้หายใจไม่ออก หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดลดต่ำลง ช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ดังนั้น หากปรากฏสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงให้โทรเรียกรถพยาบาลทันที แม้ความรุนแรงของอาการแพ้กุ้งอาจขึ้นอยู่ปริมาณที่รับประทาน แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการได้รับสารก่ออาการแพ้เพียงเล็กน้อยในผู้ที่มีอาการแพ้กุ้งบางรายก็อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงตามมาได้ เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการแพ้กุ้ง เมื่อเกิดอาการผิดปกติภายหลังจากการรับประทานกุ้ง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการที่เกิดมาจากการแพ้กุ้ง ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นการแพ้สารในกุ้งโดยตรง หรือแพ้สารที่เกิดจากอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก็ได้ ส่วนใหญ่แล้ว อาการแพ้กุ้งของคนไทยมักเกิดจากสารฮีโมไซยานิน (Hemocyanin) ที่อยู่ในกุ้งแม่น้ำหรือกุ้งก้ามกราม สารโปรตีนลิพิดไบน์ดิง (Lipid-binding Protein) และโปรตีนแอลฟาแอกตินิน (Alpha-actinin Protein) ที่อยู่ในกุ้งกุลาดำหรือกุ้งลายเสือ โดยสารเหล่านี้เป็นสารที่อยู่ภายในตัวกุ้งโดยตรง แต่ในบางกรณี สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อาจมาอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยงกุ้ง จึงอาจทำให้บางคนแพ้กุ้งเพียงบางครั้ง เนื่องจากรับประทานกุ้งที่มาจากคนละแหล่งกัน หลายคนอาจสงสัยว่าตอนเด็กไม่เคยมีอาการแพ้กุ้งมาก่อน แต่กลับมามีอาการแพ้กุ้งในตอนโต โดยสาเหตุอาจมาจากการสะสมสารก่ออาการแพ้มาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อมีการกระตุ้นมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้ รวมถึงบางคนที่แพ้กุ้งเพียงบางชนิดก็อาจเกิดจากสารภายในตัวกุ้งที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างกุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม ขณะที่บางคนอาจแพ้โปรตีนทีอยู่ในเปลือกของกุ้ง ซึ่งมักจะมีอาการแพ้สัตว์มีกระดองหรือแพ้อาหารทะเลชนิดอื่น อย่างปู หอย หรือปลาหมึกร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็สามารถรับประทานอาหารทะเลชนิดอื่นได้ปกติ นอกจากนี้ อาการแพ้ที่หลายคนคิดว่าเกิดจากการรับประทานกุ้งยังอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันได้ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ หรือความรู้สึกกลัวอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นต้น อาการแพ้กุ้งรับมือได้ การรับมือกับอาการแพ้กุ้งหรือการแพ้อาหารที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ เพื่อป้องกันอาการแพ้ จึงควรใส่ใจที่จะอ่านฉลากอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง ถ้าหากรับประทานไปแล้วเกิดอาการแพ้ในระดับที่ไม่รุนแรงอาจใช้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการได้ สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง มีอาการเวียนศีรษะ ความดันต่ำ หรือรู้สึกคล้ายจะหมดสติ ควรเรียกรถพยาบาลทันที สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้รุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยา✅อิพิเนฟริน (Epinephrin) ในรูปเข็มฉีดสำหรับรูปไว้ใช้เมื่อเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยหลังจากฉีดควรไปโรงพยาบาลทันที นอกจากนี้ ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้กุ้ง อาหารทะเล หรืออาหารอื่น ๆ อย่างรุนแรง ควรอยู่ให้ห่างจากแหล่งที่มีของที่แพ้จำหน่าย อย่างตลาด ร้านอาหารทะเล หรือโรงงาน เนื่องจากการสูดดมสารก่ออาการแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม หากหาสาเหตุของการแพ้ไม่ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจหาสารก่ออาการแพ้ด้วยวิธีทางการแพทย์ cr:POBPOD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 527 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้าน คุณนายทะเลดอง บุฟเฟ่ต์พรีเมี่ยม สาขาบรรทัดทอง ตัวร้านอยู่ที่ปากซอยจุฬา 18 ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล ซีฟู้ดจัดเต็ม แบบไม่อั้น ในราคาเริ่มต้นที่ 499+ บาทต่อคน ในเวลา 2 ชั่วโมงคือคุ้มจริงอร่อยจริง อาหารทะเลหลากหลายเมนู ไฮไลท์คือกองทัพของดอง ไม่ว่าจะเป็น ปูไข่ดอง กุ้งดอง กั้งดอง แซลมอนดอง กุ้งเผา และอาหารอื่นๆ มีให้เลือกทานได้แบบสุดปัง

    พิกัด : https://maps.app.goo.gl/vxUSonNTAKK8Ct4F9
    ที่อยู่ : ซอยจุฬาฯ 18 ถนน บรรทัดทอง แขวง วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    ร้านเปิดบริการ : 12.00 - 23.00 น.

    #Thaitimes
    ร้าน คุณนายทะเลดอง บุฟเฟ่ต์พรีเมี่ยม สาขาบรรทัดทอง ตัวร้านอยู่ที่ปากซอยจุฬา 18 ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล ซีฟู้ดจัดเต็ม แบบไม่อั้น ในราคาเริ่มต้นที่ 499+ บาทต่อคน ในเวลา 2 ชั่วโมงคือคุ้มจริงอร่อยจริง อาหารทะเลหลากหลายเมนู ไฮไลท์คือกองทัพของดอง ไม่ว่าจะเป็น ปูไข่ดอง กุ้งดอง กั้งดอง แซลมอนดอง กุ้งเผา และอาหารอื่นๆ มีให้เลือกทานได้แบบสุดปัง พิกัด : https://maps.app.goo.gl/vxUSonNTAKK8Ct4F9 ที่อยู่ : ซอยจุฬาฯ 18 ถนน บรรทัดทอง แขวง วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการ : 12.00 - 23.00 น. #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • หาดสันหลังมังกร จ.สตูล
    หาดสันหลังมังกร ตั้งอยู่ที่ ตำบลตันหยงโป อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล เป็นหาดสันทรายกลางทะเลที่เกิดจากการทับทมของซากเปลือกหอยนับหลายล้านตัวทับถมกัน จนกลายเป็นเส้นทางเดินยาวกว่า 4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะหัวมันกับเกาะสาม อยู่กลางทะเลอันดามัน ถ้าได้มองดูที่ หาดสันหลังมังกร จะเหมือนกับมีการเคลื่อนไหว
    เมื่อประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ได้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงได้กลายเป็นหินกรวดสีแดงอยู่ภายในหมู่บ้านบากันใหญ่ ที่ค้นพบโดยกรมทรัพยากรธรณี ในช่วงน้ำลงผืนกรวดสีแดงนั้นจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเหนือผืนน้ำ โดยส่วนหัวจะขนาบกับบนเกาะของชาวบ้าน ส่วนหางจะคดเคี้ยวไปตามน้ำเป็นแนวยาวยื่นลงไปในทะเล หาดสันหลังมังกร นี้ จะเห็นได้เฉพาะตอนน้ำลงเท่านั้น

    โดยช่วงน้ำที่ลดลงนั้น น้ำจะกระทบเข้าหากันจะคล้ายเกร็ดของมังกรเมื่อมองดูไกลๆ จากนั้นก็จะค่อยๆ เห็นสันทรายแนวยาวที่อยู่กลางทะเล เป็นอันซีนที่อยู่ใน จังหวัดสตูล ที่เดียวเท่านั้น ด้วยความพิเศษของ หาดสันหลังมังกร ที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย เมื่อเดินไปตามสันทรายก็จะเหมือนกับเราเดินอยู่บนสันหลังมังกรที่วิบวับ เพราะแสงแดดที่ส่องลงมากระทบสันทรายนั่นเอง โดยเราสามารถนั่งเรือจากบ้านบากันใหญ่ ใช้เวลา 30 นาที ก็จะได้ชมความอันซีนของ หาดสันหลังมังกร นอกจากนี้บริเวณ หาดสันหลังมังกร จะมีหมู่บ้านบากันใหญ่ที่จะคอยต้อนรับและให้บริการนักท่องเที่ยวเป็นกันเองมากๆ เลยค่ะ กิจกรรมของที่นี่ ไม่ได้มีเพียงแค่การไปชม หาดสันหลังมังกร เท่านั้น แต่ยังมีทั้ง กิจกรรมล่องแพ ชมนก พายเรือชมธรรมชาติ ปล่อยปู ปลูกต้นโกงกาง และทานอาหารทะเลสดๆ ที่ต้องบอกว่าใครที่ได้มาก็ต่างประทับใจกันสุดๆ เลย
    หาดสันหลังมังกร จ.สตูล หาดสันหลังมังกร ตั้งอยู่ที่ ตำบลตันหยงโป อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล เป็นหาดสันทรายกลางทะเลที่เกิดจากการทับทมของซากเปลือกหอยนับหลายล้านตัวทับถมกัน จนกลายเป็นเส้นทางเดินยาวกว่า 4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะหัวมันกับเกาะสาม อยู่กลางทะเลอันดามัน ถ้าได้มองดูที่ หาดสันหลังมังกร จะเหมือนกับมีการเคลื่อนไหว เมื่อประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ได้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงได้กลายเป็นหินกรวดสีแดงอยู่ภายในหมู่บ้านบากันใหญ่ ที่ค้นพบโดยกรมทรัพยากรธรณี ในช่วงน้ำลงผืนกรวดสีแดงนั้นจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเหนือผืนน้ำ โดยส่วนหัวจะขนาบกับบนเกาะของชาวบ้าน ส่วนหางจะคดเคี้ยวไปตามน้ำเป็นแนวยาวยื่นลงไปในทะเล หาดสันหลังมังกร นี้ จะเห็นได้เฉพาะตอนน้ำลงเท่านั้น โดยช่วงน้ำที่ลดลงนั้น น้ำจะกระทบเข้าหากันจะคล้ายเกร็ดของมังกรเมื่อมองดูไกลๆ จากนั้นก็จะค่อยๆ เห็นสันทรายแนวยาวที่อยู่กลางทะเล เป็นอันซีนที่อยู่ใน จังหวัดสตูล ที่เดียวเท่านั้น ด้วยความพิเศษของ หาดสันหลังมังกร ที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย เมื่อเดินไปตามสันทรายก็จะเหมือนกับเราเดินอยู่บนสันหลังมังกรที่วิบวับ เพราะแสงแดดที่ส่องลงมากระทบสันทรายนั่นเอง โดยเราสามารถนั่งเรือจากบ้านบากันใหญ่ ใช้เวลา 30 นาที ก็จะได้ชมความอันซีนของ หาดสันหลังมังกร นอกจากนี้บริเวณ หาดสันหลังมังกร จะมีหมู่บ้านบากันใหญ่ที่จะคอยต้อนรับและให้บริการนักท่องเที่ยวเป็นกันเองมากๆ เลยค่ะ กิจกรรมของที่นี่ ไม่ได้มีเพียงแค่การไปชม หาดสันหลังมังกร เท่านั้น แต่ยังมีทั้ง กิจกรรมล่องแพ ชมนก พายเรือชมธรรมชาติ ปล่อยปู ปลูกต้นโกงกาง และทานอาหารทะเลสดๆ ที่ต้องบอกว่าใครที่ได้มาก็ต่างประทับใจกันสุดๆ เลย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพแรก
    ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์
    ขวา มี ฟลูออไรด์
    โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก
    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️
    ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่
    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/
    Source :
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    --------------------------------------------------
    โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ
    มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ
    แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป
    จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549
    ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ"
    ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง
    ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม
    การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ
    การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid
    จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า
    ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้
    การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
    ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า
    "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า
    "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง
    นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ
    จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ
    อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย
    ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ
    การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน
    สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
    การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป
    สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
    และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก
    การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน
    การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ
    ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ
    ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH)
    - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ
    -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ
    -ทำลาย DNA ของคุณ
    -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3)
    จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา
    มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์
    แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ
    เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา
    สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน
    การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก
    ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ
    ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง
    เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่
    -----------------------------------
    Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less
    Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference.
    Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851.
    Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009.
    IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese
    Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373
    PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism.
    PubMed Health. 2010. Hypothyroidism.
    Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health
    Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr
    1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp.
    2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92.
    3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis.
    6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science
    7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang.
    8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency.
    9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion
    10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference.
    11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004.
    12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130.
    13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965.
    14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride
    15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution]
    16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population
    17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125
    18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen
    20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy.
    Biological Trace Element Research :
    https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro...
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58
    https://youtu.be/AYAJJSOmdJo
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน
    https://youtu.be/741TFbVWJwQ
    https://youtu.be/s-ElDeuDl1I
    https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c
    https://youtu.be/1KgS-_E05YE
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี
    https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/
    ✨✨✨✨✨✨✨
    สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride )
    Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา
    กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์
    ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์
    ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ?
    จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์"
    เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า
    และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ
    และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm
    เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง
    ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน
    ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์
    ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว
    โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว
    เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org
    แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน
    โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์
    การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน
    เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร
    แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ
    1. ข้าวต่างๆ
    2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่
    3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง
    4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่
    5. เมล็ดทานตะวัน
    6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล
    #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่?
    ☠️☠️
    ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
    Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้
    🚑🚑
    เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น
    🎗🎗
    ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ
    ⛑⛑
    (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ)
    ด้วยความปรารถนาดี
    ...โค้ชนาตาลี
    ❤️❤️
    อ่านต่อ...
    From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis
    ..........
    Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it.
    💉💉
    For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.”
    ☠️☠️
    Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate.
    ☠️☠️
    ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.***
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️

    ด้วยรักและยาสีฟัน
    เวชหนุ่ม
    ภาพแรก ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์ ขวา มี ฟลูออไรด์ โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️ ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/ Source : https://youtu.be/KLsjwWo1F2I -------------------------------------------------- โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549 ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ" ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้ การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ -ทำลาย DNA ของคุณ -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3) จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์ แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่ ----------------------------------- Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference. Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851. Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009. IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373 PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism. PubMed Health. 2010. Hypothyroidism. Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr 1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp. 2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92. 3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis. 6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science 7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang. 8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency. 9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion 10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference. 11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004. 12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130. 13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965. 14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride 15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution] 16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population 17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125 18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen 20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy. Biological Trace Element Research : https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro... ✨✨✨✨✨✨✨ ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58 https://youtu.be/AYAJJSOmdJo ✨✨✨✨✨✨✨ ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน https://youtu.be/741TFbVWJwQ https://youtu.be/s-ElDeuDl1I https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c https://youtu.be/1KgS-_E05YE https://youtu.be/KLsjwWo1F2I ✨✨✨✨✨✨✨ ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/ ✨✨✨✨✨✨✨ สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride ) Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์ ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์ ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ? จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์" เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์ การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ 1. ข้าวต่างๆ 2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่ 3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง 4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่ 5. เมล็ดทานตะวัน 6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่? ☠️☠️ ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้ 🚑🚑 เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น 🎗🎗 ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ ⛑⛑ (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ) ด้วยความปรารถนาดี ...โค้ชนาตาลี ❤️❤️ อ่านต่อ... From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis .......... Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it. 💉💉 For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.” ☠️☠️ Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate. ☠️☠️ ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.*** ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ด้วยรักและยาสีฟัน เวชหนุ่ม
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1614 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันพักผ่อนสุดสัปดาห์กับครอบครัว
    อาหารทะเลสดๆ อร่อยมากกก
    #ครอบครัวสุขสันต์ #ทุ่งนาสวย #อาหารทะเลสดๆ
    #ไทยปนลาว
    วันพักผ่อนสุดสัปดาห์กับครอบครัว อาหารทะเลสดๆ อร่อยมากกก #ครอบครัวสุขสันต์ #ทุ่งนาสวย #อาหารทะเลสดๆ #ไทยปนลาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • เอี่ยวไถ่ ร้านสุกี้โบราณและอาหารจีนอันดับหนึ่งในใจของใครหลายคน การันตีสุดยอดความอร่อยระดับตำนาน ที่เปิดให้บริการมากว่า 60 ปี เมนูขึ้นหิ้งที่ใครๆ ก็ต้องสั่งก็คือ สุกี้โบราณสูตรแต้จิ๋ว ที่โดดเด่นด้วยหมูและเนื้อที่หมักจากเครื่องเทศสูตรลับเฉพาะ น้ำซุปที่หอมเข้มข้น จิ้มกับน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้สูตรเอี่ยวไถ่ ..หอเจี๊ยะสุดๆ นอกจากนั้นยังมี เมนูอาหารจีนโบราณสูตรดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเมนูหมูหัน เป็ดปักกิ่ง จัดใหญ่ไซส์ XXL ที่อบจนหนังกรอบ ห่อด้วยแป้งนึ่งร้อนๆ พร้อมเครื่องเคียง เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มสูตรเด็ด และ Recommend menu ที่พลาดไม่ได้กับสุดยอดเมนูปูที่ส่งตรงมาจากสุราษฏร์ธานี ทั้งก๋วยเตี๋ยวหลอดปู ที่เน้นเนื้อปูแน่นๆ ขนาดจัมโบ้เกรดส่งออก และหอยจ้อปู ที่คัดเฉพาะเนื้อปูก้อนขนาดจัมโบ้ อร่อยด้วยเนื้อปูล้นเต็มคำ รวมไปถึงอาหารทะเลที่คัดวัตถุดิบสดๆ ปรุงเป็นเมนูสุดพิเศษตามแบบฉบับของเอี่ยวไถ่ ฟินอร่อยกันได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว

    พิกัด : มี 13 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
    เปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น.


    #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    เอี่ยวไถ่ ร้านสุกี้โบราณและอาหารจีนอันดับหนึ่งในใจของใครหลายคน การันตีสุดยอดความอร่อยระดับตำนาน ที่เปิดให้บริการมากว่า 60 ปี เมนูขึ้นหิ้งที่ใครๆ ก็ต้องสั่งก็คือ สุกี้โบราณสูตรแต้จิ๋ว ที่โดดเด่นด้วยหมูและเนื้อที่หมักจากเครื่องเทศสูตรลับเฉพาะ น้ำซุปที่หอมเข้มข้น จิ้มกับน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้สูตรเอี่ยวไถ่ ..หอเจี๊ยะสุดๆ นอกจากนั้นยังมี เมนูอาหารจีนโบราณสูตรดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเมนูหมูหัน เป็ดปักกิ่ง จัดใหญ่ไซส์ XXL ที่อบจนหนังกรอบ ห่อด้วยแป้งนึ่งร้อนๆ พร้อมเครื่องเคียง เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มสูตรเด็ด และ Recommend menu ที่พลาดไม่ได้กับสุดยอดเมนูปูที่ส่งตรงมาจากสุราษฏร์ธานี ทั้งก๋วยเตี๋ยวหลอดปู ที่เน้นเนื้อปูแน่นๆ ขนาดจัมโบ้เกรดส่งออก และหอยจ้อปู ที่คัดเฉพาะเนื้อปูก้อนขนาดจัมโบ้ อร่อยด้วยเนื้อปูล้นเต็มคำ รวมไปถึงอาหารทะเลที่คัดวัตถุดิบสดๆ ปรุงเป็นเมนูสุดพิเศษตามแบบฉบับของเอี่ยวไถ่ ฟินอร่อยกันได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว พิกัด : มี 13 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น. #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 741 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24/10/67

    มีกูรูโลกหลายคน…ออกมาเตือนว่า เริ่มมีลางบอกเหตุ จากทั่วโลก
    ให้เริ่มออมเงิน ออมทรัพย์สิน อย่างจริงจังไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้แล้ว

    กูรูหลายท่าน บอกว่า
    ถ้าท่านไม่รีบตายไปก่อน ให้นับถอยหลังไปในอีกไม่เกิน 2-3 ปี ข้างหน้านี้ จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะรุนแรงกว่ายุคต้มยำกุ้ง และ ลามมาถึงไทยแน่นอน คือ

    1. วิกฤตผู้สูงวัย และคนป่วยที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้มีจำนวนมากกว่าคนที่หารายได้

    2. อาหารขาดแคลน เพราะสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เช่น น้ำ และป่าถูกทำลาย ทำให้อาหารทะเล และอาหารป่า
    เหลือน้อยลง ๆ

    3. หนี้ล้ม เพราะผู้กู้ไม่มีจ่าย เพราะรายได้เดิม ๆ และงานเดิม ๆ ถูก Disrupt คือถูกทำลายล้าง แล้วสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยความคิดใหม่ ทำใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และชีวิตประจำวัน

    4. พลังงานแพง เพราะเหลือน้อย แต่ความต้องการใช้มาก

    5. โลกร้อน เพราะการเผาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

    6. คนใช้สมองทำงานตกงาน 44% ของทั่วโลก เพราะ AI ทำงานแทน

    7. ผลพวงกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง และสงครามยูเครน

    ทั้ง 7 วิกฤตใหญ่จะเกิดกับทั่วโลก เพราะอยู่บนดิน ใต้ฟ้าเดียวกัน และประชาคมเดียวกัน

    ใครที่มีที่ดิน หากไม่เดือดร้อนทางการเงินมากนัก พยายามถือครองให้นานที่สุด เพราะ ในอนาคตไม่นาน จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกมาก

    เชื่อว่า จะเกิดข้าวยากหมากแพง จะเกิดกลียุค จะเกิดทุพพิกภัย จะมีคนไทยอดอยาก​ ลำบากยากจน จำนวนมากมาย จะเกิดโจรภัยชุกชุมทุกหย่อมหญ้า

    อย่าได้ฟุ้งเฟ้อ
    อย่าได้ใช้ของแบรนด์เนม
    อย่าได้โลภ
    อย่าเชื่อคำหลอกลวงของนักการเมือง
    อย่าฝากความหวังในการรับของแจก แดกของฟรี
    อย่าสร้างภาระหนี้สินเพิ่มเกินตัว หากรู้ว่าไม่มีรายได้ มาเสริมเพิ่มให้รอดได้ จะตกอยู่ในกับดักของวิกฤติ ในการล่มสลายทางเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ท่านจะเดือดร้อนแสนสาหัส

    พวกอวดรวย พวกที่ชอบใช้ของแบรนด์เนม จะถูก จี้ปล้น ถูกฆ่าชิงทรัพย์ ถูกฆ่าข่มขืน ก่อนประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ระวังตัวให้จงดี แต่งตัวล่อโจรเข้าไว้ คงได้เจอหายนะแน่ ๆ

    ความมีสติในทุกสถานการณ์ ย่อมผ่อนหนัก เป็นเบาได้ ขอให้คนไทยทุกคน มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น รู้จักหาหนทางแก้ปัญหาของแต่ละคน แต่ละครอบครัวให้ดี

    เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อน ย่อมเป็นผู้ที่อยู่บนความไม่ประมาท คุณจะได้เป็นคนที่
    โชคดีที่สุด ที่รอดพ้นปลอดภัยจากวิกฤติโลกล้มทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ได้

    สงครามล้างหนี้ ของชาติมหาอำนาจ และ ชาติตะวันตก จักเกิดขึ้นแน่ สงครามล้างแค้น ในชาติตะวันออกกลาง กับอิสราเอล จะทวีความรุนแรงมากขึ้นแน่

    ขอให้กัลยาณมิตรทุกท่าน ประคองร่างกาย และ จิตใจ ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดีเถิดนะคะ
    24/10/67 มีกูรูโลกหลายคน…ออกมาเตือนว่า เริ่มมีลางบอกเหตุ จากทั่วโลก ให้เริ่มออมเงิน ออมทรัพย์สิน อย่างจริงจังไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้แล้ว กูรูหลายท่าน บอกว่า ถ้าท่านไม่รีบตายไปก่อน ให้นับถอยหลังไปในอีกไม่เกิน 2-3 ปี ข้างหน้านี้ จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะรุนแรงกว่ายุคต้มยำกุ้ง และ ลามมาถึงไทยแน่นอน คือ 1. วิกฤตผู้สูงวัย และคนป่วยที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้มีจำนวนมากกว่าคนที่หารายได้ 2. อาหารขาดแคลน เพราะสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เช่น น้ำ และป่าถูกทำลาย ทำให้อาหารทะเล และอาหารป่า เหลือน้อยลง ๆ 3. หนี้ล้ม เพราะผู้กู้ไม่มีจ่าย เพราะรายได้เดิม ๆ และงานเดิม ๆ ถูก Disrupt คือถูกทำลายล้าง แล้วสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยความคิดใหม่ ทำใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และชีวิตประจำวัน 4. พลังงานแพง เพราะเหลือน้อย แต่ความต้องการใช้มาก 5. โลกร้อน เพราะการเผาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก 6. คนใช้สมองทำงานตกงาน 44% ของทั่วโลก เพราะ AI ทำงานแทน 7. ผลพวงกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง และสงครามยูเครน ทั้ง 7 วิกฤตใหญ่จะเกิดกับทั่วโลก เพราะอยู่บนดิน ใต้ฟ้าเดียวกัน และประชาคมเดียวกัน ใครที่มีที่ดิน หากไม่เดือดร้อนทางการเงินมากนัก พยายามถือครองให้นานที่สุด เพราะ ในอนาคตไม่นาน จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกมาก เชื่อว่า จะเกิดข้าวยากหมากแพง จะเกิดกลียุค จะเกิดทุพพิกภัย จะมีคนไทยอดอยาก​ ลำบากยากจน จำนวนมากมาย จะเกิดโจรภัยชุกชุมทุกหย่อมหญ้า อย่าได้ฟุ้งเฟ้อ อย่าได้ใช้ของแบรนด์เนม อย่าได้โลภ อย่าเชื่อคำหลอกลวงของนักการเมือง อย่าฝากความหวังในการรับของแจก แดกของฟรี อย่าสร้างภาระหนี้สินเพิ่มเกินตัว หากรู้ว่าไม่มีรายได้ มาเสริมเพิ่มให้รอดได้ จะตกอยู่ในกับดักของวิกฤติ ในการล่มสลายทางเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ท่านจะเดือดร้อนแสนสาหัส พวกอวดรวย พวกที่ชอบใช้ของแบรนด์เนม จะถูก จี้ปล้น ถูกฆ่าชิงทรัพย์ ถูกฆ่าข่มขืน ก่อนประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ระวังตัวให้จงดี แต่งตัวล่อโจรเข้าไว้ คงได้เจอหายนะแน่ ๆ ความมีสติในทุกสถานการณ์ ย่อมผ่อนหนัก เป็นเบาได้ ขอให้คนไทยทุกคน มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น รู้จักหาหนทางแก้ปัญหาของแต่ละคน แต่ละครอบครัวให้ดี เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อน ย่อมเป็นผู้ที่อยู่บนความไม่ประมาท คุณจะได้เป็นคนที่ โชคดีที่สุด ที่รอดพ้นปลอดภัยจากวิกฤติโลกล้มทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ได้ สงครามล้างหนี้ ของชาติมหาอำนาจ และ ชาติตะวันตก จักเกิดขึ้นแน่ สงครามล้างแค้น ในชาติตะวันออกกลาง กับอิสราเอล จะทวีความรุนแรงมากขึ้นแน่ ขอให้กัลยาณมิตรทุกท่าน ประคองร่างกาย และ จิตใจ ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดีเถิดนะคะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • มากันที่ เรือสิริมหรรณพ เรือใบสามเสา สุดสวยที่จอดเทียบท่าถาวรที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อน ที่นี่มีบริการพร้อมทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เมนูอาหารมากมายทั้งไทยและยุโรปรวมไปถึงอาหารทะเลและเมนูสไตล์ทาปาส และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดคือวิวจากบนเรือสวยมาก มีความโรแมนติกไม่เหมือนใคร บอกเลยว่าไม่มาคือพลาดนะ

    พิกัด : https://goo.gl/maps/UXL7B4YgKQFuHHmE9
    ที่อยู่ : Asiatique The Riverfront ถนน เจริญกรุง แขวง วัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
    เปิดบริการ : 16.00 - 24.00 น.
    โทร : 0-2059-5999

    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes

    มากันที่ เรือสิริมหรรณพ เรือใบสามเสา สุดสวยที่จอดเทียบท่าถาวรที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อน ที่นี่มีบริการพร้อมทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เมนูอาหารมากมายทั้งไทยและยุโรปรวมไปถึงอาหารทะเลและเมนูสไตล์ทาปาส และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดคือวิวจากบนเรือสวยมาก มีความโรแมนติกไม่เหมือนใคร บอกเลยว่าไม่มาคือพลาดนะ พิกัด : https://goo.gl/maps/UXL7B4YgKQFuHHmE9 ที่อยู่ : Asiatique The Riverfront ถนน เจริญกรุง แขวง วัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ เปิดบริการ : 16.00 - 24.00 น. โทร : 0-2059-5999 #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • มื้อกลางวันแห่งสมุทรสงครามมีชื่อร้านนี้แน่นอน เพราะดูจากบรรยากาศร้านที่กว้างขวางทั้งที่นั่งและที่จอดรถแล้ว ตั้งแต่ทางเดินเข้าร้าน มีของฝากของทานเล่นและอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อของทางร้านวางรอจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมาก
    อาหารที่นี่มีขนาดให้เลือก เล็ก/ใหญ่ สอบถามทางร้านก่อนสั่งได้อย่าเพิ่งวู่วาม😆

    ข้าวผัดปู (จานเล็ก) ที่ไม่เล็ก ข้าวเม็ดร่วน ใส่เนื้อปูมาค่อนข้างเยอะ ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดลงตัวดีมาก
    หอยหลอดผัดฉ่า หอมใบโหระพา ผัดมาไม่แห้ง รสหวานนิดหน่อย ส่วนตัวใช้น้ำจิ้มทางร้านทานคู่กันโอเคเลย
    ปลาทูทอด เมนูธรรมดาแต่เนื้อปลาแน่นมาก ทอดมากรอบกำลังดี
    ต้มส้มปลากระพง เมนูนี้จะออกหวานนิดๆติดรสบ๊วย แต่เนื้อปลาคือสดดี
    อาหารรอไม่นาน การจัดการทางร้านดีถึงมีลูกค้าเยอะ มีแตงโมหวานๆบริการฟรีด้วย

    พิกัด 40/25 ถ.ราชประสิทธิ์ สมุทรสงคราม
    เบอร์โทร : 034-712-077, 086-507-3210
    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    มื้อกลางวันแห่งสมุทรสงครามมีชื่อร้านนี้แน่นอน เพราะดูจากบรรยากาศร้านที่กว้างขวางทั้งที่นั่งและที่จอดรถแล้ว ตั้งแต่ทางเดินเข้าร้าน มีของฝากของทานเล่นและอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อของทางร้านวางรอจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมาก อาหารที่นี่มีขนาดให้เลือก เล็ก/ใหญ่ สอบถามทางร้านก่อนสั่งได้อย่าเพิ่งวู่วาม😆 ข้าวผัดปู (จานเล็ก) ที่ไม่เล็ก ข้าวเม็ดร่วน ใส่เนื้อปูมาค่อนข้างเยอะ ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดลงตัวดีมาก หอยหลอดผัดฉ่า หอมใบโหระพา ผัดมาไม่แห้ง รสหวานนิดหน่อย ส่วนตัวใช้น้ำจิ้มทางร้านทานคู่กันโอเคเลย ปลาทูทอด เมนูธรรมดาแต่เนื้อปลาแน่นมาก ทอดมากรอบกำลังดี ต้มส้มปลากระพง เมนูนี้จะออกหวานนิดๆติดรสบ๊วย แต่เนื้อปลาคือสดดี อาหารรอไม่นาน การจัดการทางร้านดีถึงมีลูกค้าเยอะ มีแตงโมหวานๆบริการฟรีด้วย พิกัด 40/25 ถ.ราชประสิทธิ์ สมุทรสงคราม เบอร์โทร : 034-712-077, 086-507-3210 #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Like
    Love
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1275 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่อยากกินอาหารทะเลสดๆ เต็มปากเต็มคำ และไม่ต้องรอไปถึงริมทะเลแล้วล่ะก็ วันนี้เราชวนมาชิมร้านอร่อย ตี๋ โภชนา ราชปรารภ อาหารทะเลสด ที่อยู่คู่วงการอาหารทะเลบ้านเรามายาวนานถึง 40 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2511 จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แถมรสชาติ และความสดใหม่ยังคงความดั้งเดิมไว้เป๊ะ ยกทะเลมาไว้ถึงกลางกรุงทีเดียว สายซีฟู้ดห้ามพลาด

    พิกัด : https://goo.gl/maps/PKpZp511Xs7gpFqv5
    ที่อยู่ : 78/12-16 ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 23.00 น.
    โทร : 06-1919-3625

    #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ใครที่อยากกินอาหารทะเลสดๆ เต็มปากเต็มคำ และไม่ต้องรอไปถึงริมทะเลแล้วล่ะก็ วันนี้เราชวนมาชิมร้านอร่อย ตี๋ โภชนา ราชปรารภ อาหารทะเลสด ที่อยู่คู่วงการอาหารทะเลบ้านเรามายาวนานถึง 40 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2511 จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แถมรสชาติ และความสดใหม่ยังคงความดั้งเดิมไว้เป๊ะ ยกทะเลมาไว้ถึงกลางกรุงทีเดียว สายซีฟู้ดห้ามพลาด พิกัด : https://goo.gl/maps/PKpZp511Xs7gpFqv5 ที่อยู่ : 78/12-16 ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 23.00 น. โทร : 06-1919-3625 #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าพูดถึงเรื่องทะเล ก็ต้องยกให้ร้านนี่เลย สนั่นอาหารทะเลยอดอร่อย เพราะปูทะเลของที่นี่เขาเนื้อแน่นเต็มคำ ยิ่งถ้าจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ที่เฮียการันตีความอร่อย ก็ยิ่งเพิ่มความฟินแบบสุดๆ นอกจากปูเนื้อเน้นๆ เฮียเขาก็ยังมีเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ทั้งหอยชักตีนลวก หอยหวาน กุ้งเผา และอีกสารพัดเมนูเอาใจคนชอบอาหารทะเลโดยเฉพาะอีกด้วย

    พิกัด : https://goo.gl/maps/8N54oH9qRnTVn6mw6
    ที่อยู่ : 101 ถนน กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น.
    โทร : 0-2279-1924

    #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ถ้าพูดถึงเรื่องทะเล ก็ต้องยกให้ร้านนี่เลย สนั่นอาหารทะเลยอดอร่อย เพราะปูทะเลของที่นี่เขาเนื้อแน่นเต็มคำ ยิ่งถ้าจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ที่เฮียการันตีความอร่อย ก็ยิ่งเพิ่มความฟินแบบสุดๆ นอกจากปูเนื้อเน้นๆ เฮียเขาก็ยังมีเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ทั้งหอยชักตีนลวก หอยหวาน กุ้งเผา และอีกสารพัดเมนูเอาใจคนชอบอาหารทะเลโดยเฉพาะอีกด้วย พิกัด : https://goo.gl/maps/8N54oH9qRnTVn6mw6 ที่อยู่ : 101 ถนน กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น. โทร : 0-2279-1924 #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 696 มุมมอง 0 รีวิว
  • พาสามีกับน้องเฌอไปนา น้องเฌอได้นั่งรถไถนาครั้งแรก ไปทำอาหารทะเลกินที่นา
    #ไทยปนลาว
    #ไทยปนลาวสาวแว่น
    พาสามีกับน้องเฌอไปนา น้องเฌอได้นั่งรถไถนาครั้งแรก ไปทำอาหารทะเลกินที่นา #ไทยปนลาว #ไทยปนลาวสาวแว่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 41 0 รีวิว
  • มีอาหารทะเลแห้งอร่อยๆ สะอาด ถูกหลักอนามัย ราคาย่อมเยา มาจำหน่ายครับ

    เรามีหมึกกะตอยแห้ง หมึกบด หมึกฉาบ หมึกสควิตตี้ ปลาเกล็ดขาว ปลาจิ๊งจ๊าง ปลาซิวทอด กะปิเคยแท้ กุนเชียงหมูเกรดเอ ปลาทูหอม ปลาทูมัน และอื่นๆ อีกมากมาย

    สนใจสอบถามได้เลยครับ
    ร้านกินจุ๊บจิ๊บ 0818456130

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #อาหารทะเลแห้ง #หมึกกะตอยตากแห้ง #หมึกฉาบสามรส #หมึกสควิตตี้ #ปลาทูหอม #ปลาทูมัน
    มีอาหารทะเลแห้งอร่อยๆ สะอาด ถูกหลักอนามัย ราคาย่อมเยา มาจำหน่ายครับ เรามีหมึกกะตอยแห้ง หมึกบด หมึกฉาบ หมึกสควิตตี้ ปลาเกล็ดขาว ปลาจิ๊งจ๊าง ปลาซิวทอด กะปิเคยแท้ กุนเชียงหมูเกรดเอ ปลาทูหอม ปลาทูมัน และอื่นๆ อีกมากมาย สนใจสอบถามได้เลยครับ ร้านกินจุ๊บจิ๊บ 0818456130 #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #อาหารทะเลแห้ง #หมึกกะตอยตากแห้ง #หมึกฉาบสามรส #หมึกสควิตตี้ #ปลาทูหอม #ปลาทูมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 669 มุมมอง 60 0 รีวิว
  • มีอาหารทะเลแห้งอร่อยๆ สะอาด ถูกหลักอนามัย ราคาย่อมเยา มาจำหน่ายครับ

    เรามีหมึกกะตอยแห้ง หมึกบด หมึกฉาบ หมึกสควิตตี้ ปลาเกล็ดขาว ปลาจิ๊งจ๊าง ปลาซิวทอด กะปิเคยแท้ กุนเชียงหมูเกรดเอ ปลาทูหอม ปลาทูมัน และอื่นๆ อีกมากมาย

    สนใจสอบถามได้เลยครับ
    ร้านกินจุ๊บจิ๊บ 0818456130

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #อาหารทะเลแห้ง #หมึกกะตอยตากแห้ง #หมึกฉาบสามรส #หมึกสควิตตี้ #ปลาทูหอม #ปลาทูมัน
    มีอาหารทะเลแห้งอร่อยๆ สะอาด ถูกหลักอนามัย ราคาย่อมเยา มาจำหน่ายครับ เรามีหมึกกะตอยแห้ง หมึกบด หมึกฉาบ หมึกสควิตตี้ ปลาเกล็ดขาว ปลาจิ๊งจ๊าง ปลาซิวทอด กะปิเคยแท้ กุนเชียงหมูเกรดเอ ปลาทูหอม ปลาทูมัน และอื่นๆ อีกมากมาย สนใจสอบถามได้เลยครับ ร้านกินจุ๊บจิ๊บ 0818456130 #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #อาหารทะเลแห้ง #หมึกกะตอยตากแห้ง #หมึกฉาบสามรส #หมึกสควิตตี้ #ปลาทูหอม #ปลาทูมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครัวเคียงคลื่น” ร้านอาหารทะเลเจ้าเด็ด ในชะอำ วิวทะเลหลักล้าน เป็นจุดชมวิวทะเลที่สวยที่สุดของชะอำเลยทีเดียว เมนูเด็ด “กั้งทอดกระเทียม” กั้งเนื้อแน่นเด้ง ทอดกระเทียมมาหอม ๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อย “ทอดมันปู” ทอดมันเนื้อดีหนึบเหนียวหอมพริกแกง เนื้อปูเน้น ๆ “หมึกทอดน้ำดำ” เนื้อปลาหมึกนุ่มเด้ง ผัดเคล้ากับซอสเค็มปนหวานนิด ๆ รสชาติดีกลมกล่อม อร่อยดีทีเดียว แวะมาชะอำเมื่อไหร่ปักหมุดไว้ได้เลย

    พิกัด : ครัวเคียงคลื่น
    32/1 ถนนชลประทานซีเมนต์ เพชรบุรี (ใกล้โรงแรมชะอำคาบาน่ารีสอร์ท)
    เบอร์โทร : 032-470-710

    #ชวนกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    “ครัวเคียงคลื่น” ร้านอาหารทะเลเจ้าเด็ด ในชะอำ วิวทะเลหลักล้าน เป็นจุดชมวิวทะเลที่สวยที่สุดของชะอำเลยทีเดียว เมนูเด็ด “กั้งทอดกระเทียม” กั้งเนื้อแน่นเด้ง ทอดกระเทียมมาหอม ๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อย “ทอดมันปู” ทอดมันเนื้อดีหนึบเหนียวหอมพริกแกง เนื้อปูเน้น ๆ “หมึกทอดน้ำดำ” เนื้อปลาหมึกนุ่มเด้ง ผัดเคล้ากับซอสเค็มปนหวานนิด ๆ รสชาติดีกลมกล่อม อร่อยดีทีเดียว แวะมาชะอำเมื่อไหร่ปักหมุดไว้ได้เลย พิกัด : ครัวเคียงคลื่น 32/1 ถนนชลประทานซีเมนต์ เพชรบุรี (ใกล้โรงแรมชะอำคาบาน่ารีสอร์ท) เบอร์โทร : 032-470-710 #ชวนกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 601 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป

    ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว

    ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้

    รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ

    อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

    สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

    บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก

    แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

    #Newskit #HotpotCinema #DadiCinema
    ฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์ บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น #Newskit #HotpotCinema #DadiCinema
    Like
    4
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1118 มุมมอง 0 รีวิว