• ทหารกัมพูชาลอบวางกับระเบิดแสวงเครื่องโดยใช้กระสุนปืน ค.ประกอบลวดสะดุดในเขตไทยใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย ทบ.ชี้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สร้างความตึงเครียดชายแดน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000083369

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #ลอบวางกับระเบิด
    ทหารกัมพูชาลอบวางกับระเบิดแสวงเครื่องโดยใช้กระสุนปืน ค.ประกอบลวดสะดุดในเขตไทยใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย ทบ.ชี้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สร้างความตึงเครียดชายแดน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000083369 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #ลอบวางกับระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง ตรวจพบกระสุนปืน ค. ดัดแปลงเป็นกับดักสังหาร ใช้ลวดสะดุดมาประกอบ ในเขตไทยใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย จ.สุริทร์
    .
    วันนี้ กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 11.50 น. กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบการวางกับระเบิดแสวงเครื่องในลักษณะใช้ลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดประกอบกับการใช้ลวดสะดุดของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย ห่างจากเนิน 350 ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ใกล้กับบริเวณแนวการวางลวดหนามป้องกันตนเองในเขตไทย
    .
    ทั้งนี้ ยุทธวิธีของทหารกัมพูชาสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชา ดักซุ่มและตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งต่อมา จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 รวม 3 ทุ่น พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก คาดว่าลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดดังกล่าวจะถูกเตรียมนำมาใช้ในการวางกับระเบิดแสวงเครื่อง ตามที่ปรากฏ
    .
    จากกรณีดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำและหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการใช้กับระเบิดแสวงเครื่อง เป็นอาวุธลอบโจมตีทหารไทยโดยหวังผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิตในดินแดนของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน
    .
    การกระทำดังกล่าวยังย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้รักสันติและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ ที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด
    .
    นอกจากนี้ โฆษกกองทัพบกยังได้กล่าวอีกว่า จากการที่ฝ่ายกัมพูชามีการใช้ยุทธวิธีวางทุ่นระเบิด เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการผ่านกองทัพภาคที่ 2 กำชับให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ไม่ประมาท และใช้ชุดทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจในทุกครั้ง

    กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง ตรวจพบกระสุนปืน ค. ดัดแปลงเป็นกับดักสังหาร ใช้ลวดสะดุดมาประกอบ ในเขตไทยใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย จ.สุริทร์ . วันนี้ กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 11.50 น. กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบการวางกับระเบิดแสวงเครื่องในลักษณะใช้ลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดประกอบกับการใช้ลวดสะดุดของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย ห่างจากเนิน 350 ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ใกล้กับบริเวณแนวการวางลวดหนามป้องกันตนเองในเขตไทย . ทั้งนี้ ยุทธวิธีของทหารกัมพูชาสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชา ดักซุ่มและตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งต่อมา จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 รวม 3 ทุ่น พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก คาดว่าลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดดังกล่าวจะถูกเตรียมนำมาใช้ในการวางกับระเบิดแสวงเครื่อง ตามที่ปรากฏ . จากกรณีดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำและหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการใช้กับระเบิดแสวงเครื่อง เป็นอาวุธลอบโจมตีทหารไทยโดยหวังผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิตในดินแดนของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน . การกระทำดังกล่าวยังย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้รักสันติและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ ที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด . นอกจากนี้ โฆษกกองทัพบกยังได้กล่าวอีกว่า จากการที่ฝ่ายกัมพูชามีการใช้ยุทธวิธีวางทุ่นระเบิด เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการผ่านกองทัพภาคที่ 2 กำชับให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ไม่ประมาท และใช้ชุดทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจในทุกครั้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารกัมพูชาลอบวางกับระเบิดใกล้ปราสาทตาควาย ทบ.ประณามละเมิดข้อตกลงหยุดยิง-สร้างความตึงเครียดชายแดน
    https://www.thai-tai.tv/news/21234/
    .
    #ไทยไท #กับระเบิด #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก #ข่าวทหาร #ความตึงเครียด #ปราสาทตาควาย #สุรินทร์
    ทหารกัมพูชาลอบวางกับระเบิดใกล้ปราสาทตาควาย ทบ.ประณามละเมิดข้อตกลงหยุดยิง-สร้างความตึงเครียดชายแดน https://www.thai-tai.tv/news/21234/ . #ไทยไท #กับระเบิด #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก #ข่าวทหาร #ความตึงเครียด #ปราสาทตาควาย #สุรินทร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทสรุปคดีแพทองธาร ขาดความรอบคอบ เสื่อมเกียรติภูมิชาติ

    วันศุกร์แห่งชาติ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

    เริ่มต้นที่ข้อกล่าวหาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลเห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะไม่ได้ตอบรับข้อเสนอจากนายฮุน เซน ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่เปิดด่านชายแดน จึงแสดงออกว่าไม่นิ่งเฉย รักษาผลประโยชน์ชาติและความสงบสุขของประเทศ

    แต่ข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลเห็นว่านายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล มี 2 สถานะ คือ ประชาชนที่มีเสรีภาพ และการเป็นนายกฯ ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน รวมถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิประเทศ แม้จะสนทนากันส่วนตัว แต่เรื่องการเปิดด่านเป็นความมั่นคงประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

    ส่วนที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลบ) อ้างว่าใช้เทคนิคการเจรจา แก้ปัญหาออกจากตัวบุคคลเพื่อลดความตึงเครียด ศาลเห็นว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอทางการเมือง เป็นช่องให้กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้จะใช้เทคนิคใดก็ต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ และใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ คำนึงกรอบจริยธรรม ไม่ใช่เจรจาตามอำเภอใจ ยิ่งเมื่อเลือกใช้วิธีนี้ต้องใช้ความรับผิดชอบและความรอบคอบ

    ส่วนถ้อยคำที่ขอความเห็นใจจากนายฮุน เซน (เห็นใจหลานหน่อย จะเอาอะไรขอให้บอก) ศาลเห็นว่าเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์ มุ่งหวังเพียงคะแนนนิยมโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ความมั่นคง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะทำตามที่กัมพูชาร้องขอเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แม้จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชุดเล็กภายหลัง แต่ไม่ได้ชี้แจงเรื่องคลิปเสียง จึงเห็นว่าไม่ใช่เทคนิคการเจรจาแต่ขาดความรอบคอบไม่ระมัดระวัง

    แม้ น.ส.แพทองธารจะระบุว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาหรือไม่ เกิดความเสียหายร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่ยึดความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติ ความเป็นรัฐมนตรีจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้อยู่รักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

    #Newskit
    บทสรุปคดีแพทองธาร ขาดความรอบคอบ เสื่อมเกียรติภูมิชาติ วันศุกร์แห่งชาติ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เริ่มต้นที่ข้อกล่าวหาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลเห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะไม่ได้ตอบรับข้อเสนอจากนายฮุน เซน ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่เปิดด่านชายแดน จึงแสดงออกว่าไม่นิ่งเฉย รักษาผลประโยชน์ชาติและความสงบสุขของประเทศ แต่ข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลเห็นว่านายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล มี 2 สถานะ คือ ประชาชนที่มีเสรีภาพ และการเป็นนายกฯ ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน รวมถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิประเทศ แม้จะสนทนากันส่วนตัว แต่เรื่องการเปิดด่านเป็นความมั่นคงประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ส่วนที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลบ) อ้างว่าใช้เทคนิคการเจรจา แก้ปัญหาออกจากตัวบุคคลเพื่อลดความตึงเครียด ศาลเห็นว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอทางการเมือง เป็นช่องให้กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้จะใช้เทคนิคใดก็ต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ และใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ คำนึงกรอบจริยธรรม ไม่ใช่เจรจาตามอำเภอใจ ยิ่งเมื่อเลือกใช้วิธีนี้ต้องใช้ความรับผิดชอบและความรอบคอบ ส่วนถ้อยคำที่ขอความเห็นใจจากนายฮุน เซน (เห็นใจหลานหน่อย จะเอาอะไรขอให้บอก) ศาลเห็นว่าเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์ มุ่งหวังเพียงคะแนนนิยมโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ความมั่นคง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะทำตามที่กัมพูชาร้องขอเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แม้จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชุดเล็กภายหลัง แต่ไม่ได้ชี้แจงเรื่องคลิปเสียง จึงเห็นว่าไม่ใช่เทคนิคการเจรจาแต่ขาดความรอบคอบไม่ระมัดระวัง แม้ น.ส.แพทองธารจะระบุว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาหรือไม่ เกิดความเสียหายร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่ยึดความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติ ความเป็นรัฐมนตรีจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้อยู่รักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีศุลกากรซึ่งจัดเก็บเอากับสินค้าเข้าของอินเดียอีกเท่าตัวจนอยู่ในระดับสูงลิ่วถึง 50% เริ่มมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันพุธ (27 ส.ค.) ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ที่ต่างถือเป็นระบอบปกครองประชาธิปไตยรายยักษ์ใหญ่ของโลก อีกทั้งถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ยิ่งบานปลายขยายตัว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000082040

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีศุลกากรซึ่งจัดเก็บเอากับสินค้าเข้าของอินเดียอีกเท่าตัวจนอยู่ในระดับสูงลิ่วถึง 50% เริ่มมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันพุธ (27 ส.ค.) ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ที่ต่างถือเป็นระบอบปกครองประชาธิปไตยรายยักษ์ใหญ่ของโลก อีกทั้งถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ยิ่งบานปลายขยายตัว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000082040 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 701 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Intel — ดีลที่เปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมชิป

    ในวันที่ 22 สิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศดีลที่ไม่ธรรมดา: รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าถือหุ้น 9.9% ใน Intel ด้วยเงินลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์ โดยไม่ใช่เงินสดใหม่ แต่เป็นการแปลงเงินสนับสนุนจากยุคไบเดนให้กลายเป็นหุ้น

    ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า “ผมจะทำดีลแบบนี้ให้ประเทศเราทั้งวัน” พร้อมชื่นชมว่าหุ้น Intel พุ่งขึ้น และทำให้ “USA รวยขึ้น และรวยขึ้น” โดยเขายังบอกว่าจะสนับสนุนบริษัทอื่นที่ทำดีลลักษณะเดียวกันกับรัฐ

    เงินลงทุนนี้มาจากสองแหล่งหลัก: 5.7 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act ที่ยังไม่ได้จ่าย และอีก 3.2 พันล้านจากโครงการ Secure Enclave ซึ่งเป็นโครงการด้านความมั่นคงที่เริ่มในยุคไบเดน

    Intel จะขายหุ้นจำนวน 433.3 ล้านหุ้นให้รัฐบาลในราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดในตลาดที่ 24.80 ดอลลาร์ ถือเป็นการซื้อหุ้นในราคาส่วนลด

    แม้รัฐบาลจะไม่มีสิทธิ์บริหาร ไม่มีที่นั่งในบอร์ด และไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภายใน แต่การถือหุ้นครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สนับสนุน” เป็น “ผู้ร่วมทุน” อย่างเป็นทางการ

    ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่างทรัมป์กับ CEO ของ Intel, Lip-Bu Tan ที่เคยถูกเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเพราะความเชื่อมโยงกับบริษัทในจีน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นดีลที่ทรัมป์เรียกว่า “ชัยชนะของอเมริกา”

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 9.9% ใน Intel ด้วยเงินลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์
    เงินลงทุนมาจาก CHIPS Act ที่ยังไม่ได้จ่าย 5.7 พันล้าน และ Secure Enclave 3.2 พันล้าน
    ซื้อหุ้นจำนวน 433.3 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์ ต่ำกว่าราคาตลาด
    รัฐบาลไม่มีสิทธิ์บริหาร ไม่มีที่นั่งในบอร์ด และไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภายใน
    ทรัมป์ประกาศว่าจะทำดีลลักษณะนี้กับบริษัทอื่นเพื่อสร้างงานและความมั่งคั่งให้ประเทศ
    Intel จะใช้เงินลงทุนเพื่อสร้างและขยายโรงงานในสหรัฐฯ
    ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับ CEO ของ Intel
    SoftBank ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel
    Intel ยืนยันว่าจะยังคงเป็นผู้นำด้าน R&D และการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    รัฐบาลได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel สูญเสียการควบคุมธุรกิจ foundry

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุคไบเดนเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ
    Secure Enclave เป็นโครงการด้านความมั่นคงที่เน้นการผลิตชิปสำหรับการใช้งานในกองทัพ
    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังทำ R&D และผลิตชิประดับ high-end logic
    การถือหุ้นของรัฐบาลในบริษัทเอกชนถือเป็นแนวทางใหม่ที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ
    การซื้อหุ้นในราคาส่วนลดช่วยให้ผู้เสียภาษีมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/25/trump-says-he-will-continue-to-make-deals-like-intel-one
    🎙️ เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Intel — ดีลที่เปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมชิป ในวันที่ 22 สิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศดีลที่ไม่ธรรมดา: รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าถือหุ้น 9.9% ใน Intel ด้วยเงินลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์ โดยไม่ใช่เงินสดใหม่ แต่เป็นการแปลงเงินสนับสนุนจากยุคไบเดนให้กลายเป็นหุ้น ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า “ผมจะทำดีลแบบนี้ให้ประเทศเราทั้งวัน” พร้อมชื่นชมว่าหุ้น Intel พุ่งขึ้น และทำให้ “USA รวยขึ้น และรวยขึ้น” โดยเขายังบอกว่าจะสนับสนุนบริษัทอื่นที่ทำดีลลักษณะเดียวกันกับรัฐ เงินลงทุนนี้มาจากสองแหล่งหลัก: 5.7 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act ที่ยังไม่ได้จ่าย และอีก 3.2 พันล้านจากโครงการ Secure Enclave ซึ่งเป็นโครงการด้านความมั่นคงที่เริ่มในยุคไบเดน Intel จะขายหุ้นจำนวน 433.3 ล้านหุ้นให้รัฐบาลในราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดในตลาดที่ 24.80 ดอลลาร์ ถือเป็นการซื้อหุ้นในราคาส่วนลด แม้รัฐบาลจะไม่มีสิทธิ์บริหาร ไม่มีที่นั่งในบอร์ด และไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภายใน แต่การถือหุ้นครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สนับสนุน” เป็น “ผู้ร่วมทุน” อย่างเป็นทางการ ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่างทรัมป์กับ CEO ของ Intel, Lip-Bu Tan ที่เคยถูกเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเพราะความเชื่อมโยงกับบริษัทในจีน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นดีลที่ทรัมป์เรียกว่า “ชัยชนะของอเมริกา” 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 9.9% ใน Intel ด้วยเงินลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เงินลงทุนมาจาก CHIPS Act ที่ยังไม่ได้จ่าย 5.7 พันล้าน และ Secure Enclave 3.2 พันล้าน ➡️ ซื้อหุ้นจำนวน 433.3 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์ ต่ำกว่าราคาตลาด ➡️ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์บริหาร ไม่มีที่นั่งในบอร์ด และไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภายใน ➡️ ทรัมป์ประกาศว่าจะทำดีลลักษณะนี้กับบริษัทอื่นเพื่อสร้างงานและความมั่งคั่งให้ประเทศ ➡️ Intel จะใช้เงินลงทุนเพื่อสร้างและขยายโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับ CEO ของ Intel ➡️ SoftBank ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ➡️ Intel ยืนยันว่าจะยังคงเป็นผู้นำด้าน R&D และการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ รัฐบาลได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel สูญเสียการควบคุมธุรกิจ foundry ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุคไบเดนเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ➡️ Secure Enclave เป็นโครงการด้านความมั่นคงที่เน้นการผลิตชิปสำหรับการใช้งานในกองทัพ ➡️ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังทำ R&D และผลิตชิประดับ high-end logic ➡️ การถือหุ้นของรัฐบาลในบริษัทเอกชนถือเป็นแนวทางใหม่ที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ➡️ การซื้อหุ้นในราคาส่วนลดช่วยให้ผู้เสียภาษีมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/25/trump-says-he-will-continue-to-make-deals-like-intel-one
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump says he will continue to make deals like Intel one
    WASHINGTON (Reuters) -U.S. President Donald Trump on Monday said he would make deals with other companies similar to the one he announced last week with Intel.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าฯ สระแก้ว โอษฐภัย ทำไทยเสียดินแดน?

    ประโยคที่ว่า "บ้านหนองจานไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่เป็นพื้นที่ป่า" ของนายปริญญา โพ​ธิ​สัตย์​ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่เพิ่งได้รับการต่อวาระราชการอีก 1 ปี ก่อนครบเกษียณอายุในปี 2569 ระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชนต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (IOT) 8 ประเทศ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อให้เกิดความสงสัยแก่คนไทยทั้งประเทศ และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ชาวบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่ถูกชาวกัมพูชาบุกรุกที่ดินทำกินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมานาน

    ที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ผู้ว่าฯ สระแก้ว จัดให้มีการยื่นเอกสารสิทธิ์ การถือครองที่ดินให้แก่ชาวบ้านหนองจาน เพื่อคัดกรองเตรียมออกโฉนด พร้อมกับขอโทษประชาชน ที่เคยกล่าวว่าพื้นที่บ้านหนองจานไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้เกิดเข้าใจผิด แท้ที่จริงแล้วเฉพาะแปลงสามเหลี่ยมที่กัมพูชาบุกรุก ที่เป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่ใช่ทั้งหมู่บ้าน ซึ่งทางจังหวัดสระแก้ว กองทัพภาคที่ 1 กรมป่าไม้ อำเภอโคกสูง และทุกส่วนราชการ รวมทั้งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สัญญาว่าจะนำพื้นที่ดังกล่าวกลับมาให้ได้

    อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ สระแก้ว ถูกนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เคยถูกกัมพูชาจับกุมที่บ้านหนองจาน เมื่อปี 2553 ตำหนิว่า แถลงข่าวแบบนี้ได้อย่างไร ชาวบ้านเสียใจมาก พร้อมตำหนิที่ดินจังหวัดสระแก้วว่าเล่นลิ้น เพราะชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ์ แต่กลับบอกว่าไม่ใช่สิทธิครอบครอง ไปรายงานผู้ว่าฯ เช่นนี้ทำให้เข้าใจผิด นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทหารและข้าราชการไม่ได้ช่วยชาวบ้านหลายสิบปี ทำให้เสียพื้นที่ให้กัมพูชา 40-50 ปี และตนต้องถูกทางการกัมพูชาจับกุม

    อีกด้านหนึ่ง ผลจากการเปิดให้ชาวบ้านหนองจานยื่นเอกสารสิทธิ์ ทำให้นายอุม เรียตรีย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย กัมพูชา ยื่นหนังสือประท้วงผู้ว่าฯ สระแก้ว อ้างว่ากระทบต่ออธิปไตยของกัมพูชาและละเมิด MOU43 เพราะคณะกรรมการ JBC ยังไม่ได้กำหนดเขตแดนที่ชัดเจน จึงขอคัดค้านและขอให้ทบทวนเพื่อแสดงความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและหลีกเลี่ยงความตึงเครียด

    ขณะที่สำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily ของนางฮุน มานา ลูกสาวนายฮุน เซน รักษาการประมุขประเทศกัมพูชา ได้ทีนำเสนอข่าวว่า การที่นายปริญญาระบุว่า บ้านหนองจานเป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน อนุมานว่าไทยไม่มีสิทธิ์อ้างสิทธิเป็นของตนเอง จึงถือว่าเป็นที่ดินของกัมพูชา แต่เพราะประชาชนไม่พอใจ โกรธแค้น จึงถูกบังคับให้ขอโทษโดยอ้างว่าเข้าใจผิด การกระทำของทหารไทยสร้างความเสียหายต่อความไว้วางใจ เรียกร้องให้ไทยเคารพข้อตกลงทวิภาคีและพันธกรณีอีกครั้ง

    #Newskit
    ผู้ว่าฯ สระแก้ว โอษฐภัย ทำไทยเสียดินแดน? ประโยคที่ว่า "บ้านหนองจานไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่เป็นพื้นที่ป่า" ของนายปริญญา โพ​ธิ​สัตย์​ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่เพิ่งได้รับการต่อวาระราชการอีก 1 ปี ก่อนครบเกษียณอายุในปี 2569 ระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชนต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (IOT) 8 ประเทศ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อให้เกิดความสงสัยแก่คนไทยทั้งประเทศ และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ชาวบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่ถูกชาวกัมพูชาบุกรุกที่ดินทำกินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมานาน ที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ผู้ว่าฯ สระแก้ว จัดให้มีการยื่นเอกสารสิทธิ์ การถือครองที่ดินให้แก่ชาวบ้านหนองจาน เพื่อคัดกรองเตรียมออกโฉนด พร้อมกับขอโทษประชาชน ที่เคยกล่าวว่าพื้นที่บ้านหนองจานไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้เกิดเข้าใจผิด แท้ที่จริงแล้วเฉพาะแปลงสามเหลี่ยมที่กัมพูชาบุกรุก ที่เป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่ใช่ทั้งหมู่บ้าน ซึ่งทางจังหวัดสระแก้ว กองทัพภาคที่ 1 กรมป่าไม้ อำเภอโคกสูง และทุกส่วนราชการ รวมทั้งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สัญญาว่าจะนำพื้นที่ดังกล่าวกลับมาให้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ สระแก้ว ถูกนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เคยถูกกัมพูชาจับกุมที่บ้านหนองจาน เมื่อปี 2553 ตำหนิว่า แถลงข่าวแบบนี้ได้อย่างไร ชาวบ้านเสียใจมาก พร้อมตำหนิที่ดินจังหวัดสระแก้วว่าเล่นลิ้น เพราะชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ์ แต่กลับบอกว่าไม่ใช่สิทธิครอบครอง ไปรายงานผู้ว่าฯ เช่นนี้ทำให้เข้าใจผิด นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทหารและข้าราชการไม่ได้ช่วยชาวบ้านหลายสิบปี ทำให้เสียพื้นที่ให้กัมพูชา 40-50 ปี และตนต้องถูกทางการกัมพูชาจับกุม อีกด้านหนึ่ง ผลจากการเปิดให้ชาวบ้านหนองจานยื่นเอกสารสิทธิ์ ทำให้นายอุม เรียตรีย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย กัมพูชา ยื่นหนังสือประท้วงผู้ว่าฯ สระแก้ว อ้างว่ากระทบต่ออธิปไตยของกัมพูชาและละเมิด MOU43 เพราะคณะกรรมการ JBC ยังไม่ได้กำหนดเขตแดนที่ชัดเจน จึงขอคัดค้านและขอให้ทบทวนเพื่อแสดงความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและหลีกเลี่ยงความตึงเครียด ขณะที่สำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily ของนางฮุน มานา ลูกสาวนายฮุน เซน รักษาการประมุขประเทศกัมพูชา ได้ทีนำเสนอข่าวว่า การที่นายปริญญาระบุว่า บ้านหนองจานเป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน อนุมานว่าไทยไม่มีสิทธิ์อ้างสิทธิเป็นของตนเอง จึงถือว่าเป็นที่ดินของกัมพูชา แต่เพราะประชาชนไม่พอใจ โกรธแค้น จึงถูกบังคับให้ขอโทษโดยอ้างว่าเข้าใจผิด การกระทำของทหารไทยสร้างความเสียหายต่อความไว้วางใจ เรียกร้องให้ไทยเคารพข้อตกลงทวิภาคีและพันธกรณีอีกครั้ง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน เดินทางเยือนอินเดีย โดยมีกำหนดการเข้าพบนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของแดนภารตะ ที่เตรียมเดินทางไปจีนปลายเดือนนี้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านที่ต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากที่มหาอำนาจเอเชีย 2 รายนี้มีการเผชิญหน้ากันมายาวนานเป็นปี อีกทั้งเกิดขึ้นขณะที่ทั้งคู่ต่างเผชิญแรงกดดันสงครามภาษีศุลกากรจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000079157

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน เดินทางเยือนอินเดีย โดยมีกำหนดการเข้าพบนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของแดนภารตะ ที่เตรียมเดินทางไปจีนปลายเดือนนี้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านที่ต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากที่มหาอำนาจเอเชีย 2 รายนี้มีการเผชิญหน้ากันมายาวนานเป็นปี อีกทั้งเกิดขึ้นขณะที่ทั้งคู่ต่างเผชิญแรงกดดันสงครามภาษีศุลกากรจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000079157 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 721 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัพภาค 2 แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: แฉกัมพูชาปั่น "ข่าวปลอม" บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องการยึดพื้นที่และการใช้สารพิษ พร้อมจับตาใกล้ชิด หวั่นปูทางสู่ความตึงเครียดทางทหาร หวั่น ปูทางเผชิญหน้าทางทหาร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078012

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ทัพภาค 2 แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: แฉกัมพูชาปั่น "ข่าวปลอม" บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องการยึดพื้นที่และการใช้สารพิษ พร้อมจับตาใกล้ชิด หวั่นปูทางสู่ความตึงเครียดทางทหาร หวั่น ปูทางเผชิญหน้าทางทหาร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078012 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อต่างประเทศเผยแพร่รายงาน ระบุแรงงานกัมพูชากำลังเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน หลังแห่แหนเดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทย บางส่วนถึงขั้นโอดครวญเกี่ยวกับการมีชีวิตรอด หลังต้องสูญเสียรายได้เลี้ยงดูครอบครัว จากการที่ต้องออกจากการทำงานในไทย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076629

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire


    สื่อต่างประเทศเผยแพร่รายงาน ระบุแรงงานกัมพูชากำลังเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน หลังแห่แหนเดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทย บางส่วนถึงขั้นโอดครวญเกี่ยวกับการมีชีวิตรอด หลังต้องสูญเสียรายได้เลี้ยงดูครอบครัว จากการที่ต้องออกจากการทำงานในไทย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076629 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 726 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดจันทบุรี สรุปสถานการณ์ชายแดนและความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนที่้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 15 วันหลังมีการปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชาในช่วง 15 วันที่ผ่านมาว่าหลังเกิดเหตุ​การณ์​ กองทัพเรือ ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ใน จ.จันทบุรีอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศกฎอัยการศึก เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075240

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดจันทบุรี สรุปสถานการณ์ชายแดนและความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนที่้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 15 วันหลังมีการปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชาในช่วง 15 วันที่ผ่านมาว่าหลังเกิดเหตุ​การณ์​ กองทัพเรือ ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ใน จ.จันทบุรีอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศกฎอัยการศึก เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075240 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า เขมรบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ความร่วมมือปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ รวมทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ไทยเสนอตัวเข้าช่วยก็ตาม ด้านพลเอง "เตีย เซียฮา อ้างเหตุผลว่า การประชุมครั้งนี้ขอคุยแค่เรื่องข้อตกลงหยุดยิง ส่วนเรื่องอื่นขอให้ไปคุยในการประชุม GBC ครั้งหน้าต่อไปที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า

    พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการราชการแทน รมว.กลาโหม ในฐานะ ประธาน GBC ฝ่ายไทย ลงนามเห็นชอบ บันทึกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา ร่วมกับ พล.อ.เตีย เซียฮา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกัมพูชา โดยได้เห็นชอบข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ

    พลเอกณัฐพล แถลงในช่วงหนึ่งว่า มีอีก 2 ประเด็นสำคัญที่หยิบยกขึ้นมาแต่กัมพูชา ยังไม่ได้ตอบรับ โดยขอพูดคุยแต่เรื่องการหยุดยิงก่อน และให้หารือในการประชุม GBC ครั้งต่อไป ในอีก 1 เดือนข้างหน้าคือ

    1. เรื่องการเก็บกู้ทุนระเบิดที่ทำให้เกิดความตึงเครียด นำไปสู่การใช้กำลังระหว่างกัน โดยที่ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย

    2. ขอความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติการหลอกลวงออนไลน์ สแกมออนไลน์ ที่ส่งผลต่อพี่น้องประชาชนคนไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง

    พลเอกณัฐพลย้ำว่า สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในวันนี้จะเกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้ต้องอาศัยความร่วมมือและความจริงใจของทั้งสองฝ่าย

    "ผมยืนยันว่าฝ่ายไทยยึดมั่นและให้ความร่วมมือในการพูดคุยอย่างสุจริตใจและจริงใจ บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และหวังว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตาม"

    "ท้ายที่สุด แล้วไทยและกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน จะย้ายหนีกันไปไม่ได้ เราเป็นสมาชิกครอบครัวอาเซียนด้วยกัน หากสามารถ ปฏิบัติตามข้อตกลงได้รวดเร็ว ก็จะนำสันติภาพมาสู่ชายแดน และกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง" พลเอกณัฐพล กล่าว
    มีรายงานว่า เขมรบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ความร่วมมือปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ รวมทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ไทยเสนอตัวเข้าช่วยก็ตาม ด้านพลเอง "เตีย เซียฮา อ้างเหตุผลว่า การประชุมครั้งนี้ขอคุยแค่เรื่องข้อตกลงหยุดยิง ส่วนเรื่องอื่นขอให้ไปคุยในการประชุม GBC ครั้งหน้าต่อไปที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการราชการแทน รมว.กลาโหม ในฐานะ ประธาน GBC ฝ่ายไทย ลงนามเห็นชอบ บันทึกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา ร่วมกับ พล.อ.เตีย เซียฮา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกัมพูชา โดยได้เห็นชอบข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ พลเอกณัฐพล แถลงในช่วงหนึ่งว่า มีอีก 2 ประเด็นสำคัญที่หยิบยกขึ้นมาแต่กัมพูชา ยังไม่ได้ตอบรับ โดยขอพูดคุยแต่เรื่องการหยุดยิงก่อน และให้หารือในการประชุม GBC ครั้งต่อไป ในอีก 1 เดือนข้างหน้าคือ 1. เรื่องการเก็บกู้ทุนระเบิดที่ทำให้เกิดความตึงเครียด นำไปสู่การใช้กำลังระหว่างกัน โดยที่ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย 2. ขอความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติการหลอกลวงออนไลน์ สแกมออนไลน์ ที่ส่งผลต่อพี่น้องประชาชนคนไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง พลเอกณัฐพลย้ำว่า สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในวันนี้จะเกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้ต้องอาศัยความร่วมมือและความจริงใจของทั้งสองฝ่าย "ผมยืนยันว่าฝ่ายไทยยึดมั่นและให้ความร่วมมือในการพูดคุยอย่างสุจริตใจและจริงใจ บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และหวังว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตาม" "ท้ายที่สุด แล้วไทยและกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน จะย้ายหนีกันไปไม่ได้ เราเป็นสมาชิกครอบครัวอาเซียนด้วยกัน หากสามารถ ปฏิบัติตามข้อตกลงได้รวดเร็ว ก็จะนำสันติภาพมาสู่ชายแดน และกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง" พลเอกณัฐพล กล่าว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 534 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทย-กัมพูชา ลงนามหยุดยิงภายใต้ข้อตกลง 13 ข้อ ในการประชุม GBC ณ ประเทศมาเลเซีย

    7 ส.ค. 2025 การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย สิ้นสุดลงด้วยการลงนาม MOU 13 ข้อ เพื่อยืนยันการหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข

    รายละเอียดข้อตกลง 13 ข้อ:
    1. หยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข : ทั้งสองฝ่ายยุติการยิงทุกประเภทตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. 2568
    2. ห้ามเคลื่อนย้ายกองกำลัง : ห้ามเพิ่มกำลังทหารหรือเคลื่อนย้ายกองทัพในพื้นที่พิพาท เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
    3. ห้ามโจมตีพลเรือน : ห้ามการยิงหรือโจมตีเป้าหมายพลเรือน เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล ฯลฯ (แต่กัมพูชาทำฉ่ำ)
    4. จัดตั้งกลไกตรวจสอบ : สร้างทีมสังเกตการณ์ ASEAN นำโดยมาเลเซีย ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและจีน เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลง
    5. ฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร : เปิดช่องทางตรงระหว่างนายกฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ และกลาโหมของทั้งสองฝ่าย
    6. อำนวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม : อนุญาตให้ส่งคืนผู้บาดเจ็บและศพจากทั้งสองฝ่าย รวมถึงช่วยเหลือพลเรือน
    7. จัดตั้งคณะทำงานท้องถิ่น : สร้างทีมประสานงานระดับท้องถิ่นเพื่อจัดการปัญหาเฉพาะหน้าในพื้นที่ชายแดน
    8. ห้ามใช้ระเบิดหรืออาวุธหนัก : จำกัดการใช้ระเบิด เช่น จรวด BM-21 หรือการโจมตีทางอากาศ
    9. ถอนทหารจากพื้นที่พิพาท : ค่อย ๆ ลดกำลังทหารในพื้นที่ เช่น บริเวณพระวิหารและภูมะเขือ
    10. เคารพหลัก ASEAN : ใช้กรอบทวิภาคีเป็นหลัก โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลาง ไม่ยอมให้มหาอำนาจครอบงำ
    11. จัดการปัญหาแรงงาน : อำนวยความสะดวกให้แรงงานกัมพูชากลับไทยอย่างปลอดภัย และลดความตึงเครียดในชุมชน
    12. เจรจาต่อเนื่องใน GBC : กำหนดประชุม GBC ครั้งต่อไปที่กัมพูชา เพื่อแก้ไขปัญหาการกำหนดเขตแดน
    13. รายงานความคืบหน้า : ทั้งสองฝ่ายต้องรายงานการปฏิบัติตามข้อตกลงต่ออาเซียนและผู้สังเกตการณ์ทุก 2 สัปดาห์
    ไทย-กัมพูชา ลงนามหยุดยิงภายใต้ข้อตกลง 13 ข้อ ในการประชุม GBC ณ ประเทศมาเลเซีย 7 ส.ค. 2025 การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย สิ้นสุดลงด้วยการลงนาม MOU 13 ข้อ เพื่อยืนยันการหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข รายละเอียดข้อตกลง 13 ข้อ: 🔘1. หยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข : ทั้งสองฝ่ายยุติการยิงทุกประเภทตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. 2568 🔘2. ห้ามเคลื่อนย้ายกองกำลัง : ห้ามเพิ่มกำลังทหารหรือเคลื่อนย้ายกองทัพในพื้นที่พิพาท เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด 🔘3. ห้ามโจมตีพลเรือน : ห้ามการยิงหรือโจมตีเป้าหมายพลเรือน เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล ฯลฯ (แต่กัมพูชาทำฉ่ำ) 🔘4. จัดตั้งกลไกตรวจสอบ : สร้างทีมสังเกตการณ์ ASEAN นำโดยมาเลเซีย ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและจีน เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลง 🔘5. ฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร : เปิดช่องทางตรงระหว่างนายกฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ และกลาโหมของทั้งสองฝ่าย 🔘6. อำนวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม : อนุญาตให้ส่งคืนผู้บาดเจ็บและศพจากทั้งสองฝ่าย รวมถึงช่วยเหลือพลเรือน 🔘7. จัดตั้งคณะทำงานท้องถิ่น : สร้างทีมประสานงานระดับท้องถิ่นเพื่อจัดการปัญหาเฉพาะหน้าในพื้นที่ชายแดน 🔘8. ห้ามใช้ระเบิดหรืออาวุธหนัก : จำกัดการใช้ระเบิด เช่น จรวด BM-21 หรือการโจมตีทางอากาศ 🔘9. ถอนทหารจากพื้นที่พิพาท : ค่อย ๆ ลดกำลังทหารในพื้นที่ เช่น บริเวณพระวิหารและภูมะเขือ 🔘10. เคารพหลัก ASEAN : ใช้กรอบทวิภาคีเป็นหลัก โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลาง ไม่ยอมให้มหาอำนาจครอบงำ 🔘11. จัดการปัญหาแรงงาน : อำนวยความสะดวกให้แรงงานกัมพูชากลับไทยอย่างปลอดภัย และลดความตึงเครียดในชุมชน 🔘12. เจรจาต่อเนื่องใน GBC : กำหนดประชุม GBC ครั้งต่อไปที่กัมพูชา เพื่อแก้ไขปัญหาการกำหนดเขตแดน 🔘13. รายงานความคืบหน้า : ทั้งสองฝ่ายต้องรายงานการปฏิบัติตามข้อตกลงต่ออาเซียนและผู้สังเกตการณ์ทุก 2 สัปดาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อรายงานของสื่อเขมรเอง ที่อ้างว่าไทยมีแผนลอบสังหารเขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต รวมถึงข่าวลือกรณีต่างชาติจัดหาโดรนและอาวุธแก่ทั้งไทยและกัมพูชา เตือนข้อมูลที่ไร้หลักฐานดังกล่าวอาจโหมกระพือความตึงเครียดในภูมิภาคและชี้นำประชาชนให้เกิดความเข้าใจผิด นอกจากนี้แล้ว ฮุนเซน ยังส่งเสียงเรียกร้องถึงสวีเดนและสหรัฐฯ ขอให้ห้ามปรามไทยจากการใช้เครื่องบินรบที่ผลิตโดยทั้ง 2 ชาติ โจมตีดินแดนของกัมพูชา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074743

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อรายงานของสื่อเขมรเอง ที่อ้างว่าไทยมีแผนลอบสังหารเขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต รวมถึงข่าวลือกรณีต่างชาติจัดหาโดรนและอาวุธแก่ทั้งไทยและกัมพูชา เตือนข้อมูลที่ไร้หลักฐานดังกล่าวอาจโหมกระพือความตึงเครียดในภูมิภาคและชี้นำประชาชนให้เกิดความเข้าใจผิด นอกจากนี้แล้ว ฮุนเซน ยังส่งเสียงเรียกร้องถึงสวีเดนและสหรัฐฯ ขอให้ห้ามปรามไทยจากการใช้เครื่องบินรบที่ผลิตโดยทั้ง 2 ชาติ โจมตีดินแดนของกัมพูชา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074743 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1027 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปเหตุการณ์: คดี “ขโมยเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร” ของ TSMC

    เหตุการณ์เกิดขึ้น:
    วิศวกรของ TSMC ทั้งในตำแหน่ง "พนักงานปัจจุบันและอดีต" ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ หน้าจอโน้ตบุ๊กบริษัท ขณะทำงานที่บ้าน (ช่วง Work from Home)

    พวกเขานำข้อมูลลับของกระบวนการผลิตชิป ระดับ 2 นาโนเมตร ไปส่งให้กับ วิศวกรของบริษัท Tokyo Electron (TEL) ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่น

    วิศวกรคนนี้เคยทำงานที่ TSMC และได้ลาออกแล้ว

    วิธีการถูกจับได้อย่างไร?
    ระบบความปลอดภัยของ TSMC ตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย:
    ระบบมีการ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานไฟล์ เช่น ระยะเวลาที่ดูเอกสาร, ความเร็วในการเปลี่ยนหน้า
    หากการดูข้อมูล “เร็วและสม่ำเสมอเกินไป” เช่น เปลี่ยนหน้าทุก ๆ 5 วินาทีเหมือนถ่ายรูป — ระบบจะสงสัยว่าอาจกำลังลักลอบถ่ายภาพ

    อีกทั้งยังมี ระบบ AI จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อคาดการณ์ว่าอาจกำลังมีการพยายามขโมยข้อมูล

    ทำไมถูกเรียกว่า “ขโมยแบบโง่ๆ” ?
    การขโมยแบบใช้มือถือส่วนตัวถ่ายหน้าจอ ถือว่า ล้าสมัยและถูกจับได้ง่ายมาก

    ระบบของ TSMC มีการตรวจสอบทั้งในระดับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior Analytics)

    การใช้มือถือถ่ายหน้าจอโน้ตบุ๊กที่บริษัทแจกนั้น ยิ่งง่ายต่อการตรวจจับ เพราะบริษัทสามารถติดตามได้

    ผลกระทบและการดำเนินคดี
    ข้อมูลที่รั่วไหลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกของ TSMC

    คดีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา บุกจับและควบคุมตัวพนักงานที่เกี่ยวข้องหลายราย

    3 คนจากทั้งหมด ถูกตั้งข้อหาภายใต้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ

    โยงถึงญี่ปุ่น: TEL และ Rapidus
    ข้อมูลทั้งหมดรั่วไหลไปถึงอดีตพนักงานของ Tokyo Electron (TEL)

    TEL มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโครงการ Rapidus ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่พยายามไล่ตามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตรให้ทัน TSMC

    แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Rapidus เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงนี้ทำให้เกิดความ “น่าสงสัย” และสร้างความตึงเครียดทางธุรกิจ

    บทเรียนจากกรณีนี้
    1. ระบบรักษาความปลอดภัยของ TSMC นั้นล้ำสมัยมาก
    ไม่เพียงห้ามถ่ายภาพในโรงงาน แต่ยังตรวจจับพฤติกรรมแม้ในช่วงทำงานจากบ้าน
    ใช้ AI วิเคราะห์รูปแบบการดูไฟล์ เพื่อหาความผิดปกติ

    2. การพยายามขโมยข้อมูลด้วยวิธีพื้นๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป
    แม้บางคนพยายามหลีกเลี่ยงโดยถ่ายจากจอมอนิเตอร์ของตัวเองแทนโน้ตบุ๊กบริษัท แต่บริษัทก็คิดไว้แล้ว

    3. วัฒนธรรมองค์กรต้องเข้มแข็ง
    ความจงรักภักดีและจริยธรรมของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้เทคโนโลยีจะดีแค่ไหน ก็ยังพ่ายต่อ “ใจคน” หากไม่มีจริยธรรม

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🧠 สรุปเหตุการณ์: คดี “ขโมยเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร” ของ TSMC 🕵️‍♂️ เหตุการณ์เกิดขึ้น: ▶️ วิศวกรของ TSMC ทั้งในตำแหน่ง "พนักงานปัจจุบันและอดีต" ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ หน้าจอโน้ตบุ๊กบริษัท ขณะทำงานที่บ้าน (ช่วง Work from Home) ▶️ พวกเขานำข้อมูลลับของกระบวนการผลิตชิป ระดับ 2 นาโนเมตร ไปส่งให้กับ วิศวกรของบริษัท Tokyo Electron (TEL) ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ▶️ วิศวกรคนนี้เคยทำงานที่ TSMC และได้ลาออกแล้ว 🔍 วิธีการถูกจับได้อย่างไร? ⭕ ระบบความปลอดภัยของ TSMC ตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย: ▶️ ระบบมีการ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานไฟล์ เช่น ระยะเวลาที่ดูเอกสาร, ความเร็วในการเปลี่ยนหน้า ▶️ หากการดูข้อมูล “เร็วและสม่ำเสมอเกินไป” เช่น เปลี่ยนหน้าทุก ๆ 5 วินาทีเหมือนถ่ายรูป — ระบบจะสงสัยว่าอาจกำลังลักลอบถ่ายภาพ ⭕ อีกทั้งยังมี ระบบ AI จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อคาดการณ์ว่าอาจกำลังมีการพยายามขโมยข้อมูล 🤦‍♂️ ทำไมถูกเรียกว่า “ขโมยแบบโง่ๆ” ? ✅ การขโมยแบบใช้มือถือส่วนตัวถ่ายหน้าจอ ถือว่า ล้าสมัยและถูกจับได้ง่ายมาก ✅ ระบบของ TSMC มีการตรวจสอบทั้งในระดับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior Analytics) ✅ การใช้มือถือถ่ายหน้าจอโน้ตบุ๊กที่บริษัทแจกนั้น ยิ่งง่ายต่อการตรวจจับ เพราะบริษัทสามารถติดตามได้ ⚠️ ผลกระทบและการดำเนินคดี ⭕ ข้อมูลที่รั่วไหลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกของ TSMC ⭕ คดีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา บุกจับและควบคุมตัวพนักงานที่เกี่ยวข้องหลายราย ⭕ 3 คนจากทั้งหมด ถูกตั้งข้อหาภายใต้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ 🇯🇵 โยงถึงญี่ปุ่น: TEL และ Rapidus ⭕ ข้อมูลทั้งหมดรั่วไหลไปถึงอดีตพนักงานของ Tokyo Electron (TEL) ⭕ TEL มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโครงการ Rapidus ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่พยายามไล่ตามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตรให้ทัน TSMC ⭕ แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Rapidus เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงนี้ทำให้เกิดความ “น่าสงสัย” และสร้างความตึงเครียดทางธุรกิจ 🔍 บทเรียนจากกรณีนี้ 🔐 1. ระบบรักษาความปลอดภัยของ TSMC นั้นล้ำสมัยมาก ▶️ ไม่เพียงห้ามถ่ายภาพในโรงงาน แต่ยังตรวจจับพฤติกรรมแม้ในช่วงทำงานจากบ้าน ▶️ ใช้ AI วิเคราะห์รูปแบบการดูไฟล์ เพื่อหาความผิดปกติ 📵 2. การพยายามขโมยข้อมูลด้วยวิธีพื้นๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ▶️ แม้บางคนพยายามหลีกเลี่ยงโดยถ่ายจากจอมอนิเตอร์ของตัวเองแทนโน้ตบุ๊กบริษัท แต่บริษัทก็คิดไว้แล้ว 🚫 3. วัฒนธรรมองค์กรต้องเข้มแข็ง ▶️ ความจงรักภักดีและจริยธรรมของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้เทคโนโลยีจะดีแค่ไหน ก็ยังพ่ายต่อ “ใจคน” หากไม่มีจริยธรรม #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาษีทรัมป์ซัดไทย 19% ต้องปรับตัว 10 ข้อใหญ่ เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ลดดุลการค้า70% ดึงลงทุน EEC ซื้อพลังงาน-เครื่องบิน ผ่อนคลายกฎนำเข้า รับกติกาถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ ขยายโควตาเกษตรสหรัฐฯ ลดภาษีบริการดิจิทัล ปกป้องสินค้าเกษตรไทย ลดความตึงเครียดชายแดน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000073108

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ภาษีทรัมป์ซัดไทย 19% ต้องปรับตัว 10 ข้อใหญ่ เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ลดดุลการค้า70% ดึงลงทุน EEC ซื้อพลังงาน-เครื่องบิน ผ่อนคลายกฎนำเข้า รับกติกาถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ ขยายโควตาเกษตรสหรัฐฯ ลดภาษีบริการดิจิทัล ปกป้องสินค้าเกษตรไทย ลดความตึงเครียดชายแดน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000073108 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 859 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต'

    3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่

    1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ

    2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก

    3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน

    ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

    ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป

    แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง

    อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น

    #Newskit
    เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต' 3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ 1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ 2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก 3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

    เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์

    ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei

    แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ

    HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B
    ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025
    สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper

    ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
    มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์
    ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน

    HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native
    ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure
    เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ

    DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน
    เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก
    แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน

    HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ
    เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย
    ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า

    HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ
    เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central
    ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE

    การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร
    อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
    ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว

    การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล
    เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง
    สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด”

    การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย
    แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE
    การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว

    การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ
    ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง
    สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ ✅ HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B ➡️ ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025 ➡️ สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper ✅ ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว ➡️ มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน ✅ HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native ➡️ ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure ➡️ เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ ✅ DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน ➡️ เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก ➡️ แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน ✅ HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย ➡️ ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า ✅ HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central ➡️ ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE ‼️ การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร ⛔ อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง ⛔ ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว ‼️ การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง ⛔ สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด” ‼️ การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย ⛔ แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE ⛔ การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว ‼️ การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ ⛔ ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง ⛔ สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องพิจารณา: เมื่อบริษัทน้ำมันอินเดียต้องฟ้อง Microsoft เพราะการตีความคว่ำบาตรแบบ “ข้ามเขต”

    Nayara Energy ซึ่งมี Rosneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียถือหุ้น 49.13% ถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรในชุดมาตรการที่ 18 เพื่อลดรายได้ของรัสเซียจากการส่งออกน้ำมัน หลังจากนั้น Microsoft ได้ระงับการให้บริการ Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    Nayara ยืนยันว่าการกระทำของ Microsoft เป็นการ “ตีความคว่ำบาตรแบบฝ่ายเดียว” และไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายของสหรัฐหรืออินเดีย บริษัทจึงยื่นฟ้องต่อศาลสูงเดลลีเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและให้ Microsoft คืนการเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับตะวันตก และสะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่ควร

    Nayara Energy ฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงเดลลี กรณีระงับบริการโดยอ้างอิง EU sanctions
    Microsoft ระงับการเข้าถึง Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ
    การระงับเกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือหารือกับ Nayara

    Microsoft อ้างอิงมาตรการคว่ำบาตรของ EU แม้ไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายสหรัฐหรืออินเดีย
    Nayara ถือว่าการกระทำนี้เป็น “corporate overreach”
    บริษัทเรียกร้องให้คืนสิทธิ์การเข้าถึงระบบดิจิทัลทันที

    Nayara เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของอินเดีย มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
    มีโรงกลั่นขนาด 20 ล้านตันต่อปี และสถานีบริการกว่า 6,750 แห่ง
    คิดเป็น 8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในอินเดีย

    หลังถูกคว่ำบาตร มีเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำหลีกเลี่ยงการขนส่งจากโรงกลั่นของ Nayara
    รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแผนการขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซีย
    CEO คนก่อนของ Nayara ลาออก และ Sergey Denisov เข้ารับตำแหน่งแทน

    รัฐบาลอินเดียไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวจาก EU
    กระทรวงต่างประเทศยืนยันว่าอินเดียยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ
    เน้นว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/russia-backed-indian-refiner-nayara-takes-microsoft-to-court-over-outage
    ⚖️ เรื่องเล่าจากห้องพิจารณา: เมื่อบริษัทน้ำมันอินเดียต้องฟ้อง Microsoft เพราะการตีความคว่ำบาตรแบบ “ข้ามเขต” Nayara Energy ซึ่งมี Rosneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียถือหุ้น 49.13% ถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรในชุดมาตรการที่ 18 เพื่อลดรายได้ของรัสเซียจากการส่งออกน้ำมัน หลังจากนั้น Microsoft ได้ระงับการให้บริการ Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า Nayara ยืนยันว่าการกระทำของ Microsoft เป็นการ “ตีความคว่ำบาตรแบบฝ่ายเดียว” และไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายของสหรัฐหรืออินเดีย บริษัทจึงยื่นฟ้องต่อศาลสูงเดลลีเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและให้ Microsoft คืนการเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับตะวันตก และสะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่ควร ✅ Nayara Energy ฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงเดลลี กรณีระงับบริการโดยอ้างอิง EU sanctions ➡️ Microsoft ระงับการเข้าถึง Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ ➡️ การระงับเกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือหารือกับ Nayara ✅ Microsoft อ้างอิงมาตรการคว่ำบาตรของ EU แม้ไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายสหรัฐหรืออินเดีย ➡️ Nayara ถือว่าการกระทำนี้เป็น “corporate overreach” ➡️ บริษัทเรียกร้องให้คืนสิทธิ์การเข้าถึงระบบดิจิทัลทันที ✅ Nayara เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของอินเดีย มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ➡️ มีโรงกลั่นขนาด 20 ล้านตันต่อปี และสถานีบริการกว่า 6,750 แห่ง ➡️ คิดเป็น 8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในอินเดีย ✅ หลังถูกคว่ำบาตร มีเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำหลีกเลี่ยงการขนส่งจากโรงกลั่นของ Nayara ➡️ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแผนการขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซีย ➡️ CEO คนก่อนของ Nayara ลาออก และ Sergey Denisov เข้ารับตำแหน่งแทน ✅ รัฐบาลอินเดียไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวจาก EU ➡️ กระทรวงต่างประเทศยืนยันว่าอินเดียยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ➡️ เน้นว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/russia-backed-indian-refiner-nayara-takes-microsoft-to-court-over-outage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU-sanctioned Indian refiner Nayara takes Microsoft to court over outage
    NEW DELHI (Reuters) -Russia-backed Indian refiner Nayara Energy Monday said it has started legal proceedings against Microsoft following the abrupt and unilateral suspension of critical services by the U.S.-headquartered software giant.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ---

    ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน**

    #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**:
    - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่

    #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**:
    - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด)

    ---

    ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?**

    #### **ความเหมือน**:
    1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**:
    - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด
    - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด

    2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**:
    - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ

    3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**:
    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น

    #### **ความต่าง**:
    1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**:
    - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า
    - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก

    2. **การรับรู้ของสาธารณชน**:
    - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน

    3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**:
    - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน

    #### **การคาดการณ์**:
    - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19
    - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้

    ---

    ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์**

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**:
    - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น
    - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**:
    - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19
    - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค
    - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข

    - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น

    ---

    ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์**

    - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม

    - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ

    หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ!
    https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม --- ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน** #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**: - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่ #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**: - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด) --- ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?** #### **ความเหมือน**: 1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**: - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด 2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**: - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ 3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น #### **ความต่าง**: 1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**: - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก 2. **การรับรู้ของสาธารณชน**: - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน 3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**: - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน #### **การคาดการณ์**: - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19 - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้ --- ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์** - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**: - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์ - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**: - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19 - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น --- ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์** - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ! https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.ต่างประเทศแถลง ยันชี้แจงเวทียูเอ็นแล้ว ย้ำกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศตลอด ล่าสุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย เผยพบประธาน UNSC ยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ย้ำกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ส่วนที่ประชุม UNSC เมื่อเช้าไม่ได้เน้นประเด็นใดเป็นพิเศษ แค่กล่าวหลักการกว้าง ๆ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคี สนับสนุนบทบาทของอาเซียน โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ

    วันนี้(26 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ มีรายละเอียดคำแถลงดังนี้

    ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ High-Level Political Forum (HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    ในห้วงการประชุมดังกล่าว ผมได้มีโอกาสพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจาก UN และประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ผมจึงขอถือโอกาสมาแถลงถึงผลการเยือน เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบ
    ประเด็นแรก พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000070557

    #Thaitimes #MGROnline #ทูตทหารไทย #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา
    รมว.ต่างประเทศแถลง ยันชี้แจงเวทียูเอ็นแล้ว ย้ำกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศตลอด ล่าสุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย เผยพบประธาน UNSC ยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ย้ำกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ส่วนที่ประชุม UNSC เมื่อเช้าไม่ได้เน้นประเด็นใดเป็นพิเศษ แค่กล่าวหลักการกว้าง ๆ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคี สนับสนุนบทบาทของอาเซียน โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ • วันนี้(26 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ มีรายละเอียดคำแถลงดังนี้ • ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ High-Level Political Forum (HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา • ในห้วงการประชุมดังกล่าว ผมได้มีโอกาสพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจาก UN และประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ผมจึงขอถือโอกาสมาแถลงถึงผลการเยือน เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบ ประเด็นแรก พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000070557 • #Thaitimes #MGROnline #ทูตทหารไทย #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่ถ้อยแถลงในวันพฤหัสบดี(24 ก.ค.) เรียกร้องไทยและกัมพูชาหยุดการสู้รบในทันที พร้อมร้องขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายปกป้องพลเรือนและคลี่คลายประเด็นปัญหาด้วยสันติวิธี ขณะที่สหภาพยุโรปแสดงความกังวลต่อกรณีพลเรือนเสียชีวิต เร่งเร้าทั้ง 2 ฝ่ายลดสถานการณ์ความตึงเครียด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000070029

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่ถ้อยแถลงในวันพฤหัสบดี(24 ก.ค.) เรียกร้องไทยและกัมพูชาหยุดการสู้รบในทันที พร้อมร้องขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายปกป้องพลเรือนและคลี่คลายประเด็นปัญหาด้วยสันติวิธี ขณะที่สหภาพยุโรปแสดงความกังวลต่อกรณีพลเรือนเสียชีวิต เร่งเร้าทั้ง 2 ฝ่ายลดสถานการณ์ความตึงเครียด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000070029 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Haha
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาได้ติดต่อพูดคุยกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลไทย เพื่อแสดงความกังวลกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นตามแนวชายแดนของไทยและกัมพูชา

    จากการพูดคุย มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้ขอเรียกร้องให้ผู้นําทั้งสองฝ่าย หยุดยิงทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เลวร้ายลง และเปิดพื้นที่สําหรับการเจรจาอย่างสงบสุข และใช้แนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูต
    นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาได้ติดต่อพูดคุยกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลไทย เพื่อแสดงความกังวลกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นตามแนวชายแดนของไทยและกัมพูชา จากการพูดคุย มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้ขอเรียกร้องให้ผู้นําทั้งสองฝ่าย หยุดยิงทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เลวร้ายลง และเปิดพื้นที่สําหรับการเจรจาอย่างสงบสุข และใช้แนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ชายแดนไทย-เขมร ด้านจังหวัดสระแก้ว คลายความตึงเครียดหลัง กองกำลังบูรพา อนุโลมเปิดด่านบ้านคลองลึก ให้ทั้งประชาชนทั้ง 2 ฝั่งเดินทางกลับประเทศได้ถึง 16.00 น.ส่วนโรงเรียนแนวชายแดน ปิดเรียบร้อยแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000069920

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สถานการณ์ชายแดนไทย-เขมร ด้านจังหวัดสระแก้ว คลายความตึงเครียดหลัง กองกำลังบูรพา อนุโลมเปิดด่านบ้านคลองลึก ให้ทั้งประชาชนทั้ง 2 ฝั่งเดินทางกลับประเทศได้ถึง 16.00 น.ส่วนโรงเรียนแนวชายแดน ปิดเรียบร้อยแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000069920 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts