• ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความของไอ้เดรัฐฉาน อ้างติดธุระ ขอศาลเลื่อนคดีลุงสนธิฟ้องหมิ่นไอ้เด ศาลเลื่อนไปเป็น 16 มิ.ย.68 ปัดโธ่ว์ ไอ้เชี้ยเด นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ยื้อชะตาต่อลมหายใจ ให้เข้าไปนอนครุกช้าๆ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นแน่นอน รวม2 คดี เดรัฐฉานมีนอนครูก จุ้กกรู้ จุ้กกรู้ เกิน 2 ปีแน่นอน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ทนายความของไอ้เดรัฐฉาน อ้างติดธุระ ขอศาลเลื่อนคดีลุงสนธิฟ้องหมิ่นไอ้เด ศาลเลื่อนไปเป็น 16 มิ.ย.68 ปัดโธ่ว์ ไอ้เชี้ยเด นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ยื้อชะตาต่อลมหายใจ ให้เข้าไปนอนครุกช้าๆ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นแน่นอน รวม2 คดี เดรัฐฉานมีนอนครูก จุ้กกรู้ จุ้กกรู้ เกิน 2 ปีแน่นอน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามรายงานของนิวยอร์กโพสต์ ซึ่งอ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดเซเลนสกี เชื่อว่าหากเซเลนสกีต้องลี้ภัยต่างประเทศ

    “ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา คงหนีไม่พ้นฝรั่งเศส”
    ตามรายงานของนิวยอร์กโพสต์ ซึ่งอ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดเซเลนสกี เชื่อว่าหากเซเลนสกีต้องลี้ภัยต่างประเทศ “ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา คงหนีไม่พ้นฝรั่งเศส”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 จิตที่เป็นศัตรูตัวเอง: รู้ทันและแก้ไข

    🔹 1. คนส่วนใหญ่กลั่นแกล้งตัวเองโดยไม่รู้ตัว
    ✅ คิดลบ บั่นทอน ตัวเอง (Self-Sabotage)
    ✅ รู้ว่าทำแล้วไม่ดี แต่ยังทำต่อ
    ✅ ปฏิเสธปัญหา แทนที่จะแก้ไข
    ✅ ใช้อารมณ์ลบ เป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหา


    ---

    🔹 2. ตัวอย่างของความคิดที่เป็นศัตรู ❌ กดข่มคนอื่น – คิดว่าถ้าไม่ข่มก่อน จะโดนกดขี่
    ❌ ปฏิเสธความทุกข์ของตัวเอง – คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว
    ❌ แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ลบ – ไม่ยอมใช้สติหรือวิธีสร้างสรรค์

    👉 ผลลัพธ์:
    ❌ ชีวิตวนลูปปัญหา
    ❌ มีแต่ความอึดอัด หนีไม่พ้นทุกข์
    ❌ คนรอบข้างอยู่ด้วยยาก


    ---

    🔹 3. วิธีขจัดศัตรูทางความคิด ✅ รู้ทันความคิดตนเอง – แยกแยะระหว่าง "ความคิดศัตรู" กับ "ความคิดมิตร"
    ✅ เปลี่ยนอารมณ์ลบเป็นอารมณ์บวก – ใช้สติก่อนตอบโต้
    ✅ เผชิญปัญหาอย่างตรงไปตรงมา – แทนที่จะหลอกตัวเอง
    ✅ สร้างนิสัยคิดบวกทีละน้อย – ฝึกคิดในมุมสร้างสรรค์
    ✅ มีสติทุกครั้งที่อารมณ์แรงขึ้นมา – ฝึกหยุดคิดชั่วคราวก่อนพูดหรือทำ


    ---

    🔹 4. ทดลองสังเกตตัวเองเพียงไม่กี่วัน
    🎯 ลองแยกแยะ "ความคิดมิตร" กับ "ความคิดศัตรู"
    🎯 ตัดสินใจให้ชัดว่า จะไม่เดินตามความคิดที่บ่อนทำลายตนเอง
    🎯 เปลี่ยนแปลงทีละนิด – จะเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้นกว่าที่คิด

    👉 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น:
    ✅ ใช้ชีวิตง่ายขึ้น มีอิสระจากอารมณ์ลบ
    ✅ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น กับคนรอบข้าง
    ✅ รู้จัก สร้างเส้นทางใหม่ให้ตัวเอง

    📌 สรุป:
    💡 ความคิดเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่นายของเรา
    💡 รู้ทัน = คุมเกมชีวิตได้
    💡 แค่แยกแยะความคิดที่เป็นศัตรูออก ก็เปลี่ยนชีวิตได้แล้ว!

    📌 จิตที่เป็นศัตรูตัวเอง: รู้ทันและแก้ไข 🔹 1. คนส่วนใหญ่กลั่นแกล้งตัวเองโดยไม่รู้ตัว ✅ คิดลบ บั่นทอน ตัวเอง (Self-Sabotage) ✅ รู้ว่าทำแล้วไม่ดี แต่ยังทำต่อ ✅ ปฏิเสธปัญหา แทนที่จะแก้ไข ✅ ใช้อารมณ์ลบ เป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหา --- 🔹 2. ตัวอย่างของความคิดที่เป็นศัตรู ❌ กดข่มคนอื่น – คิดว่าถ้าไม่ข่มก่อน จะโดนกดขี่ ❌ ปฏิเสธความทุกข์ของตัวเอง – คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ❌ แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ลบ – ไม่ยอมใช้สติหรือวิธีสร้างสรรค์ 👉 ผลลัพธ์: ❌ ชีวิตวนลูปปัญหา ❌ มีแต่ความอึดอัด หนีไม่พ้นทุกข์ ❌ คนรอบข้างอยู่ด้วยยาก --- 🔹 3. วิธีขจัดศัตรูทางความคิด ✅ รู้ทันความคิดตนเอง – แยกแยะระหว่าง "ความคิดศัตรู" กับ "ความคิดมิตร" ✅ เปลี่ยนอารมณ์ลบเป็นอารมณ์บวก – ใช้สติก่อนตอบโต้ ✅ เผชิญปัญหาอย่างตรงไปตรงมา – แทนที่จะหลอกตัวเอง ✅ สร้างนิสัยคิดบวกทีละน้อย – ฝึกคิดในมุมสร้างสรรค์ ✅ มีสติทุกครั้งที่อารมณ์แรงขึ้นมา – ฝึกหยุดคิดชั่วคราวก่อนพูดหรือทำ --- 🔹 4. ทดลองสังเกตตัวเองเพียงไม่กี่วัน 🎯 ลองแยกแยะ "ความคิดมิตร" กับ "ความคิดศัตรู" 🎯 ตัดสินใจให้ชัดว่า จะไม่เดินตามความคิดที่บ่อนทำลายตนเอง 🎯 เปลี่ยนแปลงทีละนิด – จะเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้นกว่าที่คิด 👉 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: ✅ ใช้ชีวิตง่ายขึ้น มีอิสระจากอารมณ์ลบ ✅ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น กับคนรอบข้าง ✅ รู้จัก สร้างเส้นทางใหม่ให้ตัวเอง 📌 สรุป: 💡 ความคิดเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่นายของเรา 💡 รู้ทัน = คุมเกมชีวิตได้ 💡 แค่แยกแยะความคิดที่เป็นศัตรูออก ก็เปลี่ยนชีวิตได้แล้ว!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง

    ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue)

    ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี

    ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร

    ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม

    นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้

    นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง

    ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์)

    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง

    มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร

    แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน

    ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่?

    จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.niusnews.com/=P0123ga33
    https://n.znds.com/article/39071.html
    http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads
    https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B
    https://kknews.cc/history/6o6lop.html
    https://kknews.cc/news/e8orjvn.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue) ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้ นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์) ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่? จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.niusnews.com/=P0123ga33 https://n.znds.com/article/39071.html http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B https://kknews.cc/history/6o6lop.html https://kknews.cc/news/e8orjvn.html https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 627 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว...
    ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน

    เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป
    งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง..

    งานบุญออกพรรษา...

    สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ
    งานบุญแข่งเรือ

    ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน...
    ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า
    เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม

    หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว

    ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง

    คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน

    ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น...

    จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง....

    ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น...
    นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน
    เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น

    วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 .....

    ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร
    จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม

    ตั้งแต่เช้า....
    ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน

    แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น
    แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย
    สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้

    หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด...

    เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ

    ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น

    และที่ลืมไม่ได้...
    ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว..
    ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี
    ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น
    เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน
    แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง

    แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป...
    .
    .
    .
    ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน...
    แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น...

    มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า
    แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้
    .
    .
    พอตกบ่าย...
    หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป
    มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง
    หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ
    สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก
    .
    .
    ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว
    การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย
    บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน
    ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป
    บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น
    .
    .
    งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน

    ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน

    รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง
    ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
    จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง

    รถเข็นขายซาละเปา
    ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ

    และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม

    มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด

    งานดำเนินไปค่อนคืน...
    งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา...
    .
    .
    .
    หลายสิบปีผ่านไป...
    งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว...

    ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่

    ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

    ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม

    ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา

    พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว...
    ก็หายไปจากท้องนํ้า....
    .
    .
    .
    มีเพียงความทรงจำสีจางๆ...
    ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง...

    ก็ทำให้ ใครบางคน...
    สถานที่บางสถานที่...
    ที่เคยสลายไปแล้วนั้น
    กลับมามีชีวิตอีกครั้ง...
    แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม....
    .
    .
    .
    ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ

    ***ออกพรรษา
    เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    สมัยที่ผมยังเด็ก... ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว... ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง.. งานบุญออกพรรษา... สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ งานบุญแข่งเรือ ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน... ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น... จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง.... ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น... นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 ..... ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม ตั้งแต่เช้า.... ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้ หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด... เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น และที่ลืมไม่ได้... ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว.. ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป... . . . ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน... แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น... มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้ . . พอตกบ่าย... หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก . . ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น . . งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง รถเข็นขายซาละเปา ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด งานดำเนินไปค่อนคืน... งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา... . . . หลายสิบปีผ่านไป... งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว... ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่ ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว... ก็หายไปจากท้องนํ้า.... . . . มีเพียงความทรงจำสีจางๆ... ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง... ก็ทำให้ ใครบางคน... สถานที่บางสถานที่... ที่เคยสลายไปแล้วนั้น กลับมามีชีวิตอีกครั้ง... แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม.... . . . ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ ***ออกพรรษา เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตในงานราชการหรืองานประจำแบบนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าทำงานแบบซื่อตรงโปร่งใสโอกาสเติบโตคงน้อยมาก เป็นนายตัวเองผู้ใหญ่ก็พยายามดูถูกเพื่อให้ผมวางมือจากงานนายตัวเองหรืองานอิสระหันหัวไปทำงานเยี่ยงโคกระบือและเป็นนายตัวเองตอนหลังเกษียณก็ไม่คุ้มเพราะทำงานหนักทนนายด่าจนร่างกายเสื่อมจนอายุไม่ยืนยาวถึง 120 ปี อาจสิ้นใจก่อน 80 ปีก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะเป็นนายตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เป็นลูกจ้างมีแต่โดนกินแรงฟรี เงินก็น้อย โอทีก็แทบไม่ได้
    ชีวิตในงานราชการหรืองานประจำแบบนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าทำงานแบบซื่อตรงโปร่งใสโอกาสเติบโตคงน้อยมาก เป็นนายตัวเองผู้ใหญ่ก็พยายามดูถูกเพื่อให้ผมวางมือจากงานนายตัวเองหรืองานอิสระหันหัวไปทำงานเยี่ยงโคกระบือและเป็นนายตัวเองตอนหลังเกษียณก็ไม่คุ้มเพราะทำงานหนักทนนายด่าจนร่างกายเสื่อมจนอายุไม่ยืนยาวถึง 120 ปี อาจสิ้นใจก่อน 80 ปีก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะเป็นนายตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เป็นลูกจ้างมีแต่โดนกินแรงฟรี เงินก็น้อย โอทีก็แทบไม่ได้
    ระทึกขวัญ ลูกน้องชักปืนรัวยิงหัวหน้างานฯดับกลางห้องทำงาน สปก.น่าน ก่อนยิงตัวเองตาม คาดขัดแย้งเรื่องงาน ทะเลาะกันบ่อย บานปลาย จนกลายเป็นเหตุสุดสลด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008562

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจากความรู้สึก 6
    คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า)
    คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง
    และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ
    ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง
    ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง
    สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง
    และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
    ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
    จบ
    จบแล้วจ้า
    ฮ่าๆๆๆ
    บทความจากความรู้สึก 6 คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า) คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง จบ จบแล้วจ้า ฮ่าๆๆๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ)
    ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ
    ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน)
    ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป
    ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่
    ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
    ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม
    ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
    ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ
    ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที
    "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน"
    พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ
    สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล...

    คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง
    แดนเจอร์
    บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ) ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน) ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่ ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน" พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล... คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง แดนเจอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย
    จากมุมมองของ Nikkei Asia
    .
    ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76%
    .
    แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้
    .
    "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า
    .
    "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์"
    .
    นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง
    .
    "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ
    .
    จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน
    .
    การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก
    .
    ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว!
    .
    นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า
    .
    "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง"
    .
    นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน
    .
    "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก
    .
    ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%)
    .
    ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
    .
    ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้
    .
    สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง
    .
    แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้?
    .
    เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳
    .
    .
    อ้างอิง :
    NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand
    https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย จากมุมมองของ Nikkei Asia . ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76% . แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ . "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า . "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์" . นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง . "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ . จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน . การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก . ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว! . นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า . "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง" . นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน . "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า . "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก . ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%) . ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น . ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า . ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์ . อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้ . สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง . แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้? . เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳 . . อ้างอิง : NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1153 มุมมอง 1 รีวิว
  • งานมี่ทุกคนไม่อยากมี แต่ก็หนีไม่พ้น
    งานมี่ทุกคนไม่อยากมี แต่ก็หนีไม่พ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • 17/12/67

    #10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์

    อันดับ 1 คงหนีไม่พ้น Mona Lisa โดยศิลปิน
    Leonardo Da Vinci มูลค่ากว่า 760 ล้านเหรียญ!!!


    อันดับ 2 Nude, Green Leaves and Bust โดย Pablo Picasso มุลค่า 106.5 ล้านเหรียญ!!!


    อันดับ 3 When Will You Marry? ของ Paul Gauguin ซึ่งทาง Qatar ได้ซื้อขาดไปด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ


    อันดับ 4 The Card Players โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Cézanne ซึ่ง Qatar ก็ได้ซื้อไปอีกแล้วในราคา 259 ล้านเหรียญ


    อันดับ 5 Bal du moulin de la Galette โดย Pierre-Auguste Renoir มูลค่า 78.1 ล้านเหรียญ


    อันดับ 6 Garçon à la pipe โดย Pablo Picasso มูลค่า 104.2 ล้านเหรียญ

    อันดับ 7 Salvator Mundi โดย Leonardo da Vinci ซึ่งนักสะสมชาวรัสเซียได้ประมูลไปในราคา 127.5 ล้านเหรียญ

    อันดับ 8 The Scream โดย Edvard Munch ถูกประมูลในมุลค่า 119.9 ล้านเหรียญในปี 2012


    อันดับ 9 Adele Bloch-Bauer II โดย Gustav Klimt มีมูลค่า 87.9 ล้านเหรียญ


    อันดับ 10 Massacre of the Innocents โดย Peter Paul Rubens มูลค่า 76.7 ล้านเหรียญ

    cr:Pantip.com
    17/12/67 #10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ อันดับ 1 คงหนีไม่พ้น Mona Lisa โดยศิลปิน Leonardo Da Vinci มูลค่ากว่า 760 ล้านเหรียญ!!! อันดับ 2 Nude, Green Leaves and Bust โดย Pablo Picasso มุลค่า 106.5 ล้านเหรียญ!!! อันดับ 3 When Will You Marry? ของ Paul Gauguin ซึ่งทาง Qatar ได้ซื้อขาดไปด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ อันดับ 4 The Card Players โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Cézanne ซึ่ง Qatar ก็ได้ซื้อไปอีกแล้วในราคา 259 ล้านเหรียญ อันดับ 5 Bal du moulin de la Galette โดย Pierre-Auguste Renoir มูลค่า 78.1 ล้านเหรียญ อันดับ 6 Garçon à la pipe โดย Pablo Picasso มูลค่า 104.2 ล้านเหรียญ อันดับ 7 Salvator Mundi โดย Leonardo da Vinci ซึ่งนักสะสมชาวรัสเซียได้ประมูลไปในราคา 127.5 ล้านเหรียญ อันดับ 8 The Scream โดย Edvard Munch ถูกประมูลในมุลค่า 119.9 ล้านเหรียญในปี 2012 อันดับ 9 Adele Bloch-Bauer II โดย Gustav Klimt มีมูลค่า 87.9 ล้านเหรียญ อันดับ 10 Massacre of the Innocents โดย Peter Paul Rubens มูลค่า 76.7 ล้านเหรียญ cr:Pantip.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • การล่มสลายอย่างรวดเร็วของระบอบการปกครองอัสซาดในซีเรีย หลายฝ่ายคาดว่าหนีไม่พ้นสงครามแย่งชิงอำนาจการปกครองระหว่างกลุ่มต่างๆ จนอาจกลายเป็นการแตกเป็นประเทศใหม่ในที่สุด

    สำหรับขณะนี้มีกลุ่มหลักสี่กลุ่มหลักที่มีอิทธิพลที่สุดในซีเรีย ได้แก่
    Al-Fatah Al-Mubin(ใหญ่ที่สุดในซีเรีย),
    SNA
    SDF
    และกลุ่มกบฏใต้(Southern Operation Command)

    แต่ละกลุ่มประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ มากมายที่มีอุดมการณ์ที่หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน และแตกต่างในทุกมิติของซีเรีย
    การล่มสลายอย่างรวดเร็วของระบอบการปกครองอัสซาดในซีเรีย หลายฝ่ายคาดว่าหนีไม่พ้นสงครามแย่งชิงอำนาจการปกครองระหว่างกลุ่มต่างๆ จนอาจกลายเป็นการแตกเป็นประเทศใหม่ในที่สุด สำหรับขณะนี้มีกลุ่มหลักสี่กลุ่มหลักที่มีอิทธิพลที่สุดในซีเรีย ได้แก่ Al-Fatah Al-Mubin(ใหญ่ที่สุดในซีเรีย), SNA SDF และกลุ่มกบฏใต้(Southern Operation Command) แต่ละกลุ่มประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ มากมายที่มีอุดมการณ์ที่หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน และแตกต่างในทุกมิติของซีเรีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทวงคืนเขากระโดง หยุดขี้ข้านักการเมือง
    .
    เรื่องนี้ผมมีหลักฐานชัดเจน เรียกว่าเถียงไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจแล้วนึกว่าประเทศไทยเราก้าวมาถึงขั้นนักการเมืองปฏิเสธคำพิพากษาศาลฎีกาได้อย่างไร เพียงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมืองเอง
    .
    เรื่องนี้เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้ง 54 ปีที่แล้ว (2513) จนกระทั่งมีการนำคดีสู่ศาลยุติธรรมและต่อสู้ถึงศาลชั้นอุทธรณ์ และฎีกา พร้อมกับมีคำพิพากษาเป็นที่สุดถึง 3 ฉบับ
    .
    ท่านผู้ชมครับ ผมยุติเรื่องนี้ด้วยข้อมูลหลักฐานการยอมรับของนายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ และขอเช่า ขออาศัยอยู่ เปิดเผยออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก
    .
    สรุป คุณอนุทินครับ คุณเนวินครับ คุณศักดิ์สยามครับ อธิบดีกรมที่ดินครับ หลักฐานทั้งหมดนี้ได้ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าที่ดินเขากระโดงเป็นสมบัติของชาติ ของการรถไฟประเทศไทย ไม่ใช่ของตระกูลชิดชอบ หรือของเอกชนหน้าไหนทั้งสิ้น
    .
    ท่านอธิบดีกรมที่ดินครับ ท่านเลิกตะแบงเสียทีได้ไหม ผมนี่อับอายขายหน้าเพื่อนฝูงพี่น้องคุณ หรือตระกูลคุณ หรือชาวบ้านที่เขารู้ความจริง ว่าคุณเป็นถึงอธิบดีกรมที่ดิน คุณทำไมตะแบง จะยกสมบัติ หรือจะป้องกันสมบัตินี้ไม่ให้ตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย และยังให้คงอยู่ในมือของเอกชนต่อไป ท่านอธิบดีกรมที่ดินครับ ทุเรศสิ้นดี
    .
    เพราะฉะนั้นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ ย่อมต้องทำหน้าที่ในการรักษาสมบัติดังกล่าวได้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประชาชน กรณีที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้ ถ้าผู้มีอำนาจยังตะแบง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย บ้านเมืองมันต้องลุกเป็นไฟแน่นอน
    .
    ด้วยเหตุนี้ ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ด้วยการเอาที่เขากระโดงคืนมาให้การรถไฟฯ สามารถทำได้ง่ายและถูกต้อง ชอบธรรมทางกฎหมาย และเหมาะสมด้วย คือกรมที่ดินต้องเอาที่ดินกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ ก่อน ตามมาตรา 61 วรรคแปด ของกฎหมายที่ดิน
    .
    ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า กรมที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิบดีกรมที่ดิน นายพรพจน์ เพ็ญพาส ต้องเลิกทำแบบกลับหัวกลับหาง หยุดการเล่นเล่ห์กล สร้างปัญหาให้ประเทศชาติเสียหาย กลับมายึดหลักการที่ถูกต้อง ถึงคุณจะเกษียณไปแล้ว ผมก็จะตามเรื่องนี้กับคุณ เพราะคุณช่วยเหลือนักการเมืองฮุบที่ดินที่เป็นของรัฐ ร้ายแรงไหม ? คุณจำเอาไว้นะ คุณจำคำพูดผมไว้นะ คุณโดนแน่ๆ ถึงคุณเกษียณไปแล้ว อย่างที่อัยการปรเมศวร์พูด อีก 5 ปี คุณต้องโดนแน่ คุณหนีไม่พ้นหรอก
    ทวงคืนเขากระโดง หยุดขี้ข้านักการเมือง . เรื่องนี้ผมมีหลักฐานชัดเจน เรียกว่าเถียงไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจแล้วนึกว่าประเทศไทยเราก้าวมาถึงขั้นนักการเมืองปฏิเสธคำพิพากษาศาลฎีกาได้อย่างไร เพียงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมืองเอง . เรื่องนี้เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้ง 54 ปีที่แล้ว (2513) จนกระทั่งมีการนำคดีสู่ศาลยุติธรรมและต่อสู้ถึงศาลชั้นอุทธรณ์ และฎีกา พร้อมกับมีคำพิพากษาเป็นที่สุดถึง 3 ฉบับ . ท่านผู้ชมครับ ผมยุติเรื่องนี้ด้วยข้อมูลหลักฐานการยอมรับของนายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ และขอเช่า ขออาศัยอยู่ เปิดเผยออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก . สรุป คุณอนุทินครับ คุณเนวินครับ คุณศักดิ์สยามครับ อธิบดีกรมที่ดินครับ หลักฐานทั้งหมดนี้ได้ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าที่ดินเขากระโดงเป็นสมบัติของชาติ ของการรถไฟประเทศไทย ไม่ใช่ของตระกูลชิดชอบ หรือของเอกชนหน้าไหนทั้งสิ้น . ท่านอธิบดีกรมที่ดินครับ ท่านเลิกตะแบงเสียทีได้ไหม ผมนี่อับอายขายหน้าเพื่อนฝูงพี่น้องคุณ หรือตระกูลคุณ หรือชาวบ้านที่เขารู้ความจริง ว่าคุณเป็นถึงอธิบดีกรมที่ดิน คุณทำไมตะแบง จะยกสมบัติ หรือจะป้องกันสมบัตินี้ไม่ให้ตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย และยังให้คงอยู่ในมือของเอกชนต่อไป ท่านอธิบดีกรมที่ดินครับ ทุเรศสิ้นดี . เพราะฉะนั้นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ ย่อมต้องทำหน้าที่ในการรักษาสมบัติดังกล่าวได้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประชาชน กรณีที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้ ถ้าผู้มีอำนาจยังตะแบง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย บ้านเมืองมันต้องลุกเป็นไฟแน่นอน . ด้วยเหตุนี้ ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ด้วยการเอาที่เขากระโดงคืนมาให้การรถไฟฯ สามารถทำได้ง่ายและถูกต้อง ชอบธรรมทางกฎหมาย และเหมาะสมด้วย คือกรมที่ดินต้องเอาที่ดินกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ ก่อน ตามมาตรา 61 วรรคแปด ของกฎหมายที่ดิน . ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า กรมที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิบดีกรมที่ดิน นายพรพจน์ เพ็ญพาส ต้องเลิกทำแบบกลับหัวกลับหาง หยุดการเล่นเล่ห์กล สร้างปัญหาให้ประเทศชาติเสียหาย กลับมายึดหลักการที่ถูกต้อง ถึงคุณจะเกษียณไปแล้ว ผมก็จะตามเรื่องนี้กับคุณ เพราะคุณช่วยเหลือนักการเมืองฮุบที่ดินที่เป็นของรัฐ ร้ายแรงไหม ? คุณจำเอาไว้นะ คุณจำคำพูดผมไว้นะ คุณโดนแน่ๆ ถึงคุณเกษียณไปแล้ว อย่างที่อัยการปรเมศวร์พูด อีก 5 ปี คุณต้องโดนแน่ คุณหนีไม่พ้นหรอก
    Like
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1123 มุมมอง 0 รีวิว
  • .....อย่ากล่าวร้ายคนอื่นเพราะโลกเรามันกลมมากลูกศรแห่งคำว่าร้ายกาจจะย้อนคืนสู่ตัวเราในวันหนึ่ง.มีคำกล่าวว่า ..การใส่ร้ายสามารถทำลายคนได้ถึงสามคนหนึ่งคือผู้พูด สองคือผู้ฟังและสามคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในการว่าร้าย.ถ้ามีคนกำลังพูดจาใส่ร้ายใครอยู่ให้รีบเดินหนีเลี่ยงหลบไปที่อื่นไกลๆเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาพบเจอความผิดของเราก็หนีไม่พ้นที่จะนินทามันให้คนอื่นฟัง
    .....อย่ากล่าวร้ายคนอื่นเพราะโลกเรามันกลมมากลูกศรแห่งคำว่าร้ายกาจจะย้อนคืนสู่ตัวเราในวันหนึ่ง.มีคำกล่าวว่า ..การใส่ร้ายสามารถทำลายคนได้ถึงสามคนหนึ่งคือผู้พูด สองคือผู้ฟังและสามคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในการว่าร้าย.ถ้ามีคนกำลังพูดจาใส่ร้ายใครอยู่ให้รีบเดินหนีเลี่ยงหลบไปที่อื่นไกลๆเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาพบเจอความผิดของเราก็หนีไม่พ้นที่จะนินทามันให้คนอื่นฟัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ จุฬา22 เรียกได้ว่าเป็นร้านน้ำเต้าหู้ชื่อดังในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะการไปเยือนของ ลิซ่า Blackpink เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องรสชาติก็ไม่แพ้ใครนะเออ ที่นี่มีเมนูให้เลือกมากมายกว่า 30 อย่าง จุดเด่นอยู่ที่ชามใหญ่ เครื่องเยอะ ราคาก็เป็นกันเอง แถมมีโต๊ะรองรับอีกด้วย ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นเมนู เต้าฮวยน้ำขิง และที่พิเศษกว่าเจ้าอื่นคือเมนู เฉาก๊วยนมสดภูเขาไฟ ที่บอกเลยว่าห้ามพลาด!

    พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kjTkU7atoPrjBBcq5
    ที่อยู่ : ถนน บรรทัดทอง แขวง รองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    ร้านเปิดบริการ : 15.00 - 23.30 น.

    #น้ำเต้าหู้ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    น้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ จุฬา22 เรียกได้ว่าเป็นร้านน้ำเต้าหู้ชื่อดังในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะการไปเยือนของ ลิซ่า Blackpink เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องรสชาติก็ไม่แพ้ใครนะเออ ที่นี่มีเมนูให้เลือกมากมายกว่า 30 อย่าง จุดเด่นอยู่ที่ชามใหญ่ เครื่องเยอะ ราคาก็เป็นกันเอง แถมมีโต๊ะรองรับอีกด้วย ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นเมนู เต้าฮวยน้ำขิง และที่พิเศษกว่าเจ้าอื่นคือเมนู เฉาก๊วยนมสดภูเขาไฟ ที่บอกเลยว่าห้ามพลาด! พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kjTkU7atoPrjBBcq5 ที่อยู่ : ถนน บรรทัดทอง แขวง รองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการ : 15.00 - 23.30 น. #น้ำเต้าหู้ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์...
    เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน
    เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว
    ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว
    เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์... เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 749 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราต้องให้ความยุติธรรมกับคุณสนธิมากๆด้วย
    เพราะอะไร?
    ตลอดเวลาครึ่งค่อนชีวิตของแก แกได้ลงถนนมาตลอด
    โดยเฉพาะลงถนนออนไลน์ ถนนสื่อสิ่งพิมพ์ หรือถนนคอนกรีตก็ตาม
    โดนเฉพาะถนนออนไลน์นั้น แกเป็นผู้นำในเรื่องของการรักษาความถูกต้อง ด้วยม็อตโต้ที่ว่า ความจริงมีหนึ่งเดียว

    การลงถนนในโลกออนไลน์ มันมีพลังมากนะ ก็ถ้าไม่มีพลังแล้วล่ะก็ จะขจัดคนชั่วในสังคมได้เหรอ

    ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีเวลาของมัน เมื่อเหตุการณ์ประกอบตัวขึ้นจนสุกงอม สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องสวมรองเท้าที่เหมาะๆ แล้วลงถนนคอนกรีตกันละทีนี้

    เราต้องให้ความยุติธรรมกับคุณสนธิมากๆด้วย เพราะอะไร? ตลอดเวลาครึ่งค่อนชีวิตของแก แกได้ลงถนนมาตลอด โดยเฉพาะลงถนนออนไลน์ ถนนสื่อสิ่งพิมพ์ หรือถนนคอนกรีตก็ตาม โดนเฉพาะถนนออนไลน์นั้น แกเป็นผู้นำในเรื่องของการรักษาความถูกต้อง ด้วยม็อตโต้ที่ว่า ความจริงมีหนึ่งเดียว การลงถนนในโลกออนไลน์ มันมีพลังมากนะ ก็ถ้าไม่มีพลังแล้วล่ะก็ จะขจัดคนชั่วในสังคมได้เหรอ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีเวลาของมัน เมื่อเหตุการณ์ประกอบตัวขึ้นจนสุกงอม สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องสวมรองเท้าที่เหมาะๆ แล้วลงถนนคอนกรีตกันละทีนี้
    Love
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 579 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • มาตราฐานนักการเมืองที่ดี เบื้องต้นก็คงหนีไม่พ้น คุณสมบัติ ของ การเป็นมนุษย์ที่ดีครับ
    .
    คือ ควรเป็น มนุษย์ที่ดีให้ได้ ก่อนจะมาเป็น "นักการเมือง"...!!!
    .
    เพราะ นักการเมือง ควรจะต้องมี "จิตสาธรณะ" ที่ต้องเสียสละ และ คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชน
    .
    ไม่ใช่ พออ้าปาก ก็อ้างว่า เพื่อประชาชน...!!!
    .
    แต่...ผลสุดท้ายกลับไป "เข้าทาง" ผลประโยชน์ของต่างชาติ ตาน้ำข้าว
    .
    ซึ่ง "การเป็นคนขี้โกหก" หรือ "การเป็นคนกลับกลอก" นั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ คุณสมบัติ ของ การเป็นมนุษย์ที่ดีแน่ๆครับ
    มาตราฐานนักการเมืองที่ดี เบื้องต้นก็คงหนีไม่พ้น คุณสมบัติ ของ การเป็นมนุษย์ที่ดีครับ . คือ ควรเป็น มนุษย์ที่ดีให้ได้ ก่อนจะมาเป็น "นักการเมือง"...!!! . เพราะ นักการเมือง ควรจะต้องมี "จิตสาธรณะ" ที่ต้องเสียสละ และ คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชน . ไม่ใช่ พออ้าปาก ก็อ้างว่า เพื่อประชาชน...!!! . แต่...ผลสุดท้ายกลับไป "เข้าทาง" ผลประโยชน์ของต่างชาติ ตาน้ำข้าว . ซึ่ง "การเป็นคนขี้โกหก" หรือ "การเป็นคนกลับกลอก" นั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ คุณสมบัติ ของ การเป็นมนุษย์ที่ดีแน่ๆครับ
    ดูหนังหน้าไอ่ทอนกลับกลอก หลอกคนในครอบครัว และคนในพรรคไม่พอ ยังหลอกประชาชน ว่าไม่เคยใช้ 112 หาเสียง แค่ตอบสื่อเวลาถูกถามเท่านั้น แต่คนเค้าเห็น เค้าได้ยินคลิปพวกมึงทั้งพรรค เค้าเห็นพฤติกรรมมาเป็นปีๆ หลักฐานเต็มโซเชียล
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้าน “หมอมูดง” ภูเก็ต ตั้งอยู่ในซอยป่าหลาย ติดกับคลองมูดง ทำให้เป็นที่มาของชื่อร้าน เพราะเจ้าของร้านและสูตรการทำอาหารชื่อว่า “หมอ” และร้านอยู่ริมคลองมูดง เลยเรียกง่าย ๆ ว่า “หมอมูดง” นั้นเอง

    ร้านนี้เปิดมานานกว่า 23 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการทำอาหารกินกันเองในกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ความเด็ดของรสชาติทำให้มีการบอกต่อและคนเริ่มมากินเยอะขึ้นจากมีเพียงแค่ 2 โต๊ะ ทำให้ต้องขยายพื้นที่และเปิดขายอย่างจริงจัง จนถึงตอนนี้สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 200 คนแล้ว

    สิ่งที่หมัดใจลูกค้าของร้าน “หมอมูดง” ภูเก็ต คงหนีไม่พ้นเรื่องรสชาติและสูตรการทำอาหาร ที่เน้นความคงที่ของรสชาติอาหาร โดยทางร้านจะใช้วิธีการตวงในทุก ๆ ขั้นตอน และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญก็คือวัตถุดิบจะต้องสดใหม่อยู่เสมอ รวมไปถึงพืชผักต่าง ๆ ที่ทางร้านปลูกผัก เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาทำเมนูต่าง ๆ ของร้านนั้นสดสะอาดแน่นอน

    #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ร้าน “หมอมูดง” ภูเก็ต ตั้งอยู่ในซอยป่าหลาย ติดกับคลองมูดง ทำให้เป็นที่มาของชื่อร้าน เพราะเจ้าของร้านและสูตรการทำอาหารชื่อว่า “หมอ” และร้านอยู่ริมคลองมูดง เลยเรียกง่าย ๆ ว่า “หมอมูดง” นั้นเอง ร้านนี้เปิดมานานกว่า 23 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการทำอาหารกินกันเองในกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ความเด็ดของรสชาติทำให้มีการบอกต่อและคนเริ่มมากินเยอะขึ้นจากมีเพียงแค่ 2 โต๊ะ ทำให้ต้องขยายพื้นที่และเปิดขายอย่างจริงจัง จนถึงตอนนี้สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 200 คนแล้ว สิ่งที่หมัดใจลูกค้าของร้าน “หมอมูดง” ภูเก็ต คงหนีไม่พ้นเรื่องรสชาติและสูตรการทำอาหาร ที่เน้นความคงที่ของรสชาติอาหาร โดยทางร้านจะใช้วิธีการตวงในทุก ๆ ขั้นตอน และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญก็คือวัตถุดิบจะต้องสดใหม่อยู่เสมอ รวมไปถึงพืชผักต่าง ๆ ที่ทางร้านปลูกผัก เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาทำเมนูต่าง ๆ ของร้านนั้นสดสะอาดแน่นอน #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ จุฬา22 เรียกได้ว่าเป็นร้านน้ำเต้าหู้ชื่อดังในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะการไปเยือนของ ลิซ่า Blackpink เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องรสชาติก็ไม่แพ้ใครนะเออ ที่นี่มีเมนูให้เลือกมากมายกว่า 30 อย่าง จุดเด่นอยู่ที่ชามใหญ่ เครื่องเยอะ ราคาก็เป็นกันเอง แถมมีโต๊ะรองรับอีกด้วย ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นเมนู เต้าฮวยน้ำขิง และที่พิเศษกว่าเจ้าอื่นคือเมนู เฉาก๊วยนมสดภูเขาไฟ ที่บอกเลยว่าห้ามพลาด

    พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kjTkU7atoPrjBBcq5
    ที่อยู่ : ถนน บรรทัดทอง แขวง รองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    ร้านเปิดบริการ : 15.00 - 23.30 น.

    #ของอร่อยบรรทัดทอง #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    น้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ จุฬา22 เรียกได้ว่าเป็นร้านน้ำเต้าหู้ชื่อดังในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะการไปเยือนของ ลิซ่า Blackpink เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องรสชาติก็ไม่แพ้ใครนะเออ ที่นี่มีเมนูให้เลือกมากมายกว่า 30 อย่าง จุดเด่นอยู่ที่ชามใหญ่ เครื่องเยอะ ราคาก็เป็นกันเอง แถมมีโต๊ะรองรับอีกด้วย ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นเมนู เต้าฮวยน้ำขิง และที่พิเศษกว่าเจ้าอื่นคือเมนู เฉาก๊วยนมสดภูเขาไฟ ที่บอกเลยว่าห้ามพลาด พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kjTkU7atoPrjBBcq5 ที่อยู่ : ถนน บรรทัดทอง แขวง รองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการ : 15.00 - 23.30 น. #ของอร่อยบรรทัดทอง #อาหารอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 695 มุมมอง 0 รีวิว
  • มันน่าจะใกล้ถึง จุดระเบิด เต็มที!!!...สำหรับความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะดูจากแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ทะเลจีนใต้ก็ตามที แต่สำหรับ บ้านเรา นั้น ใครต่อใครดูๆ จะหันไปสนใจหนักไปทางเรื่องดิไอค่ง ไอคอน เรื่องบอสโน่น บอสนี่ซะเป็นหลัก ส่วนจะก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลต่อส่วนรวม ต่อสังคมมาก-น้อยขนาดไหน อันนั้นคงต้องว่าไปตาม รสนิยม ของใคร-ของมันก็แล้วกัน...

    แต่สำหรับผู้ที่รักบ้าน-รักเมือง ห่วงบ้าน-ห่วงเมือง...ก็น่าที่จะเริ่มคิดๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าโอกาสที่ ผลกระทบ ต่างๆ นานา มันจะอุบัติขึ้นมาในรูปไหน? แบบไหน? ควรที่จะเตรียมตัวรับมือ รับสภาพ กันในลักษณะไหน? อย่างไร? เพราะเอาแค่เฉพาะ ราคาน้ำมัน ที่อาจเตลิดเปิดเปิงไปเป็นร้อยๆ ดอลลาร์

    120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างที่ใครๆ เขาว่า แค่นี้ก็น่าจะรากเขียว-รากเหลือง อ้วกแตก-อ้วกแตน ไปพอสมควรแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยมีผู้อุปมา-อุปไมยถึงความเป็นไปของสังคมไทย ของ ระบบ-ระบอบ ในบ้านเมือง ที่อาจไม่ต่างไปจากกองฟืนแห้งๆ ที่ถูกวางสุมเอาไว้ทั่วทุกซอก ทุกมุม โอกาสที่ ประกายไฟ จากไฟสงคราม มันจะกลายเป็นตัวจุดปะทุให้แต่ละสิ่ง-แต่ละอย่าง ต้องมีอัน เตร๊งเตรง...เตร่งต๋อย ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์บ์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย...

    โดยสิ่งที่ต้องถือว่าเป็น สิ่งสำคัญ เอามากๆ ไม่ว่าสำหรับบ้านไหน-เมืองไหน ในการรับมือกับผลกระทบต่างๆ นานา ก็คงหนีไม่พ้นไปจากความร่วมมือ-ร่วมใจ หรือสิ่งที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเรียกว่า ความรู้รัก-สามัคคี นั่นเอง และเป็นสิ่งที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ว่าค่อนข้างจะเหือดหาย แห้งแล้ง เอามากๆ สำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะนับแต่ช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน หรือเมื่อกว่าสิบๆ ปีที่แล้วเป็นต้นมา ยิ่งเมื่อต้องเจอกับความ ก้าวหน้า-ก้าวไกล ทางเทคโนโลยี ที่สามารถฉีกกระชากสังคมแต่ละสังคม ให้ย่อยแยก แตกกระจาย ไปเป็นชิ้นๆ เกิด ช่องว่างระหว่างวัย ชนิดต่อยังไงก็แทบต่อไม่ติด โอกาสที่จะร่วมแรง-ร่วมใจ ก้าวผ่าน วิกฤต ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ มันจึงออกจะยากเย็น แสนเข็ญ อยู่พอสมควร...

    และด้วยเหตุเท่าที่ผ่านมา...จะโดยเพราะ ตบะ-บารมี ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 หรือ พระสยามเทวาธิราช ก็แล้วแต่จะคิด หลายต่อหลายวิกฤต จึงถูกคลี่คลาย ผ่อนคลาย จากหนักไปเป็นเบา ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามากๆ ชนิดแม้แต่คนต่างบ้าน-ต่างเมือง ยังอด อัศจรรย์ใจ ต่อความยืดหยุ่น ประนีประนอม แห่ง ความเป็นไทย ภายในสังคมไทย ขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะการให้ความยอมรับ การยินยอม พร้อมใจ ต่อ ศูนย์รวมจิตใจ ที่อุบัติขึ้นมาโดย พระบารมี ไม่ใช่ด้วย พระราชอำนาจ และได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการคลี่คลายวิกฤตต่างๆ นานา ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล...

    แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ต้องสิ้นสุด ยุติ ลงไปตาม กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ...อะไร??? ที่จะเข้ามาเป็นสิ่งทดแทน เป็นตัวช่วยประคับประคอง ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ ที่เกิดวิกฤต อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันตระเตรียมรับมือเอาไว้ในแต่ละด้าน โดยไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะออกไปทาง อนุรักษนิยม หรือ เสรีนิยม ก็ตาม แต่ถ้าสามารถช่วยประคับประคอง ช่วยคลี่คลายวิกฤตแต่ละรูป แต่ละแบบ ย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีราคา ไปด้วยกันทั้งนั้น อันเป็นสิ่งที่บรรดาผู้รักบ้านรักเมือง ห่วงบ้าน ห่วงเมือง ทั้งหลาย ไม่ควรคิดที่จะปฏิเสธ...

    การสร้าง ความรู้รัก-สามัคคี ภายใต้สังคมสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยความย่อยแยก แตกกระจาย ย่อมเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญ เอามากๆ และยิ่งภายใต้ภาวะวิกฤตที่เข้ามากระหน่ำ ซ้ำเติม ยิ่งแทบทำให้ไม่เห็นทางออก-ทางไป เอาเลยก็ว่าได้ แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้น ที่พอจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยประคับประคองสังคมแต่ละสังคมให้พอรอดพ้นปากเหยี่ยว-ปากกาได้มั่ง ดังนั้น...ไม่ว่าจะยากขนาดไหน ไม่ว่ายังแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้ามุ่งมั่น และเพียรพยายาม พร้อมที่จะสืบทอด ต่อยอด ในสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงได้บำเพ็ญเพียร ได้ทรงแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง ไว้แล้ว อย่างน้อย...ก็น่าจะพอช่วยให้บ้านเมืองไม่ถึงกับต้อง แตกสลาย ลงไปต่อหน้า-ต่อตา.

    https://www.thaipost.net/columnist-people/676550/

    #Thaitimes
    มันน่าจะใกล้ถึง จุดระเบิด เต็มที!!!...สำหรับความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะดูจากแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ทะเลจีนใต้ก็ตามที แต่สำหรับ บ้านเรา นั้น ใครต่อใครดูๆ จะหันไปสนใจหนักไปทางเรื่องดิไอค่ง ไอคอน เรื่องบอสโน่น บอสนี่ซะเป็นหลัก ส่วนจะก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลต่อส่วนรวม ต่อสังคมมาก-น้อยขนาดไหน อันนั้นคงต้องว่าไปตาม รสนิยม ของใคร-ของมันก็แล้วกัน... แต่สำหรับผู้ที่รักบ้าน-รักเมือง ห่วงบ้าน-ห่วงเมือง...ก็น่าที่จะเริ่มคิดๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าโอกาสที่ ผลกระทบ ต่างๆ นานา มันจะอุบัติขึ้นมาในรูปไหน? แบบไหน? ควรที่จะเตรียมตัวรับมือ รับสภาพ กันในลักษณะไหน? อย่างไร? เพราะเอาแค่เฉพาะ ราคาน้ำมัน ที่อาจเตลิดเปิดเปิงไปเป็นร้อยๆ ดอลลาร์ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างที่ใครๆ เขาว่า แค่นี้ก็น่าจะรากเขียว-รากเหลือง อ้วกแตก-อ้วกแตน ไปพอสมควรแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยมีผู้อุปมา-อุปไมยถึงความเป็นไปของสังคมไทย ของ ระบบ-ระบอบ ในบ้านเมือง ที่อาจไม่ต่างไปจากกองฟืนแห้งๆ ที่ถูกวางสุมเอาไว้ทั่วทุกซอก ทุกมุม โอกาสที่ ประกายไฟ จากไฟสงคราม มันจะกลายเป็นตัวจุดปะทุให้แต่ละสิ่ง-แต่ละอย่าง ต้องมีอัน เตร๊งเตรง...เตร่งต๋อย ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์บ์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย... โดยสิ่งที่ต้องถือว่าเป็น สิ่งสำคัญ เอามากๆ ไม่ว่าสำหรับบ้านไหน-เมืองไหน ในการรับมือกับผลกระทบต่างๆ นานา ก็คงหนีไม่พ้นไปจากความร่วมมือ-ร่วมใจ หรือสิ่งที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเรียกว่า ความรู้รัก-สามัคคี นั่นเอง และเป็นสิ่งที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ว่าค่อนข้างจะเหือดหาย แห้งแล้ง เอามากๆ สำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะนับแต่ช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน หรือเมื่อกว่าสิบๆ ปีที่แล้วเป็นต้นมา ยิ่งเมื่อต้องเจอกับความ ก้าวหน้า-ก้าวไกล ทางเทคโนโลยี ที่สามารถฉีกกระชากสังคมแต่ละสังคม ให้ย่อยแยก แตกกระจาย ไปเป็นชิ้นๆ เกิด ช่องว่างระหว่างวัย ชนิดต่อยังไงก็แทบต่อไม่ติด โอกาสที่จะร่วมแรง-ร่วมใจ ก้าวผ่าน วิกฤต ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ มันจึงออกจะยากเย็น แสนเข็ญ อยู่พอสมควร... และด้วยเหตุเท่าที่ผ่านมา...จะโดยเพราะ ตบะ-บารมี ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 หรือ พระสยามเทวาธิราช ก็แล้วแต่จะคิด หลายต่อหลายวิกฤต จึงถูกคลี่คลาย ผ่อนคลาย จากหนักไปเป็นเบา ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามากๆ ชนิดแม้แต่คนต่างบ้าน-ต่างเมือง ยังอด อัศจรรย์ใจ ต่อความยืดหยุ่น ประนีประนอม แห่ง ความเป็นไทย ภายในสังคมไทย ขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะการให้ความยอมรับ การยินยอม พร้อมใจ ต่อ ศูนย์รวมจิตใจ ที่อุบัติขึ้นมาโดย พระบารมี ไม่ใช่ด้วย พระราชอำนาจ และได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการคลี่คลายวิกฤตต่างๆ นานา ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล... แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ต้องสิ้นสุด ยุติ ลงไปตาม กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ...อะไร??? ที่จะเข้ามาเป็นสิ่งทดแทน เป็นตัวช่วยประคับประคอง ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ ที่เกิดวิกฤต อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันตระเตรียมรับมือเอาไว้ในแต่ละด้าน โดยไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะออกไปทาง อนุรักษนิยม หรือ เสรีนิยม ก็ตาม แต่ถ้าสามารถช่วยประคับประคอง ช่วยคลี่คลายวิกฤตแต่ละรูป แต่ละแบบ ย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีราคา ไปด้วยกันทั้งนั้น อันเป็นสิ่งที่บรรดาผู้รักบ้านรักเมือง ห่วงบ้าน ห่วงเมือง ทั้งหลาย ไม่ควรคิดที่จะปฏิเสธ... การสร้าง ความรู้รัก-สามัคคี ภายใต้สังคมสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยความย่อยแยก แตกกระจาย ย่อมเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญ เอามากๆ และยิ่งภายใต้ภาวะวิกฤตที่เข้ามากระหน่ำ ซ้ำเติม ยิ่งแทบทำให้ไม่เห็นทางออก-ทางไป เอาเลยก็ว่าได้ แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้น ที่พอจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยประคับประคองสังคมแต่ละสังคมให้พอรอดพ้นปากเหยี่ยว-ปากกาได้มั่ง ดังนั้น...ไม่ว่าจะยากขนาดไหน ไม่ว่ายังแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้ามุ่งมั่น และเพียรพยายาม พร้อมที่จะสืบทอด ต่อยอด ในสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงได้บำเพ็ญเพียร ได้ทรงแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง ไว้แล้ว อย่างน้อย...ก็น่าจะพอช่วยให้บ้านเมืองไม่ถึงกับต้อง แตกสลาย ลงไปต่อหน้า-ต่อตา. https://www.thaipost.net/columnist-people/676550/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    ศูนย์รวมจิตใจในยาม 'วิกฤต'
    มันน่าจะใกล้ถึง จุดระเบิด เต็มที!!!...สำหรับความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะดูจากแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ทะเลจีนใต้ก็ตามที แต่สำหรับ บ้านเรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 528 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18/10/67


    บทควาทของ
    คุณวินทร์ เลียววาริณ
    เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ

    ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"

    ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน

    มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน

    ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง

    ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก"

    เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า

    ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน

    เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่?

    เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ

    นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง

    แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า

    นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว

    เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก

    ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ

    และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน

    คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว

    เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ

    เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา

    สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ

    มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก

    เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ

    สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน

    การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ

    มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก

    หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน

    มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ

    เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว

    ทำได้จริงหรือ?

    ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ

    ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร

    เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด

    ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ

    ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว

    เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว

    ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข

    ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม

    คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    18 กันยายน 2567
    18/10/67 บทควาทของ คุณวินทร์ เลียววาริณ เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก" เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่? เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว ทำได้จริงหรือ? ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ วินทร์ เลียววาริณ 18 กันยายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts