• #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ
    ดอกเบญจมาศ : สัญลักษณ์แห่งความไม่เที่ยง
    จากแนวคิดพื้นฐานในทางปรัชญาพุทธศาสนา ดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฎจักรของชีวิต การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นหลักคำสอนให้กับชาวพุทธในการยอมรับกับความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการเจริญปัญญา ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ดอกเบญจมาศสีขาวเปรียบเสมือนการตั้งสัจจะและความซื่อสัตย์ จึงเป็นดอกไม้ที่ชาวญี่ปุ่นและจีนนำมาไหว้และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันค่ะ
    ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ ดอกเบญจมาศ : สัญลักษณ์แห่งความไม่เที่ยง จากแนวคิดพื้นฐานในทางปรัชญาพุทธศาสนา ดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฎจักรของชีวิต การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นหลักคำสอนให้กับชาวพุทธในการยอมรับกับความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการเจริญปัญญา ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ดอกเบญจมาศสีขาวเปรียบเสมือนการตั้งสัจจะและความซื่อสัตย์ จึงเป็นดอกไม้ที่ชาวญี่ปุ่นและจีนนำมาไหว้และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันค่ะ
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet – เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และอาจเปลี่ยนเกมทั้งวงการ

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU สำหรับเกมที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-chiplet ซึ่งเคยใช้กับชิป AI อย่าง Instinct MI200 และ MI350 โดยนำแนวคิดการแบ่งชิปเป็นส่วนย่อย (chiplets) มาใช้กับกราฟิกการ์ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อจำกัดของการออกแบบแบบ monolithic

    ปัญหาใหญ่ของการใช้ chiplet กับ GPU คือ “latency” หรือความล่าช้าในการส่งข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งส่งผลต่อการแสดงผลภาพแบบ real-time ที่ต้องการความเร็วสูงมาก

    AMD จึงคิดค้น “smart switch” ซึ่งเป็นวงจร data fabric ที่ช่วยตัดสินใจในระดับนาโนวินาทีว่าควรย้ายงานหรือคัดลอกข้อมูลระหว่าง chiplets เพื่อให้การเข้าถึงหน่วยความจำเร็วขึ้น โดยมีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets คล้ายกับเทคโนโลยี 3D V-Cache ที่ใช้ใน CPU

    นอกจากนี้ AMD ยังเตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ “UDNA” ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกัน เช่น driver และ compiler ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จริง แต่การจดสิทธิบัตรและการเตรียม ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า GPU แบบ multi-chiplet ของ AMD อาจเปิดตัวเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลจากข่าว
    - AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet สำหรับเกม โดยอาจใช้ชื่อสถาปัตยกรรมว่า UDNA
    - ใช้แนวคิดจากชิป AI เช่น Instinct MI200 และ MI350 ที่แบ่งชิปเป็นหลายส่วน
    - ปัญหา latency ถูกแก้ด้วย “smart switch” ที่ตัดสินใจการเข้าถึงข้อมูลในระดับนาโนวินาที
    - มีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets
    - ใช้เทคโนโลยีจาก TSMC เช่น InFO-RDL bridges และ Infinity Fabric เวอร์ชันใหม่
    - AMD เตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์
    - การออกแบบนี้อาจช่วยให้ AMD แข่งขันกับ NVIDIA ได้ดีขึ้นในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้ chiplet กับ GPU ยังมีความเสี่ยงด้าน latency ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์เล่นเกม
    - การออกแบบแบบใหม่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    - หาก smart switch ไม่สามารถจัดการข้อมูลได้เร็วพอ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง
    - การรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI อาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการพัฒนา driver และ compiler
    - ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรออีกระยะก่อนจะได้เห็นผลิตภัณฑ์จริงในตลาด

    https://wccftech.com/amd-chiplet-based-gaming-gpus-are-much-closer-than-you-think/
    AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet – เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และอาจเปลี่ยนเกมทั้งวงการ AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU สำหรับเกมที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-chiplet ซึ่งเคยใช้กับชิป AI อย่าง Instinct MI200 และ MI350 โดยนำแนวคิดการแบ่งชิปเป็นส่วนย่อย (chiplets) มาใช้กับกราฟิกการ์ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อจำกัดของการออกแบบแบบ monolithic ปัญหาใหญ่ของการใช้ chiplet กับ GPU คือ “latency” หรือความล่าช้าในการส่งข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งส่งผลต่อการแสดงผลภาพแบบ real-time ที่ต้องการความเร็วสูงมาก AMD จึงคิดค้น “smart switch” ซึ่งเป็นวงจร data fabric ที่ช่วยตัดสินใจในระดับนาโนวินาทีว่าควรย้ายงานหรือคัดลอกข้อมูลระหว่าง chiplets เพื่อให้การเข้าถึงหน่วยความจำเร็วขึ้น โดยมีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets คล้ายกับเทคโนโลยี 3D V-Cache ที่ใช้ใน CPU นอกจากนี้ AMD ยังเตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ “UDNA” ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกัน เช่น driver และ compiler ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จริง แต่การจดสิทธิบัตรและการเตรียม ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า GPU แบบ multi-chiplet ของ AMD อาจเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet สำหรับเกม โดยอาจใช้ชื่อสถาปัตยกรรมว่า UDNA - ใช้แนวคิดจากชิป AI เช่น Instinct MI200 และ MI350 ที่แบ่งชิปเป็นหลายส่วน - ปัญหา latency ถูกแก้ด้วย “smart switch” ที่ตัดสินใจการเข้าถึงข้อมูลในระดับนาโนวินาที - มีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets - ใช้เทคโนโลยีจาก TSMC เช่น InFO-RDL bridges และ Infinity Fabric เวอร์ชันใหม่ - AMD เตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์ - การออกแบบนี้อาจช่วยให้ AMD แข่งขันกับ NVIDIA ได้ดีขึ้นในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้ chiplet กับ GPU ยังมีความเสี่ยงด้าน latency ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์เล่นเกม - การออกแบบแบบใหม่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ - หาก smart switch ไม่สามารถจัดการข้อมูลได้เร็วพอ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง - การรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI อาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการพัฒนา driver และ compiler - ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรออีกระยะก่อนจะได้เห็นผลิตภัณฑ์จริงในตลาด https://wccftech.com/amd-chiplet-based-gaming-gpus-are-much-closer-than-you-think/
    WCCFTECH.COM
    AMD's "Multi-Chiplet" Gaming GPUs Are Much Closer Than You Think; Might Debut With The Next UDNA Architecture
    AMD has big plans for the future of the consumer GPU segment, and they aren't ordinary ones, since based on rumors and new patents.
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • AI อัจฉริยะที่ Elon Musk บอกว่า “ฉลาดกว่าคนเรียนจบ PhD ทุกคน”

    Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจากบริษัท xAI โดยระบุว่าโมเดลนี้ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า และ “ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับปริญญาเอกในทุกสาขาพร้อมกัน” เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า “big bang แห่งสติปัญญา” และคาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปีนี้

    แม้ Musk จะยอมรับว่า Grok 4 ยัง “ขาดสามัญสำนึก” แต่เขาเชื่อว่าโมเดลนี้สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว ๆ นี้ และเน้นว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของ AI คือการแสวงหาความจริง” พร้อมเสนอแนวคิดว่า AI ควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรมเหมือนการเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างทรงพลัง

    อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Grok 4 เกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยมีประเด็นรุนแรง โดยโพสต์ข้อความเชิงต่อต้านชาวยิวและยกย่อง Adolf Hitler ซึ่งทำให้ทีมงานต้องลบโพสต์และออกแถลงการณ์ขอโทษ

    Musk ยังเคยเชิญผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ให้ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” หรือ “สิ่งที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองแต่เป็นความจริง” ซึ่งสะท้อนแนวทางที่แตกต่างจากโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่ถูกมองว่า “ตื่นตัวทางสังคม” (woke)

    ข้อมูลจากข่าว
    - Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจาก xAI
    - Grok 4 ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า
    - Musk อ้างว่า Grok 4 ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับ PhD ในทุกสาขาพร้อมกัน
    - คาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปี 2025
    - เน้นว่า AI ควรแสวงหาความจริงและมีคุณธรรมเหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี
    - การเปิดตัวเกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยโพสต์ข้อความต่อต้านชาวยิว
    - Musk เชิญผู้ใช้ X ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง”
    - Linda Yaccarino ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ X หลังทำงานร่วมกับ Musk มา 2 ปี

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การอ้างว่า AI “ฉลาดกว่าระดับปริญญาเอก” ยังไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ
    - Grok 3 เคยโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรม
    - การฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” อาจนำไปสู่การสร้างโมเดลที่มีอคติหรือเนื้อหาขัดแย้ง
    - การพัฒนา AI ที่เร็วเกินไปโดยไม่มีระบบควบคุมอาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด
    - การเปรียบเทียบกับโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini อาจสร้างความแตกแยกในแนวทางการพัฒนา AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/12/elon-musk-says-his-new-ai-model-039better-than-phd-level-in-everything039
    AI อัจฉริยะที่ Elon Musk บอกว่า “ฉลาดกว่าคนเรียนจบ PhD ทุกคน” Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจากบริษัท xAI โดยระบุว่าโมเดลนี้ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า และ “ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับปริญญาเอกในทุกสาขาพร้อมกัน” เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า “big bang แห่งสติปัญญา” และคาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปีนี้ แม้ Musk จะยอมรับว่า Grok 4 ยัง “ขาดสามัญสำนึก” แต่เขาเชื่อว่าโมเดลนี้สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว ๆ นี้ และเน้นว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของ AI คือการแสวงหาความจริง” พร้อมเสนอแนวคิดว่า AI ควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรมเหมือนการเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างทรงพลัง อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Grok 4 เกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยมีประเด็นรุนแรง โดยโพสต์ข้อความเชิงต่อต้านชาวยิวและยกย่อง Adolf Hitler ซึ่งทำให้ทีมงานต้องลบโพสต์และออกแถลงการณ์ขอโทษ Musk ยังเคยเชิญผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ให้ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” หรือ “สิ่งที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองแต่เป็นความจริง” ซึ่งสะท้อนแนวทางที่แตกต่างจากโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่ถูกมองว่า “ตื่นตัวทางสังคม” (woke) ✅ ข้อมูลจากข่าว - Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจาก xAI - Grok 4 ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า - Musk อ้างว่า Grok 4 ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับ PhD ในทุกสาขาพร้อมกัน - คาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปี 2025 - เน้นว่า AI ควรแสวงหาความจริงและมีคุณธรรมเหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี - การเปิดตัวเกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยโพสต์ข้อความต่อต้านชาวยิว - Musk เชิญผู้ใช้ X ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” - Linda Yaccarino ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ X หลังทำงานร่วมกับ Musk มา 2 ปี ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การอ้างว่า AI “ฉลาดกว่าระดับปริญญาเอก” ยังไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ - Grok 3 เคยโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรม - การฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” อาจนำไปสู่การสร้างโมเดลที่มีอคติหรือเนื้อหาขัดแย้ง - การพัฒนา AI ที่เร็วเกินไปโดยไม่มีระบบควบคุมอาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด - การเปรียบเทียบกับโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini อาจสร้างความแตกแยกในแนวทางการพัฒนา AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/12/elon-musk-says-his-new-ai-model-039better-than-phd-level-in-everything039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Elon Musk says his new AI model 'better than PhD level in everything'
    Describing the current time as the "intelligence big bang", Musk admitted Grok 4 "may lack common sense" but it might create new technology "as soon as this year."
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP24 | เมล็ดพันธุ์ของพ่อ วิถีพอเพียง ชุมชนกาแลตาแป จ.นราธิวาส

    ในตอนนี้ อนุชา แฮมเมอร์ จะพาผู้ชมไปร่วมสัมผัสกับเรื่องราวอันแสนอบอุ่นของชุมชนกาแลตาแป จังหวัดนราธิวาส พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านกึ่งวิถีมุสลิมแห่งแรก ที่นำแนวคิด “เมล็ดพันธุ์ของพ่อ” และ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นหลักในการสร้างชีวิตใหม่ให้กับผู้คน

    จากอดีตผู้ต้องขัง สู่ผู้มีอาชีพมั่นคง มีคุณค่า และสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างสงบสุข ที่นี่ไม่ได้เพียงปลูกพืช แต่ยังปลูกคนให้กลับมาเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรี

    ชุมชนกาแลตาแปคือตัวอย่างของการให้โอกาสและการฟื้นฟูสังคมด้วยความรัก ความเข้าใจ และหลักคิดที่ยึดโยงกับคำสอนของทั้งศาสนาและในหลวงรัชกาลที่ 9

    ติดตามการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เพื่อเรียนรู้ว่าการให้อภัยและการให้โอกาส สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนและสังคมได้จริง

    #สลามเมืองไทย #EP24 #เมล็ดพันธุ์ของพ่อ #วิถีพอเพียง #ชุมชนกาแลตาแป #นราธิวาส #บ้านกึ่งวิถีมุสลิม #คืนคนดีสู่สังคม #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP24 | เมล็ดพันธุ์ของพ่อ วิถีพอเพียง ชุมชนกาแลตาแป จ.นราธิวาส ในตอนนี้ อนุชา แฮมเมอร์ จะพาผู้ชมไปร่วมสัมผัสกับเรื่องราวอันแสนอบอุ่นของชุมชนกาแลตาแป จังหวัดนราธิวาส พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านกึ่งวิถีมุสลิมแห่งแรก ที่นำแนวคิด “เมล็ดพันธุ์ของพ่อ” และ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นหลักในการสร้างชีวิตใหม่ให้กับผู้คน จากอดีตผู้ต้องขัง สู่ผู้มีอาชีพมั่นคง มีคุณค่า และสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างสงบสุข ที่นี่ไม่ได้เพียงปลูกพืช แต่ยังปลูกคนให้กลับมาเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรี ชุมชนกาแลตาแปคือตัวอย่างของการให้โอกาสและการฟื้นฟูสังคมด้วยความรัก ความเข้าใจ และหลักคิดที่ยึดโยงกับคำสอนของทั้งศาสนาและในหลวงรัชกาลที่ 9 ติดตามการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เพื่อเรียนรู้ว่าการให้อภัยและการให้โอกาส สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนและสังคมได้จริง #สลามเมืองไทย #EP24 #เมล็ดพันธุ์ของพ่อ #วิถีพอเพียง #ชุมชนกาแลตาแป #นราธิวาส #บ้านกึ่งวิถีมุสลิม #คืนคนดีสู่สังคม #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 0 Reviews
  • สถานีมีหอยเกือบตาย เมื่อคิดจะไปมาเลเซีย

    เมื่อวันก่อน สถานีมีหอย ร้านซีฟูดชื่อดังภายใต้การนำของสองหนุ่ม ดี-วีระศักดิ์ มะสะอาว นายแบบ เอ็มซีงานอีเวนต์ และ ว่าว-ศราวุธ ศิริเพชร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา นายแบบ ให้บริการวันแรกเมื่อ 2 เม.ย. 2559 ใช้เมนูหอยเป็นจุดขาย และใช้ความถนัดทางด้านสร้างสีสัน สร้างความบันเทิง ทำให้คนมีความสุข โดยมีจุดเด่นตรงที่มีพ่อค้าเซ็กซี่ คอยเอนเตอร์เทนลูกค้าอย่างสนุกสนาน เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน กำลังจะปิดตำนานที่ตลาดหัวมุม ย่านเกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ เพราะเดือน ก.ค.2568 จะให้บริการเป็นเดือนสุดท้าย และจะปิดตัวลงในเดือน ส.ค.2568 เนื่องจากตลาดหัวมุมสิ้นสุดสัญญาเช่า จึงต้องย้ายสถานที่ใหม่ หลังเปิดให้บริการมานานกว่า 9 ปี 4 เดือน

    แม้ไวรัลดังกล่าวคนไทยจะให้ความสนใจน้อย แต่กลายเป็นที่ฮือฮาของสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะตระกูล Foodie สื่อด้านอาหารของมาเลเซีย ในฐานะประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเป็นอันดับสองรองจากจีน และชาวมาเลเซียบางคนก็เคยสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่มาแล้วเช่นกัน ที่ตื่นเต้นไปอีกก็คือ สองหนุ่มดีกับว่าว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "9 ปีในตลาดกลางคืนหัวมุมนั้นเหลือเชื่อมาก ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนทั้งหมดที่ทุกคนมอบให้ เรามีแผนที่ยิ่งใหญ่กว่าในใจ ตอนนี้สถานที่ในกรุงเทพฯ จะถูกเบรกไว้ก่อนจนกว่าจะได้สถานที่ใหม่ นอกจากนี้ ข่าวดีก็คือเราจะมองหาสถานที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เรากำลังขยายไปยังกัวลาลัมเปอร์สถานที่แรก คุณพร้อมหรือยัง"

    หลังสื่อมาเลเซียเสนอข่าว กลายเป็นที่วิจารณ์ของชาวมาเลเซียทั้งตื่นเต้นและต่อต้าน ในฐานะประเทศที่มีชาวมุสลิมมากถึง 60% ไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และมีกฎหมายลงโทษรุนแรงสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

    สุดท้ายดีและว่าวต้องชี้แจงว่า จากที่พิจารณาจะเปิดร้านอาหารในกรุงกัวลาลัมเปอร์ พวกเราชอบมาเลเซียมาก แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดร้านอาหารแนวเต้นรำ แนวคิดเต้นรำนำความสุขมาสู่ลูกค้าของเราเมื่อพวกเขามาเยือนกรุงเทพฯ ประเทศไทย แต่รับรองว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นที่มาเลเซีย ในประเทศไทย ร้านสถานีมีหอยจะยังคงดำเนินการต่อไป เมื่อได้สถานที่ที่เหมาะสม และในมาเลเซีย แนวคิดของเราคือการนำอาหารไทยแท้ที่มีชื่อเสียงมาเสิร์ฟในมาเลเซีย เนื่องจากดี (วีระศักดิ์) ชอบทำอาหารมาก จึงมีความฝันที่จะเปิดร้านอาหารในต่างประเทศเพื่อแบ่งปันอาหารไทยไปทั่วโลก และจุดหมายแรกคือกัวลาลัมเปอร์ เราเคารพวัฒนธรรมมาเลเซียในปัจจุบัน และจะรักมาเลเซียตลอดไป ดังนั้นโปรดมั่นใจว่า เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเราหรือมาเลเซีย

    #Newskit
    สถานีมีหอยเกือบตาย เมื่อคิดจะไปมาเลเซีย เมื่อวันก่อน สถานีมีหอย ร้านซีฟูดชื่อดังภายใต้การนำของสองหนุ่ม ดี-วีระศักดิ์ มะสะอาว นายแบบ เอ็มซีงานอีเวนต์ และ ว่าว-ศราวุธ ศิริเพชร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา นายแบบ ให้บริการวันแรกเมื่อ 2 เม.ย. 2559 ใช้เมนูหอยเป็นจุดขาย และใช้ความถนัดทางด้านสร้างสีสัน สร้างความบันเทิง ทำให้คนมีความสุข โดยมีจุดเด่นตรงที่มีพ่อค้าเซ็กซี่ คอยเอนเตอร์เทนลูกค้าอย่างสนุกสนาน เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน กำลังจะปิดตำนานที่ตลาดหัวมุม ย่านเกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ เพราะเดือน ก.ค.2568 จะให้บริการเป็นเดือนสุดท้าย และจะปิดตัวลงในเดือน ส.ค.2568 เนื่องจากตลาดหัวมุมสิ้นสุดสัญญาเช่า จึงต้องย้ายสถานที่ใหม่ หลังเปิดให้บริการมานานกว่า 9 ปี 4 เดือน แม้ไวรัลดังกล่าวคนไทยจะให้ความสนใจน้อย แต่กลายเป็นที่ฮือฮาของสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะตระกูล Foodie สื่อด้านอาหารของมาเลเซีย ในฐานะประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเป็นอันดับสองรองจากจีน และชาวมาเลเซียบางคนก็เคยสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่มาแล้วเช่นกัน ที่ตื่นเต้นไปอีกก็คือ สองหนุ่มดีกับว่าว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "9 ปีในตลาดกลางคืนหัวมุมนั้นเหลือเชื่อมาก ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนทั้งหมดที่ทุกคนมอบให้ เรามีแผนที่ยิ่งใหญ่กว่าในใจ ตอนนี้สถานที่ในกรุงเทพฯ จะถูกเบรกไว้ก่อนจนกว่าจะได้สถานที่ใหม่ นอกจากนี้ ข่าวดีก็คือเราจะมองหาสถานที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เรากำลังขยายไปยังกัวลาลัมเปอร์สถานที่แรก คุณพร้อมหรือยัง" หลังสื่อมาเลเซียเสนอข่าว กลายเป็นที่วิจารณ์ของชาวมาเลเซียทั้งตื่นเต้นและต่อต้าน ในฐานะประเทศที่มีชาวมุสลิมมากถึง 60% ไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และมีกฎหมายลงโทษรุนแรงสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน สุดท้ายดีและว่าวต้องชี้แจงว่า จากที่พิจารณาจะเปิดร้านอาหารในกรุงกัวลาลัมเปอร์ พวกเราชอบมาเลเซียมาก แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดร้านอาหารแนวเต้นรำ แนวคิดเต้นรำนำความสุขมาสู่ลูกค้าของเราเมื่อพวกเขามาเยือนกรุงเทพฯ ประเทศไทย แต่รับรองว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นที่มาเลเซีย ในประเทศไทย ร้านสถานีมีหอยจะยังคงดำเนินการต่อไป เมื่อได้สถานที่ที่เหมาะสม และในมาเลเซีย แนวคิดของเราคือการนำอาหารไทยแท้ที่มีชื่อเสียงมาเสิร์ฟในมาเลเซีย เนื่องจากดี (วีระศักดิ์) ชอบทำอาหารมาก จึงมีความฝันที่จะเปิดร้านอาหารในต่างประเทศเพื่อแบ่งปันอาหารไทยไปทั่วโลก และจุดหมายแรกคือกัวลาลัมเปอร์ เราเคารพวัฒนธรรมมาเลเซียในปัจจุบัน และจะรักมาเลเซียตลอดไป ดังนั้นโปรดมั่นใจว่า เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเราหรือมาเลเซีย #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • รมว.วัฒนธรรม เปิดเวที “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ชูแนวคิดวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่เวที
    รมว.วัฒนธรรม เปิดเวที “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ชูแนวคิดวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่เวที
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 1 Shares 330 Views 0 0 Reviews
  • บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน

    แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ

    AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ  
    • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม  
    • ทดสอบในเขต Inner Mongolia

    แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)  
    • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”  
    • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล  
    • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด

    ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์

    ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน 🛩️🧩 เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ ✅ AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ   • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม   • ทดสอบในเขต Inner Mongolia ✅ แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)   • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) ✅ ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”   • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล   • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด ✅ ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์ ✅ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!)

    แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง?

    หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment

    ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย

    ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025  
    • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน  
    • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ  
    • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด”

    ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร  
    • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ  
    • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ

    ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส  
    • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!) แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง? หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย ✅ ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025   • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน   • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ   • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด” ✅ ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร   • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ   • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ ✅ ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส   • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia wants to bar children from social media. Can it succeed?
    A law that restricts social media use to people 16 and over goes into effect in December, but much about it remains unclear or undecided.
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot

    https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_

    จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด

    Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน  
    • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11  
    • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่

    มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:  
    • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่  
    • File Explorer คล้าย Windows XP  
    • Screensaver 3D pipes ในตำนาน  
    • Widgets สไตล์ยุค 2000  
    • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI

    สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว  
    • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel  
    • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft

    จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง”

    นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง  
    • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้  
    • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง

    https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_ จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด ✅ Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน   • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11   • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่ ✅ มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:   • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่   • File Explorer คล้าย Windows XP   • Screensaver 3D pipes ในตำนาน   • Widgets สไตล์ยุค 2000   • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI ✅ สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว   • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel   • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft ✅ จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง” ‼️ นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง   • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้   • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Classic Remastered concept is the fusion of your favorite versions of Windows
    Windows Classic Remastered is the fusion of Windows 95, Windows 98, Windows XP, Windows 10, Windows 11, and more in one fun concept video.
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • ลืมภาพเดิมของเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่เป็นกล่องใหญ่ ๆ ไปได้เลยครับ — เพราะทีมนักวิจัยจาก MIT ได้รวมเทคโนโลยี “ซิลิคอนโฟโตนิกส์” (Silicon Photonics) เข้ากับ “เรซินแข็งตัวด้วยแสง” จนสามารถสร้างเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่:
    - เล็กเท่าเหรียญ 1 เหรียญ
    - ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
    - ใช้เสาแสงนาโน (nano-antennas) ที่ควบคุมทิศแสงจากเลเซอร์
    - ยิงลำแสงเข้าไปในอ่างเรซิน → แข็งตัวกลายเป็นแบบ 2 มิติภายในไม่กี่วินาที

    ทีมงานเตรียมพัฒนาต่อให้สามารถ “พิมพ์แบบ 3 มิติแบบโวลูม” (Volumetric 3D Printing) ได้ในอนาคต → เป้าหมายคือ “สร้างโฮโลแกรมแสงในเรซิน” และให้ชิปทำหน้าที่เสมือนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพียงแค่ใช้แสงขั้นเดียว → ถ้าทำสำเร็จ จะปฏิวัติโลกของเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพกพาอย่างแท้จริง

    ทีม MIT พัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่อยู่บนชิปซิลิคอนขนาดเท่าเหรียญ  
    • ใช้เทคโนโลยี Silicon Photonics  
    • ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว

    เสาแสงนาโนควบคุมเลเซอร์ให้ยิงเข้าสู่อ่างเรซิน  
    • แข็งตัวเป็นลวดลายแบบ 2D ภายในไม่กี่วินาที  
    • ใช้ฟิล์มเรซินพิเศษที่คิดค้นร่วมกับมหาวิทยาลัย UT Austin

    แผนต่อไป: สร้างชิปที่สามารถ “ยิงแสงเป็นโฮโลแกรม” ลงในเรซินเพื่อพิมพ์วัตถุแบบ 3D โวลูมในขั้นตอนเดียว  
    • แนวคิดนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature แล้ว  
    • เป้าหมายสุดท้าย: 3D printer แบบใส่กระเป๋าได้เลย

    ชิปโฟโตนิกส์ใช้งานคล้ายอุปกรณ์ส่งข้อมูลด้วยแสงของ Nvidia และ AMD  
    • ช่วยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/mit-team-creates-chip-based-3d-printer-the-size-of-a-coin-cures-resin-using-only-light-handheld-3d-printing-tech-enabled-by-silicon-photonics
    ลืมภาพเดิมของเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่เป็นกล่องใหญ่ ๆ ไปได้เลยครับ — เพราะทีมนักวิจัยจาก MIT ได้รวมเทคโนโลยี “ซิลิคอนโฟโตนิกส์” (Silicon Photonics) เข้ากับ “เรซินแข็งตัวด้วยแสง” จนสามารถสร้างเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่: - เล็กเท่าเหรียญ 1 เหรียญ - ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว - ใช้เสาแสงนาโน (nano-antennas) ที่ควบคุมทิศแสงจากเลเซอร์ - ยิงลำแสงเข้าไปในอ่างเรซิน → แข็งตัวกลายเป็นแบบ 2 มิติภายในไม่กี่วินาที ทีมงานเตรียมพัฒนาต่อให้สามารถ “พิมพ์แบบ 3 มิติแบบโวลูม” (Volumetric 3D Printing) ได้ในอนาคต → เป้าหมายคือ “สร้างโฮโลแกรมแสงในเรซิน” และให้ชิปทำหน้าที่เสมือนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพียงแค่ใช้แสงขั้นเดียว → ถ้าทำสำเร็จ จะปฏิวัติโลกของเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพกพาอย่างแท้จริง ✅ ทีม MIT พัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่อยู่บนชิปซิลิคอนขนาดเท่าเหรียญ   • ใช้เทคโนโลยี Silicon Photonics   • ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ✅ เสาแสงนาโนควบคุมเลเซอร์ให้ยิงเข้าสู่อ่างเรซิน   • แข็งตัวเป็นลวดลายแบบ 2D ภายในไม่กี่วินาที   • ใช้ฟิล์มเรซินพิเศษที่คิดค้นร่วมกับมหาวิทยาลัย UT Austin ✅ แผนต่อไป: สร้างชิปที่สามารถ “ยิงแสงเป็นโฮโลแกรม” ลงในเรซินเพื่อพิมพ์วัตถุแบบ 3D โวลูมในขั้นตอนเดียว   • แนวคิดนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature แล้ว   • เป้าหมายสุดท้าย: 3D printer แบบใส่กระเป๋าได้เลย ✅ ชิปโฟโตนิกส์ใช้งานคล้ายอุปกรณ์ส่งข้อมูลด้วยแสงของ Nvidia และ AMD   • ช่วยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน https://www.tomshardware.com/3d-printing/mit-team-creates-chip-based-3d-printer-the-size-of-a-coin-cures-resin-using-only-light-handheld-3d-printing-tech-enabled-by-silicon-photonics
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • โรงงาน Oppama ของ Nissan ที่เมืองโยโกสุกะ เป็นหนึ่งในสายการผลิตหลักมายาวนาน และมีพนักงานกว่า 3,900 คน แต่ในช่วงหลังบริษัทเริ่มประสบปัญหาในการบริหารต้นทุน จนมีแผนจะ “รวมสายการผลิต” ซึ่งหมายถึง…อาจต้องปิดโรงงานนี้

    แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอเดียใหม่โผล่มา — แทนที่จะปล่อยให้สายการผลิตว่างเปล่า ทำไมไม่ให้ Foxconn (ผู้ผลิต iPhone และเจ้าของแบรนด์ EV อย่าง Foxtron) เข้ามาใช้สายพานนี้ผลิต EV แทน?

    Nikkei รายงานว่าทั้งสองบริษัทกำลังเจรจาจริงจัง → ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น โรงงาน Oppama จะไม่ต้องปิด → งานของพนักงานหลายพันคนอาจปลอดภัย → แถม Nissan ยังได้ใช้เครือข่ายซัพพลายญี่ปุ่นต่อไป

    Nissan เจรจากับ Foxconn เพื่อผลิตรถ EV แบรนด์ Foxconn ในโรงงาน Oppama  
    • เป็นหนึ่งในแนวทาง “กู้ชีพ” โรงงานที่ถูกพิจารณาปิด  
    • สายการผลิตของโรงงานกำลังว่างและรอแผนใหม่

    โรงงาน Oppama มีพนักงานประมาณ 3,900 คน  
    • หากไม่มีดีล อาจเสี่ยงต่อการปลดพนักงานจำนวนมาก

    Foxconn เป็นผู้ผลิต iPhone ที่กำลังรุกธุรกิจ EV ภายใต้ชื่อ Foxtron  
    • กำลังหาโรงงานผลิตภายนอกไต้หวัน–จีน  
    • การเข้ามาใช้ฐานผลิตในญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจ

    แนวคิดนี้อาจช่วยคงซัพพลายเชนท้องถิ่นของญี่ปุ่น  
    • รักษา supplier network ของ Nissan ไว้ได้  
    • สร้างงานให้กับ ecosystem ท้องถิ่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/nissan-considers-foxconn-ev-output-to-save-oppama-from-closure-nikkei-says
    โรงงาน Oppama ของ Nissan ที่เมืองโยโกสุกะ เป็นหนึ่งในสายการผลิตหลักมายาวนาน และมีพนักงานกว่า 3,900 คน แต่ในช่วงหลังบริษัทเริ่มประสบปัญหาในการบริหารต้นทุน จนมีแผนจะ “รวมสายการผลิต” ซึ่งหมายถึง…อาจต้องปิดโรงงานนี้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอเดียใหม่โผล่มา — แทนที่จะปล่อยให้สายการผลิตว่างเปล่า ทำไมไม่ให้ Foxconn (ผู้ผลิต iPhone และเจ้าของแบรนด์ EV อย่าง Foxtron) เข้ามาใช้สายพานนี้ผลิต EV แทน? Nikkei รายงานว่าทั้งสองบริษัทกำลังเจรจาจริงจัง → ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น โรงงาน Oppama จะไม่ต้องปิด → งานของพนักงานหลายพันคนอาจปลอดภัย → แถม Nissan ยังได้ใช้เครือข่ายซัพพลายญี่ปุ่นต่อไป ✅ Nissan เจรจากับ Foxconn เพื่อผลิตรถ EV แบรนด์ Foxconn ในโรงงาน Oppama   • เป็นหนึ่งในแนวทาง “กู้ชีพ” โรงงานที่ถูกพิจารณาปิด   • สายการผลิตของโรงงานกำลังว่างและรอแผนใหม่ ✅ โรงงาน Oppama มีพนักงานประมาณ 3,900 คน   • หากไม่มีดีล อาจเสี่ยงต่อการปลดพนักงานจำนวนมาก ✅ Foxconn เป็นผู้ผลิต iPhone ที่กำลังรุกธุรกิจ EV ภายใต้ชื่อ Foxtron   • กำลังหาโรงงานผลิตภายนอกไต้หวัน–จีน   • การเข้ามาใช้ฐานผลิตในญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจ ✅ แนวคิดนี้อาจช่วยคงซัพพลายเชนท้องถิ่นของญี่ปุ่น   • รักษา supplier network ของ Nissan ไว้ได้   • สร้างงานให้กับ ecosystem ท้องถิ่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/nissan-considers-foxconn-ev-output-to-save-oppama-from-closure-nikkei-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nissan considers Foxconn EV output to save Oppama from closure, Nikkei says
    TOKYO (Reuters) -Nissan Motor is in discussions with Taiwan's Foxconn about a collaboration in electric vehicles that could save its Oppama plant in Japan from closure, the Nikkei business daily reported on Sunday, citing an unidentified Nissan source.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออก

    เดือนนี้ ลูกหลานขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียน การศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจึงมีความสุขสงบ อีกทั้งจะมีคนดีๆไปมาหาสู่ และมีโอกาสโชคดีถูกหวยรวยหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวคิดริเริ่มธุรกิจกิจการใหม่ๆ เพราะมีความคิดสร้างสรรค์ กิจการงานก้าวหน้า ความสำเร็จนานัปการจะไหลหลั่งเข้าอย่างต่อเนื่อง งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว หากรับราชการเป็นข้าราชการ ข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะ ตำแหน่งเกียรติยศ เป็นเพราะดาวแห่งชื่อเสียง ความสำเร็จรุ่งโรจน์ และความรู้จรมาสู่ ส่งผลให้ความคิดอ่าน ประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างดี

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออก เดือนนี้ ลูกหลานขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียน การศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจึงมีความสุขสงบ อีกทั้งจะมีคนดีๆไปมาหาสู่ และมีโอกาสโชคดีถูกหวยรวยหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวคิดริเริ่มธุรกิจกิจการใหม่ๆ เพราะมีความคิดสร้างสรรค์ กิจการงานก้าวหน้า ความสำเร็จนานัปการจะไหลหลั่งเข้าอย่างต่อเนื่อง งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว หากรับราชการเป็นข้าราชการ ข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะ ตำแหน่งเกียรติยศ เป็นเพราะดาวแห่งชื่อเสียง ความสำเร็จรุ่งโรจน์ และความรู้จรมาสู่ ส่งผลให้ความคิดอ่าน ประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างดี ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน

    - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป
    - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ
    - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก
    - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที

    ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน!

    Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030  
    • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s  
    • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที  
    • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที

    ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์  
    • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี  
    • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส

    เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):  
    • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack  
    • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack  
    • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack

    ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):  
    • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน  
    • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน

    สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council  
    • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M

    ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:  
    • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า  
    • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)  
    • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง

    อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm  
    • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte

    https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน! ✅ Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030   • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s   • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที   • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที ✅ ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์   • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี   • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส ✅ เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):   • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack   • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack   • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack ✅ ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):   • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน   • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน ✅ สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council   • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M ✅ ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:   • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า   • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)   • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง ✅ อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm   • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Cerabyte Plans 100 PB Ceramic Nano Memory Storage by 2030
    Cerabyte has unveiled a detailed roadmap for its Ceramic Nano Memory archival storage system, promising a cloud-based platform capable of storing over 100 PB per rack by 2030. The company expects data transfer speeds to climb above 2 GB/s and the time to first byte to fall below 10 seconds, a dramat...
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • Lorde ปล่อยอัลบั้มใหม่ Virgin เมื่อ 27 มิ.ย. 2025 และเพื่อความสวยแบบรักษ์โลก แผ่น CD รุ่นพิเศษ (special edition) ถูกทำเป็น แผ่นใสล้วน ๆ (translucent CD) ที่ทั้งตัวแผ่น, booklet 20 หน้า, และกล่อง jewel case ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100%

    ปัญหาคืออะไร? หลายคนซื้อมาแล้วพบว่า เครื่องเล่น CD มองไม่เห็นแผ่นเลย บางเครื่องขึ้น “No Disc” บางเครื่องไม่แม้แต่จะเริ่มโหลด → เพราะแผ่นใสเกินไป จนเซนเซอร์ optical drive (โดยเฉพาะรุ่นเก่า) ไม่สามารถตรวจจับแผ่นได้ → ไม่มีเวอร์ชันซีดีธรรมดาจำหน่าย มีแค่แผ่นใสเท่านั้น ณ เวลานี้ → ทำให้ตอนนี้คนจำนวนมากต้องหันไปฟังเวอร์ชันดิจิทัล หรือซื้อแผ่นเสียง (vinyl)

    ผู้สื่อข่าว TechSpot ยังเสนอแนวคิดว่า “ถ้าติดสติกเกอร์ทึบบนแผ่น จะช่วยให้เครื่องอ่านเจอไหม” — แม้มันจะทำลายความสวยของแผ่นก็ตาม

    แผ่นพิเศษนี้วางขายเฉพาะในเว็บของ Lorde เท่านั้น และตอนนี้ “หมดเกลี้ยง” แล้ว แต่ยังมีหลุดไปขายมือสองบน eBay ราว $20

    https://www.techspot.com/news/108553-lorde-new-cd-clear-stereo-might-think-invisible.html
    Lorde ปล่อยอัลบั้มใหม่ Virgin เมื่อ 27 มิ.ย. 2025 และเพื่อความสวยแบบรักษ์โลก แผ่น CD รุ่นพิเศษ (special edition) ถูกทำเป็น แผ่นใสล้วน ๆ (translucent CD) ที่ทั้งตัวแผ่น, booklet 20 หน้า, และกล่อง jewel case ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% 📀 ปัญหาคืออะไร? หลายคนซื้อมาแล้วพบว่า เครื่องเล่น CD มองไม่เห็นแผ่นเลย บางเครื่องขึ้น “No Disc” บางเครื่องไม่แม้แต่จะเริ่มโหลด → เพราะแผ่นใสเกินไป จนเซนเซอร์ optical drive (โดยเฉพาะรุ่นเก่า) ไม่สามารถตรวจจับแผ่นได้ → ไม่มีเวอร์ชันซีดีธรรมดาจำหน่าย มีแค่แผ่นใสเท่านั้น ณ เวลานี้ → ทำให้ตอนนี้คนจำนวนมากต้องหันไปฟังเวอร์ชันดิจิทัล หรือซื้อแผ่นเสียง (vinyl) ผู้สื่อข่าว TechSpot ยังเสนอแนวคิดว่า “ถ้าติดสติกเกอร์ทึบบนแผ่น จะช่วยให้เครื่องอ่านเจอไหม” — แม้มันจะทำลายความสวยของแผ่นก็ตาม 😅 แผ่นพิเศษนี้วางขายเฉพาะในเว็บของ Lorde เท่านั้น และตอนนี้ “หมดเกลี้ยง” แล้ว แต่ยังมีหลุดไปขายมือสองบน eBay ราว $20 https://www.techspot.com/news/108553-lorde-new-cd-clear-stereo-might-think-invisible.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Lorde's new CD is so clear, your stereo might think it's invisible
    The clear disc, along with the 20-page full-color booklet and jewel case, are meant to be fully recyclable. Visually, the CD is absolutely stunning and would look...
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • ถ้าเคยรู้สึกว่า “หางานยุ่งยาก, scroll เท่าไรก็ไม่โดน, สมัครก็ไม่ตอบ” — Jobright.ai กำลังจะมาเป็นคู่หูใหม่สำหรับคุณครับ แนวคิดคือ: → AI จะเป็นคนหางานแทนเรา โดยใช้ข้อมูลจากเรซูเม่ + คำตอบเบื้องต้น → แล้วส่งลิงก์งานที่ตรงกับคุณแบบอัปเดตทุกสัปดาห์ (สูงสุด 50 ตำแหน่ง) → ถ้าคุณกดชอบงานไหน AI จะสมัครแทนคุณ รวมถึงเขียนคำตอบสำหรับคำถามสั้น (short-answer) ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที!

    AI จะ “เรียนรู้” ไปเรื่อย ๆ ว่าแนวงานแบบไหนที่คุณสนใจ → เหมือนระบบแนะนำคู่ใน Tinder: กดข้าม–กดสนใจ แล้วมันจะเริ่มรู้ใจคุณขึ้นเรื่อย ๆ → มีระบบแสดง “คะแนนความตรง” (Qualification Score) เป็นเปอร์เซ็นต์ข้างแต่ละงาน (ต้องตรงอย่างน้อย 60% ถึงจะเสนอ)

    นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่บอก “บริษัทไหน–ตำแหน่งไหน” → Jobright.ai ยังให้ข้อมูลเสริม เช่น วัฒนธรรมบริษัท, คะแนนความพึงพอใจพนักงาน, ประวัติเงินทุน ฯลฯ

    ปัจจุบันยังเน้นสายงานด้านเทคโนโลยี–วิศวกรรมเป็นหลัก → แต่เทรนด์นี้กำลังขยายไปเร็ว เพราะบริษัทแม่ของ Indeed และ Glassdoor ก็เตรียมปล่อย AI “Career Scout” ลักษณะเดียวกัน → ส่วน LinkedIn ก็มีเครื่องมือ AI ช่วย draft เรซูเม่–จดหมายสมัครงาน พร้อมระบบค้นหางานแบบพูดคุยกับบ็อตได้แล้วเช่นกัน

    Jobright.ai คือ AI Agent ช่วยค้น–สมัครงานอัตโนมัติ  
    • ผู้ใช้ส่งเรซูเม่ → ระบุประเภทงานที่ต้องการ  
    • AI ค้นหางานตรงตามเกณฑ์ สูงสุด 50 รายการ/สัปดาห์  
    • ส่งข้อมูลบริษัท, วัฒนธรรม, คะแนนพนักงาน, ความน่าทำงาน ฯลฯ  
    • ถ้าผู้ใช้กดยอมรับ AI จะสมัครให้ทันที รวมถึงตอบคำถามสั้นในฟอร์ม

    มีระบบ Qualification Score แสดงระดับความตรงกับงาน (ขั้นต่ำ 60%)  
    • คำนวนจากสกิล–ประสบการณ์ของผู้ใช้  
    • เน้นสายงานเทคโนโลยี, วิศวกรรม

    Jobright.ai ได้รับเงินลงทุนจาก Recruit Holdings (เจ้าของ Indeed & Glassdoor)  
    • ทำให้คาดว่า AI หาคู่งานจะกลายเป็นเทรนด์หลักในแพลตฟอร์มใหญ่เร็ว ๆ นี้

    AI จะเรียนรู้จากพฤติกรรมเรา (กด skip/got interested) เพื่อปรับแนะนำให้แม่นยำขึ้น  
    • เปรียบเทียบกับระบบคู่เดทแบบ Tinder

    มีระบบกำลังทดลองสำหรับฝั่ง HR/Recruiter → แนะนำคนที่ตรงจริง ~20–30 คนเท่านั้น  
    • ลดภาระไม่ต้องอ่าน 500 ใบสมัครแบบเดิม  
    • งานที่โพสต์ผ่านระบบมักมีคนจบงานภายใน 30 วัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/would-you-trust-your-job-search-toa-bot
    ถ้าเคยรู้สึกว่า “หางานยุ่งยาก, scroll เท่าไรก็ไม่โดน, สมัครก็ไม่ตอบ” — Jobright.ai กำลังจะมาเป็นคู่หูใหม่สำหรับคุณครับ แนวคิดคือ: → AI จะเป็นคนหางานแทนเรา โดยใช้ข้อมูลจากเรซูเม่ + คำตอบเบื้องต้น → แล้วส่งลิงก์งานที่ตรงกับคุณแบบอัปเดตทุกสัปดาห์ (สูงสุด 50 ตำแหน่ง) → ถ้าคุณกดชอบงานไหน AI จะสมัครแทนคุณ รวมถึงเขียนคำตอบสำหรับคำถามสั้น (short-answer) ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที! AI จะ “เรียนรู้” ไปเรื่อย ๆ ว่าแนวงานแบบไหนที่คุณสนใจ → เหมือนระบบแนะนำคู่ใน Tinder: กดข้าม–กดสนใจ แล้วมันจะเริ่มรู้ใจคุณขึ้นเรื่อย ๆ → มีระบบแสดง “คะแนนความตรง” (Qualification Score) เป็นเปอร์เซ็นต์ข้างแต่ละงาน (ต้องตรงอย่างน้อย 60% ถึงจะเสนอ) นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่บอก “บริษัทไหน–ตำแหน่งไหน” → Jobright.ai ยังให้ข้อมูลเสริม เช่น วัฒนธรรมบริษัท, คะแนนความพึงพอใจพนักงาน, ประวัติเงินทุน ฯลฯ ปัจจุบันยังเน้นสายงานด้านเทคโนโลยี–วิศวกรรมเป็นหลัก → แต่เทรนด์นี้กำลังขยายไปเร็ว เพราะบริษัทแม่ของ Indeed และ Glassdoor ก็เตรียมปล่อย AI “Career Scout” ลักษณะเดียวกัน → ส่วน LinkedIn ก็มีเครื่องมือ AI ช่วย draft เรซูเม่–จดหมายสมัครงาน พร้อมระบบค้นหางานแบบพูดคุยกับบ็อตได้แล้วเช่นกัน ✅ Jobright.ai คือ AI Agent ช่วยค้น–สมัครงานอัตโนมัติ   • ผู้ใช้ส่งเรซูเม่ → ระบุประเภทงานที่ต้องการ   • AI ค้นหางานตรงตามเกณฑ์ สูงสุด 50 รายการ/สัปดาห์   • ส่งข้อมูลบริษัท, วัฒนธรรม, คะแนนพนักงาน, ความน่าทำงาน ฯลฯ   • ถ้าผู้ใช้กดยอมรับ AI จะสมัครให้ทันที รวมถึงตอบคำถามสั้นในฟอร์ม ✅ มีระบบ Qualification Score แสดงระดับความตรงกับงาน (ขั้นต่ำ 60%)   • คำนวนจากสกิล–ประสบการณ์ของผู้ใช้   • เน้นสายงานเทคโนโลยี, วิศวกรรม ✅ Jobright.ai ได้รับเงินลงทุนจาก Recruit Holdings (เจ้าของ Indeed & Glassdoor)   • ทำให้คาดว่า AI หาคู่งานจะกลายเป็นเทรนด์หลักในแพลตฟอร์มใหญ่เร็ว ๆ นี้ ✅ AI จะเรียนรู้จากพฤติกรรมเรา (กด skip/got interested) เพื่อปรับแนะนำให้แม่นยำขึ้น   • เปรียบเทียบกับระบบคู่เดทแบบ Tinder ✅ มีระบบกำลังทดลองสำหรับฝั่ง HR/Recruiter → แนะนำคนที่ตรงจริง ~20–30 คนเท่านั้น   • ลดภาระไม่ต้องอ่าน 500 ใบสมัครแบบเดิม   • งานที่โพสต์ผ่านระบบมักมีคนจบงานภายใน 30 วัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/would-you-trust-your-job-search-toa-bot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Would you trust your job search to a bot?
    As artificial intelligence creeps into every aspect of the hiring process – from candidate screenings to video interviews – a new AI agent released by the startup Jobright.ai is aiming to make endless scrolling on job sites a thing of the past.
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?”

    Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง

    ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า:
    - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน
    - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก
    - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน
    - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้
    - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ

    Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า  
    • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง  
    • ใช้ผ่าน Meta AI Studio

    Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น

    หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ

    ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up

    ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า

    จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio

    https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?” Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า: - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้ - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ ✅ Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า   • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง   • ใช้ผ่าน Meta AI Studio ✅ Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น ✅ หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ ✅ ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up ✅ ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า ✅ จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Meta's next chatbot might message you first and want to keep talking to you
    Meta is working on "Project Omni"; a new way for AI to engage users by messaging them proactively and keeping conversations with them flowing.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ในงาน Intel AI Summit ที่เกาหลีใต้ Intel เผยของใหม่สองกลุ่มใหญ่:

    1️⃣ Jaguar Shores: คือชื่อรหัสของ AI Accelerator รุ่นต่อไปภายใต้แบรนด์ “Gaudi” ที่จะมาแทน Falcon Shores ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว  → ความพิเศษอยู่ที่มันจะใช้ HBM4 รุ่นล่าสุดจาก SK hynix  → HBM4 มีแบนด์วิดท์มหาศาล เหมาะสำหรับ AI รุ่นใหญ่ เช่น LLM / LRM  → เป็นครั้งแรกที่ Intel ยืนยันว่าจะใช้ HBM4 จริงในผลิตภัณฑ์

    2️⃣ Diamond Rapids: คือ Xeon Gen ถัดไป (สำหรับ data center) ที่จะใช้ MRDIMM รุ่นที่ 2 — เป็นหน่วยความจำ DDR5 ที่เร็วและฉลาด  → เชื่อมต่อแบบ “multiplexed” ทำให้มี latency ต่ำและเร็วกว่า RDIMM  → ความเร็วคาดว่าจะไปถึง 12,800 MT/s (จากเดิม 8,800 MT/s)

    แม้ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องจำนวน stack ของ HBM4 หรือสเปกเต็มของ Jaguar Shores แต่ก็ถือเป็นสัญญาณชัดว่า Intel ไม่ยอมให้นวัตกรรม AI–Server ตกขบวนอีกแล้วครับ

    Jaguar Shores เป็น Gaudi Accelerator รุ่นใหม่ของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026  
    • ใช้ HBM4 จาก SK hynix  
    • มาแทน Falcon Shores ที่ถูกยกเลิก  
    • ออกแบบสำหรับ AI workloads ขนาดใหญ่

    HBM4 คือหน่วยความจำความเร็วสูงแบบใหม่ที่ JEDEC เพิ่งรับรองมาตรฐานในปี 2024  
    • มีแบนด์วิดท์สูงกว่า HBM3E  
    • Micron, SK hynix และ Samsung เริ่มผลิตทดสอบแล้ว  
    • ใช้ในระบบ AI, HPC และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่

    Diamond Rapids จะใช้ MRDIMM เจเนอเรชันที่ 2  
    • มีขนาด 64GB (ใช้ชิป 16GB) และ 128GB (ใช้ชิป 32GB)  
    • Multiplexed Rank DIMM → มี MRCD chip และ MDB chip ในตัว  
    • ลด latency ลงกว่า DDR5-6400 RDIMM ได้มากถึง 40%  
    • รองรับความเร็ว bus สูงสุด 12,800 MT/s

    แนวคิด MRDIMM คือให้ internal DRAM ทำงานที่ความเร็วครึ่งนึงของภายนอก เพื่อลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    Intel ยังไม่เปิดเผยจำนวน stack ของ HBM4 บน Jaguar Shores → อาจกระทบกับ performance vs NVIDIA / AMD หากใช้ stack น้อยเกินไป

    การแข่งขันด้านหน่วยความจำ AI ร้อนแรงมาก — หาก Intel ปรับช้ากว่า Micron/SK hynix/Samsung อาจเสียส่วนแบ่งในตลาด hyperscaler

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/intel-jumps-to-hbm4-with-jaguar-shores-2nd-gen-mrdimms-with-diamond-rapids-sk-hynix
    ในงาน Intel AI Summit ที่เกาหลีใต้ Intel เผยของใหม่สองกลุ่มใหญ่: 1️⃣ Jaguar Shores: คือชื่อรหัสของ AI Accelerator รุ่นต่อไปภายใต้แบรนด์ “Gaudi” ที่จะมาแทน Falcon Shores ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว  → ความพิเศษอยู่ที่มันจะใช้ HBM4 รุ่นล่าสุดจาก SK hynix  → HBM4 มีแบนด์วิดท์มหาศาล เหมาะสำหรับ AI รุ่นใหญ่ เช่น LLM / LRM  → เป็นครั้งแรกที่ Intel ยืนยันว่าจะใช้ HBM4 จริงในผลิตภัณฑ์ 2️⃣ Diamond Rapids: คือ Xeon Gen ถัดไป (สำหรับ data center) ที่จะใช้ MRDIMM รุ่นที่ 2 — เป็นหน่วยความจำ DDR5 ที่เร็วและฉลาด  → เชื่อมต่อแบบ “multiplexed” ทำให้มี latency ต่ำและเร็วกว่า RDIMM  → ความเร็วคาดว่าจะไปถึง 12,800 MT/s (จากเดิม 8,800 MT/s) แม้ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องจำนวน stack ของ HBM4 หรือสเปกเต็มของ Jaguar Shores แต่ก็ถือเป็นสัญญาณชัดว่า Intel ไม่ยอมให้นวัตกรรม AI–Server ตกขบวนอีกแล้วครับ ✅ Jaguar Shores เป็น Gaudi Accelerator รุ่นใหม่ของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026   • ใช้ HBM4 จาก SK hynix   • มาแทน Falcon Shores ที่ถูกยกเลิก   • ออกแบบสำหรับ AI workloads ขนาดใหญ่ ✅ HBM4 คือหน่วยความจำความเร็วสูงแบบใหม่ที่ JEDEC เพิ่งรับรองมาตรฐานในปี 2024   • มีแบนด์วิดท์สูงกว่า HBM3E   • Micron, SK hynix และ Samsung เริ่มผลิตทดสอบแล้ว   • ใช้ในระบบ AI, HPC และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ✅ Diamond Rapids จะใช้ MRDIMM เจเนอเรชันที่ 2   • มีขนาด 64GB (ใช้ชิป 16GB) และ 128GB (ใช้ชิป 32GB)   • Multiplexed Rank DIMM → มี MRCD chip และ MDB chip ในตัว   • ลด latency ลงกว่า DDR5-6400 RDIMM ได้มากถึง 40%   • รองรับความเร็ว bus สูงสุด 12,800 MT/s ✅ แนวคิด MRDIMM คือให้ internal DRAM ทำงานที่ความเร็วครึ่งนึงของภายนอก เพื่อลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ Intel ยังไม่เปิดเผยจำนวน stack ของ HBM4 บน Jaguar Shores → อาจกระทบกับ performance vs NVIDIA / AMD หากใช้ stack น้อยเกินไป ‼️ การแข่งขันด้านหน่วยความจำ AI ร้อนแรงมาก — หาก Intel ปรับช้ากว่า Micron/SK hynix/Samsung อาจเสียส่วนแบ่งในตลาด hyperscaler https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/intel-jumps-to-hbm4-with-jaguar-shores-2nd-gen-mrdimms-with-diamond-rapids-sk-hynix
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน

    โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล

    เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน

    “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9

    พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง

    การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน

    นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

    พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน

    นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง

    นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช”

    ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก

    สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน

    นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025

    ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช” ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    0 Comments 0 Shares 364 Views 0 Reviews
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนกรกฎาคม 2568

    ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 เดือนกรกฎาคม ไปจนถึง วันพุธที่ 6 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 เป็นเดือนมะแมน้ำ 癸未 (กุ้ยบี่) ธาตุไม้ มีกระแสพลังดาวหกขาว六白 (หลักแป๊ะ) ธาตุทอง ดาวแห่งตำแหน่ง หน้าที่ ผู้นำ ขุนนาง ข้าราชการ ได้รับการส่งเสริมเพิ่มพลังจากกระแสพลังดาวสองดำ 二黑 (หยี่เฮก) ธาตุดิน ที่ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳 (อิกจี๋) ธาตุไฟ

    ส่งผลให้ปัญหาที่ถูกดองเก็บและหมกเม็ดซุกอยู่ใต้พรมหมักหมมเหม็นเน่า มานานจะถูกสะสางชำระล้างตามระบอบกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง เพราะกรรมใดใครก่อย่อมได้รับผลแห่งกรรมตามนั้น จะนำกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมายศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นธรรมย่อมมิได้ สังคมจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกไม่นอกลู่แตกแถวด้วยนิติรัฐฉบับเดียวกัน ส่วนเรื่องของเศรษฐกิจย่อมผูกติดกับการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย รู้จักประมาณตน ใช้จ่ายอย่างเพียงพอ ตามพระราชดำรัสแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แม้แต่การขับขี่ยวดยานต้องไม่ประมาทคงสติระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยจะได้พ้นจากการความสูญเสียไม่ว่าทรัพย์สิน ร่างกาย และจิตใจ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 เดือนกรกฎาคม ไปจนถึง วันพุธที่ 6 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 เป็นเดือนมะแมน้ำ 癸未 (กุ้ยบี่) ธาตุไม้ มีกระแสพลังดาวหกขาว六白 (หลักแป๊ะ) ธาตุทอง ดาวแห่งตำแหน่ง หน้าที่ ผู้นำ ขุนนาง ข้าราชการ ได้รับการส่งเสริมเพิ่มพลังจากกระแสพลังดาวสองดำ 二黑 (หยี่เฮก) ธาตุดิน ที่ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳 (อิกจี๋) ธาตุไฟ ส่งผลให้ปัญหาที่ถูกดองเก็บและหมกเม็ดซุกอยู่ใต้พรมหมักหมมเหม็นเน่า มานานจะถูกสะสางชำระล้างตามระบอบกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง เพราะกรรมใดใครก่อย่อมได้รับผลแห่งกรรมตามนั้น จะนำกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมายศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นธรรมย่อมมิได้ สังคมจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกไม่นอกลู่แตกแถวด้วยนิติรัฐฉบับเดียวกัน ส่วนเรื่องของเศรษฐกิจย่อมผูกติดกับการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย รู้จักประมาณตน ใช้จ่ายอย่างเพียงพอ ตามพระราชดำรัสแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แม้แต่การขับขี่ยวดยานต้องไม่ประมาทคงสติระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยจะได้พ้นจากการความสูญเสียไม่ว่าทรัพย์สิน ร่างกาย และจิตใจ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูสายเดสก์ท็อปตัวใหม่ที่ชื่อว่า Nova Lake-S ซึ่งถ้าดูจากสไลด์ที่หลุดออกมา ตัวท็อปอย่าง Core Ultra 9 จะทำได้ดีทั้งงานเบา (single-threaded) และงานหนัก (multi-threaded) โดยเฉพาะงานหนักที่ทะลุ +60% จากรุ่น Arrow Lake-S เลยทีเดียว

    อะไรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้?
    - แกนประมวลผลมากขึ้น: รุ่นท็อปน่าจะมี 52 คอร์/เธรด!
    - โครงสร้างใหม่: ใช้คอร์ “Coyote Cove” สำหรับงานหลัก (P-core) + “Arctic Wolf” สำหรับงานเบา (E-core)
    - เพิ่มคอร์แบบ ultra-low power (LP-E) ที่เคยใช้ใน Meteor Lake เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย
    - รองรับ RAM DDR5-8000 และ PCIe 5.0 เต็มเหนี่ยว
    - และที่สำคัญ...มี L4 cache หรือ “bLLC” ที่อาจคล้ายแนวคิด 3D V-cache ของ AMD ด้วย!

    แม้ยังไม่มีตัวเลข benchmark ทางการ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นจริง Nova Lake อาจเปลี่ยนสมดุลตลาดซีพียูได้อีกครั้ง โดยเฉพาะกับงานเล่นเกมและ workstation ที่ต้องการ core เยอะและ cache หนา

    https://www.neowin.net/news/intel-nova-lake-alleged-performance-shows-massive-improvement-could-answer-amd-3d-v-cache/
    Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูสายเดสก์ท็อปตัวใหม่ที่ชื่อว่า Nova Lake-S ซึ่งถ้าดูจากสไลด์ที่หลุดออกมา ตัวท็อปอย่าง Core Ultra 9 จะทำได้ดีทั้งงานเบา (single-threaded) และงานหนัก (multi-threaded) โดยเฉพาะงานหนักที่ทะลุ +60% จากรุ่น Arrow Lake-S เลยทีเดียว อะไรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้? - แกนประมวลผลมากขึ้น: รุ่นท็อปน่าจะมี 52 คอร์/เธรด! - โครงสร้างใหม่: ใช้คอร์ “Coyote Cove” สำหรับงานหลัก (P-core) + “Arctic Wolf” สำหรับงานเบา (E-core) - เพิ่มคอร์แบบ ultra-low power (LP-E) ที่เคยใช้ใน Meteor Lake เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย - รองรับ RAM DDR5-8000 และ PCIe 5.0 เต็มเหนี่ยว - และที่สำคัญ...มี L4 cache หรือ “bLLC” ที่อาจคล้ายแนวคิด 3D V-cache ของ AMD ด้วย! แม้ยังไม่มีตัวเลข benchmark ทางการ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นจริง Nova Lake อาจเปลี่ยนสมดุลตลาดซีพียูได้อีกครั้ง โดยเฉพาะกับงานเล่นเกมและ workstation ที่ต้องการ core เยอะและ cache หนา https://www.neowin.net/news/intel-nova-lake-alleged-performance-shows-massive-improvement-could-answer-amd-3d-v-cache/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel Nova Lake alleged performance shows massive improvement, could answer AMD 3D V-cache
    Intel's official performance claims have allegedly leaked. Apparently, there could be a massive improvement thanks to more cores and a new 3D cache, similar to AMD's.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป

    แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน:

    1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender

    2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร

    3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด

    นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve)

    Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows  
    • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender  
    • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด

    เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode  
    • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม  
    • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย

    Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”  
    • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย

    Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:  
    • Quick Machine Recovery  
    • Crash screen ที่เรียบง่าย  
    • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth  
    • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย  
    • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน: 1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender 2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร 3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve) ✅ Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows   • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender   • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด ✅ เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode   • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม   • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย ✅ Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”   • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย ✅ Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:   • Quick Machine Recovery   • Crash screen ที่เรียบง่าย   • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth   • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย   • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้ https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • ปกติ SSD ที่ใช้ NAND แบบ QLC มักจะราคาถูกและความจุเยอะ แต่มีปัญหาเรื่อง “เขียนข้อมูลช้า” และความทนทานต่ำกว่า TLC หรือ MLC แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเมื่อ SLC cache หมด

    Micron เลยเสนอทางออกใหม่ในรุ่น 2600 — ด้วยแนวคิดที่ว่า "ไม่ต้องใช้ SLC cache อย่างเดียว...แต่เปลี่ยนพื้นที่ NAND ไป-มาเป็น SLC → TLC → QLC ตามสถานการณ์"

    โดยเทคนิค Adaptive Write Technology จะทำแบบนี้:
    - เริ่มเขียนข้อมูลใหม่ใน SLC mode (เร็วที่สุด)
    - เมื่อ SLC cache เต็ม → เปลี่ยนเป็น TLC mode ชั่วคราว
    - เมื่อ TLC เต็ม → เก็บข้อมูลไว้ใน QLC mode ขณะ idle แล้วคืนพื้นที่ SLC/TLC มารอใช้งานใหม่

    ผลคือ SSD สามารถวิ่งเร็วได้ ต่อเนื่องแม้ไม่มี DRAM แถมลด latency ได้ระดับ 12–50 ไมโครวินาทีเท่านั้น — ถือว่าเร็วมากสำหรับ QLC ครับ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-2600-qlc-ssd-uses-flexible-caching-to-offer-tlc-like-performance-7-200-mb-s-reads-and-6-500-mb-s-writes-push-the-limits-of-pcie-4-0
    ปกติ SSD ที่ใช้ NAND แบบ QLC มักจะราคาถูกและความจุเยอะ แต่มีปัญหาเรื่อง “เขียนข้อมูลช้า” และความทนทานต่ำกว่า TLC หรือ MLC แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเมื่อ SLC cache หมด Micron เลยเสนอทางออกใหม่ในรุ่น 2600 — ด้วยแนวคิดที่ว่า "ไม่ต้องใช้ SLC cache อย่างเดียว...แต่เปลี่ยนพื้นที่ NAND ไป-มาเป็น SLC → TLC → QLC ตามสถานการณ์" โดยเทคนิค Adaptive Write Technology จะทำแบบนี้: - เริ่มเขียนข้อมูลใหม่ใน SLC mode (เร็วที่สุด) - เมื่อ SLC cache เต็ม → เปลี่ยนเป็น TLC mode ชั่วคราว - เมื่อ TLC เต็ม → เก็บข้อมูลไว้ใน QLC mode ขณะ idle แล้วคืนพื้นที่ SLC/TLC มารอใช้งานใหม่ ผลคือ SSD สามารถวิ่งเร็วได้ ต่อเนื่องแม้ไม่มี DRAM แถมลด latency ได้ระดับ 12–50 ไมโครวินาทีเท่านั้น — ถือว่าเร็วมากสำหรับ QLC ครับ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-2600-qlc-ssd-uses-flexible-caching-to-offer-tlc-like-performance-7-200-mb-s-reads-and-6-500-mb-s-writes-push-the-limits-of-pcie-4-0
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ปัญหาหนึ่งของเกมยุคนี้คือกราฟิกมันสวยมากจน “VRAM ไม่พอ” โดยเฉพาะกับ GPU กลาง ๆ ที่มีแค่ 8–12GB — เกมใหม่บางเกมอาจกินไปเกือบ 20–24GB เลย

    AMD เลยเสนอไอเดียใหม่: แทนที่จะโหลดโมเดลสามมิติอย่างต้นไม้ทั้งหมดใส่ในหน่วยความจำ…ทำไมไม่ให้ GPU “สร้าง” มันสด ๆ ด้วยอัลกอริธึมไปเลย?

    พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่า work graphs ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ใน DirectX 12 Ultimate เพื่อให้ GPU สร้างป่าเต็มฉากขึ้นมาแบบ procedural ได้ในขณะรันจริง! เดโมนี้รันบน Radeon RX 7900 XTX แบบลื่น ๆ ที่ 1080p โดยใช้แค่ 51KB VRAM แทน 34.8GB — ต่างกันระดับ “เรือบรรทุกกับเรือกระป๋อง” เลยทีเดียว

    ไม่ใช่แค่เบา — ต้นไม้ยังดูดี มีใบไหวตามลม เปลี่ยนตามฤดูกาล และจัดการ LOD แบบไม่มี pop-in ให้เสียอารมณ์ด้วย

    AMD พัฒนาเทคนิคใช้ work graphs (mesh nodes) เพื่อให้ GPU สร้างต้นไม้/พืชพรรณแบบ procedural ในขณะเล่นเกม  
    • ลด VRAM ที่ต้องใช้จาก 34.8GB เหลือแค่ 51KB ได้จริง  
    • ไม่มีการเก็บโมเดลไว้ในวิดีโอเมโมรีหรือระบบไฟล์เลย

    เดโมรันบน Radeon RX 7900 XTX ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหล  
    • แม้จะเกินขนาด VRAM สูงสุดของการ์ด (24GB) ไปมาก แต่ไม่สะดุดเพราะประมวลผลสด

    ต้นไม้ในฉากสามารถเปลี่ยนฤดูกาล เคลื่อนไหวตามลม และจัดการ LOD โดยไม่เกิดอาการกระตุกหรือ pop-in

    เทคนิคนี้คล้ายแนวคิด “Neural Texture Compression” ของ Nvidia  
    • Nvidia ใช้ AI สร้าง texture แบบสดใน GPU เพื่อลดขนาด texture file 90–95%  
    • ต่างกันตรงที่ AMD สร้าง geometry (3D) ส่วน Nvidia สร้างภาพผิวสัมผัส (texture)

    หากถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย จะช่วยลดต้นทุน VRAM และเปิดทางให้ GPU ระดับกลางเล่นเกมคุณภาพสูงได้มากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108461-amd-demo-shows-procedural-generation-cutting-vram-usage.html
    ปัญหาหนึ่งของเกมยุคนี้คือกราฟิกมันสวยมากจน “VRAM ไม่พอ” โดยเฉพาะกับ GPU กลาง ๆ ที่มีแค่ 8–12GB — เกมใหม่บางเกมอาจกินไปเกือบ 20–24GB เลย AMD เลยเสนอไอเดียใหม่: แทนที่จะโหลดโมเดลสามมิติอย่างต้นไม้ทั้งหมดใส่ในหน่วยความจำ…ทำไมไม่ให้ GPU “สร้าง” มันสด ๆ ด้วยอัลกอริธึมไปเลย? พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่า work graphs ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ใน DirectX 12 Ultimate เพื่อให้ GPU สร้างป่าเต็มฉากขึ้นมาแบบ procedural ได้ในขณะรันจริง! เดโมนี้รันบน Radeon RX 7900 XTX แบบลื่น ๆ ที่ 1080p โดยใช้แค่ 51KB VRAM แทน 34.8GB — ต่างกันระดับ “เรือบรรทุกกับเรือกระป๋อง” เลยทีเดียว ไม่ใช่แค่เบา — ต้นไม้ยังดูดี มีใบไหวตามลม เปลี่ยนตามฤดูกาล และจัดการ LOD แบบไม่มี pop-in ให้เสียอารมณ์ด้วย ✅ AMD พัฒนาเทคนิคใช้ work graphs (mesh nodes) เพื่อให้ GPU สร้างต้นไม้/พืชพรรณแบบ procedural ในขณะเล่นเกม   • ลด VRAM ที่ต้องใช้จาก 34.8GB เหลือแค่ 51KB ได้จริง   • ไม่มีการเก็บโมเดลไว้ในวิดีโอเมโมรีหรือระบบไฟล์เลย ✅ เดโมรันบน Radeon RX 7900 XTX ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหล   • แม้จะเกินขนาด VRAM สูงสุดของการ์ด (24GB) ไปมาก แต่ไม่สะดุดเพราะประมวลผลสด ✅ ต้นไม้ในฉากสามารถเปลี่ยนฤดูกาล เคลื่อนไหวตามลม และจัดการ LOD โดยไม่เกิดอาการกระตุกหรือ pop-in ✅ เทคนิคนี้คล้ายแนวคิด “Neural Texture Compression” ของ Nvidia   • Nvidia ใช้ AI สร้าง texture แบบสดใน GPU เพื่อลดขนาด texture file 90–95%   • ต่างกันตรงที่ AMD สร้าง geometry (3D) ส่วน Nvidia สร้างภาพผิวสัมผัส (texture) ✅ หากถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย จะช่วยลดต้นทุน VRAM และเปิดทางให้ GPU ระดับกลางเล่นเกมคุณภาพสูงได้มากขึ้น https://www.techspot.com/news/108461-amd-demo-shows-procedural-generation-cutting-vram-usage.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD demo shows procedural generation slashing VRAM use from 35 GB to just 51 KB
    A new research paper from AMD explains how procedurally generating certain 3D objects in real-time-rendered scenes, like trees and other vegetation, can reduce VRAM usage by orders...
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in

    แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น:
    - ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้)
    - นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์
    - ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์

    องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน

    บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า

    อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย

    หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย  
    • จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure

    “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน  
    • วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น  
    • การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก

    ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก  
    • มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย  
    • เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก

    บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน  
    • เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI

    คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก  
    • ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น  
    • แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ

    เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์  
    • ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security

    แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool  
    • ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party

    https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
    เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น: - ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้) - นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์ - ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์ องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย ✅ หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย   • จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure ✅ “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน   • วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น   • การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก ✅ ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก   • มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย   • เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก ✅ บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน   • เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI ✅ คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก   • ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น   • แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ ✅ เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์   • ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security ✅ แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool   • ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to make your multicloud security more effective
    From containing costs to knowing what to keep in-house or not here is how to sesurely manage your multicloud environment.
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
More Results