• “ฮุน มาเนต” ยืนยัน กัมพูชาไม่ได้แทรกแซงการเมืองไทย กัมพูชาอดทนแม้ถูกไทยใส่ร้าย-ดูถูก
    https://www.thai-tai.tv/news/19943/
    .
    #ฮุนมาเนต #กัมพูชา #ไม่แทรกแซง #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #อำนาจอธิปไตย #การเมืองไทย #ข่าวต่างประเทศ #ตอบโต้ #ศักดิ์ศรีชาติ

    “ฮุน มาเนต” ยืนยัน กัมพูชาไม่ได้แทรกแซงการเมืองไทย กัมพูชาอดทนแม้ถูกไทยใส่ร้าย-ดูถูก https://www.thai-tai.tv/news/19943/ . #ฮุนมาเนต #กัมพูชา #ไม่แทรกแซง #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #อำนาจอธิปไตย #การเมืองไทย #ข่าวต่างประเทศ #ตอบโต้ #ศักดิ์ศรีชาติ
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เหตุการณ์โดยรวมในฉนวนกาซารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา:

    สหรัฐตกลงกับฮามาสในการปล่อยตัวประกัน "เอดาน อเล็กซานเดอร์ " ชาวอิสราเอลสัญชาติสหรัฐ เพื่อแลกกับการยกเลิกการปิดล้อมฉนวนกาซา

    เอดานได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่ทรัมป์กลับผิดสัญญา เห็นได้จากอิสราเอลยังคงปิดล้อมฉนวนกาซาให้อดอาหาร และขาดอุปกรณ์ด้านมนุษยธรรมต่อไป

    เป้าหมายของสหรัฐเพียงแค่ต้องการให้พลเมืองสหรัฐ-อิสราเอลรายนี้ได้รับการช่วยเหลือ ก่อนที่จะปล่อยให้อิสราเอลใช้ความรุนแรงกับฉนวนกาซา การสังหารหมู่และผู้ที่รอดชีวิตจะถูกปลูกฝังความกลัวจนต้องยอมย้ายออกไป

    กระแสข่าวที่ทรัมป์แสร้งทำเป็นไม่พอใจเนทันยาฮู เห็นได้ชัดว่าคือกลลวง ทั้งสองเพียงแค่สร้างสถานการณ์ให้ประเทศอาหรับรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางไปเยือนประเทศหลักเหล่านั้น และมันก็ได้ผล ประเทศอาหรับหลงกล และยอมทำข้อตกลงด้านธุรกิจรวมกว่าหลายล้านล้านดอลลาร์

    ยืนยันอีกครั้งว่าทรัมป์และเนทันยาฮูยังคงมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเมื่อวันก่อน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่าเขาจะไม่แทรกแซงนโยบายของเนทันยาฮูที่กำลังทำกับกาซาในขณะนี้

    ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐกำลังกดดันลิเบียให้รับชาวปาเลสไตน์ราว 1 ล้านคนออกจากกาซา โดยปล่อยให้อิสราเอลเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ เพื่อเร่งกดดันให้ลิเบียรับผู้อพยพ ก่อนที่จะถูกอิสราเอลกวาดล้างทางชาติพันธุ์

    เพียงไม่กี่วันที่ทรัมป์เดินทางเยือนประเทศอาหรับ อิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่กาซา จนมีผู้เสียชีวิตไปมากกว่าสามร้อยราย ทำให้ยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งไปเกือบถึงหกหมื่นรายนับตั้งแต่อิสราเอลประกาศสงครามกับฮามาสเพื่อกวาดล้างชาวกาซาเมื่อปี 2023

    เหตุการณ์โดยรวมในฉนวนกาซารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา: 👉สหรัฐตกลงกับฮามาสในการปล่อยตัวประกัน "เอดาน อเล็กซานเดอร์ " ชาวอิสราเอลสัญชาติสหรัฐ เพื่อแลกกับการยกเลิกการปิดล้อมฉนวนกาซา 👉เอดานได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่ทรัมป์กลับผิดสัญญา เห็นได้จากอิสราเอลยังคงปิดล้อมฉนวนกาซาให้อดอาหาร และขาดอุปกรณ์ด้านมนุษยธรรมต่อไป 👉 เป้าหมายของสหรัฐเพียงแค่ต้องการให้พลเมืองสหรัฐ-อิสราเอลรายนี้ได้รับการช่วยเหลือ ก่อนที่จะปล่อยให้อิสราเอลใช้ความรุนแรงกับฉนวนกาซา การสังหารหมู่และผู้ที่รอดชีวิตจะถูกปลูกฝังความกลัวจนต้องยอมย้ายออกไป 👉กระแสข่าวที่ทรัมป์แสร้งทำเป็นไม่พอใจเนทันยาฮู เห็นได้ชัดว่าคือกลลวง ทั้งสองเพียงแค่สร้างสถานการณ์ให้ประเทศอาหรับรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางไปเยือนประเทศหลักเหล่านั้น และมันก็ได้ผล ประเทศอาหรับหลงกล และยอมทำข้อตกลงด้านธุรกิจรวมกว่าหลายล้านล้านดอลลาร์ 👉 ยืนยันอีกครั้งว่าทรัมป์และเนทันยาฮูยังคงมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเมื่อวันก่อน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่าเขาจะไม่แทรกแซงนโยบายของเนทันยาฮูที่กำลังทำกับกาซาในขณะนี้ 👉 ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐกำลังกดดันลิเบียให้รับชาวปาเลสไตน์ราว 1 ล้านคนออกจากกาซา โดยปล่อยให้อิสราเอลเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ เพื่อเร่งกดดันให้ลิเบียรับผู้อพยพ ก่อนที่จะถูกอิสราเอลกวาดล้างทางชาติพันธุ์ 👉 เพียงไม่กี่วันที่ทรัมป์เดินทางเยือนประเทศอาหรับ อิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่กาซา จนมีผู้เสียชีวิตไปมากกว่าสามร้อยราย ทำให้ยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งไปเกือบถึงหกหมื่นรายนับตั้งแต่อิสราเอลประกาศสงครามกับฮามาสเพื่อกวาดล้างชาวกาซาเมื่อปี 2023
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
  • 'สุชาติ' โต้ ‘รักชนก’ ยันไม่แทรกแซงสปส.ทุ่มซื้อตึก 7 พันล้าน ตอกกลับราคาประเมิน 3 พันล้าน ตั้งแต่ปี 40
    https://www.thai-tai.tv/news/17591/
    'สุชาติ' โต้ ‘รักชนก’ ยันไม่แทรกแซงสปส.ทุ่มซื้อตึก 7 พันล้าน ตอกกลับราคาประเมิน 3 พันล้าน ตั้งแต่ปี 40 https://www.thai-tai.tv/news/17591/
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • กกต.โต้ไม่จริง ปมสำนวนฮั้วเลือก สว.ได้ไปต่อหรือไม่อยู่ที่ "แสวง" ชี้ทุกขั้นตอนพิจารณายึดความเป็นอิสระ-ไม่แทรกแซง-เป็นธรรม ยันทุกสำนวนมอบรองเลขาฯ มีความเห็นสั่งรับ-ไม่รับก็ต้องเสนอ กกต.พิจารณาทุกกรณี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023157

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กกต.โต้ไม่จริง ปมสำนวนฮั้วเลือก สว.ได้ไปต่อหรือไม่อยู่ที่ "แสวง" ชี้ทุกขั้นตอนพิจารณายึดความเป็นอิสระ-ไม่แทรกแซง-เป็นธรรม ยันทุกสำนวนมอบรองเลขาฯ มีความเห็นสั่งรับ-ไม่รับก็ต้องเสนอ กกต.พิจารณาทุกกรณี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023157 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 896 Views 0 Reviews
  • ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น"

    ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์ 

    ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute" 
    แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว"

    ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ

    มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม

    มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย

    แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  

    ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง

    เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online  

    1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง

    2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน 

    3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" 

    4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ

    สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า

    1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า

    2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม

    3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด

    4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ

    5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่

    6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม

    แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก" 

    "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น" 

    "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ

    ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว

    ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
    https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น" ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์  ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute"  แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน   ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online   1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง 2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน  3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา"  4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า 1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า 2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม 3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด 4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ 5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่ 6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก"  "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น"  "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1311 Views 0 Reviews
  • การปรับตัวเพื่อสร้างความรู้สึกเท่าเทียมในคู่ครอง

    1. ยอมรับว่า "ความรู้สึกไม่เท่าเทียม" อาจมาจากความเคยชินเดิม

    ความรู้สึกที่อีกฝ่ายเป็นบริวารเก่า หรือเราเป็นผู้นำ เกิดจาก พฤติกรรมสะสม ที่สะท้อนผ่านวิธีการปฏิบัติต่อกันในระยะยาว

    หากเราเคยชินกับการตัดสินใจ หรือรับบทบาทผู้นำ ความรู้สึกเท่าเทียมจะไม่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

    ---

    2. ความรู้สึกเท่าเทียมต้องสร้างด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำ

    ลดทิฐิมานะ: ยอมรับว่าความรักและชีวิตคู่ไม่ได้วัดกันด้วยบทบาทสูงต่ำ แต่ด้วยความสมดุลในการให้และรับ

    แสดงความเคารพและสนับสนุน: ลดบทบาทของ “การควบคุม” และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแสดงตัวตน เช่น การฟังความคิดเห็น หรือให้เขาได้ตัดสินใจ

    ---

    3. วิธีปฏิบัติที่ช่วยสร้างความรู้สึกเท่าเทียม

    ลดอัตตา: หากเราเผลอแสดงบทบาทที่เหนือกว่า เช่น ตัดสินใจแทนหรือแสดงความเป็นผู้นำ ลองถอยกลับมาให้เขาเป็นผู้นำบ้าง

    เพิ่มความใส่ใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ: เช่น เตรียมน้ำให้ดื่ม ช่วยเหลือในเรื่องเล็กน้อยด้วยความเต็มใจ

    หยอดกระปุกความรู้สึกดี: เช่น ยอมให้เขาตัดสินใจในบางเรื่อง โดยไม่แทรกแซงหรือวิจารณ์

    ---

    4. ปรับมุมมองต่อ "ความรักที่เท่าเทียม"

    ความเท่าเทียมไม่ใช่การแบ่งบทบาทชัดเจนว่าใครเป็นเท้าหน้าหรือเท้าหลัง แต่คือ การเคารพซึ่งกันและกันในทุกบทบาท

    เรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกของอีกฝ่ายบ้าง เพื่อสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์

    ---

    5. ความสุขในความสัมพันธ์เริ่มต้นจากใจเรา

    เริ่มจากการทำให้ตัวเองทุกข์น้อยลง: เช่น ลดความคาดหวัง ลดความต้องการควบคุม

    ใส่ความสุขลงในสิ่งที่ทำ: ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ การพูดคุย หรือการเปิดใจให้กัน

    ---

    สรุป

    หากต้องการสร้างความรู้สึกเท่าเทียมในชีวิตคู่ จงเริ่มจากตัวเอง ด้วยการลดทิฐิและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความรู้สึกดีให้กันและกัน อย่ามองว่าใครต้องนำหรือใครต้องตาม แต่ให้มองว่า เรากำลังเดินเคียงข้างกันเพื่อสร้างความสุขร่วมกัน.
    การปรับตัวเพื่อสร้างความรู้สึกเท่าเทียมในคู่ครอง 1. ยอมรับว่า "ความรู้สึกไม่เท่าเทียม" อาจมาจากความเคยชินเดิม ความรู้สึกที่อีกฝ่ายเป็นบริวารเก่า หรือเราเป็นผู้นำ เกิดจาก พฤติกรรมสะสม ที่สะท้อนผ่านวิธีการปฏิบัติต่อกันในระยะยาว หากเราเคยชินกับการตัดสินใจ หรือรับบทบาทผู้นำ ความรู้สึกเท่าเทียมจะไม่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ --- 2. ความรู้สึกเท่าเทียมต้องสร้างด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำ ลดทิฐิมานะ: ยอมรับว่าความรักและชีวิตคู่ไม่ได้วัดกันด้วยบทบาทสูงต่ำ แต่ด้วยความสมดุลในการให้และรับ แสดงความเคารพและสนับสนุน: ลดบทบาทของ “การควบคุม” และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแสดงตัวตน เช่น การฟังความคิดเห็น หรือให้เขาได้ตัดสินใจ --- 3. วิธีปฏิบัติที่ช่วยสร้างความรู้สึกเท่าเทียม ลดอัตตา: หากเราเผลอแสดงบทบาทที่เหนือกว่า เช่น ตัดสินใจแทนหรือแสดงความเป็นผู้นำ ลองถอยกลับมาให้เขาเป็นผู้นำบ้าง เพิ่มความใส่ใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ: เช่น เตรียมน้ำให้ดื่ม ช่วยเหลือในเรื่องเล็กน้อยด้วยความเต็มใจ หยอดกระปุกความรู้สึกดี: เช่น ยอมให้เขาตัดสินใจในบางเรื่อง โดยไม่แทรกแซงหรือวิจารณ์ --- 4. ปรับมุมมองต่อ "ความรักที่เท่าเทียม" ความเท่าเทียมไม่ใช่การแบ่งบทบาทชัดเจนว่าใครเป็นเท้าหน้าหรือเท้าหลัง แต่คือ การเคารพซึ่งกันและกันในทุกบทบาท เรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกของอีกฝ่ายบ้าง เพื่อสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ --- 5. ความสุขในความสัมพันธ์เริ่มต้นจากใจเรา เริ่มจากการทำให้ตัวเองทุกข์น้อยลง: เช่น ลดความคาดหวัง ลดความต้องการควบคุม ใส่ความสุขลงในสิ่งที่ทำ: ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ การพูดคุย หรือการเปิดใจให้กัน --- สรุป หากต้องการสร้างความรู้สึกเท่าเทียมในชีวิตคู่ จงเริ่มจากตัวเอง ด้วยการลดทิฐิและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความรู้สึกดีให้กันและกัน อย่ามองว่าใครต้องนำหรือใครต้องตาม แต่ให้มองว่า เรากำลังเดินเคียงข้างกันเพื่อสร้างความสุขร่วมกัน.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 476 Views 0 Reviews
  • กกต.เร่งรุกจบคดียุบ 'เพื่อไทย' เรียก 'แพทองธาร' ชี้แจง
    .
    การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ในการพิจารณาคดียุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่ามีความคืบหน้าพอสมคว โดยเฉพาะท่าทีของกกต.ที่เตรียมนำการขึ้นเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทยของอดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาคดีด้วย อีกทั้ง ยังจะพิจารณาถึงการเรียกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงข้อกล่าวหาเช่นกัน
    .
    ในเรื่องนี้นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เปิดเผยว่า การส่งหนังสือเชิญนางสาวแพทองธารนั้น เมื่อมีคนยื่นคำร้องว่ามีพฤติกรรมที่อาจผิดกฎหมายพรรคการเมือง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวมีมูลให้ตรวจสอบต่อหรือไม่ หากพบว่ามีมูลสมควรเพียงพอและรับไว้พิจารณา นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับไปดำเนินการ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำ ก่อนสรุปความเห็นส่งให้เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากสั่งยุติเรื่องต้องแจ้งให้คณะกรรมการ กกต. ทราบ แต่ที่ประชุมคณะกรรมการสามารถมีคำสั่งเป็นอื่นได้
    .
    "กกต. จะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายการทำงานของผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ ทั้งนี้ ทราบว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิญผู้ร้องทั้ง 4 คำร้องมาให้ถ้อยคำแล้ว และมีหนังสือเชิญผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำด้วย แต่จะเมื่อไร อย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ และไม่แน่ใจว่ามีการเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่" ประธาน กกต. ระบุ
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานกกต.ยอมรับว่า หากนายทักษิณไม่พร้อมที่จะมาให้ข้อมูล ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่อาจมีอำนาจจะทำอะไรได้ เพราะกฎหมายและระเบียบไม่ได้ให้อำนาจไว้ เพราะเป็นลักษณะการเชิญมาให้ถ้อยคำและส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการเดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ส่งหนังสือชี้แจง หรือมอบหมายผู้มาชี้แจงแทนได้ แต่หากไม่มาชี้แจงก็สามารถพิจารณาตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ได้ แต่การชี้แจงจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เพราะจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ถูกร้องมาชี้แจงโต้ตอบแก้ข้อกล่าวหาได้
    .
    ด้าน นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากกกต.อย่างเป็นทางการ ขณะที่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าหากได้รับหนังสือแล้ว จะเดินทางไปชี้แจงกับ กกต. ด้วยตัวเอง หรือจะส่งตัวแทนไป นายกรัฐมนตรี ตอบว่า "หนังสือว่าอย่างไร" ผู้สื่อข่าวจึงตอบไปว่า เป็นการเชิญให้หัวหน้าพรรคไปชี้แจง นายกรัฐมนตรีตอบเพียงสั้นๆ ว่า "อ๋อ" ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที
    ...........
    Sondhi X
    กกต.เร่งรุกจบคดียุบ 'เพื่อไทย' เรียก 'แพทองธาร' ชี้แจง . การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ในการพิจารณาคดียุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่ามีความคืบหน้าพอสมคว โดยเฉพาะท่าทีของกกต.ที่เตรียมนำการขึ้นเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทยของอดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาคดีด้วย อีกทั้ง ยังจะพิจารณาถึงการเรียกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงข้อกล่าวหาเช่นกัน . ในเรื่องนี้นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เปิดเผยว่า การส่งหนังสือเชิญนางสาวแพทองธารนั้น เมื่อมีคนยื่นคำร้องว่ามีพฤติกรรมที่อาจผิดกฎหมายพรรคการเมือง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวมีมูลให้ตรวจสอบต่อหรือไม่ หากพบว่ามีมูลสมควรเพียงพอและรับไว้พิจารณา นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับไปดำเนินการ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำ ก่อนสรุปความเห็นส่งให้เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากสั่งยุติเรื่องต้องแจ้งให้คณะกรรมการ กกต. ทราบ แต่ที่ประชุมคณะกรรมการสามารถมีคำสั่งเป็นอื่นได้ . "กกต. จะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายการทำงานของผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ ทั้งนี้ ทราบว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิญผู้ร้องทั้ง 4 คำร้องมาให้ถ้อยคำแล้ว และมีหนังสือเชิญผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำด้วย แต่จะเมื่อไร อย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ และไม่แน่ใจว่ามีการเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่" ประธาน กกต. ระบุ . อย่างไรก็ตาม ประธานกกต.ยอมรับว่า หากนายทักษิณไม่พร้อมที่จะมาให้ข้อมูล ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่อาจมีอำนาจจะทำอะไรได้ เพราะกฎหมายและระเบียบไม่ได้ให้อำนาจไว้ เพราะเป็นลักษณะการเชิญมาให้ถ้อยคำและส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการเดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ส่งหนังสือชี้แจง หรือมอบหมายผู้มาชี้แจงแทนได้ แต่หากไม่มาชี้แจงก็สามารถพิจารณาตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ได้ แต่การชี้แจงจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เพราะจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ถูกร้องมาชี้แจงโต้ตอบแก้ข้อกล่าวหาได้ . ด้าน นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากกกต.อย่างเป็นทางการ ขณะที่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าหากได้รับหนังสือแล้ว จะเดินทางไปชี้แจงกับ กกต. ด้วยตัวเอง หรือจะส่งตัวแทนไป นายกรัฐมนตรี ตอบว่า "หนังสือว่าอย่างไร" ผู้สื่อข่าวจึงตอบไปว่า เป็นการเชิญให้หัวหน้าพรรคไปชี้แจง นายกรัฐมนตรีตอบเพียงสั้นๆ ว่า "อ๋อ" ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที ........... Sondhi X
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 1085 Views 0 Reviews
  • คำอธิบาย: จิตตั้งมั่นแต่ยังมีความขุ่นมัวคืออะไร?

    การที่จิตตั้งมั่นอยู่แต่อีกส่วนหนึ่งยังมีความขุ่นมัวนั้น เป็น "การปรุงแต่งของจิต" ในปัจจุบันขณะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจิตตั้งมั่นจะต้องใสสะอาดหรือปราศจากความคิดหรืออารมณ์เสมอไป จิตยังคงสามารถมีความขุ่นมัวหรือความคิดแทรกเข้ามาได้ในเวลาเดียวกัน

    ---

    หลักการมองจิตตั้งมั่นและความขุ่นมัว

    1. จิตตั้งมั่น (ขณิกสมาธิ)

    มีความนิ่งสงบในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่สมาธิที่ลึกจนไร้การปรุงแต่ง

    ขณะที่จิตตั้งมั่น อาจมีความคิดหรืออารมณ์ผ่านเข้ามาเป็นสายๆ ซึ่งสามารถแยกออกได้ว่าเป็นสิ่งที่ "อยู่นอกจิต"

    2. ความขุ่นมัว (การปรุงแต่ง)

    เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เข้ามากระทบจิต เช่น ความฟุ้งซ่าน ความกังวล หรือความหม่นหมอง

    ความขุ่นมัวเป็นสิ่งนอกตัว ไม่ใช่ตัวเรา เพียงแค่รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ต้องตัดสินหรือพยายามขจัด

    3. การจำแนกภายใน-ภายนอก

    จิตที่ตั้งมั่นเป็น "อายตนะภายใน"

    ความคิดหรือความขุ่นมัวเป็น "อายตนะภายนอก"

    การเห็นสิ่งเหล่านี้แยกกันอย่างชัดเจน คือผลของสมาธิและสัมมาทิฏฐิ

    ---

    วิธีปฏิบัติต่อความขุ่นมัว

    1. รู้และยอมรับโดยไม่แทรกแซง

    เมื่อความขุ่นมัวเกิดขึ้น ให้สังเกตอย่างเป็นกลาง รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ต้องตั้งคำถามหรือหาคำตอบ

    “จิตตั้งมั่น แต่มีความขุ่นมัว” แค่รู้เท่านั้น และเฝ้าดูว่ามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

    2. เห็นความไม่เที่ยง

    ความขุ่นมัวจะมาและไปตามธรรมชาติ เมื่อความหม่นหมองจางหายไป จิตจะกลับมาผ่องใสอีกครั้ง

    กระบวนการนี้ช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์และสภาวธรรม

    3. อย่าตั้งข้อสงสัยหรือพยายามแก้ไข

    หากเราตั้งคำถามว่า "จะทำอย่างไรให้หาย?" ความฟุ้งซ่านจะเข้ามาปกคลุมจิตแทนความขุ่นมัว

    เพียงแค่รู้ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงใดๆ

    ---

    ผลที่ได้จากการปฏิบัติ

    การสังเกตโดยไม่แทรกแซงช่วยให้ สติและปัญญาเจริญขึ้น

    จิตจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น มีความตั้งมั่นที่มั่นคงและผ่องใสมากขึ้น

    เมื่อเผชิญกับความขุ่นมัวครั้งต่อไป เราจะสามารถรับมือได้ดีขึ้นและไม่ถูกมันครอบงำ

    ---

    สรุป:
    การที่จิตตั้งมั่นแต่อีกส่วนยังมีความขุ่นมัว เป็นธรรมชาติของการปรุงแต่งในปัจจุบันขณะ สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องขจัดหรือแก้ไข แต่ให้สังเกตและรู้ทันอย่างเป็นกลาง สุดท้ายความขุ่นมัวจะจางไปเอง และจิตที่ตั้งมั่นจะผ่องใสมากขึ้น พร้อมให้เราเห็นความไม่เที่ยงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น!
    คำอธิบาย: จิตตั้งมั่นแต่ยังมีความขุ่นมัวคืออะไร? การที่จิตตั้งมั่นอยู่แต่อีกส่วนหนึ่งยังมีความขุ่นมัวนั้น เป็น "การปรุงแต่งของจิต" ในปัจจุบันขณะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจิตตั้งมั่นจะต้องใสสะอาดหรือปราศจากความคิดหรืออารมณ์เสมอไป จิตยังคงสามารถมีความขุ่นมัวหรือความคิดแทรกเข้ามาได้ในเวลาเดียวกัน --- หลักการมองจิตตั้งมั่นและความขุ่นมัว 1. จิตตั้งมั่น (ขณิกสมาธิ) มีความนิ่งสงบในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่สมาธิที่ลึกจนไร้การปรุงแต่ง ขณะที่จิตตั้งมั่น อาจมีความคิดหรืออารมณ์ผ่านเข้ามาเป็นสายๆ ซึ่งสามารถแยกออกได้ว่าเป็นสิ่งที่ "อยู่นอกจิต" 2. ความขุ่นมัว (การปรุงแต่ง) เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เข้ามากระทบจิต เช่น ความฟุ้งซ่าน ความกังวล หรือความหม่นหมอง ความขุ่นมัวเป็นสิ่งนอกตัว ไม่ใช่ตัวเรา เพียงแค่รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ต้องตัดสินหรือพยายามขจัด 3. การจำแนกภายใน-ภายนอก จิตที่ตั้งมั่นเป็น "อายตนะภายใน" ความคิดหรือความขุ่นมัวเป็น "อายตนะภายนอก" การเห็นสิ่งเหล่านี้แยกกันอย่างชัดเจน คือผลของสมาธิและสัมมาทิฏฐิ --- วิธีปฏิบัติต่อความขุ่นมัว 1. รู้และยอมรับโดยไม่แทรกแซง เมื่อความขุ่นมัวเกิดขึ้น ให้สังเกตอย่างเป็นกลาง รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ต้องตั้งคำถามหรือหาคำตอบ “จิตตั้งมั่น แต่มีความขุ่นมัว” แค่รู้เท่านั้น และเฝ้าดูว่ามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 2. เห็นความไม่เที่ยง ความขุ่นมัวจะมาและไปตามธรรมชาติ เมื่อความหม่นหมองจางหายไป จิตจะกลับมาผ่องใสอีกครั้ง กระบวนการนี้ช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์และสภาวธรรม 3. อย่าตั้งข้อสงสัยหรือพยายามแก้ไข หากเราตั้งคำถามว่า "จะทำอย่างไรให้หาย?" ความฟุ้งซ่านจะเข้ามาปกคลุมจิตแทนความขุ่นมัว เพียงแค่รู้ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงใดๆ --- ผลที่ได้จากการปฏิบัติ การสังเกตโดยไม่แทรกแซงช่วยให้ สติและปัญญาเจริญขึ้น จิตจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น มีความตั้งมั่นที่มั่นคงและผ่องใสมากขึ้น เมื่อเผชิญกับความขุ่นมัวครั้งต่อไป เราจะสามารถรับมือได้ดีขึ้นและไม่ถูกมันครอบงำ --- สรุป: การที่จิตตั้งมั่นแต่อีกส่วนยังมีความขุ่นมัว เป็นธรรมชาติของการปรุงแต่งในปัจจุบันขณะ สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องขจัดหรือแก้ไข แต่ให้สังเกตและรู้ทันอย่างเป็นกลาง สุดท้ายความขุ่นมัวจะจางไปเอง และจิตที่ตั้งมั่นจะผ่องใสมากขึ้น พร้อมให้เราเห็นความไม่เที่ยงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น!
    0 Comments 0 Shares 383 Views 0 Reviews
  • ยืนยันไม่แทรกแซงกองทัพ ชินวัตรคนที่ 3 จะถูกรัฐประหาร ? 11/12/67 #นายกฯอิ๊งค์ #ชินวัตร #รัฐประหาร #แพทองธาร
    ยืนยันไม่แทรกแซงกองทัพ ชินวัตรคนที่ 3 จะถูกรัฐประหาร ? 11/12/67 #นายกฯอิ๊งค์ #ชินวัตร #รัฐประหาร #แพทองธาร
    Haha
    Sad
    Like
    Yay
    Angry
    10
    0 Comments 0 Shares 1084 Views 38 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ที่ออกอากาศ ว่าจะดำเนินการตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ในการอภัยโทษแก่พวกผู้ก่อจลาจลที่เกี่ยวกับเหตุจู่โจมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โหมกระพือความคาดการณ์มากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการอนุมัติอภัยโทษอย่างกว้างขวางในสมัยของเขา
    .
    "ผมจะดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด ตั้งแต่วันแรกเลย" ทรัมป์กล่าวกับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ ในรายงาน "มีตเดอะเพรส กับคริสเทน เวลเกอร์" เมื่อถูกถามว่าเขามีแผนอภัยโทษหรือไม่ ให้แก่บรรดาผู้สนับสนุนที่ถูกดำเนินคดีในเหตุโจมตีที่มีเป้าหมายล้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ที่เขาตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    ทรัมป์ บอกกับเวลเกอร์ ว่าการนิโทษกรรมของเขา "อาจมีข้อยกเว้นบางอย่าง หากบุคคลนั้นๆ กระทำรุนแรงหรือทำเรื่องบ้าๆ ระหว่างการจู่โจม" ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บมากกว่า 140 นาย และมีหลายคนเสียชีวิต
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ให้คำจำกัดความการดำเนินคดีกับบรรดาผู้สนับสนุนของเขา ว่าเป็นการคอร์รัปชันโดยเนื้อแท้ และไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการอภัยโทษจำเลยมากกว่า 900 คน ที่ยอมรับสารภาพผิดแล้ว ในนั้นรวมถึงบรรดาผู้ถูกล่าวหากระทำการรุนแรงในการโจมตี "ผมจะตรวจสอบทุกๆ อย่าง เราจะพิจารณาเป็นรายบุคคล"
    .
    ความเห็นครั้งนี้ของทรัมป์ ถือเป็นการให้รายละเอียดมากที่สุดในประเด็นการอภัยโทษ นับตั้งแต่ที่เขาเอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และดูเหมือนเพิ่มการคาดการณ์ที่สูงลิ่วอยู่ก่อนแล้ว ว่าเขาจะดำเนินการอภัยโทษอย่างครอบคลุม ครั้งที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
    .
    ความหวังในบรรดาจำเลยเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคมและเหล่าผู้สนับสนุน สำหรับการได้รับอภัยโทษอย่างครอบคลุม เริ่มสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว หลังตัวประธานาธิบดีโจ ไบเดน เอง อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ผู้เป็นลูกชาย กลับลำคำประกาศกร้าวก่อนหน้านี้ ว่าจะไม่แทรกแซงคดีอาญาของบุตรชาย
    .
    ไบเดน อ้างว่า ฮันเตอร์ ควรได้รับการอภัยโทษ เพราะว่าเขาเป็นเหยื่อของการตามประหัตประหารทางการเมือง ข้อโต้แย้งที่ดูเหมือน ทรัมป์ จะใช้อ้างความชอบธรรมในการอภัยโทษหมู่เช่นกัน กระตุ้นให้บางส่วนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ไบเดน โดยบอกว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีรายนี้ กลับกลายเป็นการช่วย ทรัมป์ ให้ได้รับความเสียหายทางการเมืองน้อยลงกว่าเดิม
    .
    คิมเบอร์ลี เวช์ล ศาสตราจารย์จากสถาบันกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยบัลติมอร์ กล่าวว่าเธอกังวลว่าการนิรโทษกรรมอย่างกว้างขวางให้แก่เหล่าจำเลยในคดี 6 มกราคม จะถูกใช้เป็นแรงจูงใจในทางที่ผิด กระพือความไม่สงบหรือแม้แต่ก่อความรุนแรงในนามของประธานาธิบดี
    .
    "มันเป็นแนวคิดที่เหมือนกับว่าเขากำลังตบรางวัลแก่พวกที่ละเมิดกฎหมายในนามของเขา ในความเกี่ยวข้องกับความพยายามล้มผลการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย มันเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน" เวช์ลกล่าว
    .
    ในสิ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นการสืบสวนทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา มีจำเลยอย่างน้อย 1,572 คน ถูกตั้งข้อหาในเหตุจู่โจมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยคำฟ้องทางอาญาเหล่านั้น ไล่ตั้งแต่เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปจนถึงสมคบคิดยุยงปลุกปั่นความไม่สงบ และประทุษร้ายรุนแรง
    .
    จากจำเลยทั้งหมด มีอยู่ 1,251 ราย ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดหรือยอมรับสารภาพผิด และมีอยู่ 645 ราย ที่ถูกลงโทษจำคุก ไล่ตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงสูงสุด 22 ปี
    .
    จอห์น เพียร์ซ ทนายความที่เป็นตัวแทนของจำเลยเหตุการณ์ 6 มกราคม เรียกร้องให้ ทรัมป์ ออกคำสั่งอภัยโทษครอบคลุมทุกคนที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเข้าร่วมในเหตุจลาจล "ผมคิดว่าคุณ จะเห็นผู้คนในหมู่ประชาคม 6 มกราคม ไม่พอใจมากมาย ถ้าการอนุมัติอภัยโทษดำเนินการบนพื้นฐานเป็นรายกรณี"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118050
    ..................
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ที่ออกอากาศ ว่าจะดำเนินการตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ในการอภัยโทษแก่พวกผู้ก่อจลาจลที่เกี่ยวกับเหตุจู่โจมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โหมกระพือความคาดการณ์มากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการอนุมัติอภัยโทษอย่างกว้างขวางในสมัยของเขา . "ผมจะดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด ตั้งแต่วันแรกเลย" ทรัมป์กล่าวกับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ ในรายงาน "มีตเดอะเพรส กับคริสเทน เวลเกอร์" เมื่อถูกถามว่าเขามีแผนอภัยโทษหรือไม่ ให้แก่บรรดาผู้สนับสนุนที่ถูกดำเนินคดีในเหตุโจมตีที่มีเป้าหมายล้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ที่เขาตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . ทรัมป์ บอกกับเวลเกอร์ ว่าการนิโทษกรรมของเขา "อาจมีข้อยกเว้นบางอย่าง หากบุคคลนั้นๆ กระทำรุนแรงหรือทำเรื่องบ้าๆ ระหว่างการจู่โจม" ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บมากกว่า 140 นาย และมีหลายคนเสียชีวิต . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ให้คำจำกัดความการดำเนินคดีกับบรรดาผู้สนับสนุนของเขา ว่าเป็นการคอร์รัปชันโดยเนื้อแท้ และไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการอภัยโทษจำเลยมากกว่า 900 คน ที่ยอมรับสารภาพผิดแล้ว ในนั้นรวมถึงบรรดาผู้ถูกล่าวหากระทำการรุนแรงในการโจมตี "ผมจะตรวจสอบทุกๆ อย่าง เราจะพิจารณาเป็นรายบุคคล" . ความเห็นครั้งนี้ของทรัมป์ ถือเป็นการให้รายละเอียดมากที่สุดในประเด็นการอภัยโทษ นับตั้งแต่ที่เขาเอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และดูเหมือนเพิ่มการคาดการณ์ที่สูงลิ่วอยู่ก่อนแล้ว ว่าเขาจะดำเนินการอภัยโทษอย่างครอบคลุม ครั้งที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม . ความหวังในบรรดาจำเลยเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคมและเหล่าผู้สนับสนุน สำหรับการได้รับอภัยโทษอย่างครอบคลุม เริ่มสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว หลังตัวประธานาธิบดีโจ ไบเดน เอง อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ผู้เป็นลูกชาย กลับลำคำประกาศกร้าวก่อนหน้านี้ ว่าจะไม่แทรกแซงคดีอาญาของบุตรชาย . ไบเดน อ้างว่า ฮันเตอร์ ควรได้รับการอภัยโทษ เพราะว่าเขาเป็นเหยื่อของการตามประหัตประหารทางการเมือง ข้อโต้แย้งที่ดูเหมือน ทรัมป์ จะใช้อ้างความชอบธรรมในการอภัยโทษหมู่เช่นกัน กระตุ้นให้บางส่วนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ไบเดน โดยบอกว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีรายนี้ กลับกลายเป็นการช่วย ทรัมป์ ให้ได้รับความเสียหายทางการเมืองน้อยลงกว่าเดิม . คิมเบอร์ลี เวช์ล ศาสตราจารย์จากสถาบันกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยบัลติมอร์ กล่าวว่าเธอกังวลว่าการนิรโทษกรรมอย่างกว้างขวางให้แก่เหล่าจำเลยในคดี 6 มกราคม จะถูกใช้เป็นแรงจูงใจในทางที่ผิด กระพือความไม่สงบหรือแม้แต่ก่อความรุนแรงในนามของประธานาธิบดี . "มันเป็นแนวคิดที่เหมือนกับว่าเขากำลังตบรางวัลแก่พวกที่ละเมิดกฎหมายในนามของเขา ในความเกี่ยวข้องกับความพยายามล้มผลการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย มันเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน" เวช์ลกล่าว . ในสิ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นการสืบสวนทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา มีจำเลยอย่างน้อย 1,572 คน ถูกตั้งข้อหาในเหตุจู่โจมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยคำฟ้องทางอาญาเหล่านั้น ไล่ตั้งแต่เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปจนถึงสมคบคิดยุยงปลุกปั่นความไม่สงบ และประทุษร้ายรุนแรง . จากจำเลยทั้งหมด มีอยู่ 1,251 ราย ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดหรือยอมรับสารภาพผิด และมีอยู่ 645 ราย ที่ถูกลงโทษจำคุก ไล่ตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงสูงสุด 22 ปี . จอห์น เพียร์ซ ทนายความที่เป็นตัวแทนของจำเลยเหตุการณ์ 6 มกราคม เรียกร้องให้ ทรัมป์ ออกคำสั่งอภัยโทษครอบคลุมทุกคนที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเข้าร่วมในเหตุจลาจล "ผมคิดว่าคุณ จะเห็นผู้คนในหมู่ประชาคม 6 มกราคม ไม่พอใจมากมาย ถ้าการอนุมัติอภัยโทษดำเนินการบนพื้นฐานเป็นรายกรณี" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118050 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 1206 Views 0 Reviews
  • ผบ.ตร. กำชับผู้ใต้บังคับบัญชา เร่งคลี่คลายคดีสำคัญ ที่ปชช.สนใจ ย้ำ รวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม หวัง กอบกู้ภาพลักษณ์องค์กร หากตร.ผิด จัดการเด็ดขาด แจง รพ.ตร. ไม่ต้องขอความเห็นตน ปมเวชระเบียน "ทักษิณ" ชั้น14 หลัง ป.ป.ช. ร้องขอ ชี้ สิทธิ์ขาดอยู่ที่คกก. ไม่แทรกแซงการทำงาน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108151

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบ.ตร. กำชับผู้ใต้บังคับบัญชา เร่งคลี่คลายคดีสำคัญ ที่ปชช.สนใจ ย้ำ รวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม หวัง กอบกู้ภาพลักษณ์องค์กร หากตร.ผิด จัดการเด็ดขาด แจง รพ.ตร. ไม่ต้องขอความเห็นตน ปมเวชระเบียน "ทักษิณ" ชั้น14 หลัง ป.ป.ช. ร้องขอ ชี้ สิทธิ์ขาดอยู่ที่คกก. ไม่แทรกแซงการทำงาน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108151 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Yay
    Sad
    5
    0 Comments 0 Shares 1720 Views 0 Reviews
  • ปูติน: รัสเซียไม่แสวงหาศัตรูหรืออำนาจเหนือโลกในระเบียบโลกใหม่

    ปูตินกล่าวว่า รัสเซียไม่ได้มองอารยธรรมตะวันตกเป็นศัตรูและไม่มองความสัมพันธ์ระดับโลกเป็นเรื่องของ "เราหรือพวกเขา"

    เขากล่าวถึงจุดยืนที่ว่า "ถ้าคุณไม่อยู่กับเรา, คุณก็ต่อต้านเรา" ว่าเป็นสูตรอันตราย

    เขาเน้นย้ำถึงการไม่แทรกแซงของรัสเซีย, โดยระบุว่ารัสเซียไม่พยายามที่จะสั่งสอนหรือยัดเยียดมุมมองโลกของตนให้กับผู้อื่น

    ปูตินยังยืนยันด้วยว่า ไม่สามารถมีอำนาจเหนือโลกในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้น
    .
    Putin: Russia seeks no enemies or hegemony in the new global order

    Putin stated that Russia does not view Western civilization as an enemy and does not see global relations as a matter of "us or them."

    He described the stance of "if you’re not with us, you’re against us" as a dangerous formula.

    Emphasizing Russia’s non-interference, he noted that Russia does not seek to teach or impose its worldview on others.

    Putin also asserted that there can be no hegemony in the emerging international environment.
    .
    11:59 PM · Nov 7, 2024 · 6,631 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1854569304873701453
    ปูติน: รัสเซียไม่แสวงหาศัตรูหรืออำนาจเหนือโลกในระเบียบโลกใหม่ ปูตินกล่าวว่า รัสเซียไม่ได้มองอารยธรรมตะวันตกเป็นศัตรูและไม่มองความสัมพันธ์ระดับโลกเป็นเรื่องของ "เราหรือพวกเขา" เขากล่าวถึงจุดยืนที่ว่า "ถ้าคุณไม่อยู่กับเรา, คุณก็ต่อต้านเรา" ว่าเป็นสูตรอันตราย เขาเน้นย้ำถึงการไม่แทรกแซงของรัสเซีย, โดยระบุว่ารัสเซียไม่พยายามที่จะสั่งสอนหรือยัดเยียดมุมมองโลกของตนให้กับผู้อื่น ปูตินยังยืนยันด้วยว่า ไม่สามารถมีอำนาจเหนือโลกในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้น . Putin: Russia seeks no enemies or hegemony in the new global order Putin stated that Russia does not view Western civilization as an enemy and does not see global relations as a matter of "us or them." He described the stance of "if you’re not with us, you’re against us" as a dangerous formula. Emphasizing Russia’s non-interference, he noted that Russia does not seek to teach or impose its worldview on others. Putin also asserted that there can be no hegemony in the emerging international environment. . 11:59 PM · Nov 7, 2024 · 6,631 Views https://x.com/SputnikInt/status/1854569304873701453
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • ❗️BIG: สภาผู้แทนราษฎรแห่งรัสเซีย, สภาดูมาแห่งรัฐ, ได้ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK)

    ตามเอกสารดังกล่าว, ทั้งสองฝ่ายจะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง, โดยคำนึงถึงกฎหมายของประเทศของตนและพันธกรณีระหว่างประเทศของตน

    ความสัมพันธ์เหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนหลักการเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยของรัฐและบูรณภาพแห่งดินแดน, การไม่แทรกแซงกิจการภายใน, ความเท่าเทียม, และหลักการอื่นๆของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือระหว่างประเทศ
    .
    ❗️BIG: THE LOWER HOUSE OF THE RUSSIAN PARLIAMENT, THE STATE DUMA, HAS RATIFIED THE TREATY ON COMPREHENSIVE STRATEGIC PARTNERSHIP BETWEEN THE RUSSIAN FEDERATION AND THE DEMOCRATIC PEOPLE'S REPUBLIC OF KOREA (DPRK).

    According to the document, both parties will continuously maintain and develop comprehensive strategic partnership relations, taking into account the laws of their respective countries and their international obligations.

    These relations are based on the principles of mutual respect for state sovereignty and territorial integrity, non-interference in internal affairs, equality, and other principles of international law concerning friendly relations and cooperation between states.
    .
    4:22 PM · Oct 24, 2024 · 4,683 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1849381028013441316
    ❗️BIG: 🇷🇺🇰🇵สภาผู้แทนราษฎรแห่งรัสเซีย, สภาดูมาแห่งรัฐ, ได้ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK) ตามเอกสารดังกล่าว, ทั้งสองฝ่ายจะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง, โดยคำนึงถึงกฎหมายของประเทศของตนและพันธกรณีระหว่างประเทศของตน ความสัมพันธ์เหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนหลักการเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยของรัฐและบูรณภาพแห่งดินแดน, การไม่แทรกแซงกิจการภายใน, ความเท่าเทียม, และหลักการอื่นๆของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือระหว่างประเทศ . ❗️BIG: 🇷🇺🇰🇵THE LOWER HOUSE OF THE RUSSIAN PARLIAMENT, THE STATE DUMA, HAS RATIFIED THE TREATY ON COMPREHENSIVE STRATEGIC PARTNERSHIP BETWEEN THE RUSSIAN FEDERATION AND THE DEMOCRATIC PEOPLE'S REPUBLIC OF KOREA (DPRK). According to the document, both parties will continuously maintain and develop comprehensive strategic partnership relations, taking into account the laws of their respective countries and their international obligations. These relations are based on the principles of mutual respect for state sovereignty and territorial integrity, non-interference in internal affairs, equality, and other principles of international law concerning friendly relations and cooperation between states. . 4:22 PM · Oct 24, 2024 · 4,683 Views https://x.com/SputnikInt/status/1849381028013441316
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 539 Views 0 Reviews
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 1007 Views 0 Reviews