• “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม”

    รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ

    ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ

    นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ

    ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย

    การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14
    เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ
    รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ
    มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง

    รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images)
    สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG
    ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF

    การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification)
    ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล
    เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้
    ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

    การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export)
    รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines
    มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น
    เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้

    การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility)
    มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่
    แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป

    https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม” รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย ✅ การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14 ➡️ เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ ➡️ มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง ✅ รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images) ➡️ สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG ➡️ ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF ✅ การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification) ➡️ ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล ➡️ เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้ ➡️ ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ✅ การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export) ➡️ รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines ➡️ มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น ➡️ เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้ ✅ การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility) ➡️ มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    TYPST.APP
    Typst: Typst 0.14: Now accessible – Typst Blog
    Typst 0.14 is out now. With accessibility by default, PDFs as images, character-level justification, and more, it has everything you need to move from draft to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ปลอมเป็นสูตรโกงเกม – พบใช้แพร่กระจายมัลแวร์ Lumma และ RedLine

    YouTube ได้ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยวิดีโอเหล่านี้ปลอมตัวเป็น “สูตรโกงเกม” หรือ “โปรแกรมเถื่อน” เช่น Adobe Photoshop และ FL Studio เพื่อหลอกให้ผู้ชมดาวน์โหลดไฟล์อันตราย

    แคมเปญนี้ถูกเรียกว่า “YouTube Ghost Network” โดยนักวิจัยจาก Check Point Research พบว่าเป็นการโจมตีแบบประสานงานที่ซับซ้อน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มจำนวนวิดีโออย่างรวดเร็วในปี 2025 โดยใช้เทคนิคสร้าง engagement ปลอม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และการสมัครสมาชิก เพื่อให้วิดีโอดูน่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ที่พบในแคมเปญนี้ ได้แก่ Lumma Stealer, Rhadamanthys และ RedLine ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน คุกกี้ และข้อมูลการเข้าสู่ระบบต่าง ๆ

    รายละเอียดแคมเปญ YouTube Ghost Network
    วิดีโอปลอมเป็นสูตรโกงเกมและโปรแกรมเถื่อน
    หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์
    ใช้ engagement ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มขึ้นในปี 2025

    มัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง
    Lumma Stealer – ขโมยรหัสผ่านและข้อมูลเข้าสู่ระบบ
    Rhadamanthys – มัลแวร์ระดับสูงสำหรับการสอดแนม
    RedLine – ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปต่าง ๆ

    เทคนิคการหลอกลวง
    ใช้ชื่อวิดีโอและคำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือ
    สร้างคอมเมนต์และไลก์ปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้
    ใช้หลายบัญชีในการสร้างและโปรโมตวิดีโอ

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-youtube-videos-disguised-as-cheat-codes-removed-for-spreading-malware
    🎮 YouTube ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ปลอมเป็นสูตรโกงเกม – พบใช้แพร่กระจายมัลแวร์ Lumma และ RedLine YouTube ได้ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยวิดีโอเหล่านี้ปลอมตัวเป็น “สูตรโกงเกม” หรือ “โปรแกรมเถื่อน” เช่น Adobe Photoshop และ FL Studio เพื่อหลอกให้ผู้ชมดาวน์โหลดไฟล์อันตราย แคมเปญนี้ถูกเรียกว่า “YouTube Ghost Network” โดยนักวิจัยจาก Check Point Research พบว่าเป็นการโจมตีแบบประสานงานที่ซับซ้อน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มจำนวนวิดีโออย่างรวดเร็วในปี 2025 โดยใช้เทคนิคสร้าง engagement ปลอม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และการสมัครสมาชิก เพื่อให้วิดีโอดูน่าเชื่อถือ มัลแวร์ที่พบในแคมเปญนี้ ได้แก่ Lumma Stealer, Rhadamanthys และ RedLine ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน คุกกี้ และข้อมูลการเข้าสู่ระบบต่าง ๆ ✅ รายละเอียดแคมเปญ YouTube Ghost Network ➡️ วิดีโอปลอมเป็นสูตรโกงเกมและโปรแกรมเถื่อน ➡️ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์ ➡️ ใช้ engagement ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มขึ้นในปี 2025 ✅ มัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง ➡️ Lumma Stealer – ขโมยรหัสผ่านและข้อมูลเข้าสู่ระบบ ➡️ Rhadamanthys – มัลแวร์ระดับสูงสำหรับการสอดแนม ➡️ RedLine – ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปต่าง ๆ ✅ เทคนิคการหลอกลวง ➡️ ใช้ชื่อวิดีโอและคำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือ ➡️ สร้างคอมเมนต์และไลก์ปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ ใช้หลายบัญชีในการสร้างและโปรโมตวิดีโอ https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-youtube-videos-disguised-as-cheat-codes-removed-for-spreading-malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ออกแพตช์ฉุกเฉินอุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server – เสี่ยงโดนแฮกแบบไม่ต้องคลิก!

    Microsoft ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server Update Services (WSUS) ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์โจมตีแบบ remote code execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนหรือการคลิกใด ๆ จากผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-59287 และได้คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 โดยเกิดจากการ “deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย” ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ทันที หาก WSUS เปิดใช้งานอยู่

    แม้ Microsoft จะรวมแพตช์ไว้ในอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนตุลาคม 2025 แล้ว แต่เมื่อมีโค้ดโจมตี (PoC) เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ บริษัทจึงรีบออกอัปเดตแบบ out-of-band (OOB) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ดูแลระบบติดตั้งแพตช์โดยด่วน

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287
    ช่องโหว่ใน Windows Server Update Services (WSUS)
    ประเภท: deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย
    ความรุนแรง: 9.8/10 (Critical)
    เปิดทางให้แฮกเกอร์รันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    การตอบสนองของ Microsoft
    แพตช์รวมอยู่ใน Patch Tuesday ตุลาคม 2025
    ออกอัปเดตฉุกเฉินแบบ OOB หลังพบโค้ดโจมตีถูกเผยแพร่
    แนะนำให้ติดตั้งอัปเดตทันทีและรีบูตเครื่อง
    เซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่เปิดใช้ WSUS จะไม่เสี่ยง

    วิธีลดความเสี่ยง (หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที)
    ปิดการใช้งาน WSUS Server Role
    หรือบล็อกพอร์ต 8530 และ 8531 บน firewall
    หมายเหตุ: การบล็อกพอร์ตจะทำให้เครื่องลูกข่ายไม่ได้รับอัปเดต

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-issues-emergency-windows-server-security-patch-update-now-or-risk-attack
    🚨 Microsoft ออกแพตช์ฉุกเฉินอุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server – เสี่ยงโดนแฮกแบบไม่ต้องคลิก! Microsoft ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server Update Services (WSUS) ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์โจมตีแบบ remote code execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนหรือการคลิกใด ๆ จากผู้ใช้ ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-59287 และได้คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 โดยเกิดจากการ “deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย” ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ทันที หาก WSUS เปิดใช้งานอยู่ แม้ Microsoft จะรวมแพตช์ไว้ในอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนตุลาคม 2025 แล้ว แต่เมื่อมีโค้ดโจมตี (PoC) เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ บริษัทจึงรีบออกอัปเดตแบบ out-of-band (OOB) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ดูแลระบบติดตั้งแพตช์โดยด่วน ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287 ➡️ ช่องโหว่ใน Windows Server Update Services (WSUS) ➡️ ประเภท: deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ความรุนแรง: 9.8/10 (Critical) ➡️ เปิดทางให้แฮกเกอร์รันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ แพตช์รวมอยู่ใน Patch Tuesday ตุลาคม 2025 ➡️ ออกอัปเดตฉุกเฉินแบบ OOB หลังพบโค้ดโจมตีถูกเผยแพร่ ➡️ แนะนำให้ติดตั้งอัปเดตทันทีและรีบูตเครื่อง ➡️ เซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่เปิดใช้ WSUS จะไม่เสี่ยง ✅ วิธีลดความเสี่ยง (หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที) ➡️ ปิดการใช้งาน WSUS Server Role ➡️ หรือบล็อกพอร์ต 8530 และ 8531 บน firewall ➡️ หมายเหตุ: การบล็อกพอร์ตจะทำให้เครื่องลูกข่ายไม่ได้รับอัปเดต https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-issues-emergency-windows-server-security-patch-update-now-or-risk-attack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft


    HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune

    ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ

    แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน

    HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ

    เกิดอะไรขึ้น
    HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate
    ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ
    ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune
    ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้

    ผลกระทบ
    กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E”
    โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง
    เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน

    การตอบสนองของ HP
    ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว
    ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ
    ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก

    https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    🛠️ HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ✅ เกิดอะไรขึ้น ➡️ HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate ➡️ ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ ➡️ ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ ✅ ผลกระทบ ➡️ กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E” ➡️ โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง ➡️ เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน ✅ การตอบสนองของ HP ➡️ ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว ➡️ ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    HP forced to pull software update which broke Microsoft security tools
    An update made the trust between Windows and Entra ID "disappear"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll

    แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995

    ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ

    หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon”

    นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11
    ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32
    เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี
    เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ

    วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า
    คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab
    กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll
    เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK

    ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า
    imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป
    moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x
    ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    🖼️ ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995 ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon” นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง ✅ ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11 ➡️ ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ➡️ เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี ➡️ เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ ✅ วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า ➡️ คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab ➡️ กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ➡️ เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK ✅ ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า ➡️ imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป ➡️ moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x ➡️ ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์

    OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU

    Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน

    ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม

    ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15
    ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน
    ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
    เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ
    ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น

    เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน
    พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ
    ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้
    ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น

    ความรู้เกี่ยวกับ coil whine
    เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน
    มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด
    เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    🔧 OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15 ➡️ ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน ➡️ ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ➡️ เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ➡️ ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น ✅ เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน ➡️ พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ ➡️ ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้ ➡️ ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น ✅ ความรู้เกี่ยวกับ coil whine ➡️ เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน ➡️ มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด ➡️ เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC เผยผลกระทบจากการจำกัดส่งออกแร่หายากของจีนยังไม่รุนแรงในระยะสั้น – แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตในระยะยาวคือความท้าทาย

    TSMC บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ระบุว่าการจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในระยะสั้น เพราะบริษัทมีสต็อกเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักอยู่ที่การเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบจากจีนไปยังประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง

    จีนถือครองกำลังการผลิตแร่หายากกว่า 85% ของโลก และได้ประกาศให้ทรัพยากรเหล่านี้เป็นของรัฐตั้งแต่ปี 2024 พร้อมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 14nm หรือมีมากกว่า 256 เลเยอร์

    แม้จะมีแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานในการสกัดและแปรรูป เช่นเดียวกับโรงงานในมาเลเซียที่แม้จะเป็นโรงงานนอกจีนที่ใหญ่ที่สุด ก็ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีนในการพัฒนา

    สถานการณ์ของ TSMC
    มีสต็อกแร่หายากเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี
    ไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นจากการจำกัดส่งออกของจีน
    ความท้าทายหลักคือการเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบในระยะยาว

    บทบาทของจีนในตลาดแร่หายาก
    ครองกำลังการผลิตกว่า 85% ของโลก
    ประกาศให้แร่หายากเป็นทรัพย์สินของรัฐในปี 2024
    ออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025
    ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขั้นสูงทั่วโลก

    ทางเลือกจากประเทศอื่น
    ออสเตรเลียพยายามสกัดแร่จากของเสียในเหมือง
    แคนาดาและสหรัฐฯ เตรียมลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิต
    มาเลเซียมีโรงงานแปรรูปใหญ่ที่สุดนอกจีน แต่ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/tsmc-says-chinas-rare-earth-export-restrictions-will-have-limited-short-term-impact-on-company-concern-lies-in-transitioning-away-from-china-supply
    🌏 TSMC เผยผลกระทบจากการจำกัดส่งออกแร่หายากของจีนยังไม่รุนแรงในระยะสั้น – แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตในระยะยาวคือความท้าทาย TSMC บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ระบุว่าการจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในระยะสั้น เพราะบริษัทมีสต็อกเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักอยู่ที่การเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบจากจีนไปยังประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง จีนถือครองกำลังการผลิตแร่หายากกว่า 85% ของโลก และได้ประกาศให้ทรัพยากรเหล่านี้เป็นของรัฐตั้งแต่ปี 2024 พร้อมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 14nm หรือมีมากกว่า 256 เลเยอร์ แม้จะมีแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานในการสกัดและแปรรูป เช่นเดียวกับโรงงานในมาเลเซียที่แม้จะเป็นโรงงานนอกจีนที่ใหญ่ที่สุด ก็ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีนในการพัฒนา ✅ สถานการณ์ของ TSMC ➡️ มีสต็อกแร่หายากเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี ➡️ ไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นจากการจำกัดส่งออกของจีน ➡️ ความท้าทายหลักคือการเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบในระยะยาว ✅ บทบาทของจีนในตลาดแร่หายาก ➡️ ครองกำลังการผลิตกว่า 85% ของโลก ➡️ ประกาศให้แร่หายากเป็นทรัพย์สินของรัฐในปี 2024 ➡️ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ➡️ ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขั้นสูงทั่วโลก ✅ ทางเลือกจากประเทศอื่น ➡️ ออสเตรเลียพยายามสกัดแร่จากของเสียในเหมือง ➡️ แคนาดาและสหรัฐฯ เตรียมลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิต ➡️ มาเลเซียมีโรงงานแปรรูปใหญ่ที่สุดนอกจีน แต่ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/tsmc-says-chinas-rare-earth-export-restrictions-will-have-limited-short-term-impact-on-company-concern-lies-in-transitioning-away-from-china-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค

    Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026

    บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น

    ปัญหาการผลิตของ Intel
    ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10
    ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล
    ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
    คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026

    การจัดลำดับความสำคัญ
    Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน
    เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’
    เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า
    ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต

    ปัจจัยซ้ำเติม
    ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป
    ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร
    ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    💥 Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026 บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600 นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น ✅ ปัญหาการผลิตของ Intel ➡️ ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10 ➡️ ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ➡️ ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ➡️ คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026 ✅ การจัดลำดับความสำคัญ ➡️ Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน ➡️ เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’ ➡️ เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า ➡️ ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต ✅ ปัจจัยซ้ำเติม ➡️ ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ➡️ ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร ➡️ ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized

    ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย

    M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT)

    ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z
    Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก)
    สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867)
    ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization

    จุดเด่นของ Apple M5
    ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz
    ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป

    ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z
    M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads
    ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935)
    ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    🍎 Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT) ✅ ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z ➡️ Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก) ➡️ สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867) ➡️ ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization ✅ จุดเด่นของ Apple M5 ➡️ ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz ➡️ ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป ✅ ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z ➡️ M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads ➡️ ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935) ➡️ ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง สันดาน
    “สันดาน”

    (1)

    ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล

    ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้!

    ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน…

    ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ

    แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ

    ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น

    ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”)

    รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ
    เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า

    คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง

    คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู

    (2)

    เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา
    ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง

    คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก

    ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน

    ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง

    เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋

    อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ

    แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ)

    เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ
    เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย)

    คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ:

    “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ”

    ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ

    สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน

    ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ

    แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง

    1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล

    คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ

    2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว
    สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า

    3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย

    ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง

    4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา

    รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง

    5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด

    วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน

    เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 กพ. 2558

    ####################
    เอกสารประกอบ
    FRUS
    https://www.dropbox.com/s/
    เรื่อง สันดาน “สันดาน” (1) ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้! ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน… ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”) รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู (2) เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋ อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ) เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย) คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ: “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ” ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง 1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ 2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า 3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง 4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง 5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 กพ. 2558 #################### เอกสารประกอบ FRUS https://www.dropbox.com/s/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง ตาเหลือก
    “ตาเหลือก”

    คนโบราณ เวลาเล่าอะไร ท่านจะมีถ้อยคำบรรยายให้เราเห็นภาพชัด เช่น ขณะที่พวกลุงๆกำลังถกกันมันปากว่า ตกลงอีเอ๋อ มันจะได้ไปเจอพี่มัน ที่ใกล้จะลงโลงอยู่ที่โรงแรมอะไร วะ พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เพราะไอ้จ้อนวิ่งสี่ตีน ตาเหลือก มาบอกว่า ลุงตู่ๆ เร็วๆเข้า ปู่จิ๋ว เดินสะดุดปากตัวเอง หัวทิ่มฟาดพื้นเลือดไหลโกรกเลย..แปลว่าปู่จิ๋วแกต้องกำลังแย่จริงๆ ไอ้จ้อนถึงกับตกใจ ตาเหลือกวิ่งมา

    ผมชอบอ่านบทความของสื่อ ที่ทำหน้าที่เป็นโรงงานประชาสัมพันธ์ แบบถนัดย้อมสี ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง โดยเฉพาะจากพวกที่เป็นถังความคิด แล้วเอามาถอดรหัสมันอีกต่อว่า ตอนนี้จริงๆแล้ว มันมีอาการอย่างไร สบายดี แค่ไข้จับสั่น หรือป่วยหนักถึงขนาดน้ำลายฟูมปาก ฯลฯ โดยเฉพาะอ่านจาก Foreign Affairs ซึ่งเป็นสื่อของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังความคิดหมายเลขหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายและความคิดของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    ล่าสุด ผมอ่านเมื่อ 2 วันก่อน เป็นบทความลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015 ชื่อเรื่อง “Goodbye, Putin” Why the President’s Days Are Numbered ยังไม่ทันอ่านเรื่องก็เดาออกแล้ว ว่า จะเร้าใจใส่สีแรงขนาดไหน

    คนเขียนบอกว่า ยิ่งสงครามที่ยูเครนยืดเยื้อนานไปเท่าไหร่ รัฐบาลของนายปูตินก็ล่มเร็วขึ้นเท่านั้นแหล่ะ นายปูตินปกครองรัสเซียมา 15 ปีแล้ว แม้ในตอนแรกๆ นโยบายเขาจะทำให้ได้คะแนนเสียง เช่น ตอนไล่พวกเช็คเชนออกไป หรือตอนอัดกลับพวกตะวันตก แต่หลังจากไปยึดไครเมีย และทำสงครามกับยูเครน ที่ทำให้ชาวรัสเซียตายเป็นเบือ และเศรษฐกิจของรัสเซียพุ่งลงเหว คะแนนเสียงของนายปูตินก็พุ่งหลาวตามลงไปด้วย ทุกสัญญาณแสดงว่า นายปูตินกำลังจะไปไม่รอด ระหว่างนี้พวกตะวันตกต้องดูแลยูเครนอย่างดีที่สุด แต่คงไม่นาน เพราะรัสเซียที่กำลังเน่าเฟะ กำลังจะร่วงหล่นอยู่แล้ว

    นอกเหนือจากนโยบายที่ผิดพลาดแล้ว นายปูตินยังมีปัญหาเรื่องภาพพจน์ ซึ่งนายปูตินก็รู้ตัว แม้ว่าจะบอกว่ามีเสน่ห์มีบารมี แต่เขารูปร่างขนาดเตี้ยแคระ…

    แม่เจ้าโว้ย นี่ เป็นถึงหนังสือ Foreign Affairs นะ ไม่ใช่หนังสือประเภทขายดารา มันคงไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว ด่าตั้งกะนโยบายทำนายว่าจวนจะหล่น มันคงไม่หนำใจ เลยเล่นไปถึงเรื่องรูปโฉมกันเลย ไม่รู้หรือไง แถวบ้านสมันน้อยเขาปลื้มคุณพี่กัน ถึงขนาดมีสมาคมคนรักปูติน นี่มันแสดงว่า ไอ้นักล่ากำลังเริ่มตาเหลือกแล้วละสิ ถึงต้องเขียนข่าวแบบนี้ และสงสัยมันก็ได้ตาเหลือกจริงสมใจ
    ผมอ่านบทความเรื่องดาราจะลาโรงนี่ ยังไม่ทันจบดีเลย ดันม่อยหลับเพราะเหม็นน้ำเน่าของ เรื่อง อ้าวตื่นมาอีกที เห็นข่าวเมือง Donestsk ยูเครน ได้รับของขวัญ เป็นดอกเห็ดรุ่นใหม่ ดอกเล็กจิ๋ว แต่เขาว่าฤทธิ์ไม่แพ้ดอกใหญ่ คงมีใครทดลองส่งไปให้ดู ก่อนชุดจริง จะส่งข้ามทวีปไปให้ แบบนี้แสดงว่า ยูเครนคงจบยาก หรือจบไม่สวย

    อย่าลืมว่า เมื่อวันคุณป้าเข้มขัดเหล็ก จูงมือกับคุณลุงโอลองด์ ไปคุยกันให้รู้เรื่องกับคุณพี่ปูติน ที่รัสเซีย ข่าวไม่บอกว่าคุยได้เรื่องอะไรบ้าง แต่ผมดูสารรูปของคุณป้าตอนคุย เหมือนกำลังต้องการยาหอมแก้ลมใส่อย่างยิ่ง และขากลับ ดูเหมือนเข็มขัดเหล็ก จะกลายเป็นเข็มขัดหลุด ก็พอจะเดาผลการคุยได้ แถมคุณป้า ยังต้องทำหน้าที่กาคาบความไปบอกให้นายโอบามาถึงที่อีกด้วย เพราะข้อความบางอัน ผมเดาว่า คุณป้าคงไม่กล้าพูดผ่านใคร กลัวเขาไม่กล้าถ่ายทอด ป้าต้องถ่ายเอง ถึงจะได้อรรถรสครบถ้วน จากที่รับมาจากคุณพี่ปูติน

    ผลการคุยวันก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ (10 กพ) ก็คงได้รู้กันแล้ว

    คุณป้าเข็มขัดเหล็ก หน้าตก บอกนายโอบามาว่า เขาไม่ยอมหรอก อย่าไปขู่เขาด้วยการคว่ำบาตรซ้ำเลย เพราะไม่ใช่เขาช้ำคนเดียว คนที่จะช้ำด้วยและหนักหนา คือพวกฉันที่อยู่ยุโรปนั่นแหละ แล้วถ้าเธอขนอาวุธ ขนกองทัพเข้าไปในยูเครน หยั่งที่ออกข่าวขู่ไปน่ะ เธอนึกว่าเขาจะถอยเหรอ มันเหมือนยิ่งยุเขา เขาไม่ได้มีมือเปล่านะ และไม่ได้มาคนเดียวด้วย เธอก็รู้ เธอนึกว่าเธอจะกล่อมอิหร่านได้เหรอ เซ่อจริง ตาโอ เขาจับมือตกลงกับทางโน้นเรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว ไม่งั้นการเจรจาของเธอ มันจะเดินหน้าถอยหลังอย่างนี้เหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ โน่น เขาไปนั่งคุยอยู่ที่อียิปต์ ก็เพราะเธออีกนั่นแหละ เซ่อซ้ำซาก เดินหมากผิด ไปถีบมูบารักเขาทิ้งน่ะ เธอทำอย่างนี้มาตลอด แล้วใครจะไปเชื่อเธออีก อย่าลืมตุรกีด้วย ตอนนี้เขาเห็นหัวเธอไหม จะให้ฉันจาระไนให้เธอฟังไหม ตาโอ ว่าตอนนี้ เขาคุยอะไรกับใครบ้าง ที่สำคัญ เขายังมีอาเฮียช่วยเดินสาย เก็บเล็กเก็บใหญ่ให้อีก เธอรู้ใช่ไหมมันแปลว่าอะไร เขากำลังจับมือกัน เดินเรียงแถวดาหน้ามาใส่พวกเราไงล่ะ

    เธอนึกว่า จะให้พวกฉันแถวยุโรปรับกรรมบ้านช่องพัง แล้วเธอก็ลอยตัว เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 อีกน่ะเหรอ นี่มันจะครั้งที่ 3 แล้วนะยะ จะให้พวกยุโรป โง่ซ้ำซาก โดนบอมบ์อยู่ข้างเดียวงั้นเหรอ เขาฝากมาบอกย่ะ ว่าคราวนี้ละ ตาโอ ตาแกบ้างซิ ป้ากลัวจนจะตดแตกอยู่แล้ว เขาฝากมาบอกว่า คราวนี้ลงบ้านแกแน่นอน เข้าใจมั้ย

    นี่ผมเดาเอาทั้งนั้นนะครับ ว่าคุณป้าแกคงใส่นายโอบามาเสียยับ แบบไม่ติดเบรคอย่างนั้น

    มันไม่น่าจะผิดไปจากนี้เท่าไหร่หรอก ถ้าเราฟังจากที่นายโอบามาพูด ตอนแถลงข่าวคู่กับคุณป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำเนียบขาววันนี้ (10กพ) และดูสีหน้าของนายโอบามา ซึ่งเหมือนคนกินของแสลงเข้าไปเต็มท้อง ส่วนคุณป้า คราวนี้อย่าว่าแต่เข็มขัดเหล็กจะคาดไม่อยู่เลย ตัวแก ก็แทบจะยืนไม่อยู่ ถูกบีบจากทุกทาง จนหน้าตกเกือบถึงสะดือ

    ตอนนี้ดูเหมือนผู้เกี่ยวข้อง รู้สึกจะต่างเสียงกันเกี่ยวกับเรื่อง การติดอาวุธให้ยูเครน และการแซงชั่นรัสเซีย แม้ในกลุ่มพวกกันเอง แต่สำหรับคุณป้าเข็มขัดหลุด กับนักล่าใบตองแห้ง ต่างยืนเอามือยันโต๊ะ บอกว่า (ตอนนี้) เรายังร้องเพลงเดียวกันอยู่ แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่

    การติดอาวุธให้ยูเครน หมายถึงโอกาสเกิดสงครามโลกคร้ังที่ 3 สูงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    10 กพ 58
    เรื่อง ตาเหลือก “ตาเหลือก” คนโบราณ เวลาเล่าอะไร ท่านจะมีถ้อยคำบรรยายให้เราเห็นภาพชัด เช่น ขณะที่พวกลุงๆกำลังถกกันมันปากว่า ตกลงอีเอ๋อ มันจะได้ไปเจอพี่มัน ที่ใกล้จะลงโลงอยู่ที่โรงแรมอะไร วะ พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เพราะไอ้จ้อนวิ่งสี่ตีน ตาเหลือก มาบอกว่า ลุงตู่ๆ เร็วๆเข้า ปู่จิ๋ว เดินสะดุดปากตัวเอง หัวทิ่มฟาดพื้นเลือดไหลโกรกเลย..แปลว่าปู่จิ๋วแกต้องกำลังแย่จริงๆ ไอ้จ้อนถึงกับตกใจ ตาเหลือกวิ่งมา ผมชอบอ่านบทความของสื่อ ที่ทำหน้าที่เป็นโรงงานประชาสัมพันธ์ แบบถนัดย้อมสี ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง โดยเฉพาะจากพวกที่เป็นถังความคิด แล้วเอามาถอดรหัสมันอีกต่อว่า ตอนนี้จริงๆแล้ว มันมีอาการอย่างไร สบายดี แค่ไข้จับสั่น หรือป่วยหนักถึงขนาดน้ำลายฟูมปาก ฯลฯ โดยเฉพาะอ่านจาก Foreign Affairs ซึ่งเป็นสื่อของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังความคิดหมายเลขหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายและความคิดของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ล่าสุด ผมอ่านเมื่อ 2 วันก่อน เป็นบทความลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015 ชื่อเรื่อง “Goodbye, Putin” Why the President’s Days Are Numbered ยังไม่ทันอ่านเรื่องก็เดาออกแล้ว ว่า จะเร้าใจใส่สีแรงขนาดไหน คนเขียนบอกว่า ยิ่งสงครามที่ยูเครนยืดเยื้อนานไปเท่าไหร่ รัฐบาลของนายปูตินก็ล่มเร็วขึ้นเท่านั้นแหล่ะ นายปูตินปกครองรัสเซียมา 15 ปีแล้ว แม้ในตอนแรกๆ นโยบายเขาจะทำให้ได้คะแนนเสียง เช่น ตอนไล่พวกเช็คเชนออกไป หรือตอนอัดกลับพวกตะวันตก แต่หลังจากไปยึดไครเมีย และทำสงครามกับยูเครน ที่ทำให้ชาวรัสเซียตายเป็นเบือ และเศรษฐกิจของรัสเซียพุ่งลงเหว คะแนนเสียงของนายปูตินก็พุ่งหลาวตามลงไปด้วย ทุกสัญญาณแสดงว่า นายปูตินกำลังจะไปไม่รอด ระหว่างนี้พวกตะวันตกต้องดูแลยูเครนอย่างดีที่สุด แต่คงไม่นาน เพราะรัสเซียที่กำลังเน่าเฟะ กำลังจะร่วงหล่นอยู่แล้ว นอกเหนือจากนโยบายที่ผิดพลาดแล้ว นายปูตินยังมีปัญหาเรื่องภาพพจน์ ซึ่งนายปูตินก็รู้ตัว แม้ว่าจะบอกว่ามีเสน่ห์มีบารมี แต่เขารูปร่างขนาดเตี้ยแคระ… แม่เจ้าโว้ย นี่ เป็นถึงหนังสือ Foreign Affairs นะ ไม่ใช่หนังสือประเภทขายดารา มันคงไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว ด่าตั้งกะนโยบายทำนายว่าจวนจะหล่น มันคงไม่หนำใจ เลยเล่นไปถึงเรื่องรูปโฉมกันเลย ไม่รู้หรือไง แถวบ้านสมันน้อยเขาปลื้มคุณพี่กัน ถึงขนาดมีสมาคมคนรักปูติน นี่มันแสดงว่า ไอ้นักล่ากำลังเริ่มตาเหลือกแล้วละสิ ถึงต้องเขียนข่าวแบบนี้ และสงสัยมันก็ได้ตาเหลือกจริงสมใจ ผมอ่านบทความเรื่องดาราจะลาโรงนี่ ยังไม่ทันจบดีเลย ดันม่อยหลับเพราะเหม็นน้ำเน่าของ เรื่อง อ้าวตื่นมาอีกที เห็นข่าวเมือง Donestsk ยูเครน ได้รับของขวัญ เป็นดอกเห็ดรุ่นใหม่ ดอกเล็กจิ๋ว แต่เขาว่าฤทธิ์ไม่แพ้ดอกใหญ่ คงมีใครทดลองส่งไปให้ดู ก่อนชุดจริง จะส่งข้ามทวีปไปให้ แบบนี้แสดงว่า ยูเครนคงจบยาก หรือจบไม่สวย อย่าลืมว่า เมื่อวันคุณป้าเข้มขัดเหล็ก จูงมือกับคุณลุงโอลองด์ ไปคุยกันให้รู้เรื่องกับคุณพี่ปูติน ที่รัสเซีย ข่าวไม่บอกว่าคุยได้เรื่องอะไรบ้าง แต่ผมดูสารรูปของคุณป้าตอนคุย เหมือนกำลังต้องการยาหอมแก้ลมใส่อย่างยิ่ง และขากลับ ดูเหมือนเข็มขัดเหล็ก จะกลายเป็นเข็มขัดหลุด ก็พอจะเดาผลการคุยได้ แถมคุณป้า ยังต้องทำหน้าที่กาคาบความไปบอกให้นายโอบามาถึงที่อีกด้วย เพราะข้อความบางอัน ผมเดาว่า คุณป้าคงไม่กล้าพูดผ่านใคร กลัวเขาไม่กล้าถ่ายทอด ป้าต้องถ่ายเอง ถึงจะได้อรรถรสครบถ้วน จากที่รับมาจากคุณพี่ปูติน ผลการคุยวันก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ (10 กพ) ก็คงได้รู้กันแล้ว คุณป้าเข็มขัดเหล็ก หน้าตก บอกนายโอบามาว่า เขาไม่ยอมหรอก อย่าไปขู่เขาด้วยการคว่ำบาตรซ้ำเลย เพราะไม่ใช่เขาช้ำคนเดียว คนที่จะช้ำด้วยและหนักหนา คือพวกฉันที่อยู่ยุโรปนั่นแหละ แล้วถ้าเธอขนอาวุธ ขนกองทัพเข้าไปในยูเครน หยั่งที่ออกข่าวขู่ไปน่ะ เธอนึกว่าเขาจะถอยเหรอ มันเหมือนยิ่งยุเขา เขาไม่ได้มีมือเปล่านะ และไม่ได้มาคนเดียวด้วย เธอก็รู้ เธอนึกว่าเธอจะกล่อมอิหร่านได้เหรอ เซ่อจริง ตาโอ เขาจับมือตกลงกับทางโน้นเรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว ไม่งั้นการเจรจาของเธอ มันจะเดินหน้าถอยหลังอย่างนี้เหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ โน่น เขาไปนั่งคุยอยู่ที่อียิปต์ ก็เพราะเธออีกนั่นแหละ เซ่อซ้ำซาก เดินหมากผิด ไปถีบมูบารักเขาทิ้งน่ะ เธอทำอย่างนี้มาตลอด แล้วใครจะไปเชื่อเธออีก อย่าลืมตุรกีด้วย ตอนนี้เขาเห็นหัวเธอไหม จะให้ฉันจาระไนให้เธอฟังไหม ตาโอ ว่าตอนนี้ เขาคุยอะไรกับใครบ้าง ที่สำคัญ เขายังมีอาเฮียช่วยเดินสาย เก็บเล็กเก็บใหญ่ให้อีก เธอรู้ใช่ไหมมันแปลว่าอะไร เขากำลังจับมือกัน เดินเรียงแถวดาหน้ามาใส่พวกเราไงล่ะ เธอนึกว่า จะให้พวกฉันแถวยุโรปรับกรรมบ้านช่องพัง แล้วเธอก็ลอยตัว เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 อีกน่ะเหรอ นี่มันจะครั้งที่ 3 แล้วนะยะ จะให้พวกยุโรป โง่ซ้ำซาก โดนบอมบ์อยู่ข้างเดียวงั้นเหรอ เขาฝากมาบอกย่ะ ว่าคราวนี้ละ ตาโอ ตาแกบ้างซิ ป้ากลัวจนจะตดแตกอยู่แล้ว เขาฝากมาบอกว่า คราวนี้ลงบ้านแกแน่นอน เข้าใจมั้ย นี่ผมเดาเอาทั้งนั้นนะครับ ว่าคุณป้าแกคงใส่นายโอบามาเสียยับ แบบไม่ติดเบรคอย่างนั้น มันไม่น่าจะผิดไปจากนี้เท่าไหร่หรอก ถ้าเราฟังจากที่นายโอบามาพูด ตอนแถลงข่าวคู่กับคุณป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำเนียบขาววันนี้ (10กพ) และดูสีหน้าของนายโอบามา ซึ่งเหมือนคนกินของแสลงเข้าไปเต็มท้อง ส่วนคุณป้า คราวนี้อย่าว่าแต่เข็มขัดเหล็กจะคาดไม่อยู่เลย ตัวแก ก็แทบจะยืนไม่อยู่ ถูกบีบจากทุกทาง จนหน้าตกเกือบถึงสะดือ ตอนนี้ดูเหมือนผู้เกี่ยวข้อง รู้สึกจะต่างเสียงกันเกี่ยวกับเรื่อง การติดอาวุธให้ยูเครน และการแซงชั่นรัสเซีย แม้ในกลุ่มพวกกันเอง แต่สำหรับคุณป้าเข็มขัดหลุด กับนักล่าใบตองแห้ง ต่างยืนเอามือยันโต๊ะ บอกว่า (ตอนนี้) เรายังร้องเพลงเดียวกันอยู่ แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ การติดอาวุธให้ยูเครน หมายถึงโอกาสเกิดสงครามโลกคร้ังที่ 3 สูงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 10 กพ 58
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Refer To Little People: The Terms To Know

    Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term.

    In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences.

    Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive.

    What is dwarfism?

    An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions.

    Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower.

    What causes dwarfism?

    The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t.
    What do people with dwarfism prefer to be called?

    First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to.

    Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms.

    Here are some of the most common and widely accepted terms.

    dwarf and person with dwarfism

    Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity.

    Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism.

    While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions).

    It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature).

    little person, little people

    Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with.

    Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia.

    The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World.

    Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary.

    person of short stature and short-statured person

    Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case.

    These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland.

    Which term should I use?

    Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences.

    Offensive terms

    Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.)

    Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether.

    That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example).

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    How To Refer To Little People: The Terms To Know Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term. In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences. Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive. What is dwarfism? An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions. Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower. What causes dwarfism? The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t. What do people with dwarfism prefer to be called? First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to. Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms. Here are some of the most common and widely accepted terms. dwarf and person with dwarfism Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity. Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism. While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions). It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature). little person, little people Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with. Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia. The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World. Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary. person of short stature and short-statured person Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case. These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland. Which term should I use? Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences. Offensive terms Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.) Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether. That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example). สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยันปั่นข่าว รับลูกมาขยี้จนผิดสังเกต ทั้งที่นายทุนพรรค ก็ใช้มูลนิธิคณะก้าวหน้ารับเงินต่างชาติมาฟอกเป็นเงินบริจาค มาตรฐานการตรวจสอบของพรรค io มันก็เดินเกมแบบนี้แหละ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ขยันปั่นข่าว รับลูกมาขยี้จนผิดสังเกต ทั้งที่นายทุนพรรค ก็ใช้มูลนิธิคณะก้าวหน้ารับเงินต่างชาติมาฟอกเป็นเงินบริจาค มาตรฐานการตรวจสอบของพรรค io มันก็เดินเกมแบบนี้แหละ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง

    OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน

    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน

    น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน

    การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4

    การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated
    เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS
    แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง
    ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT
    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้

    ความสามารถของ Sky
    สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages
    สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป
    เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์
    พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple

    ความเคลื่อนไหวของ Apple
    Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026
    มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน
    หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta
    Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน

    https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    🧠 OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4 ✅ การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated ➡️ เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS ➡️ แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง ➡️ ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT ➡️ Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้ ✅ ความสามารถของ Sky ➡️ สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages ➡️ สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป ➡️ เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์ ➡️ พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026 ➡️ มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน ➡️ หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta ➡️ Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI Acquires The Company Behind The New Apple Mac App Sky
    OpenAI is trying to encroach into Apple's sprawling ecosystem by acquiring a company that is championing enhanced automation on the Mac.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง

    แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI

    Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google

    การพัฒนา Tensor G5 โดย Google
    เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ
    ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm
    ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali

    ความท้าทายด้าน GPU
    GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google
    ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน
    Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน
    เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก
    มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว
    หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่
    การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก
    ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา

    https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    📱 Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google ✅ การพัฒนา Tensor G5 โดย Google ➡️ เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ ➡️ ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm ➡️ ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali ✅ ความท้าทายด้าน GPU ➡️ GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google ➡️ ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน ➡️ Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน ➡️ เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก ➡️ มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว ⛔ หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่ ⛔ การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก ⛔ ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    WCCFTECH.COM
    Google Tacitly Admits To The Need For Optimizing The Tensor G5's GPU
    While Google has worked with Imagination to develop the IMG DXT-48-1536 GPU for the Tensor G5, Imagination retains full proprietary control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด

    Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์

    ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท)

    จุดเด่นของ ATH-ADX7000
    ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่
    ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง
    โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม
    มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced
    รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว

    การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด
    ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง
    วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง
    รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์

    การวางจำหน่าย
    เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม
    ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท
    ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง
    ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่
    ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ
    น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว

    https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    🎧 Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์ ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท) ✅ จุดเด่นของ ATH-ADX7000 ➡️ ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ➡️ ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง ➡️ โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม ➡️ มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced ➡️ รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว ✅ การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด ➡️ ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง ➡️ วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง ➡️ รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์ ✅ การวางจำหน่าย ➡️ เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม ➡️ ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท ➡️ ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง ⛔ ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่ ⛔ ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ ⛔ น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้

    TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง

    Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet:

    การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400
    GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps
    GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps
    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้
    มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม

    เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น
    รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน
    ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม
    เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ

    ความคุ้มค่าและการใช้งาน
    GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง
    GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G
    ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด
    การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ
    ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย

    https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    📶 TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้ TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet: ✅ การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400 ➡️ GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps ➡️ GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps ➡️ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้ ➡️ มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม ✅ เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น ➡️ รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน ➡️ ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม ➡️ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ ✅ ความคุ้มค่าและการใช้งาน ➡️ GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G ➡️ ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด ⛔ การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ ⛔ ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla เปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ – เร็วกว่าเดิม 40 เท่า พร้อมผลิตโดย Samsung และ TSMC

    Elon Musk ประกาศว่า Tesla ได้พัฒนาชิป AI5 รุ่นใหม่สำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ในรถยนต์ โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า! ชิปนี้จะถูกผลิตโดยสองยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์คือ Samsung และ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีของ Tesla ไปอีกขั้น

    ชิป AI5 รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มฝึกโมเดล AI ของ Tesla โดยเน้นการประมวลผลแบบ edge computing ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud ตลอดเวลา ชิปนี้ยังถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ real-time สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ และการวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ

    การร่วมมือกับ Samsung และ TSMC ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Tesla สามารถผลิตชิปได้ในปริมาณมาก แต่ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้าน supply chain ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน

    การเปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ของ Tesla
    มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า
    ใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo
    รองรับการประมวลผลแบบ edge computing และ real-time
    ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ

    ความร่วมมือกับผู้ผลิตชิป
    ผลิตโดย Samsung และ TSMC
    ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและลดความเสี่ยงด้าน supply chain
    ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น 2nm และ 3nm

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ยกระดับความสามารถของรถยนต์ Tesla ในการขับขี่อัตโนมัติ
    เพิ่มความแม่นยำและความเร็วในการประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันด้าน AI ในรถยนต์

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง
    ความล่าช้าในการผลิตอาจกระทบต่อการเปิดตัวรถรุ่นใหม่
    การพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกอาจมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของ supply chain
    หากระบบ FSD ยังไม่ผ่านการรับรองในหลายประเทศ อาจจำกัดการใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-claims-teslas-new-ai5-chip-is-40x-more-performant-than-previous-gen-ai5-next-gen-custom-silicon-for-vehicle-ai-to-now-be-built-by-samsung-and-tsmc
    🚗 Tesla เปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ – เร็วกว่าเดิม 40 เท่า พร้อมผลิตโดย Samsung และ TSMC Elon Musk ประกาศว่า Tesla ได้พัฒนาชิป AI5 รุ่นใหม่สำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ในรถยนต์ โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า! ชิปนี้จะถูกผลิตโดยสองยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์คือ Samsung และ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีของ Tesla ไปอีกขั้น ชิป AI5 รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มฝึกโมเดล AI ของ Tesla โดยเน้นการประมวลผลแบบ edge computing ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud ตลอดเวลา ชิปนี้ยังถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ real-time สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ และการวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ การร่วมมือกับ Samsung และ TSMC ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Tesla สามารถผลิตชิปได้ในปริมาณมาก แต่ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้าน supply chain ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ✅ การเปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ของ Tesla ➡️ มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า ➡️ ใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ edge computing และ real-time ➡️ ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ ✅ ความร่วมมือกับผู้ผลิตชิป ➡️ ผลิตโดย Samsung และ TSMC ➡️ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและลดความเสี่ยงด้าน supply chain ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น 2nm และ 3nm ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ยกระดับความสามารถของรถยนต์ Tesla ในการขับขี่อัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความแม่นยำและความเร็วในการประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันด้าน AI ในรถยนต์ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง ⛔ ความล่าช้าในการผลิตอาจกระทบต่อการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ⛔ การพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกอาจมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของ supply chain ⛔ หากระบบ FSD ยังไม่ผ่านการรับรองในหลายประเทศ อาจจำกัดการใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-claims-teslas-new-ai5-chip-is-40x-more-performant-than-previous-gen-ai5-next-gen-custom-silicon-for-vehicle-ai-to-now-be-built-by-samsung-and-tsmc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

    จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

    ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030)
    เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI
    ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่
    รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
    ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024
    กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP
    ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์
    เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

    ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี
    บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
    ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    🇨🇳 จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง ✅ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030) ➡️ เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI ➡️ ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ ➡️ รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ✅ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ➡️ ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024 ➡️ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP ➡️ ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ➡️ เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค ✅ ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย ➡️ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ ⛔ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ⛔ การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน

    บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน

    ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้

    แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ
    เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น
    บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing
    เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D
    เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง

    ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา
    รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์
    Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก

    ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
    เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง
    หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน
    การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด
    การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    🇺🇸 รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้ ✅ แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น ➡️ บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing ➡️ เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D ➡️ เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง ✅ ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา ➡️ รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก ✅ ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ➡️ เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง ⛔ หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน ⛔ การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด ⛔ การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวมาตรฐานใหม่ “UBIOS” แทน BIOS และ UEFI เดิม – ก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    จีนเดินหน้าสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ล่าสุดได้เปิดตัวมาตรฐานเฟิร์มแวร์ใหม่ชื่อว่า “UBIOS” (Unified Basic Input/Output System) เพื่อแทนที่ BIOS และ UEFI ที่ใช้กันมายาวนานในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยมาตรฐานนี้ถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีน 13 แห่ง รวมถึง Huawei และ CESI โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ และสนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 เช่น ARM, RISC-V และ LoongArch

    UBIOS ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ได้พัฒนาต่อจาก UEFI ซึ่งจีนมองว่ามีความซับซ้อนเกินไปและถูกควบคุมโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Intel และ AMD การพัฒนาใหม่นี้ยังรองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing เช่น เมนบอร์ดที่มี CPU ต่างรุ่นกัน และระบบที่ใช้ชิปแบบ chiplet ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการคอมพิวเตอร์

    การเปิดตัว UBIOS ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของจีนตามแผน “Document 79” ที่มีเป้าหมายให้ประเทศเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่การมีมาตรฐานเฟิร์มแวร์ของตัวเองก็เป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมในอนาคต

    การเปิดตัวมาตรฐาน UBIOS
    เป็นเฟิร์มแวร์ใหม่ที่ใช้แทน BIOS และ UEFI
    พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทจีน 13 แห่ง เช่น Huawei, CESI
    ไม่พัฒนาต่อจาก UEFI แต่สร้างใหม่ทั้งหมดจาก BIOS เดิม
    รองรับการใช้งานกับ CPU ที่หลากหลาย เช่น ARM, RISC-V, LoongArch
    รองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing และ chiplet
    เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Global Computing Conference ปี 2025 ที่เซินเจิ้น

    เป้าหมายของจีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    ลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ เช่น UEFI ที่ควบคุมโดย Intel และ AMD
    สนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86
    เป็นส่วนหนึ่งของแผน “Document 79” ที่จะเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    ยังไม่แน่ชัดว่า UBIOS จะได้รับการยอมรับในระดับสากลหรือไม่
    อาจเผชิญกับปัญหาความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่
    การเปลี่ยนมาตรฐานเฟิร์มแวร์อาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบในระยะเริ่มต้น
    หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้ อาจมีชะตากรรมแบบเดียวกับ LoongArch ที่ไม่เป็นที่นิยม

    https://www.tomshardware.com/software/china-releases-ubios-standard-to-replace-uefi-huawei-backed-bios-firmware-replacement-charges-chinas-domestic-computing-goals
    🇨🇳 จีนเปิดตัวมาตรฐานใหม่ “UBIOS” แทน BIOS และ UEFI เดิม – ก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี จีนเดินหน้าสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ล่าสุดได้เปิดตัวมาตรฐานเฟิร์มแวร์ใหม่ชื่อว่า “UBIOS” (Unified Basic Input/Output System) เพื่อแทนที่ BIOS และ UEFI ที่ใช้กันมายาวนานในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยมาตรฐานนี้ถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีน 13 แห่ง รวมถึง Huawei และ CESI โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ และสนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 เช่น ARM, RISC-V และ LoongArch UBIOS ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ได้พัฒนาต่อจาก UEFI ซึ่งจีนมองว่ามีความซับซ้อนเกินไปและถูกควบคุมโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Intel และ AMD การพัฒนาใหม่นี้ยังรองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing เช่น เมนบอร์ดที่มี CPU ต่างรุ่นกัน และระบบที่ใช้ชิปแบบ chiplet ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการคอมพิวเตอร์ การเปิดตัว UBIOS ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของจีนตามแผน “Document 79” ที่มีเป้าหมายให้ประเทศเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่การมีมาตรฐานเฟิร์มแวร์ของตัวเองก็เป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมในอนาคต ✅ การเปิดตัวมาตรฐาน UBIOS ➡️ เป็นเฟิร์มแวร์ใหม่ที่ใช้แทน BIOS และ UEFI ➡️ พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทจีน 13 แห่ง เช่น Huawei, CESI ➡️ ไม่พัฒนาต่อจาก UEFI แต่สร้างใหม่ทั้งหมดจาก BIOS เดิม ➡️ รองรับการใช้งานกับ CPU ที่หลากหลาย เช่น ARM, RISC-V, LoongArch ➡️ รองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing และ chiplet ➡️ เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Global Computing Conference ปี 2025 ที่เซินเจิ้น ✅ เป้าหมายของจีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ➡️ ลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ เช่น UEFI ที่ควบคุมโดย Intel และ AMD ➡️ สนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผน “Document 79” ที่จะเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่แน่ชัดว่า UBIOS จะได้รับการยอมรับในระดับสากลหรือไม่ ⛔ อาจเผชิญกับปัญหาความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ ⛔ การเปลี่ยนมาตรฐานเฟิร์มแวร์อาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบในระยะเริ่มต้น ⛔ หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้ อาจมีชะตากรรมแบบเดียวกับ LoongArch ที่ไม่เป็นที่นิยม https://www.tomshardware.com/software/china-releases-ubios-standard-to-replace-uefi-huawei-backed-bios-firmware-replacement-charges-chinas-domestic-computing-goals
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China releases 'UBIOS' standard to replace UEFI — Huawei-backed BIOS firmware replacement charges China's domestic computing goals
    Support for chiplets, heterogeneous computing, and a step away from U.S.-based standards are key features of China's BIOS replacement.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70%

    บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว

    แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์
    แนวโน้มใหม่
    เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้
    ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง
    เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine”

    คำเตือน
    ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล
    ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

    2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search
    เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว
    Atlas จาก OpenAI
    Comet จาก Perplexity
    Copilot-enabled Edge จาก Microsoft
    Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่

    คำเตือน
    บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว

    3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google
    จุดแข็งของ Google
    Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70%
    Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล
    มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search

    จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย
    ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า

    4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    มุมมองจากนักวิเคราะห์
    Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว”
    Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์”
    Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่”

    คำเตือน
    การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก
    การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    🔍 สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70% บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์ ✅ แนวโน้มใหม่ ➡️ เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง ➡️ เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine” ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล ⛔ ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง 2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search ✅ เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว ➡️ Atlas จาก OpenAI ➡️ Comet จาก Perplexity ➡️ Copilot-enabled Edge จาก Microsoft ➡️ Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่ ‼️ คำเตือน ⛔ บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว 3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google ✅ จุดแข็งของ Google ➡️ Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70% ➡️ Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล ➡️ มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ‼️ จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย ⛔ ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ⛔ คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า 4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ มุมมองจากนักวิเคราะห์ ➡️ Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว” ➡️ Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์” ➡️ Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่” ‼️ คำเตือน ⛔ การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก ⛔ การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online search a battleground for AI titans
    Tech firms battling for supremacy in artificial intelligence are out to transform how people search the web, challenging the dominance of the Chrome browser at the heart of Google's empire.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย

    Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน

    สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot

    1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups)
    ฟีเจอร์ใหม่
    รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน
    ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์
    เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

    คำเตือน
    ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
    การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน

    2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook)
    ฟีเจอร์ใหม่
    เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น
    สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้
    ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม

    คำเตือน
    ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล
    การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory)
    ฟีเจอร์ใหม่
    Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้
    ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า
    เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น

    คำเตือน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้
    อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว

    4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้
    ฟีเจอร์ใหม่
    Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์
    เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น

    คำเตือน
    อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป
    ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    🤝 Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน 🔍 สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot 1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน ➡️ ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์ ➡️ เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ⛔ การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน 2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น ➡️ สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้ ➡️ ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล ⛔ การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้ ➡️ ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า ➡️ เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้ ⛔ อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว 4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์ ➡️ เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft introduces new Copilot features such as collaboration, Google integration
    (Reuters) -Microsoft introduced new features in its digital assistant Copilot on Thursday, including collaboration and deeper integration with other applications such as Outlook and Google, beefing up its AI services to stave off competition.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts