• Perplexity บริษัท AI เสนอแผนเข้าซื้อ TikTok ในสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยจะสร้างอัลกอริทึมใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ Community Notes และเปิดระบบแนะนำเนื้อหาให้เป็นโอเพ่นซอร์ส รวมถึงยกระดับโครงสร้าง AI ด้วยเทคโนโลยี NVIDIA เพื่อทำให้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่น่าไว้วางใจที่สุด แม้ความท้าทายด้านเงินทุนและการแข่งขันในตลาดยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนโฉมการใช้งาน TikTok ในอนาคต

    การปรับเปลี่ยนและฟีเจอร์ใหม่:
    - การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รวมถึงการนำระบบ Community Notes ซึ่งช่วยเพิ่มบริบทและข้อเท็จจริงใต้โพสต์ โดยแนวคิดนี้ได้รับความนิยมในแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X (เดิมคือ Twitter) และกำลังจะถูกนำมาใช้ใน Facebook และ Instagram.
    - การเปิดอัลกอริทึม "For You" ให้เป็นโอเพ่นซอร์ส ซึ่ง Perplexity ระบุว่าจะช่วยสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม.

    การพัฒนาเทคโนโลยี AI ใหม่:
    - Perplexity เสนอการปรับโครงสร้าง AI Infrastructure ของ TikTok ด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Dynamo เพื่อยกระดับการค้นหาและความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ใช้งานที่เชื่อมบัญชีกับ Perplexity.

    การลดความเสี่ยงจากการควบคุมตลาด:
    - Perplexity ชี้ให้เห็นถึงความกังวลว่าหาก TikTok ถูกซื้อโดยกลุ่มนักลงทุนหรือคู่แข่งรายอื่น อาจทำให้ ByteDance ยังคงมีอิทธิพลต่ออัลกอริทึม หรือเกิดการผูกขาดในตลาดวิดีโอแบบสั้น.

    สถานการณ์ปัจจุบันและการเมือง:
    - TikTok มีเส้นตายถึงวันที่ 5 เมษายน 2025 ในการหาผู้ซื้อในสหรัฐฯ ตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแบน.

    https://www.techspot.com/news/107261-perplexity-wants-buy-tiktok-vows-rebuild-algorithm-add.html
    Perplexity บริษัท AI เสนอแผนเข้าซื้อ TikTok ในสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยจะสร้างอัลกอริทึมใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ Community Notes และเปิดระบบแนะนำเนื้อหาให้เป็นโอเพ่นซอร์ส รวมถึงยกระดับโครงสร้าง AI ด้วยเทคโนโลยี NVIDIA เพื่อทำให้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่น่าไว้วางใจที่สุด แม้ความท้าทายด้านเงินทุนและการแข่งขันในตลาดยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนโฉมการใช้งาน TikTok ในอนาคต การปรับเปลี่ยนและฟีเจอร์ใหม่: - การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รวมถึงการนำระบบ Community Notes ซึ่งช่วยเพิ่มบริบทและข้อเท็จจริงใต้โพสต์ โดยแนวคิดนี้ได้รับความนิยมในแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X (เดิมคือ Twitter) และกำลังจะถูกนำมาใช้ใน Facebook และ Instagram. - การเปิดอัลกอริทึม "For You" ให้เป็นโอเพ่นซอร์ส ซึ่ง Perplexity ระบุว่าจะช่วยสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม. การพัฒนาเทคโนโลยี AI ใหม่: - Perplexity เสนอการปรับโครงสร้าง AI Infrastructure ของ TikTok ด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Dynamo เพื่อยกระดับการค้นหาและความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ใช้งานที่เชื่อมบัญชีกับ Perplexity. การลดความเสี่ยงจากการควบคุมตลาด: - Perplexity ชี้ให้เห็นถึงความกังวลว่าหาก TikTok ถูกซื้อโดยกลุ่มนักลงทุนหรือคู่แข่งรายอื่น อาจทำให้ ByteDance ยังคงมีอิทธิพลต่ออัลกอริทึม หรือเกิดการผูกขาดในตลาดวิดีโอแบบสั้น. สถานการณ์ปัจจุบันและการเมือง: - TikTok มีเส้นตายถึงวันที่ 5 เมษายน 2025 ในการหาผู้ซื้อในสหรัฐฯ ตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแบน. https://www.techspot.com/news/107261-perplexity-wants-buy-tiktok-vows-rebuild-algorithm-add.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Perplexity still wants to buy TikTok, vows to rebuild algorithm and add community notes
    Perplexity first proposed a merger with TikTok's US operations in January. The plan would see the US government hold 50% ownership of the company but have no...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

    การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา:
    - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน.

    ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI:
    - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ.

    การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม:
    - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง.

    เป้าหมายของ Gloo:
    - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา: - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน. ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI: - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ. การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม: - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง. เป้าหมายของ Gloo: - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vibe Coding เป็นแนวคิดใหม่ในวงการพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดให้นักพัฒนามีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้น นักพัฒนามืออาชีพต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงของวิธีนี้ หลายคนเชื่อว่า AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการพัฒนาโค้ดได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ AI ทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพของโค้ด ซึ่งแนวคิดนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และการศึกษา

    ประโยชน์ของ Vibe Coding:
    - ผู้พัฒนาบางรายรายงานว่า AI สามารถช่วยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้รวดเร็ว เช่น การสร้างต้นแบบฟังก์ชันภายใน 20 นาที โดยลดเวลาที่ใช้ในการพัฒนาไปอย่างมาก.
    - Vibe Coding ทำให้นักพัฒนาสามารถมุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และซับซ้อนมากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาทำงานที่ซ้ำซ้อน.

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง:
    - นักพัฒนามือใหม่หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด อาจสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา.
    - การใช้ AI สร้างโค้ดโดยไม่มีมนุษย์ตรวจสอบอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด เช่น การใช้งานข้อมูลส่วนตัวผิดวิธี.

    ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการศึกษาและการเรียนรู้:
    - AI ไม่เพียงช่วยในด้านการพัฒนาโค้ดเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ เช่น การทำให้การเรียนการสอนมีความสร้างสรรค์และลดความกดดันจากการท่องจำ.

    https://www.zdnet.com/article/10-professional-developers-on-the-true-promise-and-peril-of-vibe-coding/
    Vibe Coding เป็นแนวคิดใหม่ในวงการพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดให้นักพัฒนามีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้น นักพัฒนามืออาชีพต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงของวิธีนี้ หลายคนเชื่อว่า AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการพัฒนาโค้ดได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ AI ทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพของโค้ด ซึ่งแนวคิดนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และการศึกษา ประโยชน์ของ Vibe Coding: - ผู้พัฒนาบางรายรายงานว่า AI สามารถช่วยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้รวดเร็ว เช่น การสร้างต้นแบบฟังก์ชันภายใน 20 นาที โดยลดเวลาที่ใช้ในการพัฒนาไปอย่างมาก. - Vibe Coding ทำให้นักพัฒนาสามารถมุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และซับซ้อนมากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาทำงานที่ซ้ำซ้อน. ข้อจำกัดและความเสี่ยง: - นักพัฒนามือใหม่หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด อาจสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา. - การใช้ AI สร้างโค้ดโดยไม่มีมนุษย์ตรวจสอบอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด เช่น การใช้งานข้อมูลส่วนตัวผิดวิธี. ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการศึกษาและการเรียนรู้: - AI ไม่เพียงช่วยในด้านการพัฒนาโค้ดเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ เช่น การทำให้การเรียนการสอนมีความสร้างสรรค์และลดความกดดันจากการท่องจำ. https://www.zdnet.com/article/10-professional-developers-on-the-true-promise-and-peril-of-vibe-coding/
    WWW.ZDNET.COM
    10 professional developers on the true promise and peril of vibe coding
    Is vibe coding the future of software or a security nightmare in disguise? Here's how experienced developers are responding to the latest AI-fueled coding craze.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวคิด Reverse Movement คือ คำตอบที่ดีกว่าการผ่าตัดเข่า
    แนวคิด Reverse Movement คือ คำตอบที่ดีกว่าการผ่าตัดเข่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • TDRI เตือนรัฐหยุดแจกเงินดิจิทัล หลังไปไม่ช่วยกระตุ้น ศก. แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน

    (21 มี.ค. 68) ดร.สมชัย จิตสุชน เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลในเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ขณะที่เฟส 3 หนุนทบทวนเงื่อนไขเปิดทางใช้เงินหมื่นซื้อคอร์สอัปสกิล-รีสกิลได้ หวังพัฒนาทักษะคน เตือน รัฐบาลรับมือเศรษฐกิจซบเซา จากปัจจัยภายนอก-ในประเทศ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้า – หนี้ครัวเรือนสูง ห่วงภาระการคลัง ทำเรตติงประเทศตก

    ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปีว่า มีการคาดการณ์กันว่าในเฟสที่ 3 นี้อาจได้ผลบ้าง เพราะกลุ่มคนที่แจกยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ที่ไม่มากนัก เมื่อได้เงินมาอาจจะใช้เร็ว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะได้ผลมากกว่าเฟส 1 ที่มอบให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตามหากอยากให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริง ๆ รัฐบาลควรละทิ้งแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น และไม่ควรเปิดทางให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออะไรก็ได้ แต่ควรกำหนดให้ใช้ไปกับการหาความรู้ อัปสกิล รีสกิล ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนพอดี เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังจะเข้าสู่กำลังแรงงานซึ่งอาจจะนำเงินจำนวนนี้ไปเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งแม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้นมากนัก แต่ผลในระยะยาวจะดีกว่ากันมากเพราะเป็นการดึงศักยภาพของคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์

    สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับสิทธิทั้งหมดนั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า เป็นการทำให้ตรงกับที่หาเสียงไว้ แต่เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินโครงการทั้งเฟส 1- 2 รวมทั้งเฟส 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีจริงอย่างที่หาเสียงไว้ จึงควรทบทวน

    “ตอนที่หาเสียงไว้ และตอนที่เป็นรัฐบาลใหม่ ๆ บอกว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู บางคนบอกจะทำให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่มีคนเชื่อ และวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ในเมื่อมันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ไม่ควรจะเดินหน้าต่อ เรามองว่าเงินนี้นำไปทําอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้มากกว่าเยอะ” ดร.สมชัยระบุ

    เตือนหยุดสุรุ่ยสุร่ายแจกเงินหมื่น แนะใช้งบพัฒนาดิจิทัล อินเทอร์เน็ตฟรี ดึงศักยภาพคน หนุนเศรษฐกิจ ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากงบประมาณหลายแสนล้านที่ต้องเสียไปจากการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสูญเสียที่มากกว่าตัวเงินเสียอีก เพราะอย่าลืมว่าวันนี้ภาคการคลังของไทยอ่อนแอมาก ประเทศไทยมีเงินน้อยลง ประชาชนก็มีเงินน้อยลง เพราะฉะนั้นนำเงินงบประมาณไปใช้ต้องคิดอย่างระมัดระวัง ถ้านำไปใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้ จนทำให้เรื่องที่สมควรใช้จะถูกตัดทิ้งไปก็น่าเสียดาย เช่น เรื่องการพัฒนาทักษะของคน การปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งระบบสวัสดิการสังคมของไทยก็ยังมีปัญหาในบางจุด และเรื่องของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งกันดีขึ้น ทั้งหมดนี้จําเป็นต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลในการเดินหน้า แต่อาจถูกชะลอออกไปเพราะเอาเงินมาใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้แบบนี้ ดังนั้นไม่สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าเงินดิจิทัลในเฟสต่อไปอีก

    “รัฐบาลควรนำงบประมาณไปลงทุนในเรื่องของดิจิทัล ทําอินเทอร์เน็ตฟรี ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยได้มาก ในเรื่องของผลิตภาพของประชาชน เพราะเกิดการพัฒนาตัวเองและสร้างรายได้ ผมเชื่อว่ามีอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ของประเทศอยู่มาก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้รับโอกาส รัฐบาลก็ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่เขามีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าทํา แต่คงไม่ได้ทํา ถ้าเกิดว่าต้องมาจ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” ดร.สมชัยระบุ

    สงครามการค้าจะทำเศรษฐกิจไทยซบเซา ห่วงภาคการคลังมีปัญหา หนี้รัฐ-ครัวเรือนสูงชนเพดาน ดร.สมชัย ในฐานะอดีตกนง.ยังมีข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า ต้องพยายามแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น อย่าเน้นระยะสั้น เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต กาสิโน พนันออนไลน์ แต่ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มมาตรการระยะยาวมากขึ้น และจะต้องเตรียมรับมือกับความยากลําบากที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่คาดว่าจะมาแบบเต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับยุคทรัมป์ 1.0 ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายปีที่ผ่านมาถูกมองว่าดีเกินไปจนน่าจะมาถึงอาจจะซบเซาลงตามวัฏจักร รวมทั้งเรื่องของสงครามยูเครนในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อไทยในฐานประเทศที่พึ่งพาการส่งออก และท่องเที่ยวมาก ขณะที่ในประเทศเองหนี้ครัวเรือนสูง ความสามารถในการผลิตไม่ได้ดีมากนัก เพราะฉะนั้นจะมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในเข้ามาพร้อมกัน

    “เศรษฐกิจคงซบเซาต่อไป และมองไป 4 ปีถัดไป ภาพก็จะคล้ายกันถ้าไม่ได้มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว และถ้ามีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังแบบนี้ ภาคการคลังจะมีปัญหา หนี้สาธารณะก็คงจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีภายในไม่กี่ปีนี้ ในขณะที่ภาระการจ่ายหนี้ของรัฐบาล ทั้งดอกเบี้ย และเงินต้น ก็มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปใกล้ ๆ ชน 15 เปอร์เซ็นต์ที่กําหนดในกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะทําให้เรตติ้งของภาครัฐไทยแย่ลงในสายตาของบริษัทประเมินเรตติง ซึ่งเป็นผลเสียระยะยาว เพราะว่าหมายถึง ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล และจะลามไปถึงภาคเอกชนอาจจะสูงขึ้น ซึ่งก็จะซ้ำเติมเรื่องของเศรษฐกิจเข้าไปอีก” ดร.สมชัยกล่าว

    Cr. #TheStatesTimes
    TDRI เตือนรัฐหยุดแจกเงินดิจิทัล หลังไปไม่ช่วยกระตุ้น ศก. แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน (21 มี.ค. 68) ดร.สมชัย จิตสุชน เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลในเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ขณะที่เฟส 3 หนุนทบทวนเงื่อนไขเปิดทางใช้เงินหมื่นซื้อคอร์สอัปสกิล-รีสกิลได้ หวังพัฒนาทักษะคน เตือน รัฐบาลรับมือเศรษฐกิจซบเซา จากปัจจัยภายนอก-ในประเทศ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้า – หนี้ครัวเรือนสูง ห่วงภาระการคลัง ทำเรตติงประเทศตก ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปีว่า มีการคาดการณ์กันว่าในเฟสที่ 3 นี้อาจได้ผลบ้าง เพราะกลุ่มคนที่แจกยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ที่ไม่มากนัก เมื่อได้เงินมาอาจจะใช้เร็ว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะได้ผลมากกว่าเฟส 1 ที่มอบให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตามหากอยากให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริง ๆ รัฐบาลควรละทิ้งแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น และไม่ควรเปิดทางให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออะไรก็ได้ แต่ควรกำหนดให้ใช้ไปกับการหาความรู้ อัปสกิล รีสกิล ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนพอดี เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังจะเข้าสู่กำลังแรงงานซึ่งอาจจะนำเงินจำนวนนี้ไปเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งแม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้นมากนัก แต่ผลในระยะยาวจะดีกว่ากันมากเพราะเป็นการดึงศักยภาพของคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์ สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับสิทธิทั้งหมดนั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า เป็นการทำให้ตรงกับที่หาเสียงไว้ แต่เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินโครงการทั้งเฟส 1- 2 รวมทั้งเฟส 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีจริงอย่างที่หาเสียงไว้ จึงควรทบทวน “ตอนที่หาเสียงไว้ และตอนที่เป็นรัฐบาลใหม่ ๆ บอกว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู บางคนบอกจะทำให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่มีคนเชื่อ และวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ในเมื่อมันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ไม่ควรจะเดินหน้าต่อ เรามองว่าเงินนี้นำไปทําอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้มากกว่าเยอะ” ดร.สมชัยระบุ เตือนหยุดสุรุ่ยสุร่ายแจกเงินหมื่น แนะใช้งบพัฒนาดิจิทัล อินเทอร์เน็ตฟรี ดึงศักยภาพคน หนุนเศรษฐกิจ ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากงบประมาณหลายแสนล้านที่ต้องเสียไปจากการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสูญเสียที่มากกว่าตัวเงินเสียอีก เพราะอย่าลืมว่าวันนี้ภาคการคลังของไทยอ่อนแอมาก ประเทศไทยมีเงินน้อยลง ประชาชนก็มีเงินน้อยลง เพราะฉะนั้นนำเงินงบประมาณไปใช้ต้องคิดอย่างระมัดระวัง ถ้านำไปใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้ จนทำให้เรื่องที่สมควรใช้จะถูกตัดทิ้งไปก็น่าเสียดาย เช่น เรื่องการพัฒนาทักษะของคน การปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งระบบสวัสดิการสังคมของไทยก็ยังมีปัญหาในบางจุด และเรื่องของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งกันดีขึ้น ทั้งหมดนี้จําเป็นต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลในการเดินหน้า แต่อาจถูกชะลอออกไปเพราะเอาเงินมาใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้แบบนี้ ดังนั้นไม่สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าเงินดิจิทัลในเฟสต่อไปอีก “รัฐบาลควรนำงบประมาณไปลงทุนในเรื่องของดิจิทัล ทําอินเทอร์เน็ตฟรี ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยได้มาก ในเรื่องของผลิตภาพของประชาชน เพราะเกิดการพัฒนาตัวเองและสร้างรายได้ ผมเชื่อว่ามีอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ของประเทศอยู่มาก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้รับโอกาส รัฐบาลก็ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่เขามีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าทํา แต่คงไม่ได้ทํา ถ้าเกิดว่าต้องมาจ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” ดร.สมชัยระบุ สงครามการค้าจะทำเศรษฐกิจไทยซบเซา ห่วงภาคการคลังมีปัญหา หนี้รัฐ-ครัวเรือนสูงชนเพดาน ดร.สมชัย ในฐานะอดีตกนง.ยังมีข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า ต้องพยายามแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น อย่าเน้นระยะสั้น เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต กาสิโน พนันออนไลน์ แต่ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มมาตรการระยะยาวมากขึ้น และจะต้องเตรียมรับมือกับความยากลําบากที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่คาดว่าจะมาแบบเต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับยุคทรัมป์ 1.0 ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายปีที่ผ่านมาถูกมองว่าดีเกินไปจนน่าจะมาถึงอาจจะซบเซาลงตามวัฏจักร รวมทั้งเรื่องของสงครามยูเครนในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อไทยในฐานประเทศที่พึ่งพาการส่งออก และท่องเที่ยวมาก ขณะที่ในประเทศเองหนี้ครัวเรือนสูง ความสามารถในการผลิตไม่ได้ดีมากนัก เพราะฉะนั้นจะมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในเข้ามาพร้อมกัน “เศรษฐกิจคงซบเซาต่อไป และมองไป 4 ปีถัดไป ภาพก็จะคล้ายกันถ้าไม่ได้มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว และถ้ามีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังแบบนี้ ภาคการคลังจะมีปัญหา หนี้สาธารณะก็คงจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีภายในไม่กี่ปีนี้ ในขณะที่ภาระการจ่ายหนี้ของรัฐบาล ทั้งดอกเบี้ย และเงินต้น ก็มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปใกล้ ๆ ชน 15 เปอร์เซ็นต์ที่กําหนดในกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะทําให้เรตติ้งของภาครัฐไทยแย่ลงในสายตาของบริษัทประเมินเรตติง ซึ่งเป็นผลเสียระยะยาว เพราะว่าหมายถึง ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล และจะลามไปถึงภาคเอกชนอาจจะสูงขึ้น ซึ่งก็จะซ้ำเติมเรื่องของเศรษฐกิจเข้าไปอีก” ดร.สมชัยกล่าว Cr. #TheStatesTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กรณ์” หนุนแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ พร้อมแนะ 10 ข้อเสนอสิ่งที่ควรทำ
    https://www.thai-tai.tv/news/17736/
    “กรณ์” หนุนแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ พร้อมแนะ 10 ข้อเสนอสิ่งที่ควรทำ https://www.thai-tai.tv/news/17736/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราอาจต้องเริ่มลืมคำว่า SaaS (Software as a Service) ไปก่อน เพราะตอนนี้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Services as Software (S-a-S) ซึ่งเกิดจากการที่ AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานบริการหลายรูปแบบ ตั้งแต่ IT การบัญชี HR ไปจนถึงการบริการลูกค้า องค์กรขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ AI เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักในการจัดการกระบวนการและบริการต่าง ๆ สิ่งนี้เปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจดำเนินงานไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคต

    การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในธุรกิจ:
    - จากการสำรวจ 60% ขององค์กรใหญ่จำนวน 1,000 แห่ง กำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนบางส่วนหรือทั้งหมดของบริการมืออาชีพที่ใช้มนุษย์ ให้เป็นการใช้งาน AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า.
    - การใช้ AI ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบของการบริโภคและให้บริการในธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง.

    ผลกระทบต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ:
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องปรับตัวจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การออกแบบบริการที่ยืดหยุ่นและอัจฉริยะมากขึ้น.
    - ความสามารถด้านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human-Machine Synergy) กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา.

    ความสำคัญของมนุษย์ยังไม่จางหาย:
    - แม้ AI จะช่วยดำเนินงานได้อัตโนมัติ แต่มนุษย์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล เช่น การตรวจสอบความยุติธรรม ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ.
    - ความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้.

    ความท้าทายที่ต้องเผชิญ:
    - การรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านบริการและด้านซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันอาจไม่ง่าย เนื่องจากความแตกต่างในแนวคิดและภาษาที่ใช้.
    - ความจำเป็นในการกำหนดคุณค่าทางธุรกิจและราคาของ AI ตามผลลัพธ์ที่ส่งมอบ ยังเป็นสิ่งที่ต้องจัดการในแนวทาง S-a-S.

    https://www.zdnet.com/article/forget-saas-the-future-is-services-as-software-thanks-to-ai/
    เราอาจต้องเริ่มลืมคำว่า SaaS (Software as a Service) ไปก่อน เพราะตอนนี้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Services as Software (S-a-S) ซึ่งเกิดจากการที่ AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานบริการหลายรูปแบบ ตั้งแต่ IT การบัญชี HR ไปจนถึงการบริการลูกค้า องค์กรขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ AI เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักในการจัดการกระบวนการและบริการต่าง ๆ สิ่งนี้เปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจดำเนินงานไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคต การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในธุรกิจ: - จากการสำรวจ 60% ขององค์กรใหญ่จำนวน 1,000 แห่ง กำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนบางส่วนหรือทั้งหมดของบริการมืออาชีพที่ใช้มนุษย์ ให้เป็นการใช้งาน AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า. - การใช้ AI ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบของการบริโภคและให้บริการในธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง. ผลกระทบต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ: - ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องปรับตัวจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การออกแบบบริการที่ยืดหยุ่นและอัจฉริยะมากขึ้น. - ความสามารถด้านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human-Machine Synergy) กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา. ความสำคัญของมนุษย์ยังไม่จางหาย: - แม้ AI จะช่วยดำเนินงานได้อัตโนมัติ แต่มนุษย์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล เช่น การตรวจสอบความยุติธรรม ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ. - ความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้. ความท้าทายที่ต้องเผชิญ: - การรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านบริการและด้านซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันอาจไม่ง่าย เนื่องจากความแตกต่างในแนวคิดและภาษาที่ใช้. - ความจำเป็นในการกำหนดคุณค่าทางธุรกิจและราคาของ AI ตามผลลัพธ์ที่ส่งมอบ ยังเป็นสิ่งที่ต้องจัดการในแนวทาง S-a-S. https://www.zdnet.com/article/forget-saas-the-future-is-services-as-software-thanks-to-ai/
    WWW.ZDNET.COM
    Forget SaaS: The future is Services as Software, thanks to AI
    As software becomes the worker, Software as a Service is being turned on its head by artificial intelligence. Meet 'Services as Software.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนได้เข้าสู่ยุคของโรงงานมืดที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนงานและไม่มีไฟฟ้า

    ภาคการผลิตกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูล

    สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเกิดขึ้นของ "โรงงานมืด" ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นโรงงานแห่งอนาคตที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันโดยไม่มีการแทรกแซงของมนุษย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และผลผลิตให้สูงสุด

    ทำความเข้าใจแนวคิดของโรงงานมืด

    โรงงานมืดเป็นโรงงานผลิตขั้นสูงที่พึ่งพาระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนงานในสถานที่

    โรงงานเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกัน และโปรโตคอลอัตโนมัติที่ซับซ้อนเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น

    โรงงานมืดทำงานได้โดยไม่ต้องมีแสงสว่าง โดยไม่ต้องมีมนุษย์อยู่ด้วย ทำให้ลดการใช้พลังงานและต้นทุนการดำเนินงานลง พร้อมทั้งรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ
    คุณสมบัติหลักของโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

    1. *ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร*: โรงงานอัตโนมัติผสานรวมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อจัดการทุกด้านของการผลิต ตั้งแต่การจัดการวัสดุและการประกอบไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและการรับรองคุณภาพ

    2. *เครือข่ายเครื่องจักรอัจฉริยะ*: ด้วยการเชื่อมต่อปัญญาประดิษฐ์และ IoT เครื่องจักรภายในโรงงานอัตโนมัติจะสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติและคาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา

    3. *การควบคุมคุณภาพที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์*: อัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องจักรจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาความไม่สม่ำเสมอและข้อบกพร่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานที่เหนือกว่า

    4. *สภาพแวดล้อมการผลิตที่สะอาดเป็นพิเศษ*: โรงงานอัตโนมัติใช้ระบบฟอกอากาศและกำจัดฝุ่นอัตโนมัติเพื่อรักษาสภาพปลอดเชื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยา

    5. *การผลิตความเร็วสูงและปรับขนาดได้*: ระบบอัตโนมัติช่วยให้การผลิตมีความเร็วและปรับขนาดได้อย่างไม่มีใครเทียบ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ
    6. *การดำเนินงานที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืน*: โรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสมที่สุด ส่งเสริมแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    การเพิ่มขึ้นของการลงทุนด้านการผลิตอัจฉริยะ

    การลงทุนจำนวนมากในด้านระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นแรงผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว

    บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการผลิตรุ่นต่อไปเหล่านี้ โดยตระหนักถึงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาคุณภาพที่เหนือกว่า

    อนาคตของการผลิต

    การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะมีผลที่ตามมาในวงกว้าง เช่น:

    - เพิ่มผลผลิตผ่านการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่หยุดชะงัก
    - รับรองคุณภาพที่ดีขึ้นผ่านการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์
    - แนวทางการผลิตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการพลังงานอัตโนมัติ
    - ความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น

    บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่ของการผลิต

    โรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการผลิตอย่างแข็งขัน

    การใช้ประโยชน์จาก AI, ​​IoT และระบบอัตโนมัติช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปลดล็อกประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับขนาด และความยั่งยืนที่ไม่เคยมีมาก่อนได้

    ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไป โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ปฏิวัติการผลิตทั่วโลก และปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ
    จีนได้เข้าสู่ยุคของโรงงานมืดที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนงานและไม่มีไฟฟ้า ภาคการผลิตกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูล สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเกิดขึ้นของ "โรงงานมืด" ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นโรงงานแห่งอนาคตที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันโดยไม่มีการแทรกแซงของมนุษย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และผลผลิตให้สูงสุด ทำความเข้าใจแนวคิดของโรงงานมืด โรงงานมืดเป็นโรงงานผลิตขั้นสูงที่พึ่งพาระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนงานในสถานที่ โรงงานเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกัน และโปรโตคอลอัตโนมัติที่ซับซ้อนเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น โรงงานมืดทำงานได้โดยไม่ต้องมีแสงสว่าง โดยไม่ต้องมีมนุษย์อยู่ด้วย ทำให้ลดการใช้พลังงานและต้นทุนการดำเนินงานลง พร้อมทั้งรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ คุณสมบัติหลักของโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ 1. *ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร*: โรงงานอัตโนมัติผสานรวมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อจัดการทุกด้านของการผลิต ตั้งแต่การจัดการวัสดุและการประกอบไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและการรับรองคุณภาพ 2. *เครือข่ายเครื่องจักรอัจฉริยะ*: ด้วยการเชื่อมต่อปัญญาประดิษฐ์และ IoT เครื่องจักรภายในโรงงานอัตโนมัติจะสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติและคาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา 3. *การควบคุมคุณภาพที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์*: อัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องจักรจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาความไม่สม่ำเสมอและข้อบกพร่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานที่เหนือกว่า 4. *สภาพแวดล้อมการผลิตที่สะอาดเป็นพิเศษ*: โรงงานอัตโนมัติใช้ระบบฟอกอากาศและกำจัดฝุ่นอัตโนมัติเพื่อรักษาสภาพปลอดเชื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยา 5. *การผลิตความเร็วสูงและปรับขนาดได้*: ระบบอัตโนมัติช่วยให้การผลิตมีความเร็วและปรับขนาดได้อย่างไม่มีใครเทียบ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ 6. *การดำเนินงานที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืน*: โรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสมที่สุด ส่งเสริมแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขึ้นของการลงทุนด้านการผลิตอัจฉริยะ การลงทุนจำนวนมากในด้านระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นแรงผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการผลิตรุ่นต่อไปเหล่านี้ โดยตระหนักถึงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาคุณภาพที่เหนือกว่า อนาคตของการผลิต การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะมีผลที่ตามมาในวงกว้าง เช่น: - เพิ่มผลผลิตผ่านการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่หยุดชะงัก - รับรองคุณภาพที่ดีขึ้นผ่านการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ - แนวทางการผลิตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการพลังงานอัตโนมัติ - ความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่ของการผลิต โรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการผลิตอย่างแข็งขัน การใช้ประโยชน์จาก AI, ​​IoT และระบบอัตโนมัติช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปลดล็อกประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับขนาด และความยั่งยืนที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไป โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ปฏิวัติการผลิตทั่วโลก และปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม

    เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง

    นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ

    ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม

    Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

    การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว

    #Newskit
    ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ศิริกัญญา' มองแนวคิดซื้อหนี้เสียประชาชน ซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต เสียหายมากกว่า
    https://www.thai-tai.tv/news/17718/
    'ศิริกัญญา' มองแนวคิดซื้อหนี้เสียประชาชน ซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต เสียหายมากกว่า https://www.thai-tai.tv/news/17718/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จุลพันธ์” มั่นใจแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคาร เกิดรัฐบาลนี้ ขอรอความชัดเจน
    https://www.thai-tai.tv/news/17717/
    “จุลพันธ์” มั่นใจแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคาร เกิดรัฐบาลนี้ ขอรอความชัดเจน https://www.thai-tai.tv/news/17717/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'จอร์เจีย เมโลนี' นายกรัฐมนตรีอิตาลี ปฏิเสธแนวคิดประจำการทหารในยูเครน หลังฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเสนอส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ารับประกันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างเคียฟกับมอสโก ครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันได้แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000026099
    'จอร์เจีย เมโลนี' นายกรัฐมนตรีอิตาลี ปฏิเสธแนวคิดประจำการทหารในยูเครน หลังฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเสนอส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ารับประกันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างเคียฟกับมอสโก ครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันได้แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000026099
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2031 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.คลังแจงแนวคิด "ทักษิณ" ซื้อหนี้คืนจากประชาชนไม่ใช่ให้รัฐรับภาระหนี้แทน และไม่ได้ใช้งบประมาณ ส่วนจะให้ธนาคารแฮร์คัตหนี้หรือไม่ต้องดูก่อน ด้าน "จุลพันธ์" อ้างสอดคล้องแนวทางของกระทรวงแต่ยังไม่มีข้อสรุป ด้านซีอีโอ SCB EIC ชี้ ต้องระวัง Moral Hazard หลักการที่ยั่งยืนคือเพิ่มรายได้ให้ประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025954
    รมว.คลังแจงแนวคิด "ทักษิณ" ซื้อหนี้คืนจากประชาชนไม่ใช่ให้รัฐรับภาระหนี้แทน และไม่ได้ใช้งบประมาณ ส่วนจะให้ธนาคารแฮร์คัตหนี้หรือไม่ต้องดูก่อน ด้าน "จุลพันธ์" อ้างสอดคล้องแนวทางของกระทรวงแต่ยังไม่มีข้อสรุป ด้านซีอีโอ SCB EIC ชี้ ต้องระวัง Moral Hazard หลักการที่ยั่งยืนคือเพิ่มรายได้ให้ประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025954
    Like
    Haha
    3
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 826 มุมมอง 0 รีวิว
  • GIMP 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวนี้ถือว่าเป็นก้าวใหญ่ในวงการซอฟต์แวร์แก้ไขภาพโอเพ่นซอร์ส ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งอินเทอร์เฟซที่รองรับจอ Hi-DPI และธีมมืด แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น เอฟเฟกต์เลเยอร์แบบไม่ทำลายและการแก้ไขนอกผืนผ้าใบที่ช่วยให้การทำงานยืดหยุ่นและสะดวกยิ่งขึ้น. ทีมงานยังมีแผนปรับปรุงเพิ่มเติมในอนาคต พร้อมเชิญชวนผู้ใช้เข้ามาช่วยกันออกแบบ GIMP เวอร์ชันถัดไป ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่มองหาเครื่องมือฟรีและทรงพลังในการแก้ไขภาพ

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ:
    - การปรับปรุงอินเทอร์เฟซด้วย GTK3 ทำให้อินเทอร์เฟซตอบสนองได้ดีขึ้นบนหน้าจอ Hi-DPI พร้อมทั้งรองรับธีมมืดและปรับเอฟเฟกต์การเคลื่อนไหวได้.
    - รองรับการใช้งานบนแท็บเล็ตได้ดียิ่งขึ้น และสามารถใช้งานได้ทั้ง Wayland และ X11.

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น:
    - เพิ่มเอฟเฟกต์เลเยอร์แบบไม่ทำลาย (Non-destructive layer effects) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพได้ง่ายขึ้น.
    - รองรับการแก้ไขนอกผืนผ้าใบ (Off-canvas editing) ซึ่งสามารถขยายพื้นที่แก้ไขโดยอัตโนมัติ.
    - พัฒนาเรื่องการจัดการสี การรองรับไฟล์ และการปรับปรุงการใช้งานข้อความให้ดียิ่งขึ้น.

    แผนการพัฒนาในอนาคต:
    - ทีมพัฒนาของ GIMP ประกาศว่าจะปรับปรุงและออกอัปเดตย่อย (Minor releases) บ่อยขึ้น โดยคาดว่าเวอร์ชัน 3.2 จะออกมาในเวลาไม่เกินปี.
    - เปิดให้ผู้ใช้เข้าร่วมกลุ่ม UX Design เพื่อร่วมเสนอแนวคิดในการพัฒนาในอนาคต.

    https://www.tomshardware.com/software/freeware-image-editor-gimp-3-0-arrives-after-seven-years-of-incubation
    GIMP 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวนี้ถือว่าเป็นก้าวใหญ่ในวงการซอฟต์แวร์แก้ไขภาพโอเพ่นซอร์ส ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งอินเทอร์เฟซที่รองรับจอ Hi-DPI และธีมมืด แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น เอฟเฟกต์เลเยอร์แบบไม่ทำลายและการแก้ไขนอกผืนผ้าใบที่ช่วยให้การทำงานยืดหยุ่นและสะดวกยิ่งขึ้น. ทีมงานยังมีแผนปรับปรุงเพิ่มเติมในอนาคต พร้อมเชิญชวนผู้ใช้เข้ามาช่วยกันออกแบบ GIMP เวอร์ชันถัดไป ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่มองหาเครื่องมือฟรีและทรงพลังในการแก้ไขภาพ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ: - การปรับปรุงอินเทอร์เฟซด้วย GTK3 ทำให้อินเทอร์เฟซตอบสนองได้ดีขึ้นบนหน้าจอ Hi-DPI พร้อมทั้งรองรับธีมมืดและปรับเอฟเฟกต์การเคลื่อนไหวได้. - รองรับการใช้งานบนแท็บเล็ตได้ดียิ่งขึ้น และสามารถใช้งานได้ทั้ง Wayland และ X11. ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น: - เพิ่มเอฟเฟกต์เลเยอร์แบบไม่ทำลาย (Non-destructive layer effects) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพได้ง่ายขึ้น. - รองรับการแก้ไขนอกผืนผ้าใบ (Off-canvas editing) ซึ่งสามารถขยายพื้นที่แก้ไขโดยอัตโนมัติ. - พัฒนาเรื่องการจัดการสี การรองรับไฟล์ และการปรับปรุงการใช้งานข้อความให้ดียิ่งขึ้น. แผนการพัฒนาในอนาคต: - ทีมพัฒนาของ GIMP ประกาศว่าจะปรับปรุงและออกอัปเดตย่อย (Minor releases) บ่อยขึ้น โดยคาดว่าเวอร์ชัน 3.2 จะออกมาในเวลาไม่เกินปี. - เปิดให้ผู้ใช้เข้าร่วมกลุ่ม UX Design เพื่อร่วมเสนอแนวคิดในการพัฒนาในอนาคต. https://www.tomshardware.com/software/freeware-image-editor-gimp-3-0-arrives-after-seven-years-of-incubation
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Freeware image editor GIMP 3.0 arrives after seven years of incubation
    Naturally, there are some big changes since 2018's version 2.10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมดเวเดฟ กล่าวถึงนาโต้ว่า “ยอมรับเถอะ พวกคุณต้องการสงคราม”

    ดมิทรี เมดเวเดฟกล่าวถึงฝรั่งเศสและอังกฤษว่าทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีพยายามให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ ทั้งที่รัสเซียคัดค้านกองกำลังนาโต้ในยูเครนอย่างชัดเจน

    “มาครงและสตาร์เมอร์ทำเหมือนแกล้งโง่… ยอมรับมาเถอะว่าการที่พวกคุณต้องการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่พวกนีโอนาซีในเคียฟ นั่นหมายถึงต้องการให้เกิดสงครามรัสเซียกับนาโต้” รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซียกล่าว

    นอกจากนี้ เมดเวเดฟยังแนะนำให้ปารีสและลอนดอนไปคุยกับทรัมป์ก่อนตัดสินใจกันเองซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่โดยไม่ม่สหรัฐร่วมด้วย

    ขณะเดียวกัน มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่า อังกฤษเตรียมส่งทหาร 10,000 นายไปยูเครนภายใต้ภารกิจรักษาสันติภาพระยะยาว โดยไม่มีแผนการถอนทหารที่ชัดเจน

    โดยที่กองกำลังทหารอังกฤษจะประจำการอยู่ในอยู่เครนตราบเท่าที่จำเป็น โดยไม่กำหนดระยะเวลา ซึ่งจะทำหน้าที่ "รักษาข้อตกลงสันติภาพ" และ "ปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามจากรัสเซีย"

    แนวคิดของอังกฤษที่ส่งกองกำลังหลายพันนายโดยไม่กำหนดระยะเวลา ทำให้เกิดคำถามว่านี่เป็นการ "ปกป้องหรือเข้ายึดครอง"
    เมดเวเดฟ กล่าวถึงนาโต้ว่า “ยอมรับเถอะ พวกคุณต้องการสงคราม” ดมิทรี เมดเวเดฟกล่าวถึงฝรั่งเศสและอังกฤษว่าทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีพยายามให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ ทั้งที่รัสเซียคัดค้านกองกำลังนาโต้ในยูเครนอย่างชัดเจน “มาครงและสตาร์เมอร์ทำเหมือนแกล้งโง่… ยอมรับมาเถอะว่าการที่พวกคุณต้องการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่พวกนีโอนาซีในเคียฟ นั่นหมายถึงต้องการให้เกิดสงครามรัสเซียกับนาโต้” รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซียกล่าว นอกจากนี้ เมดเวเดฟยังแนะนำให้ปารีสและลอนดอนไปคุยกับทรัมป์ก่อนตัดสินใจกันเองซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่โดยไม่ม่สหรัฐร่วมด้วย ขณะเดียวกัน มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่า อังกฤษเตรียมส่งทหาร 10,000 นายไปยูเครนภายใต้ภารกิจรักษาสันติภาพระยะยาว โดยไม่มีแผนการถอนทหารที่ชัดเจน โดยที่กองกำลังทหารอังกฤษจะประจำการอยู่ในอยู่เครนตราบเท่าที่จำเป็น โดยไม่กำหนดระยะเวลา ซึ่งจะทำหน้าที่ "รักษาข้อตกลงสันติภาพ" และ "ปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามจากรัสเซีย" แนวคิดของอังกฤษที่ส่งกองกำลังหลายพันนายโดยไม่กำหนดระยะเวลา ทำให้เกิดคำถามว่านี่เป็นการ "ปกป้องหรือเข้ายึดครอง"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนนี้ Elon Musk กำลังมีคดีความกับ OpenAI ที่เขาเคยร่วมก่อตั้ง เขาพยายามหยุดยั้งไม่ให้ OpenAI เปลี่ยนไปเป็นบริษัทที่มุ่งหากำไร เพราะเขาเชื่อว่ามันขัดกับเป้าหมายแรกเริ่ม แต่ OpenAI ก็โต้กลับว่า Musk อาจมีเจตนาแอบแฝงเพื่อผลักดันบริษัท AI ของเขาเอง ช่วงนี้เลยเป็นการต่อสู้ระหว่างแนวคิดเพื่อสาธารณะกับผลประโยชน์ทางการเงิน คงต้องติดตามผลในเดือนธันวาคมนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-and-openai-to-fast-track-trial-to-december-musk-looks-to-stop-openais-change-to-a-for-profit-company
    ตอนนี้ Elon Musk กำลังมีคดีความกับ OpenAI ที่เขาเคยร่วมก่อตั้ง เขาพยายามหยุดยั้งไม่ให้ OpenAI เปลี่ยนไปเป็นบริษัทที่มุ่งหากำไร เพราะเขาเชื่อว่ามันขัดกับเป้าหมายแรกเริ่ม แต่ OpenAI ก็โต้กลับว่า Musk อาจมีเจตนาแอบแฝงเพื่อผลักดันบริษัท AI ของเขาเอง ช่วงนี้เลยเป็นการต่อสู้ระหว่างแนวคิดเพื่อสาธารณะกับผลประโยชน์ทางการเงิน คงต้องติดตามผลในเดือนธันวาคมนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-and-openai-to-fast-track-trial-to-december-musk-looks-to-stop-openais-change-to-a-for-profit-company
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข"
    ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ

    เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ

    ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า

    1. อนาคต
    ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง

    2. อนามัย
    เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี

    3. อารมณ์
    ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด

    4. ออกกำลังกาย
    จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว

    5. อาหาร
    อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี

    6. อากาศ
    ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น

    7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    8. อดิเรก
    ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

    9. อบอุ่น
    พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น

    9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี

    ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว

    และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย

    Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ

    ภาพ: ปี 2564 (internet)

    ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข" ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า 1. อนาคต ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง 2. อนามัย เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี 3. อารมณ์ ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด 4. ออกกำลังกาย จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว 5. อาหาร อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี 6. อากาศ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น 7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 8. อดิเรก ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 9. อบอุ่น พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น 9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ ภาพ: ปี 2564 (internet) ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sony ได้เปิดตัวเครื่องเล่น 4K Blu-ray รุ่น UBP-X700K ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับปรุงจาก UBP-X700 โดยตัดฟีเจอร์การเชื่อมต่อ Wi-Fi และการสตรีมวิดีโอออก ทำให้ไม่มีฟีเจอร์อย่างแอปพลิเคชันสตรีมมิง, Spotify Connect หรือการแชร์หน้าจอผ่าน Video & TV SideView app อีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ Sony ปล่อยเครื่องเล่น Blu-ray รุ่นใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าสนใจเพราะดูเหมือนจะเน้นความเรียบง่ายและตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ยังคงชื่นชอบสื่อแบบแผ่นดิสก์

    สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ UBP-X700K:
    - แม้จะไม่มีฟีเจอร์สตรีมมิง แต่รองรับเทคโนโลยี HDR10, Dolby Vision, Dolby Atmos และ DTS:X audio
    - มีพอร์ต Ethernet, HDMI (2 พอร์ต โดยพอร์ตหนึ่งสำหรับเสียงเท่านั้น) และ Coaxial Digital Out
    - ใช้งานกับแผ่น UHD Blu-ray, Blu-ray แบบมาตรฐาน และ DVD

    อย่างไรก็ตาม ราคาของ UBP-X700K ในญี่ปุ่นสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 25% แม้ว่าจะมีฟีเจอร์ที่น้อยลง ซึ่งดูขัดแย้งเล็กน้อยกับแนวคิดการลดต้นทุนที่ควรจะสะท้อนในราคาที่ต่ำลง สำหรับผู้ใช้งานปัจจุบันที่สนใจอุปกรณ์นี้ การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเมษายนหรือพฤษภาคม 2025

    ในยุคที่สมาร์ตทีวีและบริการสตรีมมิงครองตลาด ความเคลื่อนไหวของ Sony นี้น่าสนใจเพราะเป็นการมุ่งเน้นตลาดผู้ใช้งานที่ยังเห็นคุณค่าของ Blu-ray และคุณภาพเสียง/ภาพที่เหนือกว่าการสตรีม หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์แบบ 4K Blu-ray นี่อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ก็ควรติดตามราคาจำหน่ายจริงในตลาดโลกเพิ่มเติม

    https://www.techradar.com/televisions/home-theater/sony-launches-new-version-of-the-best-cheap-4k-blu-ray-player-that-drops-the-streaming-tech-but-the-price-looks-odd
    Sony ได้เปิดตัวเครื่องเล่น 4K Blu-ray รุ่น UBP-X700K ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับปรุงจาก UBP-X700 โดยตัดฟีเจอร์การเชื่อมต่อ Wi-Fi และการสตรีมวิดีโอออก ทำให้ไม่มีฟีเจอร์อย่างแอปพลิเคชันสตรีมมิง, Spotify Connect หรือการแชร์หน้าจอผ่าน Video & TV SideView app อีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ Sony ปล่อยเครื่องเล่น Blu-ray รุ่นใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าสนใจเพราะดูเหมือนจะเน้นความเรียบง่ายและตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ยังคงชื่นชอบสื่อแบบแผ่นดิสก์ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ UBP-X700K: - แม้จะไม่มีฟีเจอร์สตรีมมิง แต่รองรับเทคโนโลยี HDR10, Dolby Vision, Dolby Atmos และ DTS:X audio - มีพอร์ต Ethernet, HDMI (2 พอร์ต โดยพอร์ตหนึ่งสำหรับเสียงเท่านั้น) และ Coaxial Digital Out - ใช้งานกับแผ่น UHD Blu-ray, Blu-ray แบบมาตรฐาน และ DVD อย่างไรก็ตาม ราคาของ UBP-X700K ในญี่ปุ่นสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 25% แม้ว่าจะมีฟีเจอร์ที่น้อยลง ซึ่งดูขัดแย้งเล็กน้อยกับแนวคิดการลดต้นทุนที่ควรจะสะท้อนในราคาที่ต่ำลง สำหรับผู้ใช้งานปัจจุบันที่สนใจอุปกรณ์นี้ การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเมษายนหรือพฤษภาคม 2025 ในยุคที่สมาร์ตทีวีและบริการสตรีมมิงครองตลาด ความเคลื่อนไหวของ Sony นี้น่าสนใจเพราะเป็นการมุ่งเน้นตลาดผู้ใช้งานที่ยังเห็นคุณค่าของ Blu-ray และคุณภาพเสียง/ภาพที่เหนือกว่าการสตรีม หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์แบบ 4K Blu-ray นี่อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ก็ควรติดตามราคาจำหน่ายจริงในตลาดโลกเพิ่มเติม https://www.techradar.com/televisions/home-theater/sony-launches-new-version-of-the-best-cheap-4k-blu-ray-player-that-drops-the-streaming-tech-but-the-price-looks-odd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือ AI ในชีวิตประจำวัน โดยผู้เขียนแนะนำว่า ควรเพิกเฉยต่อเครื่องมือ AI ส่วนใหญ่ที่ออกมา และมุ่งเน้นเฉพาะสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตและการทำงานของคุณจริงๆ

    แนวคิดหลักจากบทความนี้มีดังนี้:
    1) เลือกใช้ AI เพื่อแก้ปัญหา: ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าแทนที่จะไล่ตามเครื่องมือใหม่ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน การเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาในชีวิตหรือการทำงานที่ต้องการแก้ไขจะช่วยให้คุณเลือกใช้ AI ที่มีประโยชน์ได้ดีกว่า
    2) ทดลองก่อนตัดสินใจ: เลือกเครื่องมือ AI เพียง 2-3 ตัว มาลองใช้งานในชีวิตประจำวันดู หากพบว่าใช้งานสะดวกหรือช่วยลดเวลาได้มากก็ควรเลือกใช้งานต่อไป และละทิ้งเครื่องมือที่ไม่ได้ให้ประโยชน์จริง

    ตัวอย่างเครื่องมือ AI ที่ถูกแนะนำว่าใช้งานได้จริง:
    - ChatGPT: ใช้ในการช่วยคิดไอเดียใหม่ ๆ แต่อาจไม่เหมาะสำหรับการสร้างเนื้อหาเชิงลึก
    - Perplexity: เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้แทน Google ในงานค้นคว้าได้
    - Grammarly: ตัวช่วยในการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ
    - Canva: ใช้ออกแบบพรีเซนเทชันหรือเนื้อหาด้านกราฟิกอย่างรวดเร็ว

    บทความยังเน้นความสำคัญของการรับมือกับความรู้สึกกลัวว่าจะพลาดสิ่งใหม่ (AI FOMO – Fear of Missing Out) โดยใช้กลยุทธ์เช่น การจำกัดเวลาที่จะอัปเดตข้อมูลเพียงสัปดาห์ละครั้ง และยึดมั่นในคุณภาพข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ การใช้งาน AI ให้เกิดประโยชน์ยังต้องมาจากการลงมือปฏิบัติจริงแทนการเรียนรู้เพียงเพื่อเก็บข้อมูลไว้เฉยๆ

    บทเรียนที่ได้คือ ไม่ใช่ว่าทุกเทคโนโลยีใหม่จะเหมาะกับคุณ การเลือกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความซับซ้อนในชีวิตและเพิ่มคุณค่าที่แท้จริง

    https://www.zdnet.com/article/heres-why-you-should-ignore-99-of-ai-tools-and-which-four-i-use-every-day/
    ข่าวนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือ AI ในชีวิตประจำวัน โดยผู้เขียนแนะนำว่า ควรเพิกเฉยต่อเครื่องมือ AI ส่วนใหญ่ที่ออกมา และมุ่งเน้นเฉพาะสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตและการทำงานของคุณจริงๆ แนวคิดหลักจากบทความนี้มีดังนี้: 1) เลือกใช้ AI เพื่อแก้ปัญหา: ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าแทนที่จะไล่ตามเครื่องมือใหม่ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน การเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาในชีวิตหรือการทำงานที่ต้องการแก้ไขจะช่วยให้คุณเลือกใช้ AI ที่มีประโยชน์ได้ดีกว่า 2) ทดลองก่อนตัดสินใจ: เลือกเครื่องมือ AI เพียง 2-3 ตัว มาลองใช้งานในชีวิตประจำวันดู หากพบว่าใช้งานสะดวกหรือช่วยลดเวลาได้มากก็ควรเลือกใช้งานต่อไป และละทิ้งเครื่องมือที่ไม่ได้ให้ประโยชน์จริง ตัวอย่างเครื่องมือ AI ที่ถูกแนะนำว่าใช้งานได้จริง: - ChatGPT: ใช้ในการช่วยคิดไอเดียใหม่ ๆ แต่อาจไม่เหมาะสำหรับการสร้างเนื้อหาเชิงลึก - Perplexity: เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้แทน Google ในงานค้นคว้าได้ - Grammarly: ตัวช่วยในการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ - Canva: ใช้ออกแบบพรีเซนเทชันหรือเนื้อหาด้านกราฟิกอย่างรวดเร็ว บทความยังเน้นความสำคัญของการรับมือกับความรู้สึกกลัวว่าจะพลาดสิ่งใหม่ (AI FOMO – Fear of Missing Out) โดยใช้กลยุทธ์เช่น การจำกัดเวลาที่จะอัปเดตข้อมูลเพียงสัปดาห์ละครั้ง และยึดมั่นในคุณภาพข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ การใช้งาน AI ให้เกิดประโยชน์ยังต้องมาจากการลงมือปฏิบัติจริงแทนการเรียนรู้เพียงเพื่อเก็บข้อมูลไว้เฉยๆ บทเรียนที่ได้คือ ไม่ใช่ว่าทุกเทคโนโลยีใหม่จะเหมาะกับคุณ การเลือกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความซับซ้อนในชีวิตและเพิ่มคุณค่าที่แท้จริง https://www.zdnet.com/article/heres-why-you-should-ignore-99-of-ai-tools-and-which-four-i-use-every-day/
    WWW.ZDNET.COM
    Here's why you should ignore 99% of AI tools - and which four I use every day
    Everyone's chasing the latest AI hype, but here's how ignoring most of it can actually make you smarter, faster, and less stressed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ

    Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

    Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวคิด...ฐานหินรองเสา + หลังคาแบบจีน
    แนวคิด...ฐานหินรองเสา + หลังคาแบบจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • 📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ)


    ---

    🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร"

    เป็นเพียง "กระบวนการของจิต"

    ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป


    📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น
    ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข
    ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่
    ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่
    ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน
    ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่

    💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

    ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต

    ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป"



    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง?

    📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง"
    สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก
    ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ
    ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่
    ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก
    ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด
    ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ

    💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว

    ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ

    แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ



    ---

    🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร?

    📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด
    แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ

    📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ
    ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง
    ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป
    ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน
    ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน

    💡 สุดท้ายจะเห็นว่า

    ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด

    ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป



    ---

    🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร?

    🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว"
    📌 ดังนั้น เราควร…
    ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น
    ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป
    ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์

    📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน
    ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต
    ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ
    ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น

    💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
    ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ
    ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์
    แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง


    ---

    ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ

    📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ
    📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต
    📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด
    📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด

    🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก"
    🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง"

    💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙

    📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ) --- 🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? 🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร" เป็นเพียง "กระบวนการของจิต" ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป 📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่ ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่ ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่ 💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป" --- 🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง? 📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง" สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่ ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ 💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ --- 🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร? 📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ 📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน 💡 สุดท้ายจะเห็นว่า ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป --- 🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร? 🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว" 📌 ดังนั้น เราควร… ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์ 📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น 💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?" ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์ แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง --- ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ 📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ 📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต 📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด 📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด 🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก" 🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง" 💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ส่งหนังสือขอโทษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับศึกวิวาทะอื้อฉาวในทำเนียบขาว จากการเปิดเผยของ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำอเมริกาสั่งระงับความช่วยเหลือด้านการทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟ
    .
    วิตคอฟฟ์ เปิดเผยในเรื่องนี้ในวันจันทร์(10มี.ค.) ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ก่อนหน้าการประชุมกันระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯกับคณะผู้แทนยูเครน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์นี้ โดยวอชิงตันคาดหมายว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และหวังลงนามในข้อตกลงแร่อันสำคัญกับเคียฟ
    .
    "เซเลนสกี ส่งหนังสือถึงประธานาธิบดี เขาขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่" วิตคอฟฟ์เน้นย้ำ "ผมคิดว่ามันเป็นก้าวย่างที่สำคัญและมีการพูดคุยหารือกันมากมายระหว่างคณะทำงานของเรากับคณะทำงานยูเครน รวมไปถึงจากยุโรป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหารือนี้เช่นกัน"
    .
    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เผยว่าได้รับหนังสือที่สำคัญจากเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นว่าเคียฟแสดงถึงความพร้อม "ที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้พาดพิงว่าเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว มีถ้อยคำขอโทษเกี่ยวกับการโต้เถียงอันอื้อฉาวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว
    .
    เซเลนสกี พูดเสียงดังแข่งกับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ระหว่างพบปะพูดคุยกันที่ทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนขาดความเคารพ ไม่สำนึกบุญคุณความช่วยเหลือของสหรัฐฯในอดีตที่ผ่านมาและลังเลที่แสวงหาสันติภาพกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้นยัง "กำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3"
    .
    ประธานาธิบดียูเครนถูกไล่ออกจากทำเนียบขาว ก่อนหน้าการประชุมแบบลับๆจะเริ่มขึ้น
    .
    ศึกโต้เถียงกันในห้องทำงานรูปไข่ ทำให้ข้อตกลงแร่แรร์เอิร์ธของยูเครน ต้องล่าช้าออกไป และกระตุ้นให้สหรัฐฯระงับความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟ ตามด้วยระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง
    .
    แม้ดูเหมือนจะเลือกขอโทษทรัมป์แบบลับๆ แต่ต่อหน้าสาธารณะแล้ว เซเลนสกี ยังคงแสดงท่าทีแข็งขืน บอกเพียงว่ารู้สึกเสียใจต่อความโกลาหลในทำเนียบขาว และเสียใจที่การพบปะพูดคุยที่ไม่เป็นไปตามแผน
    .
    มิคาอิล โพโดยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ได้ตอกย้ำท่าทีดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอกว่า "เซเลนสกี มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ทั้งในรูปแบบและเนื้อหาสาระที่เขาพยายามสื่อสารถ่ายทอดถึงคู่หูอเมริกาของเขา เกี่ยวกับแนวคิดหลักๆ ที่ว่าจะไม่มีอะไรประสบผลสำเร็จหากปราศจากการบีบบังคับรัสเซีย" เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนฝรั่งเศสในวันศุกร์(7มี.ค.) "เราจะไม่ขอโทษ สำหรับการทึกทักเอาเองว่ามันเป็นความผิดพลาด ทั้งที่มันไม่ได้เกิดขึ้น"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023258
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ส่งหนังสือขอโทษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับศึกวิวาทะอื้อฉาวในทำเนียบขาว จากการเปิดเผยของ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำอเมริกาสั่งระงับความช่วยเหลือด้านการทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟ . วิตคอฟฟ์ เปิดเผยในเรื่องนี้ในวันจันทร์(10มี.ค.) ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ก่อนหน้าการประชุมกันระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯกับคณะผู้แทนยูเครน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์นี้ โดยวอชิงตันคาดหมายว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และหวังลงนามในข้อตกลงแร่อันสำคัญกับเคียฟ . "เซเลนสกี ส่งหนังสือถึงประธานาธิบดี เขาขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่" วิตคอฟฟ์เน้นย้ำ "ผมคิดว่ามันเป็นก้าวย่างที่สำคัญและมีการพูดคุยหารือกันมากมายระหว่างคณะทำงานของเรากับคณะทำงานยูเครน รวมไปถึงจากยุโรป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหารือนี้เช่นกัน" . ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เผยว่าได้รับหนังสือที่สำคัญจากเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นว่าเคียฟแสดงถึงความพร้อม "ที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้พาดพิงว่าเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว มีถ้อยคำขอโทษเกี่ยวกับการโต้เถียงอันอื้อฉาวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว . เซเลนสกี พูดเสียงดังแข่งกับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ระหว่างพบปะพูดคุยกันที่ทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนขาดความเคารพ ไม่สำนึกบุญคุณความช่วยเหลือของสหรัฐฯในอดีตที่ผ่านมาและลังเลที่แสวงหาสันติภาพกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้นยัง "กำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3" . ประธานาธิบดียูเครนถูกไล่ออกจากทำเนียบขาว ก่อนหน้าการประชุมแบบลับๆจะเริ่มขึ้น . ศึกโต้เถียงกันในห้องทำงานรูปไข่ ทำให้ข้อตกลงแร่แรร์เอิร์ธของยูเครน ต้องล่าช้าออกไป และกระตุ้นให้สหรัฐฯระงับความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟ ตามด้วยระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง . แม้ดูเหมือนจะเลือกขอโทษทรัมป์แบบลับๆ แต่ต่อหน้าสาธารณะแล้ว เซเลนสกี ยังคงแสดงท่าทีแข็งขืน บอกเพียงว่ารู้สึกเสียใจต่อความโกลาหลในทำเนียบขาว และเสียใจที่การพบปะพูดคุยที่ไม่เป็นไปตามแผน . มิคาอิล โพโดยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ได้ตอกย้ำท่าทีดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอกว่า "เซเลนสกี มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ทั้งในรูปแบบและเนื้อหาสาระที่เขาพยายามสื่อสารถ่ายทอดถึงคู่หูอเมริกาของเขา เกี่ยวกับแนวคิดหลักๆ ที่ว่าจะไม่มีอะไรประสบผลสำเร็จหากปราศจากการบีบบังคับรัสเซีย" เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนฝรั่งเศสในวันศุกร์(7มี.ค.) "เราจะไม่ขอโทษ สำหรับการทึกทักเอาเองว่ามันเป็นความผิดพลาด ทั้งที่มันไม่ได้เกิดขึ้น" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023258 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2021 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts