• "หลักฐานคาตา!" กองทัพบกแฉพบทุ่นระเบิด PMN-2 ใหม่ ห่างจุดระเบิดเดิม 30 ซม. ประณามกัมพูชาละเมิดอธิปไตย
    https://www.thai-tai.tv/news/20425/
    .
    #ทุ่นระเบิด #ช่องบก #กองทัพบก #อุบลราชธานี #PMN2 #กัมพูชา #ละเมิดอธิปไตย #อนุสัญญาออตตาวา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความมั่นคง

    "หลักฐานคาตา!" กองทัพบกแฉพบทุ่นระเบิด PMN-2 ใหม่ ห่างจุดระเบิดเดิม 30 ซม. ประณามกัมพูชาละเมิดอธิปไตย https://www.thai-tai.tv/news/20425/ . #ทุ่นระเบิด #ช่องบก #กองทัพบก #อุบลราชธานี #PMN2 #กัมพูชา #ละเมิดอธิปไตย #อนุสัญญาออตตาวา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความมั่นคง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสียงประณามกัมพูชาดังสนั่น! TMAC แฉเขมรวางทุ่นระเบิดลับชายแดน ทำทหารไทยเจ็บหนัก ซ้ำยังขัดขวางการเก็บกู้
    https://www.thai-tai.tv/news/20416/
    .
    #ทุ่นระเบิด #ช่องบก #TMAC #กัมพูชา #ละเมิดอธิปไตย #อนุสัญญาออตตาวา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารไทยบาดเจ็บ #ความมั่นคงชายแดน

    เสียงประณามกัมพูชาดังสนั่น! TMAC แฉเขมรวางทุ่นระเบิดลับชายแดน ทำทหารไทยเจ็บหนัก ซ้ำยังขัดขวางการเก็บกู้ https://www.thai-tai.tv/news/20416/ . #ทุ่นระเบิด #ช่องบก #TMAC #กัมพูชา #ละเมิดอธิปไตย #อนุสัญญาออตตาวา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารไทยบาดเจ็บ #ความมั่นคงชายแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หลักฐานชัด!" ก.ต่างประเทศ แถลงระเบิดช่องบกเป็นของใหม่-ไม่ใช่ไทยใช้ จี้กัมพูชาหยุดละเมิดออตตาวา
    https://www.thai-tai.tv/news/20415/
    .
    #ทุ่นระเบิดช่องบก #กระทรวงการต่างประเทศ #ละเมิดอธิปไตย #ชายแดนไทยกัมพูชา #สนธิสัญญาออตตาวา #ประณาม #ความมั่นคงชายแดน #กฎหมายระหว่างประเทศ

    "หลักฐานชัด!" ก.ต่างประเทศ แถลงระเบิดช่องบกเป็นของใหม่-ไม่ใช่ไทยใช้ จี้กัมพูชาหยุดละเมิดออตตาวา https://www.thai-tai.tv/news/20415/ . #ทุ่นระเบิดช่องบก #กระทรวงการต่างประเทศ #ละเมิดอธิปไตย #ชายแดนไทยกัมพูชา #สนธิสัญญาออตตาวา #ประณาม #ความมั่นคงชายแดน #กฎหมายระหว่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุด กรณีวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ที่ช่องบก อุบลราชธานี ยันไม่ใช่ของไทย ละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ขู่ใช้กลไกทวิภาคีและเรียกร้องให้เก็บกู้ทันที

    “ตามที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น

    รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

    รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน

    ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ และขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี“


    รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุด กรณีวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ที่ช่องบก อุบลราชธานี ยันไม่ใช่ของไทย ละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ขู่ใช้กลไกทวิภาคีและเรียกร้องให้เก็บกู้ทันที “ตามที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ และขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี“
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประท้วงอย่างรุนแรงต่อกัมพูชา กรณีวางทุ่นระเบิดที่ช่องบก ทำทหารไทยบาดเจ็บ 3 นาย ชี้ละเมิดอธิปไตยไทย ขัดหลักกฎหมายสากลและอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหาร เรียกร้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่นายกฯ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันในกรอบทวิภาคี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068292

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประท้วงอย่างรุนแรงต่อกัมพูชา กรณีวางทุ่นระเบิดที่ช่องบก ทำทหารไทยบาดเจ็บ 3 นาย ชี้ละเมิดอธิปไตยไทย ขัดหลักกฎหมายสากลและอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหาร เรียกร้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่นายกฯ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันในกรอบทวิภาคี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068292 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ใครกันแน่ที่ถูกกระทำ ถูกรุกล้ำละเมิดอธิปไตย ละเมิด Mou 600 กว่าครั้ง รุกล้ำมาขุดคูเลต รุกล้ำมาวางกับระเบิด ใครขนทหารมากดดันขายแดนจนไทยต้องสั่งปิดด่าน เขมรการละคร
    #7ดอกจิก
    ♣ ใครกันแน่ที่ถูกกระทำ ถูกรุกล้ำละเมิดอธิปไตย ละเมิด Mou 600 กว่าครั้ง รุกล้ำมาขุดคูเลต รุกล้ำมาวางกับระเบิด ใครขนทหารมากดดันขายแดนจนไทยต้องสั่งปิดด่าน เขมรการละคร #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณีมายาเกวซ (Mayaguez incident) เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่รวดเร็ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12-15 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) ในเกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองพระสีหนุ/กำปงโสม (ក្រុងព្រះសីហនុ,កំពង់សោម;Sihanoukville) จังหวัดพระสีหนุ (ព្រះសីហនុ) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา

    เวลาประมาณ 15.20 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) เรือบรรทุกสินค้าซึ่งใช้บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงสัญชาติอเมริกาชื่อ เอสเอส มายาเกวซ (SS Mayaguez) ซึ่งแล่นระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทย ขณะที่แล่นอยู่ห่างจากชายฝั่งของประเทศกัมพูชา 60 ไมล์ ซึ่งถือเป็นเขตน่านน้ำสากล ได้ถูกเรือปืนจำนวนหลายลำของเขมรแดง (ខ្មែរក្រហម,Khmer Rouge) เข้าล้อมและบุกยึด จับตัวประกันซึ่งเป็นกัปตันและลูกเรือไว้ได้ทั้งหมด 39 คน จากนั้นได้ลากไปจอดลอยลำทิ้งสมอไว้ที่เกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองกำปงโสม (เมืองพระสีหนุในปัจจุบัน)

    รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำโดยน.ท.เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Rudolph Ford Jr.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 38 (9 สิงหาคม พ.ศ.2517-20 มกราคม พ.ศ.2520) ได้ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนส่งกองกำลังทหารซึ่งส่วนมากเป็นนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประมาณ 1,000 นาย (ประกอบด้วยกองพันที่ 1,กรมนาวิกโยธินที่ 4,กองพันที่ 2,กรมนาวิกโยธินที่ 9,กองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 21,ฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอากาศที่ 40,ฝูงบินสนับสนุนทางอากาศทางยุทธวิธีที่ 23,กองบินรบทางยุทธวิธีที่ 3,เรือยูเอสเอส เฮนรี่ บี. วิลสัน,เรือยูเอสเอส แฮโรลด์ อี. โฮลต์,เรือยูเอสเอส คอรัลซี ฝูงบินบรรทุกเรือเครื่องบินที่ 15) จากเกาะโอกินาว่าและอ่าวซูบิก เข้าประจำการที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (U-Tapao Rayong-Pattaya International Airport) ในพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการบุกยึดเรือและตัวประกันคืน ในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยปฏิบัติการเริ่มขึ้นในเช้ามืดของวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพสหรัฐฯที่จังหวัดอุดรธานีและนครราชสีมา (โคราช) ออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยสามารถจมเรือปืนของเขมรแดงลงได้ 3 ลำ มีความสูญเสียด้วยกันของทั้งสองฝ่าย แต่สามารถช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงลูกเรือประมงของไทยจำนวน 5 คนออกมาได้

    ทว่าปฏิบัติการดังกล่าว ทางการสหรัฐใช้ฐานบินอู่ตะเภาทั้งที่รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่อนุญาตอย่างชัดแจ้ง ในวันที่ 17 พฤษภาคม ได้มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชน 30,000 คน นำโดยธีรยุทธ บุญมี ประท้วงที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย (Embassy of the United States, Bangkok) ฝ่ายรัฐบาลไทยเรียกว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย และให้สหรัฐถอนทหารออกจากอู่ตะเภาในทันที

    ในที่สุดเหตุการณ์จบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากการชุมนุมยืดเยื้อนานถึง 3 วัน เมื่ออุปทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยได้ส่งสาสน์แสดงความเสียใจต่อการกระทำดังกล่าว สุดท้ายสหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดสิ้นในปี 2519 (1976)
    กรณีมายาเกวซ (Mayaguez incident) เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่รวดเร็ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12-15 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) ในเกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองพระสีหนุ/กำปงโสม (ក្រុងព្រះសីហនុ,កំពង់សោម;Sihanoukville) จังหวัดพระสีหนุ (ព្រះសីហនុ) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา เวลาประมาณ 15.20 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) เรือบรรทุกสินค้าซึ่งใช้บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงสัญชาติอเมริกาชื่อ เอสเอส มายาเกวซ (SS Mayaguez) ซึ่งแล่นระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทย ขณะที่แล่นอยู่ห่างจากชายฝั่งของประเทศกัมพูชา 60 ไมล์ ซึ่งถือเป็นเขตน่านน้ำสากล ได้ถูกเรือปืนจำนวนหลายลำของเขมรแดง (ខ្មែរក្រហម,Khmer Rouge) เข้าล้อมและบุกยึด จับตัวประกันซึ่งเป็นกัปตันและลูกเรือไว้ได้ทั้งหมด 39 คน จากนั้นได้ลากไปจอดลอยลำทิ้งสมอไว้ที่เกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองกำปงโสม (เมืองพระสีหนุในปัจจุบัน) รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำโดยน.ท.เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Rudolph Ford Jr.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 38 (9 สิงหาคม พ.ศ.2517-20 มกราคม พ.ศ.2520) ได้ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนส่งกองกำลังทหารซึ่งส่วนมากเป็นนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประมาณ 1,000 นาย (ประกอบด้วยกองพันที่ 1,กรมนาวิกโยธินที่ 4,กองพันที่ 2,กรมนาวิกโยธินที่ 9,กองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 21,ฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอากาศที่ 40,ฝูงบินสนับสนุนทางอากาศทางยุทธวิธีที่ 23,กองบินรบทางยุทธวิธีที่ 3,เรือยูเอสเอส เฮนรี่ บี. วิลสัน,เรือยูเอสเอส แฮโรลด์ อี. โฮลต์,เรือยูเอสเอส คอรัลซี ฝูงบินบรรทุกเรือเครื่องบินที่ 15) จากเกาะโอกินาว่าและอ่าวซูบิก เข้าประจำการที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (U-Tapao Rayong-Pattaya International Airport) ในพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการบุกยึดเรือและตัวประกันคืน ในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยปฏิบัติการเริ่มขึ้นในเช้ามืดของวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพสหรัฐฯที่จังหวัดอุดรธานีและนครราชสีมา (โคราช) ออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยสามารถจมเรือปืนของเขมรแดงลงได้ 3 ลำ มีความสูญเสียด้วยกันของทั้งสองฝ่าย แต่สามารถช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงลูกเรือประมงของไทยจำนวน 5 คนออกมาได้ ทว่าปฏิบัติการดังกล่าว ทางการสหรัฐใช้ฐานบินอู่ตะเภาทั้งที่รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่อนุญาตอย่างชัดแจ้ง ในวันที่ 17 พฤษภาคม ได้มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชน 30,000 คน นำโดยธีรยุทธ บุญมี ประท้วงที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย (Embassy of the United States, Bangkok) ฝ่ายรัฐบาลไทยเรียกว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย และให้สหรัฐถอนทหารออกจากอู่ตะเภาในทันที ในที่สุดเหตุการณ์จบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากการชุมนุมยืดเยื้อนานถึง 3 วัน เมื่ออุปทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยได้ส่งสาสน์แสดงความเสียใจต่อการกระทำดังกล่าว สุดท้ายสหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดสิ้นในปี 2519 (1976)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 633 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” ลั่น อย่าไปคิดมาก กัมพูชาประท้วงปมเกาะกูด ทำได้แต่ต้องไม่ละเมิดอธิปไตยไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/17459/
    “ภูมิธรรม” ลั่น อย่าไปคิดมาก กัมพูชาประท้วงปมเกาะกูด ทำได้แต่ต้องไม่ละเมิดอธิปไตยไทย https://www.thai-tai.tv/news/17459/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการตรวจสอบของ The Better ทราบว่า บุคคลที่เป็นผู้นำแม่บ้านชาวกัมพูชาไปร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธมของประเทศไทย คือ 'อุตตมะเสนีย์ตรี (พลจัตวา) นัก วงส์' (ឧត្តមសេនីយ៍ត្រី នាក់ វង្ស) นายทหารของกัมพูชา วึ่งนอกจากจะพาคนเขมรกัมพูชาไปกระทำการล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทยแล้ว ยังท้าทายเจ้าหน้าที่ไทยอย่างร้ายแรงด้วย พลจัตตวา นัก วงษ์ มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหาร 4 ซึ่งภาคทหารที่ 4 หรือ โยธภูมิภาค 4 (យោធភូមិភាគទី៤) กินพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดพระวิหาร จังหวัดเสียมราฐ และจังหวัดกำปงธม ทางตอนเหนือละกลางส่วนเหนือของกัมพูชา โดยเฉพาะจังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดพระวิหาร เป็นพื้นที่ที่ความขัดแย้งด้านพรมแดนกับไทยจำนวนหนึ่ง รวมถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และปราสาทเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พลจัตวา นัก วงส์ เพิ่งจะได้นำข้าราชการกองพลเยี่ยมเยียนกองกำลังที่ประจำการในพื้นที่ประจำการของทหารกัมพูชาที่ประจันหน้ากับปราสาทตาเมือนธมของไทย และมอบสารอวยพรจาก ฮุน เซน และนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แก่ประชาชนเนื่องในโอกาสเทศกาลฉลองเทศกาลเทศกาลผชุมบิณฑ์ หรือเทศกาลเซ่นไหว้ลรรพบุรุษของชาวเขมรการกระทำของพลจัตวา นัก วงส์ที่ลุกล้ำอธิปไตยของไทยได้รับการชื่นชมจากชาวกัมพูชาในโซเชียลมีเดีย เช่น Sambath Khat กล่าวว่า "ในฐานะประชาชนชาวกัมพูชา ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการตัดสินใจสั่งการให้กองทัพรักชาติเข้มแข็งและมุ่งมั่นในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนสุวรรณภูมิเขมร โดยได้รับคำสั่งโดยตรงจากอุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหารที่ 4"ส่วนคนเขมรกัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า Phan Nith กล่าวอ้างคำพูดของ พลจัตวา นัก วงส์ที่ว่า "ถ้าจะยิงก็ยิงเลย อย่ากลัว!" และบอกต่อไปว่า อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ได้สั่งห้ามคนไทยยืนต่อแถวร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม เช่นเดียวกับทหารสยามที่สั่งห้ามพลเมืองเขมรยืนร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม นี่คือคำพูดของอุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ที่กล่าวและชี้ไปที่ใบหน้าของพวกอันธพาลสยามเหล่านั้น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทหารเขมรของเราอย่างอุตมะเสนีย์ตรี (นัก วงส์)ผู้บัญชาเขมรแห้งการกองพลทหารราบที่ 42 เป็นผู้กล้าหาญและกล้าหาญในการปกป้องดินแดนกัมพูชาบริเวณปราสาทตาเมือนธม เขาไม่ยอมให้กับพวกอันธพาลสยามที่กำลังโจมตีคนเขมรเรา"ขณะที่บล็อเกอร์ชาวกัมพูชสอีกรายกล่าวยกย่องว่า "อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ เป็นคนรักชาติจริงๆ พวกเขาขวางเรา เราก็ขวางพวกเขา อย่าไปกลัว" แม้แต่สื่อกัมพูชาก็ยกย่องการกระทำของบุคคลนี้ โดย Beemax TV กล่าวว่า "คำพูดของ อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ผู้บังคับการกองกำลังรักษาชายแดน ทำให้ชาวกัมพูชาดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขากล้าพูดประโยคนี้กับกองทัพไทย โดยห้ามชาวกัมพูชาร้องเพลงชาติที่ปราสาทตาเมือนธม" โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
    จากการตรวจสอบของ The Better ทราบว่า บุคคลที่เป็นผู้นำแม่บ้านชาวกัมพูชาไปร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธมของประเทศไทย คือ 'อุตตมะเสนีย์ตรี (พลจัตวา) นัก วงส์' (ឧត្តមសេនីយ៍ត្រី នាក់ វង្ស) นายทหารของกัมพูชา วึ่งนอกจากจะพาคนเขมรกัมพูชาไปกระทำการล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทยแล้ว ยังท้าทายเจ้าหน้าที่ไทยอย่างร้ายแรงด้วย พลจัตตวา นัก วงษ์ มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหาร 4 ซึ่งภาคทหารที่ 4 หรือ โยธภูมิภาค 4 (យោធភូមិភាគទី៤) กินพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดพระวิหาร จังหวัดเสียมราฐ และจังหวัดกำปงธม ทางตอนเหนือละกลางส่วนเหนือของกัมพูชา โดยเฉพาะจังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดพระวิหาร เป็นพื้นที่ที่ความขัดแย้งด้านพรมแดนกับไทยจำนวนหนึ่ง รวมถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และปราสาทเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พลจัตวา นัก วงส์ เพิ่งจะได้นำข้าราชการกองพลเยี่ยมเยียนกองกำลังที่ประจำการในพื้นที่ประจำการของทหารกัมพูชาที่ประจันหน้ากับปราสาทตาเมือนธมของไทย และมอบสารอวยพรจาก ฮุน เซน และนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แก่ประชาชนเนื่องในโอกาสเทศกาลฉลองเทศกาลเทศกาลผชุมบิณฑ์ หรือเทศกาลเซ่นไหว้ลรรพบุรุษของชาวเขมรการกระทำของพลจัตวา นัก วงส์ที่ลุกล้ำอธิปไตยของไทยได้รับการชื่นชมจากชาวกัมพูชาในโซเชียลมีเดีย เช่น Sambath Khat กล่าวว่า "ในฐานะประชาชนชาวกัมพูชา ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการตัดสินใจสั่งการให้กองทัพรักชาติเข้มแข็งและมุ่งมั่นในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนสุวรรณภูมิเขมร โดยได้รับคำสั่งโดยตรงจากอุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหารที่ 4"ส่วนคนเขมรกัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า Phan Nith กล่าวอ้างคำพูดของ พลจัตวา นัก วงส์ที่ว่า "ถ้าจะยิงก็ยิงเลย อย่ากลัว!" และบอกต่อไปว่า อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ได้สั่งห้ามคนไทยยืนต่อแถวร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม เช่นเดียวกับทหารสยามที่สั่งห้ามพลเมืองเขมรยืนร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม นี่คือคำพูดของอุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ที่กล่าวและชี้ไปที่ใบหน้าของพวกอันธพาลสยามเหล่านั้น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทหารเขมรของเราอย่างอุตมะเสนีย์ตรี (นัก วงส์)ผู้บัญชาเขมรแห้งการกองพลทหารราบที่ 42 เป็นผู้กล้าหาญและกล้าหาญในการปกป้องดินแดนกัมพูชาบริเวณปราสาทตาเมือนธม เขาไม่ยอมให้กับพวกอันธพาลสยามที่กำลังโจมตีคนเขมรเรา"ขณะที่บล็อเกอร์ชาวกัมพูชสอีกรายกล่าวยกย่องว่า "อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ เป็นคนรักชาติจริงๆ พวกเขาขวางเรา เราก็ขวางพวกเขา อย่าไปกลัว" แม้แต่สื่อกัมพูชาก็ยกย่องการกระทำของบุคคลนี้ โดย Beemax TV กล่าวว่า "คำพูดของ อุตตมะเสนีย์ตรี นัก วงส์ ผู้บังคับการกองกำลังรักษาชายแดน ทำให้ชาวกัมพูชาดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขากล้าพูดประโยคนี้กับกองทัพไทย โดยห้ามชาวกัมพูชาร้องเพลงชาติที่ปราสาทตาเมือนธม" โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 922 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ประกาศยังมุ่งมั่นที่จะซื้อดินแดนกาซามาครอบครอง ถึงแม้เจอเสียงประณามคัดค้านตั้งแต่ชาวปาเลสไตน์ ไปถึงชาติอาหรับ โลกมุสลิม และกระทั่งพวกประเทศตะวันตก เพียงแต่อาจปรับเปลี่ยนแผนไปบ้าง โดยอาจแบ่งสรรพื้นที่บางส่วนให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้าไปเป็นผู้ฟื้นฟูบูรณะ รวมถึงอาจรับชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยในอเมริกาแต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ขณะที่ทางด้านเนทันยาฮู ก็ถูกจวกแหลก หลังปล่อยมุกเสนอไอเดียให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นในซาอุดีอาระเบีย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ขณะอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ ฟอร์ซ วัน” มุ่งหน้าไปชมการแข่งขันชิงแชมป์ซูเปอร์โบลในเทิอวนิวออร์ลีนส์ โดยย้ำว่าตัวเขายังคงมีความมุ่งมั่นเข้าซื้อและครอบครองฉนวนกาซา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกนักรบฮามาสจะไม่ย้อนกลับไปอีก แต่อาจจะเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางเข้าร่วมการบูรณะฟื้นฟูดินแดนแห่งนี้ที่ถูกทำลายยับเยินในสงคราม
    .
    ก่อนหน้านี้ ระหว่างแถลงไอเดียเรื่องนี้ครั้งแรกสุดในสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์บรรยายแผนการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาเป็นการถาวร โดยให้ไปตั้งรกรากในประเทศอาหรับอื่นๆ อย่างอียิปต์และจอร์แดน เพื่อที่อเมริกาจะเข้าไปครอบครองดินแดนชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ เพื่อสร้างให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ทว่าในวันอาทิตย์ เขาบอกว่า อาจอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์บางส่วนเดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่สำทับว่า จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
    .
    การเสนอไอเดียทั้งหมดของทรัมป์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผชิญการถล่มโจมตีทิ้งระเบิดจากอิสราเอลมานานกว่า 15 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ที่นักรบฮามาสแอบข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 48,181 คน
    .
    นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า อเมริกาจะอ้างสิทธิ์อะไรในการเข้าไปยึดกาซา
    .
    เอซซาต เอล ราชก์ สมาชิกสายการเมืองของกลุ่มฮามาส ประณามแผนการของทรัมป์โดยระบุว่า กาซาไม่ใช่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้ซื้อขาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และปาเลสไตน์จะทำลายแผนการบังคับย้ายถิ่นฐานของผู้นำสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นบิ๊กรายหนึ่งในโลกอาหรับและตะวันออกกลาง รวมทั้งบรรดาผู้นำทั่วโลกก็คัดค้านแผนการของทรัมป์ กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่สองแห่งจอร์แดน เตรียมเตือนทรัมป์ระหว่างเยือนวอชิงตันในวันอังคาร (11) ว่า แผนการเช่นนี้จะปลุกเร้าให้ลัทธิหัวรุนแรงแพร่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง และสั่นคลอนสันติภาพระหว่างจอร์แดนกับอิสราเอล
    .
    ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอันของตุรกี และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์แห่งเยอรมนี เป็นผู้นำโลกสองคนล่าสุดที่ประณามแผนการของทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (9) ที่ผ่านมา โดยแอร์โดอันบอกว่า ไม่มีใครมีอำนาจย้ายประชาชนในกาซาออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสริมว่า กาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออกเป็นของชาวปาเลสไตน์
    .
    ด้านชอลซ์โจมตีแผนการของทรัมป์ว่าเป็น “กรณีสุดอื้อฉาว” และสำทับว่า การบังคับประชาชนย้ายถิ่นฐานเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    .
    ขณะที่ตะวันออกกลางเดือดเป็นฟื้นเป็นไฟกับข้อเสนอของทรัมป์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดูจะเป็นผู้นำระดับชาติเพียงคนเดียวที่เชิดชูแผนการของประมุขทำเนียบขาวในการซื้อกาซาและย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนดังกล่าวว่า เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับอิสราเอล
    .
    นอกจากนั้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เขายังอยู่ในกรุงวอชิงตัน เนทันยาฮูได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีโปรอิสราเอลในสหรัฐฯ โดยที่ผู้สื่อข่าวได้พูดผิด เรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮูก็แก้ไขให้โดยบอกว่า "รัฐปาเลสไตน์" จากนั้นเขาก็กล่าวต่อเป็นเชิงปล่อยมุกตลกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย"
    .
    ปรากฏว่าเรื่องนี้ บรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมไม่ได้ขำด้วย โดยที่อียิปต์และจอร์แดนออกมาประณามคำพูดเช่นนี้ของเนทันยาฮู ไคโรนั้นถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" ทีเดียว
    .
    ด้านซาอุดีอาระเบียเอง บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู และกล่าวต่อไปว่า "แนวคิดหัวรุนแรงซึ่งมุ่งที่การยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นเดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ขณะที่อาเหม็ด อาบูล เกอิต ผู้นำกลุ่มสันนิบาตอาหรับ วิจารณ์ว่า ไอเดียของผู้นำยิวเป็นแค่ความเพ้อฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013540
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ประกาศยังมุ่งมั่นที่จะซื้อดินแดนกาซามาครอบครอง ถึงแม้เจอเสียงประณามคัดค้านตั้งแต่ชาวปาเลสไตน์ ไปถึงชาติอาหรับ โลกมุสลิม และกระทั่งพวกประเทศตะวันตก เพียงแต่อาจปรับเปลี่ยนแผนไปบ้าง โดยอาจแบ่งสรรพื้นที่บางส่วนให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้าไปเป็นผู้ฟื้นฟูบูรณะ รวมถึงอาจรับชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยในอเมริกาแต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ขณะที่ทางด้านเนทันยาฮู ก็ถูกจวกแหลก หลังปล่อยมุกเสนอไอเดียให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นในซาอุดีอาระเบีย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ขณะอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ ฟอร์ซ วัน” มุ่งหน้าไปชมการแข่งขันชิงแชมป์ซูเปอร์โบลในเทิอวนิวออร์ลีนส์ โดยย้ำว่าตัวเขายังคงมีความมุ่งมั่นเข้าซื้อและครอบครองฉนวนกาซา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกนักรบฮามาสจะไม่ย้อนกลับไปอีก แต่อาจจะเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางเข้าร่วมการบูรณะฟื้นฟูดินแดนแห่งนี้ที่ถูกทำลายยับเยินในสงคราม . ก่อนหน้านี้ ระหว่างแถลงไอเดียเรื่องนี้ครั้งแรกสุดในสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์บรรยายแผนการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาเป็นการถาวร โดยให้ไปตั้งรกรากในประเทศอาหรับอื่นๆ อย่างอียิปต์และจอร์แดน เพื่อที่อเมริกาจะเข้าไปครอบครองดินแดนชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ เพื่อสร้างให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ทว่าในวันอาทิตย์ เขาบอกว่า อาจอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์บางส่วนเดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่สำทับว่า จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป . การเสนอไอเดียทั้งหมดของทรัมป์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผชิญการถล่มโจมตีทิ้งระเบิดจากอิสราเอลมานานกว่า 15 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ที่นักรบฮามาสแอบข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 48,181 คน . นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า อเมริกาจะอ้างสิทธิ์อะไรในการเข้าไปยึดกาซา . เอซซาต เอล ราชก์ สมาชิกสายการเมืองของกลุ่มฮามาส ประณามแผนการของทรัมป์โดยระบุว่า กาซาไม่ใช่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้ซื้อขาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และปาเลสไตน์จะทำลายแผนการบังคับย้ายถิ่นฐานของผู้นำสหรัฐฯ . ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นบิ๊กรายหนึ่งในโลกอาหรับและตะวันออกกลาง รวมทั้งบรรดาผู้นำทั่วโลกก็คัดค้านแผนการของทรัมป์ กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่สองแห่งจอร์แดน เตรียมเตือนทรัมป์ระหว่างเยือนวอชิงตันในวันอังคาร (11) ว่า แผนการเช่นนี้จะปลุกเร้าให้ลัทธิหัวรุนแรงแพร่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง และสั่นคลอนสันติภาพระหว่างจอร์แดนกับอิสราเอล . ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอันของตุรกี และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์แห่งเยอรมนี เป็นผู้นำโลกสองคนล่าสุดที่ประณามแผนการของทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (9) ที่ผ่านมา โดยแอร์โดอันบอกว่า ไม่มีใครมีอำนาจย้ายประชาชนในกาซาออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสริมว่า กาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออกเป็นของชาวปาเลสไตน์ . ด้านชอลซ์โจมตีแผนการของทรัมป์ว่าเป็น “กรณีสุดอื้อฉาว” และสำทับว่า การบังคับประชาชนย้ายถิ่นฐานเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ . ขณะที่ตะวันออกกลางเดือดเป็นฟื้นเป็นไฟกับข้อเสนอของทรัมป์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดูจะเป็นผู้นำระดับชาติเพียงคนเดียวที่เชิดชูแผนการของประมุขทำเนียบขาวในการซื้อกาซาและย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนดังกล่าวว่า เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับอิสราเอล . นอกจากนั้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เขายังอยู่ในกรุงวอชิงตัน เนทันยาฮูได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีโปรอิสราเอลในสหรัฐฯ โดยที่ผู้สื่อข่าวได้พูดผิด เรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮูก็แก้ไขให้โดยบอกว่า "รัฐปาเลสไตน์" จากนั้นเขาก็กล่าวต่อเป็นเชิงปล่อยมุกตลกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" . ปรากฏว่าเรื่องนี้ บรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมไม่ได้ขำด้วย โดยที่อียิปต์และจอร์แดนออกมาประณามคำพูดเช่นนี้ของเนทันยาฮู ไคโรนั้นถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" ทีเดียว . ด้านซาอุดีอาระเบียเอง บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู และกล่าวต่อไปว่า "แนวคิดหัวรุนแรงซึ่งมุ่งที่การยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นเดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ . ขณะที่อาเหม็ด อาบูล เกอิต ผู้นำกลุ่มสันนิบาตอาหรับ วิจารณ์ว่า ไอเดียของผู้นำยิวเป็นแค่ความเพ้อฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013540 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซาอุดีอาระเบีย ยืนยันปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อความคิดเห็นของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา แล้วให้สถาปนาความเป็นรัฐในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย กระทรวงการต่างประเทศริยาด ตอบโต้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่
    .
    พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลพากันออกมาบ่งชี้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ในขณะที่ เนทันยาฮู ดูเหมือนพูดติดตลกในลักษณะเดียวกัน ระหว่างตอบคำถามของผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 14 ซึ่งเป็นสำนักข่าวโปรเนทันยาอู ที่เรียกผิดเป็น "รัฐซาอุดีฯ" แทน "รัฐปาเลสไตน์" ก่อนพูดแก้ไขด้วยตนเองในทันที
    .
    "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน
    .
    ในส่วนถ้อยแถลงตอบโต้ของซาอุดีอาระเบีย ได้พาดพิงชื่อเนทันยาฮู แต่ไม่ได้กล่าวอ้างตรงๆถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสถาปนาความเป็นรับปาเลสไตน์ในดินแดนซาอุดีอาระเบีย
    .
    ความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อียิปต์และจอร์แดนก็ออกมาประณามคำชี้แนะของอิสราเอลเช่นกัน โดยที่ไคโรถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง"
    .
    ซาอุดีอาระเบีย บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู "แนวคิดหัวรุนแรงแห่งการยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ในกาซา ถูกโหมกระพือขึ้นจากข้อเสนอสุดช็อคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(4ก.พ.) ที่บอกว่าอเมริกา "จะควบคุมฉนวนกาซา" ผ่านการส่งมอบโดยอิสราเอล และจะสร้างดินแดนแห่งนี้ให้เห็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไปที่ไหนสักแห่ง
    .
    ข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ เรียกเสียงประณามในวงกว้างจากบรรดชาติอาหรับ ในขณะที่ความคิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดจึ้นระหว่างข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางในสงครามกาซา ดินแดนที่อิสราเอลสู้รบกับพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ควบคุมฉนวนแคบๆแห่งนี้
    .
    ทรัมป์ อ้างว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขในการคืนสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ริยาดรุดออกมาตอบโต้คำกล่าวอ้างของเขา พร้อมยืนยันว่าพวกเขาจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
    .
    พวกเจ้าหน้าที่กาซาระบุว่าสงครามได้สังหารชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 47,000 นาย จากประชากรทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในกาซา โดยอิสราเอลเปิดฉากรุกรานดินแดนแห่งนี้ หลังจากกลุ่มมือปืนที่นำโดยฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 ราย และจับตัวประกันไปมากกว่า 250 คน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013147
    ..............
    Sondhi X
    ซาอุดีอาระเบีย ยืนยันปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อความคิดเห็นของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา แล้วให้สถาปนาความเป็นรัฐในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย กระทรวงการต่างประเทศริยาด ตอบโต้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ . พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลพากันออกมาบ่งชี้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ในขณะที่ เนทันยาฮู ดูเหมือนพูดติดตลกในลักษณะเดียวกัน ระหว่างตอบคำถามของผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 14 ซึ่งเป็นสำนักข่าวโปรเนทันยาอู ที่เรียกผิดเป็น "รัฐซาอุดีฯ" แทน "รัฐปาเลสไตน์" ก่อนพูดแก้ไขด้วยตนเองในทันที . "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน . ในส่วนถ้อยแถลงตอบโต้ของซาอุดีอาระเบีย ได้พาดพิงชื่อเนทันยาฮู แต่ไม่ได้กล่าวอ้างตรงๆถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสถาปนาความเป็นรับปาเลสไตน์ในดินแดนซาอุดีอาระเบีย . ความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อียิปต์และจอร์แดนก็ออกมาประณามคำชี้แนะของอิสราเอลเช่นกัน โดยที่ไคโรถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" . ซาอุดีอาระเบีย บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู "แนวคิดหัวรุนแรงแห่งการยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ . ประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ในกาซา ถูกโหมกระพือขึ้นจากข้อเสนอสุดช็อคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(4ก.พ.) ที่บอกว่าอเมริกา "จะควบคุมฉนวนกาซา" ผ่านการส่งมอบโดยอิสราเอล และจะสร้างดินแดนแห่งนี้ให้เห็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไปที่ไหนสักแห่ง . ข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ เรียกเสียงประณามในวงกว้างจากบรรดชาติอาหรับ ในขณะที่ความคิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดจึ้นระหว่างข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางในสงครามกาซา ดินแดนที่อิสราเอลสู้รบกับพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ควบคุมฉนวนแคบๆแห่งนี้ . ทรัมป์ อ้างว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขในการคืนสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ริยาดรุดออกมาตอบโต้คำกล่าวอ้างของเขา พร้อมยืนยันว่าพวกเขาจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ . พวกเจ้าหน้าที่กาซาระบุว่าสงครามได้สังหารชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 47,000 นาย จากประชากรทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในกาซา โดยอิสราเอลเปิดฉากรุกรานดินแดนแห่งนี้ หลังจากกลุ่มมือปืนที่นำโดยฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 ราย และจับตัวประกันไปมากกว่า 250 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013147 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1751 มุมมอง 0 รีวิว
  • อียิปต์ประณามถ้อยแถลงของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ชี้แนะให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ระบุเป็นความเห็น "ที่ไร้ความรับผิดชอบ" แม้ดูเหมือนว่าผู้นำยิวรายนี้จะพูดติดตลกก็ตาม
    .
    กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ระบุในถ้อยแถลงว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง และความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็น "เส้นตายสำหรับอียิปต์"
    .
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ดูเหมือนพูดติดตลกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ครั้งที่เขาตอบกลับผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ชาแนล 14 ที่พูดผิดเรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์"
    .
    "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน
    .
    ถ้อยแถลงของอียิปต์ ไม่ได้พาดพิงชื่อของเนทันยาฮูโดยตรง แต่ระบุว่าคำพูดดังกล่าว เป็นความเห็น "ที่ก้าวร้าวน่าตำหนิและละเมิดบรรทัดฐานทางการทูต"
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บ่งชี้ในช่วงกลางสัปดาห์ ว่าสหรัฐฯอาจเข้าควบคุมฉนวนกาซา ผ่านการส่งต่อมาจากอิสราเอล และสถาปนา "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายประชากรชาวปาเลสไตน์ไปไว้ที่ไหนสักแห่ง ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แด สวนทางกับความคิดเห็นบรรดาชาติอาหรับ ที่ต้องการเห็นทางออกแบบ 2 รัฐคู่ขนาน ที่มีผืนแผ่นดินสำหรับชาวปาเลสไตน์อยู่เคียงข้างกับอิสราเอล
    .
    ต่อมา ทรัมป์ อ้างด้วยว่าว่าริยาด ไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขสำหรับการสานสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธถ้อยแถลงของเขา พร้อมประกาศกร้าวว่าจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์
    .
    ข้อเสนอใดๆที่ชี้แนะให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา ดินแดนที่พวกเขาต้องการให้เป็นรัฐเอกราชไม่ว่ารูปแบบหนึ่งรูปแบบใด โหมกระพือเสียงสาปแช่งอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำปาเลสไตน์มาหลายยุคหลายสมัย และบรรดาชาติเพื่อนบ้านอาหรับก็ต่างปฏิเสธแนวความคิดนี้มาตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น
    .
    แผนของทรัมป์ยังถูกประณามจากทั่วโลกเช่นกัน โดยพวกผู้นำโลกบอกว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะคุกคามเสถียรภาพในระดับภูมิภาค กระตุ้นให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันศุกร์(7ก.พ.) ดูเหมือนจะกลับลำเล็กน้อย บอกว่ายังไม่รีบดำเนินการตามแผนของเขา ในการเข้ายึดและพัฒนาฉนวนกาซา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012936
    ..............
    Sondhi X
    อียิปต์ประณามถ้อยแถลงของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ชี้แนะให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ระบุเป็นความเห็น "ที่ไร้ความรับผิดชอบ" แม้ดูเหมือนว่าผู้นำยิวรายนี้จะพูดติดตลกก็ตาม . กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ระบุในถ้อยแถลงว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง และความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็น "เส้นตายสำหรับอียิปต์" . เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ดูเหมือนพูดติดตลกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ครั้งที่เขาตอบกลับผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ชาแนล 14 ที่พูดผิดเรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" . "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน . ถ้อยแถลงของอียิปต์ ไม่ได้พาดพิงชื่อของเนทันยาฮูโดยตรง แต่ระบุว่าคำพูดดังกล่าว เป็นความเห็น "ที่ก้าวร้าวน่าตำหนิและละเมิดบรรทัดฐานทางการทูต" . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บ่งชี้ในช่วงกลางสัปดาห์ ว่าสหรัฐฯอาจเข้าควบคุมฉนวนกาซา ผ่านการส่งต่อมาจากอิสราเอล และสถาปนา "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายประชากรชาวปาเลสไตน์ไปไว้ที่ไหนสักแห่ง ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แด สวนทางกับความคิดเห็นบรรดาชาติอาหรับ ที่ต้องการเห็นทางออกแบบ 2 รัฐคู่ขนาน ที่มีผืนแผ่นดินสำหรับชาวปาเลสไตน์อยู่เคียงข้างกับอิสราเอล . ต่อมา ทรัมป์ อ้างด้วยว่าว่าริยาด ไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขสำหรับการสานสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธถ้อยแถลงของเขา พร้อมประกาศกร้าวว่าจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ . ข้อเสนอใดๆที่ชี้แนะให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา ดินแดนที่พวกเขาต้องการให้เป็นรัฐเอกราชไม่ว่ารูปแบบหนึ่งรูปแบบใด โหมกระพือเสียงสาปแช่งอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำปาเลสไตน์มาหลายยุคหลายสมัย และบรรดาชาติเพื่อนบ้านอาหรับก็ต่างปฏิเสธแนวความคิดนี้มาตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น . แผนของทรัมป์ยังถูกประณามจากทั่วโลกเช่นกัน โดยพวกผู้นำโลกบอกว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะคุกคามเสถียรภาพในระดับภูมิภาค กระตุ้นให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันศุกร์(7ก.พ.) ดูเหมือนจะกลับลำเล็กน้อย บอกว่ายังไม่รีบดำเนินการตามแผนของเขา ในการเข้ายึดและพัฒนาฉนวนกาซา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012936 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1457 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 ปี “ก๊อด'ส อาร์มี่” บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี บทเรียนแห่งความสูญเสีย และความเด็ดขาด

    เช้าตรู่แห่งความเปลี่ยนแปลง
    ย้อนไปเมื่อ 25 ปี ที่ผ่านมา ในเช้าวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 ถือเป็นวันที่ชาวราชบุรี และประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่มีวันลืมได้ นายพินิจ ปองมณี คนขับรถบัสสาย 18 ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้พบกับเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ไปตลอดกาล เมื่อชายสองคนโบกรถ และกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของปฏิบัติการก่อการร้าย ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

    "ก๊อด'ส อาร์มี่" กองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง
    กองกำลัง "ก๊อด'ส อาร์มี่" เป็นกลุ่มติดอาวุธ ที่มีจุดกำเนิดจากชายแดนไทย-พม่า กลุ่มนี้นำโดยคู่แฝด “ลูเธอร์ ทู” และ “จอห์นนี่ ทู” ซึ่งได้รับการยกย่อง จากผู้ติดตามว่าเป็น “นักบุญ” และมีพลังเหนือธรรมชาติ แนวทางของกลุ่มคือ การต่อต้านรัฐบาลพม่า เพื่อเรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง ของชาวกะเหรี่ยง

    ด้วยแรงกดดัน จากการโจมตีของกองทัพพม่า กลุ่มนี้หันมาใช้วิธีการรุนแรง เช่น การจับตัวประกัน และบุกยึดสถานที่สำคัญ โดยหวังให้ทั่วโลกสนใจ ประเด็นผู้อพยพชายแดน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนนั้น

    เหตุการณ์การยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
    เมื่อชายฉกรรจ์ทั้ง 10 คน พร้อมอาวุธครบมือขึ้นรถบัส พวกเขาเริ่มดำเนินแผนการณ์ ด้วยการบุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี สถานที่ที่มีหมอ พยาบาล และผู้ป่วยที่ต้องการการดูแล ในขณะนั้น

    การดำเนินการของกลุ่มก่อการร้าย เป็นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถควบคุมตัวบุคลากร และผู้ป่วยรวมกว่า 780 คน และตั้งฐานในบริเวณชั้น 2 ของโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือ การบีบบังคับให้รัฐบาลไทย ตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือผู้อพยพ

    ข้อเรียกร้องที่แฝงด้วยความสิ้นหวัง
    ข้อเรียกร้องของ "ก๊อด'ส อาร์มี่" ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสิ้นหวังของพวกเขา
    - ให้หยุดยิงปืนใหญ่ที่ชายแดน ซึ่งกระทบต่อชีวิตผู้อพยพ
    - เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง
    - เปิดชายแดนไทย-พม่า เพื่อให้ผู้อพยพมีที่พักพิง
    - กดดันรัฐบาลพม่า ให้หยุดการสู้รบ
    - นำแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ ไปรักษากองกำลังกะเหรี่ยง ในชายแดน

    แม้ข้อเรียกร้องเหล่านี้ จะดูมีความหมายในแง่มนุษยธรรม แต่การกระทำของพวกเขา ได้ละเมิดอธิปไตยของไทย และสร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม อย่างร้ายแรง

    แผนปฏิบัติการช่วยเหลือ
    รัฐบาลไทยเผชิญกับ ทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการตอบสนอง ต่อข้อเรียกร้องของผู้ก่อเหตุ หรือการใช้กำลัง เพื่อยุติสถานการณ์ ในที่สุด พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ในขณะนั้น ได้วางแผนปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อรินทราช 26 และนเรศวร 261 เพื่อเข้าเคลียร์พื้นที่และช่วยเหลือตัวประกัน

    ปฏิบัติการช่วงชิงเวลา
    ในคืนวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 หลังการเจรจาที่ไม่เป็นผลสำเร็จ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ได้ตัดสินใจบุกยึดพื้นที่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุเริ่มอ่อนล้า ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว และรัดกุม โดยสามารถสังหารผู้ก่อเหตุทั้งหมด 10 คน และช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต ของพลเรือน

    บทเรียนที่ได้รับ ความสำคัญของการประสานงานหลายฝ่าย
    เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างกองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลดความสูญเสีย ได้อย่างมาก

    จุดยืนของประเทศไทย
    การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมจำนน ต่อการก่อการร้าย และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของตน

    ผลกระทบต่อกลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่
    การสูญเสียผู้นำสำคัญ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ อ่อนแอลงอย่างมาก และในที่สุด ก็สลายตัวลงในปีถัดมา

    25 ปีผ่านไป บทเรียนสู่อนาคต
    เหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ให้แก่หน่วยงานด้านความมั่นคง และคนไทยทุกคน การเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเด็ดขาด และความเสียสละ จากทุกฝ่าย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241345 ม.ค. 2568

    #GodsArmy #ราชบุรี #เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ #บุกโรงพยาบาล #ข่าวด่วนราชบุรี #กองกำลังติดอาวุธ #ประเทศไทย
    25 ปี “ก๊อด'ส อาร์มี่” บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี บทเรียนแห่งความสูญเสีย และความเด็ดขาด เช้าตรู่แห่งความเปลี่ยนแปลง ย้อนไปเมื่อ 25 ปี ที่ผ่านมา ในเช้าวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 ถือเป็นวันที่ชาวราชบุรี และประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่มีวันลืมได้ นายพินิจ ปองมณี คนขับรถบัสสาย 18 ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้พบกับเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ไปตลอดกาล เมื่อชายสองคนโบกรถ และกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของปฏิบัติการก่อการร้าย ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย "ก๊อด'ส อาร์มี่" กองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง กองกำลัง "ก๊อด'ส อาร์มี่" เป็นกลุ่มติดอาวุธ ที่มีจุดกำเนิดจากชายแดนไทย-พม่า กลุ่มนี้นำโดยคู่แฝด “ลูเธอร์ ทู” และ “จอห์นนี่ ทู” ซึ่งได้รับการยกย่อง จากผู้ติดตามว่าเป็น “นักบุญ” และมีพลังเหนือธรรมชาติ แนวทางของกลุ่มคือ การต่อต้านรัฐบาลพม่า เพื่อเรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง ของชาวกะเหรี่ยง ด้วยแรงกดดัน จากการโจมตีของกองทัพพม่า กลุ่มนี้หันมาใช้วิธีการรุนแรง เช่น การจับตัวประกัน และบุกยึดสถานที่สำคัญ โดยหวังให้ทั่วโลกสนใจ ประเด็นผู้อพยพชายแดน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนนั้น เหตุการณ์การยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี เมื่อชายฉกรรจ์ทั้ง 10 คน พร้อมอาวุธครบมือขึ้นรถบัส พวกเขาเริ่มดำเนินแผนการณ์ ด้วยการบุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี สถานที่ที่มีหมอ พยาบาล และผู้ป่วยที่ต้องการการดูแล ในขณะนั้น การดำเนินการของกลุ่มก่อการร้าย เป็นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถควบคุมตัวบุคลากร และผู้ป่วยรวมกว่า 780 คน และตั้งฐานในบริเวณชั้น 2 ของโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือ การบีบบังคับให้รัฐบาลไทย ตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือผู้อพยพ ข้อเรียกร้องที่แฝงด้วยความสิ้นหวัง ข้อเรียกร้องของ "ก๊อด'ส อาร์มี่" ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสิ้นหวังของพวกเขา - ให้หยุดยิงปืนใหญ่ที่ชายแดน ซึ่งกระทบต่อชีวิตผู้อพยพ - เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง - เปิดชายแดนไทย-พม่า เพื่อให้ผู้อพยพมีที่พักพิง - กดดันรัฐบาลพม่า ให้หยุดการสู้รบ - นำแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ ไปรักษากองกำลังกะเหรี่ยง ในชายแดน แม้ข้อเรียกร้องเหล่านี้ จะดูมีความหมายในแง่มนุษยธรรม แต่การกระทำของพวกเขา ได้ละเมิดอธิปไตยของไทย และสร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม อย่างร้ายแรง แผนปฏิบัติการช่วยเหลือ รัฐบาลไทยเผชิญกับ ทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการตอบสนอง ต่อข้อเรียกร้องของผู้ก่อเหตุ หรือการใช้กำลัง เพื่อยุติสถานการณ์ ในที่สุด พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ในขณะนั้น ได้วางแผนปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อรินทราช 26 และนเรศวร 261 เพื่อเข้าเคลียร์พื้นที่และช่วยเหลือตัวประกัน ปฏิบัติการช่วงชิงเวลา ในคืนวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 หลังการเจรจาที่ไม่เป็นผลสำเร็จ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ได้ตัดสินใจบุกยึดพื้นที่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุเริ่มอ่อนล้า ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว และรัดกุม โดยสามารถสังหารผู้ก่อเหตุทั้งหมด 10 คน และช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต ของพลเรือน บทเรียนที่ได้รับ ความสำคัญของการประสานงานหลายฝ่าย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างกองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลดความสูญเสีย ได้อย่างมาก จุดยืนของประเทศไทย การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมจำนน ต่อการก่อการร้าย และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของตน ผลกระทบต่อกลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ การสูญเสียผู้นำสำคัญ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ อ่อนแอลงอย่างมาก และในที่สุด ก็สลายตัวลงในปีถัดมา 25 ปีผ่านไป บทเรียนสู่อนาคต เหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ให้แก่หน่วยงานด้านความมั่นคง และคนไทยทุกคน การเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเด็ดขาด และความเสียสละ จากทุกฝ่าย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241345 ม.ค. 2568 #GodsArmy #ราชบุรี #เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ #บุกโรงพยาบาล #ข่าวด่วนราชบุรี #กองกำลังติดอาวุธ #ประเทศไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1044 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแผนยกระดับการส่งมอบยุทโธปกรณ์ทางทหารของอเมริกาที่ป้อนแก่ไต้หวัน ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีน ซึ่งกล่าวอ้างว่าเกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน จากคำยืนยันของ ไมค์ วอลต์ซ ว่าที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    .
    ระหว่างกล่าว ณ สถาบันสันติภาพในวอชิงตัน เมื่อวันอังคาร(14ม.ค.) วอลต์ซ สมาชิกสภาคองเกรสจากฟลอริดา เน้นย้ำว่า "เรามีสินค้าคงค้างกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ที่พวกเขาจ่ายเงินมา และเราจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาได้รับในสิ่งที่พวกเขายอมควักเงินเพื่อสิ่งนี้ ที่เรียกว่ามาตรการป้องปราม"
    .
    วอลต์ซ ยังยืนยันด้วยว่า รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะเดินหน้าแสวงหานโยบายครอบคลุมในเรื่องเกี่ยวกับไต้หวัน ยุทธศาสตร์นี้รวมไปถึงการติดตั้งแสนยานุภาพด้านการป้องกันตนเองแก่เกาะแห่งนี้ อาทิระบบขีปนาวุธเคลื่อนที่ โดรนและเทคโนโลยีสอดแนมล้ำสมัย ที่จะทำให้จีนแผ่นดินใหญ่อาจต้องทุ่มทุนมากกว่าเดิม หากคิดใช้กำลังเข้าควบคุมไต้หวัน
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงกลาโหมของไต้หวัน แถลงว่ามีแผนประจำการระบบป้องกันขีปนาวุธใหม่ที่จัดหาให้โดยสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี โดยเผยว่าพวกเขาจะติดตั้งระบบอาวุธ NASAMS ที่ผลิตโดยนอร์เวย์ ในตำแหน่งต่างๆที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ทางเหนือของเกาะ
    .
    ปักกิ่งมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" และยืนยันว่าท้ายที่สุดจะมีการรวมชาติ ในนั้นรวมถึงผ่านการใช้กำลังถ้าจำเป็น นอกจากนี้แล้ว จีน ยังส่งเสียงคัดค้านซ้ำๆต่อการแทรกแซงใดๆของต่างชาติในประเด็นนี้ ในนั้นรวมถึงการที่สหรัฐฯขายอาวุธแก่ไต้หวัน โดยปักกิ่งมองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของพวกเขาและคุกคามเสถียรภาพในภูมิภาค
    .
    ไต้หวัน ปกครองตนเองมาตั้งแต่ปี 1949 ครั้งกองกำลังชาตินิยมล่าถอยไปยังเกาะแห่งนี้ หลังจากพ่ายแพ้ในสงคามกลางเมืองของจีน ปัจจุบันเหลือไม่กี่ประเทศที่ให้การยอมรับอธิปไตยของเกาะ และเกือบทั่วโลก ยึดถือจุดยืนของจีน ที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน
    .
    อย่างไรก็ตามในส่วนของสหรัฐฯ แม้อย่างเป็นทางการแล้ว ยืดถือนโยบายจีนเดียว แต่ยังคงป้อนอาวุธให้แก่เกาะแห่งนี้ และประสานความร่วมมือทางทหารกับรัฐบาลในไทเป
    .
    จีน ประณามซ้ำๆต่อกรณีสหรัฐฯขายอาวุธให้ไต้หวัน ว่าบั่นทอนเสถียรภาพและยั่วยุ และทำการซ้อมรบทางทะเลและทางอากาศถี่ๆรอบๆเกาะ เป็นการตอบโต้
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน จีนกำหนดมาตรการคว่ำบาตรบริษัทกลาโหม 7 แห่งของสหรัฐฯ และสั่งแบนส่งออกสินค้าที่สามารถใช้ในทั้งทางพาณิยช์และด้านการทหาร ไปยังบรรดาบริษัทอเมริกา ในนั้นรวมถึงโบอิ้ง, เจเนรัล ไดนามิกส์, ล็อคฮีด มาร์ติน และ เรย์เธียน ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีที่กำลังพ้นจากตำแหน่ง อนุมัติจัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมแก่ไต้หวัน อีก 571 ล้านดอลลาร์ ในเดือนธันวาคม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004692
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแผนยกระดับการส่งมอบยุทโธปกรณ์ทางทหารของอเมริกาที่ป้อนแก่ไต้หวัน ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีน ซึ่งกล่าวอ้างว่าเกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน จากคำยืนยันของ ไมค์ วอลต์ซ ว่าที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ . ระหว่างกล่าว ณ สถาบันสันติภาพในวอชิงตัน เมื่อวันอังคาร(14ม.ค.) วอลต์ซ สมาชิกสภาคองเกรสจากฟลอริดา เน้นย้ำว่า "เรามีสินค้าคงค้างกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ที่พวกเขาจ่ายเงินมา และเราจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาได้รับในสิ่งที่พวกเขายอมควักเงินเพื่อสิ่งนี้ ที่เรียกว่ามาตรการป้องปราม" . วอลต์ซ ยังยืนยันด้วยว่า รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะเดินหน้าแสวงหานโยบายครอบคลุมในเรื่องเกี่ยวกับไต้หวัน ยุทธศาสตร์นี้รวมไปถึงการติดตั้งแสนยานุภาพด้านการป้องกันตนเองแก่เกาะแห่งนี้ อาทิระบบขีปนาวุธเคลื่อนที่ โดรนและเทคโนโลยีสอดแนมล้ำสมัย ที่จะทำให้จีนแผ่นดินใหญ่อาจต้องทุ่มทุนมากกว่าเดิม หากคิดใช้กำลังเข้าควบคุมไต้หวัน . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงกลาโหมของไต้หวัน แถลงว่ามีแผนประจำการระบบป้องกันขีปนาวุธใหม่ที่จัดหาให้โดยสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี โดยเผยว่าพวกเขาจะติดตั้งระบบอาวุธ NASAMS ที่ผลิตโดยนอร์เวย์ ในตำแหน่งต่างๆที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ทางเหนือของเกาะ . ปักกิ่งมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" และยืนยันว่าท้ายที่สุดจะมีการรวมชาติ ในนั้นรวมถึงผ่านการใช้กำลังถ้าจำเป็น นอกจากนี้แล้ว จีน ยังส่งเสียงคัดค้านซ้ำๆต่อการแทรกแซงใดๆของต่างชาติในประเด็นนี้ ในนั้นรวมถึงการที่สหรัฐฯขายอาวุธแก่ไต้หวัน โดยปักกิ่งมองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของพวกเขาและคุกคามเสถียรภาพในภูมิภาค . ไต้หวัน ปกครองตนเองมาตั้งแต่ปี 1949 ครั้งกองกำลังชาตินิยมล่าถอยไปยังเกาะแห่งนี้ หลังจากพ่ายแพ้ในสงคามกลางเมืองของจีน ปัจจุบันเหลือไม่กี่ประเทศที่ให้การยอมรับอธิปไตยของเกาะ และเกือบทั่วโลก ยึดถือจุดยืนของจีน ที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน . อย่างไรก็ตามในส่วนของสหรัฐฯ แม้อย่างเป็นทางการแล้ว ยืดถือนโยบายจีนเดียว แต่ยังคงป้อนอาวุธให้แก่เกาะแห่งนี้ และประสานความร่วมมือทางทหารกับรัฐบาลในไทเป . จีน ประณามซ้ำๆต่อกรณีสหรัฐฯขายอาวุธให้ไต้หวัน ว่าบั่นทอนเสถียรภาพและยั่วยุ และทำการซ้อมรบทางทะเลและทางอากาศถี่ๆรอบๆเกาะ เป็นการตอบโต้ . ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน จีนกำหนดมาตรการคว่ำบาตรบริษัทกลาโหม 7 แห่งของสหรัฐฯ และสั่งแบนส่งออกสินค้าที่สามารถใช้ในทั้งทางพาณิยช์และด้านการทหาร ไปยังบรรดาบริษัทอเมริกา ในนั้นรวมถึงโบอิ้ง, เจเนรัล ไดนามิกส์, ล็อคฮีด มาร์ติน และ เรย์เธียน ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีที่กำลังพ้นจากตำแหน่ง อนุมัติจัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมแก่ไต้หวัน อีก 571 ล้านดอลลาร์ ในเดือนธันวาคม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004692 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1857 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ ##
    ..
    ..
    โดยหลักการ พื้นที่อ้างสิทธิ์ สามารถทับซ้อนกันได้...
    .
    แต่ถ้ามีพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทับซ้อนเกินความเป็นจริงไปมาก ทำให้อีกฝั่ง เสียสิทธิ์ โดยไม่ยึดตามหลักกฎหมายทะเลสากล สิ่งนี้รับไม่ได้...
    .
    MOU44 มีแผนที่แนบท้าย ซึ่งวาดเอาเองตามอำเภอใจ ของ กัมพูชา ตีเส้นผ่านเกาะกูด ทำให้พื้นที่ "น่านน้ำภายในอ่าวไทย" และ “ทะเลอาณาเขต” หายไป รวมทั้ง “เขตต่อเนื่อง” อีกด้วย
    .
    อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพื้นที่อ้างสิทธิ์ที่ถูกต้องไป ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งเกิดการทับซ้อนเกินจริงไปมาก...!!!
    .
    ดังนั้น MOU44 มีโอกาสทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก โดยมี กรณีเข้าพระวิหารเป็นตัวอย่างซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงเพราะแค่ ประเทศไทย ไม่เคยแสดงออก ไม่เคยปฎิเสธ ประเทศไทยก็สูญเสียเขาพระวิหารไปแล้ว สิ่งนี้เขาเรียกว่า “หลักกฎหมายปิดปาก”
    .
    อีกทั้ง MOU44 ซึ่งมีลักษณะ อันอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐได้ ดังนั้น MOU44 จึงถือเป็นหนังสือสัญญา ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
    .
    ซึ่ง MOU44 ฉบับนี้ ชัดเจนที่สุดมาก ว่าไม่ได้เคยผ่านความเห็นชอบของสภาเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเป็นการ ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
    .
    อีกทั้ง MOU44 ฉบับนี้ มีเนื้อหาขัดต่อ พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ที่กำหนดวิธีการ ในการเจรจาไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายสากลระหว่างประเทศ ว่าด้วยทะเล เท่านั้น
    .
    ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามาทั้งหมดนี้ MOU44 จึงเป็น “โมฆะ” มาตั้งแต่ต้น มีผลเสมือนไม่เคยเกิดมีขึ้นบนโลกใบนี้มาก่อน ตั้งแต่โบราณกาลจวบกระทั่งอนาคต ตราบชั่วฟ้าดินสลาย...!!!
    ...
    ...
    12 กรกฎาคม 2515 กัมพูชา ประกาศเขตไหล่ทวีป ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 รุกล้ำอธิปไตยไทย รุกล้ำทะเลอาณาเขต รุกล้ำทะเลต่อเนื่องไทย และ รุกล้ำเศรษฐกิจจำเพาะไทย...
    .
    โดยไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายสากลว่าด้วยทะเล บทบัญญัติแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ.1958...!!!
    .
    มีการนับโขดหิน ขึ้นมาอ้างเพื่อวาดเส้นไหล่ทวีปนี้ ซึ่งขัดกับ กฎหมาย UNCLOS ล่าสุดข้อหนึ่งที่ว่า ไม่ให้นับรวมโขดหินที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอาศัยอยู่ได้ ในการขีดเส้นไหล่ทวีป...
    .
    ย้อนกลับไปในวันที่ 1 กรกฎาคม 2515 พระราชกฤษฎีกากัมพูชา ประกาศไหล่ทวีปฝ่ายเดียวจากหลักเขตที่ 73 อ้อมเกาะกูดของไทยเป็นรูปตัว U ลงนามโดย นายพล ลอนนอน
    .
    ขีดเส้นไหล่ทวีปประชิดเกาะกูด แต่...!!!
    .
    ยอมรับว่า เกาะกูด เป็นของประเทศไทย...!!!
    .
    โดยหลักกหมายสากลทางทะเล ถ้าเกาะกูดเป็นของประเทศไทยจริง...!!!
    .
    เกาะกูดก็ต้องมี...
    .
    1.ทะเลอาณาเขต รอบเกาะกูด (12 ไมล์ทะเล)
    2.ทะเลต่อเนื่องไทย (24 ไมล์ทะเล)
    .
    ดังนั้น ประเทศไทย เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนครั้งที่เสีย ปราสาทพระวิหาร ให้กัมพูชา...
    .
    จึงแก้เกมด้วยการประกาศ พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ของประเทศไทยด้านอ่าวไทย โดย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นพระมหากัตริย์ เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นผู้นำสูงสุดแห่งรัฐ
    .
    โดยแผนที่นี้ ขีดเส้นไหล่ทวีปด้วยการ ลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเส้นฐานที่ใกล้ที่สุดระหว่าง เกาะกูด และ เกาะกง ลงไป เรียกว่า เส้นมัธยฐาน...
    .
    ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตาม หลักกฎหมายทะเลสากล...!!!
    .
    พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ฉบับบนี้ จึงความหมาย เป็นการ "ปฏิเสธเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา ที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย"
    .
    โดยใน พระบรมราชโองการ กำหนดชัดเจนว่า "การใช้สิทธิ์อธิปไตย ในการสำรวจแสวงผลประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย" จึงกำหนดเขตไล่ทวีปขึ้น
    .
    ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958 และ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2511
    .
    และ กำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้วด้วยว่า ส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีป
    .
    จะเป็นไปตามที่ตกลงกัน โดย...!!!
    .
    ยึดมูลฐานแห่งบทบัญญัติของ อนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958
    .
    เมื่อประเทศไทย ยึดหลักตามหลักกฎหมายทะเลสากล เส้นไหล่ทวีปที่ยึดจึงต้องเป็น เส้นไหล่ทวีป ที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดไว้เท่านั้น...!!!
    .
    ดังนั้น เมื่อยึดเขตไหล่ทวีปตามหลักกฎหมายสากลทางทะเล...!!!
    .
    พลังงานภายใต้ แอ่งปัตตานี ตรงนั้น จึงต้องเป็นของประเทศไทย ทั้งหมด ตามกฎหมายสากลระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล...!!!
    .
    ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้ใครเลย...
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=FyksvXqjj1s&t=124s
    ## เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ ## .. .. โดยหลักการ พื้นที่อ้างสิทธิ์ สามารถทับซ้อนกันได้... . แต่ถ้ามีพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทับซ้อนเกินความเป็นจริงไปมาก ทำให้อีกฝั่ง เสียสิทธิ์ โดยไม่ยึดตามหลักกฎหมายทะเลสากล สิ่งนี้รับไม่ได้... . MOU44 มีแผนที่แนบท้าย ซึ่งวาดเอาเองตามอำเภอใจ ของ กัมพูชา ตีเส้นผ่านเกาะกูด ทำให้พื้นที่ "น่านน้ำภายในอ่าวไทย" และ “ทะเลอาณาเขต” หายไป รวมทั้ง “เขตต่อเนื่อง” อีกด้วย . อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพื้นที่อ้างสิทธิ์ที่ถูกต้องไป ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งเกิดการทับซ้อนเกินจริงไปมาก...!!! . ดังนั้น MOU44 มีโอกาสทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก โดยมี กรณีเข้าพระวิหารเป็นตัวอย่างซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงเพราะแค่ ประเทศไทย ไม่เคยแสดงออก ไม่เคยปฎิเสธ ประเทศไทยก็สูญเสียเขาพระวิหารไปแล้ว สิ่งนี้เขาเรียกว่า “หลักกฎหมายปิดปาก” . อีกทั้ง MOU44 ซึ่งมีลักษณะ อันอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐได้ ดังนั้น MOU44 จึงถือเป็นหนังสือสัญญา ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา . ซึ่ง MOU44 ฉบับนี้ ชัดเจนที่สุดมาก ว่าไม่ได้เคยผ่านความเห็นชอบของสภาเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเป็นการ ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ . อีกทั้ง MOU44 ฉบับนี้ มีเนื้อหาขัดต่อ พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ที่กำหนดวิธีการ ในการเจรจาไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายสากลระหว่างประเทศ ว่าด้วยทะเล เท่านั้น . ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามาทั้งหมดนี้ MOU44 จึงเป็น “โมฆะ” มาตั้งแต่ต้น มีผลเสมือนไม่เคยเกิดมีขึ้นบนโลกใบนี้มาก่อน ตั้งแต่โบราณกาลจวบกระทั่งอนาคต ตราบชั่วฟ้าดินสลาย...!!! ... ... 12 กรกฎาคม 2515 กัมพูชา ประกาศเขตไหล่ทวีป ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 รุกล้ำอธิปไตยไทย รุกล้ำทะเลอาณาเขต รุกล้ำทะเลต่อเนื่องไทย และ รุกล้ำเศรษฐกิจจำเพาะไทย... . โดยไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายสากลว่าด้วยทะเล บทบัญญัติแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ.1958...!!! . มีการนับโขดหิน ขึ้นมาอ้างเพื่อวาดเส้นไหล่ทวีปนี้ ซึ่งขัดกับ กฎหมาย UNCLOS ล่าสุดข้อหนึ่งที่ว่า ไม่ให้นับรวมโขดหินที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอาศัยอยู่ได้ ในการขีดเส้นไหล่ทวีป... . ย้อนกลับไปในวันที่ 1 กรกฎาคม 2515 พระราชกฤษฎีกากัมพูชา ประกาศไหล่ทวีปฝ่ายเดียวจากหลักเขตที่ 73 อ้อมเกาะกูดของไทยเป็นรูปตัว U ลงนามโดย นายพล ลอนนอน . ขีดเส้นไหล่ทวีปประชิดเกาะกูด แต่...!!! . ยอมรับว่า เกาะกูด เป็นของประเทศไทย...!!! . โดยหลักกหมายสากลทางทะเล ถ้าเกาะกูดเป็นของประเทศไทยจริง...!!! . เกาะกูดก็ต้องมี... . 1.ทะเลอาณาเขต รอบเกาะกูด (12 ไมล์ทะเล) 2.ทะเลต่อเนื่องไทย (24 ไมล์ทะเล) . ดังนั้น ประเทศไทย เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนครั้งที่เสีย ปราสาทพระวิหาร ให้กัมพูชา... . จึงแก้เกมด้วยการประกาศ พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ของประเทศไทยด้านอ่าวไทย โดย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นพระมหากัตริย์ เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นผู้นำสูงสุดแห่งรัฐ . โดยแผนที่นี้ ขีดเส้นไหล่ทวีปด้วยการ ลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเส้นฐานที่ใกล้ที่สุดระหว่าง เกาะกูด และ เกาะกง ลงไป เรียกว่า เส้นมัธยฐาน... . ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตาม หลักกฎหมายทะเลสากล...!!! . พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป ฉบับบนี้ จึงความหมาย เป็นการ "ปฏิเสธเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา ที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย" . โดยใน พระบรมราชโองการ กำหนดชัดเจนว่า "การใช้สิทธิ์อธิปไตย ในการสำรวจแสวงผลประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย" จึงกำหนดเขตไล่ทวีปขึ้น . ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958 และ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2511 . และ กำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้วด้วยว่า ส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีป . จะเป็นไปตามที่ตกลงกัน โดย...!!! . ยึดมูลฐานแห่งบทบัญญัติของ อนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958 . เมื่อประเทศไทย ยึดหลักตามหลักกฎหมายทะเลสากล เส้นไหล่ทวีปที่ยึดจึงต้องเป็น เส้นไหล่ทวีป ที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดไว้เท่านั้น...!!! . ดังนั้น เมื่อยึดเขตไหล่ทวีปตามหลักกฎหมายสากลทางทะเล...!!! . พลังงานภายใต้ แอ่งปัตตานี ตรงนั้น จึงต้องเป็นของประเทศไทย ทั้งหมด ตามกฎหมายสากลระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล...!!! . ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้ใครเลย... . https://www.youtube.com/watch?v=FyksvXqjj1s&t=124s
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียวเพื่อชาติ : เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ (UNCUT)

    “ยิปมัน ปาน” จัดเต็มไม่มีตัด MOU44 ละเมิดอธิปไตยน่านน้ำไทย ขัดพระบรมราชโองการ คนคลั่งชาติ ไม่มีวันยอมให้ใครขายชาติ

    #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สนธิทอล์ค #ความจริงมีหนึ่งเดียว #MOU44 #เกาะกูด #ยิปมันปานเทพ
    ความจริงมีหนึ่งเดียวเพื่อชาติ : เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ (UNCUT) “ยิปมัน ปาน” จัดเต็มไม่มีตัด MOU44 ละเมิดอธิปไตยน่านน้ำไทย ขัดพระบรมราชโองการ คนคลั่งชาติ ไม่มีวันยอมให้ใครขายชาติ #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สนธิทอล์ค #ความจริงมีหนึ่งเดียว #MOU44 #เกาะกูด #ยิปมันปานเทพ
    Like
    Love
    35
    2 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 3663 มุมมอง 417 3 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียวเพื่อชาติ : เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ (UNCUT)24-11-67
    “อ.ปานเทพ” จัดเต็มไม่มีตัด MOU44 ละเมิดอธิปไตยน่านน้ำไทย ขัดพระบรมราชโองการ คนคลั่งชาติ ไม่มีวันยอมให้ใครขายชาติ
    .
    https://youtu.be/FyksvXqjj1s?si=OXNsaKdS_nFW5ASY
    #ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความจริงมีหนึ่งเดียวเพื่อชาติ : เพิกถอน MOU 2544 ยึดมั่นพระบรมราชโองการ (UNCUT)24-11-67 “อ.ปานเทพ” จัดเต็มไม่มีตัด MOU44 ละเมิดอธิปไตยน่านน้ำไทย ขัดพระบรมราชโองการ คนคลั่งชาติ ไม่มีวันยอมให้ใครขายชาติ . https://youtu.be/FyksvXqjj1s?si=OXNsaKdS_nFW5ASY #ความจริงมีหนึ่งเดียว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลโจมตีทางอากาศกลางกรุงเบรุตโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน ขณะที่ความพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงยังคงไร้ความคืบหน้า
    .
    กระทรวงสาธารณสุขเลบานอนแถลงว่า การโจมตีกลางกรุงเบรุตเมื่อเวลา 4.00 น.วันเสาร์ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 4 ในช่วงเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เป้าหมายอยู่ที่อาคารที่พักอาศัย 8 ชั้นที่พังถล่มเหลือเพียงซาก นอกจากมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 คนแล้ว ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 66 คน
    .
    สำนักข่าวแห่งชาติของรัฐบาลเลบานอนยังรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 2 คนจากการโจมตีด้วยโดรนในเมืองไทร์ทางใต้ของประเทศเมื่อวันเสาร์เช่นเดียวกัน โดยโฆษกกลุ่มฟาตาห์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองหนึ่งของปาเลสไตน์ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตคือผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์จากค่ายอัล-รอชิดเดห์ในบริเวณใกล้เคียงที่ออกไปตกปลา
    .
    ทางด้านกระทรวงสาธารณสุขเลบานอนแถลงว่า มีการโจมตีทางอากาศในเมืองชมูสตาร์ทางตะวันออกซึ่งมีผู้เสียชีวิต 8 คน รวมถึงเด็ก 4 คน 5 คนในเมืองรูมินทางใต้ และอีก 5 คนในหมู่บ้านบูไดทางเหนือ
    .
    ในส่วนความพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนนั้นอิงกับข้อเสนอปัจจุบันที่เรียกร้องการหยุดยิง 2 เดือน โดยที่กองทัพอิสราเอลต้องถอนออกจากเลบานอน ขณะที่ฮิซบอลเลาะห์ถอนไปจากบริเวณชายแดนทางใต้ของแม่น้ำลิทานี และกองทัพเลบานอนร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ลาดตระเวนตลอดแนวชายแดน โดยมีคณะกรรมการนานาชาติติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงนี้
    .
    เจ้าหน้าที่ทูตตะวันตก 2 คนเปิดเผยว่า อิสราเอลยืนกรานไม่ตกลงตามข้อเสนอนี้ ยกเว้นตนสามารถโจมตีในเลบานอนได้อย่างเสรีกรณีที่เชื่อว่า ฮิซบอลเลาะห์ละเมิดข้อตกลง ขณะที่เลบานอนเห็นว่า การเพิ่มเงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับละเมิดอธิปไตยของเลบานอน และสัปดาห์ที่แล้ว นาอิม คัสเซ็ม ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า จะไม่ตกลงหากอิสราเอลไม่ยุติการรุกรานเลบานอนโดยสิ้นเชิง
    .
    อิสราเอลยังไม่ยอมให้ฝรั่งเศสที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเลบานอน เข้าร่วมในคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลง และเลบานอนปฏิเสธการส่งอังกฤษที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอิสราเอลเข้าร่วมเช่นเดียวกัน
    .
    สำหรับสถานการณ์ในกาซานั้น กระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 คน และติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกหลายสิบคนจากการโจมตีตอนใต้ของกาซาในวันพฤหัสฯ และศุกร์ (21-22 พ.ย.) ซึ่งรวมถึงบริเวณใกล้โรงพยาบาลคามาล อัดวาน และอัล-อาฮ์รี
    .
    อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลเผยว่า ไม่รับรู้ว่า มีการโจมตีใกล้โรงพยาบาลคามาล อัดวาน และไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีที่อื่นๆ
    .
    ผู้สื่อข่าวของเอพีและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนัสเซอร์รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 3 คนและผู้หญิง 2 คนในเมืองข่านยูนิสทางใต้ของกาซาเมื่อวันเสาร์ และโรงพยาบาลอัล-ออดาเผยว่า ได้รับร่างผู้เสียชีวิต 6 คนหลังจากอิสราเอลยิงปืนใหญ่ถล่มบ้านหลังหนึ่งทางเหนือของค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัตตอนกลางของกาซา
    .
    กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากสงคราม 13 เดือนในกาซาทะลุ 44,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอิสราเอลอ้างว่า ได้สังหารนักรบฮามาสกว่า 17,000 คน ขณะที่การโจมตีเลบานอนของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,500 คน และทางฝั่งอิสราเอลระบุว่า ทหารของตนเสียชีวิตราว 90 นาย และพลเรือนเกือบ 50 คนจากการทิ้งระเบิดและการสู้รบทางเหนือของประเทศ
    .
    ขณะเดียวกัน ยูเอ็นระบุว่า ความพยายามให้ความช่วยเหลือพลเมืองทางเหนือของกาซาที่อิสราเอลย้อนกลับไปโจมตีอย่างหนักตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ถูกปฏิเสธและขัดขวาง และประชากรไม่ถึง 20% ยังคงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากบุกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เพื่อตอบโต้ที่นักรบฮามาสข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอล ซึ่งมีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คน และจับตัวประกันกลับไป 250 คน โดยคาดว่า ขณะนี้ยังมีราว 100 คนถูกขังอยู่ในกาซา ซึ่งอย่างน้อย 1 ใน 3 เชื่อว่า เสียชีวิตแล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000113050
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลโจมตีทางอากาศกลางกรุงเบรุตโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน ขณะที่ความพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงยังคงไร้ความคืบหน้า . กระทรวงสาธารณสุขเลบานอนแถลงว่า การโจมตีกลางกรุงเบรุตเมื่อเวลา 4.00 น.วันเสาร์ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 4 ในช่วงเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เป้าหมายอยู่ที่อาคารที่พักอาศัย 8 ชั้นที่พังถล่มเหลือเพียงซาก นอกจากมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 คนแล้ว ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 66 คน . สำนักข่าวแห่งชาติของรัฐบาลเลบานอนยังรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 2 คนจากการโจมตีด้วยโดรนในเมืองไทร์ทางใต้ของประเทศเมื่อวันเสาร์เช่นเดียวกัน โดยโฆษกกลุ่มฟาตาห์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองหนึ่งของปาเลสไตน์ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตคือผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์จากค่ายอัล-รอชิดเดห์ในบริเวณใกล้เคียงที่ออกไปตกปลา . ทางด้านกระทรวงสาธารณสุขเลบานอนแถลงว่า มีการโจมตีทางอากาศในเมืองชมูสตาร์ทางตะวันออกซึ่งมีผู้เสียชีวิต 8 คน รวมถึงเด็ก 4 คน 5 คนในเมืองรูมินทางใต้ และอีก 5 คนในหมู่บ้านบูไดทางเหนือ . ในส่วนความพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนนั้นอิงกับข้อเสนอปัจจุบันที่เรียกร้องการหยุดยิง 2 เดือน โดยที่กองทัพอิสราเอลต้องถอนออกจากเลบานอน ขณะที่ฮิซบอลเลาะห์ถอนไปจากบริเวณชายแดนทางใต้ของแม่น้ำลิทานี และกองทัพเลบานอนร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ลาดตระเวนตลอดแนวชายแดน โดยมีคณะกรรมการนานาชาติติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ . เจ้าหน้าที่ทูตตะวันตก 2 คนเปิดเผยว่า อิสราเอลยืนกรานไม่ตกลงตามข้อเสนอนี้ ยกเว้นตนสามารถโจมตีในเลบานอนได้อย่างเสรีกรณีที่เชื่อว่า ฮิซบอลเลาะห์ละเมิดข้อตกลง ขณะที่เลบานอนเห็นว่า การเพิ่มเงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับละเมิดอธิปไตยของเลบานอน และสัปดาห์ที่แล้ว นาอิม คัสเซ็ม ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า จะไม่ตกลงหากอิสราเอลไม่ยุติการรุกรานเลบานอนโดยสิ้นเชิง . อิสราเอลยังไม่ยอมให้ฝรั่งเศสที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเลบานอน เข้าร่วมในคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลง และเลบานอนปฏิเสธการส่งอังกฤษที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอิสราเอลเข้าร่วมเช่นเดียวกัน . สำหรับสถานการณ์ในกาซานั้น กระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 คน และติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกหลายสิบคนจากการโจมตีตอนใต้ของกาซาในวันพฤหัสฯ และศุกร์ (21-22 พ.ย.) ซึ่งรวมถึงบริเวณใกล้โรงพยาบาลคามาล อัดวาน และอัล-อาฮ์รี . อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลเผยว่า ไม่รับรู้ว่า มีการโจมตีใกล้โรงพยาบาลคามาล อัดวาน และไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีที่อื่นๆ . ผู้สื่อข่าวของเอพีและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนัสเซอร์รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 3 คนและผู้หญิง 2 คนในเมืองข่านยูนิสทางใต้ของกาซาเมื่อวันเสาร์ และโรงพยาบาลอัล-ออดาเผยว่า ได้รับร่างผู้เสียชีวิต 6 คนหลังจากอิสราเอลยิงปืนใหญ่ถล่มบ้านหลังหนึ่งทางเหนือของค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัตตอนกลางของกาซา . กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากสงคราม 13 เดือนในกาซาทะลุ 44,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอิสราเอลอ้างว่า ได้สังหารนักรบฮามาสกว่า 17,000 คน ขณะที่การโจมตีเลบานอนของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,500 คน และทางฝั่งอิสราเอลระบุว่า ทหารของตนเสียชีวิตราว 90 นาย และพลเรือนเกือบ 50 คนจากการทิ้งระเบิดและการสู้รบทางเหนือของประเทศ . ขณะเดียวกัน ยูเอ็นระบุว่า ความพยายามให้ความช่วยเหลือพลเมืองทางเหนือของกาซาที่อิสราเอลย้อนกลับไปโจมตีอย่างหนักตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ถูกปฏิเสธและขัดขวาง และประชากรไม่ถึง 20% ยังคงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากบุกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เพื่อตอบโต้ที่นักรบฮามาสข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอล ซึ่งมีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คน และจับตัวประกันกลับไป 250 คน โดยคาดว่า ขณะนี้ยังมีราว 100 คนถูกขังอยู่ในกาซา ซึ่งอย่างน้อย 1 ใน 3 เชื่อว่า เสียชีวิตแล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000113050 .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1401 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย
    “กฤษฎีกากัมพูชา 1972”
    รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย !
    ________
    .
    ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด…
    .
    กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ
    .
    และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ !
    .
    “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972”
    .
    วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972
    .
    จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี
    .
    สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น
    .
    วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย
    .
    (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958
    .
    (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ…
    .
    (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง…
    .
    (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000
    .
    กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง
    .
    โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P”
    .
    โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้
    .
    จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง
    .
    จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย
    .
    มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง
    .
    เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้
    .
    แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร
    .
    การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต
    .
    ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล
    .
    ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น…
    .
    คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง !
    .
    ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !!
    .
    แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ?
    .
    แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !!
    .
    ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้
    .
    ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี
    .
    ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง
    .
    แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ
    .
    เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ?
    .
    เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก !
    .
    ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!!
    .
    ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส
    .
    แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้
    .
    “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“
    .
    แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย
    .
    โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง
    .
    หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73
    .
    การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง
    .
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ
    .
    การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่
    .
    มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย
    .
    พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    .
    คำนูณ สิทธิสมาน
    4 พฤศจิกายน 2567

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย “กฤษฎีกากัมพูชา 1972” รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย ! ________ . ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด… . กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ . และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ ! . “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972” . วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 . จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี . สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น . วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย . (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 . (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ… . (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง… . (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000 . กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง . โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P” . โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้ . จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง . จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย . มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง . เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้ . แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร . การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต . ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล . ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น… . คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง ! . ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !! . แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ? . แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !! . ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้ . ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี . ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง . แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ . เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ? . เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก ! . ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!! . ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส . แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้ . “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“ . แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย . โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง . หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73 . การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง . ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ . การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่ . มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย . พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้ . ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้ . . คำนูณ สิทธิสมาน 4 พฤศจิกายน 2567 ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2059 มุมมอง 0 รีวิว
  • ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516



    นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    โดยมีรายละเอียด ดังนี้

    พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้

    1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line)

    อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา

    โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

    “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์”

    พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้

    “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

    พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

    มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

    ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้

    ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า



    “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์

    ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย

    ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน

    ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย

    ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า

    “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511”

    แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน

    ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น

    ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า

    “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“



    หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น

    ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด

    แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย

    แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

    แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล

    ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล

    การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย

    MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“

    เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่?

    ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน

    จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า

    “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ

    จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป”

    โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ

    จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น

    ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่?

    ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530

    #Thaitimes
    ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้ 1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line) อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์” พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้ “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้ ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์ ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511” แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“ เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่? ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป” โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่? ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่ ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530 #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2062 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทูตถาวรรัสเซีย ...กล่าวยกย่องอิหร่านที่ระบบป้องกันภัยทำการป้องกันทางอากาศต่อการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลอีแร้งอเมริกา. : RT News., Bloomberg News., Sputnik., Sky News., BBC News., Reuters...!!!

    ฑูตถาวรรัสเซีย ออกมาแถลง ในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และได้ยกย่องในความสำเร็จของอิหร่านที่ระบบป้องกันภัยทำการป้องกันทางอากาศต่อการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล โดยอีแร้งอเมริกาให้การสนับและช่วยเหลืออย่างเต็มที่.

    ผู้แทนถาวรทางกาฑูตของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวว่า อิหร่านปรัสพความสำเร็จ ของการป้องกันของระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านระหว่างการรุกรานของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ระบบป้องกันภัยของอิหร่านช่วยป้องกันให้ประเทศมีความปลอดภัยสูง และได้ประณามรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลอย่างรุนแรง.

    ทูตรัสเซีย วาสลีย์ เนเบนเซีย Vasily Nebenzya ออกมากล่าวความเห็นเมื่อวันพุธที่ผ่านาในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการโจมตีของระบอบก่อการร้ายรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลต่ออิหร่าน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองทัพ 4 นายและพลเรือน 1 ราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา.

    ผู้แทนถาวรทางกาฑูตของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ยังกล่าวอีกว่า หากระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านซึ่งอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสูงสุดไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงาน จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเฉพาะพลเรือนอาจจะมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลนั้นได้ ยิงขีปนาวุธจำนวนมากทั้งภาคพื้นดินและทาง อากาศ เขากล่าวในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ.

    ทูตถาวรรัสเซีย ยังได้เตือนด้วยว่า การโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังทำให้สถานการณ์ในเอเชียตะวันตกที่ตึงเครียดอยู่แล้วต้องนองเลือดขึ้นไปอย่างไม่รู้จบ.

    ในวันที่เครื่องบินรบรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ได้ออกโจมตีอิหร่านได้ใช้พื้นที่น่านฟ้าในอิรักที่มีฐานทัพอีแร้งอเมริกาควบคุม และช่วยวางแผนให้กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ในการใช้พื้นที่โจมตีเพื่อยิงขีปนาวุธไปที่ฐานทัพทหารในกรุงเตหะราน คูเซสถาน และอีลัมของอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติอย่างร้ายแรง.

    ทางอิหร่าน ได้กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวนั้นถูกสกัดกั้นและตอบโต้ได้สำเร็จโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศ และได้สร้างความเสียหายให้กับจุดเรดาร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น.

    ทูตรัสเซีย วาสลีย์ เนเบนเซีย ยังได้กล่าวว่า การโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจออิสราเอลนั้น มีการประสานงานกับอีแร้งอเมริกาอย่างชัดแจ้ง ในการรุกรานอิหร่านของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล.

    เราได้เห็นว่าการกระทำที่ก้าวร้าวเช่นนี้ของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลและอีแร้งอเมริกา มีจุดมุ่งหมายเพื่อยั่วยุให้เกิดสงครามที่ใหญ่ขึ้น เพื่อลากอิหร่านทำสวครามโดยตรงซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจำเป็นต้องหยุดอิสราเอลอย่างเด็ดขาด” เขากล่าวสรุปในตอนท้าย....!
    ทูตถาวรรัสเซีย ...กล่าวยกย่องอิหร่านที่ระบบป้องกันภัยทำการป้องกันทางอากาศต่อการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลอีแร้งอเมริกา. : RT News., Bloomberg News., Sputnik., Sky News., BBC News., Reuters...!!! ฑูตถาวรรัสเซีย ออกมาแถลง ในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และได้ยกย่องในความสำเร็จของอิหร่านที่ระบบป้องกันภัยทำการป้องกันทางอากาศต่อการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล โดยอีแร้งอเมริกาให้การสนับและช่วยเหลืออย่างเต็มที่. ผู้แทนถาวรทางกาฑูตของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวว่า อิหร่านปรัสพความสำเร็จ ของการป้องกันของระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านระหว่างการรุกรานของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ระบบป้องกันภัยของอิหร่านช่วยป้องกันให้ประเทศมีความปลอดภัยสูง และได้ประณามรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลอย่างรุนแรง. ทูตรัสเซีย วาสลีย์ เนเบนเซีย Vasily Nebenzya ออกมากล่าวความเห็นเมื่อวันพุธที่ผ่านาในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการโจมตีของระบอบก่อการร้ายรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลต่ออิหร่าน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองทัพ 4 นายและพลเรือน 1 ราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา. ผู้แทนถาวรทางกาฑูตของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ยังกล่าวอีกว่า หากระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านซึ่งอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสูงสุดไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงาน จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเฉพาะพลเรือนอาจจะมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลนั้นได้ ยิงขีปนาวุธจำนวนมากทั้งภาคพื้นดินและทาง อากาศ เขากล่าวในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ. ทูตถาวรรัสเซีย ยังได้เตือนด้วยว่า การโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังทำให้สถานการณ์ในเอเชียตะวันตกที่ตึงเครียดอยู่แล้วต้องนองเลือดขึ้นไปอย่างไม่รู้จบ. ในวันที่เครื่องบินรบรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ได้ออกโจมตีอิหร่านได้ใช้พื้นที่น่านฟ้าในอิรักที่มีฐานทัพอีแร้งอเมริกาควบคุม และช่วยวางแผนให้กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล ในการใช้พื้นที่โจมตีเพื่อยิงขีปนาวุธไปที่ฐานทัพทหารในกรุงเตหะราน คูเซสถาน และอีลัมของอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติอย่างร้ายแรง. ทางอิหร่าน ได้กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวนั้นถูกสกัดกั้นและตอบโต้ได้สำเร็จโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศ และได้สร้างความเสียหายให้กับจุดเรดาร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น. ทูตรัสเซีย วาสลีย์ เนเบนเซีย ยังได้กล่าวว่า การโจมตีของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจออิสราเอลนั้น มีการประสานงานกับอีแร้งอเมริกาอย่างชัดแจ้ง ในการรุกรานอิหร่านของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอล. เราได้เห็นว่าการกระทำที่ก้าวร้าวเช่นนี้ของรัฐเถื่อนไซออนิสต์หมาจิ้งจอกอิสราเอลและอีแร้งอเมริกา มีจุดมุ่งหมายเพื่อยั่วยุให้เกิดสงครามที่ใหญ่ขึ้น เพื่อลากอิหร่านทำสวครามโดยตรงซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจำเป็นต้องหยุดอิสราเอลอย่างเด็ดขาด” เขากล่าวสรุปในตอนท้าย....!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า

    “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว !

    ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2

    แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย

    นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้

    เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ

    ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121

    การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้

    - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972)

    - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972)

    - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544)

    ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น

    ผิดทั้งหมด !

    เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว

    การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน

    แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ !

    ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้

    นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554

    นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด !

    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

    “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้

    อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ

    เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา

    แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย

    จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา !

    นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย

    โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน

    ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร

    ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ…

    “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้”

    การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก

    แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน

    พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U

    วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา

    MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี

    แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด

    หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง

    ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

    หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร

    ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ !

    ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน

    ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย

    แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982

    หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น

    เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ !

    หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA

    #Thaitimes
    อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว ! ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2 แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121 การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้ - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972) - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972) - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544) ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น ผิดทั้งหมด ! เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ ! ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้ นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด ! ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้ อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา ! นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ… “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้” การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ ! ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ ! หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้ ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้
    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1088 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เห็นชอบความเป็นไปได้ในการขายระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรดาร์แก่ไต้หวัน อ้างอิงข้อมูลจากเพนตากอน ขณะที่การจัดซื้ออาวุธอเมริกาโดยไทเป จำเป็นต้องมีบุคลากรของสหรัฐฯ เดินทางไปประจำการในไต้หวัน เพื่อสนับสนุนทางเทคนิคและฝึกฝนทหารท้องถิ่น
    .
    แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะก่อความเดือดดาลแก่จีนเป็นอย่างยิ่ง โดยที่ผ่านมา ปักกิ่งซึ่งมองเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน มองความสัมพันธ์ในด้านนี้ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ เป็นการละเมิดอธิปไตยของพวกเขา
    .
    ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อไม่กี่วันก่อน วอชิงตันได้ทำการส่งมอบขีปนาวุธต่อต้านเรือ Harpoon Block II ล็อตแรกจำนวนหลายร้อยลูกให้แก่ไทเป ภายใต้ข้อตกลงหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติในปี 2020
    .
    ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) สำนักงานความร่วมมือความมั่นคงกลาโหม (DSCA: Defense Security Cooperation Agency) สังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่าพวกเขาได้รับความเห็นชอบสำหรับความเป็นไปได้ในการ "การขายอาวุธให้ต่างประเทศ" แก่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในสหรัฐฯ ซึ่งคือระบบป้องกันขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศขั้นสูง NASAMS และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าประมาณ 1,160 ล้านดอลลาร์
    .
    ในเอกสารระบุว่าไต้หวันขอซื้อระบบนี้ที่ผลิตโดยบริษัทเรย์เธียน 3 ชุด และขีปนาวุธที่ใช้กับระบบดังกล่าว 123 ลูก
    .
    ถ้อยแถลงเน้นว่าเพื่อทำตามข้อเสนอขายนี้ จำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ 26 คน และตัวแทนจากบริษัทสัญญาจ้าง 34 ราย ให้เดินทางไปประจำการในไต้หวัน เป็นระยะเวลาหนึ่งซึ่งนานพอสมควร เพื่อให้การสนับสนุนทางเทคนิคและฝึกฝนแก่บุคลากรทางทหารท้องถิ่น
    .
    ทั้งนี้ ในข่าวประชาสัมพันธ์อีกฉบับที่เผยแพร่ในวันเดียวกัน ยังเผยด้วยว่าทางกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ไฟเขียวความเป็นไปได้ในการขายระบบเรดาร์ AN/TPS-77 และ AN/TPS-78 รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าราว 828 ล้านดอลลาร์ แก่ไต้หวัน
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติมอบความช่วยเหลือด้านการทหารเพิ่มเติมแก่ไต้หวันอีก 567 ล้านดอลลาร์
    .
    ระหว่างพบปะกับ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทาง หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เรียกร้องวอชิงตันให้หยุดขายอาวุธแก่ไต้หวัน
    .
    ขณะเดียวกัน ระหว่างการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน เตือนว่า ปักกิ่งไม่เคยผูกมัดตนเองในการตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังกับไต้หวัน และสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นจริงขึ้นมาหากว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้ประกาศเอกราช
    .
    คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นไม่นานหลังจากจีน ทำการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ใกล้เกาะไต้หวัน
    .
    กองทัพปลดแอกประชาชนจีน เปิดการซ้อมรบเป็นเวลา 1 วัน ที่ใช้ชื่อรหัสว่า “ดาบประสาน 2024 บี” (Joint Sword-2024B Exercise) ในพื้นที่รอบๆ และใกล้เกาะไต้หวันเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม โดยจุดที่มีการเน้นหนักแข็งขันคือการฝึกเพื่อป้องปรามไม่ให้สหรัฐฯ สามารถเข้ามาแทรกแซงในกรณีที่เกิดการสู้รบใดๆ ขึ้นในช่องแคบไต้หวัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103353
    ..............
    Sondhi X
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เห็นชอบความเป็นไปได้ในการขายระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรดาร์แก่ไต้หวัน อ้างอิงข้อมูลจากเพนตากอน ขณะที่การจัดซื้ออาวุธอเมริกาโดยไทเป จำเป็นต้องมีบุคลากรของสหรัฐฯ เดินทางไปประจำการในไต้หวัน เพื่อสนับสนุนทางเทคนิคและฝึกฝนทหารท้องถิ่น . แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะก่อความเดือดดาลแก่จีนเป็นอย่างยิ่ง โดยที่ผ่านมา ปักกิ่งซึ่งมองเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน มองความสัมพันธ์ในด้านนี้ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ เป็นการละเมิดอธิปไตยของพวกเขา . ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อไม่กี่วันก่อน วอชิงตันได้ทำการส่งมอบขีปนาวุธต่อต้านเรือ Harpoon Block II ล็อตแรกจำนวนหลายร้อยลูกให้แก่ไทเป ภายใต้ข้อตกลงหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติในปี 2020 . ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) สำนักงานความร่วมมือความมั่นคงกลาโหม (DSCA: Defense Security Cooperation Agency) สังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่าพวกเขาได้รับความเห็นชอบสำหรับความเป็นไปได้ในการ "การขายอาวุธให้ต่างประเทศ" แก่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในสหรัฐฯ ซึ่งคือระบบป้องกันขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศขั้นสูง NASAMS และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าประมาณ 1,160 ล้านดอลลาร์ . ในเอกสารระบุว่าไต้หวันขอซื้อระบบนี้ที่ผลิตโดยบริษัทเรย์เธียน 3 ชุด และขีปนาวุธที่ใช้กับระบบดังกล่าว 123 ลูก . ถ้อยแถลงเน้นว่าเพื่อทำตามข้อเสนอขายนี้ จำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ 26 คน และตัวแทนจากบริษัทสัญญาจ้าง 34 ราย ให้เดินทางไปประจำการในไต้หวัน เป็นระยะเวลาหนึ่งซึ่งนานพอสมควร เพื่อให้การสนับสนุนทางเทคนิคและฝึกฝนแก่บุคลากรทางทหารท้องถิ่น . ทั้งนี้ ในข่าวประชาสัมพันธ์อีกฉบับที่เผยแพร่ในวันเดียวกัน ยังเผยด้วยว่าทางกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ไฟเขียวความเป็นไปได้ในการขายระบบเรดาร์ AN/TPS-77 และ AN/TPS-78 รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าราว 828 ล้านดอลลาร์ แก่ไต้หวัน . ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติมอบความช่วยเหลือด้านการทหารเพิ่มเติมแก่ไต้หวันอีก 567 ล้านดอลลาร์ . ระหว่างพบปะกับ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทาง หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เรียกร้องวอชิงตันให้หยุดขายอาวุธแก่ไต้หวัน . ขณะเดียวกัน ระหว่างการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน เตือนว่า ปักกิ่งไม่เคยผูกมัดตนเองในการตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังกับไต้หวัน และสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นจริงขึ้นมาหากว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้ประกาศเอกราช . คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นไม่นานหลังจากจีน ทำการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ใกล้เกาะไต้หวัน . กองทัพปลดแอกประชาชนจีน เปิดการซ้อมรบเป็นเวลา 1 วัน ที่ใช้ชื่อรหัสว่า “ดาบประสาน 2024 บี” (Joint Sword-2024B Exercise) ในพื้นที่รอบๆ และใกล้เกาะไต้หวันเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม โดยจุดที่มีการเน้นหนักแข็งขันคือการฝึกเพื่อป้องปรามไม่ให้สหรัฐฯ สามารถเข้ามาแทรกแซงในกรณีที่เกิดการสู้รบใดๆ ขึ้นในช่องแคบไต้หวัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103353 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2015 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายพลเอสมาอิล โควซารี ( Esmail Kowsari) แห่ง IRGC และเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน กล่าวถึงการโจมตีของอิสราเอลว่า:

    "ความล้มเหลวของปฏิบัติการของกลุ่มไซออนิสต์ไม่ได้หมายความว่าอิหร่านจะไม่ตอบโต้
    ระบอบไซออนิสต์ต้องจ่ายราคาสำหรับการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนอิหร่าน
    การตอบโต้จะรุนแรงกว่า เราแนะนำให้กลุ่มไซออนิสต์เรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่ในหลุบหลบภัย"
    นายพลเอสมาอิล โควซารี ( Esmail Kowsari) แห่ง IRGC และเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน กล่าวถึงการโจมตีของอิสราเอลว่า: "ความล้มเหลวของปฏิบัติการของกลุ่มไซออนิสต์ไม่ได้หมายความว่าอิหร่านจะไม่ตอบโต้ ระบอบไซออนิสต์ต้องจ่ายราคาสำหรับการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนอิหร่าน การตอบโต้จะรุนแรงกว่า เราแนะนำให้กลุ่มไซออนิสต์เรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่ในหลุบหลบภัย"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts