• “Snapdragon 8 Elite Gen 5 เปิดตัวแล้ว — ชิปมือถือที่เร็วที่สุดในโลก พร้อม AI แบบ ‘Agentic’ ที่เรียนรู้และตัดสินใจแทนผู้ใช้”

    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างเป็นทางการในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย โดยชูจุดเด่นว่าเป็น “ชิปมือถือที่เร็วที่สุดในโลก” ด้วยสถาปัตยกรรม Oryon Gen 3 ที่มี 2 คอร์ Prime ความเร็วสูงสุด 4.6GHz และ 6 คอร์ Performance ที่ 3.62GHz พร้อมแคชรวม 24MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบ single-core ถึง 20% และ multi-core 17% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือการพัฒนา AI แบบใหม่ที่ Qualcomm เรียกว่า “Agentic AI” ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ช่วยที่ตอบสนอง แต่เป็นระบบที่เรียนรู้จากผู้ใช้และตัดสินใจแทนได้ เช่น การจัดการภาพ, โพสต์บนโซเชียล, หรือแม้แต่การสื่อสารกับแอปต่าง ๆ โดยใช้ Hexagon NPU รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น 37% และประหยัดพลังงานขึ้น 16%

    ด้านกราฟิก Snapdragon 8 Elite Gen 5 มาพร้อม Adreno GPU รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น 23% และประหยัดพลังงานขึ้น 20% รองรับ ray tracing แบบ hardware และ mesh shading พร้อม Adreno High Performance Memory (HPM) ขนาด 18MB ที่ช่วยเพิ่ม bandwidth ถึง 38% และลดการใช้พลังงานในเกมยาว ๆ ได้ถึง 10%

    Qualcomm ยังร่วมมือกับ Epic Games เพื่อปรับแต่ง Unreal Engine ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพบน Snapdragon เช่น Lumen, Nanite และ Chaos Physics ซึ่งช่วยให้เกมมือถือมีภาพระดับคอนโซล

    นอกจากนี้ยังมีการรองรับ Advanced Professional Video (APV) codec สำหรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงแบบมืออาชีพ และระบบ Sensing Hub ที่ช่วยให้ AI เรียนรู้จากการใช้งานจริง เช่น การจัดแสง, สี, และการโฟกัสภาพแบบอัตโนมัติ

    ชิปนี้จะเริ่มใช้งานในมือถือเรือธงจากแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Xiaomi, Samsung, OnePlus, Sony, ASUS ROG และอีกหลายราย โดยคาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายภายในปลายปี 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ใช้ Oryon Gen 3 CPU ความเร็วสูงสุด 4.6GHz
    มี 2 คอร์ Prime และ 6 คอร์ Performance พร้อมแคชรวม 24MB
    เพิ่มประสิทธิภาพ single-core 20% และ multi-core 17% จากรุ่นก่อน
    Hexagon NPU รุ่นใหม่เร็วขึ้น 37% และประหยัดพลังงานขึ้น 16%
    รองรับ Agentic AI ที่เรียนรู้และตัดสินใจแทนผู้ใช้
    Adreno GPU ใหม่เร็วขึ้น 23% และประหยัดพลังงานขึ้น 20%
    มี Adreno HPM ขนาด 18MB เพิ่ม bandwidth 38% และลดพลังงานเกม 10%
    รองรับ ray tracing, mesh shading และฟีเจอร์ Unreal Engine 5.3
    รองรับ APV codec สำหรับวิดีโอคุณภาพสูงระดับโปร
    ใช้โมเด็ม X85 รองรับ 5G สูงสุด 12.5Gbps และ Wi-Fi 7 พร้อม Bluetooth 6.0

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือแนวคิดใหม่ที่ให้ AI เป็นผู้ร่วมตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย
    Sensing Hub ช่วยให้ AI เรียนรู้จากการใช้งานจริงแบบต่อเนื่อง
    Adreno HPM เป็นหน่วยความจำเฉพาะ GPU ที่ช่วยลด latency
    APV codec ช่วยให้การถ่ายวิดีโอมีคุณภาพใกล้เคียงกล้องโปร และรองรับ post-production
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P จาก TSMC

    https://www.techpowerup.com/341312/qualcomm-unveils-snapdragon-8-elite-gen-5-soc-with-impressive-performance-claims
    📱 “Snapdragon 8 Elite Gen 5 เปิดตัวแล้ว — ชิปมือถือที่เร็วที่สุดในโลก พร้อม AI แบบ ‘Agentic’ ที่เรียนรู้และตัดสินใจแทนผู้ใช้” Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างเป็นทางการในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย โดยชูจุดเด่นว่าเป็น “ชิปมือถือที่เร็วที่สุดในโลก” ด้วยสถาปัตยกรรม Oryon Gen 3 ที่มี 2 คอร์ Prime ความเร็วสูงสุด 4.6GHz และ 6 คอร์ Performance ที่ 3.62GHz พร้อมแคชรวม 24MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบ single-core ถึง 20% และ multi-core 17% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือการพัฒนา AI แบบใหม่ที่ Qualcomm เรียกว่า “Agentic AI” ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ช่วยที่ตอบสนอง แต่เป็นระบบที่เรียนรู้จากผู้ใช้และตัดสินใจแทนได้ เช่น การจัดการภาพ, โพสต์บนโซเชียล, หรือแม้แต่การสื่อสารกับแอปต่าง ๆ โดยใช้ Hexagon NPU รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น 37% และประหยัดพลังงานขึ้น 16% ด้านกราฟิก Snapdragon 8 Elite Gen 5 มาพร้อม Adreno GPU รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น 23% และประหยัดพลังงานขึ้น 20% รองรับ ray tracing แบบ hardware และ mesh shading พร้อม Adreno High Performance Memory (HPM) ขนาด 18MB ที่ช่วยเพิ่ม bandwidth ถึง 38% และลดการใช้พลังงานในเกมยาว ๆ ได้ถึง 10% Qualcomm ยังร่วมมือกับ Epic Games เพื่อปรับแต่ง Unreal Engine ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพบน Snapdragon เช่น Lumen, Nanite และ Chaos Physics ซึ่งช่วยให้เกมมือถือมีภาพระดับคอนโซล นอกจากนี้ยังมีการรองรับ Advanced Professional Video (APV) codec สำหรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงแบบมืออาชีพ และระบบ Sensing Hub ที่ช่วยให้ AI เรียนรู้จากการใช้งานจริง เช่น การจัดแสง, สี, และการโฟกัสภาพแบบอัตโนมัติ ชิปนี้จะเริ่มใช้งานในมือถือเรือธงจากแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Xiaomi, Samsung, OnePlus, Sony, ASUS ROG และอีกหลายราย โดยคาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายภายในปลายปี 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ใช้ Oryon Gen 3 CPU ความเร็วสูงสุด 4.6GHz ➡️ มี 2 คอร์ Prime และ 6 คอร์ Performance พร้อมแคชรวม 24MB ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพ single-core 20% และ multi-core 17% จากรุ่นก่อน ➡️ Hexagon NPU รุ่นใหม่เร็วขึ้น 37% และประหยัดพลังงานขึ้น 16% ➡️ รองรับ Agentic AI ที่เรียนรู้และตัดสินใจแทนผู้ใช้ ➡️ Adreno GPU ใหม่เร็วขึ้น 23% และประหยัดพลังงานขึ้น 20% ➡️ มี Adreno HPM ขนาด 18MB เพิ่ม bandwidth 38% และลดพลังงานเกม 10% ➡️ รองรับ ray tracing, mesh shading และฟีเจอร์ Unreal Engine 5.3 ➡️ รองรับ APV codec สำหรับวิดีโอคุณภาพสูงระดับโปร ➡️ ใช้โมเด็ม X85 รองรับ 5G สูงสุด 12.5Gbps และ Wi-Fi 7 พร้อม Bluetooth 6.0 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือแนวคิดใหม่ที่ให้ AI เป็นผู้ร่วมตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย ➡️ Sensing Hub ช่วยให้ AI เรียนรู้จากการใช้งานจริงแบบต่อเนื่อง ➡️ Adreno HPM เป็นหน่วยความจำเฉพาะ GPU ที่ช่วยลด latency ➡️ APV codec ช่วยให้การถ่ายวิดีโอมีคุณภาพใกล้เคียงกล้องโปร และรองรับ post-production ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P จาก TSMC https://www.techpowerup.com/341312/qualcomm-unveils-snapdragon-8-elite-gen-5-soc-with-impressive-performance-claims
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qualcomm Unveils Snapdragon 8 Elite Gen 5 SoC With Impressive Performance Claims
    As expected, along with the latest laptop-class Arm SoC, the Snapdragon X2 Elite series Qualcomm has officially unveiled its latest flagship mobile SoC, the Snapdragon 8 Elite Gen 5. The 8 Elite Gen 5 launch sees Qualcomm lean even further into AI workloads while adding a handful of spec upgrades to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ซุ่มพัฒนา XeSS MFG — เทคโนโลยีสร้างเฟรมหลายชุดด้วย AI เตรียมชน DLSS 4 ของ NVIDIA ใน Arc B770”

    ในโลกของกราฟิกการ์ดที่แข่งขันกันดุเดือดระหว่าง NVIDIA, AMD และ Intel ล่าสุดมีเบาะแสจากไฟล์ไดรเวอร์ของ Intel Arc GPU ที่เผยให้เห็นว่า Intel กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า “XeSS MFG” หรือ Multi-Frame Generation ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก XeSS ที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพ

    เทคโนโลยี MFG นี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเฟรมหลายชุดระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ โดยใช้การคำนวณแบบ AI เพื่อเติมภาพที่ขาดหายไป ทำให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหลขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มภาระให้กับฮาร์ดแวร์มากนัก ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับ DLSS 4 ของ NVIDIA ที่สามารถสร้างเฟรมแทรกได้ถึง 3 ชุดจากเฟรมจริงหนึ่งชุด

    แม้ Intel ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การพบชื่อ XeSS MFG และโลโก้ในไฟล์ไดรเวอร์ล่าสุดของ Arc รวมถึง UI ที่เตรียมไว้ใน Arc Control Panel บ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจเปิดตัวพร้อมกับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ Arc B770 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Battlemage

    หาก Intel เปิดตัว XeSS MFG ได้สำเร็จ จะถือเป็นการปิดช่องว่างสำคัญระหว่าง Arc กับคู่แข่งอย่าง NVIDIA และ AMD ซึ่งปัจจุบัน AMD ยังไม่มีเทคโนโลยี MFG ใน FSR 4 และ NVIDIA เป็นเจ้าเดียวที่นำเสนอฟีเจอร์นี้ใน RTX 50 Series

    อย่างไรก็ตาม การสร้างเฟรมด้วย AI ยังมีข้อถกเถียง เช่น ความหน่วงที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อภาพเบลอหรือ artifact หากระบบไม่แม่นยำพอ ซึ่ง Intel ต้องพิสูจน์ว่า XeSS MFG สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า DLSS

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel พบชื่อ “XeSS MFG” และโลโก้ในไฟล์ไดรเวอร์ Arc GPU ล่าสุด
    MFG คือการสร้างเฟรมหลายชุดระหว่างเฟรมจริงด้วย AI เพื่อเพิ่มความลื่นไหล
    DLSS 4 ของ NVIDIA ใช้เทคนิคนี้แล้ว โดยสร้างเฟรมแทรกได้ถึง 3 ชุด
    XeSS MFG อาจเปิดตัวพร้อม Arc B770 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Battlemage
    UI สำหรับ XeSS MFG ถูกเตรียมไว้ใน Arc Control Panel แล้ว
    AMD ยังไม่มีเทคโนโลยี MFG ใน FSR 4
    XeSS 2.1 รองรับ GPU ที่ใช้ Shader Model 6.4 ขึ้นไป แม้ไม่ใช่ Intel
    การใช้ AI ในการสร้างเฟรมช่วยลดภาระ GPU และเพิ่มเฟรมเรตได้โดยไม่ลดคุณภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVIDIA ใช้ MFG ใน RTX 50 Series โดยสามารถสร้างเฟรมแทรกได้หลายระดับ
    Lossless Scaling เป็นทางเลือกของบุคคลที่สามที่รองรับ MFG แบบ vendor-neutral
    XeSS ใช้ XMX cores บน Arc GPU เพื่อเร่งการคำนวณ AI
    การสร้างเฟรมด้วย AI ต้องอาศัยข้อมูลจากเฟรมก่อนหน้าและการคาดการณ์การเคลื่อนไหว
    หาก Intel ทำสำเร็จ จะเป็นครั้งแรกที่มี MFG แบบเปิดให้ใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/intel-could-be-working-on-its-own-multi-frame-generation-tech-xess-mfg-name-and-logo-found-in-arc-graphics-driver-files
    🎮 “Intel ซุ่มพัฒนา XeSS MFG — เทคโนโลยีสร้างเฟรมหลายชุดด้วย AI เตรียมชน DLSS 4 ของ NVIDIA ใน Arc B770” ในโลกของกราฟิกการ์ดที่แข่งขันกันดุเดือดระหว่าง NVIDIA, AMD และ Intel ล่าสุดมีเบาะแสจากไฟล์ไดรเวอร์ของ Intel Arc GPU ที่เผยให้เห็นว่า Intel กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า “XeSS MFG” หรือ Multi-Frame Generation ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก XeSS ที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพ เทคโนโลยี MFG นี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเฟรมหลายชุดระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ โดยใช้การคำนวณแบบ AI เพื่อเติมภาพที่ขาดหายไป ทำให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหลขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มภาระให้กับฮาร์ดแวร์มากนัก ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับ DLSS 4 ของ NVIDIA ที่สามารถสร้างเฟรมแทรกได้ถึง 3 ชุดจากเฟรมจริงหนึ่งชุด แม้ Intel ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การพบชื่อ XeSS MFG และโลโก้ในไฟล์ไดรเวอร์ล่าสุดของ Arc รวมถึง UI ที่เตรียมไว้ใน Arc Control Panel บ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจเปิดตัวพร้อมกับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ Arc B770 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Battlemage หาก Intel เปิดตัว XeSS MFG ได้สำเร็จ จะถือเป็นการปิดช่องว่างสำคัญระหว่าง Arc กับคู่แข่งอย่าง NVIDIA และ AMD ซึ่งปัจจุบัน AMD ยังไม่มีเทคโนโลยี MFG ใน FSR 4 และ NVIDIA เป็นเจ้าเดียวที่นำเสนอฟีเจอร์นี้ใน RTX 50 Series อย่างไรก็ตาม การสร้างเฟรมด้วย AI ยังมีข้อถกเถียง เช่น ความหน่วงที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อภาพเบลอหรือ artifact หากระบบไม่แม่นยำพอ ซึ่ง Intel ต้องพิสูจน์ว่า XeSS MFG สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า DLSS ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel พบชื่อ “XeSS MFG” และโลโก้ในไฟล์ไดรเวอร์ Arc GPU ล่าสุด ➡️ MFG คือการสร้างเฟรมหลายชุดระหว่างเฟรมจริงด้วย AI เพื่อเพิ่มความลื่นไหล ➡️ DLSS 4 ของ NVIDIA ใช้เทคนิคนี้แล้ว โดยสร้างเฟรมแทรกได้ถึง 3 ชุด ➡️ XeSS MFG อาจเปิดตัวพร้อม Arc B770 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Battlemage ➡️ UI สำหรับ XeSS MFG ถูกเตรียมไว้ใน Arc Control Panel แล้ว ➡️ AMD ยังไม่มีเทคโนโลยี MFG ใน FSR 4 ➡️ XeSS 2.1 รองรับ GPU ที่ใช้ Shader Model 6.4 ขึ้นไป แม้ไม่ใช่ Intel ➡️ การใช้ AI ในการสร้างเฟรมช่วยลดภาระ GPU และเพิ่มเฟรมเรตได้โดยไม่ลดคุณภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVIDIA ใช้ MFG ใน RTX 50 Series โดยสามารถสร้างเฟรมแทรกได้หลายระดับ ➡️ Lossless Scaling เป็นทางเลือกของบุคคลที่สามที่รองรับ MFG แบบ vendor-neutral ➡️ XeSS ใช้ XMX cores บน Arc GPU เพื่อเร่งการคำนวณ AI ➡️ การสร้างเฟรมด้วย AI ต้องอาศัยข้อมูลจากเฟรมก่อนหน้าและการคาดการณ์การเคลื่อนไหว ➡️ หาก Intel ทำสำเร็จ จะเป็นครั้งแรกที่มี MFG แบบเปิดให้ใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/intel-could-be-working-on-its-own-multi-frame-generation-tech-xess-mfg-name-and-logo-found-in-arc-graphics-driver-files
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ”

    Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22

    Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ

    แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ

    Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล

    นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin
    เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX
    รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ
    สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T
    ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock
    มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว
    วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล
    รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่
    MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง
    MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed
    Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril
    ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ

    https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    ✈️ “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ” Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22 Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin ➡️ เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX ➡️ รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ ➡️ สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T ➡️ ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock ➡️ มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว ➡️ วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ➡️ รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่ ➡️ MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง ➡️ MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed ➡️ Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril ➡️ ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Lockheed Martin's Skunk Works Project Is No Longer A Secret: Meet The Vectis Combat Drone - SlashGear
    The Lockheed Martin Vectis drone is a combat-ready aircraft revealed in an uncharacteristically public manner, and is also reportedly headed for open market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Markov Chains: ต้นกำเนิดของโมเดลภาษา — เมื่อความน่าจะเป็นกลายเป็นเครื่องมือสร้างภาษา”

    ในบทความที่เขียนโดย Elijah Potter นักเรียนมัธยมปลายผู้หลงใหลในคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรม ได้ย้อนกลับไปสำรวจรากฐานของโมเดลภาษา (Language Models) ผ่านมุมมองของ Markov Chains ซึ่งเป็นระบบทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการคาดการณ์เหตุการณ์แบบสุ่ม โดยอิงจากสถานะก่อนหน้าเพียงหนึ่งขั้นตอน

    Potter เริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับวงจรความรู้สึกต่อ AI ตั้งแต่ความตื่นเต้น ความผิดหวัง ความสับสน จนถึงความเบื่อหน่าย และนำไปสู่ความตั้งใจที่จะ “กลับไปสู่รากฐาน” ด้วยการศึกษาระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง Markov Chains

    เขาอธิบายหลักการของ Markov Chains ผ่านตัวอย่างของ Alice ที่อยู่ระหว่างร้านขายของชำและท้องฟ้าจำลอง โดยใช้ตารางความน่าจะเป็นในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของเธอในแต่ละชั่วโมง ซึ่งสามารถแปลงเป็น matrix และ vector เพื่อคำนวณสถานะในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

    จากนั้น Potter นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างระบบ autocomplete โดยใช้ภาษา Rust และ WebAssembly ในการสร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่าง แล้วใช้ matrix multiplication เพื่อคาดการณ์คำถัดไปที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด

    เขายังพูดถึงข้อจำกัดของ Markov Chains ในการสร้างข้อความแบบต่อเนื่อง เพราะระบบจะมีแนวโน้มเข้าสู่ “steady state” หรือสถานะคงที่เมื่อรันไปนาน ๆ ทำให้ข้อความที่สร้างออกมาดูซ้ำซากและคาดเดาได้ง่าย จึงเสนอวิธีการสุ่มแบบใหม่โดยใช้ matrix R ที่มีค่าบนเส้นทแยงมุมเป็นตัวเลขสุ่ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกคำ

    บทความนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสาธิตเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างลึกซึ้ง โดยไม่พึ่งพา “เวทมนตร์ของ AI” ที่หลายคนรู้สึกว่าเข้าใจยากและควบคุมไม่ได้

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    Elijah Potter ใช้ Markov Chains เพื่อสร้างระบบ autocomplete ด้วย Rust และ WebAssembly
    อธิบายหลักการผ่านตัวอย่าง Alice ที่เคลื่อนที่ระหว่างสถานที่ด้วยความน่าจะเป็น
    ใช้ matrix และ vector ในการคำนวณสถานะในอนาคต
    สร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่างเพื่อคาดการณ์คำถัดไป
    ระบบสามารถเลือกคำถัดไปโดยใช้ matrix multiplication
    เสนอวิธีสุ่มคำถัดไปโดยใช้ matrix R เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ steady state
    บทความสะท้อนความตั้งใจในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างโปร่งใสและควบคุมได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Markov Chains ถูกคิดค้นโดย Andrey Markov ในศตวรรษที่ 20 เพื่อศึกษาลำดับเหตุการณ์แบบสุ่ม
    โมเดลภาษาในยุคแรก เช่น Shannon’s bigram model ก็ใช้แนวคิดคล้าย Markov
    โมเดล GPT และ Transformer ใช้บริบทหลายคำ ไม่ใช่แค่คำก่อนหน้าเดียวแบบ Markov
    Steady state ใน Markov Chains คือสถานะที่ความน่าจะเป็นไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อรันไปนาน ๆ
    การใช้ matrix multiplication ในการคำนวณความน่าจะเป็นเป็นพื้นฐานของหลายระบบ AI

    https://elijahpotter.dev/articles/markov_chains_are_the_original_language_models
    🔁 “Markov Chains: ต้นกำเนิดของโมเดลภาษา — เมื่อความน่าจะเป็นกลายเป็นเครื่องมือสร้างภาษา” ในบทความที่เขียนโดย Elijah Potter นักเรียนมัธยมปลายผู้หลงใหลในคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรม ได้ย้อนกลับไปสำรวจรากฐานของโมเดลภาษา (Language Models) ผ่านมุมมองของ Markov Chains ซึ่งเป็นระบบทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการคาดการณ์เหตุการณ์แบบสุ่ม โดยอิงจากสถานะก่อนหน้าเพียงหนึ่งขั้นตอน Potter เริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับวงจรความรู้สึกต่อ AI ตั้งแต่ความตื่นเต้น ความผิดหวัง ความสับสน จนถึงความเบื่อหน่าย และนำไปสู่ความตั้งใจที่จะ “กลับไปสู่รากฐาน” ด้วยการศึกษาระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง Markov Chains เขาอธิบายหลักการของ Markov Chains ผ่านตัวอย่างของ Alice ที่อยู่ระหว่างร้านขายของชำและท้องฟ้าจำลอง โดยใช้ตารางความน่าจะเป็นในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของเธอในแต่ละชั่วโมง ซึ่งสามารถแปลงเป็น matrix และ vector เพื่อคำนวณสถานะในอนาคตได้อย่างแม่นยำ จากนั้น Potter นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างระบบ autocomplete โดยใช้ภาษา Rust และ WebAssembly ในการสร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่าง แล้วใช้ matrix multiplication เพื่อคาดการณ์คำถัดไปที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด เขายังพูดถึงข้อจำกัดของ Markov Chains ในการสร้างข้อความแบบต่อเนื่อง เพราะระบบจะมีแนวโน้มเข้าสู่ “steady state” หรือสถานะคงที่เมื่อรันไปนาน ๆ ทำให้ข้อความที่สร้างออกมาดูซ้ำซากและคาดเดาได้ง่าย จึงเสนอวิธีการสุ่มแบบใหม่โดยใช้ matrix R ที่มีค่าบนเส้นทแยงมุมเป็นตัวเลขสุ่ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกคำ บทความนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสาธิตเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างลึกซึ้ง โดยไม่พึ่งพา “เวทมนตร์ของ AI” ที่หลายคนรู้สึกว่าเข้าใจยากและควบคุมไม่ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ Elijah Potter ใช้ Markov Chains เพื่อสร้างระบบ autocomplete ด้วย Rust และ WebAssembly ➡️ อธิบายหลักการผ่านตัวอย่าง Alice ที่เคลื่อนที่ระหว่างสถานที่ด้วยความน่าจะเป็น ➡️ ใช้ matrix และ vector ในการคำนวณสถานะในอนาคต ➡️ สร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่างเพื่อคาดการณ์คำถัดไป ➡️ ระบบสามารถเลือกคำถัดไปโดยใช้ matrix multiplication ➡️ เสนอวิธีสุ่มคำถัดไปโดยใช้ matrix R เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ steady state ➡️ บทความสะท้อนความตั้งใจในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างโปร่งใสและควบคุมได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Markov Chains ถูกคิดค้นโดย Andrey Markov ในศตวรรษที่ 20 เพื่อศึกษาลำดับเหตุการณ์แบบสุ่ม ➡️ โมเดลภาษาในยุคแรก เช่น Shannon’s bigram model ก็ใช้แนวคิดคล้าย Markov ➡️ โมเดล GPT และ Transformer ใช้บริบทหลายคำ ไม่ใช่แค่คำก่อนหน้าเดียวแบบ Markov ➡️ Steady state ใน Markov Chains คือสถานะที่ความน่าจะเป็นไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อรันไปนาน ๆ ➡️ การใช้ matrix multiplication ในการคำนวณความน่าจะเป็นเป็นพื้นฐานของหลายระบบ AI https://elijahpotter.dev/articles/markov_chains_are_the_original_language_models
    ELIJAHPOTTER.DEV
    Markov Chains Are the Original Language Models
    Back in my day, we used math for autocomplete.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Terence Tao กับแนวคิดสังคมมนุษย์ 4 ระดับ — เมื่อคณิตศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือเข้าใจโลก ไม่ใช่แค่ตัวเลข”

    Terence Tao นักคณิตศาสตร์ระดับโลก ได้โพสต์ข้อคิดเห็นเชิงปรัชญาและสังคมบน Mathstodon ซึ่งสะท้อนมุมมองของเขาต่อโครงสร้างสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่:

    1️⃣ มนุษย์แต่ละคน
    2️⃣ กลุ่มเล็กที่จัดตั้งขึ้น (เช่น ครอบครัว เพื่อน กลุ่มอาสาสมัคร หรือชุมชนออนไลน์ขนาดเล็ก)
    3️⃣ กลุ่มใหญ่ที่จัดตั้งขึ้น (เช่น รัฐบาล บริษัทข้ามชาติ หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย)
    4️⃣ ระบบซับซ้อนระดับโลก (เช่น เศรษฐกิจโลก วัฒนธรรมไวรัล หรือสภาพภูมิอากาศ)

    Tao ชี้ว่าในยุคดิจิทัล กลุ่มใหญ่ได้รับพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยีและระบบแรงจูงใจ ขณะที่กลุ่มเล็กกลับถูกลดบทบาทลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มนุษย์แต่ละคนรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้อิทธิพล และขาดความเชื่อมโยงกับระบบที่ใหญ่ขึ้น

    เขาเปรียบเทียบว่าองค์กรขนาดใหญ่ให้ “อาหารแปรรูปทางสังคม” ที่ดูเหมือนตอบสนองความต้องการ แต่ขาดความลึกซึ้งและความจริงใจเหมือนกลุ่มเล็กที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่นเดียวกับอาหารขยะที่ให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหาร

    Tao เสนอว่าควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเล็กที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น โครงการคณิตศาสตร์แบบ crowdsourced ที่เขาเห็นในช่วงหลัง ซึ่งแม้จะไม่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่ให้คุณค่าทางจิตใจ ความรู้สึกมีส่วนร่วม และเป็นช่องทางเชื่อมโยงกับระบบใหญ่ได้อย่างมีความหมาย

    ข้อมูลสำคัญจากโพสต์ของ Terence Tao
    Tao แบ่งโครงสร้างสังคมมนุษย์ออกเป็น 4 ระดับ: บุคคล, กลุ่มเล็ก, กลุ่มใหญ่, และระบบซับซ้อน
    กลุ่มใหญ่ได้รับพลังจากเทคโนโลยีและระบบแรงจูงใจในยุคใหม่
    กลุ่มเล็กถูกลดบทบาทลง ส่งผลให้บุคคลรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดอิทธิพล
    องค์กรใหญ่ให้ “อาหารแปรรูปทางสังคม” ที่ขาดความจริงใจ
    กลุ่มเล็กมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและให้คุณค่าทางจิตใจ
    Tao เห็นโครงการคณิตศาสตร์แบบ crowdsourced เป็นตัวอย่างของกลุ่มเล็กที่มีพลัง
    เสนอให้สนับสนุนกลุ่มเล็กที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อเชื่อมโยงกับระบบใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการ Polymath ที่ Tao เคยร่วมก่อตั้ง เป็นตัวอย่างของการทำงานร่วมกันในกลุ่มเล็ก
    Proof assistant อย่าง Lean ช่วยให้คนทั่วไปสามารถร่วมในโครงการคณิตศาสตร์ได้
    กลุ่มเล็กมีขนาดต่ำกว่า “Dunbar’s number” ซึ่งเป็นจำนวนคนที่มนุษย์สามารถรักษาความสัมพันธ์ได้อย่างมีคุณภาพ
    การรวมกลุ่มเล็กสามารถสร้างแรงผลักดันทางสังคม เช่น การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือวัฒนธรรม
    การใช้ AI และแพลตฟอร์มออนไลน์สามารถช่วยฟื้นฟูบทบาทของกลุ่มเล็กได้ หากออกแบบอย่างมีจริยธรรม

    https://mathstodon.xyz/@tao/115259943398316677
    🧩 “Terence Tao กับแนวคิดสังคมมนุษย์ 4 ระดับ — เมื่อคณิตศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือเข้าใจโลก ไม่ใช่แค่ตัวเลข” Terence Tao นักคณิตศาสตร์ระดับโลก ได้โพสต์ข้อคิดเห็นเชิงปรัชญาและสังคมบน Mathstodon ซึ่งสะท้อนมุมมองของเขาต่อโครงสร้างสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่: 1️⃣ มนุษย์แต่ละคน 2️⃣ กลุ่มเล็กที่จัดตั้งขึ้น (เช่น ครอบครัว เพื่อน กลุ่มอาสาสมัคร หรือชุมชนออนไลน์ขนาดเล็ก) 3️⃣ กลุ่มใหญ่ที่จัดตั้งขึ้น (เช่น รัฐบาล บริษัทข้ามชาติ หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย) 4️⃣ ระบบซับซ้อนระดับโลก (เช่น เศรษฐกิจโลก วัฒนธรรมไวรัล หรือสภาพภูมิอากาศ) Tao ชี้ว่าในยุคดิจิทัล กลุ่มใหญ่ได้รับพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยีและระบบแรงจูงใจ ขณะที่กลุ่มเล็กกลับถูกลดบทบาทลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มนุษย์แต่ละคนรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้อิทธิพล และขาดความเชื่อมโยงกับระบบที่ใหญ่ขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าองค์กรขนาดใหญ่ให้ “อาหารแปรรูปทางสังคม” ที่ดูเหมือนตอบสนองความต้องการ แต่ขาดความลึกซึ้งและความจริงใจเหมือนกลุ่มเล็กที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่นเดียวกับอาหารขยะที่ให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหาร Tao เสนอว่าควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเล็กที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น โครงการคณิตศาสตร์แบบ crowdsourced ที่เขาเห็นในช่วงหลัง ซึ่งแม้จะไม่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่ให้คุณค่าทางจิตใจ ความรู้สึกมีส่วนร่วม และเป็นช่องทางเชื่อมโยงกับระบบใหญ่ได้อย่างมีความหมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากโพสต์ของ Terence Tao ➡️ Tao แบ่งโครงสร้างสังคมมนุษย์ออกเป็น 4 ระดับ: บุคคล, กลุ่มเล็ก, กลุ่มใหญ่, และระบบซับซ้อน ➡️ กลุ่มใหญ่ได้รับพลังจากเทคโนโลยีและระบบแรงจูงใจในยุคใหม่ ➡️ กลุ่มเล็กถูกลดบทบาทลง ส่งผลให้บุคคลรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดอิทธิพล ➡️ องค์กรใหญ่ให้ “อาหารแปรรูปทางสังคม” ที่ขาดความจริงใจ ➡️ กลุ่มเล็กมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและให้คุณค่าทางจิตใจ ➡️ Tao เห็นโครงการคณิตศาสตร์แบบ crowdsourced เป็นตัวอย่างของกลุ่มเล็กที่มีพลัง ➡️ เสนอให้สนับสนุนกลุ่มเล็กที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อเชื่อมโยงกับระบบใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการ Polymath ที่ Tao เคยร่วมก่อตั้ง เป็นตัวอย่างของการทำงานร่วมกันในกลุ่มเล็ก ➡️ Proof assistant อย่าง Lean ช่วยให้คนทั่วไปสามารถร่วมในโครงการคณิตศาสตร์ได้ ➡️ กลุ่มเล็กมีขนาดต่ำกว่า “Dunbar’s number” ซึ่งเป็นจำนวนคนที่มนุษย์สามารถรักษาความสัมพันธ์ได้อย่างมีคุณภาพ ➡️ การรวมกลุ่มเล็กสามารถสร้างแรงผลักดันทางสังคม เช่น การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือวัฒนธรรม ➡️ การใช้ AI และแพลตฟอร์มออนไลน์สามารถช่วยฟื้นฟูบทบาทของกลุ่มเล็กได้ หากออกแบบอย่างมีจริยธรรม https://mathstodon.xyz/@tao/115259943398316677
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Linux อาจรองรับ Multi-Kernel ในอนาคต — เปิดทางให้ระบบปฏิบัติการหลายตัวรันพร้อมกันบนเครื่องเดียว”

    ในโลกที่ระบบปฏิบัติการ Linux ถูกใช้ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โครงสร้างแบบ monolithic kernel ที่ใช้มายาวนานกำลังถูกท้าทายด้วยแนวคิดใหม่จากบริษัท Multikernel Technologies ที่เสนอให้ Linux รองรับ “multi-kernel architecture” หรือการรันเคอร์เนลหลายตัวพร้อมกันบนเครื่องเดียว

    แนวคิดนี้ถูกนำเสนอผ่าน RFC (Request for Comments) บน Linux Kernel Mailing List โดยหวังให้ชุมชนร่วมกันพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ โดยหลักการคือการแบ่ง CPU cores ออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วให้แต่ละกลุ่มรันเคอร์เนลของตัวเองอย่างอิสระ พร้อมจัดการ process และ memory แยกจากกัน แต่ยังสามารถสื่อสารกันผ่านระบบ Inter-Processor Interrupt (IPI) ที่ออกแบบมาเฉพาะ

    ข้อดีของระบบนี้คือการแยกงานออกจากกันอย่างแท้จริง เช่น เคอร์เนลหนึ่งอาจใช้สำหรับงาน real-time อีกตัวสำหรับงานทั่วไป หรือแม้แต่สร้างเคอร์เนลเฉพาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การเข้ารหัสหรือการควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์

    Multikernel ยังใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก kexec ซึ่งช่วยให้สามารถโหลดเคอร์เนลหลายตัวได้แบบ dynamic โดยไม่ต้องรีบูตเครื่องทั้งหมด และยังมีระบบ Kernel Hand-Over (KHO) ที่อาจเปิดทางให้การอัปเดตเคอร์เนลแบบไร้ downtime ในอนาคต

    แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังต้องปรับปรุงอีกมาก แต่แนวคิดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Linux ไปโดยสิ้นเชิง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Multikernel Technologies เสนอแนวคิด multi-kernel ผ่าน RFC บน LKML
    ระบบนี้ให้เคอร์เนลหลายตัวรันพร้อมกันบนเครื่องเดียว โดยแบ่ง CPU cores
    เคอร์เนลแต่ละตัวจัดการ process และ memory ของตัวเอง
    ใช้ระบบ IPI สำหรับการสื่อสารระหว่างเคอร์เนล
    ใช้โครงสร้างจาก kexec เพื่อโหลดเคอร์เนลหลายตัวแบบ dynamic
    มีแนวคิด Kernel Hand-Over สำหรับการอัปเดตแบบไร้ downtime
    เหมาะกับงานที่ต้องการแยก workload เช่น real-time, security-critical, หรือ AI
    ยังอยู่ในขั้น RFC และเปิดรับข้อเสนอแนะจากชุมชน Linux

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ multi-kernel เคยถูกทดลองในงานวิจัย เช่น Barrelfish และ Helios OS
    การแยก workload ที่ระดับเคอร์เนลให้ความปลอดภัยมากกว่าการใช้ container หรือ VM
    kexec เป็นระบบที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนเคอร์เนลโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง
    IPI (Inter-Processor Interrupt) เป็นกลไกที่ใช้ในระบบ SMP สำหรับการสื่อสารระหว่าง CPU
    หากแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับ อาจนำไปสู่การสร้าง Linux รุ่นพิเศษสำหรับงานเฉพาะทาง

    https://news.itsfoss.com/linux-multikernel-proposal/
    🧠 “Linux อาจรองรับ Multi-Kernel ในอนาคต — เปิดทางให้ระบบปฏิบัติการหลายตัวรันพร้อมกันบนเครื่องเดียว” ในโลกที่ระบบปฏิบัติการ Linux ถูกใช้ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โครงสร้างแบบ monolithic kernel ที่ใช้มายาวนานกำลังถูกท้าทายด้วยแนวคิดใหม่จากบริษัท Multikernel Technologies ที่เสนอให้ Linux รองรับ “multi-kernel architecture” หรือการรันเคอร์เนลหลายตัวพร้อมกันบนเครื่องเดียว แนวคิดนี้ถูกนำเสนอผ่าน RFC (Request for Comments) บน Linux Kernel Mailing List โดยหวังให้ชุมชนร่วมกันพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ โดยหลักการคือการแบ่ง CPU cores ออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วให้แต่ละกลุ่มรันเคอร์เนลของตัวเองอย่างอิสระ พร้อมจัดการ process และ memory แยกจากกัน แต่ยังสามารถสื่อสารกันผ่านระบบ Inter-Processor Interrupt (IPI) ที่ออกแบบมาเฉพาะ ข้อดีของระบบนี้คือการแยกงานออกจากกันอย่างแท้จริง เช่น เคอร์เนลหนึ่งอาจใช้สำหรับงาน real-time อีกตัวสำหรับงานทั่วไป หรือแม้แต่สร้างเคอร์เนลเฉพาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การเข้ารหัสหรือการควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์ Multikernel ยังใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก kexec ซึ่งช่วยให้สามารถโหลดเคอร์เนลหลายตัวได้แบบ dynamic โดยไม่ต้องรีบูตเครื่องทั้งหมด และยังมีระบบ Kernel Hand-Over (KHO) ที่อาจเปิดทางให้การอัปเดตเคอร์เนลแบบไร้ downtime ในอนาคต แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังต้องปรับปรุงอีกมาก แต่แนวคิดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Linux ไปโดยสิ้นเชิง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Multikernel Technologies เสนอแนวคิด multi-kernel ผ่าน RFC บน LKML ➡️ ระบบนี้ให้เคอร์เนลหลายตัวรันพร้อมกันบนเครื่องเดียว โดยแบ่ง CPU cores ➡️ เคอร์เนลแต่ละตัวจัดการ process และ memory ของตัวเอง ➡️ ใช้ระบบ IPI สำหรับการสื่อสารระหว่างเคอร์เนล ➡️ ใช้โครงสร้างจาก kexec เพื่อโหลดเคอร์เนลหลายตัวแบบ dynamic ➡️ มีแนวคิด Kernel Hand-Over สำหรับการอัปเดตแบบไร้ downtime ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการแยก workload เช่น real-time, security-critical, หรือ AI ➡️ ยังอยู่ในขั้น RFC และเปิดรับข้อเสนอแนะจากชุมชน Linux ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ multi-kernel เคยถูกทดลองในงานวิจัย เช่น Barrelfish และ Helios OS ➡️ การแยก workload ที่ระดับเคอร์เนลให้ความปลอดภัยมากกว่าการใช้ container หรือ VM ➡️ kexec เป็นระบบที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนเคอร์เนลโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง ➡️ IPI (Inter-Processor Interrupt) เป็นกลไกที่ใช้ในระบบ SMP สำหรับการสื่อสารระหว่าง CPU ➡️ หากแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับ อาจนำไปสู่การสร้าง Linux รุ่นพิเศษสำหรับงานเฉพาะทาง https://news.itsfoss.com/linux-multikernel-proposal/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    New Proposal Looks to Make Linux Multi-Kernel Friendly
    If approved, Linux could one day run multiple kernels simultaneously.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI”

    Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ

    เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ

    6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว

    Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้
    Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร
    อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์
    Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ
    Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028
    6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์
    เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง
    Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้
    การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
    6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล
    Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing

    https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    📡 “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI” Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ 6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้ ➡️ Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร ➡️ อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์ ➡️ Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ ➡️ Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ➡️ 6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์ ➡️ เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้ ➡️ การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ➡️ 6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ➡️ Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm's AI Revolution: The Future of the "AI as the UI" and 6G Connectivity
    Qualcomm unveils its vision for an "AI as the UI" future, with Agentic AI and a 2028 roadmap for commercial-ready 6G mobile network solutions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮก M&S สะเทือนวงการ — HyperBUNKER เสนอทางรอดด้วยคลังสำรองแบบออฟไลน์ที่แฮกเกอร์แตะไม่ได้”

    Marks & Spencer (M&S) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DragonForce ในเดือนเมษายน 2025 ส่งผลให้ระบบภายในล่ม, พนักงานถูกล็อกไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญ, และบริการออนไลน์รวมถึงการชำระเงินแบบไร้สัมผัสถูกระงับชั่วคราว ความเสียหายครั้งนี้ทำให้มูลค่าบริษัทหายไปเกือบ £700 ล้าน และกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการป้องกันข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่

    หนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงมากคือการใช้ระบบสำรองข้อมูลแบบ “ออฟไลน์จริง” ซึ่งไม่เชื่อมต่อกับเครือข่ายใด ๆ เลย — และ HyperBUNKER จากโครเอเชียก็เสนอทางออกนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เทคโนโลยี data diode ที่สร้างช่องทาง “ทางเดียว” สำหรับการเขียนข้อมูลลงคลังสำรอง โดยไม่มีช่องทางย้อนกลับหรือการเชื่อมต่อใด ๆ กับระบบภายนอก

    HyperBUNKER ใช้โครงสร้างแบบ rack shelf ที่เก็บข้อมูลบน SSD หรือฮาร์ดดิสก์ พร้อมระบบ optocoupler ที่ตรวจสอบการเข้าถึงแบบแยกไฟฟ้า และ logic แบบ “butlering” ที่ไม่พึ่งพาโปรโตคอลหรือ handshake ใด ๆ ทำให้คลังข้อมูลนี้ “ล่องหน” ในโครงสร้างเครือข่าย และไม่สามารถถูกแฮกผ่านออนไลน์ได้เลย

    แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนมาจากโรงงานนิวเคลียร์หรือระบบทหาร แต่ HyperBUNKER ยืนยันว่าองค์กรทั่วไปก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยเฉพาะในยุคที่แรนซัมแวร์พุ่งสูงถึง 37% จากปีที่แล้ว และการโจมตีมักเริ่มจากการลบหรือเข้ารหัสระบบสำรองก่อน

    อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบนี้ต้องแลกกับต้นทุนที่สูง, การจัดการที่ซับซ้อน และความเสี่ยงด้านการโจรกรรมทางกายภาพ ซึ่งทำให้องค์กรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนลงทุน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    M&S ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DragonForce ทำให้ระบบภายในล่ม
    พนักงานถูกล็อกไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญ และบริการออนไลน์ถูกระงับ
    มูลค่าบริษัทลดลงเกือบ £700 ล้านภายในไม่กี่วัน
    HyperBUNKER เสนอระบบสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์โดยใช้ data diode
    ระบบนี้เขียนข้อมูลแบบทางเดียว ไม่มีช่องทางย้อนกลับ
    ใช้ SSD หรือฮาร์ดดิสก์ใน rack shelf พร้อม optocoupler และ logic แบบไม่พึ่งโปรโตคอล
    ระบบนี้ไม่สามารถถูกแฮกผ่านเครือข่ายได้
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการป้องกันข้อมูลสำคัญจากแรนซัมแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ในปี 2025 เพิ่มขึ้น 37% จากปี 2024
    กลุ่มแฮกเกอร์ Scattered Spider ใช้เทคนิค MFA fatigue และ SIM swapping ในการเจาะระบบ M&S
    การขโมยไฟล์ NTDS.dit ทำให้แฮกเกอร์สามารถถอดรหัสรหัสผ่านและเคลื่อนที่ในระบบได้
    HyperBUNKER ก่อตั้งโดยทีมจาก InfoLAB ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการกู้ข้อมูล
    ระบบนี้สามารถกู้คืนโครงสร้างไฟล์แบบ NAS ได้ครบถ้วนในกรณีฉุกเฉิน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ระบบ HyperBUNKER ต้องลงทุนสูงและมีความซับซ้อนในการจัดการ
    การโจรกรรมทางกายภาพยังเป็นช่องโหว่เดียวที่ระบบนี้ไม่สามารถป้องกันได้
    องค์กรต้องมีพื้นที่และทีมงานที่เข้าใจการจัดการคลังข้อมูลแบบออฟไลน์
    การใช้ระบบนี้อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการสำรองข้อมูลเดิมทั้งหมด
    ไม่เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความเร็วในการสำรองแบบเรียลไทม์หรือ cloud-based

    https://www.techradar.com/pro/security/unhackable-backup-storage-could-have-helped-in-the-m-s-hack-case-by-keeping-data-physically-offline-but-it-comes-at-a-cost
    🛡️ “แฮก M&S สะเทือนวงการ — HyperBUNKER เสนอทางรอดด้วยคลังสำรองแบบออฟไลน์ที่แฮกเกอร์แตะไม่ได้” Marks & Spencer (M&S) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DragonForce ในเดือนเมษายน 2025 ส่งผลให้ระบบภายในล่ม, พนักงานถูกล็อกไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญ, และบริการออนไลน์รวมถึงการชำระเงินแบบไร้สัมผัสถูกระงับชั่วคราว ความเสียหายครั้งนี้ทำให้มูลค่าบริษัทหายไปเกือบ £700 ล้าน และกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการป้องกันข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่ หนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงมากคือการใช้ระบบสำรองข้อมูลแบบ “ออฟไลน์จริง” ซึ่งไม่เชื่อมต่อกับเครือข่ายใด ๆ เลย — และ HyperBUNKER จากโครเอเชียก็เสนอทางออกนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เทคโนโลยี data diode ที่สร้างช่องทาง “ทางเดียว” สำหรับการเขียนข้อมูลลงคลังสำรอง โดยไม่มีช่องทางย้อนกลับหรือการเชื่อมต่อใด ๆ กับระบบภายนอก HyperBUNKER ใช้โครงสร้างแบบ rack shelf ที่เก็บข้อมูลบน SSD หรือฮาร์ดดิสก์ พร้อมระบบ optocoupler ที่ตรวจสอบการเข้าถึงแบบแยกไฟฟ้า และ logic แบบ “butlering” ที่ไม่พึ่งพาโปรโตคอลหรือ handshake ใด ๆ ทำให้คลังข้อมูลนี้ “ล่องหน” ในโครงสร้างเครือข่าย และไม่สามารถถูกแฮกผ่านออนไลน์ได้เลย แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนมาจากโรงงานนิวเคลียร์หรือระบบทหาร แต่ HyperBUNKER ยืนยันว่าองค์กรทั่วไปก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยเฉพาะในยุคที่แรนซัมแวร์พุ่งสูงถึง 37% จากปีที่แล้ว และการโจมตีมักเริ่มจากการลบหรือเข้ารหัสระบบสำรองก่อน อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบนี้ต้องแลกกับต้นทุนที่สูง, การจัดการที่ซับซ้อน และความเสี่ยงด้านการโจรกรรมทางกายภาพ ซึ่งทำให้องค์กรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนลงทุน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ M&S ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DragonForce ทำให้ระบบภายในล่ม ➡️ พนักงานถูกล็อกไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญ และบริการออนไลน์ถูกระงับ ➡️ มูลค่าบริษัทลดลงเกือบ £700 ล้านภายในไม่กี่วัน ➡️ HyperBUNKER เสนอระบบสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์โดยใช้ data diode ➡️ ระบบนี้เขียนข้อมูลแบบทางเดียว ไม่มีช่องทางย้อนกลับ ➡️ ใช้ SSD หรือฮาร์ดดิสก์ใน rack shelf พร้อม optocoupler และ logic แบบไม่พึ่งโปรโตคอล ➡️ ระบบนี้ไม่สามารถถูกแฮกผ่านเครือข่ายได้ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการป้องกันข้อมูลสำคัญจากแรนซัมแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ในปี 2025 เพิ่มขึ้น 37% จากปี 2024 ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์ Scattered Spider ใช้เทคนิค MFA fatigue และ SIM swapping ในการเจาะระบบ M&S ➡️ การขโมยไฟล์ NTDS.dit ทำให้แฮกเกอร์สามารถถอดรหัสรหัสผ่านและเคลื่อนที่ในระบบได้ ➡️ HyperBUNKER ก่อตั้งโดยทีมจาก InfoLAB ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการกู้ข้อมูล ➡️ ระบบนี้สามารถกู้คืนโครงสร้างไฟล์แบบ NAS ได้ครบถ้วนในกรณีฉุกเฉิน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ระบบ HyperBUNKER ต้องลงทุนสูงและมีความซับซ้อนในการจัดการ ⛔ การโจรกรรมทางกายภาพยังเป็นช่องโหว่เดียวที่ระบบนี้ไม่สามารถป้องกันได้ ⛔ องค์กรต้องมีพื้นที่และทีมงานที่เข้าใจการจัดการคลังข้อมูลแบบออฟไลน์ ⛔ การใช้ระบบนี้อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการสำรองข้อมูลเดิมทั้งหมด ⛔ ไม่เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความเร็วในการสำรองแบบเรียลไทม์หรือ cloud-based https://www.techradar.com/pro/security/unhackable-backup-storage-could-have-helped-in-the-m-s-hack-case-by-keeping-data-physically-offline-but-it-comes-at-a-cost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ”

    Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่

    Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ

    MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์

    แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น

    การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028
    ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ
    มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่
    มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด
    ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming
    MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล
    คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า
    Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ
    Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย
    MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8
    Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน

    https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    📶 “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ” Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่ Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028 ➡️ ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ ➡️ มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่ ➡️ มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ➡️ ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming ➡️ MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล ➡️ คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า ➡️ Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ ➡️ Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย ➡️ MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8 ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next-gen Wi-Fi 8 standard skips blazing peaks to fix dead zones and shaky edges that ruin streaming in crowded spaces
    The new wireless standard is all about stable connections, seamless roaming, and edge performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ฝังช่องน้ำหล่อเย็นลงในซิลิคอน — พลิกโฉมการระบายความร้อน AI ด้วยไมโครฟลูอิดิก 3 เท่าเหนือกว่า cold plate”

    ในยุคที่ AI accelerators ปล่อยความร้อนระดับ 2,000 วัตต์ต่อชิป Microsoft เผยโฉมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของ data center ไปตลอดกาล — ด้วยการ “ฝังช่องน้ำหล่อเย็นขนาดจิ๋ว” ลงไปในแผ่นซิลิคอนโดยตรง แทนที่จะใช้ cold plate แบบเดิมที่วางอยู่ด้านบนของชิป

    เทคโนโลยีนี้เรียกว่า microfluidic cooling ซึ่งใช้ช่องทางขนาดเท่าเส้นผมที่ถูกแกะสลักลงในด้านหลังของแผ่นซิลิคอน เพื่อให้ของเหลวไหลเข้าไปใกล้แหล่งความร้อนจริงอย่างทรานซิสเตอร์มากที่สุด โดย Microsoft ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ thermal fingerprint ของแต่ละชิป แล้วออกแบบช่องทางให้เหมาะกับจุดร้อนเฉพาะตัว — ลวดลายของช่องทางคล้ายเส้นใบไม้มากกว่าท่อตรงแบบเดิม

    ผลการทดสอบภายในของ Microsoft พบว่าระบบนี้สามารถลดอุณหภูมิสูงสุดของ GPU ได้ถึงสองในสาม และระบายความร้อนได้ดีกว่า cold plate แบบเดิมถึง 3 เท่า ซึ่งหมายความว่า data center สามารถเพิ่มความหนาแน่นของชิป, เพิ่มความเร็วในช่วงโหลดสูง และเปิดทางให้กับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่เคยติดปัญหาเรื่องความร้อน

    อย่างไรก็ตาม การนำของเหลวเข้าไปในตัวชิปโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่าย — ต้องออกแบบให้ช่องลึกพอที่จะดูดซับความร้อน แต่ไม่ลึกจนทำให้โครงสร้างชิปอ่อนแอ และต้องมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมในระบบทั้งหมด ตั้งแต่ซิลิคอนไปจนถึงบอร์ดและท่อใน data center

    Microsoft กำลังทดลองหลายรูปแบบเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ร่วมกับผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC, Intel และ Samsung โดยหวังว่าจะนำไปใช้กับชิปในอนาคต รวมถึงอาจใช้กับ GPU ระดับสูงอย่าง Rubin Ultra ที่ปล่อยความร้อนถึง 2,300 วัตต์ต่อตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft พัฒนาเทคโนโลยี microfluidic cooling โดยฝังช่องน้ำหล่อเย็นลงในซิลิคอน
    ช่องทางมีขนาดเท่าเส้นผมและออกแบบตามลวดลายธรรมชาติคล้ายเส้นใบไม้
    ใช้ AI วิเคราะห์ thermal fingerprint เพื่อออกแบบช่องทางเฉพาะจุดร้อน
    ระบายความร้อนได้ดีกว่า cold plate ถึง 3 เท่า
    ลดอุณหภูมิสูงสุดของ GPU ได้ถึงสองในสาม
    เปิดทางให้กับการออกแบบชิปแบบ 3D และเพิ่มความหนาแน่นของ rack
    Microsoft กำลังทดลองร่วมกับ TSMC, Intel และ Samsung
    อาจนำไปใช้กับ GPU ระดับสูง เช่น Rubin Ultra ที่ปล่อยความร้อน 2,300 วัตต์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microfluidics เคยถูกใช้ในงานชีววิทยา เช่น lab-on-chip และการวิเคราะห์เลือด
    IBM เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในปี 2011 แต่ยังไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์
    AMD และ TSMC มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับการระบายความร้อนในตัวชิปแบบฝัง
    Rubin Ultra เป็น GPU ที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ simulation
    การออกแบบ thermal-aware ด้วย AI เริ่มใช้ในหลายบริษัท เช่น Meta และ Google

    https://www.techpowerup.com/341271/microsoft-etches-microfluidic-channels-into-silicon-for-3x-better-cooling
    💧 “Microsoft ฝังช่องน้ำหล่อเย็นลงในซิลิคอน — พลิกโฉมการระบายความร้อน AI ด้วยไมโครฟลูอิดิก 3 เท่าเหนือกว่า cold plate” ในยุคที่ AI accelerators ปล่อยความร้อนระดับ 2,000 วัตต์ต่อชิป Microsoft เผยโฉมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของ data center ไปตลอดกาล — ด้วยการ “ฝังช่องน้ำหล่อเย็นขนาดจิ๋ว” ลงไปในแผ่นซิลิคอนโดยตรง แทนที่จะใช้ cold plate แบบเดิมที่วางอยู่ด้านบนของชิป เทคโนโลยีนี้เรียกว่า microfluidic cooling ซึ่งใช้ช่องทางขนาดเท่าเส้นผมที่ถูกแกะสลักลงในด้านหลังของแผ่นซิลิคอน เพื่อให้ของเหลวไหลเข้าไปใกล้แหล่งความร้อนจริงอย่างทรานซิสเตอร์มากที่สุด โดย Microsoft ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ thermal fingerprint ของแต่ละชิป แล้วออกแบบช่องทางให้เหมาะกับจุดร้อนเฉพาะตัว — ลวดลายของช่องทางคล้ายเส้นใบไม้มากกว่าท่อตรงแบบเดิม ผลการทดสอบภายในของ Microsoft พบว่าระบบนี้สามารถลดอุณหภูมิสูงสุดของ GPU ได้ถึงสองในสาม และระบายความร้อนได้ดีกว่า cold plate แบบเดิมถึง 3 เท่า ซึ่งหมายความว่า data center สามารถเพิ่มความหนาแน่นของชิป, เพิ่มความเร็วในช่วงโหลดสูง และเปิดทางให้กับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่เคยติดปัญหาเรื่องความร้อน อย่างไรก็ตาม การนำของเหลวเข้าไปในตัวชิปโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่าย — ต้องออกแบบให้ช่องลึกพอที่จะดูดซับความร้อน แต่ไม่ลึกจนทำให้โครงสร้างชิปอ่อนแอ และต้องมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมในระบบทั้งหมด ตั้งแต่ซิลิคอนไปจนถึงบอร์ดและท่อใน data center Microsoft กำลังทดลองหลายรูปแบบเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ร่วมกับผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC, Intel และ Samsung โดยหวังว่าจะนำไปใช้กับชิปในอนาคต รวมถึงอาจใช้กับ GPU ระดับสูงอย่าง Rubin Ultra ที่ปล่อยความร้อนถึง 2,300 วัตต์ต่อตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft พัฒนาเทคโนโลยี microfluidic cooling โดยฝังช่องน้ำหล่อเย็นลงในซิลิคอน ➡️ ช่องทางมีขนาดเท่าเส้นผมและออกแบบตามลวดลายธรรมชาติคล้ายเส้นใบไม้ ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์ thermal fingerprint เพื่อออกแบบช่องทางเฉพาะจุดร้อน ➡️ ระบายความร้อนได้ดีกว่า cold plate ถึง 3 เท่า ➡️ ลดอุณหภูมิสูงสุดของ GPU ได้ถึงสองในสาม ➡️ เปิดทางให้กับการออกแบบชิปแบบ 3D และเพิ่มความหนาแน่นของ rack ➡️ Microsoft กำลังทดลองร่วมกับ TSMC, Intel และ Samsung ➡️ อาจนำไปใช้กับ GPU ระดับสูง เช่น Rubin Ultra ที่ปล่อยความร้อน 2,300 วัตต์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microfluidics เคยถูกใช้ในงานชีววิทยา เช่น lab-on-chip และการวิเคราะห์เลือด ➡️ IBM เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในปี 2011 แต่ยังไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ ➡️ AMD และ TSMC มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับการระบายความร้อนในตัวชิปแบบฝัง ➡️ Rubin Ultra เป็น GPU ที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ simulation ➡️ การออกแบบ thermal-aware ด้วย AI เริ่มใช้ในหลายบริษัท เช่น Meta และ Google https://www.techpowerup.com/341271/microsoft-etches-microfluidic-channels-into-silicon-for-3x-better-cooling
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft Etches Microfluidic Channels Into Silicon for 3x Better Cooling
    When you have hundreds of thousands of AI accelerators in your datacenters, like Microsoft, problems easily build up, especially with cooling. Today, Microsoft showcased its custom cooling plates, which utilize microfluidics to carry liquid coolant into microscopic channels etched directly into the ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่”

    ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป

    หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์

    Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI
    เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์
    รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง
    ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว
    แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow
    รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ

    SEO และการค้นหาแบบใหม่
    เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI
    ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่
    ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant

    ระบบ CMS และการวิเคราะห์
    CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น
    API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น
    ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด

    การสนับสนุนชุมชน
    Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่
    โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร
    รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95%
    เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    🧠 “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่” ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์ Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI ➡️ เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์ ➡️ รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง ➡️ ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว ➡️ แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow ➡️ รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ ✅ SEO และการค้นหาแบบใหม่ ➡️ เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI ➡️ ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่ ➡️ ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant ✅ ระบบ CMS และการวิเคราะห์ ➡️ CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น ➡️ API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด ✅ การสนับสนุนชุมชน ➡️ Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่ ➡️ โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร ➡️ รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95% ➡️ เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง”

    เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป

    ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ

    สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน

    แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม

    นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง
    เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้
    เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก

    จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง
    หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ
    ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี
    ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ
    นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา
    จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม
    หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้

    https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    📱 “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง” เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้ ➡️ เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก ✅ จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง ➡️ หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ ➡️ ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี ➡️ ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ ➡️ นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา ➡️ จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม ➡️ หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้ https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง”

    ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต

    FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น

    หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons

    FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส
    ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB
    รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization

    ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์
    รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก
    หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail
    กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP
    แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2
    พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons
    เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้
    ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls
    รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM
    ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ
    Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา

    https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    📱 “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง” ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส ➡️ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB ➡️ รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization ✅ ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก ➡️ หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail ➡️ กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 ➡️ พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons ➡️ เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้ ➡️ ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls ➡️ รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM ➡️ ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ ➡️ Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This $550 Linux Phone Has Kill Switches That Protect Your Privacy
    This smartphone has hardware switches for the microphone, cameras, and modem/GPS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ต้นไม้ต้องตัดออกให้หมด อย่ามาบังรั้วบังกำแพง ,กล้องจะไร้ความหมาย,จริงๆเราสามารถสร้างรั้วธรรมดาตลอดแนวเขตแดนตรงกับเสาเขตแดนปกติธรรมดาแบบรั้วล้อมบ้านๆเราไปก่อนหรือได้ก่อน เพื่อเป็นแนวระยะห่างมาตราฐานขยับมาสร้างรั้วลวดหนามถาวรอีกชั้นในฝั่งแผ่นดินไทยเรา,ชั้นที่1สร้างรั้วตรงกับแนวเขตแดนเสาทั้ง74ต้นเรา,ชั้นที่2ขยับเข้ามาแผ่นดินฝั่งไทยเราสัก10เมตร.เพื่อเป็นแนวลาดตะเวนเขตนอกได้สะดวก จับกุมเขมรมาใกล้รั้วถาวรเราทันทีได้อีกบนแผ่นดินอธิปไตยไทยซึ่งมีเจตนาชัดเจนจะลอบเข้าไทยโดยผ่านรั้วชั้นแรกมา,10เมตรนี้ถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีด้วย ซ่อมบำรุงเสารััวถาวรและชั้นแรกก็ง่าย เพราะอยู่ในเขตบนแผ่นดินไทยเราเอง ควบคุมต้นไม้ใบหญ้ามิให้บดบังกล้องตรวจการดูความผิดปกติต่างๆได้,มีถนนทั้งส่วนด้านในและด้านนอกคู่ขนานแนวรั้วลวดหนามถาวร จะปฏิบัติดูแลเขตอธิปไตยไทยได้สะดวก,รั้วชั้นแรกก็กันได้คร่าวๆหยาบๆได้ กล้องซูมทั้งสองฝั่งซ้ายขวาได้อีก ,ถ้ามีทึบ มีต้นไม้บดบังอย่างนี้ หวานหมูพวกชั่วเลวเหมือนเดิม,เป็นแนวคิดที่กากมากหากทำจริง,กล้องจะติดมากมายหรือเล็กน้อยขนาดไหนก็เสมือนปกป้อง ป้องกันจากภัยศัตรูยากลำบากไร้ประสิทธิภาพ ถ้าเป็นคนเป็นยามสังเกตุแทนกล้องก็ทำให้เข้าใจว่า มาปาหี่แหกตาคนกรุงศรีอยุธยาก่อนเมืองแตกเท่านั้น,ทัพศัตรูปีนบุกตีเมืองได้เหมือนเดิมจากมองไม่เห็นศัตรูหลังต้นไม้ใบหญ้านั้นล่ะ,โยนอาวุธเข้าออกเป็นว่าเล่น ปีนขนอะไรเข้าออกเป็นว่าเล่น,มันใช่เวลาเสียดายต้นไม้มั้ย ทีลอบตัดไม้มีค่าสาระพัดจนหมดป่ายังปล่อยมันทำได้ พะสา,บังรั้วกำแพง,คุกสูงมั้ย, โล่งโปร่งมั้ย,อันเดียวกัน,ขังเขมรใส่คุกปิดกั้นไว้ มันจะเสียหน้าเขมรเหรอ.

    https://youtube.com/shorts/MlqDR5mw6Sg?si=WhGG0bNy89OrWeO7
    ..ต้นไม้ต้องตัดออกให้หมด อย่ามาบังรั้วบังกำแพง ,กล้องจะไร้ความหมาย,จริงๆเราสามารถสร้างรั้วธรรมดาตลอดแนวเขตแดนตรงกับเสาเขตแดนปกติธรรมดาแบบรั้วล้อมบ้านๆเราไปก่อนหรือได้ก่อน เพื่อเป็นแนวระยะห่างมาตราฐานขยับมาสร้างรั้วลวดหนามถาวรอีกชั้นในฝั่งแผ่นดินไทยเรา,ชั้นที่1สร้างรั้วตรงกับแนวเขตแดนเสาทั้ง74ต้นเรา,ชั้นที่2ขยับเข้ามาแผ่นดินฝั่งไทยเราสัก10เมตร.เพื่อเป็นแนวลาดตะเวนเขตนอกได้สะดวก จับกุมเขมรมาใกล้รั้วถาวรเราทันทีได้อีกบนแผ่นดินอธิปไตยไทยซึ่งมีเจตนาชัดเจนจะลอบเข้าไทยโดยผ่านรั้วชั้นแรกมา,10เมตรนี้ถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีด้วย ซ่อมบำรุงเสารััวถาวรและชั้นแรกก็ง่าย เพราะอยู่ในเขตบนแผ่นดินไทยเราเอง ควบคุมต้นไม้ใบหญ้ามิให้บดบังกล้องตรวจการดูความผิดปกติต่างๆได้,มีถนนทั้งส่วนด้านในและด้านนอกคู่ขนานแนวรั้วลวดหนามถาวร จะปฏิบัติดูแลเขตอธิปไตยไทยได้สะดวก,รั้วชั้นแรกก็กันได้คร่าวๆหยาบๆได้ กล้องซูมทั้งสองฝั่งซ้ายขวาได้อีก ,ถ้ามีทึบ มีต้นไม้บดบังอย่างนี้ หวานหมูพวกชั่วเลวเหมือนเดิม,เป็นแนวคิดที่กากมากหากทำจริง,กล้องจะติดมากมายหรือเล็กน้อยขนาดไหนก็เสมือนปกป้อง ป้องกันจากภัยศัตรูยากลำบากไร้ประสิทธิภาพ ถ้าเป็นคนเป็นยามสังเกตุแทนกล้องก็ทำให้เข้าใจว่า มาปาหี่แหกตาคนกรุงศรีอยุธยาก่อนเมืองแตกเท่านั้น,ทัพศัตรูปีนบุกตีเมืองได้เหมือนเดิมจากมองไม่เห็นศัตรูหลังต้นไม้ใบหญ้านั้นล่ะ,โยนอาวุธเข้าออกเป็นว่าเล่น ปีนขนอะไรเข้าออกเป็นว่าเล่น,มันใช่เวลาเสียดายต้นไม้มั้ย ทีลอบตัดไม้มีค่าสาระพัดจนหมดป่ายังปล่อยมันทำได้ พะสา,บังรั้วกำแพง,คุกสูงมั้ย, โล่งโปร่งมั้ย,อันเดียวกัน,ขังเขมรใส่คุกปิดกั้นไว้ มันจะเสียหน้าเขมรเหรอ. https://youtube.com/shorts/MlqDR5mw6Sg?si=WhGG0bNy89OrWeO7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows NT 3.5: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Microsoft ก้าวสู่โลกองค์กร — จาก “Daytona” สู่รากฐานของ Windows ยุคใหม่

    ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีก่อน วันที่ 21 กันยายน 1994 Microsoft ได้เปิดตัว Windows NT 3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Windows จากระบบสำหรับผู้ใช้ทั่วไป สู่ระบบปฏิบัติการที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง โดยใช้โค้ดเนมว่า “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเวอร์ชันก่อนหน้า

    Windows NT 3.5 ถูกออกแบบใหม่จากรากฐาน โดยทีมของ Dave Cutler ที่เคยพัฒนา VMS จาก DEC ได้สร้างระบบ fully 32-bit พร้อม kernel แบบ hybrid, memory protection และ preemptive multitasking ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ระบบปฏิบัติการระดับองค์กรต้องการในยุคนั้น

    แม้หน้าตาจะยังคล้าย Windows 3.1 ด้วย Program Manager และ File Manager แบบเดิม แต่ภายใน NT 3.5 ได้ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ เช่น TCP/IP stack ที่เขียนใหม่ทั้งหมด พร้อม Winsock, FTP, Telnet และ Remote Access Service ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเข้าสู่สาธารณะ

    ที่สำคัญ NT 3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรม x86 แต่ยังรองรับ MIPS, Alpha และ PowerPC ผ่านระบบ HAL (Hardware Abstraction Layer) ซึ่งเป็นแนวคิดล้ำยุคในตอนนั้น และกลายเป็นรากฐานของความสามารถ cross-platform ใน Windows ยุคหลัง

    แม้จะยังไม่เหมาะกับโน้ตบุ๊กในยุคนั้นเพราะขาด driver สำหรับ PCMCIA และต้องการ RAM สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ NT 3.5 ก็ได้รับการยอมรับในฐานะระบบที่ “จริงจัง” และเป็นจุดเริ่มต้นของสาย Windows NT ที่นำไปสู่ Windows 2000, XP และ Windows 11 ในปัจจุบัน

    Windows NT 3.5 เปิดตัวเมื่อ 21 กันยายน 1994
    ใช้โค้ดเนม “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพ
    เป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยน NT จากแนวคิดสู่ผลิตภัณฑ์จริง

    พัฒนาโดยทีมของ Dave Cutler จาก DEC
    ใช้สถาปัตยกรรม fully 32-bit / kernel แบบ hybrid
    มี memory protection และ preemptive multitasking

    ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่
    TCP/IP stack ใหม่ / Winsock / FTP / Telnet / RAS
    รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น

    รองรับหลายสถาปัตยกรรมผ่าน HAL
    x86, MIPS, Alpha, PowerPC
    แนวคิด cross-platform ที่นำไปสู่ Windows ยุคใหม่

    มีสองรุ่น: Workstation และ Server
    Workstation รองรับผู้ใช้พร้อมกัน 10 คน / ไม่รองรับ Mac
    Server รองรับฟีเจอร์เครือข่ายเต็มรูปแบบ

    เป็นรากฐานของ Windows XP และ Windows 11
    NT 3.5 ปูทางสู่ NT 4.0, Windows 2000 และ XP
    โค้ดเบส NT ยังคงใช้ใน Windows 11 ปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-pivotal-windows-nt-3-5-release-made-it-a-serious-contender-31-years-ago-today
    📰 Windows NT 3.5: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Microsoft ก้าวสู่โลกองค์กร — จาก “Daytona” สู่รากฐานของ Windows ยุคใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีก่อน วันที่ 21 กันยายน 1994 Microsoft ได้เปิดตัว Windows NT 3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Windows จากระบบสำหรับผู้ใช้ทั่วไป สู่ระบบปฏิบัติการที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง โดยใช้โค้ดเนมว่า “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเวอร์ชันก่อนหน้า Windows NT 3.5 ถูกออกแบบใหม่จากรากฐาน โดยทีมของ Dave Cutler ที่เคยพัฒนา VMS จาก DEC ได้สร้างระบบ fully 32-bit พร้อม kernel แบบ hybrid, memory protection และ preemptive multitasking ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ระบบปฏิบัติการระดับองค์กรต้องการในยุคนั้น แม้หน้าตาจะยังคล้าย Windows 3.1 ด้วย Program Manager และ File Manager แบบเดิม แต่ภายใน NT 3.5 ได้ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ เช่น TCP/IP stack ที่เขียนใหม่ทั้งหมด พร้อม Winsock, FTP, Telnet และ Remote Access Service ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเข้าสู่สาธารณะ ที่สำคัญ NT 3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรม x86 แต่ยังรองรับ MIPS, Alpha และ PowerPC ผ่านระบบ HAL (Hardware Abstraction Layer) ซึ่งเป็นแนวคิดล้ำยุคในตอนนั้น และกลายเป็นรากฐานของความสามารถ cross-platform ใน Windows ยุคหลัง แม้จะยังไม่เหมาะกับโน้ตบุ๊กในยุคนั้นเพราะขาด driver สำหรับ PCMCIA และต้องการ RAM สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ NT 3.5 ก็ได้รับการยอมรับในฐานะระบบที่ “จริงจัง” และเป็นจุดเริ่มต้นของสาย Windows NT ที่นำไปสู่ Windows 2000, XP และ Windows 11 ในปัจจุบัน ✅ Windows NT 3.5 เปิดตัวเมื่อ 21 กันยายน 1994 ➡️ ใช้โค้ดเนม “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพ ➡️ เป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยน NT จากแนวคิดสู่ผลิตภัณฑ์จริง ✅ พัฒนาโดยทีมของ Dave Cutler จาก DEC ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม fully 32-bit / kernel แบบ hybrid ➡️ มี memory protection และ preemptive multitasking ✅ ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ ➡️ TCP/IP stack ใหม่ / Winsock / FTP / Telnet / RAS ➡️ รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ✅ รองรับหลายสถาปัตยกรรมผ่าน HAL ➡️ x86, MIPS, Alpha, PowerPC ➡️ แนวคิด cross-platform ที่นำไปสู่ Windows ยุคใหม่ ✅ มีสองรุ่น: Workstation และ Server ➡️ Workstation รองรับผู้ใช้พร้อมกัน 10 คน / ไม่รองรับ Mac ➡️ Server รองรับฟีเจอร์เครือข่ายเต็มรูปแบบ ✅ เป็นรากฐานของ Windows XP และ Windows 11 ➡️ NT 3.5 ปูทางสู่ NT 4.0, Windows 2000 และ XP ➡️ โค้ดเบส NT ยังคงใช้ใน Windows 11 ปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-pivotal-windows-nt-3-5-release-made-it-a-serious-contender-31-years-ago-today
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft’s pivotal Windows NT 3.5 release made it a serious contender, 31 years ago today
    'Daytona' tuned, trimmed, and accelerated Microsoft's clean-slate fully-32-bit OS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22

    1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ?

    2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ?

    3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ!

    4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ

    5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ

    6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน

    7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน!

    8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก

    9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย

    10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง
    ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี

    ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย?

    หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?)
    20 กันยายน 68
    11.11 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22 1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ? 2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ? 3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ! 4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ 5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ 6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน 7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน! 8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก 9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย 10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย? หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?) 20 กันยายน 68 11.11 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ

    เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย"
    .
    ข้อมูลจาก ChatGPT:
    คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration)
    คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation)

    เนื้อหาหลักของคำประกาศ
    รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า

    - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์
    - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ

    ความสำคัญ:
    เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์

    เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ

    กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย" . ข้อมูลจาก ChatGPT: 👉คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation) 👉เนื้อหาหลักของคำประกาศ รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์ - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ 👉ความสำคัญ: เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์ เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย”

    ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย

    แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง

    ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว

    แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต

    ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม
    ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า
    เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด
    รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT

    จุดเด่นของแนวคิด
    ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น
    เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน
    ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม
    เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่
    GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming
    MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน
    การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    🔌 “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย” ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม ➡️ ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า ➡️ เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ➡️ รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT ✅ จุดเด่นของแนวคิด ➡️ ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน ➡️ ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม ➡️ เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่ ➡️ GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming ➡️ MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน ➡️ การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Asus gives us the PCIe finger — teases new concept that boosts motherboard GPU slot power to 250W
    This could be a cheaper way for Asus to make cableless graphics cards in the future.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ราชินีมดที่ให้กำเนิดต่างสายพันธุ์ — คำจำกัดความของ ‘สปีชีส์’ อาจต้องเขียนใหม่”

    ในโลกของชีววิทยา มีหลักการหนึ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง: สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะให้กำเนิดลูกหลานในสายพันธุ์เดียวกัน แต่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 ได้เขย่าความเชื่อนี้อย่างรุนแรง เมื่อพบว่า “ราชินีมดเก็บเกี่ยวไอบีเรีย” (Messor ibericus) สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ “มดเก็บเกี่ยวช่างสร้าง” (Messor structor)

    นักวิจัยพบว่า M. ibericus จะผสมพันธุ์กับ M. structor แล้วเก็บสเปิร์มไว้ใช้ในภายหลัง แต่ที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเชื่อว่าราชินีมดสามารถ “ลบ” DNA ของตัวเองออกจากไข่บางฟอง แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ทำให้ลูกที่เกิดออกมาเป็นโคลนของสายพันธุ์อื่นโดยสมบูรณ์

    ผลลัพธ์คือ ราชินีมดสามารถให้กำเนิดมดเพศผู้ได้ทั้งสองสายพันธุ์ และมดงานทั้งหมดในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมระหว่างสองสายพันธุ์นี้ ซึ่งถือเป็นระบบสืบพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในสัตว์ชนิดใด

    นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” และยังพบว่าแม้ M. ibericus กับ M. structor จะมีวิวัฒนาการแยกจากกันมากกว่า 5 ล้านปี แต่ราชินีมดยังสามารถสร้างลูกหลานจากทั้งสองสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเฝ้ารังมดกว่า 50 รัง จนในที่สุดก็สามารถสังเกตเห็นการเกิดของมด M. structor จากไข่ของราชินี M. ibericus ได้โดยตรง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าการโคลนข้ามสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ราชินีมด Messor ibericus สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของสายพันธุ์ Messor structor
    มดงานในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมของทั้งสองสายพันธุ์
    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์”
    การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีจนสามารถสังเกตการเกิดของมดต่างสายพันธุ์ได้

    กลไกและผลกระทบทางวิวัฒนาการ
    M. ibericus อาจลบ DNA ของตัวเองจากไข่แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor
    มดเพศผู้ของทั้งสองสายพันธุ์มี mitochondrial DNA จาก M. ibericus ซึ่งสืบทอดจากแม่
    การโคลนช่วยให้ M. ibericus มีมดงานจำนวนมากแม้ไม่มีรังของ M. structor ใกล้เคียง
    การกระจายตัวของ M. structor ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ผ่านการโคลนโดย M. ibericus

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มดเป็นสัตว์ eusocial ที่มีระบบสืบพันธุ์ซับซ้อนและมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน
    ปรากฏการณ์ “sperm parasitism” เคยพบในมดบางชนิด แต่ไม่เคยถึงขั้นโคลนต่างสายพันธุ์
    นักชีววิทยาเปรียบเทียบว่า “เหมือนมนุษย์มีลูกเป็นลิงชิมแปนซี แล้วใช้ลูกเหล่านั้นสร้างลูกผสมเพื่อทำงานบ้าน”
    การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนิยามของ “สปีชีส์” ในชีววิทยา

    https://www.smithsonianmag.com/smart-news/these-ant-queens-seem-to-defy-biology-they-lay-eggs-that-hatch-into-another-species-180987292/
    🧬 “ราชินีมดที่ให้กำเนิดต่างสายพันธุ์ — คำจำกัดความของ ‘สปีชีส์’ อาจต้องเขียนใหม่” ในโลกของชีววิทยา มีหลักการหนึ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง: สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะให้กำเนิดลูกหลานในสายพันธุ์เดียวกัน แต่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 ได้เขย่าความเชื่อนี้อย่างรุนแรง เมื่อพบว่า “ราชินีมดเก็บเกี่ยวไอบีเรีย” (Messor ibericus) สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ “มดเก็บเกี่ยวช่างสร้าง” (Messor structor) นักวิจัยพบว่า M. ibericus จะผสมพันธุ์กับ M. structor แล้วเก็บสเปิร์มไว้ใช้ในภายหลัง แต่ที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเชื่อว่าราชินีมดสามารถ “ลบ” DNA ของตัวเองออกจากไข่บางฟอง แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ทำให้ลูกที่เกิดออกมาเป็นโคลนของสายพันธุ์อื่นโดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์คือ ราชินีมดสามารถให้กำเนิดมดเพศผู้ได้ทั้งสองสายพันธุ์ และมดงานทั้งหมดในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมระหว่างสองสายพันธุ์นี้ ซึ่งถือเป็นระบบสืบพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในสัตว์ชนิดใด นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” และยังพบว่าแม้ M. ibericus กับ M. structor จะมีวิวัฒนาการแยกจากกันมากกว่า 5 ล้านปี แต่ราชินีมดยังสามารถสร้างลูกหลานจากทั้งสองสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเฝ้ารังมดกว่า 50 รัง จนในที่สุดก็สามารถสังเกตเห็นการเกิดของมด M. structor จากไข่ของราชินี M. ibericus ได้โดยตรง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าการโคลนข้ามสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ราชินีมด Messor ibericus สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของสายพันธุ์ Messor structor ➡️ มดงานในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมของทั้งสองสายพันธุ์ ➡️ นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” ➡️ การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีจนสามารถสังเกตการเกิดของมดต่างสายพันธุ์ได้ ✅ กลไกและผลกระทบทางวิวัฒนาการ ➡️ M. ibericus อาจลบ DNA ของตัวเองจากไข่แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ➡️ มดเพศผู้ของทั้งสองสายพันธุ์มี mitochondrial DNA จาก M. ibericus ซึ่งสืบทอดจากแม่ ➡️ การโคลนช่วยให้ M. ibericus มีมดงานจำนวนมากแม้ไม่มีรังของ M. structor ใกล้เคียง ➡️ การกระจายตัวของ M. structor ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ผ่านการโคลนโดย M. ibericus ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มดเป็นสัตว์ eusocial ที่มีระบบสืบพันธุ์ซับซ้อนและมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ➡️ ปรากฏการณ์ “sperm parasitism” เคยพบในมดบางชนิด แต่ไม่เคยถึงขั้นโคลนต่างสายพันธุ์ ➡️ นักชีววิทยาเปรียบเทียบว่า “เหมือนมนุษย์มีลูกเป็นลิงชิมแปนซี แล้วใช้ลูกเหล่านั้นสร้างลูกผสมเพื่อทำงานบ้าน” ➡️ การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนิยามของ “สปีชีส์” ในชีววิทยา https://www.smithsonianmag.com/smart-news/these-ant-queens-seem-to-defy-biology-they-lay-eggs-that-hatch-into-another-species-180987292/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Learn Your Way: Google ปฏิวัติหนังสือเรียนด้วย AI — เปลี่ยนเนื้อหาคงที่ให้กลายเป็นประสบการณ์เรียนรู้เฉพาะตัว”

    Google Research เปิดตัวโครงการ “Learn Your Way” ซึ่งเป็นการทดลองใช้ Generative AI เพื่อเปลี่ยนหนังสือเรียนแบบเดิมให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ปรับแต่งได้ตามผู้เรียนแต่ละคน โดยใช้โมเดล LearnLM ที่ฝังหลักการด้านการเรียนรู้ไว้โดยตรง และผสานเข้ากับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบจากต้นฉบับเดียวกัน เช่น แผนภาพความคิด, สไลด์พร้อมเสียงบรรยาย, บทเรียนเสียง, แบบทดสอบ และข้อความเชิงโต้ตอบ

    แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการ “dual coding theory” ที่ระบุว่าการเชื่อมโยงข้อมูลในหลายรูปแบบจะช่วยสร้างโครงสร้างความเข้าใจที่แข็งแรงขึ้นในสมอง โดย Learn Your Way ให้ผู้เรียนเลือกระดับชั้นและความสนใจ เช่น กีฬา ดนตรี หรืออาหาร จากนั้นระบบจะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจ พร้อมแทนตัวอย่างทั่วไปด้วยสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ

    ผลการทดลองกับนักเรียน 60 คนในชิคาโกพบว่า กลุ่มที่ใช้ Learn Your Way มีคะแนนการจดจำเนื้อหาในระยะยาวสูงกว่ากลุ่มที่ใช้ PDF ปกติถึง 11% และ 93% ของผู้เรียนกล่าวว่าต้องการใช้เครื่องมือนี้ในการเรียนครั้งต่อไป

    Google ยังพัฒนาโมเดลเฉพาะสำหรับสร้างภาพประกอบการเรียนรู้ เนื่องจากโมเดลภาพทั่วไปยังไม่สามารถสร้างภาพที่มีคุณภาพทางการศึกษาได้อย่างแม่นยำ โดยใช้กระบวนการหลายขั้นตอนร่วมกับ AI agent เฉพาะทาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Learn Your Way เป็นโครงการทดลองจาก Google ที่ใช้ GenAI ปรับเนื้อหาหนังสือเรียนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน
    ใช้โมเดล LearnLM ผสานกับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ
    ผู้เรียนสามารถเลือกระดับชั้นและความสนใจเพื่อให้ระบบปรับเนื้อหาให้ตรงกับตน
    ผลการทดลองพบว่าผู้ใช้ Learn Your Way มีคะแนนจดจำเนื้อหาสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 11%

    รูปแบบเนื้อหาที่สร้างได้
    ข้อความเชิงโต้ตอบพร้อมภาพและคำถามฝังในเนื้อหา
    แบบทดสอบรายบทเพื่อประเมินความเข้าใจแบบเรียลไทม์
    สไลด์พร้อมเสียงบรรยายและกิจกรรมเติมคำ
    บทเรียนเสียงจำลองบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน
    แผนภาพความคิดที่สามารถขยายและย่อเพื่อดูภาพรวมและรายละเอียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ dual coding theory ถูกใช้ในงานวิจัยด้านการเรียนรู้มานานกว่า 40 ปี
    OpenStax เป็นผู้ให้เนื้อหาต้นฉบับสำหรับการทดลอง Learn Your Way
    การปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้
    การใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาเฉพาะบุคคลเริ่มเป็นมาตรฐานใน K-12 ทั่วโลก

    https://research.google/blog/learn-your-way-reimagining-textbooks-with-generative-ai/
    📚 “Learn Your Way: Google ปฏิวัติหนังสือเรียนด้วย AI — เปลี่ยนเนื้อหาคงที่ให้กลายเป็นประสบการณ์เรียนรู้เฉพาะตัว” Google Research เปิดตัวโครงการ “Learn Your Way” ซึ่งเป็นการทดลองใช้ Generative AI เพื่อเปลี่ยนหนังสือเรียนแบบเดิมให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ปรับแต่งได้ตามผู้เรียนแต่ละคน โดยใช้โมเดล LearnLM ที่ฝังหลักการด้านการเรียนรู้ไว้โดยตรง และผสานเข้ากับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบจากต้นฉบับเดียวกัน เช่น แผนภาพความคิด, สไลด์พร้อมเสียงบรรยาย, บทเรียนเสียง, แบบทดสอบ และข้อความเชิงโต้ตอบ แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการ “dual coding theory” ที่ระบุว่าการเชื่อมโยงข้อมูลในหลายรูปแบบจะช่วยสร้างโครงสร้างความเข้าใจที่แข็งแรงขึ้นในสมอง โดย Learn Your Way ให้ผู้เรียนเลือกระดับชั้นและความสนใจ เช่น กีฬา ดนตรี หรืออาหาร จากนั้นระบบจะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจ พร้อมแทนตัวอย่างทั่วไปด้วยสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ ผลการทดลองกับนักเรียน 60 คนในชิคาโกพบว่า กลุ่มที่ใช้ Learn Your Way มีคะแนนการจดจำเนื้อหาในระยะยาวสูงกว่ากลุ่มที่ใช้ PDF ปกติถึง 11% และ 93% ของผู้เรียนกล่าวว่าต้องการใช้เครื่องมือนี้ในการเรียนครั้งต่อไป Google ยังพัฒนาโมเดลเฉพาะสำหรับสร้างภาพประกอบการเรียนรู้ เนื่องจากโมเดลภาพทั่วไปยังไม่สามารถสร้างภาพที่มีคุณภาพทางการศึกษาได้อย่างแม่นยำ โดยใช้กระบวนการหลายขั้นตอนร่วมกับ AI agent เฉพาะทาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Learn Your Way เป็นโครงการทดลองจาก Google ที่ใช้ GenAI ปรับเนื้อหาหนังสือเรียนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน ➡️ ใช้โมเดล LearnLM ผสานกับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ ➡️ ผู้เรียนสามารถเลือกระดับชั้นและความสนใจเพื่อให้ระบบปรับเนื้อหาให้ตรงกับตน ➡️ ผลการทดลองพบว่าผู้ใช้ Learn Your Way มีคะแนนจดจำเนื้อหาสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 11% ✅ รูปแบบเนื้อหาที่สร้างได้ ➡️ ข้อความเชิงโต้ตอบพร้อมภาพและคำถามฝังในเนื้อหา ➡️ แบบทดสอบรายบทเพื่อประเมินความเข้าใจแบบเรียลไทม์ ➡️ สไลด์พร้อมเสียงบรรยายและกิจกรรมเติมคำ ➡️ บทเรียนเสียงจำลองบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน ➡️ แผนภาพความคิดที่สามารถขยายและย่อเพื่อดูภาพรวมและรายละเอียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ dual coding theory ถูกใช้ในงานวิจัยด้านการเรียนรู้มานานกว่า 40 ปี ➡️ OpenStax เป็นผู้ให้เนื้อหาต้นฉบับสำหรับการทดลอง Learn Your Way ➡️ การปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ ➡️ การใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาเฉพาะบุคคลเริ่มเป็นมาตรฐานใน K-12 ทั่วโลก https://research.google/blog/learn-your-way-reimagining-textbooks-with-generative-ai/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ubuntu 25.10 กับการเปลี่ยนผ่านสู่ Rust Coreutils — ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพยังต้องปรับจูน

    Canonical กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของ Ubuntu โดยในเวอร์ชัน 25.10 ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแทนที่ GNU Coreutils ด้วยเวอร์ชันที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งมีชื่อว่า “uutils” พร้อมกับการเปลี่ยน sudo เป็น sudo-rs ไปแล้วก่อนหน้านี้

    แนวคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Rust มีความปลอดภัยด้านหน่วยความจำสูง ลดโอกาสเกิดบั๊กที่ร้ายแรง และมีโค้ดที่สะอาดกว่า C ซึ่งเป็นภาษาหลักของ GNU Coreutils เดิม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะพบว่าบางคำสั่งใน uutils ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเสถียร

    ตัวอย่างเช่นคำสั่ง cksum เคยทำงานช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่าในบางกรณี แม้จะได้รับการแก้ไขแล้วในแพตช์ล่าสุด ส่วนคำสั่ง sort ยังมีปัญหาเมื่อใช้กับไฟล์ที่มีบรรทัดเดียวแต่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยทีมพัฒนา

    ในทางกลับกัน คำสั่ง base64 ได้รับการปรับแต่งจนสามารถทำงานได้เร็วกว่าเวอร์ชัน GNU แล้ว แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพที่ดีได้ หากมีการปรับจูนอย่างเหมาะสม

    Canonical ยืนยันว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก่อนการเปิดตัว Ubuntu 25.10 และวางแผนให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ที่มีความเสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร

    Ubuntu 25.10 เตรียมเปลี่ยนจาก GNU Coreutils เป็น Rust Coreutils (uutils)
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างระบบพื้นฐาน
    Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยและความเสถียรของโค้ด

    sudo ถูกแทนที่ด้วย sudo-rs แล้ว
    เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน Rust ในระบบ Ubuntu
    แสดงถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

    พบปัญหาด้านประสิทธิภาพในบางคำสั่งของ uutils
    cksum เคยช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้ว
    sort ยังมีปัญหากับไฟล์บรรทัดเดียวขนาดใหญ่

    base64 ทำงานได้เร็วกว่า GNU หลังปรับแต่ง
    แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพสูงได้
    ต้องอาศัยการปรับจูนอย่างละเอียด

    Canonical ตั้งเป้าให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS
    จะเป็นเวอร์ชันที่เสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร
    การแก้ไขปัญหาในเวอร์ชัน 25.10 จะเป็นฐานสำคัญสำหรับ LTS

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-uutils-performance-issues/
    📰 Ubuntu 25.10 กับการเปลี่ยนผ่านสู่ Rust Coreutils — ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพยังต้องปรับจูน Canonical กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของ Ubuntu โดยในเวอร์ชัน 25.10 ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแทนที่ GNU Coreutils ด้วยเวอร์ชันที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งมีชื่อว่า “uutils” พร้อมกับการเปลี่ยน sudo เป็น sudo-rs ไปแล้วก่อนหน้านี้ แนวคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Rust มีความปลอดภัยด้านหน่วยความจำสูง ลดโอกาสเกิดบั๊กที่ร้ายแรง และมีโค้ดที่สะอาดกว่า C ซึ่งเป็นภาษาหลักของ GNU Coreutils เดิม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะพบว่าบางคำสั่งใน uutils ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเสถียร ตัวอย่างเช่นคำสั่ง cksum เคยทำงานช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่าในบางกรณี แม้จะได้รับการแก้ไขแล้วในแพตช์ล่าสุด ส่วนคำสั่ง sort ยังมีปัญหาเมื่อใช้กับไฟล์ที่มีบรรทัดเดียวแต่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยทีมพัฒนา ในทางกลับกัน คำสั่ง base64 ได้รับการปรับแต่งจนสามารถทำงานได้เร็วกว่าเวอร์ชัน GNU แล้ว แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพที่ดีได้ หากมีการปรับจูนอย่างเหมาะสม Canonical ยืนยันว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก่อนการเปิดตัว Ubuntu 25.10 และวางแผนให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ที่มีความเสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร ✅ Ubuntu 25.10 เตรียมเปลี่ยนจาก GNU Coreutils เป็น Rust Coreutils (uutils) ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างระบบพื้นฐาน ➡️ Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยและความเสถียรของโค้ด ✅ sudo ถูกแทนที่ด้วย sudo-rs แล้ว ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน Rust ในระบบ Ubuntu ➡️ แสดงถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ✅ พบปัญหาด้านประสิทธิภาพในบางคำสั่งของ uutils ➡️ cksum เคยช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้ว ➡️ sort ยังมีปัญหากับไฟล์บรรทัดเดียวขนาดใหญ่ ✅ base64 ทำงานได้เร็วกว่า GNU หลังปรับแต่ง ➡️ แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพสูงได้ ➡️ ต้องอาศัยการปรับจูนอย่างละเอียด ✅ Canonical ตั้งเป้าให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ➡️ จะเป็นเวอร์ชันที่เสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร ➡️ การแก้ไขปัญหาในเวอร์ชัน 25.10 จะเป็นฐานสำคัญสำหรับ LTS https://news.itsfoss.com/ubuntu-uutils-performance-issues/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Rust Coreutils Are Performing Worse Than GNU Coreutils in Ubuntu
    Ubuntu’s Rust move shows promise, but questions remain on performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย

    หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด

    KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย

    ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้

    KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager

    ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า

    KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana
    เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย
    พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE

    ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม
    ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก
    รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx

    ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback
    เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ
    ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์

    ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11
    ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง
    ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก

    แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว
    Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager
    มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in

    นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
    Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้
    ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha
    ยังไม่รองรับ Secure Boot
    GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง
    Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด
    การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่
    Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ
    ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback

    https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    📰 KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้ KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า ✅ KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana ➡️ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย ➡️ พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE ✅ ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม ➡️ ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก ➡️ รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ✅ ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback ➡️ เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ ➡️ ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์ ✅ ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11 ➡️ ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง ➡️ ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก ✅ แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว ➡️ Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager ➡️ มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in ✅ นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ➡️ Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้ ➡️ ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha ⛔ ยังไม่รองรับ Secure Boot ⛔ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง ⛔ Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด ⛔ การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ ⛔ Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ ⛔ ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    I Briefly Tried KDE's Very Own Linux Distro
    I am still livid that they didn't name it KLinux or Kinux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • Splunk .Conf 2025: เมื่อ Machine Data กลายเป็นเชื้อเพลิงใหม่ของ AI และความมั่นคงปลอดภัยองค์กร

    งาน Splunk .Conf 2025 ที่จัดขึ้น ณ เมืองบอสตันในเดือนกันยายนนี้ ไม่ได้มีแค่โชว์จากวง Weezer หรือม้าแคระชื่อ Buttercup แต่เป็นเวทีที่ Cisco และ Splunk ร่วมกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของโลกไซเบอร์ โดยเน้นการใช้ “Machine Data” เป็นหัวใจของการพัฒนา AI และระบบรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่

    Cisco ประกาศเปิดตัว “Cisco Data Fabric” สถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ แอปพลิเคชัน อุปกรณ์เครือข่าย และระบบ edge ถูกนำมาใช้ฝึกโมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ

    Splunk ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในด้าน Security Operations เช่น Detection Studio และ Splunk Enterprise Security รุ่นพรีเมียม ที่รวม SIEM, SOAR, UEBA และ AI Assistant ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมแนวคิด “Resilience” ที่เน้นการรวมระบบ Observability กับ Security เพื่อให้ระบบ IT ฟื้นตัวได้เร็วจากภัยคุกคามหรือความผิดพลาด

    นอกจากนี้ Splunk ยังผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework เพื่อให้เครื่องมือจากหลายค่ายสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการพึ่งพาโซลูชันแบบปิด

    อย่างไรก็ตาม Splunk ยังเผชิญกับความท้าทายจากภาพลักษณ์ “Legacy Vendor” และเสียงวิจารณ์เรื่องราคาสูง การขายเชิงรุก และการสนับสนุนลูกค้าที่ไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง CrowdStrike, Microsoft และ Palo Alto Networks

    งาน Splunk .Conf 2025 เปิดตัว Cisco Data Fabric
    ใช้ Machine Data เป็นเชื้อเพลิงใหม่สำหรับ AI
    ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล

    Machine Data ถูกยกให้เป็น 55% ของการเติบโตข้อมูลทั่วโลก
    Cisco และ Splunk เชื่อว่า LLMs ที่ฝึกด้วย Machine Data จะตอบสนองได้แม่นยำกว่า
    ช่วยให้ระบบตอบสนองต่อภัยคุกคามได้แบบอัตโนมัติ

    Splunk เปิดตัว Detection Studio และ Enterprise Security รุ่นใหม่
    รวม SIEM, SOAR, UEBA, Threat Intelligence และ AI Assistant
    ช่วยลดภาระงานของทีม Security Operations

    แนวคิด Resilience ถูกเน้นในงาน
    รวม Observability กับ Security เพื่อฟื้นตัวจากเหตุการณ์ได้เร็ว
    ลดข้อจำกัดจากโครงสร้างองค์กรและงบประมาณ

    Splunk สนับสนุนมาตรฐานเปิด
    ใช้ Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework
    ช่วยให้เครื่องมือจากหลายค่ายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

    โมเดล Federated Search ถูกขยาย
    รองรับการค้นหาข้ามแหล่งข้อมูล เช่น S3, Snowflake, Iceberg
    ลดภาระการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์

    https://www.csoonline.com/article/4058991/where-cisos-need-to-see-splunk-go-next.html
    📰 Splunk .Conf 2025: เมื่อ Machine Data กลายเป็นเชื้อเพลิงใหม่ของ AI และความมั่นคงปลอดภัยองค์กร งาน Splunk .Conf 2025 ที่จัดขึ้น ณ เมืองบอสตันในเดือนกันยายนนี้ ไม่ได้มีแค่โชว์จากวง Weezer หรือม้าแคระชื่อ Buttercup แต่เป็นเวทีที่ Cisco และ Splunk ร่วมกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของโลกไซเบอร์ โดยเน้นการใช้ “Machine Data” เป็นหัวใจของการพัฒนา AI และระบบรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ Cisco ประกาศเปิดตัว “Cisco Data Fabric” สถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ แอปพลิเคชัน อุปกรณ์เครือข่าย และระบบ edge ถูกนำมาใช้ฝึกโมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ Splunk ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในด้าน Security Operations เช่น Detection Studio และ Splunk Enterprise Security รุ่นพรีเมียม ที่รวม SIEM, SOAR, UEBA และ AI Assistant ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมแนวคิด “Resilience” ที่เน้นการรวมระบบ Observability กับ Security เพื่อให้ระบบ IT ฟื้นตัวได้เร็วจากภัยคุกคามหรือความผิดพลาด นอกจากนี้ Splunk ยังผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework เพื่อให้เครื่องมือจากหลายค่ายสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการพึ่งพาโซลูชันแบบปิด อย่างไรก็ตาม Splunk ยังเผชิญกับความท้าทายจากภาพลักษณ์ “Legacy Vendor” และเสียงวิจารณ์เรื่องราคาสูง การขายเชิงรุก และการสนับสนุนลูกค้าที่ไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง CrowdStrike, Microsoft และ Palo Alto Networks ✅ งาน Splunk .Conf 2025 เปิดตัว Cisco Data Fabric ➡️ ใช้ Machine Data เป็นเชื้อเพลิงใหม่สำหรับ AI ➡️ ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล ✅ Machine Data ถูกยกให้เป็น 55% ของการเติบโตข้อมูลทั่วโลก ➡️ Cisco และ Splunk เชื่อว่า LLMs ที่ฝึกด้วย Machine Data จะตอบสนองได้แม่นยำกว่า ➡️ ช่วยให้ระบบตอบสนองต่อภัยคุกคามได้แบบอัตโนมัติ ✅ Splunk เปิดตัว Detection Studio และ Enterprise Security รุ่นใหม่ ➡️ รวม SIEM, SOAR, UEBA, Threat Intelligence และ AI Assistant ➡️ ช่วยลดภาระงานของทีม Security Operations ✅ แนวคิด Resilience ถูกเน้นในงาน ➡️ รวม Observability กับ Security เพื่อฟื้นตัวจากเหตุการณ์ได้เร็ว ➡️ ลดข้อจำกัดจากโครงสร้างองค์กรและงบประมาณ ✅ Splunk สนับสนุนมาตรฐานเปิด ➡️ ใช้ Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework ➡️ ช่วยให้เครื่องมือจากหลายค่ายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ✅ โมเดล Federated Search ถูกขยาย ➡️ รองรับการค้นหาข้ามแหล่งข้อมูล เช่น S3, Snowflake, Iceberg ➡️ ลดภาระการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ https://www.csoonline.com/article/4058991/where-cisos-need-to-see-splunk-go-next.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Where CISOs need to see Splunk go next
    Splunk’s latest .Conf focused on machine data, federation, resiliency, and easing the cybersecurity burden. That’s a good start for the cyber giant, but from security leaders’ perspective, work remains.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • CERN เปิดศูนย์พักพิง “เมาส์คอมพิวเตอร์” — แคมเปญสุดขำเพื่อเตือนภัยไซเบอร์ที่จริงจังกว่าที่คิด

    ในโลกที่ภัยไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้จาก “คลิกเดียว” CERN ได้สร้างแคมเปญสุดแหวกแนวที่ชื่อว่า “CERN Animal Shelter for Computer Mice” หรือ “ศูนย์พักพิงสัตว์สำหรับเมาส์คอมพิวเตอร์” ซึ่งตั้งอยู่จริงบนสนามหญ้าหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ของ CERN โดยมีกรงฟาง อาหาร น้ำ และเมาส์คอมพิวเตอร์หลากรุ่นวางเรียงกันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยง

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเล่นคำระหว่าง “mouse” ที่หมายถึงทั้งสัตว์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเตือนผู้ใช้งานว่า “การคลิก” โดยไม่คิดให้ดีอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ การถูกขโมยบัญชี หรือแม้แต่การทำให้ระบบขององค์กรล่มได้ในพริบตา

    CERN จึงรณรงค์ให้ผู้ใช้ “หยุด — คิด — คลิก” และเสนอให้ “นำเมาส์ออกจากเครื่อง” แล้วนำไปพักพิงที่ศูนย์แห่งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการคลิกโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นมุก April Fool แต่ก็สะท้อนความจริงที่ว่า การคลิกลิงก์สุ่มหรือไฟล์แนบที่ไม่รู้ที่มา คือช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในโลกไซเบอร์

    นอกจากนี้ยังมีการแยกแยะว่า “trackpad” ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็น “พืช” เพราะไม่เคลื่อนไหว จึงไม่อยู่ในขอบเขตของศูนย์พักพิงนี้ — เป็นการเล่นมุกที่ผสมความรู้ด้านชีววิทยาเข้ากับความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างมีชั้นเชิง

    https://computer-animal-shelter.web.cern.ch/index.shtml
    📰 CERN เปิดศูนย์พักพิง “เมาส์คอมพิวเตอร์” — แคมเปญสุดขำเพื่อเตือนภัยไซเบอร์ที่จริงจังกว่าที่คิด ในโลกที่ภัยไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้จาก “คลิกเดียว” CERN ได้สร้างแคมเปญสุดแหวกแนวที่ชื่อว่า “CERN Animal Shelter for Computer Mice” หรือ “ศูนย์พักพิงสัตว์สำหรับเมาส์คอมพิวเตอร์” ซึ่งตั้งอยู่จริงบนสนามหญ้าหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ของ CERN โดยมีกรงฟาง อาหาร น้ำ และเมาส์คอมพิวเตอร์หลากรุ่นวางเรียงกันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยง แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเล่นคำระหว่าง “mouse” ที่หมายถึงทั้งสัตว์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเตือนผู้ใช้งานว่า “การคลิก” โดยไม่คิดให้ดีอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ การถูกขโมยบัญชี หรือแม้แต่การทำให้ระบบขององค์กรล่มได้ในพริบตา CERN จึงรณรงค์ให้ผู้ใช้ “หยุด — คิด — คลิก” และเสนอให้ “นำเมาส์ออกจากเครื่อง” แล้วนำไปพักพิงที่ศูนย์แห่งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการคลิกโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นมุก April Fool แต่ก็สะท้อนความจริงที่ว่า การคลิกลิงก์สุ่มหรือไฟล์แนบที่ไม่รู้ที่มา คือช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในโลกไซเบอร์ นอกจากนี้ยังมีการแยกแยะว่า “trackpad” ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็น “พืช” เพราะไม่เคลื่อนไหว จึงไม่อยู่ในขอบเขตของศูนย์พักพิงนี้ — เป็นการเล่นมุกที่ผสมความรู้ด้านชีววิทยาเข้ากับความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างมีชั้นเชิง https://computer-animal-shelter.web.cern.ch/index.shtml
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พีระพันธุ์' ลั่นไม่ร่วมรัฐบาลเบี้ยล่างพรรคส้ม พร้อมนำทัพ รทสช. สู้ศึกเลือกตั้ง

    //////////////////


    รวมไทยสร้างชาติไปต่อ! "พีระพันธุ์" พร้อมเดินหน้านำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำทำเต็มที่ เชื่อมั่นพรรคสามารถผ่านทุกอุปสรรคไปได้ เชิญชวนชาวไทยหัวใจรักชาติร่วมทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

    18 กันยายน 2568 - เวลา 19.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรคท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองว่า ในลำดับแรกตนขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป

    สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน
    นายพีระพันธุ์ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือ มีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
    นอกจากนี้ตนยังเห็นว่า วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุนท่านอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักท่านอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง

    ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย

    “สำหรับผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” นายพีระพันธุ์กล่าว

    อย่างไรก็ดี ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้นนายพีระพันธุ์ได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. พรรค นายพีระพันธุ์มองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น
    ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
    นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากท่านอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนท่านอนุทิน ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกท่านอนุทิน 33 เสียง
    ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งตนยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป

    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ตนขอยืนยันในส่วนของตนว่าตนไม่มีทางโดนซื้อเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่าตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อของตนในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้วเมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้วแต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก ตนจึงยืนยันได้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้ไม่เป็นความจริง และสำหรับตนถ้าจะได้รับเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องมีศักดิ์ศรี ซึ่งแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางที่มีศักดิ์ศรี
    “พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ ส่วนตัวผมไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ ก็เท่านี้ ผมจะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น
    เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ผมติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ผมคิดว่าแนวทางการทำงานของผมแบบนี้ที่ทำให้ผมเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว
    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปในเรื่องของการแก้ไขเรื่องของพลังงานว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานของตนนั้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟที่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ และค่าแก๊สแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไร ได้เท่านั้น และหากเดินหน้าต่อไปจนครบวาระ ตนยืนยันว่าราคาน้ำมันจะ
    สามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคงไม่ใช่ของเอกชน

    สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายต่าง ๆ นั้น กฎหมายฉบับแรกคือกฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น ตนหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ในส่วนของกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายคลังน้ำมันนั้น กฎหมายฉบับแรกคือการควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย และกฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กัน เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ โดยนายพีระพันธุ์ยืนยันว่าจะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้
    นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทุกด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยทางพรรคพร้อมที่จะหาตัวแทนที่พร้อมจะเดินหน้า สู้ให้ทุกปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน และเรื่องของความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตนเชื่อว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูดแล้วเราทำ และเราเดินหน้าทำงานตลอดเวลา
    “ทุกคนที่สนใจร่วมอุดมการณ์และเดินหน้าทำงานตามแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือพรรคที่มาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคของคนทำงาน หากใครมีแนวทางเดียวกันขอเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกันครับ” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในตอนท้าย
    อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงกรณีปัญหาความขัดแย้งกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนายพีระพันธุ์ไม่ได้ชี้แจงหรือพูดถึงในประเด็นดังกล่าว
    'พีระพันธุ์' ลั่นไม่ร่วมรัฐบาลเบี้ยล่างพรรคส้ม พร้อมนำทัพ รทสช. สู้ศึกเลือกตั้ง ////////////////// รวมไทยสร้างชาติไปต่อ! "พีระพันธุ์" พร้อมเดินหน้านำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำทำเต็มที่ เชื่อมั่นพรรคสามารถผ่านทุกอุปสรรคไปได้ เชิญชวนชาวไทยหัวใจรักชาติร่วมทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 18 กันยายน 2568 - เวลา 19.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรคท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองว่า ในลำดับแรกตนขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน นายพีระพันธุ์ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือ มีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ตนยังเห็นว่า วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุนท่านอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักท่านอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย “สำหรับผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” นายพีระพันธุ์กล่าว อย่างไรก็ดี ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้นนายพีระพันธุ์ได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. พรรค นายพีระพันธุ์มองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากท่านอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนท่านอนุทิน ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกท่านอนุทิน 33 เสียง ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งตนยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ตนขอยืนยันในส่วนของตนว่าตนไม่มีทางโดนซื้อเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่าตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อของตนในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้วเมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้วแต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก ตนจึงยืนยันได้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้ไม่เป็นความจริง และสำหรับตนถ้าจะได้รับเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องมีศักดิ์ศรี ซึ่งแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางที่มีศักดิ์ศรี “พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ ส่วนตัวผมไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ ก็เท่านี้ ผมจะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ผมติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ผมคิดว่าแนวทางการทำงานของผมแบบนี้ที่ทำให้ผมเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปในเรื่องของการแก้ไขเรื่องของพลังงานว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานของตนนั้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟที่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ และค่าแก๊สแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไร ได้เท่านั้น และหากเดินหน้าต่อไปจนครบวาระ ตนยืนยันว่าราคาน้ำมันจะ สามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคงไม่ใช่ของเอกชน สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายต่าง ๆ นั้น กฎหมายฉบับแรกคือกฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น ตนหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ในส่วนของกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายคลังน้ำมันนั้น กฎหมายฉบับแรกคือการควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย และกฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กัน เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ โดยนายพีระพันธุ์ยืนยันว่าจะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทุกด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยทางพรรคพร้อมที่จะหาตัวแทนที่พร้อมจะเดินหน้า สู้ให้ทุกปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน และเรื่องของความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตนเชื่อว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูดแล้วเราทำ และเราเดินหน้าทำงานตลอดเวลา “ทุกคนที่สนใจร่วมอุดมการณ์และเดินหน้าทำงานตามแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือพรรคที่มาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคของคนทำงาน หากใครมีแนวทางเดียวกันขอเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกันครับ” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในตอนท้าย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงกรณีปัญหาความขัดแย้งกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนายพีระพันธุ์ไม่ได้ชี้แจงหรือพูดถึงในประเด็นดังกล่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts