• จินนี่ ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 1
    ตั้งชื่อแบบนี่ อย่านึกว่าผมจะเขียนเรื่องดารานะครับ ยังไม่อยากดังแข่งกับซ้อ….
    จีนนี่ หรือ Genie Energy เป็นชื่อ ของบริษัทน้ำมัน ที่มีเซียนระดับโลก ด้านยุทธศาสตร์การเมืองเขาว่า มันอาจจะเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตัวจริงก็ได้ และถ้าจับมาโยงกับเรื่องซีเรีย ฮู้ย… มันยกร่อง เห็นไส้เน่าลากยาวไปถึงไหนๆ ไม่ทำความรู้จัก “จีนนี่” เอาไว้ เดี๋ยวเชยตาย.. อายเขาแย่
    เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา (ค.ศ.2015) ระหว่างที่ ฝูงเครื่องบินรบของคุณพี่ปูติน กำลังบินขึ้น บินลง วันละไม่รู้กี่เที่ยว ไล่ถล่มรังไอซิสราบไปเป็นแถบๆ (แต่สื่อตะวันตกไม่ลงให้หรอก เดี๋ยวคุณพี่ปูตินแกจะหล่อมากไป) นาย Yuval Bartov หัวหน้านักธรณีวิทยาประจำบริษัท Afek Oil & Gas ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Genie ก็ไปออกโทรทัศน์ของอิสราเอล ทำเสียงทุ้มบอกว่า ตอนนี้บริษัทของเขาได้พบแหล่งน้ำมันใหญ่มากกกก ในที่ราบสูงโกลาน Golan Heights
    … เสียงทุ้ม โม้ต่ออย่างตื่นเต้นว่า เราเจอน้ำมัน shale oil ใต้ชั้นหินดินดาน ที่หนาถึง 350 เมตร อยู่ที่ด้านใต้ของที่ราบสูงโกลาน ซึ่งโดยทั่วไปหินดินดาน ที่มีน้ำมันแบบนี้ ที่เจอกันส่วนใหญ่จะหนาแค่ประมาณ 20 ถึง 30 เมตรเท่านั้น นี่มันหนา 10 เท่าเชียวนะ เรากำลังเจออะไรที่มันมหึมา และน่าจะปริมาณที่มหาศาล… โอ้ย ตื่นเต้น ตื่นเต้น
    อิสราเอลนี่ โชคดีชะมัด แบบนี้ยิวคงโม้ไม่หยุดว่า พระเจ้าได้ประทานของขวัญชิ้นใหญ่ให้ยิวผู้ซึ่งเป็นชนพันธุ์พิเศษ เอะ แต่ที่ราบสูงโกลานเป็นของยิวแน่หรือครับ ใจคอคิดจะงาบของเขาไปง่ายๆแบบนี้ เจ้าของเขาจะยอมหรือครับ ไม่ใช่ของชิ้นเล็กวางโชว์ เดินผ่าน ก็ยื่นมือฉวยเอาเข้ากระเป๋ากันง่ายๆแบบนั้นนะ ไอ้แบบนั้นก็กุ๊ยแย่พอแล้ว นี่มันแหล่งน้ำมันนะครับ แล้วเป็นแหล่งตั้งใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้
    ในปี ค.ศ.1967 กลุ่มประเทศที่มีบริเวณใกล้ชิดกับอิสราเอล คือ อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ออกอาการเหม็นเบื่อยิว จึงมีการแอบเหยียบตีน หรือยื่นศอกไปซัดกันอยู่เรื่อย อิสราเอล ได้ลูกยุจากฝั่งอเมริกาที่กำลั งกร่างสุด สั่งให้นายพลโมเช่ดายัน ทำหน้าที่พระเอก ยกทัพไปลุยอียิปต์ ที่นำโดยนายพลกามาล นัสเซอร์ พระเอกอีกคน ที่เป็นเพื่อนรักของโซเวียต โดยมี ซีเรีย อิรัค กับจอร์แดน ถือหางข้างอียิปต์ เอาละสิ
    ผลปรากฏว่า อิสราเอลคงมีของดี รบแค่ 6 วัน อียิปต์ถอยกรูด ทำให้ อิสราเอลโม้เรื่องสงคราม 6 วันนี้ไม่เลิก แต่คนที่น่าจะยังจำเรื่องนี้ดี คือ รัสเซีย ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของอียิปต์ และซีเรียในช่วงนั้น เห็นไหมครับ บางเรื่อง มันมีที่มาเยอะ ไม่รู้เรื่องเก่าๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าเรื่องใหม่ที่เขากำลังเล่นกันนั้น จะเล่นกันยาวไกลย้อนเกล็ดกันหนักหนาขนาดไหน
    อิสราเอลนั้น พอรบชนะ ก็ตัวยืดเบ่งกล้าม ถือโอกาสยึดครองพื้นที่ของซีเรียไป 460 ตารางไมล์ตามแนวเขตแดนของซีเรีย โดยรวมเอาที่ราบสูงโกลานของซีเรียไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย หรือเขาเรียกว่า หน้าด้าน ผมไม่แน่ใจ
    ที่ราบสูงโกลานในตอนนั้น ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว อย่างแรก
    โกลาน มีแหล่งน้ำจืดใหญ่ ที่ไหลลงมาตามแม่น้ำจอร์แดน เลี้ยงหลายประเทศในแถบนั้น รวมทั้งเลี้ยงอิสราเอลด้วย อย่าลืมว่าตะวันออกกลางเป็นทะเลทราย คงหาน้ำจืดยาก แม้คนแถบนั้นจะเคยเป็นคนเลี้ยงอูฐกันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเก็บน้ำไว้ในหนอกคอตัวเองได้อย่างอูฐ น้ำจืดจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับพวกเขา แต่ดันมีไอ้คนใจดำ ยึดน้ำจืด ของชาวบ้านเขาไปอย่างหน้าด้านๆ
    นอกจากนี้ ถ้าเอาเครื่องมือจารกรรม จะแบบลูกกอล์ฟยักษ์ ที่ชอบใช้กันนัก หรือจานใบใหญ่ ไปตั้งไว้บนที่ราบสูงโกลาน ที่อยู่หน้าบ้านดามัสคัส เมืองหลวงของซีเรีย อิสราเอลก็คงเห็นหนังสด ทั้งภาพทั้งเสียงในดามัสคัสชัดเจน แจ๋วแหวว ล้างหูล้างตามั่งนะคุณยิว
    ดูหนังสดข้างบ้านจนติดใจ ในปี ค.ศ.1981 อิสราเอล เลยออกกฏหมาย กำหนดให้ที่ราบสูงโกลานเป็นของตัว อยู่ภายใต้บังคับกฏหมาย และการปกครองของอิสราเอล แม้ว่าจะมีมติของสหประชาชาติที่ 242 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 บอกว่า การครอบครองที่ราบสูงโกลานของอิสราเอล ไม่ชอบด้วยหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ให้อิสราเอลถอนการครอบครองออก ไปจากบริเวณนั้น แต่อิสราเอลไม่สนใจ จะต้องสนใจทำไม ก็ลูกพี่อเมริกา ไม่เห็นว่าอะไรเลย นี่… ให้มันรู้กันเสียบ้างว่า ข้างกูทำได้ทั้งนั้น ไม่มีผิด ไม่มีคว่ำบาตร แต่ข้างมึงอย่า.. เชียวนะ ทีนี้ใครอย่ามาอ้างเรื่องมติสหประชาชาติกับผมนะ ผมจะด่าให้หงายเงิบเลย ( ผมใช้ศัพท์สมัยใหม่แล้วนะ ใช้ถูกไหมครับ)
    ถึงปี ค.ศ.2008 สหประชาชาติ เอาใหม่ มีมติที่ 161-1 ยืนยัน มติเดิม ให้อิสราเอลคืนพื้นที่ให้แก่ซีเรีย และให้กฏหมายที่อิสราเอลออกใช้บังคับ เมื่อปี ค.ศ.1981 นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และให้อิสราเอล ทำการปรับพื้นที่บนที่ราบสูงโกลาน กลับสู่สภาพเดิมทั้งหมด และยุติการครอบครอง การก่อสร้าง และยุติการบังคับให้ชาวซีเรียที่อยู่ในพื้นราบสูงโกลาน มาถือสัญชาติและใช้บัตรประจำตัวของอิสราเอลอีกด้วย โห…สั่งได้เข้ม เห็นภาพเลยว่า ชาวซีเรียนี่โดนข่มขืนย่ำยีใน ศักดิ์ศรี ของความเป็นชาติของเขามานานแล้วนะ แล้วเราเคยรู้เรื่องนี้กันไหมครับ ไม่รู้แน่นอน เพราะสื่อกระป๋องสีไม่ว่ายี่ห้อไหน จะออกข่าวแต่เรื่องอัสสาดเป็นเผด็จการ ตามใบสั่งเท่านั้น
    แล้วตกลงมติเข้มของสหประชาชาติได้ผลไหม มีใครทำอะไรอิสราเอลได้ไหม ไม่น่าถาม ไม่มีครับ ใครจะกล้า ลูกพี่ใหญ่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลัง เห็นความเป็นธรรมชัดเจนจัง แบบนี้ยังมาพล่ามเรื่อง
    ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน ถุด…เดี๋ยวรื้อเรื่องเขาพระวิหารมาเล่นใหม่เสียหรอก
    ตกลงเห็นหน้าเห็นตัวกันแล้วนะครับว่า ใครเป็นเจ้าของตัวจริงของที่ราบสูง
    โกลาน ที่เพิ่งมีการเจอแหล่งน้ำมันมหึมา ไม่ใช่ไอ้ตัวที่ไปงาบเขามา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967
    และแม้สหประชาชาติ จะมีมติให้อิสราเอลคืนที่ราบสูงโกลาน ให้กับซีเรีย นอกจากอิสราเอลจะไม่สนใจแล้ว อิสราเอลยังเดินหน้ามอบสัมปทานบนพื้นที่ดังกล่าวให้บริษัท จีนนี่ อีกด้วย แน่จริงๆ
    แต่ที่แน่กว่านั้น มันเป็นการให้สัมปทานในปี ค.ศ.2013 ในช่วงเวลาที่ซีเรียกำลังถูกรุมกินโต๊ะ และหนึ่งในผู้รุมกินก็คือ อิสราเอล มันเป็นการวางจังหวะ การรุมกินโต๊ะ และการให้สัมปทาน ที่ได้เวลาอย่างที่อัสสาดไม่มีทางประท้วง หรือต่อสู้อะไรเลย เพราะตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดอยู่แล้ว คนวางแผนรายการนี้ ฝีมือร้ายกาจมาก
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 1 ตั้งชื่อแบบนี่ อย่านึกว่าผมจะเขียนเรื่องดารานะครับ ยังไม่อยากดังแข่งกับซ้อ…. จีนนี่ หรือ Genie Energy เป็นชื่อ ของบริษัทน้ำมัน ที่มีเซียนระดับโลก ด้านยุทธศาสตร์การเมืองเขาว่า มันอาจจะเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตัวจริงก็ได้ และถ้าจับมาโยงกับเรื่องซีเรีย ฮู้ย… มันยกร่อง เห็นไส้เน่าลากยาวไปถึงไหนๆ ไม่ทำความรู้จัก “จีนนี่” เอาไว้ เดี๋ยวเชยตาย.. อายเขาแย่ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา (ค.ศ.2015) ระหว่างที่ ฝูงเครื่องบินรบของคุณพี่ปูติน กำลังบินขึ้น บินลง วันละไม่รู้กี่เที่ยว ไล่ถล่มรังไอซิสราบไปเป็นแถบๆ (แต่สื่อตะวันตกไม่ลงให้หรอก เดี๋ยวคุณพี่ปูตินแกจะหล่อมากไป) นาย Yuval Bartov หัวหน้านักธรณีวิทยาประจำบริษัท Afek Oil & Gas ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Genie ก็ไปออกโทรทัศน์ของอิสราเอล ทำเสียงทุ้มบอกว่า ตอนนี้บริษัทของเขาได้พบแหล่งน้ำมันใหญ่มากกกก ในที่ราบสูงโกลาน Golan Heights … เสียงทุ้ม โม้ต่ออย่างตื่นเต้นว่า เราเจอน้ำมัน shale oil ใต้ชั้นหินดินดาน ที่หนาถึง 350 เมตร อยู่ที่ด้านใต้ของที่ราบสูงโกลาน ซึ่งโดยทั่วไปหินดินดาน ที่มีน้ำมันแบบนี้ ที่เจอกันส่วนใหญ่จะหนาแค่ประมาณ 20 ถึง 30 เมตรเท่านั้น นี่มันหนา 10 เท่าเชียวนะ เรากำลังเจออะไรที่มันมหึมา และน่าจะปริมาณที่มหาศาล… โอ้ย ตื่นเต้น ตื่นเต้น อิสราเอลนี่ โชคดีชะมัด แบบนี้ยิวคงโม้ไม่หยุดว่า พระเจ้าได้ประทานของขวัญชิ้นใหญ่ให้ยิวผู้ซึ่งเป็นชนพันธุ์พิเศษ เอะ แต่ที่ราบสูงโกลานเป็นของยิวแน่หรือครับ ใจคอคิดจะงาบของเขาไปง่ายๆแบบนี้ เจ้าของเขาจะยอมหรือครับ ไม่ใช่ของชิ้นเล็กวางโชว์ เดินผ่าน ก็ยื่นมือฉวยเอาเข้ากระเป๋ากันง่ายๆแบบนั้นนะ ไอ้แบบนั้นก็กุ๊ยแย่พอแล้ว นี่มันแหล่งน้ำมันนะครับ แล้วเป็นแหล่งตั้งใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้ ในปี ค.ศ.1967 กลุ่มประเทศที่มีบริเวณใกล้ชิดกับอิสราเอล คือ อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ออกอาการเหม็นเบื่อยิว จึงมีการแอบเหยียบตีน หรือยื่นศอกไปซัดกันอยู่เรื่อย อิสราเอล ได้ลูกยุจากฝั่งอเมริกาที่กำลั งกร่างสุด สั่งให้นายพลโมเช่ดายัน ทำหน้าที่พระเอก ยกทัพไปลุยอียิปต์ ที่นำโดยนายพลกามาล นัสเซอร์ พระเอกอีกคน ที่เป็นเพื่อนรักของโซเวียต โดยมี ซีเรีย อิรัค กับจอร์แดน ถือหางข้างอียิปต์ เอาละสิ ผลปรากฏว่า อิสราเอลคงมีของดี รบแค่ 6 วัน อียิปต์ถอยกรูด ทำให้ อิสราเอลโม้เรื่องสงคราม 6 วันนี้ไม่เลิก แต่คนที่น่าจะยังจำเรื่องนี้ดี คือ รัสเซีย ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของอียิปต์ และซีเรียในช่วงนั้น เห็นไหมครับ บางเรื่อง มันมีที่มาเยอะ ไม่รู้เรื่องเก่าๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าเรื่องใหม่ที่เขากำลังเล่นกันนั้น จะเล่นกันยาวไกลย้อนเกล็ดกันหนักหนาขนาดไหน อิสราเอลนั้น พอรบชนะ ก็ตัวยืดเบ่งกล้าม ถือโอกาสยึดครองพื้นที่ของซีเรียไป 460 ตารางไมล์ตามแนวเขตแดนของซีเรีย โดยรวมเอาที่ราบสูงโกลานของซีเรียไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย หรือเขาเรียกว่า หน้าด้าน ผมไม่แน่ใจ ที่ราบสูงโกลานในตอนนั้น ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว อย่างแรก โกลาน มีแหล่งน้ำจืดใหญ่ ที่ไหลลงมาตามแม่น้ำจอร์แดน เลี้ยงหลายประเทศในแถบนั้น รวมทั้งเลี้ยงอิสราเอลด้วย อย่าลืมว่าตะวันออกกลางเป็นทะเลทราย คงหาน้ำจืดยาก แม้คนแถบนั้นจะเคยเป็นคนเลี้ยงอูฐกันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเก็บน้ำไว้ในหนอกคอตัวเองได้อย่างอูฐ น้ำจืดจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับพวกเขา แต่ดันมีไอ้คนใจดำ ยึดน้ำจืด ของชาวบ้านเขาไปอย่างหน้าด้านๆ นอกจากนี้ ถ้าเอาเครื่องมือจารกรรม จะแบบลูกกอล์ฟยักษ์ ที่ชอบใช้กันนัก หรือจานใบใหญ่ ไปตั้งไว้บนที่ราบสูงโกลาน ที่อยู่หน้าบ้านดามัสคัส เมืองหลวงของซีเรีย อิสราเอลก็คงเห็นหนังสด ทั้งภาพทั้งเสียงในดามัสคัสชัดเจน แจ๋วแหวว ล้างหูล้างตามั่งนะคุณยิว ดูหนังสดข้างบ้านจนติดใจ ในปี ค.ศ.1981 อิสราเอล เลยออกกฏหมาย กำหนดให้ที่ราบสูงโกลานเป็นของตัว อยู่ภายใต้บังคับกฏหมาย และการปกครองของอิสราเอล แม้ว่าจะมีมติของสหประชาชาติที่ 242 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 บอกว่า การครอบครองที่ราบสูงโกลานของอิสราเอล ไม่ชอบด้วยหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ให้อิสราเอลถอนการครอบครองออก ไปจากบริเวณนั้น แต่อิสราเอลไม่สนใจ จะต้องสนใจทำไม ก็ลูกพี่อเมริกา ไม่เห็นว่าอะไรเลย นี่… ให้มันรู้กันเสียบ้างว่า ข้างกูทำได้ทั้งนั้น ไม่มีผิด ไม่มีคว่ำบาตร แต่ข้างมึงอย่า.. เชียวนะ ทีนี้ใครอย่ามาอ้างเรื่องมติสหประชาชาติกับผมนะ ผมจะด่าให้หงายเงิบเลย ( ผมใช้ศัพท์สมัยใหม่แล้วนะ ใช้ถูกไหมครับ) ถึงปี ค.ศ.2008 สหประชาชาติ เอาใหม่ มีมติที่ 161-1 ยืนยัน มติเดิม ให้อิสราเอลคืนพื้นที่ให้แก่ซีเรีย และให้กฏหมายที่อิสราเอลออกใช้บังคับ เมื่อปี ค.ศ.1981 นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และให้อิสราเอล ทำการปรับพื้นที่บนที่ราบสูงโกลาน กลับสู่สภาพเดิมทั้งหมด และยุติการครอบครอง การก่อสร้าง และยุติการบังคับให้ชาวซีเรียที่อยู่ในพื้นราบสูงโกลาน มาถือสัญชาติและใช้บัตรประจำตัวของอิสราเอลอีกด้วย โห…สั่งได้เข้ม เห็นภาพเลยว่า ชาวซีเรียนี่โดนข่มขืนย่ำยีใน ศักดิ์ศรี ของความเป็นชาติของเขามานานแล้วนะ แล้วเราเคยรู้เรื่องนี้กันไหมครับ ไม่รู้แน่นอน เพราะสื่อกระป๋องสีไม่ว่ายี่ห้อไหน จะออกข่าวแต่เรื่องอัสสาดเป็นเผด็จการ ตามใบสั่งเท่านั้น แล้วตกลงมติเข้มของสหประชาชาติได้ผลไหม มีใครทำอะไรอิสราเอลได้ไหม ไม่น่าถาม ไม่มีครับ ใครจะกล้า ลูกพี่ใหญ่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลัง เห็นความเป็นธรรมชัดเจนจัง แบบนี้ยังมาพล่ามเรื่อง ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน ถุด…เดี๋ยวรื้อเรื่องเขาพระวิหารมาเล่นใหม่เสียหรอก ตกลงเห็นหน้าเห็นตัวกันแล้วนะครับว่า ใครเป็นเจ้าของตัวจริงของที่ราบสูง โกลาน ที่เพิ่งมีการเจอแหล่งน้ำมันมหึมา ไม่ใช่ไอ้ตัวที่ไปงาบเขามา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 และแม้สหประชาชาติ จะมีมติให้อิสราเอลคืนที่ราบสูงโกลาน ให้กับซีเรีย นอกจากอิสราเอลจะไม่สนใจแล้ว อิสราเอลยังเดินหน้ามอบสัมปทานบนพื้นที่ดังกล่าวให้บริษัท จีนนี่ อีกด้วย แน่จริงๆ แต่ที่แน่กว่านั้น มันเป็นการให้สัมปทานในปี ค.ศ.2013 ในช่วงเวลาที่ซีเรียกำลังถูกรุมกินโต๊ะ และหนึ่งในผู้รุมกินก็คือ อิสราเอล มันเป็นการวางจังหวะ การรุมกินโต๊ะ และการให้สัมปทาน ที่ได้เวลาอย่างที่อัสสาดไม่มีทางประท้วง หรือต่อสู้อะไรเลย เพราะตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดอยู่แล้ว คนวางแผนรายการนี้ ฝีมือร้ายกาจมาก สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • Flock และ Cyble ใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” เป็นอาวุธเพื่อปิดปากนักวิจารณ์

    ในเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหาความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยี Cyble Inc. ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ “Disrupt Cybercrime” ได้ยื่นรายงานเท็จต่อ Cloudflare เพื่อให้ลบเว็บไซต์ HaveIBeenFlocked ออกจากอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่ามีการ “ฟิชชิง” และ “ละเมิดเครื่องหมายการค้า” ทั้งที่เนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นเพียงการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวังของ Flock

    รายงานที่ Cyble ส่งไปเต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจน ตั้งแต่การกล่าวหาว่าเว็บไซต์เป็นของปลอม ไปจนถึงการอ้างว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ “ได้มาจาก Flock” ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นบันทึกสาธารณะอยู่แล้ว ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่าการกล่าวหาแบบหว่านแหเช่นนี้อาจเป็นความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์มากกว่าจะเป็นการป้องกันภัยไซเบอร์จริงๆ

    Cloudflare เองตอบกลับด้วยคำขอให้แสดงหลักฐานว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสาธารณะหรือได้รับความยินยอม ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิงเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเว็บไซต์ได้ย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare และยังคงเผยแพร่ข้อมูลต่อไป โดยผู้เขียนย้ำว่าจะไม่ยอมให้การคุกคามเช่นนี้หยุดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบริษัทเอกชน

    เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก: บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบเฝ้าระวังพยายามใช้กฎหมายไซเบอร์หรือข้อกล่าวหาเท็จเพื่อปิดกั้นการตรวจสอบสาธารณะ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรตรวจสอบหลายแห่งจับตามองอย่างใกล้ชิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cyble ส่งรายงานเท็จเพื่อให้ลบเว็บไซต์ออกจากอินเทอร์เน็ต
    กล่าวหาว่าเว็บไซต์ฟิชชิงและละเมิดเครื่องหมายการค้า
    ข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกับเนื้อหาจริงบนเว็บไซต์

    เป้าหมายคือการปิดปากผู้วิจารณ์ Flock
    เว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวัง
    การกล่าวหาอาจเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากการตรวจสอบ

    Cloudflare ขอหลักฐานเพิ่มเติมแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
    คำถามของ Cloudflare ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิง
    เว็บไซต์จึงย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare

    ความเสี่ยงต่อเสรีภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐและบริษัทเทคโนโลยี
    การใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” แบบผิดๆ อาจกลายเป็นเครื่องมือปิดปากสาธารณะ
    แนวโน้มนี้อาจขยายไปสู่การคุกคามผู้สื่อข่าว นักวิจัย และนักสิทธิมนุษยชน

    ผลกระทบต่อความโปร่งใสของระบบเฝ้าระวัง
    หากบริษัทสามารถปิดกั้นข้อมูลได้ง่าย ความรับผิดชอบต่อสังคมจะลดลง
    สังคมอาจไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐหรือเอกชนได้

    https://haveibeenflocked.com/news/cyble-downtime
    🛡️ Flock และ Cyble ใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” เป็นอาวุธเพื่อปิดปากนักวิจารณ์ ในเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหาความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยี Cyble Inc. ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ “Disrupt Cybercrime” ได้ยื่นรายงานเท็จต่อ Cloudflare เพื่อให้ลบเว็บไซต์ HaveIBeenFlocked ออกจากอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่ามีการ “ฟิชชิง” และ “ละเมิดเครื่องหมายการค้า” ทั้งที่เนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นเพียงการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวังของ Flock รายงานที่ Cyble ส่งไปเต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจน ตั้งแต่การกล่าวหาว่าเว็บไซต์เป็นของปลอม ไปจนถึงการอ้างว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ “ได้มาจาก Flock” ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นบันทึกสาธารณะอยู่แล้ว ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่าการกล่าวหาแบบหว่านแหเช่นนี้อาจเป็นความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์มากกว่าจะเป็นการป้องกันภัยไซเบอร์จริงๆ Cloudflare เองตอบกลับด้วยคำขอให้แสดงหลักฐานว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสาธารณะหรือได้รับความยินยอม ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิงเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเว็บไซต์ได้ย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare และยังคงเผยแพร่ข้อมูลต่อไป โดยผู้เขียนย้ำว่าจะไม่ยอมให้การคุกคามเช่นนี้หยุดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบริษัทเอกชน เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก: บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบเฝ้าระวังพยายามใช้กฎหมายไซเบอร์หรือข้อกล่าวหาเท็จเพื่อปิดกั้นการตรวจสอบสาธารณะ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรตรวจสอบหลายแห่งจับตามองอย่างใกล้ชิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cyble ส่งรายงานเท็จเพื่อให้ลบเว็บไซต์ออกจากอินเทอร์เน็ต ➡️ กล่าวหาว่าเว็บไซต์ฟิชชิงและละเมิดเครื่องหมายการค้า ➡️ ข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกับเนื้อหาจริงบนเว็บไซต์ ✅ เป้าหมายคือการปิดปากผู้วิจารณ์ Flock ➡️ เว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวัง ➡️ การกล่าวหาอาจเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากการตรวจสอบ ✅ Cloudflare ขอหลักฐานเพิ่มเติมแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง ➡️ คำถามของ Cloudflare ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิง ➡️ เว็บไซต์จึงย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare ‼️ ความเสี่ยงต่อเสรีภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐและบริษัทเทคโนโลยี ⛔ การใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” แบบผิดๆ อาจกลายเป็นเครื่องมือปิดปากสาธารณะ ⛔ แนวโน้มนี้อาจขยายไปสู่การคุกคามผู้สื่อข่าว นักวิจัย และนักสิทธิมนุษยชน ‼️ ผลกระทบต่อความโปร่งใสของระบบเฝ้าระวัง ⛔ หากบริษัทสามารถปิดกั้นข้อมูลได้ง่าย ความรับผิดชอบต่อสังคมจะลดลง ⛔ สังคมอาจไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐหรือเอกชนได้ https://haveibeenflocked.com/news/cyble-downtime
    HAVEIBEENFLOCKED.COM
    Have I Been Flocked? - License Plate Privacy Check
    Check if your license plate has been searched in the Flock mass surveillance database
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.48

    อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามอนุสัญญาออตตาวา ถือเป็นหลักหมุดหมายสำคัญในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เปลี่ยนผ่านจากการควบคุมอาวุธแบบดั้งเดิมไปสู่การคุ้มครองสิทธิทางมนุษยธรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีแก่นแท้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการยุติความเสียหายที่มิอาจเลือกปฏิบัติได้ระหว่างพลเรือนและคู่สงคราม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในเรื่องความจำเป็นทางการทหารและการแบ่งแยกกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน พันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญานี้กำหนดให้รัฐภาคีต้องยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมทั้งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการทำลายคลังแสงทุ่นระเบิดในครอบครองภายในระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญที่สุดคือภาระหน้าที่ตามมาตราที่ห้าในการสำรวจและกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดให้เสร็จสิ้นเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชน ในบริบทของพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชาซึ่งเคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอดีต การปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำลายอาวุธ แต่คือการแสดงเจตจำนงทางกฎหมายที่ต้องการเยียวยาผลกระทบจากสงครามอย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารและนักทำลายล้างวัตถุระเบิดในการตรวจค้นและกวาดล้างทุ่นระเบิดถือเป็นภารกิจที่มีฐานอำนาจรองรับจากกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในมิติใหม่ที่ไม่ใช่การสะสมอาวุธแต่คือการสร้างความปลอดภัยให้แก่พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างปกติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้อนุสัญญายังเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นมิติทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐภาคีในการกำจัดภัยคุกคามที่ตกค้างจากความขัดแย้งในอดีตให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่ทับซ้อนและแนวพรมแดนอย่างถาวร

    บทสรุปความสำเร็จของอนุสัญญาออตตาวาจึงมิได้วัดเพียงจำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกขุดขึ้นมาทำลายลงไปเท่านั้น แต่คือการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่กลายเป็นกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐส่วนใหญ่ทั่วโลกในการปฏิเสธการใช้อาวุธที่มีลักษณะโหดร้ายและส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าความจำเป็นทางการทหาร การรักษาความร่วมมือระหว่างประเทศในการกวาดล้างทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชาโดยกำลังพลทหารที่มีความเชี่ยวชาญคือการตอกย้ำว่ากฎหมายสามารถเปลี่ยนสนามรบในอดีตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาและสันติภาพได้ และเป็นการยืนยันว่าสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ย่อมอยู่เหนือยุทธศาสตร์ทางการทหารใดๆ ทั้งสิ้น การก้าวไปสู่โลกที่ไร้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจึงเป็นพันธกิจทางกฎหมายและมนุษยธรรมที่สำคัญยิ่งซึ่งมวลมนุษยชาติจะต้องร่วมกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฉบับนี้ไว้เพื่อส่งต่อพื้นดินที่ปลอดภัยให้แก่คนรุ่นหลังสืบไป
    บทความกฎหมาย EP.48 อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามอนุสัญญาออตตาวา ถือเป็นหลักหมุดหมายสำคัญในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เปลี่ยนผ่านจากการควบคุมอาวุธแบบดั้งเดิมไปสู่การคุ้มครองสิทธิทางมนุษยธรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีแก่นแท้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการยุติความเสียหายที่มิอาจเลือกปฏิบัติได้ระหว่างพลเรือนและคู่สงคราม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในเรื่องความจำเป็นทางการทหารและการแบ่งแยกกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน พันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญานี้กำหนดให้รัฐภาคีต้องยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมทั้งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการทำลายคลังแสงทุ่นระเบิดในครอบครองภายในระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญที่สุดคือภาระหน้าที่ตามมาตราที่ห้าในการสำรวจและกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดให้เสร็จสิ้นเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชน ในบริบทของพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชาซึ่งเคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอดีต การปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำลายอาวุธ แต่คือการแสดงเจตจำนงทางกฎหมายที่ต้องการเยียวยาผลกระทบจากสงครามอย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารและนักทำลายล้างวัตถุระเบิดในการตรวจค้นและกวาดล้างทุ่นระเบิดถือเป็นภารกิจที่มีฐานอำนาจรองรับจากกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในมิติใหม่ที่ไม่ใช่การสะสมอาวุธแต่คือการสร้างความปลอดภัยให้แก่พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างปกติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้อนุสัญญายังเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นมิติทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐภาคีในการกำจัดภัยคุกคามที่ตกค้างจากความขัดแย้งในอดีตให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่ทับซ้อนและแนวพรมแดนอย่างถาวร บทสรุปความสำเร็จของอนุสัญญาออตตาวาจึงมิได้วัดเพียงจำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกขุดขึ้นมาทำลายลงไปเท่านั้น แต่คือการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่กลายเป็นกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐส่วนใหญ่ทั่วโลกในการปฏิเสธการใช้อาวุธที่มีลักษณะโหดร้ายและส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าความจำเป็นทางการทหาร การรักษาความร่วมมือระหว่างประเทศในการกวาดล้างทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชาโดยกำลังพลทหารที่มีความเชี่ยวชาญคือการตอกย้ำว่ากฎหมายสามารถเปลี่ยนสนามรบในอดีตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาและสันติภาพได้ และเป็นการยืนยันว่าสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ย่อมอยู่เหนือยุทธศาสตร์ทางการทหารใดๆ ทั้งสิ้น การก้าวไปสู่โลกที่ไร้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจึงเป็นพันธกิจทางกฎหมายและมนุษยธรรมที่สำคัญยิ่งซึ่งมวลมนุษยชาติจะต้องร่วมกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฉบับนี้ไว้เพื่อส่งต่อพื้นดินที่ปลอดภัยให้แก่คนรุ่นหลังสืบไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนสุดท้าย 1

    “ข่าวลือ ข่าวลวง’
    ตอนสุดท้าย ( มี 5 ตอน)
    ตอนสุดท้าย 1
    ตกลงข่าวเรื่องกษัตริย์ซาลมานป่วยหนัก รวมทั้งข่าวปฏิวัติในซาอุดิอารเบีย ที่ออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ มันเป็นข่าวลือ ข่าวลวง โดยใคร และ หวังผลอะไร
    ข่าวที่ว่ากษัตริย์ป่วยหนัก ถึงขนาดไม่รู้ตัว ความจำเสื่อม ทำร้ายตัวเอง จนต้องเอาเข้าไปรักษาตัวในโรง พยาบาล น่าจะเป็นข่าวลือแบบโคมลอย จากผู้ที่ไม่ประสงค์ดี ต่อทั้งตัวกษัตริย์เอง ราชวงศ์ และประเทศซาอุดิอารเบีย เพราะจริงๆแล้ว เมื่อ 2 วันนี้เอง มีข่าวว่ากษัตริย์ซาลมานเพิ่งพูดโทรศัพท์กับคุณพี่ปูตินของรัสเซีย เกี่ยวกับเรื่องซีเรีย และอื่นๆ
    ใครล่ะ ที่จะได้ประโยชน์จากข่าวลือทำนองนี้ ก็เป็นได้ทั้งจากภายในซาอุเอง จากฝ่ายที่เสียประโยชน์เสียอำนาจ ที่มีตั้งแต่พวกราชวงศ์ด้วยกัน และ ไม่ใช่พวกราชวงศ์ แต่เคยมีอำนาจและเสียอำนาจ จากคำสั่งของกษัตริย์ซาลมาน ที่เปลี่ยนแปลงผู้มีหน้าที่สำคัญหลายคน ทั้งในเดือนมกราคม และเดือนเมษายน
    ส่วนจากภายนอกประเทศ อเมริกาคงไม่แคล้วตกเป็นจำเลย ตัวการให้ปล่อยข่าว เพราะสื่อที่ลงข่าวลือ รายแรกคืออิสราเอล ตามมาด้วยสื่อในตะวันออกกลางและสื่ออังกฤษ ก็เป็นพรรคพวกของของอเมริการะดับชั้นต่างๆ ทั้งนั้น
    ถ้าอเมริกาให้ปล่อยข่าวลือ หรือข่าวลวงนี้ แปลว่า อเมริกาต้องมีความไม่พอใจหรือ ต้องการกดดัน ซาอุดิอารเบีย ถ้าพิจารณาจาก บทความของคุณซีไอเอเขี้ยวยาวแล้ว คงพอเห็นอาการเฟืองขัดเกลียวบิ่น ระหว่างซาอุดิ อารเบียกับอเมริกา ค่อนข้างชัดเจน แม้คำชม หรือคำบอกเล่า ก็ยังมีการแฝงหลายนัย เกินกว่าที่จะแปลว่า เขารักกันจริง คงเป็นแค่ ยังทิ้งกันไม่ได้มากกว่า
    และถ้ามีความไม่พอใจ อเมริกาไม่พอใจซาอุดิอารเบีย เกี่ยวกับการเรื่องราชวงศ์ หรือไม่พอใจ ที่ซาอุดิอารเบีย ไปถล่มเยเมน หรืออเมริกาไม่พอใจ ทั้ง 2 เรื่อง
    คงต้องทำความเข้าใจ กับวิธีการคิดของอเมริกาเสียก่อน อเมริกาไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงในซาอุดิอารเบียว่า จะดีหรือไม่ดีกับซาอุดิอารเบียอย่างไร อเมริกามองกลับทางว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น กระทบกับผลประโยชน์ตัวเองหรือไม่ อย่างไร มากกว่า และด้วยความคิดอย่างนี้ อเมริกาจึงให้ความ “สนใจ” กับความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับราชวงศ์ ซาอุดิอารเบียในระดับสูงมาก เพราะราชวงศ์ซาอูด คือ “อำนาจ” ของซาอุดิอารเบีย และอเมริกา กับซาอุดิอารเบีย ก็มีเรื่องเกี่ยวพันกันมากมาย การเปลี่ยนแปลงของ “อำนาจ” ในซาอุดิอารเบีย จึงอาจจะกระทบกับอเมริกามาก มันไม่ใช่เรื่องอเมริกา ชอบ ไม่ชอบใคร
    จะว่าไป อเมริกาก็สนใจมองความเปลี่ยนแปลง ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “อำนาจ” ของทุกประเทศ ในวิธีคิดอย่างนี้แหละ สนใจมากน้อย ก็แล้วแต่ “ประโยชน์” ที่อเมริกาจะได้จะเสียในประเทศนั้น มีมากน้อยแค่ไหน และถ้าเราไม่ทำความเข้าใจในความคิดนี้ หรือ “สันดาน” ที่แท้จริงของอเมริกาว่าเป็นอย่างนี้ เราก็คงจะสับสน ไม่เข้าใจพฤติกรรมของอเมริกา และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ ถ้าเรื่องนั้นมาเกี่ยวกับบ้านเรา และเราสับสนในพฤติกรรมและสันดานของอเมริกาแล้ว เราก็ไม่แคล้ว ที่จะตกเป็นเหยื่อ หรือ ถูกใช้เป็นพรมเช็ดเท้าของอเมริกา อย่างที่เป็นๆกัน
    เริ่มที่ผู้ปกครองคนใหม่ของซาอุดิอารเบีย ไม่ว่าบทความจะเขียนโดยใคร จากถังขยะความคิด หรือหน่วยงานใดของรัฐบาลอเมริกัน สิ่งที่สรุปได้ คือ อเมริกาอยากรู้ว่า จะพูดกับคนที่มาใหม่รู้เรื่องไหม คนมาใหม่ เชื่อฟังอเมริกาแค่ไหน นโยบายใหม่ของคนใหม่ สอดคล้องกับความต้องการของอเมริกาไหม หรือเอาให้ชัดๆ อเมริกา จะ “สั่ง” หรือ “กำกับ” คนปกครองใหม่ ได้มากน้อยแค่ไหน
    เมื่อขึ้นครองราชย์ในเดือนมกราคม ต้นปี ค.ศ.2015 กษัตริย์ซาลมานอายุ 79 ปีแล้ว อเมริกาจึงมองไปที่มงกุฏราชกุมาร อันดับ 1 และอันดับ 2 กับตำแหน่งสำคัญๆ เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ที่คุมความมั่นคง และผู้ที่คุมนโยบายน้ำมันของซาอุดิอารเบีย เพราะตำแหน่งเหล่านี้ มีผลกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกา ทั้งในซาอุดิอารเบีย และในอเมริกาเองด้วย (หมายเหตุ: ตามธรรมเนียม กษัตริย์ซาอุดิอารเบียจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอง)
    สำหรับเจ้าชายมุคริน อายุ 70 ปี มงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 1 อเมริกาคุ้นเคยดี และเห็นว่า “คุย” กันได้ น่าจะมีแนวคิดปฏิรูป ตามที่อเมริกาต้องการ
    มงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 2 เจ้าชาย บิน นาเยฟ อายุ 55 ปี อเมริกาก็คุ้นเคยอีก แม้จะไม่ชอบพ่อ แต่คิดว่า คุยกับลูกได้
    รัฐมนตรีส่วนใหญ่ไม่มีเปลี่ยนแปลง มีเพียงด้านความมั่นคง ที่กษัตริย์ซาลมาน แต่งตั้งให้ลูกชาย คือ เจ้าชาย บิน ซาลมาน คุมด้านความมั่นคง อเมริกาบอก เป็นไก่อ่อน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อเมริกาก็ยังไม่ขยับอะไร เพราะอาจสั่งไก่อ่อนซ้ายหัน ขวาหันง่ายดี
    กษัตริย์ใหม่ครองราชย์ยังไม่ถึง 3 เดือนดี ปลายเดือนมีนาคม ค.ศ.2015 ซาอุดิอารเบีย ก็สั่งรวมพล พรรคพวก มีอียิปต์ มอรอคโค จอร์แดน อามิเรต คูเวต การ์ตา บาห์เรน รวมไปถึงซูดาน เพื่อโจมตีพวกฮูตติ ที่ยึดครองเยเมนได้ จากสงครามกลางเมืองในเยเมนที่ยืดเยื้อมาปีกว่า และไล่รัฐบาลเยเมน ที่ซาอุสนับสนุนกระเจิงออกไป
    ซาอุดิอารเบีย ยอมให้พวกฮูตติครอบครองเยเมนไม่ได้ เพราะพวกฮูตตินี้ ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่แข่งสำคัญของซาอุดิ และเยเมนก็อยู่ติดกับซาอุดิอารเบีย ขนาดมองเห็นขนจมูกกัน วันที่ 26 มีนาคม ซาอุอารเบีย จึงสั่งยิงจรวดใส่ฐานทัพอากาศของฮูตติ ที่เมือง Taiz และเมือง Sa’dah
    การยิงจรวดถล่มเยเมน รายการดังกล่าว อเมริการู้เรื่องดี เพราะเป็นคนให้ข้อมูลข่าวกรอง และบอกสภาพพื้นที่แก่ซาอุดิอารเบีย อย่างนี้น่าจะไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนเรื่องเป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องพูด เพราะพวกราชวงศ์ซาอูดบอกแล้วว่า ยังไม่อยากเป็นเหมือนควีนเอลิ ซาเบธของอังกฤษ รัฐธรรมนูญก็ยังไม่รู้จัก แต่ก็ไม่เป็นไร มีน้ำมันแยะแบบนี้ จะทำอะไรก็ได้ อเมริกาไม่สั่งคว่ำบาตร ไม่ตัดสัมพันธ์ ไม่เดินสายให้นานาชาติช่วยกันด่า แน่นอน รักกันฉิบหายเลย
    คุณทหารช่วยจำไว้นะครับ เคลื่อนทัพคราวหน้า อย่าทำแค่ปฏิวัติ ปิดช่องแคบมะละกามันด้วยเลย หมดเรื่อง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนสุดท้าย 1 “ข่าวลือ ข่าวลวง’ ตอนสุดท้าย ( มี 5 ตอน) ตอนสุดท้าย 1 ตกลงข่าวเรื่องกษัตริย์ซาลมานป่วยหนัก รวมทั้งข่าวปฏิวัติในซาอุดิอารเบีย ที่ออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ มันเป็นข่าวลือ ข่าวลวง โดยใคร และ หวังผลอะไร ข่าวที่ว่ากษัตริย์ป่วยหนัก ถึงขนาดไม่รู้ตัว ความจำเสื่อม ทำร้ายตัวเอง จนต้องเอาเข้าไปรักษาตัวในโรง พยาบาล น่าจะเป็นข่าวลือแบบโคมลอย จากผู้ที่ไม่ประสงค์ดี ต่อทั้งตัวกษัตริย์เอง ราชวงศ์ และประเทศซาอุดิอารเบีย เพราะจริงๆแล้ว เมื่อ 2 วันนี้เอง มีข่าวว่ากษัตริย์ซาลมานเพิ่งพูดโทรศัพท์กับคุณพี่ปูตินของรัสเซีย เกี่ยวกับเรื่องซีเรีย และอื่นๆ ใครล่ะ ที่จะได้ประโยชน์จากข่าวลือทำนองนี้ ก็เป็นได้ทั้งจากภายในซาอุเอง จากฝ่ายที่เสียประโยชน์เสียอำนาจ ที่มีตั้งแต่พวกราชวงศ์ด้วยกัน และ ไม่ใช่พวกราชวงศ์ แต่เคยมีอำนาจและเสียอำนาจ จากคำสั่งของกษัตริย์ซาลมาน ที่เปลี่ยนแปลงผู้มีหน้าที่สำคัญหลายคน ทั้งในเดือนมกราคม และเดือนเมษายน ส่วนจากภายนอกประเทศ อเมริกาคงไม่แคล้วตกเป็นจำเลย ตัวการให้ปล่อยข่าว เพราะสื่อที่ลงข่าวลือ รายแรกคืออิสราเอล ตามมาด้วยสื่อในตะวันออกกลางและสื่ออังกฤษ ก็เป็นพรรคพวกของของอเมริการะดับชั้นต่างๆ ทั้งนั้น ถ้าอเมริกาให้ปล่อยข่าวลือ หรือข่าวลวงนี้ แปลว่า อเมริกาต้องมีความไม่พอใจหรือ ต้องการกดดัน ซาอุดิอารเบีย ถ้าพิจารณาจาก บทความของคุณซีไอเอเขี้ยวยาวแล้ว คงพอเห็นอาการเฟืองขัดเกลียวบิ่น ระหว่างซาอุดิ อารเบียกับอเมริกา ค่อนข้างชัดเจน แม้คำชม หรือคำบอกเล่า ก็ยังมีการแฝงหลายนัย เกินกว่าที่จะแปลว่า เขารักกันจริง คงเป็นแค่ ยังทิ้งกันไม่ได้มากกว่า และถ้ามีความไม่พอใจ อเมริกาไม่พอใจซาอุดิอารเบีย เกี่ยวกับการเรื่องราชวงศ์ หรือไม่พอใจ ที่ซาอุดิอารเบีย ไปถล่มเยเมน หรืออเมริกาไม่พอใจ ทั้ง 2 เรื่อง คงต้องทำความเข้าใจ กับวิธีการคิดของอเมริกาเสียก่อน อเมริกาไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงในซาอุดิอารเบียว่า จะดีหรือไม่ดีกับซาอุดิอารเบียอย่างไร อเมริกามองกลับทางว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น กระทบกับผลประโยชน์ตัวเองหรือไม่ อย่างไร มากกว่า และด้วยความคิดอย่างนี้ อเมริกาจึงให้ความ “สนใจ” กับความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับราชวงศ์ ซาอุดิอารเบียในระดับสูงมาก เพราะราชวงศ์ซาอูด คือ “อำนาจ” ของซาอุดิอารเบีย และอเมริกา กับซาอุดิอารเบีย ก็มีเรื่องเกี่ยวพันกันมากมาย การเปลี่ยนแปลงของ “อำนาจ” ในซาอุดิอารเบีย จึงอาจจะกระทบกับอเมริกามาก มันไม่ใช่เรื่องอเมริกา ชอบ ไม่ชอบใคร จะว่าไป อเมริกาก็สนใจมองความเปลี่ยนแปลง ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “อำนาจ” ของทุกประเทศ ในวิธีคิดอย่างนี้แหละ สนใจมากน้อย ก็แล้วแต่ “ประโยชน์” ที่อเมริกาจะได้จะเสียในประเทศนั้น มีมากน้อยแค่ไหน และถ้าเราไม่ทำความเข้าใจในความคิดนี้ หรือ “สันดาน” ที่แท้จริงของอเมริกาว่าเป็นอย่างนี้ เราก็คงจะสับสน ไม่เข้าใจพฤติกรรมของอเมริกา และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ ถ้าเรื่องนั้นมาเกี่ยวกับบ้านเรา และเราสับสนในพฤติกรรมและสันดานของอเมริกาแล้ว เราก็ไม่แคล้ว ที่จะตกเป็นเหยื่อ หรือ ถูกใช้เป็นพรมเช็ดเท้าของอเมริกา อย่างที่เป็นๆกัน เริ่มที่ผู้ปกครองคนใหม่ของซาอุดิอารเบีย ไม่ว่าบทความจะเขียนโดยใคร จากถังขยะความคิด หรือหน่วยงานใดของรัฐบาลอเมริกัน สิ่งที่สรุปได้ คือ อเมริกาอยากรู้ว่า จะพูดกับคนที่มาใหม่รู้เรื่องไหม คนมาใหม่ เชื่อฟังอเมริกาแค่ไหน นโยบายใหม่ของคนใหม่ สอดคล้องกับความต้องการของอเมริกาไหม หรือเอาให้ชัดๆ อเมริกา จะ “สั่ง” หรือ “กำกับ” คนปกครองใหม่ ได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อขึ้นครองราชย์ในเดือนมกราคม ต้นปี ค.ศ.2015 กษัตริย์ซาลมานอายุ 79 ปีแล้ว อเมริกาจึงมองไปที่มงกุฏราชกุมาร อันดับ 1 และอันดับ 2 กับตำแหน่งสำคัญๆ เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ที่คุมความมั่นคง และผู้ที่คุมนโยบายน้ำมันของซาอุดิอารเบีย เพราะตำแหน่งเหล่านี้ มีผลกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกา ทั้งในซาอุดิอารเบีย และในอเมริกาเองด้วย (หมายเหตุ: ตามธรรมเนียม กษัตริย์ซาอุดิอารเบียจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอง) สำหรับเจ้าชายมุคริน อายุ 70 ปี มงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 1 อเมริกาคุ้นเคยดี และเห็นว่า “คุย” กันได้ น่าจะมีแนวคิดปฏิรูป ตามที่อเมริกาต้องการ มงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 2 เจ้าชาย บิน นาเยฟ อายุ 55 ปี อเมริกาก็คุ้นเคยอีก แม้จะไม่ชอบพ่อ แต่คิดว่า คุยกับลูกได้ รัฐมนตรีส่วนใหญ่ไม่มีเปลี่ยนแปลง มีเพียงด้านความมั่นคง ที่กษัตริย์ซาลมาน แต่งตั้งให้ลูกชาย คือ เจ้าชาย บิน ซาลมาน คุมด้านความมั่นคง อเมริกาบอก เป็นไก่อ่อน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อเมริกาก็ยังไม่ขยับอะไร เพราะอาจสั่งไก่อ่อนซ้ายหัน ขวาหันง่ายดี กษัตริย์ใหม่ครองราชย์ยังไม่ถึง 3 เดือนดี ปลายเดือนมีนาคม ค.ศ.2015 ซาอุดิอารเบีย ก็สั่งรวมพล พรรคพวก มีอียิปต์ มอรอคโค จอร์แดน อามิเรต คูเวต การ์ตา บาห์เรน รวมไปถึงซูดาน เพื่อโจมตีพวกฮูตติ ที่ยึดครองเยเมนได้ จากสงครามกลางเมืองในเยเมนที่ยืดเยื้อมาปีกว่า และไล่รัฐบาลเยเมน ที่ซาอุสนับสนุนกระเจิงออกไป ซาอุดิอารเบีย ยอมให้พวกฮูตติครอบครองเยเมนไม่ได้ เพราะพวกฮูตตินี้ ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่แข่งสำคัญของซาอุดิ และเยเมนก็อยู่ติดกับซาอุดิอารเบีย ขนาดมองเห็นขนจมูกกัน วันที่ 26 มีนาคม ซาอุอารเบีย จึงสั่งยิงจรวดใส่ฐานทัพอากาศของฮูตติ ที่เมือง Taiz และเมือง Sa’dah การยิงจรวดถล่มเยเมน รายการดังกล่าว อเมริการู้เรื่องดี เพราะเป็นคนให้ข้อมูลข่าวกรอง และบอกสภาพพื้นที่แก่ซาอุดิอารเบีย อย่างนี้น่าจะไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนเรื่องเป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องพูด เพราะพวกราชวงศ์ซาอูดบอกแล้วว่า ยังไม่อยากเป็นเหมือนควีนเอลิ ซาเบธของอังกฤษ รัฐธรรมนูญก็ยังไม่รู้จัก แต่ก็ไม่เป็นไร มีน้ำมันแยะแบบนี้ จะทำอะไรก็ได้ อเมริกาไม่สั่งคว่ำบาตร ไม่ตัดสัมพันธ์ ไม่เดินสายให้นานาชาติช่วยกันด่า แน่นอน รักกันฉิบหายเลย คุณทหารช่วยจำไว้นะครับ เคลื่อนทัพคราวหน้า อย่าทำแค่ปฏิวัติ ปิดช่องแคบมะละกามันด้วยเลย หมดเรื่อง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.47

    คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถือเป็นองค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศที่โดดเด่นและมีอำนาจหน้าที่สูงสุดในเชิงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงมวลมนุษยชาติภายใต้อาณัติของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญสูงสุดของประชาคมโลก ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งทำให้องค์กรนี้มีความพิเศษกว่าองค์กรอื่นในระบบสหประชาชาติคืออำนาจในการออกข้อมติที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐสมาชิกทั้งหมดตามมาตรายี่สิบห้าแห่งกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งระบุให้รัฐสมาชิกตกลงยอมรับและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง อันเป็นการโอนอ่อนอำนาจอธิปไตยบางส่วนในเชิงความมั่นคงมาไว้ที่การตัดสินใจร่วมกันในระดับพหุภาคีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นสงครามวงกว้าง โดยโครงสร้างทางกฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐมหาอำนาจที่มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรห้าประเทศกับสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งอีกสิบประเทศ แม้ว่าในเชิงนิติศาสตร์มักมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เท่าเทียมจากสิทธิยับยั้งหรือวีโต้ที่สมาชิกถาวรครอบครองอยู่แต่ในอีกมุมหนึ่งโครงสร้างนี้คือกลไกเชิงประจักษ์ที่รักษาเสถียรภาพระหว่างมหาอำนาจเพื่อไม่ให้ระบบกฎหมายโลกพังทลายลงเหมือนเช่นในอดีต

    กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของคณะมนตรีความมั่นคงนั้นดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในหมวดที่หกและหมวดที่เจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติโดยเริ่มต้นจากการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการสืบสวนและการประนีประนอมแต่หากสถานการณ์บานปลายจนกลายเป็นการคุกคามต่อสันติภาพหรือการกระทำอันเป็นการรุกรานคณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจตามหมวดที่เจ็ดในการใช้มาตรการบังคับซึ่งรวมถึงมาตรการที่มิใช่การใช้กำลังทางทหารเช่นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการจำกัดการคมนาคมขนส่งไปจนถึงมาตรการขั้นสูงสุดคือการอนุญาตให้ใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาสันติภาพกลับคืนมาการตัดสินใจเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตีความกฎหมายและการประเมินข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของรัฐอธิปไตยอย่างรุนแรงอำนาจหน้าที่เชิงนิติบัญญัติและนิติบริหารของคณะมนตรีความมั่นคงจึงถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกำหนดทิศทางของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดนิยามของการก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับร้ายแรงที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงสากล

    บทสรุปของบทบาทคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในมิติทางกฎหมายจึงมิได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมืองเท่านั้นแต่คือเสาหลักของการบังคับใช้ระเบียบโลกที่อาศัยหลักนิติธรรมเป็นเครื่องนำทางท่ามกลางความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันแม้ว่าความท้าทายใหม่ๆเช่นอาชญากรรมทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งในรูปแบบพันทางจะขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าที่ผู้ร่างกฎบัตรเมื่อแปดสิบปีก่อนจะคาดคิดแต่คณะมนตรีความมั่นคงยังคงต้องปรับตัวและตีความกฎหมายที่มีอยู่ให้สอดรับกับพลวัตของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าเจตนารมณ์สูงสุดในการพิทักษ์สันติภาพจะยังคงศักดิ์สิทธิ์และมีผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนสืบไปความสำเร็จขององค์กรนี้จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของรัฐสมาชิกในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายและการเคารพในมติที่ออกมาเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของมวลมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าของรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงลำพังอันจะเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในเวทีโลกอย่างแท้จริง
    บทความกฎหมาย EP.47 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถือเป็นองค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศที่โดดเด่นและมีอำนาจหน้าที่สูงสุดในเชิงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงมวลมนุษยชาติภายใต้อาณัติของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญสูงสุดของประชาคมโลก ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งทำให้องค์กรนี้มีความพิเศษกว่าองค์กรอื่นในระบบสหประชาชาติคืออำนาจในการออกข้อมติที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐสมาชิกทั้งหมดตามมาตรายี่สิบห้าแห่งกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งระบุให้รัฐสมาชิกตกลงยอมรับและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง อันเป็นการโอนอ่อนอำนาจอธิปไตยบางส่วนในเชิงความมั่นคงมาไว้ที่การตัดสินใจร่วมกันในระดับพหุภาคีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นสงครามวงกว้าง โดยโครงสร้างทางกฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐมหาอำนาจที่มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรห้าประเทศกับสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งอีกสิบประเทศ แม้ว่าในเชิงนิติศาสตร์มักมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เท่าเทียมจากสิทธิยับยั้งหรือวีโต้ที่สมาชิกถาวรครอบครองอยู่แต่ในอีกมุมหนึ่งโครงสร้างนี้คือกลไกเชิงประจักษ์ที่รักษาเสถียรภาพระหว่างมหาอำนาจเพื่อไม่ให้ระบบกฎหมายโลกพังทลายลงเหมือนเช่นในอดีต กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของคณะมนตรีความมั่นคงนั้นดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในหมวดที่หกและหมวดที่เจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติโดยเริ่มต้นจากการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการสืบสวนและการประนีประนอมแต่หากสถานการณ์บานปลายจนกลายเป็นการคุกคามต่อสันติภาพหรือการกระทำอันเป็นการรุกรานคณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจตามหมวดที่เจ็ดในการใช้มาตรการบังคับซึ่งรวมถึงมาตรการที่มิใช่การใช้กำลังทางทหารเช่นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการจำกัดการคมนาคมขนส่งไปจนถึงมาตรการขั้นสูงสุดคือการอนุญาตให้ใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาสันติภาพกลับคืนมาการตัดสินใจเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตีความกฎหมายและการประเมินข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของรัฐอธิปไตยอย่างรุนแรงอำนาจหน้าที่เชิงนิติบัญญัติและนิติบริหารของคณะมนตรีความมั่นคงจึงถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกำหนดทิศทางของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดนิยามของการก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับร้ายแรงที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงสากล บทสรุปของบทบาทคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในมิติทางกฎหมายจึงมิได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมืองเท่านั้นแต่คือเสาหลักของการบังคับใช้ระเบียบโลกที่อาศัยหลักนิติธรรมเป็นเครื่องนำทางท่ามกลางความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันแม้ว่าความท้าทายใหม่ๆเช่นอาชญากรรมทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งในรูปแบบพันทางจะขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าที่ผู้ร่างกฎบัตรเมื่อแปดสิบปีก่อนจะคาดคิดแต่คณะมนตรีความมั่นคงยังคงต้องปรับตัวและตีความกฎหมายที่มีอยู่ให้สอดรับกับพลวัตของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าเจตนารมณ์สูงสุดในการพิทักษ์สันติภาพจะยังคงศักดิ์สิทธิ์และมีผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนสืบไปความสำเร็จขององค์กรนี้จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของรัฐสมาชิกในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายและการเคารพในมติที่ออกมาเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของมวลมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าของรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงลำพังอันจะเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในเวทีโลกอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพเรือเผยคลิปปฏิบัติการทหารนาวิกโยธินบุกยึดคืนพื้นที่บ้านหนองรี หรือบ้านสามหลัง จังหวัดตราด หลังขับไล่กำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากดินแดนไทยได้สำเร็จ และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่
    .
    ภายหลังการยึดพื้นที่ ทหารนาวิกโยธินได้ร่วมกันปักธงชาติไทย ร้องเพลงชาติ และกล่าวคำปฏิญาณปกป้องอธิปไตย สะท้อนภารกิจรักษาผืนแผ่นดินและความมั่นคงของชาติ
    .
    กองทัพเรือยืนยันการปฏิบัติการเป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน โดยบูรณาการกำลังร่วมกับกองทัพอากาศเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121638
    .
    #News1live #News1 #กองทัพเรือ #นาวิกโยธิน #บ้านสามหลัง #ตราด #อธิปไตยไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    กองทัพเรือเผยคลิปปฏิบัติการทหารนาวิกโยธินบุกยึดคืนพื้นที่บ้านหนองรี หรือบ้านสามหลัง จังหวัดตราด หลังขับไล่กำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากดินแดนไทยได้สำเร็จ และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ . ภายหลังการยึดพื้นที่ ทหารนาวิกโยธินได้ร่วมกันปักธงชาติไทย ร้องเพลงชาติ และกล่าวคำปฏิญาณปกป้องอธิปไตย สะท้อนภารกิจรักษาผืนแผ่นดินและความมั่นคงของชาติ . กองทัพเรือยืนยันการปฏิบัติการเป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน โดยบูรณาการกำลังร่วมกับกองทัพอากาศเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121638 . #News1live #News1 #กองทัพเรือ #นาวิกโยธิน #บ้านสามหลัง #ตราด #อธิปไตยไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพเรือยืนยัน หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด สามารถยึดพื้นที่บ้าน 3 หลัง จังหวัดตราด ได้สำเร็จ 100% หลังการปฏิบัติการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง โดยขณะนี้ธงชาติไทยได้ถูกปักและโบกสะบัดในพื้นที่อย่างชัดเจน
    .
    ขณะเดียวกัน กองทัพบกเปิดเผยภาพรวมผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน พบพื้นที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนตกแล้วรวม 105 จุด ครอบคลุมหลายจังหวัดชายแดน บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 27 หลัง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และกระทบสถานพยาบาล ศาสนสถาน และสถานศึกษา
    .
    ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ระบุว่า ได้จัดทำคำชี้แจงเหตุสู้รบถึง 16 ภาษา เพื่อสื่อสารกับนานาชาติ พร้อมย้ำว่าฝ่ายไทยจะรวบรวมหลักฐานการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกติกาสากล เพื่อนำเสนอในเวทีระหว่างประเทศต่อไป
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121539
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #นยตราด #กองทัพเรือ #กองทัพบก #ธงชาติไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    กองทัพเรือยืนยัน หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด สามารถยึดพื้นที่บ้าน 3 หลัง จังหวัดตราด ได้สำเร็จ 100% หลังการปฏิบัติการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง โดยขณะนี้ธงชาติไทยได้ถูกปักและโบกสะบัดในพื้นที่อย่างชัดเจน . ขณะเดียวกัน กองทัพบกเปิดเผยภาพรวมผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน พบพื้นที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนตกแล้วรวม 105 จุด ครอบคลุมหลายจังหวัดชายแดน บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 27 หลัง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และกระทบสถานพยาบาล ศาสนสถาน และสถานศึกษา . ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ระบุว่า ได้จัดทำคำชี้แจงเหตุสู้รบถึง 16 ภาษา เพื่อสื่อสารกับนานาชาติ พร้อมย้ำว่าฝ่ายไทยจะรวบรวมหลักฐานการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกติกาสากล เพื่อนำเสนอในเวทีระหว่างประเทศต่อไป . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121539 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #นยตราด #กองทัพเรือ #กองทัพบก #ธงชาติไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยังปากกล้า! รมต.เขมรออกมาดูแคลนกองทัพไทย อ้างหากไม่มีเครื่องบินรบ กองทัพไทยไม่ใช่คู่ต่อกรของทหารกัมพูชา
    .
    เขียว รามี รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีการปฏิบัติการของไทย พร้อมยกย่องความกล้าหาญของทหารกัมพูชา และอ้างว่ากองทัพไทยจะยอมจำนน หากไม่ได้ใช้เครื่องบินขับไล่สนับสนุน
    .
    รมต.เขมรยังกล่าวหาว่า ไทยขาดประสบการณ์การทำสงคราม และจะเกิดความแตกแยกภายใน พร้อมปลุกระดมให้ทหารกัมพูชาเดินหน้าสู้ต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนที่ยังตึงเครียด
    .
    ขณะเดียวกัน สื่อกัมพูชาบางสำนักยังเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวหาไทยใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120788
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวต่างประเทศ #สงครามข้อมูลข่าวสาร
    ยังปากกล้า! รมต.เขมรออกมาดูแคลนกองทัพไทย อ้างหากไม่มีเครื่องบินรบ กองทัพไทยไม่ใช่คู่ต่อกรของทหารกัมพูชา . เขียว รามี รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีการปฏิบัติการของไทย พร้อมยกย่องความกล้าหาญของทหารกัมพูชา และอ้างว่ากองทัพไทยจะยอมจำนน หากไม่ได้ใช้เครื่องบินขับไล่สนับสนุน . รมต.เขมรยังกล่าวหาว่า ไทยขาดประสบการณ์การทำสงคราม และจะเกิดความแตกแยกภายใน พร้อมปลุกระดมให้ทหารกัมพูชาเดินหน้าสู้ต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนที่ยังตึงเครียด . ขณะเดียวกัน สื่อกัมพูชาบางสำนักยังเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวหาไทยใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120788 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวต่างประเทศ #สงครามข้อมูลข่าวสาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุน เซน ปฏิเสธข้อกล่าวหาจับคนไทยเป็นตัวประกัน ชี้เป็นการสั่งระงับการเดินทางข้ามแดนทางบกเท่านั้น อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยจากสถานการณ์สู้รบ พร้อมย้ำการเดินทางทางอากาศยังทำได้ตามปกติ แนะคนไทยออกจากกัมพูชาผ่านสนามบินพนมเปญหรือเสียมราฐ ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของพลเรือนเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120288
    .
    #News1live #News1 #ฮุนเซน #ด่านปอยเปต #ชายแดนไทยกัมพูชา #สิทธิมนุษยชน #อนุสัญญาเจนีวา
    ฮุน เซน ปฏิเสธข้อกล่าวหาจับคนไทยเป็นตัวประกัน ชี้เป็นการสั่งระงับการเดินทางข้ามแดนทางบกเท่านั้น อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยจากสถานการณ์สู้รบ พร้อมย้ำการเดินทางทางอากาศยังทำได้ตามปกติ แนะคนไทยออกจากกัมพูชาผ่านสนามบินพนมเปญหรือเสียมราฐ ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของพลเรือนเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120288 . #News1live #News1 #ฮุนเซน #ด่านปอยเปต #ชายแดนไทยกัมพูชา #สิทธิมนุษยชน #อนุสัญญาเจนีวา
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพบกชี้พฤติการณ์ฝ่ายกัมพูชากักกันคนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ และมีลักษณะใกล้เคียงการจับเป็นตัวประกัน เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และอาจผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยเดินทางกลับประเทศโดยเร็ว
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120270
    .
    #News1live #News1 #กองทัพบก #ด่านปอยเปต #สิทธิมนุษยชน #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    กองทัพบกชี้พฤติการณ์ฝ่ายกัมพูชากักกันคนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ และมีลักษณะใกล้เคียงการจับเป็นตัวประกัน เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และอาจผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยเดินทางกลับประเทศโดยเร็ว . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120270 . #News1live #News1 #กองทัพบก #ด่านปอยเปต #สิทธิมนุษยชน #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • กต.ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ฟ้องกัมพูชาใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือน พร้อมชี้ชัดละเมิดสิทธิ ห้ามต่างชาติและคนไทยเดินทางกลับประเทศทางบก ย้ำปฏิบัติการไทยมีเป้าหมายทางทหารชัด ไม่ยกระดับความรุนแรง
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120244
    .
    #News1live #News1 #กระทรวงการต่างประเทศ #ยูเอ็น #ชายแดนไทยกัมพูชา #ถล่มพลเรือน #ละเมิดสิทธิมนุษยชน #ทำลายให้สิ้น
    กต.ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ฟ้องกัมพูชาใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือน พร้อมชี้ชัดละเมิดสิทธิ ห้ามต่างชาติและคนไทยเดินทางกลับประเทศทางบก ย้ำปฏิบัติการไทยมีเป้าหมายทางทหารชัด ไม่ยกระดับความรุนแรง . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120244 . #News1live #News1 #กระทรวงการต่างประเทศ #ยูเอ็น #ชายแดนไทยกัมพูชา #ถล่มพลเรือน #ละเมิดสิทธิมนุษยชน #ทำลายให้สิ้น
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง

    Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน

    เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Apple ออกแพตช์เร่งด่วน
    แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174)

    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี

    ผู้ค้นพบ
    Google TAG และ Apple

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ
    iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย
    กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    🪱 Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Apple ออกแพตช์เร่งด่วน ➡️ แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174) ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี ✅ ผู้ค้นพบ ➡️ Google TAG และ Apple ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย ⛔ กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    SECURITYONLINE.INFO
    Urgent: Apple Patches Two Critical WebKit Zero-Days Under Active Exploitation Against High-Risk Targets
    Apple patched two critical zero-days in WebKit (UAF & Memory Corruption) under active exploitation in extremely sophisticated attacks against targeted individuals. Update iOS 26 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปิดโปงการใช้ Palantir ในปฏิบัติการ

    บทความนี้เปิดเผยว่าอิสราเอลมีการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่เกิดขึ้นในเลบานอน ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในปฏิบัติการทางทหารและความมั่นคง

    รายงานจากสำนักข่าวอิสระระบุว่าอิสราเอลได้ใช้แพลตฟอร์มของ Palantir Technologies ในการวิเคราะห์ข้อมูลและประสานงานการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่ถูกฝังระเบิดในเลบานอน เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจในระดับนานาชาติ เพราะ Palantir มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือด้านข่าวกรองและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่เครื่องมือที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีทางกายภาพ

    ผลกระทบต่อความมั่นคงและการเมือง
    การเปิดเผยดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีเอกชนในปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อพลเรือนและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าการใช้ซอฟต์แวร์ลักษณะนี้อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเลือนรางลง

    มุมมองจากนานาชาติ
    หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการด้านความมั่นคงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในปฏิบัติการดังกล่าว โดยมองว่าการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจเข้าข่ายละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อการใช้เทคโนโลยีในสงครามยุคใหม่

    ความหมายต่ออนาคตของเทคโนโลยีและสงคราม
    กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีข้อมูลและ AI ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการทางทหาร การขาดกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนอาจทำให้บริษัทเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในสงคราม ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงระดับโลกเกี่ยวกับจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี

    สรุปสาระสำคัญ
    อิสราเอลถูกเปิดโปงว่าใช้เทคโนโลยี Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ในเลบานอน
    Palantir เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางทหาร

    การเปิดเผยสร้างข้อถกเถียงเรื่องบทบาทบริษัทเทคโนโลยีเอกชน
    เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเริ่มไม่ชัดเจน

    องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีนี้
    อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตราย
    เสี่ยงต่อการนำเทคโนโลยีไปใช้ในสงครามโดยไม่มีกรอบกำกับดูแล

    หากไม่มีการควบคุม บริษัทเอกชนอาจมีบทบาทมากขึ้นในสงครามยุคใหม่
    อาจนำไปสู่การละเมิดจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี

    https://the307.substack.com/p/revealed-israel-used-palantir-technologies
    🔎 การเปิดโปงการใช้ Palantir ในปฏิบัติการ บทความนี้เปิดเผยว่าอิสราเอลมีการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่เกิดขึ้นในเลบานอน ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในปฏิบัติการทางทหารและความมั่นคง รายงานจากสำนักข่าวอิสระระบุว่าอิสราเอลได้ใช้แพลตฟอร์มของ Palantir Technologies ในการวิเคราะห์ข้อมูลและประสานงานการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่ถูกฝังระเบิดในเลบานอน เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจในระดับนานาชาติ เพราะ Palantir มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือด้านข่าวกรองและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่เครื่องมือที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีทางกายภาพ ⚔️ ผลกระทบต่อความมั่นคงและการเมือง การเปิดเผยดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีเอกชนในปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อพลเรือนและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าการใช้ซอฟต์แวร์ลักษณะนี้อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเลือนรางลง 🌐 มุมมองจากนานาชาติ หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการด้านความมั่นคงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในปฏิบัติการดังกล่าว โดยมองว่าการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจเข้าข่ายละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อการใช้เทคโนโลยีในสงครามยุคใหม่ 🧩 ความหมายต่ออนาคตของเทคโนโลยีและสงคราม กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีข้อมูลและ AI ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการทางทหาร การขาดกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนอาจทำให้บริษัทเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในสงคราม ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงระดับโลกเกี่ยวกับจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อิสราเอลถูกเปิดโปงว่าใช้เทคโนโลยี Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ในเลบานอน ➡️ Palantir เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางทหาร ✅ การเปิดเผยสร้างข้อถกเถียงเรื่องบทบาทบริษัทเทคโนโลยีเอกชน ➡️ เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเริ่มไม่ชัดเจน ✅ องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีนี้ ➡️ อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ‼️ การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตราย ⛔ เสี่ยงต่อการนำเทคโนโลยีไปใช้ในสงครามโดยไม่มีกรอบกำกับดูแล ‼️ หากไม่มีการควบคุม บริษัทเอกชนอาจมีบทบาทมากขึ้นในสงครามยุคใหม่ ⛔ อาจนำไปสู่การละเมิดจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี https://the307.substack.com/p/revealed-israel-used-palantir-technologies
    THE307.SUBSTACK.COM
    Revealed: Israel Used Palantir Technologies In Pager Terrorist Attack In Lebanon.
    A New Book Quietly Reveals That Israel Used Palantir In It's Terrorist Attack On Lebanon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ร้อง UN ทั่วโลก
    ส่วนนักสิทธิฯไทย ร้องป้องเขมร ร้องปล่อยตัวนักโทษ 112
    #7ดอกจิก
    นักสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ร้อง UN ทั่วโลก ส่วนนักสิทธิฯไทย ร้องป้องเขมร ร้องปล่อยตัวนักโทษ 112 #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 10
    ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย
    ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น
    ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ
    ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ
    ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด…
    เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง
    นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
    ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ
    สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง
    สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก
    แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า
    ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง
    ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน)
    นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว
    จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ
    สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย
    กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย
    นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย
    แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย
    ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์
    ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น…
    ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย
    อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา
    คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 10 ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด… เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน) นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์ ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น… ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 723 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple และ Tesla ถูกฟ้องเรื่องสิทธิมนุษยชน

    องค์กร International Rights Advocates ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ยื่นฟ้อง Apple และ Tesla ต่อศาล โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทใช้ การตลาดที่หลอกลวง อ้างว่าสินค้าของตนผลิตอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม แต่ในความจริงกลับพึ่งพาแร่ โคบอลต์และโคลแทน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานเด็ก การข่มขืน การทรมาน และการสังหาร

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
    รายงานระบุว่าการทำเหมืองในคองโกได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำและทะเลสาบ ทำลายแหล่งน้ำดื่มและเกษตรกรรม รวมถึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและความผิดปกติทางสุขภาพในชุมชน ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 และยังคงทำให้ผู้คนหลายล้านต้องพลัดถิ่น

    คำตอบจากบริษัท
    Apple ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า 99% ของโคบอลต์ในแบตเตอรี่ที่ออกแบบโดย Apple มาจากการรีไซเคิล และบริษัทได้สั่งให้ซัพพลายเออร์หยุดการจัดหาจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง Tesla ยังไม่ได้ให้คำตอบต่อสื่อ แต่ถูกกล่าวหาว่าใช้ซัพพลายเออร์เดียวกันกับ Apple ซึ่งมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    แม้บริษัทจะมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม แต่รายงานชี้ว่าการบังคับใช้ยังไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่แร่ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จะยังคงเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิและการทำลายสิ่งแวดล้อม หากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple และ Tesla ถูกฟ้องในสหรัฐฯ
    ข้อกล่าวหาว่าใช้การตลาดหลอกลวงเกี่ยวกับการผลิตที่ยั่งยืน

    การใช้แร่โคบอลต์และโคลแทนจากคองโก
    เชื่อมโยงกับแรงงานเด็ก การทรมาน และการสังหาร

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
    สารเคมีทำลายแหล่งน้ำและเกษตรกรรม ก่อโรคและความเสียหายต่อสุขภาพ

    คำเตือนและข้อกังวล
    ความขัดแย้งในคองโกคร่าชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996
    การตรวจสอบย้อนกลับของซัพพลายเชนยังไม่โปร่งใสและเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/apple-tesla-accused-of-profiting-from-horrific-abuses-environmental-destruction
    ⚖️ Apple และ Tesla ถูกฟ้องเรื่องสิทธิมนุษยชน องค์กร International Rights Advocates ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ยื่นฟ้อง Apple และ Tesla ต่อศาล โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทใช้ การตลาดที่หลอกลวง อ้างว่าสินค้าของตนผลิตอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม แต่ในความจริงกลับพึ่งพาแร่ โคบอลต์และโคลแทน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานเด็ก การข่มขืน การทรมาน และการสังหาร 🌍 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รายงานระบุว่าการทำเหมืองในคองโกได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำและทะเลสาบ ทำลายแหล่งน้ำดื่มและเกษตรกรรม รวมถึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและความผิดปกติทางสุขภาพในชุมชน ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 และยังคงทำให้ผู้คนหลายล้านต้องพลัดถิ่น 🛑 คำตอบจากบริษัท Apple ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า 99% ของโคบอลต์ในแบตเตอรี่ที่ออกแบบโดย Apple มาจากการรีไซเคิล และบริษัทได้สั่งให้ซัพพลายเออร์หยุดการจัดหาจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง Tesla ยังไม่ได้ให้คำตอบต่อสื่อ แต่ถูกกล่าวหาว่าใช้ซัพพลายเออร์เดียวกันกับ Apple ซึ่งมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ⚠️ ความเสี่ยงและข้อกังวล แม้บริษัทจะมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม แต่รายงานชี้ว่าการบังคับใช้ยังไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่แร่ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จะยังคงเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิและการทำลายสิ่งแวดล้อม หากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple และ Tesla ถูกฟ้องในสหรัฐฯ ➡️ ข้อกล่าวหาว่าใช้การตลาดหลอกลวงเกี่ยวกับการผลิตที่ยั่งยืน ✅ การใช้แร่โคบอลต์และโคลแทนจากคองโก ➡️ เชื่อมโยงกับแรงงานเด็ก การทรมาน และการสังหาร ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ➡️ สารเคมีทำลายแหล่งน้ำและเกษตรกรรม ก่อโรคและความเสียหายต่อสุขภาพ ‼️ คำเตือนและข้อกังวล ⛔ ความขัดแย้งในคองโกคร่าชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 ⛔ การตรวจสอบย้อนกลับของซัพพลายเชนยังไม่โปร่งใสและเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/apple-tesla-accused-of-profiting-from-horrific-abuses-environmental-destruction
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple, Tesla accused of profiting from horrific abuses, environmental destruction
    According to the filing, Apple's suppliers engage in forced and child labour, and beatings of workers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 2
    หลังจากพระเอกหนัง มาเดินตีหน้าเศร้าในซูดานใต้ไม่เท่าไหร CNN กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็เริ่มตีข่าวเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ที่ซูดานใต้
    ฝ่ายอเมริกาโดย คุณนาย Ellen Sauerbrey หัวหน้าฝ่ายศูนย์อพยพ และตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา
    ก็ออกมาบอกว่า นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่นานาชาติ และ องค์การสหประชาชาติต้องให้ความสนใจ
    แหม บทมันซ้ำจังคุณนาย ไอ้เรื่องอ้างสิทธิมนุษยชนนี่ ผมอยากจะอ้วก ท่านผู้อ่าน ก็คงเบื่อที่จะอ่านกัน ผมก็เบื่อที่จะเขียน แต่ช่วยทนอ่านนิทานเรื่องนี่หน่อยนะครับ อ่านแล้วจะได้รู้ว่า เรื่องไหนมันน่าสงสารจริง หรือเรื่องไหนมันน่าคลื่นไส้ น่าทุเรศ
    ปรากฏว่า คงเตี้ยมสหประชาชาติไม่ทัน ดันรีบตั้งคณะกรรมาธิการมาตรวจสอบเรื่องนี้ คณะตรวจสอบมี 5 คน มีผู้พิพากษา Antonio Cassese เป็นประธาน
    ซึ่งพิจารณาแล้วก็บอกว่า เรายังไม่เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เกิดขี้น ในดาร์ฟู แต่มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำร้ายกันรุนแรงเกิดขึ้น อ้าว
    อเมริกา จัดการประคองเอาตัว John Garang นักการเมืองชาวซูดานหัวรุนแรง ที่พยายามก่อกบฏกับรัฐบาลซูดานมานาน แต่ยังไปไม่ถึงไหน มารับการฝึกอบรมจากหน่วยรบพิเศษของอเมริกาที่ Fort Benning รัฐ Georgia
    หลังจากนั้น ก็เลื่อนชั้นให้เป็นผู้อำนวยการกองกำลังใหญ่ กลับมาให้การฝึกอบรมกับพรรคพวก ที่มีการจัดตั้งเตรียมพร้อมไว้ ให้เป็นกองทัพปลดปล่อยซูดาน ชื่อ Sudan Peoples’ Liberation Army
    โดยทางวอชิงตัน อำนวยการจัดทั้งคน จัดทั้งอาวุธ ให้เต็มอัตรา เพื่อจะให้ชาวซูดานตีกันสมใจ (อเมริกา)
    แล้วอเมริกาก็แยงซ้าย เสี้ยมขวา ในที่สุดชาวซูดานก็ทะเลาะกัน ตีกันจริง มีผู้บาดเจ็บล้มตายเรือนแสน และคนหลายล้านไม่มีที่อยู่
    ส่วนนาย Garang เมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ผลตามใบสั่ง อเมริกาก็ตกรางวัลให้เป็น รองประธานาธิบดี แต่ เป็นได้ไม่ถึงเดือน ขณะที่ Garang กำลังเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์
    เครื่องก็ถลาร่อน แกว่งไปมา แล้วก็หล่นกระแทกพื้น และ Garang ก็ตายอยู่กับซากเฮลิคอปเตอร์ สงสัยเป็นรางวัลแบบมีวันหมดอายุ จะรับรางวัลอะไรกัน ก็ดูวันหมดอายุด้วย ไม่ใช่รับปุ๊บ ยังไม่ถึงเดือน หมดอายุเสียแล้ว
    ฝ่ายกบฏที่เมืองดาร์ฟูทางซูดานใต้ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Justice for Equality Movement (JEM) ส่วนอีกกลุ่มใหญ่กว่าคือ Sudan Liberation Army (SLA) ของ Garang ทั้ง 2 กลุ่ม มีเป้าหมายที่จะขับไล่รัฐบาลซูดานที่กำลังสร้างมิตรภาพกับจีน
    และทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านกำลัง และอาวุธจากอเมริกา เพื่อความรอบคอบ อเมริกาซื้อไพ่ทุกใบอย่างเคยๆ
    เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2006 สภาสูงของอเมริกา ลงมติให้ (อเมริกาสั่ง) นาโต้ ส่งกองกำลังเข้ามาดูแลดาร์ฟู และให้สหประชาชาติ ส่งหน่วยรักษาสันติภาพมาประจำดาร์ฟูด้วย จริงๆก็ให้มาทำอะไรก็ได้ ที่จะเป็นการขัดขวาง ไม่ให้การเข้ามาลงทุน การสำรวจ และ ซื้อน้ำมันในดาร์ฟูของจีน ประสพผลสำเร็จนั่นแหละ
    จะเล่นแต่ที่ซูดาน กลัวจะขวางจีนไม่อยู่ อเมริกาลงทุน “สนับสนุน” Idriss Deby ประธานาธิบดีของชาด Chad ให้เป็นผู้รับผิดชอบส่งกองกำลังจากชาด เข้าไปในซูดานอีกทาง กองกำลังพวกนี้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี Deby เอง ที่ได้รับการฝึกอบรมจากอเมริกา (เหมือนกัน) กองกำลังที่ส่งไปส่วนใหญ่ เป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในซูดาน พวกนี้เข้าไปดาร์ฟูพร้อมกับอาวุธหนักเบา ที่ได้รับอภินันทนาการจากอเมริกา และด้วยกองกำลังจากชาด รวมทั้งกองกำลังจากยูกันดา เอธิโอเปีย ที่ได้ใบสั่งจาก อเมริกา เข้าตีกระนาบ 3 ด้านใส่ดาร์ฟู ไม่นาน ดาร์ฟูก็กลายเป็นแผ่นดินเดือด ชาวซูดานตายเกลื่อน
    นาย Keith Harmon Snow นักวิจัยเกี่ยวกับอาฟริกา เขียนสรุปเหตุการณ์ที่ซูดานไว้ว่า ขณะที่กองทหารของอเมริกาและนาโต้เข้าไปประจำการณ์อยู่ที่ดาร์ฟู โดยอ้างว่าเพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบในภูมิภาคนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งอเมริกาและนาโต้ ไปให้การสนับสนุนกับกองกำลังร่วมของอาฟริกามากกว่า
    โดยนาโต้รับหน้าที่ดูแลด้านภาคพื้นดิน และการโจมตีทางอากาศ ซูดานจึงอยู่ในสภาวะสงครามจากศึกนอก โดยการยกกำลังมารบ ของเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ ชาด ยูกานดา และเอธิโอเปีย ที่มีอเมริกา และนาโต้สนับสนุน
    นอกจากนี้ ซูดานยังต้องต่อสู้กับศึกในที่เป็นพวกกบฏ ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุน เช่นเดียวกันทั้งด้านอาวุธ และคนที่เป็นกองกำลังนอกระบบแบบพวกน้ำดำ Black Water ที่โด่งดังก็มาร่วมด้วย ช่วยกระหน่ำอีกด้วย
    สรุปว่า ซูดานถูกรุมกินโต๊ะจากเพื่อนบ้าน 3 ทาง ที่อเมริกาทั้งยุแยง และ สนับสนุน รวมทั้งกลุ่มกบฏอีก 2 กลุ่ม ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุนอีกเช่นกัน เพราะ ซูดานมีแหล่งน้ำมันใหญ่ และไปตกลงร่วมทุนและขายน้ำมันให้กับกับจีน
    แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้แน่ใจว่าจีนไม่กล้าเข้ามาแหยม อเมริกาถึงกับส่งกองทหารของตัวร่วมกับนาโต้ มาตีกันจีนอีกด้วย ทำไมไม่ขนมาทั้งประเทศเลยวะไอ้ใบตองแห้ง ผล ซูดาน ใกล้จะแตกเป็น 2 เสี่ยง 2 ประเทศ
    จีนทำอย่างไรหรือ เมื่อเจอกับดัก แผนชั่วขนาดนี้
    เดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 จีนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของชาดไปหารือกันที่จีน รื้อฟื้นสัมพันธไมตรีที่ถูกตัดขาดไป เมื่อปี ค.ศ.1997 ขึ้นมาใหม่ พร้อมทำสัญญาซื้อน้ำมันจากชาด ในเงื่อนไขที่ชาดยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน และเป็นธรรมกว่าที่ค่ายอื่นเคยมาทำด้วย
    ศึกซูดาน ด้านชาดจึงเบาลงไปบ้าง
    หลังจากนั้น เดือนธันวาคม ค.ศ.2006 จีนจัด African Summit เชิญ 40 ผู้นำจากอาฟริกามาประชุมแบบสุดยอด สุดหรู มีผู้นำจากอัลจีเรีย ไนจีเรีย มาลี แองโกลา อาฟริกากลาง แซมเบีย อาฟริกาใต้ รวมทั้งซูดาน เป็นต้น มาร่วมประชุม เสร็จการประชุม มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือสาระพัด ที่สำคัญ จีนแอบจับมือไนจีเรียมาเป็นพวก แถมเข้าไปถือหุ้นในแหล่งพลังงานนอกฝั่งของไนจีเรียอีกด้วย เรื่องนี้มีความหมายมาก เพราะไนจีเรีย อยู่ในอวยของนักล่าใบตองแห้งกับชาวเกาะใหญ่ โดย ExxonMobil, Shell, Chevron ต่างตีตั๋วจองเอาไว้แล้วทั้งนั้น อาเฮียกำลังลองของหรือไงครับ
    จีนเดินหน้าเอาเงินช่วยเหลือนำหน้า ให้อาฟริกาเอาไปพัฒนาประเทศ อาฟริกาซึ่งเคยแต่ถูกพวกนักล่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่เอาเปรียบ ขูดเลือดเถือเนื้อ เหลือแต่กระดูกก็คงต้องคิดหนัก รับจ้างเขาทำสงคราม แต่ประเทศจน และประชาชนอดตาย หรือจะค้าขายกับจีนแล้วประเทศมีกิน
    เฉพาะ ค.ศ.2006 ปีเดียว จีนตกลงให้เงินกู้กับไนจีเรีย แองโกลาและโมแซมบิก เป็นจำนวนรวมกันประมาณ 8 พันล้านเหรียญ ขณะที่ World Bank ให้เงินกู้กับกลุ่มประเทศในอาฟริกาทั้งหมด เพียง 2.3 พันล้าน
    เดือนมกราคม ค.ศ.2007 ประธานาธิบดีหูจินเทา เดินทางไปปลอบใจซูดานด้วยตนเอง ไม่รู้คุยอะไรกันบ้าง หลังจากนั้น คุณลุงหูก็บุกเข้าไปจับเข่ากับแคเมอรูน ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันต่อกับชาด ดาร์ฟูของซูดาน เป็นเสมือนข้อต่ออยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งมีชาด แคมมารูน อีกด้านหนึ่ง มีลิเบียกับ อียิปต์ จะเชื่อมต่อกัน ให้มันได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไหม หรือคิดแต่จะรบกัน ตามที่เขายุแยง ให้ฉิบหายและจนอยู่อย่างนี้
    นี่ผมเดาเอาว่า คุณลุงหู คงพูดแบบนี้ เพราะจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในบ้านใคร แม้จะเป็นคู่ค้า คู่ลงทุนรายใหญ่อย่างซูดาน และนั่นดูเหมือนจะทำให้จีน ยิ่งเดินเข้าไปยืน อยู่กลางกับดัก โดยไม่รู้ตัว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 2 หลังจากพระเอกหนัง มาเดินตีหน้าเศร้าในซูดานใต้ไม่เท่าไหร CNN กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็เริ่มตีข่าวเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ที่ซูดานใต้ ฝ่ายอเมริกาโดย คุณนาย Ellen Sauerbrey หัวหน้าฝ่ายศูนย์อพยพ และตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ก็ออกมาบอกว่า นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่นานาชาติ และ องค์การสหประชาชาติต้องให้ความสนใจ แหม บทมันซ้ำจังคุณนาย ไอ้เรื่องอ้างสิทธิมนุษยชนนี่ ผมอยากจะอ้วก ท่านผู้อ่าน ก็คงเบื่อที่จะอ่านกัน ผมก็เบื่อที่จะเขียน แต่ช่วยทนอ่านนิทานเรื่องนี่หน่อยนะครับ อ่านแล้วจะได้รู้ว่า เรื่องไหนมันน่าสงสารจริง หรือเรื่องไหนมันน่าคลื่นไส้ น่าทุเรศ ปรากฏว่า คงเตี้ยมสหประชาชาติไม่ทัน ดันรีบตั้งคณะกรรมาธิการมาตรวจสอบเรื่องนี้ คณะตรวจสอบมี 5 คน มีผู้พิพากษา Antonio Cassese เป็นประธาน ซึ่งพิจารณาแล้วก็บอกว่า เรายังไม่เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เกิดขี้น ในดาร์ฟู แต่มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำร้ายกันรุนแรงเกิดขึ้น อ้าว อเมริกา จัดการประคองเอาตัว John Garang นักการเมืองชาวซูดานหัวรุนแรง ที่พยายามก่อกบฏกับรัฐบาลซูดานมานาน แต่ยังไปไม่ถึงไหน มารับการฝึกอบรมจากหน่วยรบพิเศษของอเมริกาที่ Fort Benning รัฐ Georgia หลังจากนั้น ก็เลื่อนชั้นให้เป็นผู้อำนวยการกองกำลังใหญ่ กลับมาให้การฝึกอบรมกับพรรคพวก ที่มีการจัดตั้งเตรียมพร้อมไว้ ให้เป็นกองทัพปลดปล่อยซูดาน ชื่อ Sudan Peoples’ Liberation Army โดยทางวอชิงตัน อำนวยการจัดทั้งคน จัดทั้งอาวุธ ให้เต็มอัตรา เพื่อจะให้ชาวซูดานตีกันสมใจ (อเมริกา) แล้วอเมริกาก็แยงซ้าย เสี้ยมขวา ในที่สุดชาวซูดานก็ทะเลาะกัน ตีกันจริง มีผู้บาดเจ็บล้มตายเรือนแสน และคนหลายล้านไม่มีที่อยู่ ส่วนนาย Garang เมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ผลตามใบสั่ง อเมริกาก็ตกรางวัลให้เป็น รองประธานาธิบดี แต่ เป็นได้ไม่ถึงเดือน ขณะที่ Garang กำลังเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ เครื่องก็ถลาร่อน แกว่งไปมา แล้วก็หล่นกระแทกพื้น และ Garang ก็ตายอยู่กับซากเฮลิคอปเตอร์ สงสัยเป็นรางวัลแบบมีวันหมดอายุ จะรับรางวัลอะไรกัน ก็ดูวันหมดอายุด้วย ไม่ใช่รับปุ๊บ ยังไม่ถึงเดือน หมดอายุเสียแล้ว ฝ่ายกบฏที่เมืองดาร์ฟูทางซูดานใต้ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Justice for Equality Movement (JEM) ส่วนอีกกลุ่มใหญ่กว่าคือ Sudan Liberation Army (SLA) ของ Garang ทั้ง 2 กลุ่ม มีเป้าหมายที่จะขับไล่รัฐบาลซูดานที่กำลังสร้างมิตรภาพกับจีน และทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านกำลัง และอาวุธจากอเมริกา เพื่อความรอบคอบ อเมริกาซื้อไพ่ทุกใบอย่างเคยๆ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2006 สภาสูงของอเมริกา ลงมติให้ (อเมริกาสั่ง) นาโต้ ส่งกองกำลังเข้ามาดูแลดาร์ฟู และให้สหประชาชาติ ส่งหน่วยรักษาสันติภาพมาประจำดาร์ฟูด้วย จริงๆก็ให้มาทำอะไรก็ได้ ที่จะเป็นการขัดขวาง ไม่ให้การเข้ามาลงทุน การสำรวจ และ ซื้อน้ำมันในดาร์ฟูของจีน ประสพผลสำเร็จนั่นแหละ จะเล่นแต่ที่ซูดาน กลัวจะขวางจีนไม่อยู่ อเมริกาลงทุน “สนับสนุน” Idriss Deby ประธานาธิบดีของชาด Chad ให้เป็นผู้รับผิดชอบส่งกองกำลังจากชาด เข้าไปในซูดานอีกทาง กองกำลังพวกนี้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี Deby เอง ที่ได้รับการฝึกอบรมจากอเมริกา (เหมือนกัน) กองกำลังที่ส่งไปส่วนใหญ่ เป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในซูดาน พวกนี้เข้าไปดาร์ฟูพร้อมกับอาวุธหนักเบา ที่ได้รับอภินันทนาการจากอเมริกา และด้วยกองกำลังจากชาด รวมทั้งกองกำลังจากยูกันดา เอธิโอเปีย ที่ได้ใบสั่งจาก อเมริกา เข้าตีกระนาบ 3 ด้านใส่ดาร์ฟู ไม่นาน ดาร์ฟูก็กลายเป็นแผ่นดินเดือด ชาวซูดานตายเกลื่อน นาย Keith Harmon Snow นักวิจัยเกี่ยวกับอาฟริกา เขียนสรุปเหตุการณ์ที่ซูดานไว้ว่า ขณะที่กองทหารของอเมริกาและนาโต้เข้าไปประจำการณ์อยู่ที่ดาร์ฟู โดยอ้างว่าเพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบในภูมิภาคนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งอเมริกาและนาโต้ ไปให้การสนับสนุนกับกองกำลังร่วมของอาฟริกามากกว่า โดยนาโต้รับหน้าที่ดูแลด้านภาคพื้นดิน และการโจมตีทางอากาศ ซูดานจึงอยู่ในสภาวะสงครามจากศึกนอก โดยการยกกำลังมารบ ของเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ ชาด ยูกานดา และเอธิโอเปีย ที่มีอเมริกา และนาโต้สนับสนุน นอกจากนี้ ซูดานยังต้องต่อสู้กับศึกในที่เป็นพวกกบฏ ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุน เช่นเดียวกันทั้งด้านอาวุธ และคนที่เป็นกองกำลังนอกระบบแบบพวกน้ำดำ Black Water ที่โด่งดังก็มาร่วมด้วย ช่วยกระหน่ำอีกด้วย สรุปว่า ซูดานถูกรุมกินโต๊ะจากเพื่อนบ้าน 3 ทาง ที่อเมริกาทั้งยุแยง และ สนับสนุน รวมทั้งกลุ่มกบฏอีก 2 กลุ่ม ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุนอีกเช่นกัน เพราะ ซูดานมีแหล่งน้ำมันใหญ่ และไปตกลงร่วมทุนและขายน้ำมันให้กับกับจีน แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้แน่ใจว่าจีนไม่กล้าเข้ามาแหยม อเมริกาถึงกับส่งกองทหารของตัวร่วมกับนาโต้ มาตีกันจีนอีกด้วย ทำไมไม่ขนมาทั้งประเทศเลยวะไอ้ใบตองแห้ง ผล ซูดาน ใกล้จะแตกเป็น 2 เสี่ยง 2 ประเทศ จีนทำอย่างไรหรือ เมื่อเจอกับดัก แผนชั่วขนาดนี้ เดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 จีนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของชาดไปหารือกันที่จีน รื้อฟื้นสัมพันธไมตรีที่ถูกตัดขาดไป เมื่อปี ค.ศ.1997 ขึ้นมาใหม่ พร้อมทำสัญญาซื้อน้ำมันจากชาด ในเงื่อนไขที่ชาดยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน และเป็นธรรมกว่าที่ค่ายอื่นเคยมาทำด้วย ศึกซูดาน ด้านชาดจึงเบาลงไปบ้าง หลังจากนั้น เดือนธันวาคม ค.ศ.2006 จีนจัด African Summit เชิญ 40 ผู้นำจากอาฟริกามาประชุมแบบสุดยอด สุดหรู มีผู้นำจากอัลจีเรีย ไนจีเรีย มาลี แองโกลา อาฟริกากลาง แซมเบีย อาฟริกาใต้ รวมทั้งซูดาน เป็นต้น มาร่วมประชุม เสร็จการประชุม มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือสาระพัด ที่สำคัญ จีนแอบจับมือไนจีเรียมาเป็นพวก แถมเข้าไปถือหุ้นในแหล่งพลังงานนอกฝั่งของไนจีเรียอีกด้วย เรื่องนี้มีความหมายมาก เพราะไนจีเรีย อยู่ในอวยของนักล่าใบตองแห้งกับชาวเกาะใหญ่ โดย ExxonMobil, Shell, Chevron ต่างตีตั๋วจองเอาไว้แล้วทั้งนั้น อาเฮียกำลังลองของหรือไงครับ จีนเดินหน้าเอาเงินช่วยเหลือนำหน้า ให้อาฟริกาเอาไปพัฒนาประเทศ อาฟริกาซึ่งเคยแต่ถูกพวกนักล่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่เอาเปรียบ ขูดเลือดเถือเนื้อ เหลือแต่กระดูกก็คงต้องคิดหนัก รับจ้างเขาทำสงคราม แต่ประเทศจน และประชาชนอดตาย หรือจะค้าขายกับจีนแล้วประเทศมีกิน เฉพาะ ค.ศ.2006 ปีเดียว จีนตกลงให้เงินกู้กับไนจีเรีย แองโกลาและโมแซมบิก เป็นจำนวนรวมกันประมาณ 8 พันล้านเหรียญ ขณะที่ World Bank ให้เงินกู้กับกลุ่มประเทศในอาฟริกาทั้งหมด เพียง 2.3 พันล้าน เดือนมกราคม ค.ศ.2007 ประธานาธิบดีหูจินเทา เดินทางไปปลอบใจซูดานด้วยตนเอง ไม่รู้คุยอะไรกันบ้าง หลังจากนั้น คุณลุงหูก็บุกเข้าไปจับเข่ากับแคเมอรูน ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันต่อกับชาด ดาร์ฟูของซูดาน เป็นเสมือนข้อต่ออยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งมีชาด แคมมารูน อีกด้านหนึ่ง มีลิเบียกับ อียิปต์ จะเชื่อมต่อกัน ให้มันได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไหม หรือคิดแต่จะรบกัน ตามที่เขายุแยง ให้ฉิบหายและจนอยู่อย่างนี้ นี่ผมเดาเอาว่า คุณลุงหู คงพูดแบบนี้ เพราะจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในบ้านใคร แม้จะเป็นคู่ค้า คู่ลงทุนรายใหญ่อย่างซูดาน และนั่นดูเหมือนจะทำให้จีน ยิ่งเดินเข้าไปยืน อยู่กลางกับดัก โดยไม่รู้ตัว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 620 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 881 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกม Flick Solitaire ถูกลบออกจาก Steam ในรัสเซีย

    Valve ถูกกล่าวหาว่าลบเกม Flick Solitaire ออกจาก Steam ในรัสเซียตามคำร้องของรัฐบาล เนื่องจากเกมมีเด็คไพ่ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ขณะที่ Apple และ Google ปฏิเสธคำร้องเดียวกัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มเกมระดับโลก

    รายงานระบุว่า Roskomnadzor หน่วยงานกำกับดูแลของรัสเซียได้ส่งคำร้องไปยัง Valve, Apple และ Google ให้ลบเกม Flick Solitaire ออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากมีเด็คไพ่ที่ “ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ” Valve ตอบสนองโดยลบเกมออกจาก Steam ในรัสเซีย แต่ Apple และ Google ปฏิเสธที่จะทำตาม ทำให้เกมยังคงมีให้ดาวน์โหลดใน App Store และ Google Play

    จุดยืนของผู้พัฒนา Flick Games
    Ian Masters ผู้ก่อตั้ง Flick Games ยืนยันว่าเกมของเขามีเด็คไพ่ที่สร้างโดยศิลปิน LGBTQ+ และไม่เคยเซ็นเซอร์เนื้อหาแม้ในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้าน LGBTQ+ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่ความตื่นตัวทางสังคม แต่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” พร้อมเน้นว่าการมีตัวตนของ LGBTQ+ ในเกมเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้เล่นในประเทศที่ยังมีการกีดกัน

    ผลกระทบต่อวงการเกมและเสรีภาพดิจิทัล
    กรณีนี้สะท้อนถึงความแตกต่างของแพลตฟอร์มระดับโลกในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาล การที่ Valveยอมทำตามคำร้องถูกมองว่าเป็นการ “บั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น” ขณะที่ Apple และ Google เลือกปกป้องเนื้อหาของผู้พัฒนา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกม ตามคำร้องของรัฐบาลรัสเซียในอดีต ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบของบริษัทต่อผู้เล่นทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์การลบเกม
    Roskomnadzor ร้องขอให้ Valve, Apple, Google ลบเกม Flick Solitaire
    Valve ทำตาม แต่ Apple และ Google ปฏิเสธ

    จุดยืนของผู้พัฒนา
    Ian Masters ยืนยันไม่เซ็นเซอร์เนื้อหา LGBTQ+
    มองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ “wokeness”

    ผลกระทบต่อวงการเกม
    Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกมตามคำร้องรัฐบาลรัสเซีย
    กรณีนี้สร้างคำถามเรื่องเสรีภาพและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การยอมตามแรงกดดันรัฐบาลอาจบั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น
    ความไม่โปร่งใสในการจัดการเนื้อหาอาจกระทบความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    https://wccftech.com/valve-accused-of-removing-games-from-steam-at-russia-request-flick-solitaire/
    🎮 เกม Flick Solitaire ถูกลบออกจาก Steam ในรัสเซีย Valve ถูกกล่าวหาว่าลบเกม Flick Solitaire ออกจาก Steam ในรัสเซียตามคำร้องของรัฐบาล เนื่องจากเกมมีเด็คไพ่ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ขณะที่ Apple และ Google ปฏิเสธคำร้องเดียวกัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มเกมระดับโลก รายงานระบุว่า Roskomnadzor หน่วยงานกำกับดูแลของรัสเซียได้ส่งคำร้องไปยัง Valve, Apple และ Google ให้ลบเกม Flick Solitaire ออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากมีเด็คไพ่ที่ “ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ” Valve ตอบสนองโดยลบเกมออกจาก Steam ในรัสเซีย แต่ Apple และ Google ปฏิเสธที่จะทำตาม ทำให้เกมยังคงมีให้ดาวน์โหลดใน App Store และ Google Play 🏳️‍🌈 จุดยืนของผู้พัฒนา Flick Games Ian Masters ผู้ก่อตั้ง Flick Games ยืนยันว่าเกมของเขามีเด็คไพ่ที่สร้างโดยศิลปิน LGBTQ+ และไม่เคยเซ็นเซอร์เนื้อหาแม้ในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้าน LGBTQ+ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่ความตื่นตัวทางสังคม แต่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” พร้อมเน้นว่าการมีตัวตนของ LGBTQ+ ในเกมเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้เล่นในประเทศที่ยังมีการกีดกัน 🌍 ผลกระทบต่อวงการเกมและเสรีภาพดิจิทัล กรณีนี้สะท้อนถึงความแตกต่างของแพลตฟอร์มระดับโลกในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาล การที่ Valveยอมทำตามคำร้องถูกมองว่าเป็นการ “บั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น” ขณะที่ Apple และ Google เลือกปกป้องเนื้อหาของผู้พัฒนา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกม ตามคำร้องของรัฐบาลรัสเซียในอดีต ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบของบริษัทต่อผู้เล่นทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์การลบเกม ➡️ Roskomnadzor ร้องขอให้ Valve, Apple, Google ลบเกม Flick Solitaire ➡️ Valve ทำตาม แต่ Apple และ Google ปฏิเสธ ✅ จุดยืนของผู้พัฒนา ➡️ Ian Masters ยืนยันไม่เซ็นเซอร์เนื้อหา LGBTQ+ ➡️ มองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ “wokeness” ✅ ผลกระทบต่อวงการเกม ➡️ Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกมตามคำร้องรัฐบาลรัสเซีย ➡️ กรณีนี้สร้างคำถามเรื่องเสรีภาพและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การยอมตามแรงกดดันรัฐบาลอาจบั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น ⛔ ความไม่โปร่งใสในการจัดการเนื้อหาอาจกระทบความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม https://wccftech.com/valve-accused-of-removing-games-from-steam-at-russia-request-flick-solitaire/
    WCCFTECH.COM
    Valve Has Been Accused of Removing a Solitaire Game with LGBTQ+ Card Decks From Steam In Russia At Government's Request
    Valve has been accused of removing a solitaire game from Steam in Russia at the request of the Russian government over its LGBTQ+ card decks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "EU เตรียมปรับกฎหมายดิจิทัล ลดการเด้ง Cookie Banner"

    สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาปรับปรุงกฎหมายดิจิทัล โดยเฉพาะ General Data Protection Regulation (GDPR) ที่บังคับให้เว็บไซต์ต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นที่มาของ cookie banner ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคุ้นเคยและมักรู้สึกว่ารบกวนการใช้งาน.

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนและภาระทางกฎหมาย โดยจะทำให้ cookie banner ปรากฏน้อยลง และผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าความยินยอมได้จาก ศูนย์กลางในเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ แทนที่จะต้องกดยอมรับทุกครั้งที่เข้าเว็บไซต์ใหม่.

    นอกจาก GDPR แล้ว ยังมีการปรับปรุงกฎหมายอื่น ๆ เช่น EU Data Act ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT และ AI Act ที่กำหนดข้อบังคับสำหรับระบบ AI อย่าง ChatGPT และ Gemini โดยคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้บางส่วนตั้งแต่สิงหาคมปีหน้า.

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิผู้บริโภค เช่น Amnesty International และสมาชิกสภายุโรปบางส่วน เตือนว่าการลดความเข้มงวดอาจเป็นการ “เปิดช่องให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ” และอาจทำให้สิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนใน EU อ่อนแอลง.

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลง GDPR
    ลดจำนวนครั้งที่ cookie banner ปรากฏ
    ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าความยินยอมผ่านเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ

    การปรับปรุงกฎหมายอื่น ๆ
    EU Data Act: เพิ่มสิทธิผู้ใช้ในการจัดการข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT
    AI Act: กำหนดข้อบังคับสำหรับระบบ AI เช่น ChatGPT และ Gemini

    เป้าหมายของ EU Commission
    ลดภาระทางกฎหมายและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล
    ปิดช่องว่างนวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพในยุโรป

    คำเตือนด้านสิทธิผู้บริโภค
    องค์กรสิทธิมนุษยชนเตือนว่าอาจทำให้สิทธิความเป็นส่วนตัวอ่อนแอลง

    คำเตือนด้านการกำกับดูแล
    การลดความเข้มงวดอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการละเมิดข้อมูลโดยบริษัทเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/039accept-all-cookies039-update-to-eu-digital-law-could-change-browsing
    🌐 หัวข้อข่าว: "EU เตรียมปรับกฎหมายดิจิทัล ลดการเด้ง Cookie Banner" สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาปรับปรุงกฎหมายดิจิทัล โดยเฉพาะ General Data Protection Regulation (GDPR) ที่บังคับให้เว็บไซต์ต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นที่มาของ cookie banner ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคุ้นเคยและมักรู้สึกว่ารบกวนการใช้งาน. การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนและภาระทางกฎหมาย โดยจะทำให้ cookie banner ปรากฏน้อยลง และผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าความยินยอมได้จาก ศูนย์กลางในเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ แทนที่จะต้องกดยอมรับทุกครั้งที่เข้าเว็บไซต์ใหม่. นอกจาก GDPR แล้ว ยังมีการปรับปรุงกฎหมายอื่น ๆ เช่น EU Data Act ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT และ AI Act ที่กำหนดข้อบังคับสำหรับระบบ AI อย่าง ChatGPT และ Gemini โดยคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้บางส่วนตั้งแต่สิงหาคมปีหน้า. อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิผู้บริโภค เช่น Amnesty International และสมาชิกสภายุโรปบางส่วน เตือนว่าการลดความเข้มงวดอาจเป็นการ “เปิดช่องให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ” และอาจทำให้สิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนใน EU อ่อนแอลง. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลง GDPR ➡️ ลดจำนวนครั้งที่ cookie banner ปรากฏ ➡️ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าความยินยอมผ่านเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ ✅ การปรับปรุงกฎหมายอื่น ๆ ➡️ EU Data Act: เพิ่มสิทธิผู้ใช้ในการจัดการข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT ➡️ AI Act: กำหนดข้อบังคับสำหรับระบบ AI เช่น ChatGPT และ Gemini ✅ เป้าหมายของ EU Commission ➡️ ลดภาระทางกฎหมายและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล ➡️ ปิดช่องว่างนวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพในยุโรป ‼️ คำเตือนด้านสิทธิผู้บริโภค ⛔ องค์กรสิทธิมนุษยชนเตือนว่าอาจทำให้สิทธิความเป็นส่วนตัวอ่อนแอลง ‼️ คำเตือนด้านการกำกับดูแล ⛔ การลดความเข้มงวดอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการละเมิดข้อมูลโดยบริษัทเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/039accept-all-cookies039-update-to-eu-digital-law-could-change-browsing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Accept all cookies?' Update to EU digital law could change browsing
    Now, in an attempt to cut red tape and simplify the experience of browsing the web, EU lawmakers want to significantly change the bloc's digital laws, considered among the world's strictest for data privacy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.31

    ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม

    ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.31 ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 707 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.30

    อำนาจหน้าที่ของตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายมิได้จำกัดอยู่เพียงการปรากฏกายในเครื่องแบบ แต่คือการเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการบังคับใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสาธารณชน บทบาทหลักของตำรวจจึงครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการกระทำผิดทางอาญา การป้องปรามมิให้เกิดความวุ่นวาย ไปจนถึงภารกิจอันละเอียดอ่อนของการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด การใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การเรียกตรวจสอบ การจับกุม หรือการควบคุมตัวชั่วคราว จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่จะทำให้อำนาจรัฐมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชน ในแง่ของการสืบสวน ตำรวจคือด่านแรกที่ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงให้แก่การพิจารณาคดีในชั้นอัยการและศาล การตัดสินใจทุกครั้ง ตั้งแต่การลงบันทึกประจำวันไปจนถึงการสรุปสำนวนคดี ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพและสิทธิของบุคคล รวมถึงความยุติธรรมที่สังคมคาดหวัง การเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายจึงหมายถึงการรับผิดชอบต่อการรักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างแท้จริง

    ภารกิจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของตำรวจเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์พื้นฐานของรัฐและประชาชน การป้องกันอาชญากรรมมิใช่เพียงการลาดตระเวนหรือการตั้งจุดตรวจ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์อาชญากรรมเชิงพื้นที่และเชิงสังคม การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อขจัดช่องโหว่และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการกระทำผิด สำหรับการสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญในการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การสอบปากคำ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงการกระทำผิดไปยังผู้ต้องหาได้อย่างปราศจากข้อสงสัย หน้าที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการลงโทษเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเป็นผู้ถืออำนาจตามกฎหมายที่ต้องใช้ดุลยพินิจภายใต้ความรับผิดชอบอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความซับซ้อนของอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ทั้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติ บทบาทของตำรวจจึงต้องพัฒนาตามทันเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

    ดังนั้น ตำรวจจึงเป็นมากกว่าผู้จับกุมหรือผู้สอบสวน แต่เป็นเสาหลักแห่งการบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในชีวิตประจำวันของพลเมืองทุกคน การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจคือการแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยของรัฐในการคุ้มครองพลเมืองภายใต้หลักนิติธรรม ความสำเร็จของภารกิจตำรวจจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเข้มแข็งของระบบกฎหมายในสังคม การมุ่งมั่นในจรรยาบรรณ การพัฒนาความรู้ทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และการยึดมั่นในความยุติธรรม จะเป็นเกราะป้องกันและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้สังคมไทยยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้ร่มเงาของกฎหมายตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.30 อำนาจหน้าที่ของตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายมิได้จำกัดอยู่เพียงการปรากฏกายในเครื่องแบบ แต่คือการเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการบังคับใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสาธารณชน บทบาทหลักของตำรวจจึงครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการกระทำผิดทางอาญา การป้องปรามมิให้เกิดความวุ่นวาย ไปจนถึงภารกิจอันละเอียดอ่อนของการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด การใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การเรียกตรวจสอบ การจับกุม หรือการควบคุมตัวชั่วคราว จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่จะทำให้อำนาจรัฐมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชน ในแง่ของการสืบสวน ตำรวจคือด่านแรกที่ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงให้แก่การพิจารณาคดีในชั้นอัยการและศาล การตัดสินใจทุกครั้ง ตั้งแต่การลงบันทึกประจำวันไปจนถึงการสรุปสำนวนคดี ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพและสิทธิของบุคคล รวมถึงความยุติธรรมที่สังคมคาดหวัง การเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายจึงหมายถึงการรับผิดชอบต่อการรักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างแท้จริง ภารกิจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของตำรวจเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์พื้นฐานของรัฐและประชาชน การป้องกันอาชญากรรมมิใช่เพียงการลาดตระเวนหรือการตั้งจุดตรวจ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์อาชญากรรมเชิงพื้นที่และเชิงสังคม การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อขจัดช่องโหว่และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการกระทำผิด สำหรับการสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญในการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การสอบปากคำ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงการกระทำผิดไปยังผู้ต้องหาได้อย่างปราศจากข้อสงสัย หน้าที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการลงโทษเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเป็นผู้ถืออำนาจตามกฎหมายที่ต้องใช้ดุลยพินิจภายใต้ความรับผิดชอบอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความซับซ้อนของอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ทั้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติ บทบาทของตำรวจจึงต้องพัฒนาตามทันเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้น ตำรวจจึงเป็นมากกว่าผู้จับกุมหรือผู้สอบสวน แต่เป็นเสาหลักแห่งการบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในชีวิตประจำวันของพลเมืองทุกคน การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจคือการแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยของรัฐในการคุ้มครองพลเมืองภายใต้หลักนิติธรรม ความสำเร็จของภารกิจตำรวจจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเข้มแข็งของระบบกฎหมายในสังคม การมุ่งมั่นในจรรยาบรรณ การพัฒนาความรู้ทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และการยึดมั่นในความยุติธรรม จะเป็นเกราะป้องกันและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้สังคมไทยยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้ร่มเงาของกฎหมายตลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 737 มุมมอง 0 รีวิว
  • Border Patrol สหรัฐฯ ขยายการสอดส่องผู้ขับรถภายในประเทศ

    หน่วยงาน Border Patrol ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาโครงการสอดส่องการเดินทางของประชาชนผ่านระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมที่คัดกรองเส้นทาง "น่าสงสัย" โดยไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ และฟีนิกซ์ การดำเนินการนี้ทำให้ผู้ขับรถจำนวนมากถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย

    โครงการดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อราวสิบปีก่อนเพื่อปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดและการค้ามนุษย์ แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตอย่างมาก โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น DEA และบริษัทเอกชนที่ให้บริการระบบอ่านป้ายทะเบียน ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้สร้าง "รูปแบบชีวิต" ของผู้ขับรถ เพื่อหาความผิดปกติในการเดินทาง

    นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเตือนว่า การสอดส่องในระดับมหภาคเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิพลเมืองและขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการตีความมาตรา Fourth Amendment ที่คุ้มครองประชาชนจากการค้นและจับกุมโดยไม่มีเหตุผลอันควร หลายกรณีที่ถูกเปิดเผยพบว่าผู้ขับรถถูกหยุดเพียงเพราะเส้นทางสั้น ๆ ไปยังพื้นที่ชายแดน หรือเพราะใช้รถเช่า

    นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินทุนจากโครงการ Operation Stonegarden เพื่อสนับสนุนตำรวจท้องถิ่นติดตั้งระบบสอดส่องและทำงานร่วมกับ Border Patrol ทำให้เครือข่ายการเฝ้าระวังขยายตัวอย่างกว้างขวาง นักเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองชี้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การสอดส่องของ Border Patrol
    ใช้กล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมตรวจจับเส้นทาง "น่าสงสัย"
    ขยายพื้นที่จากชายแดนเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ ฟีนิกซ์

    ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น
    DEA และบริษัทเอกชนให้ข้อมูลระบบอ่านป้ายทะเบียน
    ใช้งบประมาณจาก Operation Stonegarden สนับสนุนตำรวจท้องถิ่น

    ผลกระทบต่อประชาชน
    ผู้ขับรถถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานผิดกฎหมาย
    มีกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่าเป็นการละเมิดสิทธิพลเมือง

    คำเตือนด้านสิทธิมนุษยชน
    การสอดส่องในระดับมหภาคอาจละเมิดรัฐธรรมนูญ (Fourth Amendment)
    สร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ

    ความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    การเก็บข้อมูลเส้นทางและพฤติกรรมการเดินทางอาจถูกนำไปใช้เกินขอบเขต
    เสี่ยงต่อการถูกตีความผิดและสร้างผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์

    https://apnews.com/article/immigration-border-patrol-surveillance-drivers-ice-trump-9f5d05469ce8c629d6fecf32d32098cd
    🚨 Border Patrol สหรัฐฯ ขยายการสอดส่องผู้ขับรถภายในประเทศ หน่วยงาน Border Patrol ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาโครงการสอดส่องการเดินทางของประชาชนผ่านระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมที่คัดกรองเส้นทาง "น่าสงสัย" โดยไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ และฟีนิกซ์ การดำเนินการนี้ทำให้ผู้ขับรถจำนวนมากถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย โครงการดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อราวสิบปีก่อนเพื่อปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดและการค้ามนุษย์ แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตอย่างมาก โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น DEA และบริษัทเอกชนที่ให้บริการระบบอ่านป้ายทะเบียน ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้สร้าง "รูปแบบชีวิต" ของผู้ขับรถ เพื่อหาความผิดปกติในการเดินทาง นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเตือนว่า การสอดส่องในระดับมหภาคเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิพลเมืองและขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการตีความมาตรา Fourth Amendment ที่คุ้มครองประชาชนจากการค้นและจับกุมโดยไม่มีเหตุผลอันควร หลายกรณีที่ถูกเปิดเผยพบว่าผู้ขับรถถูกหยุดเพียงเพราะเส้นทางสั้น ๆ ไปยังพื้นที่ชายแดน หรือเพราะใช้รถเช่า นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินทุนจากโครงการ Operation Stonegarden เพื่อสนับสนุนตำรวจท้องถิ่นติดตั้งระบบสอดส่องและทำงานร่วมกับ Border Patrol ทำให้เครือข่ายการเฝ้าระวังขยายตัวอย่างกว้างขวาง นักเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองชี้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การสอดส่องของ Border Patrol ➡️ ใช้กล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมตรวจจับเส้นทาง "น่าสงสัย" ➡️ ขยายพื้นที่จากชายแดนเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ ฟีนิกซ์ ✅ ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ➡️ DEA และบริษัทเอกชนให้ข้อมูลระบบอ่านป้ายทะเบียน ➡️ ใช้งบประมาณจาก Operation Stonegarden สนับสนุนตำรวจท้องถิ่น ✅ ผลกระทบต่อประชาชน ➡️ ผู้ขับรถถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานผิดกฎหมาย ➡️ มีกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่าเป็นการละเมิดสิทธิพลเมือง ‼️ คำเตือนด้านสิทธิมนุษยชน ⛔ การสอดส่องในระดับมหภาคอาจละเมิดรัฐธรรมนูญ (Fourth Amendment) ⛔ สร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ⛔ การเก็บข้อมูลเส้นทางและพฤติกรรมการเดินทางอาจถูกนำไปใช้เกินขอบเขต ⛔ เสี่ยงต่อการถูกตีความผิดและสร้างผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ https://apnews.com/article/immigration-border-patrol-surveillance-drivers-ice-trump-9f5d05469ce8c629d6fecf32d32098cd
    APNEWS.COM
    Border Patrol is monitoring US drivers and detaining those with 'suspicious' travel patterns
    The U.S. Border Patrol is monitoring millions of American drivers nationwide in a secretive program to identify and detain people whose travel patterns it deems suspicious.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย”

    Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate

    นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม

    เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

    แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี
    หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง

    แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980)
    จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน

    ร่วมก่อตั้ง Interplay
    บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate

    ผลงานด้านการพอร์ตเกม
    เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh

    ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025
    ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย

    การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+
    สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ

    โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน
    ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน

    https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    📰 “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย” Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี ➡️ หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง ✅ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980) ➡️ จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน ✅ ร่วมก่อตั้ง Interplay ➡️ บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate ✅ ผลงานด้านการพอร์ตเกม ➡️ เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh ✅ ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 ➡️ ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย ‼️ การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ⛔ สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ ‼️ โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน ⛔ ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหมือนสติแตก! ฮุนเซนด่ากราด UN , โวยผู้รายงานพิเศษไทยเพิกเฉยทหารเขมร 18 นายที่ถูกไทยคุมตัวกว่า 111 วัน อ้างถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน–หวังโยงกดดันไทยเรื่องเขตแดน

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110019

    #ฮุนเซน #กัมพูชา #ทหารกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #UN #สิทธิมนุษยชน #News1live #News1
    เหมือนสติแตก! ฮุนเซนด่ากราด UN , โวยผู้รายงานพิเศษไทยเพิกเฉยทหารเขมร 18 นายที่ถูกไทยคุมตัวกว่า 111 วัน อ้างถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน–หวังโยงกดดันไทยเรื่องเขตแดน • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110019 • #ฮุนเซน #กัมพูชา #ทหารกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #UN #สิทธิมนุษยชน #News1live #News1
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts