• คลิปล่าสุดที่ #ภูมะเขือ บอกไปถึงชาวเขมรสายเคลมว่ามันเป็นของไทย
    .
    ยิ่งทำคลิปออกมาแบบนี้บ่อยเท่าไหร่ จะยิ่งเพิ่มความรับรับไปถึงชาวเขมรมากขึ้นเท่านั้น เราคนไทยก็ต้องช่วยกันเผยแพร่คลิปเหล่านี้ออกไป
    .
    เพื่อส่งไปถึงชาวเขมรที่เริ่มจากไม่เชื่อ --> ต่อมาพวกเขาชักจะเริ่มคลางแคลงใจและสงสัย --> จยสุดท้ายยอมรับความจริงนี้ในที่สุด
    คลิปล่าสุดที่ #ภูมะเขือ บอกไปถึงชาวเขมรสายเคลมว่ามันเป็นของไทย . ยิ่งทำคลิปออกมาแบบนี้บ่อยเท่าไหร่ จะยิ่งเพิ่มความรับรับไปถึงชาวเขมรมากขึ้นเท่านั้น เราคนไทยก็ต้องช่วยกันเผยแพร่คลิปเหล่านี้ออกไป . เพื่อส่งไปถึงชาวเขมรที่เริ่มจากไม่เชื่อ --> ต่อมาพวกเขาชักจะเริ่มคลางแคลงใจและสงสัย --> จยสุดท้ายยอมรับความจริงนี้ในที่สุด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบทความถึงการบอยคอต: เมื่อความพยายามควบคุมข้อมูลกลายเป็นสงครามกับความเป็นกลาง

    ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 Elon Musk ได้เปิดฉากโจมตี Wikipedia อย่างเปิดเผย โดยเริ่มจากโพสต์บน X (Twitter) ที่เรียกร้องให้ผู้ติดตามกว่า 200 ล้านคน “หยุดบริจาคให้ Wokepedia” พร้อมกล่าวหาว่า Wikipedia มีอคติทางการเมือง และควร “คืนความสมดุลให้กับอำนาจการแก้ไข”

    การโจมตีนี้เกิดขึ้นหลังจาก Wikipedia อัปเดตหน้าประวัติของ Musk โดยเพิ่มเนื้อหาที่กล่าวถึงท่าทางของเขาในงานสุนทรพจน์ของ Donald Trump ซึ่งบางคนตีความว่าเป็น “ท่าทางแบบนาซี” แม้จะไม่มีการยืนยันเจตนา แต่การกล่าวถึงในบทความก็เพียงพอให้ Muskโกรธและเริ่มรณรงค์ต่อต้าน Wikipedia อย่างจริงจัง

    บทความใน Wikipedia Signpost และรายงานจาก Newsweek ระบุว่า Musk ไม่ได้โจมตี Wikipedia เพียงลำพัง แต่ร่วมมือกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวา เช่น Chaya Raichik (Libs of TikTok) ที่โพสต์ภาพงบประมาณของ Wikimedia Foundation พร้อมกล่าวหาว่าองค์กรใช้เงิน $50 ล้านไปกับ “diversity, equity, and inclusion” ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายของฝ่ายขวาในสหรัฐฯ

    Jimmy Wales ผู้ก่อตั้ง Wikipedia ตอบโต้ทันที โดยโพสต์ว่า “Elon ไม่พอใจที่ Wikipedia ไม่สามารถซื้อได้” และหวังว่าการรณรงค์ของ Musk จะกระตุ้นให้คนที่เชื่อในความจริงบริจาคมากขึ้น Wales ยังย้ำว่า Wikipedia ยึดหลักความเป็นกลาง และเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขอย่างโปร่งใส

    ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X ภายใต้การนำของ Musk กำลังลดการควบคุมเนื้อหาและเปิดทางให้ข้อมูลเท็จแพร่กระจาย Wikipedia ยังคงรักษามาตรฐานการตรวจสอบและการอ้างอิงอย่างเข้มงวด แม้จะถูกโจมตีจากหลายฝ่าย

    การโจมตี Wikipedia โดย Elon Musk
    Musk เรียกร้องให้ผู้ติดตาม “หยุดบริจาคให้ Wokepedia”
    โจมตีเนื้อหาที่กล่าวถึงท่าทางของเขาในงานของ Trump
    ร่วมมือกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาในการโจมตีงบประมาณของ Wikimedia

    การตอบโต้จาก Wikipedia
    Jimmy Wales ยืนยันว่า Wikipedia ไม่สามารถซื้อได้
    ย้ำหลักความเป็นกลางและการเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม
    หวังว่าการโจมตีจะกระตุ้นให้คนที่เชื่อในความจริงบริจาคมากขึ้น

    บริบททางการเมืองและสื่อ
    Wikipedia ถูกมองว่าเป็น “ปราการสุดท้าย” ของข้อมูลที่ไม่ถูกควบคุม
    X ภายใต้ Musk ลดการควบคุมเนื้อหาและเปิดทางให้ข้อมูลเท็จ
    ความขัดแย้งสะท้อนถึงแนวโน้มการแบ่งขั้วในสื่อดิจิทัล

    ความสำคัญของ Wikipedia ในยุคข้อมูล
    เป็นแหล่งข้อมูลที่มีผู้เข้าชมหลายล้านคนต่อวัน
    ใช้ระบบอ้างอิงและการตรวจสอบจากชุมชนอาสาสมัคร
    ยังคงเป็นแหล่งข้อมูลที่ได้รับความเชื่อถือในระดับโลก

    https://www.theverge.com/cs/features/717322/wikipedia-attacks-neutrality-history-jimmy-wales
    🎙️ เรื่องเล่าจากบทความถึงการบอยคอต: เมื่อความพยายามควบคุมข้อมูลกลายเป็นสงครามกับความเป็นกลาง ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 Elon Musk ได้เปิดฉากโจมตี Wikipedia อย่างเปิดเผย โดยเริ่มจากโพสต์บน X (Twitter) ที่เรียกร้องให้ผู้ติดตามกว่า 200 ล้านคน “หยุดบริจาคให้ Wokepedia” พร้อมกล่าวหาว่า Wikipedia มีอคติทางการเมือง และควร “คืนความสมดุลให้กับอำนาจการแก้ไข” การโจมตีนี้เกิดขึ้นหลังจาก Wikipedia อัปเดตหน้าประวัติของ Musk โดยเพิ่มเนื้อหาที่กล่าวถึงท่าทางของเขาในงานสุนทรพจน์ของ Donald Trump ซึ่งบางคนตีความว่าเป็น “ท่าทางแบบนาซี” แม้จะไม่มีการยืนยันเจตนา แต่การกล่าวถึงในบทความก็เพียงพอให้ Muskโกรธและเริ่มรณรงค์ต่อต้าน Wikipedia อย่างจริงจัง บทความใน Wikipedia Signpost และรายงานจาก Newsweek ระบุว่า Musk ไม่ได้โจมตี Wikipedia เพียงลำพัง แต่ร่วมมือกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวา เช่น Chaya Raichik (Libs of TikTok) ที่โพสต์ภาพงบประมาณของ Wikimedia Foundation พร้อมกล่าวหาว่าองค์กรใช้เงิน $50 ล้านไปกับ “diversity, equity, and inclusion” ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายของฝ่ายขวาในสหรัฐฯ Jimmy Wales ผู้ก่อตั้ง Wikipedia ตอบโต้ทันที โดยโพสต์ว่า “Elon ไม่พอใจที่ Wikipedia ไม่สามารถซื้อได้” และหวังว่าการรณรงค์ของ Musk จะกระตุ้นให้คนที่เชื่อในความจริงบริจาคมากขึ้น Wales ยังย้ำว่า Wikipedia ยึดหลักความเป็นกลาง และเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขอย่างโปร่งใส ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X ภายใต้การนำของ Musk กำลังลดการควบคุมเนื้อหาและเปิดทางให้ข้อมูลเท็จแพร่กระจาย Wikipedia ยังคงรักษามาตรฐานการตรวจสอบและการอ้างอิงอย่างเข้มงวด แม้จะถูกโจมตีจากหลายฝ่าย ✅ การโจมตี Wikipedia โดย Elon Musk ➡️ Musk เรียกร้องให้ผู้ติดตาม “หยุดบริจาคให้ Wokepedia” ➡️ โจมตีเนื้อหาที่กล่าวถึงท่าทางของเขาในงานของ Trump ➡️ ร่วมมือกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาในการโจมตีงบประมาณของ Wikimedia ✅ การตอบโต้จาก Wikipedia ➡️ Jimmy Wales ยืนยันว่า Wikipedia ไม่สามารถซื้อได้ ➡️ ย้ำหลักความเป็นกลางและการเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม ➡️ หวังว่าการโจมตีจะกระตุ้นให้คนที่เชื่อในความจริงบริจาคมากขึ้น ✅ บริบททางการเมืองและสื่อ ➡️ Wikipedia ถูกมองว่าเป็น “ปราการสุดท้าย” ของข้อมูลที่ไม่ถูกควบคุม ➡️ X ภายใต้ Musk ลดการควบคุมเนื้อหาและเปิดทางให้ข้อมูลเท็จ ➡️ ความขัดแย้งสะท้อนถึงแนวโน้มการแบ่งขั้วในสื่อดิจิทัล ✅ ความสำคัญของ Wikipedia ในยุคข้อมูล ➡️ เป็นแหล่งข้อมูลที่มีผู้เข้าชมหลายล้านคนต่อวัน ➡️ ใช้ระบบอ้างอิงและการตรวจสอบจากชุมชนอาสาสมัคร ➡️ ยังคงเป็นแหล่งข้อมูลที่ได้รับความเชื่อถือในระดับโลก https://www.theverge.com/cs/features/717322/wikipedia-attacks-neutrality-history-jimmy-wales
    WWW.THEVERGE.COM
    Wikipedia is under attack — and how it can survive
    The site’s volunteers face threats from Trump, billionaires, and AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พลโทบุญสิน” บรรยายพิเศษเตรียมอุดมฯ ฝากเยาวชนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนอนาคตประเทศชาติ ชี้คนเก่งต้องมีคุณธรรม พร้อมย้ำกองทัพยืนหยัดรักษาผืนแผ่นดินและธงชาติด้วยเกียรติศักดิ์ศรี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085237

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “พลโทบุญสิน” บรรยายพิเศษเตรียมอุดมฯ ฝากเยาวชนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนอนาคตประเทศชาติ ชี้คนเก่งต้องมีคุณธรรม พร้อมย้ำกองทัพยืนหยัดรักษาผืนแผ่นดินและธงชาติด้วยเกียรติศักดิ์ศรี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085237 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด

    Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง

    แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น

    จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก

    การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์

    เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch
    ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode
    Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด
    ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง

    ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple
    ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm)
    ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก)
    การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า

    ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ
    ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก
    มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน
    สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น

    การใช้งานในชีวิตประจำวัน
    ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ
    มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน

    https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์ ✅ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch ➡️ ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode ➡️ Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด ➡️ ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง ✅ ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple ➡️ ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm) ➡️ ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก) ➡️ การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า ✅ ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ ➡️ ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก ➡️ มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน ➡️ สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ✅ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ➡️ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ ➡️ มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Just How Accurate Is The Heart Rate Monitor In The Apple Watch? - SlashGear
    Apple Watch uses optical sensors to track heart rate with strong accuracy during rest and workouts, though it’s not a medical-grade device.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4)
    คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน
    แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้
    เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า
    ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ
    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ
    เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน…
    นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !?
    วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950
    ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน
    นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ
    หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4) คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้ เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน… นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !? วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บิ๊กเล็ก” เผยสร้างรั้วกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องตกลงทั้งสองฝ่าย หวั่นกัมพูชาเคลมเป็นเส้นเขตแดนในอนาคต เตรียมนำเข้า สมช.พิจารณา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085031

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “บิ๊กเล็ก” เผยสร้างรั้วกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องตกลงทั้งสองฝ่าย หวั่นกัมพูชาเคลมเป็นเส้นเขตแดนในอนาคต เตรียมนำเข้า สมช.พิจารณา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085031 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ

    ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ

    CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า

    HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time

    SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead

    Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI”

    แนวคิดหลักจาก HubSpot
    “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน
    เน้น “human authenticity with AI efficiency”
    เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด
    Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust
    ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ

    ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร
    SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร
    Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp
    AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel
    Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead
    Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร

    มุมมองจาก Anthropic
    Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี
    Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
    มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware

    https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI” ✅ แนวคิดหลักจาก HubSpot ➡️ “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน ➡️ เน้น “human authenticity with AI efficiency” ➡️ เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด ➡️ Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust ➡️ ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร ➡️ SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร ➡️ Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp ➡️ AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel ➡️ Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead ➡️ Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร ✅ มุมมองจาก Anthropic ➡️ Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี ➡️ Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ➡️ มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti

    ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที

    แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration

    การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง

    การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ
    กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice
    เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน
    เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส

    กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี
    เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์
    เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ
    ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack

    ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด
    เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE
    เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต

    ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน
    ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง
    องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง
    มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง ✅ การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice ➡️ เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส ✅ กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี ➡️ เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์ ➡️ เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ ➡️ ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack ✅ ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด ➡️ เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE ➡️ เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต ✅ ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง ➡️ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง ➡️ มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก KEV List: เมื่อ CISA เตือนว่า TP-Link และ WhatsApp กำลังถูกใช้โจมตีจริง

    CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้อัปเดตรายชื่อช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีจริง (Known Exploited Vulnerabilities หรือ KEV List) โดยเพิ่มสองช่องโหว่ใหม่ที่กำลังถูกใช้ในโลกจริง ได้แก่:

    - ช่องโหว่ระดับรุนแรงใน TP-Link Wi-Fi Extender รุ่น TL-WA855RE
    - ช่องโหว่ใน WhatsApp ที่ถูกใช้ในแคมเปญสอดแนมแบบเจาะจง

    ช่องโหว่ใน TP-Link (CVE-2020-24363) เป็นปัญหา “missing authentication” ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งรีเซ็ตเครื่องจากเครือข่ายเดียวกัน และตั้งรหัสผ่านใหม่เพื่อเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนใด ๆ แม้จะมีการออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่รุ่นนี้เข้าสู่สถานะ “end-of-life” แล้ว ทำให้ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป

    ช่องโหว่ใน WhatsApp (CVE-2025-55177) มีความรุนแรงระดับกลาง แต่ถูกใช้ในแคมเปญสอดแนมขั้นสูง โดยอาศัยการ sync ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งมีการตรวจสอบสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ และเมื่อจับคู่กับช่องโหว่ในระบบ Apple (CVE-2025-43300) ที่อยู่ใน ImageIO framework ก็สามารถใช้เป็น “zero-click exploit” ที่ไม่ต้องให้เหยื่อกดอะไรเลย—แค่เปิดแอปก็ถูกเจาะได้

    WhatsApp ได้ส่งการแจ้งเตือนในแอปไปยังผู้ใช้ที่ถูกเจาะประมาณ 200 รายทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นนักข่าวและนักเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคม ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในแคมเปญสอดแนมที่มีเป้าหมายเฉพาะ

    ช่องโหว่ใน TP-Link TL-WA855RE
    CVE-2020-24363 เป็นช่องโหว่ “missing authentication” ที่เปิดให้รีเซ็ตเครื่องจากเครือข่ายเดียวกัน
    ผู้โจมตีสามารถตั้งรหัสผ่านใหม่และเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที
    รุ่นนี้เข้าสู่สถานะ end-of-life แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีก

    ช่องโหว่ใน WhatsApp และ Apple
    CVE-2025-55177 เกิดจากการตรวจสอบสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ในการ sync ข้อมูล
    เมื่อจับคู่กับ CVE-2025-43300 ใน ImageIO ของ Apple จะกลายเป็น zero-click exploit
    ใช้ในแคมเปญสอดแนมที่เจาะจงเป้าหมาย เช่น นักข่าวและนักเคลื่อนไหว

    การตอบสนองจาก WhatsApp และ Apple
    WhatsApp ส่งการแจ้งเตือนในแอปไปยังผู้ใช้ที่ถูกเจาะประมาณ 200 ราย
    Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อปิดช่องโหว่ใน ImageIO
    ผู้ใช้ควรอัปเดต WhatsApp และระบบปฏิบัติการทันที

    คำแนะนำจาก CISA
    ช่องโหว่ทั้งสองถูกเพิ่มใน KEV List ซึ่งหมายถึงมีการโจมตีจริงแล้ว
    หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ต้องแก้ไขภายในวันที่ 23 กันยายน 2025 ตามคำสั่ง BOD 22-01
    CISA แนะนำให้ทุกองค์กรและผู้ใช้ทั่วไปดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว

    https://hackread.com/cisa-tp-link-wi-fi-whatsapp-spyware-flaws-kev-list/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก KEV List: เมื่อ CISA เตือนว่า TP-Link และ WhatsApp กำลังถูกใช้โจมตีจริง CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้อัปเดตรายชื่อช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีจริง (Known Exploited Vulnerabilities หรือ KEV List) โดยเพิ่มสองช่องโหว่ใหม่ที่กำลังถูกใช้ในโลกจริง ได้แก่: - ช่องโหว่ระดับรุนแรงใน TP-Link Wi-Fi Extender รุ่น TL-WA855RE - ช่องโหว่ใน WhatsApp ที่ถูกใช้ในแคมเปญสอดแนมแบบเจาะจง ช่องโหว่ใน TP-Link (CVE-2020-24363) เป็นปัญหา “missing authentication” ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งรีเซ็ตเครื่องจากเครือข่ายเดียวกัน และตั้งรหัสผ่านใหม่เพื่อเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนใด ๆ แม้จะมีการออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่รุ่นนี้เข้าสู่สถานะ “end-of-life” แล้ว ทำให้ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป ช่องโหว่ใน WhatsApp (CVE-2025-55177) มีความรุนแรงระดับกลาง แต่ถูกใช้ในแคมเปญสอดแนมขั้นสูง โดยอาศัยการ sync ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งมีการตรวจสอบสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ และเมื่อจับคู่กับช่องโหว่ในระบบ Apple (CVE-2025-43300) ที่อยู่ใน ImageIO framework ก็สามารถใช้เป็น “zero-click exploit” ที่ไม่ต้องให้เหยื่อกดอะไรเลย—แค่เปิดแอปก็ถูกเจาะได้ WhatsApp ได้ส่งการแจ้งเตือนในแอปไปยังผู้ใช้ที่ถูกเจาะประมาณ 200 รายทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นนักข่าวและนักเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคม ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในแคมเปญสอดแนมที่มีเป้าหมายเฉพาะ ✅ ช่องโหว่ใน TP-Link TL-WA855RE ➡️ CVE-2020-24363 เป็นช่องโหว่ “missing authentication” ที่เปิดให้รีเซ็ตเครื่องจากเครือข่ายเดียวกัน ➡️ ผู้โจมตีสามารถตั้งรหัสผ่านใหม่และเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที ➡️ รุ่นนี้เข้าสู่สถานะ end-of-life แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีก ✅ ช่องโหว่ใน WhatsApp และ Apple ➡️ CVE-2025-55177 เกิดจากการตรวจสอบสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ในการ sync ข้อมูล ➡️ เมื่อจับคู่กับ CVE-2025-43300 ใน ImageIO ของ Apple จะกลายเป็น zero-click exploit ➡️ ใช้ในแคมเปญสอดแนมที่เจาะจงเป้าหมาย เช่น นักข่าวและนักเคลื่อนไหว ✅ การตอบสนองจาก WhatsApp และ Apple ➡️ WhatsApp ส่งการแจ้งเตือนในแอปไปยังผู้ใช้ที่ถูกเจาะประมาณ 200 ราย ➡️ Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อปิดช่องโหว่ใน ImageIO ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดต WhatsApp และระบบปฏิบัติการทันที ✅ คำแนะนำจาก CISA ➡️ ช่องโหว่ทั้งสองถูกเพิ่มใน KEV List ซึ่งหมายถึงมีการโจมตีจริงแล้ว ➡️ หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ต้องแก้ไขภายในวันที่ 23 กันยายน 2025 ตามคำสั่ง BOD 22-01 ➡️ CISA แนะนำให้ทุกองค์กรและผู้ใช้ทั่วไปดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว https://hackread.com/cisa-tp-link-wi-fi-whatsapp-spyware-flaws-kev-list/
    HACKREAD.COM
    CISA Adds TP-Link Wi-Fi and WhatsApp Spyware Flaws to KEV List
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน! "ทักษิณ" เตรียมบินออกนอกประเทศไปสิงคโปร์ ตม. และทีมกฎหมายเร่งเคลียร์ประเด็นทางคดีก่อนเดินทาง
    https://www.thai-tai.tv/news/21323/
    .
    #ไทยไท #ทักษิณชินวัตร #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #สรยุทธสุทัศนะจินดา
    ด่วน! "ทักษิณ" เตรียมบินออกนอกประเทศไปสิงคโปร์ ตม. และทีมกฎหมายเร่งเคลียร์ประเด็นทางคดีก่อนเดินทาง https://www.thai-tai.tv/news/21323/ . #ไทยไท #ทักษิณชินวัตร #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #สรยุทธสุทัศนะจินดา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2)
    ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น
    ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน
    แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา)
    แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
    อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
    สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013
    รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย
    รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว)
    คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ)
    ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !)
    คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้)
    เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !)
    แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
    อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่
    สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา
    ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า)
    อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
    นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง)
    ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2) ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา) แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว) คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ) ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !) คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้) เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !) แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่ สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า) อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง) ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคลียร์กันแล้ว! ‘อนุทิน’ ยอมรับภูมิใจไทยโหวตกฎหมาย PRTR ไม่ทัน แจงคุยกับพรรคประชาชนแล้ว ขอตรวจสอบก่อน เรื่องแจ้งความ “ภูมิธรรม”
    https://www.thai-tai.tv/news/21313/
    .
    #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #ภูมิใจไทย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    เคลียร์กันแล้ว! ‘อนุทิน’ ยอมรับภูมิใจไทยโหวตกฎหมาย PRTR ไม่ทัน แจงคุยกับพรรคประชาชนแล้ว ขอตรวจสอบก่อน เรื่องแจ้งความ “ภูมิธรรม” https://www.thai-tai.tv/news/21313/ . #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #ภูมิใจไทย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียจะช่วยจีนให้แซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์รายหญ่ที่สุดของโลก จากการเปิดเผยของประธานบริษัทนิวคลียร์แห่งรัฐัสเซีย 'โรซาตอม' ระหว่างแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนแห่งรัฐ ตามหลังการพบปะพูดคุยกันในปักกิ่ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084492

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    รัสเซียจะช่วยจีนให้แซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์รายหญ่ที่สุดของโลก จากการเปิดเผยของประธานบริษัทนิวคลียร์แห่งรัฐัสเซีย 'โรซาตอม' ระหว่างแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนแห่งรัฐ ตามหลังการพบปะพูดคุยกันในปักกิ่ง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084492 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Corsair และ Pavehawk: เมื่อการประมวลผล AI ไม่ต้องพึ่ง HBM อีกต่อไป

    ในยุคที่ HBM (High Bandwidth Memory) กลายเป็นหัวใจของการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ บริษัท D-Matrix กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป—โดยมุ่งเน้นไปที่ “AI inference” ซึ่งเป็นภาระงานที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการใช้งานจริงในองค์กร

    แทนที่จะใช้ HBM ที่มีราคาสูงและ supply จำกัด D-Matrix พัฒนา Corsair ซึ่งเป็น inference accelerator แบบ chiplet ที่ใช้ LPDDR5 ขนาด 256GB และ SRAM 2GB ร่วมกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า 3DIMC (3D Digital In-Memory Compute)

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ใน Pavehawk ซึ่งเป็นซิลิคอนรุ่นใหม่ที่ใช้ logic die จาก TSMC N5 และ DRAM แบบ stacked หลายชั้น เพื่อให้ compute และ memory อยู่ใกล้กันมากที่สุด ลด latency และพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล

    D-Matrix อ้างว่า Pavehawk มี bandwidth และ energy efficiency ต่อ stack สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า และสามารถขยายความจุได้มากกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เหมาะกับการ deploy ใน data center ที่ต้องการ inference ขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถจ่ายราคาของ HBM ได้

    แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่เริ่มหันมาใช้ interconnect แบบ CXL และการรวม controller เข้ากับ accelerator เพื่อให้ compute และ memory ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบแน่น

    แนวทางของ D-Matrix ในการออกแบบ inference accelerator
    Corsair ใช้ LPDDR5 256GB + SRAM 2GB แบบ chiplet-based
    ไม่ใช้ HBM แต่เน้นการ co-package ระหว่าง compute และ memory
    เหมาะกับ AI inference ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ

    เทคโนโลยี 3DIMC และ Pavehawk
    ใช้ logic die จาก TSMC N5 ร่วมกับ DRAM แบบ stacked หลายชั้น
    ลด latency และพลังงานในการเคลื่อนย้ายข้อมูล
    ให้ bandwidth และ energy efficiency สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า

    บริบทของอุตสาหกรรม AI
    Inference กำลังกลายเป็น workload หลักขององค์กร (คาดว่าจะเกิน 85% ภายใน 2–3 ปี)
    HBM มีราคาสูงและ supply จำกัด โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็ก
    การรวม compute และ memory เป็นแนวทางที่หลายบริษัทเริ่มทดลอง เช่น CXL-based accelerator

    จุดเด่นของแนวคิด stacked DRAM + logic
    เพิ่มความจุและ bandwidth ได้โดยไม่ต้องใช้ HBM
    ลดต้นทุนและพลังงานในระดับ data center
    เหมาะกับการ deploy inference ที่ต้องการ scale แบบประหยัด

    https://www.techradar.com/pro/security/after-sandisk-d-matrix-is-proposing-an-intriguing-alternative-to-the-big-hbm-ai-puzzle-with-10x-better-performance-with-10x-better-energy-efficiency
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Corsair และ Pavehawk: เมื่อการประมวลผล AI ไม่ต้องพึ่ง HBM อีกต่อไป ในยุคที่ HBM (High Bandwidth Memory) กลายเป็นหัวใจของการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ บริษัท D-Matrix กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป—โดยมุ่งเน้นไปที่ “AI inference” ซึ่งเป็นภาระงานที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการใช้งานจริงในองค์กร แทนที่จะใช้ HBM ที่มีราคาสูงและ supply จำกัด D-Matrix พัฒนา Corsair ซึ่งเป็น inference accelerator แบบ chiplet ที่ใช้ LPDDR5 ขนาด 256GB และ SRAM 2GB ร่วมกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า 3DIMC (3D Digital In-Memory Compute) เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ใน Pavehawk ซึ่งเป็นซิลิคอนรุ่นใหม่ที่ใช้ logic die จาก TSMC N5 และ DRAM แบบ stacked หลายชั้น เพื่อให้ compute และ memory อยู่ใกล้กันมากที่สุด ลด latency และพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล D-Matrix อ้างว่า Pavehawk มี bandwidth และ energy efficiency ต่อ stack สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า และสามารถขยายความจุได้มากกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เหมาะกับการ deploy ใน data center ที่ต้องการ inference ขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถจ่ายราคาของ HBM ได้ แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่เริ่มหันมาใช้ interconnect แบบ CXL และการรวม controller เข้ากับ accelerator เพื่อให้ compute และ memory ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบแน่น ✅ แนวทางของ D-Matrix ในการออกแบบ inference accelerator ➡️ Corsair ใช้ LPDDR5 256GB + SRAM 2GB แบบ chiplet-based ➡️ ไม่ใช้ HBM แต่เน้นการ co-package ระหว่าง compute และ memory ➡️ เหมาะกับ AI inference ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ ✅ เทคโนโลยี 3DIMC และ Pavehawk ➡️ ใช้ logic die จาก TSMC N5 ร่วมกับ DRAM แบบ stacked หลายชั้น ➡️ ลด latency และพลังงานในการเคลื่อนย้ายข้อมูล ➡️ ให้ bandwidth และ energy efficiency สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า ✅ บริบทของอุตสาหกรรม AI ➡️ Inference กำลังกลายเป็น workload หลักขององค์กร (คาดว่าจะเกิน 85% ภายใน 2–3 ปี) ➡️ HBM มีราคาสูงและ supply จำกัด โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็ก ➡️ การรวม compute และ memory เป็นแนวทางที่หลายบริษัทเริ่มทดลอง เช่น CXL-based accelerator ✅ จุดเด่นของแนวคิด stacked DRAM + logic ➡️ เพิ่มความจุและ bandwidth ได้โดยไม่ต้องใช้ HBM ➡️ ลดต้นทุนและพลังงานในระดับ data center ➡️ เหมาะกับการ deploy inference ที่ต้องการ scale แบบประหยัด https://www.techradar.com/pro/security/after-sandisk-d-matrix-is-proposing-an-intriguing-alternative-to-the-big-hbm-ai-puzzle-with-10x-better-performance-with-10x-better-energy-efficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300

    Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน

    แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน

    หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5)

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300 Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5) นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว

    ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป”

    ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง

    แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield

    การตัดสินของศาลทั่วไป EU
    รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework
    ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ
    ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง

    ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ
    ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย
    ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน

    โครงสร้างของ DPRC
    ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล
    หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้
    มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ

    ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว
    Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก
    มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่
    องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    🎙️ เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป” ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield ✅ การตัดสินของศาลทั่วไป EU ➡️ รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework ➡️ ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ ➡️ ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง ✅ ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ ➡️ ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย ➡️ ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน ✅ โครงสร้างของ DPRC ➡️ ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล ➡️ หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้ ➡️ มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ ✅ ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก ➡️ มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่ ➡️ องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU court backs latest data transfer deal agreed by US and EU
    BRUSSELS (Reuters) -A data transfer deal agreed by the European Union and the United States two years ago to replace two previous pacts rejected by a higher tribunal was given the green light by Europe's second-highest court on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย

    การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน

    ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้

    ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้

    ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

    ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง

    #Newskit
    อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้ ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 5
    อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change
    เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ?
    กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ
    เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก)
    เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ?
    ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ !
    ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ
    – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย
    – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด
    – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !)
    – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด
    – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี
    – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม
    – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju
    – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว
    นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !)
    ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว !
    อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !)
    SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ
    สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!)

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 5 อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ? กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก) เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ? ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ ! ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !) – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !) ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว ! อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !) SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Wall Street: เมื่อหุ้นควอนตัมแยกเป็นสองขั้ว—บางตัวร่วงหนัก บางตัวกลับฟื้นตัวสวนตลาด

    ในวันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนด้านภาษีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูง นักลงทุนพากันหนีจากสินทรัพย์เสี่ยงไปหาหุ้นปลอดภัยอย่าง Unilever, P&G และ J&J ที่กลับมาเขียวสวนกระแส แต่หุ้นควอนตัมกลับถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะบริษัทที่เน้น “ฮาร์ดแวร์” เป็นหลัก

    Quantum Computing Inc. และ Rigetti Computing สูญเสียมูลค่าหุ้นไปเกือบ 6% ในวันเดียว ขณะที่ IonQ และ D-Wave Quantum ซึ่งมี exposure ด้าน “ซอฟต์แวร์” มากกว่า กลับฟื้นตัวในช่วงท้ายวัน โดย D-Wave ปิดลดลงเพียง 0.15% และ IonQ ลดลง 0.35%

    นักวิเคราะห์มองว่า ความแตกต่างนี้สะท้อนถึง “ความยืดหยุ่นของโมเดลธุรกิจ” ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย—ซอฟต์แวร์ที่มี margin สูงและสามารถ deploy ผ่าน cloud ได้ง่าย ย่อมมีโอกาสรอดมากกว่าฮาร์ดแวร์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมี cycle การพัฒนาแบบยาว

    แม้จะมีแรงเทขายในระยะสั้น แต่ ETF อย่าง QTUM ที่รวมหุ้นควอนตัมหลายตัวไว้ ก็ยังบวกอยู่ 13.9% ตั้งแต่ต้นปี แสดงว่าความเชื่อมั่นในระยะยาวยังไม่หายไป เพียงแต่ต้องเลือก “จังหวะและตัวเล่น” ให้ถูก

    ภาพรวมตลาดหุ้นควอนตัมในเดือนกันยายน 2025
    Quantum Computing Inc. และ Rigetti ร่วง ~6% จากแรงเทขายในกลุ่มฮาร์ดแวร์
    IonQ และ D-Wave ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ฟื้นตัวในช่วงท้ายวัน
    นักลงทุนเทไปหาหุ้นปลอดภัย เช่น J&J, P&G, Unilever

    ความแตกต่างระหว่างบริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    IonQ และ D-Wave มีโมเดลที่เน้นซอฟต์แวร์และ cloud deployment
    Quantum Computing Inc. และ Rigetti ยังเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ควอนตัมโดยตรง
    ซอฟต์แวร์มี margin สูงกว่าและปรับตัวได้ง่ายในภาวะงบประมาณจำกัด

    ความเคลื่อนไหวของ ETF และแนวโน้มระยะยาว
    QTUM ETF ยังบวก 13.9% ตั้งแต่ต้นปี แม้จะลดลง 1.4% ในวันเดียว
    นักลงทุนยังเชื่อในศักยภาพระยะยาวของควอนตัม แต่ต้องระวัง volatility
    การเลือกหุ้นควอนตัมต้องดูทั้งเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจ

    https://wccftech.com/quantum-computing-stocks-split-in-two-as-they-battle-tough-risk-off-market-conditions-some-lose-5-while-others-in-the-green/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Wall Street: เมื่อหุ้นควอนตัมแยกเป็นสองขั้ว—บางตัวร่วงหนัก บางตัวกลับฟื้นตัวสวนตลาด ในวันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนด้านภาษีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูง นักลงทุนพากันหนีจากสินทรัพย์เสี่ยงไปหาหุ้นปลอดภัยอย่าง Unilever, P&G และ J&J ที่กลับมาเขียวสวนกระแส แต่หุ้นควอนตัมกลับถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะบริษัทที่เน้น “ฮาร์ดแวร์” เป็นหลัก Quantum Computing Inc. และ Rigetti Computing สูญเสียมูลค่าหุ้นไปเกือบ 6% ในวันเดียว ขณะที่ IonQ และ D-Wave Quantum ซึ่งมี exposure ด้าน “ซอฟต์แวร์” มากกว่า กลับฟื้นตัวในช่วงท้ายวัน โดย D-Wave ปิดลดลงเพียง 0.15% และ IonQ ลดลง 0.35% นักวิเคราะห์มองว่า ความแตกต่างนี้สะท้อนถึง “ความยืดหยุ่นของโมเดลธุรกิจ” ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย—ซอฟต์แวร์ที่มี margin สูงและสามารถ deploy ผ่าน cloud ได้ง่าย ย่อมมีโอกาสรอดมากกว่าฮาร์ดแวร์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมี cycle การพัฒนาแบบยาว แม้จะมีแรงเทขายในระยะสั้น แต่ ETF อย่าง QTUM ที่รวมหุ้นควอนตัมหลายตัวไว้ ก็ยังบวกอยู่ 13.9% ตั้งแต่ต้นปี แสดงว่าความเชื่อมั่นในระยะยาวยังไม่หายไป เพียงแต่ต้องเลือก “จังหวะและตัวเล่น” ให้ถูก ✅ ภาพรวมตลาดหุ้นควอนตัมในเดือนกันยายน 2025 ➡️ Quantum Computing Inc. และ Rigetti ร่วง ~6% จากแรงเทขายในกลุ่มฮาร์ดแวร์ ➡️ IonQ และ D-Wave ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ฟื้นตัวในช่วงท้ายวัน ➡️ นักลงทุนเทไปหาหุ้นปลอดภัย เช่น J&J, P&G, Unilever ✅ ความแตกต่างระหว่างบริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ IonQ และ D-Wave มีโมเดลที่เน้นซอฟต์แวร์และ cloud deployment ➡️ Quantum Computing Inc. และ Rigetti ยังเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ควอนตัมโดยตรง ➡️ ซอฟต์แวร์มี margin สูงกว่าและปรับตัวได้ง่ายในภาวะงบประมาณจำกัด ✅ ความเคลื่อนไหวของ ETF และแนวโน้มระยะยาว ➡️ QTUM ETF ยังบวก 13.9% ตั้งแต่ต้นปี แม้จะลดลง 1.4% ในวันเดียว ➡️ นักลงทุนยังเชื่อในศักยภาพระยะยาวของควอนตัม แต่ต้องระวัง volatility ➡️ การเลือกหุ้นควอนตัมต้องดูทั้งเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจ https://wccftech.com/quantum-computing-stocks-split-in-two-as-they-battle-tough-risk-off-market-conditions-some-lose-5-while-others-in-the-green/
    WCCFTECH.COM
    Quantum Computing Stocks Split In Two As They Battle Tough & Risk-Off Market Conditions - Some Lose 5% While Others In The Green
    Quantum computing stocks fell nearly 6% as Quantum Computing Inc and Rigetti led losses amidst bearish market sentiment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ”

    ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้

    UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น

    แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน

    Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที

    ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น

    โครงสร้างของ UB-Mesh
    ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack
    รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น
    ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่

    เป้าหมายของ UB-Mesh
    เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center
    ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น
    ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล

    ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม
    Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์
    Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที
    ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว

    การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน
    Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า
    หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน
    ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น

    การทดสอบและการใช้งานจริง
    Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด
    UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน
    เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง

    https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ” ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้ UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น ✅ โครงสร้างของ UB-Mesh ➡️ ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack ➡️ รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น ➡️ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ เป้าหมายของ UB-Mesh ➡️ เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center ➡️ ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น ➡️ ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล ✅ ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม ➡️ Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ ➡️ Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ➡️ ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว ✅ การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน ➡️ Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า ➡️ หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน ➡️ ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น ✅ การทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด ➡️ UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน ➡️ เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน

    เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์

    แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต

    การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส

    นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว

    การค้นพบของ MIT
    ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์
    พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์
    การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ

    เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย
    ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน
    ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain
    ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป
    ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์
    เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง

    ทีมวิจัยและการสนับสนุน
    นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta
    ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ
    ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์ แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว ✅ การค้นพบของ MIT ➡️ ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์ ➡️ พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์ ➡️ การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ✅ เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย ➡️ ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน ➡️ ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain ➡️ ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์ ➡️ เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง ✅ ทีมวิจัยและการสนับสนุน ➡️ นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta ➡️ ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ➡️ ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    WWW.TRENDLYNEWS.IN
    MIT scientists find X-ray technique that could enhance durability of nuclear materials and computer chips
    Trending News, Listen News, Top Trending Topics, Videos, Popular News #love #photooftheday #instagood #picoftheday #bestoftheday #giveaway #crypto #ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่ทัพภาค2ปฏิบัติเพื่ออธิปไตยชาติ.

    แม่ทัพภาค1ไม่ปฏิบัติการถีบเขมรออกจริงจนประชาชนคนไทยเรียกร้องถึงบ้านหนองจาน,บวกประกาศกฎอัยการศึกใส่คนไทบตนอีกกว่าปะทะเขมร,เป็นวลีที่บัดสบมาก,ทหารตอนนี้ต้องถีบเขมรออกทันทีได้แล้วเพราะอัยการศึกใช้จริงแล้ว จับคนเขมรทันทีด้วยหากยังอยู่แผ่นดินไทย,เสาหมุดปักเขตแดนชัดเจนที่1:1แล้ว,ยึด1:50,000เหมือนภาค2สร้างโมเดลไว้,หากภาค1ยังร่วมอ้าง1:200,000คืออ้อมเอาmou43,44ขึ้นอ้างหรือหยุดยิง ถือว่าภาค1เป็นปฏิปักษ์เสียเองต่อความมั่นคงทางดินแดนอธิปไตยไทยตน,และจริงๆแม่ทัพภาค1ต้องถูกตัดสิทธิขึ้น5เสือด้วยหรือรอขึ้น ผบ.ทบ.สูงสุด,เพราะยุทธการ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ทางทหาร การสงครามกับศัตรูถือว่าสอบตกอย่างร้ายแรง ทำเสียพื้นที่ดินแดนไทยตนเองบนเขตหน้าที่ตนเองด้วย ไร้เสียปืนสักแอะ อ.วีระ แฉอีก ยิ่งมีสมควรขึ้น ผบ.ทบ.ชัดเจน แม้ใครใหญ่ขนาดไหนสั่งตน เมื่อตนรักชาติรักแผ่นดินเอาแผ่นดินไทยมาก่อน จะเร่งรีบถีบเขมรออกไปทันทีเมื่อมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นี้เสือกเวลาโคตรมากมายกว่าจังหวะใดๆที่เคยมีมาก 24-28 ก.ค.68 มันน้อยวันที่ไหน มีนักวิชาการบ้างคนเอาอีสานใต้มาปนภาคตะวันออกให้เหมือนดูว่า ถ้าให้เวลามากกว่านี้ภาคตะวันออกจะถีบคนเขมรออกจากแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดทันทีโน้น, อ.วีระด่าได้ชัด เสียงปืนนัดหนึ่งยังไม่เกิดเลย,บวกแฉต่อว่านายใหญ่โทรเคลียร์แล้วโน้น อย่ายิงใส่กันประมาณนั้น,จึงน่าสงสารแม่ทัพภาค2เรามาก,เสมือนภาค1เป็นปฏิปักษ์ต่ออธิปไตยตนชัดเจนรวมไอ้เหี้ยที่โทรเคลียร์กันนั้นด้วย,เรามีทหารที่ทรยศเต็มพื้นที่มากเกินไป,การจัดโผทหารนี้ไม่ชอบต่อกองทัพ เล่นพรรคเล่นพรรคไม่ต่างจากพรรคการเมือง,ภาค2สู้เป็นสู้ตายเพื่อบ้านเมือง,ภาค1ไม่สู้ห่าอะไรเลยบวก อ.วีระแฉอีก สมเหตุมาก,โผทหารต้องเอารายชื่อคนภาค1ออกทั้งหมดลดอำนาจควบคุมกองทัพภาคทันทีหรือส่วนกลางด้วย,ห้ามเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจทางทหารทั้งหมดเพราะ เรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจคนเดอะแก๊งภาค1ทั้งหมดในเวลานี้,ประกอบกับภาคตะวันออกถือว่าเป็นเขตอันตรายสูงสุดทันที ต้องให้แม่ทัพภาคอื่นๆกระจายกำลังผสมตนเข้ามาควบคุมอำนาจบัญชาการทั้งหมดทันที,หากเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจในส่วนกลางแบบอ้างว่ามีกำลังภายในปฏิวัติทุกๆครั้งก็เร่งรีบสลายกำลังภายในนั้นเลย,อาจรวมหัวกับciaตลอดการปฏิวัติทุกๆครั้งในอดีตที่ผ่านมาก็ด้วยบนอำนาจสั่งการตนที่ถือมายาวนานในอดีต,
    ..เอาจริงๆนะบ้านเมืองจะรอดภัยพิบัติจริงต้องถีบเดอะแก๊งภาค1ออกจากอำนาจกองทัพทั้งหมด,ลดกำลังลง โผทหารต้องตัดคนเดอะแก๊งภาค1ออกไปทั้งหมด,ถ้าเดอะแก๊งภาค1เชื่อว่าตนบริสุทธิ์จะพิสูจน์ความจริงใจนี้ต่อประชาชน ก็จงนั่งเฉยๆโดยไร้อำนาจสักปีสองปีดูได้,ค่าจริงประชาชนคนไทยจะเข้าใจชัดเจนแน่นอน,ว่าเดอะแก๊งท่านๆไม่เป็นปฏิปักษ์จริงต่ออธิปไตนตนนั้นเสียเองจริงๆ.โผทหารใหม่สามารถนำมาคืนอำนาจบัญชาการได้และอาจใหญ่โตกว่าในอดีตที่หมายจะเป็นจะได้อีก.,เพราะเดอะแก๊งดีๆย่อมได้รับสิ่งดีๆกลับคืน,ตอบแทนคุณความดีงามนั้นคืนยิ่งกว่าเดิม.
    ..แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจเดอะแก๊งภาค1บูรพาพยัคฆ์เลย,ผลงานบ้านหนองจานคือเครื่องพิสูจน์ตัวตนชัดแจ้งแล้ว,ชาติไทยมาก่อน ประเทศชาติไทยมาก่อนหรือผลประโยชน์ร่วมกันกับเขมรมาก่อนบนหน้าที่ของตนที่แบกไว้อย่างชัดเจนตำตาคนไทยทั้งประเทศด้วย,แต่ไร้บทลงโทษทางวินัยหรืออาญาทางทหารเลย,เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ,แม่ทัพหนีสนามรบโทษเช่นไร,แม่ทัพปีกขวาสู้รบเอาเป็นเอาตายแต่แม่ทัพปีกซ้ายนิ่งยืนดูเฉยๆบนสนามสมรภูมิรบตลอดแนวหน้าทัพตนมีโทษสถานใด,สมควรเลื่อนยศเลื่อนเก้าอี้ตำแหน่งเป็นอันมากใช่หรือไม่,เช่นนั้นใครที่ตัดสินใจอนุญาตเสนอทั้งชื่อบรรจุตำแหน่งเลื่อนยศก็อย่าอยู่ทำหน้าที่นั้นๆเลย,กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ,ส้นตีนยังไม่รู้ดีชั่วถูกผิดขนาดนั้น,เพราะกองทัพไทยเราไม่สมควรบัดสบแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว คนเช่นนี้หนักแผ่นดินหนักกองทัพไทยเราด้วย,อยากมีเงินมีทองมากมายก็ลาออกจากชุดทหารเถอะ อย่าเอาชาติไทยตนเองมาย่ำยี่เล่นๆแบบนี้,อย่าเอาชุดทหารอันทรงเกียรติประเทศไทยตนไปก่อชั่วทำเลวเลย.

    https://youtube.com/watch?v=ZZBuMnC_Iyo&si=N0QN7HtDa7KdCp5a
    แม่ทัพภาค2ปฏิบัติเพื่ออธิปไตยชาติ. แม่ทัพภาค1ไม่ปฏิบัติการถีบเขมรออกจริงจนประชาชนคนไทยเรียกร้องถึงบ้านหนองจาน,บวกประกาศกฎอัยการศึกใส่คนไทบตนอีกกว่าปะทะเขมร,เป็นวลีที่บัดสบมาก,ทหารตอนนี้ต้องถีบเขมรออกทันทีได้แล้วเพราะอัยการศึกใช้จริงแล้ว จับคนเขมรทันทีด้วยหากยังอยู่แผ่นดินไทย,เสาหมุดปักเขตแดนชัดเจนที่1:1แล้ว,ยึด1:50,000เหมือนภาค2สร้างโมเดลไว้,หากภาค1ยังร่วมอ้าง1:200,000คืออ้อมเอาmou43,44ขึ้นอ้างหรือหยุดยิง ถือว่าภาค1เป็นปฏิปักษ์เสียเองต่อความมั่นคงทางดินแดนอธิปไตยไทยตน,และจริงๆแม่ทัพภาค1ต้องถูกตัดสิทธิขึ้น5เสือด้วยหรือรอขึ้น ผบ.ทบ.สูงสุด,เพราะยุทธการ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ทางทหาร การสงครามกับศัตรูถือว่าสอบตกอย่างร้ายแรง ทำเสียพื้นที่ดินแดนไทยตนเองบนเขตหน้าที่ตนเองด้วย ไร้เสียปืนสักแอะ อ.วีระ แฉอีก ยิ่งมีสมควรขึ้น ผบ.ทบ.ชัดเจน แม้ใครใหญ่ขนาดไหนสั่งตน เมื่อตนรักชาติรักแผ่นดินเอาแผ่นดินไทยมาก่อน จะเร่งรีบถีบเขมรออกไปทันทีเมื่อมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นี้เสือกเวลาโคตรมากมายกว่าจังหวะใดๆที่เคยมีมาก 24-28 ก.ค.68 มันน้อยวันที่ไหน มีนักวิชาการบ้างคนเอาอีสานใต้มาปนภาคตะวันออกให้เหมือนดูว่า ถ้าให้เวลามากกว่านี้ภาคตะวันออกจะถีบคนเขมรออกจากแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดทันทีโน้น, อ.วีระด่าได้ชัด เสียงปืนนัดหนึ่งยังไม่เกิดเลย,บวกแฉต่อว่านายใหญ่โทรเคลียร์แล้วโน้น อย่ายิงใส่กันประมาณนั้น,จึงน่าสงสารแม่ทัพภาค2เรามาก,เสมือนภาค1เป็นปฏิปักษ์ต่ออธิปไตยตนชัดเจนรวมไอ้เหี้ยที่โทรเคลียร์กันนั้นด้วย,เรามีทหารที่ทรยศเต็มพื้นที่มากเกินไป,การจัดโผทหารนี้ไม่ชอบต่อกองทัพ เล่นพรรคเล่นพรรคไม่ต่างจากพรรคการเมือง,ภาค2สู้เป็นสู้ตายเพื่อบ้านเมือง,ภาค1ไม่สู้ห่าอะไรเลยบวก อ.วีระแฉอีก สมเหตุมาก,โผทหารต้องเอารายชื่อคนภาค1ออกทั้งหมดลดอำนาจควบคุมกองทัพภาคทันทีหรือส่วนกลางด้วย,ห้ามเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจทางทหารทั้งหมดเพราะ เรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจคนเดอะแก๊งภาค1ทั้งหมดในเวลานี้,ประกอบกับภาคตะวันออกถือว่าเป็นเขตอันตรายสูงสุดทันที ต้องให้แม่ทัพภาคอื่นๆกระจายกำลังผสมตนเข้ามาควบคุมอำนาจบัญชาการทั้งหมดทันที,หากเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจในส่วนกลางแบบอ้างว่ามีกำลังภายในปฏิวัติทุกๆครั้งก็เร่งรีบสลายกำลังภายในนั้นเลย,อาจรวมหัวกับciaตลอดการปฏิวัติทุกๆครั้งในอดีตที่ผ่านมาก็ด้วยบนอำนาจสั่งการตนที่ถือมายาวนานในอดีต, ..เอาจริงๆนะบ้านเมืองจะรอดภัยพิบัติจริงต้องถีบเดอะแก๊งภาค1ออกจากอำนาจกองทัพทั้งหมด,ลดกำลังลง โผทหารต้องตัดคนเดอะแก๊งภาค1ออกไปทั้งหมด,ถ้าเดอะแก๊งภาค1เชื่อว่าตนบริสุทธิ์จะพิสูจน์ความจริงใจนี้ต่อประชาชน ก็จงนั่งเฉยๆโดยไร้อำนาจสักปีสองปีดูได้,ค่าจริงประชาชนคนไทยจะเข้าใจชัดเจนแน่นอน,ว่าเดอะแก๊งท่านๆไม่เป็นปฏิปักษ์จริงต่ออธิปไตนตนนั้นเสียเองจริงๆ.โผทหารใหม่สามารถนำมาคืนอำนาจบัญชาการได้และอาจใหญ่โตกว่าในอดีตที่หมายจะเป็นจะได้อีก.,เพราะเดอะแก๊งดีๆย่อมได้รับสิ่งดีๆกลับคืน,ตอบแทนคุณความดีงามนั้นคืนยิ่งกว่าเดิม. ..แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจเดอะแก๊งภาค1บูรพาพยัคฆ์เลย,ผลงานบ้านหนองจานคือเครื่องพิสูจน์ตัวตนชัดแจ้งแล้ว,ชาติไทยมาก่อน ประเทศชาติไทยมาก่อนหรือผลประโยชน์ร่วมกันกับเขมรมาก่อนบนหน้าที่ของตนที่แบกไว้อย่างชัดเจนตำตาคนไทยทั้งประเทศด้วย,แต่ไร้บทลงโทษทางวินัยหรืออาญาทางทหารเลย,เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ,แม่ทัพหนีสนามรบโทษเช่นไร,แม่ทัพปีกขวาสู้รบเอาเป็นเอาตายแต่แม่ทัพปีกซ้ายนิ่งยืนดูเฉยๆบนสนามสมรภูมิรบตลอดแนวหน้าทัพตนมีโทษสถานใด,สมควรเลื่อนยศเลื่อนเก้าอี้ตำแหน่งเป็นอันมากใช่หรือไม่,เช่นนั้นใครที่ตัดสินใจอนุญาตเสนอทั้งชื่อบรรจุตำแหน่งเลื่อนยศก็อย่าอยู่ทำหน้าที่นั้นๆเลย,กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ,ส้นตีนยังไม่รู้ดีชั่วถูกผิดขนาดนั้น,เพราะกองทัพไทยเราไม่สมควรบัดสบแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว คนเช่นนี้หนักแผ่นดินหนักกองทัพไทยเราด้วย,อยากมีเงินมีทองมากมายก็ลาออกจากชุดทหารเถอะ อย่าเอาชาติไทยตนเองมาย่ำยี่เล่นๆแบบนี้,อย่าเอาชุดทหารอันทรงเกียรติประเทศไทยตนไปก่อชั่วทำเลวเลย. https://youtube.com/watch?v=ZZBuMnC_Iyo&si=N0QN7HtDa7KdCp5a
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 2
    จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง
    ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า
    อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา
    แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า
    แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ
    Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ !
    เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น
    อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ
    ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ
    10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !)
    ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด
    และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ
    เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้
    แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง
    รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข
    เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา
    แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง)
    รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก
    ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่
    ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน !
    ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก !
    โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง
    สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !)
    ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง
    รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง
    คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 2 จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ ! เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ 10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !) ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้ แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง) รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่ ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน ! ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก ! โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !) ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts