• "แพทองธาร" ตื่นแล้ว!!! ประณามกัมพูชายิงพลเรือน-ละเมิดหลักสากล ยันไทยพร้อมตอบโต้ภายใต้กรอบกฎหมาย
    https://www.thai-tai.tv/news/20500/
    .
    #แพทองธารชินวัตร #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #ละเมิดสิทธิมนุษยชน #สันติวิธี #มาตรการตอบโต้ #กองทัพไทย #กระทรวงการต่างประเทศ #ปกป้องอธิปไตย #ความปลอดภัยประชาชน
    "แพทองธาร" ตื่นแล้ว!!! ประณามกัมพูชายิงพลเรือน-ละเมิดหลักสากล ยันไทยพร้อมตอบโต้ภายใต้กรอบกฎหมาย https://www.thai-tai.tv/news/20500/ . #แพทองธารชินวัตร #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #ละเมิดสิทธิมนุษยชน #สันติวิธี #มาตรการตอบโต้ #กองทัพไทย #กระทรวงการต่างประเทศ #ปกป้องอธิปไตย #ความปลอดภัยประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวจากคุณ Wassana Nanuam ระบุว่ากองทัพเริ่มแจ้งเตือนว่า #กัมพูชา เริ่มมีการวางกับระเบิดสังหารในพื้นที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อกำลังพลของฝ่ายไทย

    ทั้งนี้ ในระดับนานาชาตินั้นมีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) หรือสนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งห้ามการใช้ระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก เพราะผลกระทบของทุ่นระเบิดเหล่านี้ส่งผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยไทยให้สัตยาบันต่ออนุสัญญานี้เมื่อปี 1998

    สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กัมพูชาก็เป็นภาคีของอนุสัญญานี้ และให้สัตยาบันตั้งแต่ปี 1999 เช่นกัน

    ดังนั้นถ้ากัมพูชาใช้กับระเบิด สิ่งที่กองทัพไทยควรทำก็คือเก็บหลักฐานทั้งภาพถ่าย ตำแหน่งที่พบ รวมถึงเก็บกู้กับระเบิดเหล่านั้นและเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการทางการทูตต่อไป เพราะแม้ว่าการละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาจะไม่ต้องขึ้นศาลโลกหรือไม่ถูกบังคับด้วยกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ แต่สามารถนำไปใช้เพื่อผลในการกดดันทางการทูตได้ ซึ่งปกติแล้วชาติภาคีของสนธิสัญญาออตตาวาจะมีการจัดประชุมขึ้นทุกปี โดยในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ที่เจนิวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

    ซึ่งถ้าไทยสามารถแสดงหลักฐานต่าง ๆ ว่ากัมพูชาละเมิดสนธิสัญญานี้ในการประชุม ก็จะสามารถนำไปดำเนินการทางการทูตตามที่เห็นสมควรต่อได้ อย่างน้อยที่สุดคือการทำให้ที่ประชุมระบุว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาครับ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1FtsgELhHY/?mibextid=wwXIfr
    ข่าวจากคุณ Wassana Nanuam ระบุว่ากองทัพเริ่มแจ้งเตือนว่า #กัมพูชา เริ่มมีการวางกับระเบิดสังหารในพื้นที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อกำลังพลของฝ่ายไทย ทั้งนี้ ในระดับนานาชาตินั้นมีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) หรือสนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งห้ามการใช้ระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก เพราะผลกระทบของทุ่นระเบิดเหล่านี้ส่งผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยไทยให้สัตยาบันต่ออนุสัญญานี้เมื่อปี 1998 สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กัมพูชาก็เป็นภาคีของอนุสัญญานี้ และให้สัตยาบันตั้งแต่ปี 1999 เช่นกัน ดังนั้นถ้ากัมพูชาใช้กับระเบิด สิ่งที่กองทัพไทยควรทำก็คือเก็บหลักฐานทั้งภาพถ่าย ตำแหน่งที่พบ รวมถึงเก็บกู้กับระเบิดเหล่านั้นและเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการทางการทูตต่อไป เพราะแม้ว่าการละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาจะไม่ต้องขึ้นศาลโลกหรือไม่ถูกบังคับด้วยกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ แต่สามารถนำไปใช้เพื่อผลในการกดดันทางการทูตได้ ซึ่งปกติแล้วชาติภาคีของสนธิสัญญาออตตาวาจะมีการจัดประชุมขึ้นทุกปี โดยในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ที่เจนิวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งถ้าไทยสามารถแสดงหลักฐานต่าง ๆ ว่ากัมพูชาละเมิดสนธิสัญญานี้ในการประชุม ก็จะสามารถนำไปดำเนินการทางการทูตตามที่เห็นสมควรต่อได้ อย่างน้อยที่สุดคือการทำให้ที่ประชุมระบุว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาครับ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1FtsgELhHY/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ.
    รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย:
    ปัญหาทางเศรษฐกิจ:
    การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก.
    ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ.
    การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030.
    ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย.
    ปัญหาสังคม:
    ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย.
    ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้.
    การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ.
    แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน.
    ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม:
    มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง.
    มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน.
    ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ.
    ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ. รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย: ปัญหาทางเศรษฐกิจ: การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ. การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030. ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย. ปัญหาสังคม: ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย. ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้. การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ. แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม: มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง. มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ. ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้กล่าวถึงปัญหาการขาดการควบคุมเนื้อหาในโซเชียลมีเดียในประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งส่งผลให้เกิดการเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังและเนื้อหาที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะในภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษาอัมฮาริก ทิกรินยา และอาฟานโอโรโม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Lella Mesikir นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีที่ต้องลี้ภัยไปยังประเทศเคนยา หลังจากถูกข่มขู่และโจมตีทางออนไลน์ผ่าน TikTok เนื่องจากโพสต์เกี่ยวกับสิทธิสตรี

    นักวิเคราะห์ระบุว่าโซเชียลมีเดียในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม เช่น เอธิโอเปีย มักกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีการควบคุม ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกระทำที่รุนแรง

    กรณีของ Lella Mesikir
    - Lella Mesikir ถูกข่มขู่และโจมตีทางออนไลน์หลังจากโพสต์เกี่ยวกับสิทธิสตรีใน TikTok
    - เธอต้องลี้ภัยไปยังประเทศเคนยาเพื่อความปลอดภัย

    ปัญหาการควบคุมเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย
    - TikTok ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถควบคุมเนื้อหาในภาษาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - มีการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น การข่มขืน การทรมาน และการแสดงความเกลียดชัง

    ผลกระทบต่อสังคมเอธิโอเปีย
    - โซเชียลมีเดียช่วยเพิ่มความรุนแรงในความขัดแย้งทางการเมือง ชาติพันธุ์ และศาสนา
    - ผู้หญิงที่ท้าทายบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี

    การตอบสนองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
    - TikTok อ้างว่ามีการใช้เทคโนโลยีและการตรวจสอบโดยมนุษย์ในกว่า 70 ภาษา รวมถึงภาษาอัมฮาริก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/online-threats-in-ethiopia-reveal-content-moderation-failures
    ข่าวนี้กล่าวถึงปัญหาการขาดการควบคุมเนื้อหาในโซเชียลมีเดียในประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งส่งผลให้เกิดการเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังและเนื้อหาที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะในภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษาอัมฮาริก ทิกรินยา และอาฟานโอโรโม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Lella Mesikir นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีที่ต้องลี้ภัยไปยังประเทศเคนยา หลังจากถูกข่มขู่และโจมตีทางออนไลน์ผ่าน TikTok เนื่องจากโพสต์เกี่ยวกับสิทธิสตรี นักวิเคราะห์ระบุว่าโซเชียลมีเดียในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม เช่น เอธิโอเปีย มักกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีการควบคุม ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกระทำที่รุนแรง ✅ กรณีของ Lella Mesikir - Lella Mesikir ถูกข่มขู่และโจมตีทางออนไลน์หลังจากโพสต์เกี่ยวกับสิทธิสตรีใน TikTok - เธอต้องลี้ภัยไปยังประเทศเคนยาเพื่อความปลอดภัย ✅ ปัญหาการควบคุมเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย - TikTok ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถควบคุมเนื้อหาในภาษาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ - มีการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น การข่มขืน การทรมาน และการแสดงความเกลียดชัง ✅ ผลกระทบต่อสังคมเอธิโอเปีย - โซเชียลมีเดียช่วยเพิ่มความรุนแรงในความขัดแย้งทางการเมือง ชาติพันธุ์ และศาสนา - ผู้หญิงที่ท้าทายบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ✅ การตอบสนองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย - TikTok อ้างว่ามีการใช้เทคโนโลยีและการตรวจสอบโดยมนุษย์ในกว่า 70 ภาษา รวมถึงภาษาอัมฮาริก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/online-threats-in-ethiopia-reveal-content-moderation-failures
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online threats in Ethiopia reveal content moderation failures
    Lella Mesikir built a huge following with online posts about gender rights in Ethiopia but says a lack of local language content moderation has forced her to flee into exile.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • Telegram กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากทางการฝรั่งเศส หลังจากที่ Pavel Durov ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram เปิดเผยว่าฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีการสร้าง backdoor เพื่อเข้าถึงข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ โดยอ้างว่าเป็นมาตรการในการต่อสู้กับการค้ายาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Durov ยืนยันว่า Telegram จะไม่ยอมลดทอนความปลอดภัยของระบบเข้ารหัสเพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาด

    ฝรั่งเศสเรียกร้องให้ Telegram สร้าง backdoor เพื่อเข้าถึงข้อความส่วนตัว
    - กฎหมายที่ผ่านโดยวุฒิสภาฝรั่งเศสมีเป้าหมายเพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อความส่วนตัวของผู้ใช้
    - Durov ระบุว่ากฎหมายนี้ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ เนื่องจากผู้กระทำผิดสามารถใช้แอปอื่นหรือ VPN เพื่อหลบเลี่ยง

    Telegram ยืนยันว่าจะไม่ลดทอนความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส
    - Durov กล่าวว่า "Telegram จะออกจากตลาดแทนที่จะลดทอนการเข้ารหัสและละเมิดสิทธิมนุษยชน"
    - Telegram เปิดเผยข้อมูล IP และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องสงสัยให้กับทางการเฉพาะเมื่อมีคำสั่งศาลที่ถูกต้อง

    Telegram มีประวัติการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
    - ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา Telegram ไม่เคยเปิดเผยข้อความส่วนตัวของผู้ใช้แม้แต่ไบต์เดียว

    กฎหมายลักษณะเดียวกันกำลังถูกเสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรป
    - คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังพิจารณากฎหมายที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแอปส่งข้อความทั่วทั้งยุโรป

    https://www.neowin.net/news/telegram-ceo-says-french-authorities-demanded-a-backdoor-to-access-users-messages/
    Telegram กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากทางการฝรั่งเศส หลังจากที่ Pavel Durov ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram เปิดเผยว่าฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีการสร้าง backdoor เพื่อเข้าถึงข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ โดยอ้างว่าเป็นมาตรการในการต่อสู้กับการค้ายาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Durov ยืนยันว่า Telegram จะไม่ยอมลดทอนความปลอดภัยของระบบเข้ารหัสเพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาด ✅ ฝรั่งเศสเรียกร้องให้ Telegram สร้าง backdoor เพื่อเข้าถึงข้อความส่วนตัว - กฎหมายที่ผ่านโดยวุฒิสภาฝรั่งเศสมีเป้าหมายเพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ - Durov ระบุว่ากฎหมายนี้ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ เนื่องจากผู้กระทำผิดสามารถใช้แอปอื่นหรือ VPN เพื่อหลบเลี่ยง ✅ Telegram ยืนยันว่าจะไม่ลดทอนความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส - Durov กล่าวว่า "Telegram จะออกจากตลาดแทนที่จะลดทอนการเข้ารหัสและละเมิดสิทธิมนุษยชน" - Telegram เปิดเผยข้อมูล IP และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องสงสัยให้กับทางการเฉพาะเมื่อมีคำสั่งศาลที่ถูกต้อง ✅ Telegram มีประวัติการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด - ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา Telegram ไม่เคยเปิดเผยข้อความส่วนตัวของผู้ใช้แม้แต่ไบต์เดียว ✅ กฎหมายลักษณะเดียวกันกำลังถูกเสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรป - คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังพิจารณากฎหมายที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแอปส่งข้อความทั่วทั้งยุโรป https://www.neowin.net/news/telegram-ceo-says-french-authorities-demanded-a-backdoor-to-access-users-messages/
    WWW.NEOWIN.NET
    Telegram CEO says French authorities demanded a backdoor to access users' messages
    Telegram CEO Pavel Durov revealed that the French police and European Commission are advocating for a law that forces messaging apps to implement a backdoor for authorities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว

  • Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4)
    *****************
    เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ
    เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน
    กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ
    ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย
    มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น
    พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น
    *****************
    USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ
    สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู
    ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้
    1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563
    2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566
    3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563
    4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571
    5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold

    *****************
    รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน
    การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ
    ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง
    การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
    *****************
    EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม
    ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA
    *****************
    ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน
    พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน
    สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย
    เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้
    *****************
    อ้างอิง :
    • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia
    • World Gold Council https://www.gold.org/
    • EarthRights International
    Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4) ***************** เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น ***************** USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้ 1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563 2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566 3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563 4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571 5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold ***************** รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น ***************** EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA ***************** ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้ ***************** อ้างอิง : • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia • World Gold Council https://www.gold.org/ • EarthRights International
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1334 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน
    ______________________________
    23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
    China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90
    ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน)
    ______________________________
    ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ
    สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม
    หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ)
    บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง
    นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก
    ______________________________
    การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น
    • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV
    • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน
    • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ
    • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม
    • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry)
    สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน
    ______________________________
    ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย
    ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล
    หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้:
    • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง
    • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย
    • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF
    • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่
    • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง
    • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง
    • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง
    ______________________________
    สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง
    การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED
    สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง
    ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน
    ______________________________
    ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน
    สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ
    KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่
    รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ______________________________
    สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต
    อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ
    https://shorturl.asia/6GnqX
    ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942
    ______________________________

    10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน)
    1. แร่ดีบุก (Tin)
    o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563
    o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region)
    2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน
    o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region)
    3. ทองแดง (Copper)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร
    o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State)
    4. ตะกั่ว (Lead)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State)
    5. สังกะสี (Zinc)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ
    o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region)
    6. นิกเกิล (Nickel)
    o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน
    7. พลวง (Antimony)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน
    o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    8. ทังสเตน (Tungsten)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง
    o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น
    9. ทองคำ (Gold)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก
    o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ
    o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย
    10. อิตเทรียม (Yttrium)
    o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ
    o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร
    ______________________________
    ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน ______________________________ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90 ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน) ______________________________ ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก ______________________________ การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry) สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน ______________________________ ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้: • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่ • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง ______________________________ สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน ______________________________ ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่ รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ______________________________ สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ https://shorturl.asia/6GnqX ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942 ______________________________ 10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน) 1. แร่ดีบุก (Tin) o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563 o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region) 2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์ o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region) 3. ทองแดง (Copper) o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State) 4. ตะกั่ว (Lead) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์ o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State) 5. สังกะสี (Zinc) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region) 6. นิกเกิล (Nickel) o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน 7. พลวง (Antimony) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ 8. ทังสเตน (Tungsten) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น 9. ทองคำ (Gold) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย 10. อิตเทรียม (Yttrium) o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร ______________________________
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1457 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มีใครแสดงความกังวล หรือเฝ้าจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือยัง"

    ศาลฎีกาสหรัฐมีมติเอกฉันท์ด้วยมติเสียงเห็นชอบ 9-0 ยืนตามคำสั่งศาลที่กำหนดให้รัฐบาลทรัมป์ต้อง "อำนวยความสะดวก" (facilitate) ในการนำตัว Kilmar Armando Abrego Garcia ชายชาวแมริแลนด์ กลับมายังสหรัฐฯ หลังจากเนรเทศเขากลับไปยังเอลซัลวาดอร์อย่างผิดกฎหมาย และต้องจัดการคดีของเขาเหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกส่งไปที่นั่น


    สำหรับ Kilmar Armando Abrego Garcia เป็นชาวเอลซัลวาดอร์ อาศัยอยู่ในรัฐแมรี่แลนด์ โดยมี “สถานะผู้อพยพพิเศษ” ได้ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและถูกเนรเทศอย่างผิดกฎหมายไปยังเรือนจำในประเทศเอลซัลวาดอร์เมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมด้วยผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกราว 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรงและอาจเกี่ยวข้องเป็นสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรของเวเนซุเอลาที่ปฏิบัติการอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้


    ลิ้งค์ไฟล์เอกสาร
    https://www.documentcloud.org/documents/25894465-24a949-order/
    "มีใครแสดงความกังวล หรือเฝ้าจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือยัง" ศาลฎีกาสหรัฐมีมติเอกฉันท์ด้วยมติเสียงเห็นชอบ 9-0 ยืนตามคำสั่งศาลที่กำหนดให้รัฐบาลทรัมป์ต้อง "อำนวยความสะดวก" (facilitate) ในการนำตัว Kilmar Armando Abrego Garcia ชายชาวแมริแลนด์ กลับมายังสหรัฐฯ หลังจากเนรเทศเขากลับไปยังเอลซัลวาดอร์อย่างผิดกฎหมาย และต้องจัดการคดีของเขาเหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกส่งไปที่นั่น สำหรับ Kilmar Armando Abrego Garcia เป็นชาวเอลซัลวาดอร์ อาศัยอยู่ในรัฐแมรี่แลนด์ โดยมี “สถานะผู้อพยพพิเศษ” ได้ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและถูกเนรเทศอย่างผิดกฎหมายไปยังเรือนจำในประเทศเอลซัลวาดอร์เมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมด้วยผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกราว 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรงและอาจเกี่ยวข้องเป็นสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรของเวเนซุเอลาที่ปฏิบัติการอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้ ลิ้งค์ไฟล์เอกสาร https://www.documentcloud.org/documents/25894465-24a949-order/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    ภาพกองกำลังอิสราเอลใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงด้วย skunk water (น้ำที่มีกลิ่นเหม็นมากๆ) ไปทั่วบริเวณย่านอิสซาวิยาในเยรูซาเล็มตะวันออก


    ช่วงเวลานั้นไม่ได้มีการชุมนุมประท้วงของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่การคุกคามใดๆต่อกองกำลังอิสราเอล


    กองกำลังอิสราเอลทำไปเพื่อความสนุก สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และเพื่อทรมานชาวปาเลสไตน์เท่านั้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่อิสราเอล "ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์" โดยไม่มีใครสนใจ
    2/ ภาพกองกำลังอิสราเอลใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงด้วย skunk water (น้ำที่มีกลิ่นเหม็นมากๆ) ไปทั่วบริเวณย่านอิสซาวิยาในเยรูซาเล็มตะวันออก ช่วงเวลานั้นไม่ได้มีการชุมนุมประท้วงของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่การคุกคามใดๆต่อกองกำลังอิสราเอล กองกำลังอิสราเอลทำไปเพื่อความสนุก สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และเพื่อทรมานชาวปาเลสไตน์เท่านั้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่อิสราเอล "ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์" โดยไม่มีใครสนใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • 1/
    ภาพกองกำลังอิสราเอลใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงด้วย skunk water (น้ำที่มีกลิ่นเหม็นมากๆ) ไปทั่วบริเวณย่านอิสซาวิยาในเยรูซาเล็มตะวันออก


    ช่วงเวลานั้นไม่ได้มีการชุมนุมประท้วงของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่การคุกคามใดๆต่อกองกำลังอิสราเอล


    กองกำลังอิสราเอลทำไปเพื่อความสนุก สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และเพื่อทรมานชาวปาเลสไตน์เท่านั้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่อิสราเอล "ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์" โดยไม่มีใครสนใจ
    1/ ภาพกองกำลังอิสราเอลใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงด้วย skunk water (น้ำที่มีกลิ่นเหม็นมากๆ) ไปทั่วบริเวณย่านอิสซาวิยาในเยรูซาเล็มตะวันออก ช่วงเวลานั้นไม่ได้มีการชุมนุมประท้วงของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่การคุกคามใดๆต่อกองกำลังอิสราเอล กองกำลังอิสราเอลทำไปเพื่อความสนุก สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และเพื่อทรมานชาวปาเลสไตน์เท่านั้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่อิสราเอล "ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์" โดยไม่มีใครสนใจ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ปลดพนักงานสองคนที่มีส่วนร่วมในการประท้วงระหว่างงานฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยพนักงานเหล่านี้แสดงความไม่พอใจต่อการที่ Microsoft มีสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    การประท้วงในงานสำคัญ: พนักงานคนหนึ่งชื่อ Ibtihal Aboussad ขัดจังหวะการนำเสนอของหัวหน้าฝ่าย AI ของ Microsoft และส่งอีเมลถึงพนักงานหลายพันคน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อเรียกร้องให้ยุติสัญญากับรัฐบาลอิสราเอล

    การประท้วงเพิ่มเติม: พนักงานอีกคน Vaniya Agrawal ขัดจังหวะคำพูดของ CEO Satya Nadella ในงานอื่น พร้อมส่งอีเมลวิจารณ์ว่า Microsoft เป็น "ผู้ผลิตอาวุธดิจิทัล"

    การละเมิดนโยบายบริษัท: Microsoft ระบุว่าการกระทำของพนักงานทั้งสองเป็นการละเมิดนโยบายที่ตั้งใจสร้างความวุ่นวายและดึงความสนใจในทางที่ไม่เหมาะสม

    การปลดพนักงานทันที: บริษัทตัดสินใจยุติสัญญาจ้างงานของพนักงานทั้งสองทันที โดยระบุว่าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพฤติกรรมดังกล่าว

    https://www.techspot.com/news/107478-microsoft-fires-engineers-who-protested-israeli-military-use.html
    Microsoft ได้ปลดพนักงานสองคนที่มีส่วนร่วมในการประท้วงระหว่างงานฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยพนักงานเหล่านี้แสดงความไม่พอใจต่อการที่ Microsoft มีสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน 🛑 การประท้วงในงานสำคัญ: พนักงานคนหนึ่งชื่อ Ibtihal Aboussad ขัดจังหวะการนำเสนอของหัวหน้าฝ่าย AI ของ Microsoft และส่งอีเมลถึงพนักงานหลายพันคน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อเรียกร้องให้ยุติสัญญากับรัฐบาลอิสราเอล 🛑 การประท้วงเพิ่มเติม: พนักงานอีกคน Vaniya Agrawal ขัดจังหวะคำพูดของ CEO Satya Nadella ในงานอื่น พร้อมส่งอีเมลวิจารณ์ว่า Microsoft เป็น "ผู้ผลิตอาวุธดิจิทัล" 📋 การละเมิดนโยบายบริษัท: Microsoft ระบุว่าการกระทำของพนักงานทั้งสองเป็นการละเมิดนโยบายที่ตั้งใจสร้างความวุ่นวายและดึงความสนใจในทางที่ไม่เหมาะสม ❌ การปลดพนักงานทันที: บริษัทตัดสินใจยุติสัญญาจ้างงานของพนักงานทั้งสองทันที โดยระบุว่าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพฤติกรรมดังกล่าว https://www.techspot.com/news/107478-microsoft-fires-engineers-who-protested-israeli-military-use.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft fires engineers over AI protest at 50th-anniversary event
    One of the employees, Ibtihal Aboussad, interrupted a presentation by Mustafa Suleyman, Microsoft's head of AI, during the anniversary event. Following the incident, she sent an email...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงานฉลองครบรอบ 50 ปีของ Microsoft เกิดการประท้วงจากพนักงานที่กล่าวหา Microsoft ในการสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในปาเลสไตน์ พนักงานที่ประท้วงชี้ว่า AI ของ Microsoft ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มความรุนแรงในกาซา และเรียกร้องให้หยุดข้อตกลงกับกองทัพอิสราเอล ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับชื่อเสียงของบริษัทในระดับโลก

    ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการใช้งาน AI ในกิจการทางทหาร
    - Ibtihal กล่าวว่าผลงานด้าน AI ที่เธอมีส่วนร่วม ถูกใช้เพื่อ สนับสนุนการทำงานของกองทัพอิสราเอล เช่น การสอดแนม การแปล และการกำหนดเป้าหมายที่เพิ่มความรุนแรงในกาซา
    - มีการอ้างอิงถึง ข้อตกลงมูลค่า $133 ล้าน ระหว่าง Microsoft และกระทรวงกลาโหมอิสราเอล

    การประท้วงที่เกิดจากความไม่โปร่งใสภายในองค์กร
    - Ibtihal กล่าวว่าพนักงานกลุ่ม อาหรับ ปาเลสไตน์ และมุสลิมใน Microsoft ถูกกดดันไม่ให้แสดงความเห็นต่าง
    - ในอีเมลที่เธอส่งถึงพนักงานหลายพันคน เธอยืนยันว่า Microsoft ต้อง รับผิดชอบต่อการกระทำของ AI ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

    ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหามนุษยธรรมในปาเลสไตน์
    - Ibtihal กล่าวถึง ความสูญเสียของพลเรือนจากการโจมตีในกาซาที่ทำให้เสียชีวิตกว่า 300,000 คนใน 1.5 ปีที่ผ่านมา
    - เธอเน้นย้ำว่าเทคโนโลยี AI ของ Microsoft ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มความรุนแรงในพื้นที่ โดยขัดแย้งกับจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทเอง

    การเคลื่อนไหวเพื่อหยุดการสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    - Ibtihal เรียกร้องให้ Microsoft หยุดขายเทคโนโลยีให้กองทัพอิสราเอล และสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางสังคม
    - เธอยังอ้างว่า AI ของ Microsoft ถูกออกแบบเพื่อเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม เช่น การสอดแนมแพทย์และนักข่าว

    https://www.neowin.net/news/microsoft-using-ai-for-war-and-genocide-cried-protesting-staff-at-50th-anniversary-event/
    ในงานฉลองครบรอบ 50 ปีของ Microsoft เกิดการประท้วงจากพนักงานที่กล่าวหา Microsoft ในการสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในปาเลสไตน์ พนักงานที่ประท้วงชี้ว่า AI ของ Microsoft ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มความรุนแรงในกาซา และเรียกร้องให้หยุดข้อตกลงกับกองทัพอิสราเอล ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับชื่อเสียงของบริษัทในระดับโลก ✅ ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการใช้งาน AI ในกิจการทางทหาร - Ibtihal กล่าวว่าผลงานด้าน AI ที่เธอมีส่วนร่วม ถูกใช้เพื่อ สนับสนุนการทำงานของกองทัพอิสราเอล เช่น การสอดแนม การแปล และการกำหนดเป้าหมายที่เพิ่มความรุนแรงในกาซา - มีการอ้างอิงถึง ข้อตกลงมูลค่า $133 ล้าน ระหว่าง Microsoft และกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ✅ การประท้วงที่เกิดจากความไม่โปร่งใสภายในองค์กร - Ibtihal กล่าวว่าพนักงานกลุ่ม อาหรับ ปาเลสไตน์ และมุสลิมใน Microsoft ถูกกดดันไม่ให้แสดงความเห็นต่าง - ในอีเมลที่เธอส่งถึงพนักงานหลายพันคน เธอยืนยันว่า Microsoft ต้อง รับผิดชอบต่อการกระทำของ AI ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ✅ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหามนุษยธรรมในปาเลสไตน์ - Ibtihal กล่าวถึง ความสูญเสียของพลเรือนจากการโจมตีในกาซาที่ทำให้เสียชีวิตกว่า 300,000 คนใน 1.5 ปีที่ผ่านมา - เธอเน้นย้ำว่าเทคโนโลยี AI ของ Microsoft ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มความรุนแรงในพื้นที่ โดยขัดแย้งกับจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทเอง ✅ การเคลื่อนไหวเพื่อหยุดการสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชน - Ibtihal เรียกร้องให้ Microsoft หยุดขายเทคโนโลยีให้กองทัพอิสราเอล และสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางสังคม - เธอยังอ้างว่า AI ของ Microsoft ถูกออกแบบเพื่อเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม เช่น การสอดแนมแพทย์และนักข่าว https://www.neowin.net/news/microsoft-using-ai-for-war-and-genocide-cried-protesting-staff-at-50th-anniversary-event/
    WWW.NEOWIN.NET
    "Microsoft using AI for war and genocide" cried protesting staff at 50th anniversary event
    Amidst the Microsoft 50-year anniversary celebration, an employee raised a protest claiming Microsoft is using AI for war and genocide.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนพร้อมจับมือไทย ต่อสู้ข้อกล่าวหาจากประเทศที่ 3 ละเมิดสิทธิมนุษยชน ยืนยันทำทุกอย่างถูกต้อง ย้ำข่าวเข่นฆ่า "อุยกูร์" ไม่เป็นความจริง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026425
    จีนพร้อมจับมือไทย ต่อสู้ข้อกล่าวหาจากประเทศที่ 3 ละเมิดสิทธิมนุษยชน ยืนยันทำทุกอย่างถูกต้อง ย้ำข่าวเข่นฆ่า "อุยกูร์" ไม่เป็นความจริง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026425
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 981 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พ่อนายกฯ” แนะเชิญทูต EU แจงส่ง “อุยกูร์” กลับจีน บอกไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนมา 10 ปีแล้วไม่เคยมีประเทศไหนมาขอชาวอุยกูร์ไปเลย
    https://www.thai-tai.tv/news/17641/
    “พ่อนายกฯ” แนะเชิญทูต EU แจงส่ง “อุยกูร์” กลับจีน บอกไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนมา 10 ปีแล้วไม่เคยมีประเทศไหนมาขอชาวอุยกูร์ไปเลย https://www.thai-tai.tv/news/17641/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์

    EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน
    มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย
    ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
    มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง
    ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง
    นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112
    รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง

    https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์ 👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน 👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย 👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง 👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง 👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112 👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 688 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'กลุ่มล้อการเมือง มธ.' ร้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามหนัก ติดตามถึงมหาวิทยาลัย-บ้าน ขัดขวางเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน
    https://www.thai-tai.tv/news/17506/
    'กลุ่มล้อการเมือง มธ.' ร้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามหนัก ติดตามถึงมหาวิทยาลัย-บ้าน ขัดขวางเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน https://www.thai-tai.tv/news/17506/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 892 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน

    “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่

    - นครราชสีมา
    - ชัยภูมิ
    - บุรีรัมย์
    - สุรินทร์
    - ศรีสะเกษ
    - อุบลราชธานี
    - อำนาจเจริญ
    - ยโสธร

    กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน

    ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร?
    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

    1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง
    เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย”

    2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย
    หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
    การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่

    ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน

    สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง

    รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ

    ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน

    รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย

    แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ
    เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

    ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

    ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร

    ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

    สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน
    ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
    ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

    ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้
    ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน
    ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้

    กรณีเหตุกราดยิงในโคราช
    เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568

    #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ - นครราชสีมา - ชัยภูมิ - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ - ยโสธร กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร? ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย” 2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" 📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง 📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร 📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่ 🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน 🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ 🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้ 🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้ 🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568 #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1663 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อตำรวจกลายเป็นอาชญากร นั่นถือเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบยุติธรรมและสถาบันทางสังคม โดยทั่วไปแล้ว ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชน แต่หากตำรวจเองกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น:

    1. **การสูญเสียความเชื่อมั่น**: ประชาชนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นหรือการไม่ร่วมมือกับตำรวจในการสืบสวนสอบสวน

    2. **การทุจริต**: ตำรวจที่กระทำผิดอาจมีส่วนร่วมในการทุจริต เช่น การรับสินบน การปกปิดอาชญากรรม หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

    3. **การละเมิดสิทธิมนุษยชน**: ตำรวจที่กลายเป็นอาชญากรอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น การทรมาน หรือการจับกุมโดยไม่มีเหตุผล

    4. **การบั่นทอนกระบวนการยุติธรรม**: หากตำรวจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาจทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบือน และผู้บริสุทธิ์อาจถูกดำเนินคดีในขณะที่ผู้กระทำผิดจริงรอดพ้นจากกฎหมาย

    5. **การแก้ไขปัญหา**: เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มงวด เช่น การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจ การส่งเสริมความโปร่งใส และการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง

    การที่ตำรวจกลายเป็นอาชญากรเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม
    เมื่อตำรวจกลายเป็นอาชญากร นั่นถือเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบยุติธรรมและสถาบันทางสังคม โดยทั่วไปแล้ว ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชน แต่หากตำรวจเองกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น: 1. **การสูญเสียความเชื่อมั่น**: ประชาชนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นหรือการไม่ร่วมมือกับตำรวจในการสืบสวนสอบสวน 2. **การทุจริต**: ตำรวจที่กระทำผิดอาจมีส่วนร่วมในการทุจริต เช่น การรับสินบน การปกปิดอาชญากรรม หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 3. **การละเมิดสิทธิมนุษยชน**: ตำรวจที่กลายเป็นอาชญากรอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น การทรมาน หรือการจับกุมโดยไม่มีเหตุผล 4. **การบั่นทอนกระบวนการยุติธรรม**: หากตำรวจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาจทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบือน และผู้บริสุทธิ์อาจถูกดำเนินคดีในขณะที่ผู้กระทำผิดจริงรอดพ้นจากกฎหมาย 5. **การแก้ไขปัญหา**: เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มงวด เช่น การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจ การส่งเสริมความโปร่งใส และการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง การที่ตำรวจกลายเป็นอาชญากรเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โรม” ซัด “หม่องชิตตู่” ผู้นำกะเหรี่ยงสุดเลวร้าย ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง อยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซนเตอร์ ออกข่าวว่าปราบปรามแต่กลับขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยใช้ทรัพยากรหลายอย่างจากประเทศไทย

    วันนี้(8 ก.พ.) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม” ว่า “ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.อ.หม่องชิตตู ผู้นำกองกำลัง BGF/KNA กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดีอยู่ในขณะนี้

    “หม่องชิตตู คนนี้ถูกแซงชั่นหรือคว่ำบาตรจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส หรืออียู เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่สำคัญ คือเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของ เสอจื้อเจียง เจ้าของชเวก๊กโกซึ่งถูกจับในประเทศไทย

    “ที่ผ่านมากองกำลัง BGF พยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องคนตนเองกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด แต่จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากองกำลัง BGF เป็นผู้ให้เช่าต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกมากมายมหาศาล และการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างรุนแรง

    “แม้ว่ากองกำลัง BGF จะออกมาให้ข่าวเป็นระยะว่าจะดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพวกนี้ได้ใช้ทรัพยากรหลายอย่างของประเทศไทย

    “กองกำลัง BGF ได้ใช้ประชาชนของตัวเองเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกันก็สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองบนความเสียหายของหลายๆครอบครัวทั่วโลก นี่คือความเลวร้ายอย่างถึงที่สุดของกองกำลัง BGF”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000012828

    #MGROnline #โรม #หม่องชิตตู่ #ผู้นำกะเหรี่ยง
    “โรม” ซัด “หม่องชิตตู่” ผู้นำกะเหรี่ยงสุดเลวร้าย ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง อยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซนเตอร์ ออกข่าวว่าปราบปรามแต่กลับขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยใช้ทรัพยากรหลายอย่างจากประเทศไทย • วันนี้(8 ก.พ.) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม” ว่า “ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.อ.หม่องชิตตู ผู้นำกองกำลัง BGF/KNA กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดีอยู่ในขณะนี้ • “หม่องชิตตู คนนี้ถูกแซงชั่นหรือคว่ำบาตรจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส หรืออียู เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่สำคัญ คือเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของ เสอจื้อเจียง เจ้าของชเวก๊กโกซึ่งถูกจับในประเทศไทย “ที่ผ่านมากองกำลัง BGF พยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องคนตนเองกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด แต่จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากองกำลัง BGF เป็นผู้ให้เช่าต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกมากมายมหาศาล และการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างรุนแรง • “แม้ว่ากองกำลัง BGF จะออกมาให้ข่าวเป็นระยะว่าจะดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพวกนี้ได้ใช้ทรัพยากรหลายอย่างของประเทศไทย • “กองกำลัง BGF ได้ใช้ประชาชนของตัวเองเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกันก็สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองบนความเสียหายของหลายๆครอบครัวทั่วโลก นี่คือความเลวร้ายอย่างถึงที่สุดของกองกำลัง BGF” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000012828 • #MGROnline #โรม #หม่องชิตตู่ #ผู้นำกะเหรี่ยง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 848 มุมมอง 0 รีวิว
  • Paragon Solutions บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์ชื่อดังของอิสราเอล ได้ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าของพวกเขา โดยประธานบริหารของ Paragon กล่าวว่า พวกเขาให้บริการเทคโนโลยีนี้กับกลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก โดยหลัก ๆ คือ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรของพวกเขา

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ออกมาเพียงไม่กี่วันหลังจาก WhatsApp เปิดเผยว่า Paragon ได้พยายามติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของนักข่าวและสมาชิกในสังคมสูงสุดถึง 90 คน ผ่านการโจมตีแบบไม่ต้องคลิก Paragon อ้างว่าพวกเขามีนโยบายที่ชัดเจนในการห้ามการโจมตีนักข่าวและผู้คนในสังคม แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างเต็มที่

    ในข่าวนี้ยังพูดถึงกรณีของนักข่าวชาวอิตาลี Francesco Cancellato และนักเคลื่อนไหวชาวลิเบีย Husam El Gomati ที่ได้ถูก Paragon ติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของพวกเขา Francesco เคยเผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับการกล่าวทำนองเหยียดเชื้อชาติและสรรเสริญนาซีของกลุ่มเยาวชนในพรรคการเมืองของอิตาลี ในขณะที่ Husam ได้วิจารณ์ความพยายามในการหยุดยั้งผู้อพยพจากลิเบียเข้าสู่ยุโรป

    เรื่องราวนี้เป็นการย้ำถึงความซับซ้อนและความอันตรายของการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ไปในทางที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้คน

    https://www.techradar.com/pro/security/israeli-spyware-company-confirms-us-government-and-friends-are-customers
    Paragon Solutions บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์ชื่อดังของอิสราเอล ได้ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าของพวกเขา โดยประธานบริหารของ Paragon กล่าวว่า พวกเขาให้บริการเทคโนโลยีนี้กับกลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก โดยหลัก ๆ คือ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ออกมาเพียงไม่กี่วันหลังจาก WhatsApp เปิดเผยว่า Paragon ได้พยายามติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของนักข่าวและสมาชิกในสังคมสูงสุดถึง 90 คน ผ่านการโจมตีแบบไม่ต้องคลิก Paragon อ้างว่าพวกเขามีนโยบายที่ชัดเจนในการห้ามการโจมตีนักข่าวและผู้คนในสังคม แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างเต็มที่ ในข่าวนี้ยังพูดถึงกรณีของนักข่าวชาวอิตาลี Francesco Cancellato และนักเคลื่อนไหวชาวลิเบีย Husam El Gomati ที่ได้ถูก Paragon ติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของพวกเขา Francesco เคยเผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับการกล่าวทำนองเหยียดเชื้อชาติและสรรเสริญนาซีของกลุ่มเยาวชนในพรรคการเมืองของอิตาลี ในขณะที่ Husam ได้วิจารณ์ความพยายามในการหยุดยั้งผู้อพยพจากลิเบียเข้าสู่ยุโรป เรื่องราวนี้เป็นการย้ำถึงความซับซ้อนและความอันตรายของการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ไปในทางที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้คน https://www.techradar.com/pro/security/israeli-spyware-company-confirms-us-government-and-friends-are-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป"

    ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป

    พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ"

    (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!



    "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป" ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ" (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอที่เผยแพร่ออกมานี้แสดงให้เห็นชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลอินโดนีเซีย(Indonesian hospital) ทางตอนเหนือของกาซา กำลังใช้น้ำเกลือปรุงอาหารท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำดื่มอย่างรุนแรง

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาอิสราเอลถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปิดกั้นความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยมีอเมริกาให้ท้ายมาตลอดว่ายังไม่พบหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่กาซา

    วิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการโจมตีทำลายของอิสราเอลอีกด้วย
    วิดีโอที่เผยแพร่ออกมานี้แสดงให้เห็นชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลอินโดนีเซีย(Indonesian hospital) ทางตอนเหนือของกาซา กำลังใช้น้ำเกลือปรุงอาหารท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำดื่มอย่างรุนแรง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอิสราเอลถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปิดกั้นความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยมีอเมริกาให้ท้ายมาตลอดว่ายังไม่พบหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่กาซา วิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการโจมตีทำลายของอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานธิบดีเบลารุส กล่าวอ้างว่า "เผด็จการ" ของเขา ดีกว่า "ประชาธิปไตย" ในเพื่อนบ้านอย่างยูเครน ชาติที่ถูกสงครามฉีกเป็นชิ้นๆ ความเห็นมีขึ้นในขณะที่ผู้นำรายนี้ซึ่งปกครองเบลารุสมาช้านาน กำลังหาเสียงเลือกตั้ง ลุ้นกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 7 ปลายเดือนนี้
    .
    ระหว่างกล่าว ณ พิธีคริสต์มาสของนิกายออร์โธดอกซ์ เมื่อวันอังคาร(7ม.ค.) ลูคาเชนโก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงเมื่อเร็วๆนี้ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ออกมาพูดชี้ช่องว่าในท้ายที่สุดแล้ว เบลารุส จะได้รับการปลดปล่อย
    .
    "ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ว่าเรามีเผด็จการที่นี่ ลองดูซิ การมีเผด็จการแบบเดียวกับในเบลารุส ดีกว่าการมีประชาธิปไตยในยูเครน เป็นไหนๆ เราต้องหนักแน่น เราต้องไม่สั่นคลอนต่อกรณีใดๆ" สำนักข่าวเบลทา สื่อมวลชนแห่งรัฐ รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ ลูคาเชนโก
    .
    ผู้นำเบลารุส อ้างด้วยว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายในต่างแดน ต้องการทำลายสันติภาพในประเทศ และชี้ว่าเคียฟกำลังทำตามคำสั่งของตะวันตก
    .
    ก่อนหน้านี้ ในคำปราศรัยในวาระขึ้นปีใหม่ เซเลนสกี กล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้รบเพื่อสันติภาพ คำพูดที่พาดพิงถึงประชาชนชาวเบลารุสโดยเฉพาะ
    .
    "ถ้าเซเลนสกี พูดเป็นนัยว่าอีกไม่นาน เบลารุส อยากเป็นเหมือนยูเครน นี่คือสิ่งที่ผมคิดตอนที่ได้ยินเขาพูด ผมอุทานว่า พระเจ้า ขออย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเลย" ลูคาเชนโกระบุ
    .
    ลูคาเชนโก ซึ่งปกครองเบลารุสมาตั้งแต่ปี 1994 ลงสมัครรับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย ในศึกเลือกตั้งที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม ในขณะที่ศึกเลือกตั้งหนหลังสุดเมื่อปี 2020 โหมกระพือการประท้วงหลายระลอก ในสิ่งที่พวกฝ่ายค้านอ้างว่ามีการโกงอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเบลารุสปฏิเสธคำกล่าวหานี้ และยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบเป็นการบงการของสหรัฐฯและบริวารยุโรปของอเมริกา เช่นเดียวกับยูเครน
    .
    ลูคาเชนโก ถูกตราหน้าอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆของตะวันตก ว่าเป็น "เผด็จการ" สืบเนื่องจากการยึดครองอำนาจและคำกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเดือนพฤศจิกายน เขายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงที่มีเผด็จการภายในประเทศของเขา แต่เป็นเผด็จการแห่ง "เสถียรภาพ ความมั่นคง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเมตตาและใจดี"
    .
    ในยูเครน เคยมีการปฏิวัติที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกมาแล้ว 2 รอบ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์คลื่นการเดินขบวน "ยูโรไมดาน" ซึ่งเกิดขึ้นตามหลัง วิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานธิบดี ณ ขณะนั้น ขอเลื่อนการพูดคุยหารือข้อตกลงฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการคบค้าสมาคมกับสหภาพยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ท้ายที่สุดแล้วนำมาซึ่งการที่ ยานูโควิช ถูกโค่นอำนาจ และจัดตั้งรัฐบาลที่ฝักใฝ่สหรัฐฯและอียูขึ้นมาแทน
    .
    เหตุการณ์เหล่านั้นกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายกับรัสเซีย ในปี 2022 จากคำกล่าวอ้างของ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    รัสเซียกับเบลารุส ลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคงฉบับใหม่เมื่อเดือนก่อน ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆแล้ว เนื้อหาในนั้นยังได้เปิดทางให้รัสเซีย ประจำการขีปนาวุธล้ำสมัย "โอเรสนิก" ในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานธิบดีเบลารุส กล่าวอ้างว่า "เผด็จการ" ของเขา ดีกว่า "ประชาธิปไตย" ในเพื่อนบ้านอย่างยูเครน ชาติที่ถูกสงครามฉีกเป็นชิ้นๆ ความเห็นมีขึ้นในขณะที่ผู้นำรายนี้ซึ่งปกครองเบลารุสมาช้านาน กำลังหาเสียงเลือกตั้ง ลุ้นกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 7 ปลายเดือนนี้ . ระหว่างกล่าว ณ พิธีคริสต์มาสของนิกายออร์โธดอกซ์ เมื่อวันอังคาร(7ม.ค.) ลูคาเชนโก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงเมื่อเร็วๆนี้ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ออกมาพูดชี้ช่องว่าในท้ายที่สุดแล้ว เบลารุส จะได้รับการปลดปล่อย . "ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ว่าเรามีเผด็จการที่นี่ ลองดูซิ การมีเผด็จการแบบเดียวกับในเบลารุส ดีกว่าการมีประชาธิปไตยในยูเครน เป็นไหนๆ เราต้องหนักแน่น เราต้องไม่สั่นคลอนต่อกรณีใดๆ" สำนักข่าวเบลทา สื่อมวลชนแห่งรัฐ รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ ลูคาเชนโก . ผู้นำเบลารุส อ้างด้วยว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายในต่างแดน ต้องการทำลายสันติภาพในประเทศ และชี้ว่าเคียฟกำลังทำตามคำสั่งของตะวันตก . ก่อนหน้านี้ ในคำปราศรัยในวาระขึ้นปีใหม่ เซเลนสกี กล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสนับสนุนประชาชนที่กำลังสู้รบเพื่อสันติภาพ คำพูดที่พาดพิงถึงประชาชนชาวเบลารุสโดยเฉพาะ . "ถ้าเซเลนสกี พูดเป็นนัยว่าอีกไม่นาน เบลารุส อยากเป็นเหมือนยูเครน นี่คือสิ่งที่ผมคิดตอนที่ได้ยินเขาพูด ผมอุทานว่า พระเจ้า ขออย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเลย" ลูคาเชนโกระบุ . ลูคาเชนโก ซึ่งปกครองเบลารุสมาตั้งแต่ปี 1994 ลงสมัครรับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย ในศึกเลือกตั้งที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม ในขณะที่ศึกเลือกตั้งหนหลังสุดเมื่อปี 2020 โหมกระพือการประท้วงหลายระลอก ในสิ่งที่พวกฝ่ายค้านอ้างว่ามีการโกงอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเบลารุสปฏิเสธคำกล่าวหานี้ และยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบเป็นการบงการของสหรัฐฯและบริวารยุโรปของอเมริกา เช่นเดียวกับยูเครน . ลูคาเชนโก ถูกตราหน้าอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆของตะวันตก ว่าเป็น "เผด็จการ" สืบเนื่องจากการยึดครองอำนาจและคำกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเดือนพฤศจิกายน เขายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงที่มีเผด็จการภายในประเทศของเขา แต่เป็นเผด็จการแห่ง "เสถียรภาพ ความมั่นคง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเมตตาและใจดี" . ในยูเครน เคยมีการปฏิวัติที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกมาแล้ว 2 รอบ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์คลื่นการเดินขบวน "ยูโรไมดาน" ซึ่งเกิดขึ้นตามหลัง วิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานธิบดี ณ ขณะนั้น ขอเลื่อนการพูดคุยหารือข้อตกลงฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการคบค้าสมาคมกับสหภาพยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ท้ายที่สุดแล้วนำมาซึ่งการที่ ยานูโควิช ถูกโค่นอำนาจ และจัดตั้งรัฐบาลที่ฝักใฝ่สหรัฐฯและอียูขึ้นมาแทน . เหตุการณ์เหล่านั้นกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายกับรัสเซีย ในปี 2022 จากคำกล่าวอ้างของ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว . รัสเซียกับเบลารุส ลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคงฉบับใหม่เมื่อเดือนก่อน ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆแล้ว เนื้อหาในนั้นยังได้เปิดทางให้รัสเซีย ประจำการขีปนาวุธล้ำสมัย "โอเรสนิก" ในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1369 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/
    อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล

    ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan

    “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน

    “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว!

    ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้

    “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม
    “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด

    “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย"

    วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล

    วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    3/ อเมริกาใบ้กิน! หลังโดนถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan ในกาซา ซึ่งรวมถึงการหายตัวไปของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการกักขังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan “สิทธิมนุษยชนและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ เรายืนยันในเรื่องนี้ใช่ไหม” นักข่าวเริ่มต้นด้วยการถามหลอกล่อ Karine Jean-Pierre โฆษกทำเนียบขาวของรัฐบาลไบเดน “ไม่โต้แย้ง คุณพูดถูก” Karine Jean-Pierre หลงกลตอบด้วยความใสซื่อ โดยไม่รู้เลยว่านักข่าวเตรียมคำถามเด็ดไว้แล้ว! ไม่ทันที่โฆษกทำเนียบขาวจะตั้งตัว นักข่าวจึงเริ่มถามเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล Kamal Adwan รวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Hussam Abu Safiya ซึ่งถูกจับกุมหลังจากกองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ส่งผลให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกมาประกาศแสดงความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา และยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนจนถึงขณะนี้ “ทำเนียบขาวมีแนวทางจะทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไหม” นักข่าวถาม “เอ่อ.. ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฌอง-ปิแอร์กล่าวโดยเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “แต่การจับกุมแพทย์จะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือ” นักข่าวยังไล่จี้ไม่หยุด “ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษและปล่อยมันไว้แบบนั้น” ในที่สุด ฌอง-ปิแอร์ ก็เข้าสู่การ "ถามวัวตอบควาย" วิดีโอ2- สื่อนำเสนอภาพกองกำลังอิสราเอลบุกทำลายโรงพยาบาล Kamal Adwan เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ดร. ฮุสซัม อาบู ซาฟิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Kamal Adwan ได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการโจมตีของอิสราเอล ตามรายงาน การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่สถานีจ่ายออกซิเจนของโรงพยาบาล วิดีโอ3- เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโจมตี ดร. อาบู ซาฟิยาได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานพยาบาล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 848 มุมมอง 17 0 รีวิว
Pages Boosts