• "เสือก!!!"

    สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกมาเรียกร้องให้ไทย "ยกเลิกมาตรา 112 ทันที"
    พร้อมระบุว่ากฎหมายนี้ "รุนแรงเกินไป" และเป็นภัยต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็น

    .
    มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

    ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่มีใครเดือดร้อนกับมาตรา 112 คนที่เดือดร้อนคือคนที่ต้องการ "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น" ต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น!!

    .
    https://www.ohchr.org/en/press-releases/2025/01/thailand-must-immediately-repeal-lese-majeste-laws-say-un-experts?utm_source=chatgpt.com&fbclid=IwY2xjawIIXG9leHRuA2FlbQIxMAABHaa-6WYKDgmEc3dA34uFtlFtfGINMPgubpLxMVucUVd8h8IyNsRhIIU5Sw_aem_aMme87EucRszhoNXAe5rLA
    "เสือก!!!" สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกมาเรียกร้องให้ไทย "ยกเลิกมาตรา 112 ทันที" พร้อมระบุว่ากฎหมายนี้ "รุนแรงเกินไป" และเป็นภัยต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็น . มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่มีใครเดือดร้อนกับมาตรา 112 คนที่เดือดร้อนคือคนที่ต้องการ "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น" ต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น!! . https://www.ohchr.org/en/press-releases/2025/01/thailand-must-immediately-repeal-lese-majeste-laws-say-un-experts?utm_source=chatgpt.com&fbclid=IwY2xjawIIXG9leHRuA2FlbQIxMAABHaa-6WYKDgmEc3dA34uFtlFtfGINMPgubpLxMVucUVd8h8IyNsRhIIU5Sw_aem_aMme87EucRszhoNXAe5rLA
    Like
    Angry
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข่าวรอบดึก (29 มกรา) รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับยูเอ็น หลังวิจารณ์เรื่องกฎการสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ

    ✒️นาน ๆ ทีจะเห็นรัฐบาลญี่ปุ่นเกรี้ยวกราดในระดับนานาชาตินะคะ 😅
    📌สาเหตุ

    - ตุลาปีที่แล้วคณะกรรมการสหประชาชาติซึ่งมุ่งเป้าขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) ได้ออกคำแนะนำให้รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นของฝ่ายชาย

    📌 รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับอย่างร้อนแรง

    🗣️ “คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการจำกัดคุณสมบัติการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชาย จึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี รูปแบบการสืบราชสมบัติเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ จึงไม่เหมาะสมที่ CEDAW จะหยิบยกเรื่องกฎมณเฑียรบาลขึ้นมา”

    - นอกจากนี้ยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งดูแลกิจกรรมของ CEDAW

    🗣️ “ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW และยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการในปีนี้
    ◾️ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น: รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ประมาณปีละ 20-30 ล้านเยน
    ◾️เท่าที่ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เงินส่วนนี้ไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของคณะกรรมการ CEDAW มาก่อน
    ◾️การที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ให้” นำเงินบริจาคไปใช้ในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยปรกติของญี่ปุ่น (✒️ปรกติบริจาคอย่างเดียว ไม่รีเควสอะไรเป็นพิเศษ)
    ✒️เดือดของแท้เลยค่ะ 😤💢


    เครดิตเนื้อหา #กิ๊ฟจังนั่งเล่า
    https://web.facebook.com/share/p/14htHYR6ei/
    .
    รายละเอียดข่าวต้นทาง
    https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html
    #ข่าวรอบดึก (29 มกรา) รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับยูเอ็น หลังวิจารณ์เรื่องกฎการสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ✒️นาน ๆ ทีจะเห็นรัฐบาลญี่ปุ่นเกรี้ยวกราดในระดับนานาชาตินะคะ 😅 📌สาเหตุ - ตุลาปีที่แล้วคณะกรรมการสหประชาชาติซึ่งมุ่งเป้าขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) ได้ออกคำแนะนำให้รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นของฝ่ายชาย 📌 รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับอย่างร้อนแรง 🗣️ “คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการจำกัดคุณสมบัติการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชาย จึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี รูปแบบการสืบราชสมบัติเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ จึงไม่เหมาะสมที่ CEDAW จะหยิบยกเรื่องกฎมณเฑียรบาลขึ้นมา” - นอกจากนี้ยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งดูแลกิจกรรมของ CEDAW 🗣️ “ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW และยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการในปีนี้ ◾️ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น: รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ประมาณปีละ 20-30 ล้านเยน ◾️เท่าที่ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เงินส่วนนี้ไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของคณะกรรมการ CEDAW มาก่อน ◾️การที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ให้” นำเงินบริจาคไปใช้ในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยปรกติของญี่ปุ่น (✒️ปรกติบริจาคอย่างเดียว ไม่รีเควสอะไรเป็นพิเศษ) ✒️เดือดของแท้เลยค่ะ 😤💢 เครดิตเนื้อหา #กิ๊ฟจังนั่งเล่า https://web.facebook.com/share/p/14htHYR6ei/ . รายละเอียดข่าวต้นทาง https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยจะออกคำสั่งให้กระทรวงกลาโหม(เพนตากอน) และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เตรียมพร้อมอาคารกักกันคนเข้าเมือง ณ เรือนจำอ่าวกวนตานาโม สำหรับรองรับพวกผู้อพยพสูงสุด 30,000 คน ที่ไม่สามารถเนรเทศกลับประเทศต้นทางได้
    .
    ที่ผ่านมา ฐานทัพเรือสหรัฐฯในอ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา เป็นที่ตั้งของสถานที่ผู้อพยพแห่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว แยกจากเรือนจำที่มีรักษาความปลอดภัยในระดับสูงของสหรัฐฯ ที่มีไว้คุมขังพวกผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายต่างชาติ ขณะที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ถูกใช้งานเป็นครั้งคราวในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงใช้คุมตัวผู้อพยพชาวเฮติและชาวคิวบา ที่จับตัวได้กลางทะเล
    .
    ทอม โอแมน ซาร์ด้านเขตแดนของทรัมป์ ระบุในเวลาต่อมาในวันพุธ(29ม.ค.) รัฐบาลจะขยายศูนย์ดังกล่าวที่มีอยู่แล้ว และจะมอบหน้าที่ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) เป็นผู้ดูแล
    .
    "วันนี้ ผมลงนามในคำสั่งบริหาร สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เริ่มเตรียมการศูนย์คนเข้าเมืองรองรับ 30,000 คน ที่อ่าวกวนตานาโม" ทรัมป์ บอกที่ทำเนียบขาว
    .
    ทรัมป์ กล่าวด้วยว่าศูนย์แห่งนี้ "จะถูกใช้ควบคุมตัวอาชญากรต่างด้าวเลวร้ายผิดกฎหมายที่คุกคามประชาชนชาวอเมริกา บางส่วนในนั้นเลวเสียจนกระทั่ง เราไม่อาจไว้วางใจให้ประเทศต่างๆควบคุมตัวพวกเขา เพราะว่าเราไม่ต้องการให้พวกเขากลับมาอีก ดังนั้น เรากำลังส่งตัวพวกเขาไปยังกวนตานาโม นี่จะเพิ่มความจุของเราเป็นเท่าตัวในทันที"
    .
    ไม่นานหลังจากนั้น ทรัมป์ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่ได้ระบุถึงจำนวนพวกผู้อพยพ แต่เรียกร้องให้เพิ่มพื้นที่กักขัง ณ ศูนย์ที่ได้รับการขยายแห่งนี้
    .
    เมื่อถูกถามว่าศูนย์แห่งนี้จำเป็นต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหน ทาง คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตอบว่ารัฐบาลกำลังทำงานในเรื่องนี้ ภายใต้การประนีประนอมและการจัดสรรในสภาคองเกรส
    .
    เรือนจำในอ่าวกวตานาโม ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 2002 โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ณ ขณะนั้น เพื่อกักขังพวกผู้ต้องสงสัยนักรบต่างๆชาติ ตามหลังเหตุวินาศกรรมโจมตีสหรัฐฯ วันที่ 11 กันยายน 2001 และเวลานี้ยังเหนือผู้ต้องขังในเรือนจำ 15 คน
    .
    บารัค โอบามา และ โจ ไบเดน 2 ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าทรัมป์ ซึ่งมาจากเดโมแครตทั้งคู่ หาทางปิดเรือนจำกวนตานาโม แต่ทำได้เพียงลดประชากรผู้ต้องขัง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ประกาศว่าจะให้เรือนจำแห่งนี้เปิดทำการต่อไป
    .
    สถานคุมขังแห่งนี้ถูกประณามมาช้านานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย สำหรับการกักขังอย่างไม่มีกำหนดและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ความเลยเถิดของ "สงครามต่อต้านก่อการร้าย" ของสหรัฐฯ สืบเนื่องจากมีการใช้วิธีสอบปากคำที่เหี้ยมโหด ที่พวกนักวิจารณ์บอกว่าไม่ต่างจากการทรมาน
    .
    อย่างไรก็ตามศูนย์อพยพสำหรับคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะแยกออกจากสถานคุมขังในเรือนจำแห่งนี้
    .
    มิเกล ดิอาซ คาเนล ประธานาธิบดีคิวบาในวันพุธ(29ม.ค.) ให้คำจำกัดความว่า "เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณ" ประณามแผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในจะควบคุมตัวคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ณ เรือนจำทหารกวนตานาโม
    .
    "ในการกระทำที่โหดร้ายทารุณ รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯแถลงเกี่ยวกับการกักขังที่ฐานทัพเรือกวนตานาโม ตั้งอยู่ในดินแดนคิวบา ที่ถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย" ประธานาธิบดีคิวบาเขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ พร้อมระบุพวกผู้อพยพจะถูกคุมขังใกล้สถานที่ต่างๆที่เขาบอกว่าสหรัฐฯเคยใช้มัน "ทรมานและกักขังผิดกฎหมาย"
    .
    การตัดสินใจล่าสุดเป็นความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจากกรณีที่กองทัพสหรัฐฯใช้เครื่องบินทหารลำเลียงพวกผู้อพยพที่ถูกเทรเนศออกนอกประเทศ และส่งทหารประจำการกว่า 1,600 นาย เข้าไปบริเวณแนวชายแดนสหรัฐฯติดกับเม็กซิโก หลังจาก ทรัมป์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านผู้อพยพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009491
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยจะออกคำสั่งให้กระทรวงกลาโหม(เพนตากอน) และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เตรียมพร้อมอาคารกักกันคนเข้าเมือง ณ เรือนจำอ่าวกวนตานาโม สำหรับรองรับพวกผู้อพยพสูงสุด 30,000 คน ที่ไม่สามารถเนรเทศกลับประเทศต้นทางได้ . ที่ผ่านมา ฐานทัพเรือสหรัฐฯในอ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา เป็นที่ตั้งของสถานที่ผู้อพยพแห่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว แยกจากเรือนจำที่มีรักษาความปลอดภัยในระดับสูงของสหรัฐฯ ที่มีไว้คุมขังพวกผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายต่างชาติ ขณะที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ถูกใช้งานเป็นครั้งคราวในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงใช้คุมตัวผู้อพยพชาวเฮติและชาวคิวบา ที่จับตัวได้กลางทะเล . ทอม โอแมน ซาร์ด้านเขตแดนของทรัมป์ ระบุในเวลาต่อมาในวันพุธ(29ม.ค.) รัฐบาลจะขยายศูนย์ดังกล่าวที่มีอยู่แล้ว และจะมอบหน้าที่ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) เป็นผู้ดูแล . "วันนี้ ผมลงนามในคำสั่งบริหาร สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เริ่มเตรียมการศูนย์คนเข้าเมืองรองรับ 30,000 คน ที่อ่าวกวนตานาโม" ทรัมป์ บอกที่ทำเนียบขาว . ทรัมป์ กล่าวด้วยว่าศูนย์แห่งนี้ "จะถูกใช้ควบคุมตัวอาชญากรต่างด้าวเลวร้ายผิดกฎหมายที่คุกคามประชาชนชาวอเมริกา บางส่วนในนั้นเลวเสียจนกระทั่ง เราไม่อาจไว้วางใจให้ประเทศต่างๆควบคุมตัวพวกเขา เพราะว่าเราไม่ต้องการให้พวกเขากลับมาอีก ดังนั้น เรากำลังส่งตัวพวกเขาไปยังกวนตานาโม นี่จะเพิ่มความจุของเราเป็นเท่าตัวในทันที" . ไม่นานหลังจากนั้น ทรัมป์ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่ได้ระบุถึงจำนวนพวกผู้อพยพ แต่เรียกร้องให้เพิ่มพื้นที่กักขัง ณ ศูนย์ที่ได้รับการขยายแห่งนี้ . เมื่อถูกถามว่าศูนย์แห่งนี้จำเป็นต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหน ทาง คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตอบว่ารัฐบาลกำลังทำงานในเรื่องนี้ ภายใต้การประนีประนอมและการจัดสรรในสภาคองเกรส . เรือนจำในอ่าวกวตานาโม ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 2002 โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ณ ขณะนั้น เพื่อกักขังพวกผู้ต้องสงสัยนักรบต่างๆชาติ ตามหลังเหตุวินาศกรรมโจมตีสหรัฐฯ วันที่ 11 กันยายน 2001 และเวลานี้ยังเหนือผู้ต้องขังในเรือนจำ 15 คน . บารัค โอบามา และ โจ ไบเดน 2 ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าทรัมป์ ซึ่งมาจากเดโมแครตทั้งคู่ หาทางปิดเรือนจำกวนตานาโม แต่ทำได้เพียงลดประชากรผู้ต้องขัง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ประกาศว่าจะให้เรือนจำแห่งนี้เปิดทำการต่อไป . สถานคุมขังแห่งนี้ถูกประณามมาช้านานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย สำหรับการกักขังอย่างไม่มีกำหนดและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ความเลยเถิดของ "สงครามต่อต้านก่อการร้าย" ของสหรัฐฯ สืบเนื่องจากมีการใช้วิธีสอบปากคำที่เหี้ยมโหด ที่พวกนักวิจารณ์บอกว่าไม่ต่างจากการทรมาน . อย่างไรก็ตามศูนย์อพยพสำหรับคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะแยกออกจากสถานคุมขังในเรือนจำแห่งนี้ . มิเกล ดิอาซ คาเนล ประธานาธิบดีคิวบาในวันพุธ(29ม.ค.) ให้คำจำกัดความว่า "เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณ" ประณามแผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในจะควบคุมตัวคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ณ เรือนจำทหารกวนตานาโม . "ในการกระทำที่โหดร้ายทารุณ รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯแถลงเกี่ยวกับการกักขังที่ฐานทัพเรือกวนตานาโม ตั้งอยู่ในดินแดนคิวบา ที่ถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย" ประธานาธิบดีคิวบาเขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ พร้อมระบุพวกผู้อพยพจะถูกคุมขังใกล้สถานที่ต่างๆที่เขาบอกว่าสหรัฐฯเคยใช้มัน "ทรมานและกักขังผิดกฎหมาย" . การตัดสินใจล่าสุดเป็นความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจากกรณีที่กองทัพสหรัฐฯใช้เครื่องบินทหารลำเลียงพวกผู้อพยพที่ถูกเทรเนศออกนอกประเทศ และส่งทหารประจำการกว่า 1,600 นาย เข้าไปบริเวณแนวชายแดนสหรัฐฯติดกับเม็กซิโก หลังจาก ทรัมป์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านผู้อพยพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009491 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นจำนวนเรือนหมื่นเรือนแสน หลั่งไหลกันเดินทางไปตามถนนสายหลัก เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่ตอนเหนือของฉนวนกาซาแล้วเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) หลังจากกลุ่มฮามาสตกลงส่งมอบตัวประกันชาวอิสราเอลอีก 3 คนในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ และกองทหารรัฐยิวก็เริ่มถอนกำลังออกจากการปิดกั้นช่องทางซึ่งสกัดไม่ให้ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ได้เดินทาง
    .
    ประชาชนจำนวนมากมาย บางคนอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน หรือไม่แบกสมบัติข้าวของที่ยังเหลืออยู่เอาไว้บนบ่า มุ่งหน้าเดินเท้าขึ้นเหนือ ไปตามถนนสายที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    .
    “มันเหมือนกับฉันเกิดใหม่ขึ้นครั้ง และเราได้รับชัยชนะอีกครั้ง” เป็นคำกล่าวของ อุมม์ โมฮัมเหม็ด อาลี คุณแม่ชาวปาเลสไตน์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนซึ่งเดินตามกันไปอย่างช้าๆ เป็นแถวยาวเหยียดหลายกิโลเมตรบนถนนเลียบทะเลสายดังกล่าว
    .
    พวกผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชาวบ้านคนแรกเดินมาถึงเมืองกาซาซิตี้ในตอนเช้าตรู่ หลังจากจุดข้ามจากตอนใต้ของกาซา เปิดขึ้นเมื่อเวลา 7 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเที่ยงวัน เวลาเมืองไทย) สำหรับจุดข้ามอีกจุดหนึ่งเปิดขึ้นในอีก 3 ชั่วโมงถัดมา โดยเป็นทางสำหรับยวดยานต่างๆ
    .
    “หัวใจผมกำลังเต้นแรง ผมคิดว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” เป็นคำพูดของ โอซามา วัย 50 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนและเป็นคุณพ่อของลูก 5 คน ขณะที่เขาเดินทางถึงกาซาซิตี้ “ไม่ว่าการหยุดยิงนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราก็จะไม่ยอมออกจากกาซาซิตี้และทางตอนเหนือนี่อีกแล้ว ถึงแม้อิสราเอลจะส่งรถถังมาเล่นงานพวกเราแต่ละคนก็ตาม ไม่มีการพลัดถิ่นที่อยู่กันอีกแล้ว”
    .
    หลังจากถูกสั่งให้ออกจากที่พำนักชั่วคราวซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดระยะเวลา 15 เดือนของสงครามครั้งนี้ ก็มีเสียงเชียร์เสียงโห่ร้องยินดีปะทุขึ้นจากที่พักพิงหลบภัยและเต็นท์ค่ายพักต่างๆ เมื่อครอบครัวชาวปาเลสไตน์ได้ยินข่าวที่ว่าจุดข้ามจะเปิดให้เดินทางผ่านแล้ว
    .
    “นอนไม่หลับเลย ฉันเก็บข้าวของทุกอย่างและพร้อมเดินทางตั้งแต่แสงตะวันแรกของวันแล้ว” เป็นคำกล่าวของ กอดา คุณแม่ลูก 5 “อย่างน้อยที่สุดเราก็กำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ฉันพูดได้แล้วว่าสงครามยุติแล้ว และฉันหวังว่ามันจะอยู่ในความสงบต่อไปอีก” เธอบอกกับรอยเตอร์ผ่านแอปแชต
    .
    ทั้งพวกเจ้าหน้าที่ฮามาสและชาวกาซาที่เป็นประชาชนธรรมดา ต่างปฏิเสธไม่เอาด้วยกับคำแนะนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้จอร์แดนและอียิปต์ รับชาวปาเลไสตน์จากดินแดนที่พินาศยับเยินจากสงครามแห่งนี้ อพยพเข้าไปพำนักอาศัยให้มากขึ้น มิหนำซ้ำยังเป็นการกระตุ้นความหวาดกลัวซึ่งมีมายาวนานของชาวปาเลสไตน์ที่ว่า พวกเขากำลังจะถูกผลักไสให้ออกจากบ้านของพวกเขาไปตลอดกาล
    .
    ตามเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงที่กระทำกันคราวนี้ ผู้ที่พำนักอาศัยในตอนเหนือกาซา จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ท่ผ่านมา ทว่าในวันอาทิตย์ (26 ) อิสราเอลขัดขวางเรื่องนี้ โดยกล่าวหาฮามาสละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง
    .
    อย่างไรก็ดี ถึงตอนค่ำวันเดียวกัน สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแถลงว่า สามารถตกลงกับฮามาสได้แล้ว โดยฮามาสจะปล่อย อาร์เบล เยฮุด ตัวประกันที่เป็นพลเรือนหญิงที่เดิมคาดว่า จะได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับตัวประกันอีก 3 คนในวันพฤหัสฯ (30) และปล่อยเพิ่มอีก 3 คนในวันเสาร์ (1 ก.พ.)
    .
    คำแถลงยังระบุว่า อิสราเอลจะอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เดินทางได้ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ซึ่งฮามาสระบุว่าเป็น “ชัยชนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ และสัญญาณความล้มเหลวของแผนการยึดครองและบังคับย้ายถิ่นฐาน”
    .
    สำหรับคำแนะนำของทรัมป์นั้น อยู่ในลักษณะของการที่เขาเสนอไอเดียกับพวกผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซ วัน เมื่อวันเสาร์ (25) ว่า จอร์แดนและอียิปต์ ควรอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ราว 2.4 ล้านคนจากกาซาที่พังพินาศจากสงครามที่ทำให้ประชาชนนับหมื่นเสียชีวิตและนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมเลวร้าย
    .
    ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า จะดึงชาติอาหรับบางชาติเข้ามามีส่วนร่วม และสร้างที่พักอาศัยเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ก่อนสำทับว่า แนวทางนี้อาจเป็นได้ทั้งแนวทางชั่วคราวหรือถาวร
    .
    ปัจจุบัน จอร์แดนรองรับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอยู่แล้ว ขณะที่มีชาวปาเลสไตน์อีกหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ในอียิปต์ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศรวมถึงชาติอาหรับอื่นๆ ต่างปฏิเสธแนวคิดในการย้ายชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซาไปยังประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ก็ต้องการให้กาซาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต
    .
    ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ก็แสดงท่าทีคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ทางด้าน เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอลที่สังกัดพรรคขวาจัด บอกว่า “การคิดนอกกรอบ” เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้จริง และกล่าวยกย่องข้อเสนอของทรัมป์เป็น “ไอเดียเยี่ยมยอด” ซึ่งจะทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในประเทศอื่น พร้อมเสริมว่า จะวางแผนเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอนี้
    .
    สำหรับ ฟรานเชสกา อัลบานีส ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ก็เป็นการคิดนอกกรอบ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหนก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และไร้ความรับผิดชอบ
    .
    บาเซม นาอิม สมาชิกกลุ่มการเมืองของฮามาส ยืนกรานว่า ชาวปาเลสไตน์ไม่มีวันยอมรับข้อเสนอของทรัมป์ที่ดูเหมือนเจตนาดีภายใต้ข้ออ้างในการฟื้นฟูกาซา ขณะที่ซามี อาบู ซูฮ์รี เจ้าหน้าที่อีกคน เรียกร้องทรัมป์ไม่ให้เสนอไอเดียผิดพลาดแบบที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยพยายามมาก่อน
    .
    สันนิบาตอาหรับคัดค้านไอเดียของทรัมป์เช่นเดียวกัน โดยเตือนว่า ความพยายามบังคับให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกจากถิ่นฐานเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์
    .
    อัยมาน ซาฟาดี รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน รวมทั้งกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ ยืนยันจุดยืนในการต่อต้านการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไม่ว่าระยะยาวหรือระยะสั้น
    .
    ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาสของปาเลสไตน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ประณามไอเดียของทรัมป์ และประกาศว่า ชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมทิ้งบ้านเกิดอย่างแน่นอน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008688
    ..............
    Sondhi X
    ชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นจำนวนเรือนหมื่นเรือนแสน หลั่งไหลกันเดินทางไปตามถนนสายหลัก เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่ตอนเหนือของฉนวนกาซาแล้วเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) หลังจากกลุ่มฮามาสตกลงส่งมอบตัวประกันชาวอิสราเอลอีก 3 คนในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ และกองทหารรัฐยิวก็เริ่มถอนกำลังออกจากการปิดกั้นช่องทางซึ่งสกัดไม่ให้ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ได้เดินทาง . ประชาชนจำนวนมากมาย บางคนอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน หรือไม่แบกสมบัติข้าวของที่ยังเหลืออยู่เอาไว้บนบ่า มุ่งหน้าเดินเท้าขึ้นเหนือ ไปตามถนนสายที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน . “มันเหมือนกับฉันเกิดใหม่ขึ้นครั้ง และเราได้รับชัยชนะอีกครั้ง” เป็นคำกล่าวของ อุมม์ โมฮัมเหม็ด อาลี คุณแม่ชาวปาเลสไตน์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนซึ่งเดินตามกันไปอย่างช้าๆ เป็นแถวยาวเหยียดหลายกิโลเมตรบนถนนเลียบทะเลสายดังกล่าว . พวกผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชาวบ้านคนแรกเดินมาถึงเมืองกาซาซิตี้ในตอนเช้าตรู่ หลังจากจุดข้ามจากตอนใต้ของกาซา เปิดขึ้นเมื่อเวลา 7 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเที่ยงวัน เวลาเมืองไทย) สำหรับจุดข้ามอีกจุดหนึ่งเปิดขึ้นในอีก 3 ชั่วโมงถัดมา โดยเป็นทางสำหรับยวดยานต่างๆ . “หัวใจผมกำลังเต้นแรง ผมคิดว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” เป็นคำพูดของ โอซามา วัย 50 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนและเป็นคุณพ่อของลูก 5 คน ขณะที่เขาเดินทางถึงกาซาซิตี้ “ไม่ว่าการหยุดยิงนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราก็จะไม่ยอมออกจากกาซาซิตี้และทางตอนเหนือนี่อีกแล้ว ถึงแม้อิสราเอลจะส่งรถถังมาเล่นงานพวกเราแต่ละคนก็ตาม ไม่มีการพลัดถิ่นที่อยู่กันอีกแล้ว” . หลังจากถูกสั่งให้ออกจากที่พำนักชั่วคราวซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดระยะเวลา 15 เดือนของสงครามครั้งนี้ ก็มีเสียงเชียร์เสียงโห่ร้องยินดีปะทุขึ้นจากที่พักพิงหลบภัยและเต็นท์ค่ายพักต่างๆ เมื่อครอบครัวชาวปาเลสไตน์ได้ยินข่าวที่ว่าจุดข้ามจะเปิดให้เดินทางผ่านแล้ว . “นอนไม่หลับเลย ฉันเก็บข้าวของทุกอย่างและพร้อมเดินทางตั้งแต่แสงตะวันแรกของวันแล้ว” เป็นคำกล่าวของ กอดา คุณแม่ลูก 5 “อย่างน้อยที่สุดเราก็กำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ฉันพูดได้แล้วว่าสงครามยุติแล้ว และฉันหวังว่ามันจะอยู่ในความสงบต่อไปอีก” เธอบอกกับรอยเตอร์ผ่านแอปแชต . ทั้งพวกเจ้าหน้าที่ฮามาสและชาวกาซาที่เป็นประชาชนธรรมดา ต่างปฏิเสธไม่เอาด้วยกับคำแนะนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้จอร์แดนและอียิปต์ รับชาวปาเลไสตน์จากดินแดนที่พินาศยับเยินจากสงครามแห่งนี้ อพยพเข้าไปพำนักอาศัยให้มากขึ้น มิหนำซ้ำยังเป็นการกระตุ้นความหวาดกลัวซึ่งมีมายาวนานของชาวปาเลสไตน์ที่ว่า พวกเขากำลังจะถูกผลักไสให้ออกจากบ้านของพวกเขาไปตลอดกาล . ตามเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงที่กระทำกันคราวนี้ ผู้ที่พำนักอาศัยในตอนเหนือกาซา จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ท่ผ่านมา ทว่าในวันอาทิตย์ (26 ) อิสราเอลขัดขวางเรื่องนี้ โดยกล่าวหาฮามาสละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง . อย่างไรก็ดี ถึงตอนค่ำวันเดียวกัน สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแถลงว่า สามารถตกลงกับฮามาสได้แล้ว โดยฮามาสจะปล่อย อาร์เบล เยฮุด ตัวประกันที่เป็นพลเรือนหญิงที่เดิมคาดว่า จะได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับตัวประกันอีก 3 คนในวันพฤหัสฯ (30) และปล่อยเพิ่มอีก 3 คนในวันเสาร์ (1 ก.พ.) . คำแถลงยังระบุว่า อิสราเอลจะอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เดินทางได้ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ซึ่งฮามาสระบุว่าเป็น “ชัยชนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ และสัญญาณความล้มเหลวของแผนการยึดครองและบังคับย้ายถิ่นฐาน” . สำหรับคำแนะนำของทรัมป์นั้น อยู่ในลักษณะของการที่เขาเสนอไอเดียกับพวกผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซ วัน เมื่อวันเสาร์ (25) ว่า จอร์แดนและอียิปต์ ควรอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ราว 2.4 ล้านคนจากกาซาที่พังพินาศจากสงครามที่ทำให้ประชาชนนับหมื่นเสียชีวิตและนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมเลวร้าย . ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า จะดึงชาติอาหรับบางชาติเข้ามามีส่วนร่วม และสร้างที่พักอาศัยเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ก่อนสำทับว่า แนวทางนี้อาจเป็นได้ทั้งแนวทางชั่วคราวหรือถาวร . ปัจจุบัน จอร์แดนรองรับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอยู่แล้ว ขณะที่มีชาวปาเลสไตน์อีกหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ในอียิปต์ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศรวมถึงชาติอาหรับอื่นๆ ต่างปฏิเสธแนวคิดในการย้ายชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซาไปยังประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ก็ต้องการให้กาซาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต . ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ก็แสดงท่าทีคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ทางด้าน เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอลที่สังกัดพรรคขวาจัด บอกว่า “การคิดนอกกรอบ” เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้จริง และกล่าวยกย่องข้อเสนอของทรัมป์เป็น “ไอเดียเยี่ยมยอด” ซึ่งจะทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในประเทศอื่น พร้อมเสริมว่า จะวางแผนเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอนี้ . สำหรับ ฟรานเชสกา อัลบานีส ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ก็เป็นการคิดนอกกรอบ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหนก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และไร้ความรับผิดชอบ . บาเซม นาอิม สมาชิกกลุ่มการเมืองของฮามาส ยืนกรานว่า ชาวปาเลสไตน์ไม่มีวันยอมรับข้อเสนอของทรัมป์ที่ดูเหมือนเจตนาดีภายใต้ข้ออ้างในการฟื้นฟูกาซา ขณะที่ซามี อาบู ซูฮ์รี เจ้าหน้าที่อีกคน เรียกร้องทรัมป์ไม่ให้เสนอไอเดียผิดพลาดแบบที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยพยายามมาก่อน . สันนิบาตอาหรับคัดค้านไอเดียของทรัมป์เช่นเดียวกัน โดยเตือนว่า ความพยายามบังคับให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกจากถิ่นฐานเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ . อัยมาน ซาฟาดี รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน รวมทั้งกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ ยืนยันจุดยืนในการต่อต้านการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไม่ว่าระยะยาวหรือระยะสั้น . ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาสของปาเลสไตน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ประณามไอเดียของทรัมป์ และประกาศว่า ชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมทิ้งบ้านเกิดอย่างแน่นอน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008688 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 773 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนการของซีไอเอและกองทัพสหรัฐในการสังหารชาวอเมริกัน

    เอกสารของ CIA ที่ได้รับการปลดล็อคเผยให้เห็นว่ากองทัพสหรัฐฯ วางแผนปฏิบัติการนอร์ธวูดส์ เพื่อก่อการร้ายต่อพลเมืองอเมริกัน เพื่อเป็นเหตุผลในการทำสงครามกับคิวบา

    โครงเรื่องมีข้อเสนอ เช่น การสร้าง 'การรณรงค์ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์คิวบา' ในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา

    หลักฐานที่แสดงว่า CIA ไม่เคยใส่ใจสิทธิมนุษยชนของพลเมืองสหรัฐฯ

    ที่มา : DailyMail
    แผนการของซีไอเอและกองทัพสหรัฐในการสังหารชาวอเมริกัน เอกสารของ CIA ที่ได้รับการปลดล็อคเผยให้เห็นว่ากองทัพสหรัฐฯ วางแผนปฏิบัติการนอร์ธวูดส์ เพื่อก่อการร้ายต่อพลเมืองอเมริกัน เพื่อเป็นเหตุผลในการทำสงครามกับคิวบา โครงเรื่องมีข้อเสนอ เช่น การสร้าง 'การรณรงค์ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์คิวบา' ในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา หลักฐานที่แสดงว่า CIA ไม่เคยใส่ใจสิทธิมนุษยชนของพลเมืองสหรัฐฯ ที่มา : DailyMail
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ

    วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้

    กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ

    นิยามใหม่ของ "การสมรส"
    ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น
    - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์
    - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย
    - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต

    สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส
    1. สิทธิทางกฎหมาย
    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น
    - สิทธิในการรับมรดก
    - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต
    - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
    - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส

    2. การจัดการทรัพย์สิน
    ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย

    ข้อกังวลและความท้าทาย
    แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น
    - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง
    - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่

    ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
    สร้างความเท่าเทียมในสังคม
    การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม

    เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย
    การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม

    สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย

    🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568

    #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม

    23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ นิยามใหม่ของ "การสมรส" ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์ - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส 1. สิทธิทางกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น - สิทธิในการรับมรดก - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส 2. การจัดการทรัพย์สิน ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย ข้อกังวลและความท้าทาย แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่ ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างความเท่าเทียมในสังคม การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย 🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568 #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี
    .
    ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง
    .
    "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม"
    .
    ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ
    .
    หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน"
    .
    คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)"
    .
    ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง"
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    .
    การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้
    .
    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ
    .
    บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง
    .
    อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631
    ..............
    Sondhi X
    มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี . ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง . "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม" . ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ . หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน" . คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)" . ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง" . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ . การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้ . นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ . บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง . อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1353 มุมมอง 0 รีวิว
  • WOKE แย่แล้ว!!!

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารเกี่ยวกับการสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ที่อดีต "ประธานาธิบดีไบเดน" ลงนามคำสั่งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน

    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female)

    ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+

    คำสั่งของทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์

    WOKE แย่แล้ว!!! ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารเกี่ยวกับการสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ที่อดีต "ประธานาธิบดีไบเดน" ลงนามคำสั่งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female) ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ คำสั่งของทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (20 ม.ค.) ว่าสหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+
    .
    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female)
    .
    เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ ได้เริ่มทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะเข้ามายกเลิกนโยบายต่างๆ ของ ไบเดน ซึ่งมุ่งเน้นมาตรการส่งเสริมความหลากหลายในทั่วทุกภาคส่วนของรัฐบาล
    .
    เขาได้ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของ ไบเดน รวม 78 ฉบับ ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่ง 10 กว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ
    .
    ทรัมป์ ยังยกเลิกคำสั่งบริหาร 2 ฉบับที่ ไบเดน ลงนามตั้งแต่วันแรกที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน ได้แก่ คำสั่งว่าด้วยการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในชุมชนที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ (underserved community) และคำสั่งว่าด้วยการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอิงกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศ
    .
    ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ยังเซ็นยกเลิกคำสั่งบริหารที่มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนผิวสี คนเชื้อสายฮิสแปนิก คนอเมริกันพื้นเมือง คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และคนจากกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
    .
    “ในสัปดาห์นี้ผมจะยกเลิกนโยบายของรัฐที่พยายามใช้วิศวกรรมสังคมยัดเยียดเชื้อชาติและเพศสภาพเข้ามาในทุกแง่มุมของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะ” ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวานนี้ (20)
    .
    “เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based) และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง” ทรัมป์ กล่าว
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    .
    ล่าสุดนักเคลื่อนไหวและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ประกาศจะออกมาปกป้องคนกลุ่มน้อยในสังคมอ และท้าทายวาระของ ทรัมป์
    .
    “เราจะไม่ยอมถอยหรือยอมถูกคุกคาม เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และจะต่อสู้กับคำสั่งที่อันตรายเหล่านี้ด้วยทุกสิ่งที่เรามีอยู่” เคลลี โรบินสัน ประธาน Human Rights Campaign ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง
    .
    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกมาตรการส่งเสริมความหลากหลาย (diversity) ความเท่าเทียม (equality) และการหลอมรวม (inclusion) หรือ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ
    .
    ปัจจุบันมีหลายบริษัทในสหรัฐฯ ที่เริ่มปลีกตัวออกจาก DEI โดยบางแห่งเพิ่งประกาศยกเลิกโครงการริเริ่ม DEI ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่บางบริษัท เช่น Costco และแอปเปิลยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน DEI ต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006338
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (20 ม.ค.) ว่าสหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ . คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female) . เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ ได้เริ่มทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะเข้ามายกเลิกนโยบายต่างๆ ของ ไบเดน ซึ่งมุ่งเน้นมาตรการส่งเสริมความหลากหลายในทั่วทุกภาคส่วนของรัฐบาล . เขาได้ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของ ไบเดน รวม 78 ฉบับ ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่ง 10 กว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ . ทรัมป์ ยังยกเลิกคำสั่งบริหาร 2 ฉบับที่ ไบเดน ลงนามตั้งแต่วันแรกที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน ได้แก่ คำสั่งว่าด้วยการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในชุมชนที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ (underserved community) และคำสั่งว่าด้วยการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอิงกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศ . ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ยังเซ็นยกเลิกคำสั่งบริหารที่มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนผิวสี คนเชื้อสายฮิสแปนิก คนอเมริกันพื้นเมือง คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และคนจากกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก . “ในสัปดาห์นี้ผมจะยกเลิกนโยบายของรัฐที่พยายามใช้วิศวกรรมสังคมยัดเยียดเชื้อชาติและเพศสภาพเข้ามาในทุกแง่มุมของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะ” ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวานนี้ (20) . “เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based) และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง” ทรัมป์ กล่าว . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ . ล่าสุดนักเคลื่อนไหวและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ประกาศจะออกมาปกป้องคนกลุ่มน้อยในสังคมอ และท้าทายวาระของ ทรัมป์ . “เราจะไม่ยอมถอยหรือยอมถูกคุกคาม เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และจะต่อสู้กับคำสั่งที่อันตรายเหล่านี้ด้วยทุกสิ่งที่เรามีอยู่” เคลลี โรบินสัน ประธาน Human Rights Campaign ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง . นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกมาตรการส่งเสริมความหลากหลาย (diversity) ความเท่าเทียม (equality) และการหลอมรวม (inclusion) หรือ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ . ปัจจุบันมีหลายบริษัทในสหรัฐฯ ที่เริ่มปลีกตัวออกจาก DEI โดยบางแห่งเพิ่งประกาศยกเลิกโครงการริเริ่ม DEI ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่บางบริษัท เช่น Costco และแอปเปิลยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน DEI ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006338 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1142 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป"

    ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป

    พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ"

    (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!



    "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป" ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ" (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอที่เผยแพร่ออกมานี้แสดงให้เห็นชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลอินโดนีเซีย(Indonesian hospital) ทางตอนเหนือของกาซา กำลังใช้น้ำเกลือปรุงอาหารท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำดื่มอย่างรุนแรง

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาอิสราเอลถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปิดกั้นความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยมีอเมริกาให้ท้ายมาตลอดว่ายังไม่พบหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่กาซา

    วิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการโจมตีทำลายของอิสราเอลอีกด้วย
    วิดีโอที่เผยแพร่ออกมานี้แสดงให้เห็นชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลอินโดนีเซีย(Indonesian hospital) ทางตอนเหนือของกาซา กำลังใช้น้ำเกลือปรุงอาหารท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำดื่มอย่างรุนแรง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอิสราเอลถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปิดกั้นความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยมีอเมริกาให้ท้ายมาตลอดว่ายังไม่พบหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่กาซา วิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการโจมตีทำลายของอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร
    On 2025-01-10
    สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568

    ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568

    และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน

    รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง

    ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว

    แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว

    ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี

    สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่

    1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ

    2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด

    แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน

    สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี

    ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก

    อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

    สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ

    ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี

    แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย

    นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้

    สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา

    ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย

    อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น

    (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้)

    ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร On 2025-01-10 สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568 และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่ 1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ 2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้ สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้) ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 599 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้ ทรัมป์ พูดไม่ผิด...
    .
    ปูติน พูดบ่อยมาก และ เคยอธิบายว่า ทำไมถึงยอมให้ ยูเครน เข้า NATO ไม่ได้...!!!
    .
    เพราะ เมื่อเข้า NATO แล้ว อเมริกา จะนำกองทัพ และ ขีปนาวุธเข้ามาติดตั้งใน ยูเครน
    .
    นั่นเท่ากับว่า อเมริกา เอา ขีปนาวุธ มาจ่อ
    รัสเซีย ที่หน้าประตูบ้านเลย...!!!
    .
    และ ขีปนาวุธ พวกนั้น จะใช้เวลาเพียง 5 นาที ในการเข้ามา ถล่มถึง กรุงมอสโก ใน รัสเซีย...
    .
    นี่คือสิ่งที่ รัสเซีย ยอมไม่ได้...!!!
    .
    และถ้าใครจะเถียงว่า ประเทศเจริญแล้ว มี อารยะ อย่าง อเมริกา จะไม่ทำแบบนี้แน่นอน...
    .
    ให้กลับไปดูตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วว่า...
    .
    - อเมริกา เป็นคนสร้าง กลุ่ม ISIS ขึ้นมา
    - อเมริกา ในยุค ทรัมป์ วางแผนลอบสังหาร นายพล กอเซ็ม สุไลมานี โดยหลอกให้ ประเทศอิรัก เชิญ นายพล กอเซ็ม สุไลมานี มาประชุม พอรู้เส้นทางการเดินทาง Mossad ของ อิสราเอล ก็เป็นผู้ชี้เป้า สุดท้าย อเมริกา ใช้ โดรนพิฆาต ลอบสังหาร นายพล กอเซ็ม สุไลมานี
    - อเมริกา เรียกร้องหา สิทธิมนุษยชน ไปทั่วโลกกับประเทศที่มองว่าเป็นศัตรู แต่ สนับสนุน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ใน ฉนวนกาซา อย่างไร้เงื่อนไข
    - อเมริกา ยกกองทัพ เข้าไปใน ซีเรีย โดยที่ ซีเรีย ไม่ได้ร้องขอ
    - อเมริกา ยึดบ่อน้ำมัน และ ขโมยน้ำมัน ของ ซีเรีย ไปขาย
    - อเมริกา ยึดเรือส่งสินค้า ของ ซีเรีย ที่ขนธัญพืชไปขาย
    .
    คุณคิดเหรอว่า อเมริกา เป็น ประเทศที่ มีอารยะ เคารพกฎเกณฑ์ เคารพหลักสิทธิมนุษยชน จริงๆ...???
    .
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣

    เรื่องนี้ ทรัมป์ พูดไม่ผิด... . ปูติน พูดบ่อยมาก และ เคยอธิบายว่า ทำไมถึงยอมให้ ยูเครน เข้า NATO ไม่ได้...!!! . เพราะ เมื่อเข้า NATO แล้ว อเมริกา จะนำกองทัพ และ ขีปนาวุธเข้ามาติดตั้งใน ยูเครน . นั่นเท่ากับว่า อเมริกา เอา ขีปนาวุธ มาจ่อ รัสเซีย ที่หน้าประตูบ้านเลย...!!! . และ ขีปนาวุธ พวกนั้น จะใช้เวลาเพียง 5 นาที ในการเข้ามา ถล่มถึง กรุงมอสโก ใน รัสเซีย... . นี่คือสิ่งที่ รัสเซีย ยอมไม่ได้...!!! . และถ้าใครจะเถียงว่า ประเทศเจริญแล้ว มี อารยะ อย่าง อเมริกา จะไม่ทำแบบนี้แน่นอน... . ให้กลับไปดูตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วว่า... . - อเมริกา เป็นคนสร้าง กลุ่ม ISIS ขึ้นมา - อเมริกา ในยุค ทรัมป์ วางแผนลอบสังหาร นายพล กอเซ็ม สุไลมานี โดยหลอกให้ ประเทศอิรัก เชิญ นายพล กอเซ็ม สุไลมานี มาประชุม พอรู้เส้นทางการเดินทาง Mossad ของ อิสราเอล ก็เป็นผู้ชี้เป้า สุดท้าย อเมริกา ใช้ โดรนพิฆาต ลอบสังหาร นายพล กอเซ็ม สุไลมานี - อเมริกา เรียกร้องหา สิทธิมนุษยชน ไปทั่วโลกกับประเทศที่มองว่าเป็นศัตรู แต่ สนับสนุน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ใน ฉนวนกาซา อย่างไร้เงื่อนไข - อเมริกา ยกกองทัพ เข้าไปใน ซีเรีย โดยที่ ซีเรีย ไม่ได้ร้องขอ - อเมริกา ยึดบ่อน้ำมัน และ ขโมยน้ำมัน ของ ซีเรีย ไปขาย - อเมริกา ยึดเรือส่งสินค้า ของ ซีเรีย ที่ขนธัญพืชไปขาย . คุณคิดเหรอว่า อเมริกา เป็น ประเทศที่ มีอารยะ เคารพกฎเกณฑ์ เคารพหลักสิทธิมนุษยชน จริงๆ...??? . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    ทรัมป์กล่าวว่าเขาเข้าใจว่าทำไมรัสเซียไม่ต้องการให้ยูเครนเข้าร่วมนาโต้ และโทษโจ ไบเดน ที่เป็นฝ่ายทำให้เกิดสงครามในยูเครน

    “รัสเซียพูดมาหลายปีแล้วว่าไม่อยากให้นาโต้เข้ามาเกี่ยวข้องกับยูเครน ซึ่งมันก็เหมือนกับเป็นคำประกาศที่เป็นตัวหนังสือของรัสเซีย แต่ไบเดนกลับบอกว่าไม่ พวกเขาควรเข้าร่วมนาโต้ได้

    ถ้าทำอย่างนั้น เท่ากับว่ารัสเซียก็จะมีคนมาอยู่หน้าประตูบ้านของพวกเขา ซึ่งผมเข้าใจความรู้สึกของรัสเซียเกี่ยวกับเรื่องนั้นดีนะ”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานธิบดีเบลารุส กล่าวอ้างว่า "เผด็จการ" ของเขา ดีกว่า "ประชาธิปไตย" ในเพื่อนบ้านอย่างยูเครน ชาติที่ถูกสงครามฉีกเป็นชิ้นๆ ความเห็นมีขึ้นในขณะที่ผู้นำรายนี้ซึ่งปกครองเบลารุสมาช้านาน กำลังหาเสียงเลือกตั้ง ลุ้นกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 7 ปลายเดือนนี้
    .
    ระหว่างกล่าว ณ พิธีคริสต์มาสของนิกายออร์โธดอกซ์ เมื่อวันอังคาร(7ม.ค.) ลูคาเชนโก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงเมื่อเร็วๆนี้ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ออกมาพูดชี้ช่องว่าในท้ายที่สุดแล้ว เบลารุส จะได้รับการปลดปล่อย
    .
    "ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ว่าเรามีเผด็จการที่นี่ ลองดูซิ การมีเผด็จการแบบเดียวกับในเบลารุส ดีกว่าการมีประชาธิปไตยในยูเครน เป็นไหนๆ เราต้องหนักแน่น เราต้องไม่สั่นคลอนต่อกรณีใดๆ" สำนักข่าวเบลทา สื่อมวลชนแห่งรัฐ รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ ลูคาเชนโก
    .
    ผู้นำเบลารุส อ้างด้วยว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายในต่างแดน ต้องการทำลายสันติภาพในประเทศ และชี้ว่าเคียฟกำลังทำตามคำสั่งของตะวันตก
    .
    ก่อนหน้านี้ ในคำปราศรัยในวาระขึ้นปีใหม่ เซเลนสกี กล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้รบเพื่อสันติภาพ คำพูดที่พาดพิงถึงประชาชนชาวเบลารุสโดยเฉพาะ
    .
    "ถ้าเซเลนสกี พูดเป็นนัยว่าอีกไม่นาน เบลารุส อยากเป็นเหมือนยูเครน นี่คือสิ่งที่ผมคิดตอนที่ได้ยินเขาพูด ผมอุทานว่า พระเจ้า ขออย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเลย" ลูคาเชนโกระบุ
    .
    ลูคาเชนโก ซึ่งปกครองเบลารุสมาตั้งแต่ปี 1994 ลงสมัครรับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย ในศึกเลือกตั้งที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม ในขณะที่ศึกเลือกตั้งหนหลังสุดเมื่อปี 2020 โหมกระพือการประท้วงหลายระลอก ในสิ่งที่พวกฝ่ายค้านอ้างว่ามีการโกงอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเบลารุสปฏิเสธคำกล่าวหานี้ และยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบเป็นการบงการของสหรัฐฯและบริวารยุโรปของอเมริกา เช่นเดียวกับยูเครน
    .
    ลูคาเชนโก ถูกตราหน้าอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆของตะวันตก ว่าเป็น "เผด็จการ" สืบเนื่องจากการยึดครองอำนาจและคำกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเดือนพฤศจิกายน เขายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงที่มีเผด็จการภายในประเทศของเขา แต่เป็นเผด็จการแห่ง "เสถียรภาพ ความมั่นคง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเมตตาและใจดี"
    .
    ในยูเครน เคยมีการปฏิวัติที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกมาแล้ว 2 รอบ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์คลื่นการเดินขบวน "ยูโรไมดาน" ซึ่งเกิดขึ้นตามหลัง วิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานธิบดี ณ ขณะนั้น ขอเลื่อนการพูดคุยหารือข้อตกลงฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการคบค้าสมาคมกับสหภาพยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ท้ายที่สุดแล้วนำมาซึ่งการที่ ยานูโควิช ถูกโค่นอำนาจ และจัดตั้งรัฐบาลที่ฝักใฝ่สหรัฐฯและอียูขึ้นมาแทน
    .
    เหตุการณ์เหล่านั้นกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายกับรัสเซีย ในปี 2022 จากคำกล่าวอ้างของ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    รัสเซียกับเบลารุส ลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคงฉบับใหม่เมื่อเดือนก่อน ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆแล้ว เนื้อหาในนั้นยังได้เปิดทางให้รัสเซีย ประจำการขีปนาวุธล้ำสมัย "โอเรสนิก" ในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานธิบดีเบลารุส กล่าวอ้างว่า "เผด็จการ" ของเขา ดีกว่า "ประชาธิปไตย" ในเพื่อนบ้านอย่างยูเครน ชาติที่ถูกสงครามฉีกเป็นชิ้นๆ ความเห็นมีขึ้นในขณะที่ผู้นำรายนี้ซึ่งปกครองเบลารุสมาช้านาน กำลังหาเสียงเลือกตั้ง ลุ้นกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 7 ปลายเดือนนี้ . ระหว่างกล่าว ณ พิธีคริสต์มาสของนิกายออร์โธดอกซ์ เมื่อวันอังคาร(7ม.ค.) ลูคาเชนโก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงเมื่อเร็วๆนี้ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ออกมาพูดชี้ช่องว่าในท้ายที่สุดแล้ว เบลารุส จะได้รับการปลดปล่อย . "ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ว่าเรามีเผด็จการที่นี่ ลองดูซิ การมีเผด็จการแบบเดียวกับในเบลารุส ดีกว่าการมีประชาธิปไตยในยูเครน เป็นไหนๆ เราต้องหนักแน่น เราต้องไม่สั่นคลอนต่อกรณีใดๆ" สำนักข่าวเบลทา สื่อมวลชนแห่งรัฐ รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ ลูคาเชนโก . ผู้นำเบลารุส อ้างด้วยว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายในต่างแดน ต้องการทำลายสันติภาพในประเทศ และชี้ว่าเคียฟกำลังทำตามคำสั่งของตะวันตก . ก่อนหน้านี้ ในคำปราศรัยในวาระขึ้นปีใหม่ เซเลนสกี กล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้รบเพื่อสันติภาพ คำพูดที่พาดพิงถึงประชาชนชาวเบลารุสโดยเฉพาะ . "ถ้าเซเลนสกี พูดเป็นนัยว่าอีกไม่นาน เบลารุส อยากเป็นเหมือนยูเครน นี่คือสิ่งที่ผมคิดตอนที่ได้ยินเขาพูด ผมอุทานว่า พระเจ้า ขออย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเลย" ลูคาเชนโกระบุ . ลูคาเชนโก ซึ่งปกครองเบลารุสมาตั้งแต่ปี 1994 ลงสมัครรับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย ในศึกเลือกตั้งที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม ในขณะที่ศึกเลือกตั้งหนหลังสุดเมื่อปี 2020 โหมกระพือการประท้วงหลายระลอก ในสิ่งที่พวกฝ่ายค้านอ้างว่ามีการโกงอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเบลารุสปฏิเสธคำกล่าวหานี้ และยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบเป็นการบงการของสหรัฐฯและบริวารยุโรปของอเมริกา เช่นเดียวกับยูเครน . ลูคาเชนโก ถูกตราหน้าอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆของตะวันตก ว่าเป็น "เผด็จการ" สืบเนื่องจากการยึดครองอำนาจและคำกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเดือนพฤศจิกายน เขายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงที่มีเผด็จการภายในประเทศของเขา แต่เป็นเผด็จการแห่ง "เสถียรภาพ ความมั่นคง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเมตตาและใจดี" . ในยูเครน เคยมีการปฏิวัติที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกมาแล้ว 2 รอบ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์คลื่นการเดินขบวน "ยูโรไมดาน" ซึ่งเกิดขึ้นตามหลัง วิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานธิบดี ณ ขณะนั้น ขอเลื่อนการพูดคุยหารือข้อตกลงฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการคบค้าสมาคมกับสหภาพยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ท้ายที่สุดแล้วนำมาซึ่งการที่ ยานูโควิช ถูกโค่นอำนาจ และจัดตั้งรัฐบาลที่ฝักใฝ่สหรัฐฯและอียูขึ้นมาแทน . เหตุการณ์เหล่านั้นกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายกับรัสเซีย ในปี 2022 จากคำกล่าวอ้างของ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว . รัสเซียกับเบลารุส ลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคงฉบับใหม่เมื่อเดือนก่อน ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆแล้ว เนื้อหาในนั้นยังได้เปิดทางให้รัสเซีย ประจำการขีปนาวุธล้ำสมัย "โอเรสนิก" ในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1058 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซาโลเม ซูราบิชวิลี อดีตประธานาธิบดีจอร์เจียที่พยายามปฏิวัติสีในจอร์เจีย ตอนนี้ทำงานให้กับสถาบันแม็กเคน (McCain institute)

    สถานบันแม็กเคน (McCain institute) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่อ้างว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งเป็นของวุฒิสมาชิก John McCain และครอบครัวของ มีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีแนวนโยบายเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมผู้นำที่มีคุณธรรม ต่อสู้เพื่อสร้างโลกที่เสรี ปลอดภัย และยุติธรรมสำหรับทุกคน
    ซาโลเม ซูราบิชวิลี อดีตประธานาธิบดีจอร์เจียที่พยายามปฏิวัติสีในจอร์เจีย ตอนนี้ทำงานให้กับสถาบันแม็กเคน (McCain institute) สถานบันแม็กเคน (McCain institute) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่อ้างว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งเป็นของวุฒิสมาชิก John McCain และครอบครัวของ มีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีแนวนโยบายเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมผู้นำที่มีคุณธรรม ต่อสู้เพื่อสร้างโลกที่เสรี ปลอดภัย และยุติธรรมสำหรับทุกคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตบปาก 'ทักษิณ' พูดพล่อยเหยียดคน หวังนายกฯเตือนพ่อบ้าง
    .
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครปากแซ่บเท่ากับ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังตระเวนปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกท้องถิ่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงราย ถึงกับมีการพูดพาดพิงถึงคนแอฟริกันในลักษณะเหยียดเชื้อชาติ ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงความเหมาะสม
    .
    นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความคิดเห็นว่า นายทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือสนับสนุนพรรคใหญ่ และมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี การที่พูดในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ สีผิว ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่
    .
    “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในทางสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสีผิว หรือเชื้อชาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญมาก อยากให้คุณทักษิณออกมาขอโทษ ในสิ่งที่ได้พูดไป ในบ้านเราเองก็ไม่ได้มีคนที่มีสีผิวเหมือนกันหมด ตรงนี้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานมากๆ หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก เพราะรัฐบาลไทยไปสมัครเป็นสมาชิกมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหชาติ ได้ให้คำมั่นไว้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของธรรมาภิบาลของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการขจัดการเลือกปฏิบัติ" อังคณรา ระบุ
    .
    ด้าน ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่องนี้ยังมองว่าการกระทำของนายทักษิณที่ผ่านมายังไม่มีลักษณะใดที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ระบุว่า ส่วนตัว ไม่ได้ฟังว่าท่านทักษิณปราศรัยว่าอย่างไร แต่คิดว่าสามารถทำได้ในขอบเขตที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติให้ทำในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เป็นสิทธิของท่านที่จะไปพูดอะไร ไปทั้งทีก็ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ. หาเสียงอยู่แล้ว
    .
    “ไปแล้วไม่พูดหาเสียงแล้วจะไปทำไมครับ เป็นผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องไปหาเสียงครับ ไม่มีอะไรแปลกหรอก ท่านไปมาหลายจังหวัดแล้ว ผมไม่ได้ฟังแต่เชื่อว่าจากที่ท่านไม่ได้เยี่ยมพี่น้องประชาชนมานาน ท่านอาจจะดีใจ พี่น้องประชาชนก็ไปต้อนรับท่าน ก็เป็นเรื่องปกติ คนไทยทั้งประเทศรอพบท่านอยู่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไปพบกัน ได้เจรจา ได้พูดให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนเห็นว่าอนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายวิสุทธิ์ ระบุ
    .
    นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีระเบียบอะไรบอกว่าพูดอะไรได้แค่ไหน หาเสียงก็ต้องแจ้งว่าพรรคจะทำอะไร ผู้สมัครจะทำอะไร อันไหนที่เป็นประโยชน์ก็ต้องพูดกัน
    .
    ผู้สื่อข่าวถามว่า รอบนี้นายทักษิณดุดันขึ้น นายชูศักดิ์ ยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ดุดันอะไรครับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการหาเสียง”
    ...........
    Sondhi X
    ตบปาก 'ทักษิณ' พูดพล่อยเหยียดคน หวังนายกฯเตือนพ่อบ้าง . ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครปากแซ่บเท่ากับ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังตระเวนปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกท้องถิ่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงราย ถึงกับมีการพูดพาดพิงถึงคนแอฟริกันในลักษณะเหยียดเชื้อชาติ ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงความเหมาะสม . นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความคิดเห็นว่า นายทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือสนับสนุนพรรคใหญ่ และมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี การที่พูดในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ สีผิว ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ . “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในทางสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสีผิว หรือเชื้อชาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญมาก อยากให้คุณทักษิณออกมาขอโทษ ในสิ่งที่ได้พูดไป ในบ้านเราเองก็ไม่ได้มีคนที่มีสีผิวเหมือนกันหมด ตรงนี้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานมากๆ หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก เพราะรัฐบาลไทยไปสมัครเป็นสมาชิกมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหชาติ ได้ให้คำมั่นไว้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของธรรมาภิบาลของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการขจัดการเลือกปฏิบัติ" อังคณรา ระบุ . ด้าน ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่องนี้ยังมองว่าการกระทำของนายทักษิณที่ผ่านมายังไม่มีลักษณะใดที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ระบุว่า ส่วนตัว ไม่ได้ฟังว่าท่านทักษิณปราศรัยว่าอย่างไร แต่คิดว่าสามารถทำได้ในขอบเขตที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติให้ทำในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เป็นสิทธิของท่านที่จะไปพูดอะไร ไปทั้งทีก็ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ. หาเสียงอยู่แล้ว . “ไปแล้วไม่พูดหาเสียงแล้วจะไปทำไมครับ เป็นผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องไปหาเสียงครับ ไม่มีอะไรแปลกหรอก ท่านไปมาหลายจังหวัดแล้ว ผมไม่ได้ฟังแต่เชื่อว่าจากที่ท่านไม่ได้เยี่ยมพี่น้องประชาชนมานาน ท่านอาจจะดีใจ พี่น้องประชาชนก็ไปต้อนรับท่าน ก็เป็นเรื่องปกติ คนไทยทั้งประเทศรอพบท่านอยู่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไปพบกัน ได้เจรจา ได้พูดให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนเห็นว่าอนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายวิสุทธิ์ ระบุ . นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีระเบียบอะไรบอกว่าพูดอะไรได้แค่ไหน หาเสียงก็ต้องแจ้งว่าพรรคจะทำอะไร ผู้สมัครจะทำอะไร อันไหนที่เป็นประโยชน์ก็ต้องพูดกัน . ผู้สื่อข่าวถามว่า รอบนี้นายทักษิณดุดันขึ้น นายชูศักดิ์ ยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ดุดันอะไรครับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการหาเสียง” ........... Sondhi X
    Like
    Angry
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1091 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/
    อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล

    ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan

    “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน

    “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว!

    ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้

    “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม
    “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด

    “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย"

    วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล

    วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    3/ อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว! ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้ “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย" วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • 2/
    อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล

    ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan

    “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน

    “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว!

    ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้

    “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม
    “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด

    “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย"

    วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล

    วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    2/ อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว! ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้ “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย" วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 1/
    อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล

    ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan

    “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน

    “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว!

    ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้

    “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม
    “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด

    “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย"

    วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล

    วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    1/ อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว! ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้ “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย" วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS:

    เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา

    ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา

    ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้

    ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้

    ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ
    ---------------------------------------------------------
    อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก
    โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
    การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด

    https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/



    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS: เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้ ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้ ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ --------------------------------------------------------- อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีกลาโหมเทลอาวีฟ อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ออกแถลงการณ์ดุดันประกาศข่มขู่จะเด็ดหัวผู้นำกบฏฮูตี เหมือนที่ลงมือสังหารหัวหน้าฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ กลางกรุงเตหะรานเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานวานนี้ (23 ธ.ค.) ว่า รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ในวันจันทร์ (23) เป็นครั้งแรกที่เทลอาวีฟได้ยอมรับว่า เป็นคนลงมือลอบสังหารหัวหน้ากลุ่มฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ (Ismail Haniyeh) ช่วงระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของผู้นำอิหร่านคนใหม่กลางกรุงเตหะรานเมื่อกรกฎาคมก่อนหน้า
    .
    “พวกเราจะโจมตีอย่างหนักต่อกบฏฮูตี..และจะเด็ดหัวผู้นำของพวกเขา..เหมือนกับที่พวกเราทำกับอิสมาอิล ฮานิเยห์ ยาห์ยา ซินวอร์ และฮัสซัน นาสรัลลาห์ ในกรุงเตหะราน เขตฉนวนกาซา และเลบานอน พวกเราจะทำเช่นนี้ในโฮเดดา (Hodeida ) และกรุงซานา” รายงานจากแถลงการณ์ของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล
    .
    ในคำแถลงเป็นการประกาศตั้งเป้าล่าหัวผู้นำกบฏเยเมนที่นำกำลังระดมยิงมิสไซล์และโดรนโจมตีใส่อิสราเอล
    .
    "ไม่กี่วันมานี้เมื่อองค์กรก่อการร้ายกบฏฮูตียิงมิสไซล์ใส่อิสราเอล ผมต้องการส่งสารที่ชัดเจนไปหาคนเหล่านั้นในช่วงแรกของคำกล่าวของผมคือ พวกเราโค่นฮามาส พวกเราเอาชนะฮิซบอลเลาะห์ พวกเราทำให้ระบบป้องกันประเทศอิหร่านมองไม่เห็นและทำลายระบบการผลิต พวกเราโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดในซีเรีย พวกเราทำให้เกิดความหายนะแก่ขั้วแห่งปิศาจ และพวกเราจะจัดการองค์ก่อการร้ายฮูตีในเยเมน ที่ยังคงเป็นด่านสุดท้ายที่ยังหลงเหลือ" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลกล่าวในรายงานของรอยเตอร์
    .
    และเขายังประกาศต่อว่า อิสราเอลจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ของพวกเขา และพวกเราจะเด็ดหัวพวกแกนนำเหล่านั้น
    .
    บีบีซีรายงานว่า ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เปิดเผยถึงความก้าวหน้าที่จะนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงกาซาร่วมกับฮามาส แต่ทว่าเขาไม่สามารถให้เงื่อนเวลาว่าเมื่อใดที่ข้อตกลงจะบรรลุได้
    .
    ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงปาเลสไตน์ได้เปิดเผยกับบีบีซีว่า การเจรจาระหว่างฮามาสและอิสราเอลนั้นอยู่ในระดับที่เสร็จสิ้นไปแล้ว 90% แต่ยังเหลือประเด็นสำคัญต่างๆ อยู่
    .
    เนทันยาฮูกล่าวในงานเดียวกันกับที่รัฐมนตรีกลาโหมของเขายืนยันต่อสาธารณะว่า หัวหน้าฮามาสฮานิเยห์โดนขีปนาวุธยิงใส่หรือเป็นการลอบสังหารด้วยระเบิดที่เรือนพักของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) กลางกรุงเตหะรานนั้นเป็นผลงานของอิสราเอล
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนและกลุ่มบรรเทาทุกข์ได้ออกมาเตือนสถานการณ์เลวร้ายทางมนุษยธรรมในเขตฉนวนกาซา
    .
    ทั้งนี้ วันอาทิตย์ (23) กลุ่มออกซ์แฟม (Oxfam) แถลงว่ามีรถบรรเทาทุกข์จำนวนแค่ 12 คันที่ขนอาหารและน้ำเข้าในทางตอนเหนือของกาซาในช่วงเวลา 2 เดือนครึ่ง พร้อมกันยังกล่าวโทษกองทัพอิสราเอลตั้งใจขัดขวางอย่างมีระบบเพื่อให้การขนส่งเข้าสู่เขตฉนวนกาซาล่าช้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123558
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีกลาโหมเทลอาวีฟ อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ออกแถลงการณ์ดุดันประกาศข่มขู่จะเด็ดหัวผู้นำกบฏฮูตี เหมือนที่ลงมือสังหารหัวหน้าฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ กลางกรุงเตหะรานเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา . บีบีซีของอังกฤษรายงานวานนี้ (23 ธ.ค.) ว่า รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ในวันจันทร์ (23) เป็นครั้งแรกที่เทลอาวีฟได้ยอมรับว่า เป็นคนลงมือลอบสังหารหัวหน้ากลุ่มฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ (Ismail Haniyeh) ช่วงระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของผู้นำอิหร่านคนใหม่กลางกรุงเตหะรานเมื่อกรกฎาคมก่อนหน้า . “พวกเราจะโจมตีอย่างหนักต่อกบฏฮูตี..และจะเด็ดหัวผู้นำของพวกเขา..เหมือนกับที่พวกเราทำกับอิสมาอิล ฮานิเยห์ ยาห์ยา ซินวอร์ และฮัสซัน นาสรัลลาห์ ในกรุงเตหะราน เขตฉนวนกาซา และเลบานอน พวกเราจะทำเช่นนี้ในโฮเดดา (Hodeida ) และกรุงซานา” รายงานจากแถลงการณ์ของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล . ในคำแถลงเป็นการประกาศตั้งเป้าล่าหัวผู้นำกบฏเยเมนที่นำกำลังระดมยิงมิสไซล์และโดรนโจมตีใส่อิสราเอล . "ไม่กี่วันมานี้เมื่อองค์กรก่อการร้ายกบฏฮูตียิงมิสไซล์ใส่อิสราเอล ผมต้องการส่งสารที่ชัดเจนไปหาคนเหล่านั้นในช่วงแรกของคำกล่าวของผมคือ พวกเราโค่นฮามาส พวกเราเอาชนะฮิซบอลเลาะห์ พวกเราทำให้ระบบป้องกันประเทศอิหร่านมองไม่เห็นและทำลายระบบการผลิต พวกเราโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดในซีเรีย พวกเราทำให้เกิดความหายนะแก่ขั้วแห่งปิศาจ และพวกเราจะจัดการองค์ก่อการร้ายฮูตีในเยเมน ที่ยังคงเป็นด่านสุดท้ายที่ยังหลงเหลือ" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลกล่าวในรายงานของรอยเตอร์ . และเขายังประกาศต่อว่า อิสราเอลจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ของพวกเขา และพวกเราจะเด็ดหัวพวกแกนนำเหล่านั้น . บีบีซีรายงานว่า ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เปิดเผยถึงความก้าวหน้าที่จะนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงกาซาร่วมกับฮามาส แต่ทว่าเขาไม่สามารถให้เงื่อนเวลาว่าเมื่อใดที่ข้อตกลงจะบรรลุได้ . ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงปาเลสไตน์ได้เปิดเผยกับบีบีซีว่า การเจรจาระหว่างฮามาสและอิสราเอลนั้นอยู่ในระดับที่เสร็จสิ้นไปแล้ว 90% แต่ยังเหลือประเด็นสำคัญต่างๆ อยู่ . เนทันยาฮูกล่าวในงานเดียวกันกับที่รัฐมนตรีกลาโหมของเขายืนยันต่อสาธารณะว่า หัวหน้าฮามาสฮานิเยห์โดนขีปนาวุธยิงใส่หรือเป็นการลอบสังหารด้วยระเบิดที่เรือนพักของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) กลางกรุงเตหะรานนั้นเป็นผลงานของอิสราเอล . บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนและกลุ่มบรรเทาทุกข์ได้ออกมาเตือนสถานการณ์เลวร้ายทางมนุษยธรรมในเขตฉนวนกาซา . ทั้งนี้ วันอาทิตย์ (23) กลุ่มออกซ์แฟม (Oxfam) แถลงว่ามีรถบรรเทาทุกข์จำนวนแค่ 12 คันที่ขนอาหารและน้ำเข้าในทางตอนเหนือของกาซาในช่วงเวลา 2 เดือนครึ่ง พร้อมกันยังกล่าวโทษกองทัพอิสราเอลตั้งใจขัดขวางอย่างมีระบบเพื่อให้การขนส่งเข้าสู่เขตฉนวนกาซาล่าช้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123558 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 839 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้แทนยูเอ็นเตือนความขัดแย้งในซีเรีย “ยังไม่จบ” แม้ระบอบอัสซาดล่มสลาย พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการตั้งถิ่นฐานในที่ราบสูงโกลัน รวมทั้งยุติการโจมตีอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรียและสำทับว่า การยกเลิกมาตรการแซงก์ชันคือกุญแจสำคัญในการช่วยเหลือซีเรีย
    .
    เกียร์ เพเดอร์เซน ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำซีเรีย แถลงในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) เกี่ยวกับกลุ่มนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกีและกลุ่มนักรบเคิร์ด โดยเตือนว่า มีการสู้รบกันอย่างหนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และขณะนี้มีการต่ออายุข้อตกลงออกไปอีก 5 วัน แต่เขายังกังวลเกี่ยวกับรายงานการสู้รบที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นหายนะ
    .
    หลังการแถลงของเพเดอร์เซนไม่นาน อเมริกาประกาศว่า ได้ผลักดันให้มีการขยายข้อตกลงหยุดยิงระหว่างนักรบที่สนับสนุนตุรกีกับนักรบเคิร์ดในซีเรียที่เมืองแมนบิจไปจนถึงสิ้นสัปดาห์นี้
    .
    เพเดอร์เซนตั้งข้อสังเกตว่า อิสราเอลโจมตีซีเรียกว่า 350 ระลอกภายหลังรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดล่ม ซึ่งทำให้พลเรือนเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น และบ่อนทำลายแนวโน้มการผ่องถ่ายอำนาจทางการเมืองอย่างราบรื่น
    .
    เขายังเรียกร้องให้อิสราเอลยุติกิจกรรมการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ยึดครองในที่ราบสูงโกลันในซีเรียตามที่คณะรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศก่อนหน้านี้ซึ่งผิดกฎหมาย รวมทั้งขอให้ยุติการโจมตีอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรีย
    .
    เพเดอร์เซนเสริมว่า เขาได้พบผู้นำใหม่ของซีเรีย รวมทั้งเดินทางไปตรวจสอบคุกใต้ดินและสถานที่ทรมานและประหารชีวิตในเรือนจำเซดนายาภายใต้ระบอบอัสซาด
    .
    ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นผู้นี้เรียกร้องการสนับสนุนอย่างกว้างขวางสำหรับซีเรีย และยุติมาตรการแซงก์ชันเพื่อเปิดทางสำหรับการฟื้นฟูบูรณะประเทศที่ย่อยยับจากสงคราม
    .
    ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นเรียกร้องให้มีการดำเนินการกระบวนการทางการเมืองที่รวมคนทุกกลุ่มและนำโดยชาวซีเรีย หลังจากกลุ่มกบฏโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด
    .
    ขณะนี้ ชาติตะวันตกหลายแห่งรีบรุดติดต่อกับกลุ่มฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ที่เป็นแกนนำเข้ายึดกรุงดามัสกัส แม้กลุ่มกบฏนี้มีรากเหง้ามาจากเครือข่ายอัล-กออิดะห์สาขาซีเรีย รวมทั้งยังถูกชาติตะวันตกส่วนใหญ่ขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายก็ตาม
    .
    ทอม เฟลตเชอร์ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนคนใหม่ของยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสนามรบในซีเรียไม่ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความยากลำบากของประชาชนเกือบ 13 ล้านคนที่เผชิญความไม่มั่นคงด้านอาหารเฉียบพลัน นอกจากนั้นชาวซีเรียกว่า 1 ล้านคนยังต้องทิ้งถิ่นฐานในช่วงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์
    .
    เฟลตเชอร์เสริมว่า ได้พบผู้ปกครองใหม่ของซีเรียที่แสดงความมุ่งมั่นในการขยายโครงการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมที่สำคัญ อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า สถานการณ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียมีความรุนแรงมากขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรม และจำเป็นต้องหาทางคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว
    .
    ทางด้านลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำยูเอ็น แสดงความยินดีกับการล่มสลายของระบอบอัสซาด แต่เตือนว่า ซีเรียอาจกลายเป็นที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายอย่างกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอซิส)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121639
    ..............
    Sondhi X
    ผู้แทนยูเอ็นเตือนความขัดแย้งในซีเรีย “ยังไม่จบ” แม้ระบอบอัสซาดล่มสลาย พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการตั้งถิ่นฐานในที่ราบสูงโกลัน รวมทั้งยุติการโจมตีอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรียและสำทับว่า การยกเลิกมาตรการแซงก์ชันคือกุญแจสำคัญในการช่วยเหลือซีเรีย . เกียร์ เพเดอร์เซน ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำซีเรีย แถลงในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) เกี่ยวกับกลุ่มนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกีและกลุ่มนักรบเคิร์ด โดยเตือนว่า มีการสู้รบกันอย่างหนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และขณะนี้มีการต่ออายุข้อตกลงออกไปอีก 5 วัน แต่เขายังกังวลเกี่ยวกับรายงานการสู้รบที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นหายนะ . หลังการแถลงของเพเดอร์เซนไม่นาน อเมริกาประกาศว่า ได้ผลักดันให้มีการขยายข้อตกลงหยุดยิงระหว่างนักรบที่สนับสนุนตุรกีกับนักรบเคิร์ดในซีเรียที่เมืองแมนบิจไปจนถึงสิ้นสัปดาห์นี้ . เพเดอร์เซนตั้งข้อสังเกตว่า อิสราเอลโจมตีซีเรียกว่า 350 ระลอกภายหลังรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดล่ม ซึ่งทำให้พลเรือนเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น และบ่อนทำลายแนวโน้มการผ่องถ่ายอำนาจทางการเมืองอย่างราบรื่น . เขายังเรียกร้องให้อิสราเอลยุติกิจกรรมการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ยึดครองในที่ราบสูงโกลันในซีเรียตามที่คณะรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศก่อนหน้านี้ซึ่งผิดกฎหมาย รวมทั้งขอให้ยุติการโจมตีอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรีย . เพเดอร์เซนเสริมว่า เขาได้พบผู้นำใหม่ของซีเรีย รวมทั้งเดินทางไปตรวจสอบคุกใต้ดินและสถานที่ทรมานและประหารชีวิตในเรือนจำเซดนายาภายใต้ระบอบอัสซาด . ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นผู้นี้เรียกร้องการสนับสนุนอย่างกว้างขวางสำหรับซีเรีย และยุติมาตรการแซงก์ชันเพื่อเปิดทางสำหรับการฟื้นฟูบูรณะประเทศที่ย่อยยับจากสงคราม . ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นเรียกร้องให้มีการดำเนินการกระบวนการทางการเมืองที่รวมคนทุกกลุ่มและนำโดยชาวซีเรีย หลังจากกลุ่มกบฏโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด . ขณะนี้ ชาติตะวันตกหลายแห่งรีบรุดติดต่อกับกลุ่มฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ที่เป็นแกนนำเข้ายึดกรุงดามัสกัส แม้กลุ่มกบฏนี้มีรากเหง้ามาจากเครือข่ายอัล-กออิดะห์สาขาซีเรีย รวมทั้งยังถูกชาติตะวันตกส่วนใหญ่ขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายก็ตาม . ทอม เฟลตเชอร์ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนคนใหม่ของยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสนามรบในซีเรียไม่ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความยากลำบากของประชาชนเกือบ 13 ล้านคนที่เผชิญความไม่มั่นคงด้านอาหารเฉียบพลัน นอกจากนั้นชาวซีเรียกว่า 1 ล้านคนยังต้องทิ้งถิ่นฐานในช่วงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ . เฟลตเชอร์เสริมว่า ได้พบผู้ปกครองใหม่ของซีเรียที่แสดงความมุ่งมั่นในการขยายโครงการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมที่สำคัญ อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า สถานการณ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียมีความรุนแรงมากขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรม และจำเป็นต้องหาทางคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว . ทางด้านลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำยูเอ็น แสดงความยินดีกับการล่มสลายของระบอบอัสซาด แต่เตือนว่า ซีเรียอาจกลายเป็นที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายอย่างกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอซิส) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121639 .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 754 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวแสดงความหวังว่า คณะบริหารใหม่ของอเมริกาจะ “ตัดสินใจถูกต้อง” และร่วมมือกับปักกิ่งซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุ “สิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก” ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า สี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา แต่ความสัมพันธ์ที่ดีนี้มีอันร้าวฉานเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19
    .
    สองประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก งัดข้อกันหลากหลายประเด็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องการค้า เทคโนโลยี สิทธิมนุษยชน จนถึงเรื่องไต้หวัน
    .
    โดยเฉพาะในเรื่องหลังนี้ จีนถือว่า ไต้หวันเป็นดินแดนของตน และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจต้องใช้กำลังเข้ายึดในวันใดวันหนึ่ง ขณะที่อเมริกาแม้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็ผ่านกฎหมายให้เข้าช่วยเหลือไต้หวัน รวมทั้งทำข้อตกลงขายอาวุธให้ไทเปป้องกันตนเองได้
    .
    ณ งานประชุมสำคัญที่ปักกิ่งในวันอังคาร (17) หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน พูดว่า นโยบายของจีนต่ออเมริกา “ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” ในระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยเปิดงานคราวนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายมุ่งสะท้อนถึงผลงานทางการทูตของแดนมังกรในรอบปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคาดหวังต่างๆ สำหรับอนาคต
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศจีนระบุว่า จากการปฏิบัติงานของคณะทำงานต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการร่วมมือกันในการควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อสองประเทศร่วมมือกัน จีนและอเมริกาก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย
    .
    หวังยังแสดงความหวังว่า คณะบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะ “เลือกถูก” ด้วยการร่วมมือกับจีนเดินไปในทิศทางเดียวกัน เอาชนะอุปสรรค และมุ่งมั่นพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีเสถียรภาพ ราบรื่น และยั่งยืน
    .
    อย่างไรก็ดี เขายังคงกล่าวย้ำเตือนในเรื่องไต้หวัน โดยบอกว่า ปักกิ่ง “คัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวต่อการกดขี่อย่างผิดกฎหมายและไม่มีเหตุผลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าแทรกแซงอย่างหยาบคายในกิจการภายในของจีน” ซึ่งก็รวมทั้งเรื่องสถานะของเกาะไต้หวัน
    .
    ขณะเดียวกัน ในการปราศรัยคราวนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้วาดภาพของโลกที่มืดมนลงกว่าเดิม โดยที่มีการสู้รบขัดแย้งกันเพิ่มมากขึ้น
    .
    เขากล่าวเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์โลกที่มีความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งพัวพันกันอย่างยุ่งเหยิง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้น เวลาเดียวกันนั้น กระแสการแยกตัดขาดจากกันและการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานก็กำลังรุนแรงขึ้น ก่อนจะสำทับว่า ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายและความขัดแย้งทั่วโลก จีนจะยังคงเป็นพลังส่งเสริมสันติภาพต่อไป
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (16) ทรัมป์ได้จัดแถลงข่าวครั้งแรกนับจากชนะการเลือกตั้งเมื่อ 6 สัปดาห์ที่แล้ว ณ รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริดา ของเขา โดยช่วงหนึ่งได้บอกว่า เขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนกัน และเอ่ยชื่นชมว่า ประมุขจีนว่าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก แต่แล้วความสัมพันธ์ที่ดีมากระหว่างกันก็มีอันร้าวฉานนับจากโควิด-19 ระบาด
    .
    ทรัมป์เปิดเผยในสัปดาห์ที่แล้วว่า สี เป็นผู้นำต่างประเทศคนหนึ่งในหลายๆ คนที่เขาได้เชื้อเชิญให้มาร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของเขาที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 20 ม.ค. ที่จะถึงนี้ โดยรายงานข่าวระบุว่าเขาได้เชิญ สี ตั้งแต่ไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งตอนต้นเดือน พ.ย. ด้วยซ้ำ ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าประมุขจีนจะตอบรับหรือไม่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามในวันจันทร์ (16) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทรัมป์ก็ตอบเลี่ยงๆ ว่า “โควิดไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างตัวเขากับสี) สิ้นสุดลง แต่มันก็กลายเป็นก้าวเดินที่ต้องก้าวไกลเกินไปสำหรับผม”
    .
    อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกายังคงพูดในแง่ดีว่า “จีนกับสหรัฐฯสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างของโลก คุณลองคิดดูสิ” และย้ำว่า “ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญมาก และเขาก็เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม”
    .
    กระนั้น พวกนักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงมองว่า ดูเหมือนคำพูดและการกระทำของทรัมป์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอชื่อผู้ที่มีจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนเข้ารับบทบาทสำคัญในทีมงานด้านการทูตและเศรษฐกิจของเขา ส่งสัญญาณว่า จะมีการเผชิญหน้ากับจีนที่เป็นศัตรูเชิงยุทธศาสตร์หลักของอเมริกามากกว่าสมัยทรัมป์ 1.0 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า ซึ่งสร้างความปั่นป่วนยุ่งเยิกให้แก่ห่วงโซ่อุปทานโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศจากการทำให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้น
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีก 10% จาก 60% ที่ขู่ไว้แต่แรก เพื่อกดดันให้จีนพยายามมากขึ้นในการสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทางด้านจีนเตรียมพร้อมตอบโต้คณะบริหารของทรัมป์แบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน และกำลังรวบรวมเครื่องมือต่อรองเพื่อเริ่มต้นการเจรจา ซึ่งรวมถึงประเด็นทางการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121237
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวแสดงความหวังว่า คณะบริหารใหม่ของอเมริกาจะ “ตัดสินใจถูกต้อง” และร่วมมือกับปักกิ่งซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุ “สิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก” ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า สี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา แต่ความสัมพันธ์ที่ดีนี้มีอันร้าวฉานเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 . สองประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก งัดข้อกันหลากหลายประเด็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องการค้า เทคโนโลยี สิทธิมนุษยชน จนถึงเรื่องไต้หวัน . โดยเฉพาะในเรื่องหลังนี้ จีนถือว่า ไต้หวันเป็นดินแดนของตน และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจต้องใช้กำลังเข้ายึดในวันใดวันหนึ่ง ขณะที่อเมริกาแม้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็ผ่านกฎหมายให้เข้าช่วยเหลือไต้หวัน รวมทั้งทำข้อตกลงขายอาวุธให้ไทเปป้องกันตนเองได้ . ณ งานประชุมสำคัญที่ปักกิ่งในวันอังคาร (17) หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน พูดว่า นโยบายของจีนต่ออเมริกา “ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” ในระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยเปิดงานคราวนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายมุ่งสะท้อนถึงผลงานทางการทูตของแดนมังกรในรอบปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคาดหวังต่างๆ สำหรับอนาคต . รัฐมนตรีต่างประเทศจีนระบุว่า จากการปฏิบัติงานของคณะทำงานต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการร่วมมือกันในการควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อสองประเทศร่วมมือกัน จีนและอเมริกาก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย . หวังยังแสดงความหวังว่า คณะบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะ “เลือกถูก” ด้วยการร่วมมือกับจีนเดินไปในทิศทางเดียวกัน เอาชนะอุปสรรค และมุ่งมั่นพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีเสถียรภาพ ราบรื่น และยั่งยืน . อย่างไรก็ดี เขายังคงกล่าวย้ำเตือนในเรื่องไต้หวัน โดยบอกว่า ปักกิ่ง “คัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวต่อการกดขี่อย่างผิดกฎหมายและไม่มีเหตุผลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าแทรกแซงอย่างหยาบคายในกิจการภายในของจีน” ซึ่งก็รวมทั้งเรื่องสถานะของเกาะไต้หวัน . ขณะเดียวกัน ในการปราศรัยคราวนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้วาดภาพของโลกที่มืดมนลงกว่าเดิม โดยที่มีการสู้รบขัดแย้งกันเพิ่มมากขึ้น . เขากล่าวเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์โลกที่มีความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งพัวพันกันอย่างยุ่งเหยิง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้น เวลาเดียวกันนั้น กระแสการแยกตัดขาดจากกันและการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานก็กำลังรุนแรงขึ้น ก่อนจะสำทับว่า ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายและความขัดแย้งทั่วโลก จีนจะยังคงเป็นพลังส่งเสริมสันติภาพต่อไป . ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (16) ทรัมป์ได้จัดแถลงข่าวครั้งแรกนับจากชนะการเลือกตั้งเมื่อ 6 สัปดาห์ที่แล้ว ณ รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริดา ของเขา โดยช่วงหนึ่งได้บอกว่า เขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนกัน และเอ่ยชื่นชมว่า ประมุขจีนว่าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก แต่แล้วความสัมพันธ์ที่ดีมากระหว่างกันก็มีอันร้าวฉานนับจากโควิด-19 ระบาด . ทรัมป์เปิดเผยในสัปดาห์ที่แล้วว่า สี เป็นผู้นำต่างประเทศคนหนึ่งในหลายๆ คนที่เขาได้เชื้อเชิญให้มาร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของเขาที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 20 ม.ค. ที่จะถึงนี้ โดยรายงานข่าวระบุว่าเขาได้เชิญ สี ตั้งแต่ไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งตอนต้นเดือน พ.ย. ด้วยซ้ำ ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าประมุขจีนจะตอบรับหรือไม่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามในวันจันทร์ (16) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทรัมป์ก็ตอบเลี่ยงๆ ว่า “โควิดไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างตัวเขากับสี) สิ้นสุดลง แต่มันก็กลายเป็นก้าวเดินที่ต้องก้าวไกลเกินไปสำหรับผม” . อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกายังคงพูดในแง่ดีว่า “จีนกับสหรัฐฯสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างของโลก คุณลองคิดดูสิ” และย้ำว่า “ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญมาก และเขาก็เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม” . กระนั้น พวกนักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงมองว่า ดูเหมือนคำพูดและการกระทำของทรัมป์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอชื่อผู้ที่มีจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนเข้ารับบทบาทสำคัญในทีมงานด้านการทูตและเศรษฐกิจของเขา ส่งสัญญาณว่า จะมีการเผชิญหน้ากับจีนที่เป็นศัตรูเชิงยุทธศาสตร์หลักของอเมริกามากกว่าสมัยทรัมป์ 1.0 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า ซึ่งสร้างความปั่นป่วนยุ่งเยิกให้แก่ห่วงโซ่อุปทานโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศจากการทำให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้น . ทรัมป์ยังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีก 10% จาก 60% ที่ขู่ไว้แต่แรก เพื่อกดดันให้จีนพยายามมากขึ้นในการสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ทางด้านจีนเตรียมพร้อมตอบโต้คณะบริหารของทรัมป์แบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน และกำลังรวบรวมเครื่องมือต่อรองเพื่อเริ่มต้นการเจรจา ซึ่งรวมถึงประเด็นทางการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121237 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 885 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป.ป.ช.รับเรื่องคดีเอื้อทักษิณนอนชั้น 14 ไม่ติดคุก เปิดชื่อ 12 จนท.กรมคุก-รพ.ตำรวจ ไต่สวนชุดใหญ่

    ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องกรณีอธิบดีราชทัณฑ์-แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์นักโทษชายทักษิณ นอนวีไอพีชั้น 14 ไม่ติดคุกจริง เปิด 12 รายชื่ออธิบดี-รองอธิบดี-ผบ.เรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล โดนไต่สวนชุดใหญ่

    วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหา นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ

    โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป

    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ให้กรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนเป็นองค์คณะไต่สวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 12 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ นายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวที่ ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย 

    1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์   อธิบดีกรมราชทัณฑ์

    2. นายสิทธิ สุธีวงศ์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์

    3. นายชาญ วชิรเดช  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 

    4. นายนัสที ทองปลาด  ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ  เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ

    6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ

    7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี  นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์

    8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ  แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์

    9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข  ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์

    10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์  แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่

    11. นายสัญญา วงค์หินกอง  พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน  พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 

    ทั้งนี้ การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีชั้น 14 ของ ป.ป.ช. ครั้งนี้ เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่ามีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลอีกครั้ง เพราะฉะนั้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 12 ราย ตามรายชื่อข้างต้น ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ 

    สำหรับกรณีนี้ ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ป.ป.ช.ได้ทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งรายงานการตรวจสอบที่ชี้ว่า นายทักษิณ ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น มาให้ ป.ป.ช. พิจารณาประกอบในช่วงเดือน ส.ค.2567 ที่ผ่านมาด้วย

    ขณะที่การตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ขึ้นมาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้
    คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร
    ............
    Sondhi X
    ป.ป.ช.รับเรื่องคดีเอื้อทักษิณนอนชั้น 14 ไม่ติดคุก เปิดชื่อ 12 จนท.กรมคุก-รพ.ตำรวจ ไต่สวนชุดใหญ่ ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องกรณีอธิบดีราชทัณฑ์-แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์นักโทษชายทักษิณ นอนวีไอพีชั้น 14 ไม่ติดคุกจริง เปิด 12 รายชื่ออธิบดี-รองอธิบดี-ผบ.เรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล โดนไต่สวนชุดใหญ่ วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหา นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ให้กรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนเป็นองค์คณะไต่สวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 12 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ นายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวที่ ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย  1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์   อธิบดีกรมราชทัณฑ์ 2. นายสิทธิ สุธีวงศ์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 3. นายชาญ วชิรเดช  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์  4. นายนัสที ทองปลาด  ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ  เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี  นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ  แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข  ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์  แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ 11. นายสัญญา วงค์หินกอง  พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน  พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร  ทั้งนี้ การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีชั้น 14 ของ ป.ป.ช. ครั้งนี้ เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่ามีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลอีกครั้ง เพราะฉะนั้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 12 ราย ตามรายชื่อข้างต้น ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่  สำหรับกรณีนี้ ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ป.ป.ช.ได้ทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งรายงานการตรวจสอบที่ชี้ว่า นายทักษิณ ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น มาให้ ป.ป.ช. พิจารณาประกอบในช่วงเดือน ส.ค.2567 ที่ผ่านมาด้วย ขณะที่การตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ขึ้นมาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้ คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร ............ Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 991 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือรบ USS Savannah ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จะเข้าเทียบท่าที่กัมพูชา ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์!

    กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเปิดเผยว่าเรือรบ USS Savannah จะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ในระหว่างวันที่ 16-20 ธันวาคม โดยเรือรบ USS Savannah จัดอยู่ในประเภทเรือรบชายฝั่ง มีลูกเรือ 103 คน กระทรวงฯ กล่าว

    การเยือนครั้งนี้สหรัฐแสดงท่าทีชัดเจนถึงการ "เสริมสร้างและขยายสายสัมพันธ์มิตรภาพ ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี" ระหว่างสองประเทศ

    ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่สู้ดีนัก วอชิงตันวิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาว่ามีการปราบปรามทางการเมืองและละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอด

    "แต่สหรัฐอาจจำเป็นต้องมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป" เพราะไม่สบายใจเกี่ยวกับการยกระดับฐานทัพเรือกัมพูชาใกล้สีหนุวิลล์ ซึ่งฐานทัพดังกล่าวจะถูกเรือของจีนนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของปักกิ่งในภูมิภาค
    เรือรบ USS Savannah ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จะเข้าเทียบท่าที่กัมพูชา ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์! กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเปิดเผยว่าเรือรบ USS Savannah จะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ในระหว่างวันที่ 16-20 ธันวาคม โดยเรือรบ USS Savannah จัดอยู่ในประเภทเรือรบชายฝั่ง มีลูกเรือ 103 คน กระทรวงฯ กล่าว การเยือนครั้งนี้สหรัฐแสดงท่าทีชัดเจนถึงการ "เสริมสร้างและขยายสายสัมพันธ์มิตรภาพ ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี" ระหว่างสองประเทศ ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่สู้ดีนัก วอชิงตันวิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาว่ามีการปราบปรามทางการเมืองและละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอด "แต่สหรัฐอาจจำเป็นต้องมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป" เพราะไม่สบายใจเกี่ยวกับการยกระดับฐานทัพเรือกัมพูชาใกล้สีหนุวิลล์ ซึ่งฐานทัพดังกล่าวจะถูกเรือของจีนนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของปักกิ่งในภูมิภาค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts