• 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์
    อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส

    เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้

    #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    #ท่องเที่ยว
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้ #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว #ท่องเที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิปทาหลวงตามหาบัวและเพื่อนต่างศาสนา #ธรรมะ
    ปฏิปทาหลวงตามหาบัวและเพื่อนต่างศาสนา #ธรรมะ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP09 อศว.ป๋ามัดแอร์ FC เชื่อมกีฬากับศาสนา สานฝันเยาวชน
    สลามเมืองไทย EP09 อศว.ป๋ามัดแอร์ FC เชื่อมกีฬากับศาสนา สานฝันเยาวชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่

    เป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นวัดประจำปีเกิด สำหรับผู้ที่เกิดปีมะแม

    ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย สูงจากที่ราบเชียงใหม่ 689 เมตร และสูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,046 เมตร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่การอัญเชิญพระธาตุมาประดิษฐานบนยอดเขาเมื่อปี พ.ศ. 1927 หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างพระเจดีย์ครอบองค์พระธาตุ สร้างพระอุโบสถและบันไดนาค ตลอดจนสร้างเส้นทางขึ้นสู่วัดโดยพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาหลายท่านและเจ้าเมืองในแต่ละยุคจนถึง พ.ศ. 2547 กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะครั้งใหญ่พร้อมปรับปรุงบริเวณลานพระเจดีย์ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาถึง 6 ปีจึงแล้วเสร็จ นอกจากการเดินขึ้นบันไดนาคแล้วยังมีรถรางอำนวยความสะดวกอีกทางหนึ่ง และสำหรับผู้ที่เกิดปีมะแม วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้ ถือว่าเป็นวัดประจำปีเกิดของท่าน วัดพระธาตุดอยสุเทพ เปิดทำการเวลา 05.00-21.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคกว่า 300 ขั้น เพื่อไปยังวัดหรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ตั้งแต่เวลา 05.30-20.00 น. ราคา 20 บาท โดยสามารถใช้บริการรถสองแถวประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านถนนห้วยแก้ว เพื่อเดินทางมายังวัดพระธาตุดอยสุเทพได้ ซึ่งบริการตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00-17.00 น.
    วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นวัดประจำปีเกิด สำหรับผู้ที่เกิดปีมะแม ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย สูงจากที่ราบเชียงใหม่ 689 เมตร และสูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,046 เมตร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่การอัญเชิญพระธาตุมาประดิษฐานบนยอดเขาเมื่อปี พ.ศ. 1927 หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างพระเจดีย์ครอบองค์พระธาตุ สร้างพระอุโบสถและบันไดนาค ตลอดจนสร้างเส้นทางขึ้นสู่วัดโดยพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาหลายท่านและเจ้าเมืองในแต่ละยุคจนถึง พ.ศ. 2547 กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะครั้งใหญ่พร้อมปรับปรุงบริเวณลานพระเจดีย์ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาถึง 6 ปีจึงแล้วเสร็จ นอกจากการเดินขึ้นบันไดนาคแล้วยังมีรถรางอำนวยความสะดวกอีกทางหนึ่ง และสำหรับผู้ที่เกิดปีมะแม วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้ ถือว่าเป็นวัดประจำปีเกิดของท่าน วัดพระธาตุดอยสุเทพ เปิดทำการเวลา 05.00-21.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคกว่า 300 ขั้น เพื่อไปยังวัดหรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ตั้งแต่เวลา 05.30-20.00 น. ราคา 20 บาท โดยสามารถใช้บริการรถสองแถวประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านถนนห้วยแก้ว เพื่อเดินทางมายังวัดพระธาตุดอยสุเทพได้ ซึ่งบริการตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00-17.00 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฌอน ฮันนิตี (Sean Hannity) นักข่าว Fox News ถามโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพบปะกับคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง

    “ผมเข้ากับเขาได้ดี เขาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนา เขาดูจะเป็นคนฉลาดด้วยซ้ำ ผมจะติดต่อกับเขาและเขาก็ชอบผม”
    -โดนัลด์ ทรัมป์-

    ทรัมป์แสดงความเต็มใจที่จะกลับมาติดต่อกับผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง และยังใช้โอกาสนี้เปรียบเทียบผู้นำคิม กับผู้นำอิหร่านว่าทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทรัมป์กล่าวถึงอิหร่านว่าเป็นกลุ่มเคร่งศาสนามาก แต่คิมไม่ใช่ขนาดนั้น

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวเปรียบตัวเขากับโจ ไบเดน ที่ให้อิสระในการนำเสนอ หรือการพูดมากกว่ายุคเดโมแครตครองเมือง หลังจาก ฮันนิตี พูดติดตลกว่าเขาอาจจะโดนต้นสังกัดลงโทษในการเอ่ยปากถามเรื่องเกาหลีเหนือ
    ฌอน ฮันนิตี (Sean Hannity) นักข่าว Fox News ถามโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพบปะกับคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง “ผมเข้ากับเขาได้ดี เขาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนา เขาดูจะเป็นคนฉลาดด้วยซ้ำ ผมจะติดต่อกับเขาและเขาก็ชอบผม” -โดนัลด์ ทรัมป์- ทรัมป์แสดงความเต็มใจที่จะกลับมาติดต่อกับผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง และยังใช้โอกาสนี้เปรียบเทียบผู้นำคิม กับผู้นำอิหร่านว่าทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทรัมป์กล่าวถึงอิหร่านว่าเป็นกลุ่มเคร่งศาสนามาก แต่คิมไม่ใช่ขนาดนั้น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวเปรียบตัวเขากับโจ ไบเดน ที่ให้อิสระในการนำเสนอ หรือการพูดมากกว่ายุคเดโมแครตครองเมือง หลังจาก ฮันนิตี พูดติดตลกว่าเขาอาจจะโดนต้นสังกัดลงโทษในการเอ่ยปากถามเรื่องเกาหลีเหนือ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • ข้าพเจ้ายังไม่อยากถูกปล้นเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจากตัวเองมากไปกว่านี้ ต่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่คนเลวนัก คือพอมีความดีในตัวอยู่บ้างแม้นไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่ซื้อลอตเตอรี่ ไม่เล่นหวย ไม่เล่นพนันบอล ไม่ส่งชิงโชคทายผลกีฬาและล่ารางวัล ไม่เล่นไพ่ ไม่แทงม้า ไม่หวังลาภลอยจากการพนันทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพราะมีเงินเยอะแล้ว แต่เพราะรู้ว่าการพนันคือผีร้าย คือปีศาจ ถ้าลองยอมให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ซะแล้ว มันก็จะอาละวาดทำลายล้างให้เรา รวมถึงคนรอบข้างและสังคมกลายเป็นดินแดนแห่งอนารยะ ดังนั้นจึงไม่ยินดีอยากให้เมืองไทยต้องเลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่

    เท่าที่ในปัจจุบันก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว ในโลกโซเชียลเต็มไปด้วยสื่อซาตานที่แทรกซึมทั่วทุกหัวระแหง เลื่อนดูอะไรในสมาร์ตโฟนจะต้องเห็นพวกสัญลักษณ์แอบแฝงของนายทุนและแก๊งโจรมิจฉาชีพเหล่านี้เกร่อเต็มไปหมด แล้วคนไทยนี้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนกันอย่างที่เรียกว่าอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ประชากรน้อยกว่าประเทศอื่นอีกหลายประเทศ แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ควรต้องใช้ก็ยังมีสมาร์ตโฟน ที่พ่อแม่ผู้รังแกลูกหยิบยื่นให้ ด้วยเหตุนี้เยาวชนลูกหลานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อความชั่วที่ซ่อนมาหลากหลายรูปแบบ จึงง่ายมากต่อการตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้ ที่จ้องจะดึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกท่าน ให้หลงตกไปอยู่ในนรกของการพนัน

    บางทีมันหลอกล่อมาสารพัดในลักษณะของเกมออนไลน์ การแลกเงินจริงเป็นเงินในเกม การสะสมไอเทม การซื้อสารพัดที่เมื่อเด็กหลงเข้าไปเล่นเข้าสักครั้ง ความหวังที่จะหลุดออกมาได้นั้นยากเย็นกว่าเข็นครกขึ้นเขา ยิ่งติดยิ่งห้ามใจไม่ได้ อยากหาอยากมีไปแข่งไปอวดเพื่อน มันคือปากเหวแห่งหายนะโดยแท้ ที่แน่นอนคือหากยังปล่อยให้มีการเกิดขึ้นของบ่อนกาสิโนหลายแห่งทั้วประเทศ อนาคตที่ข้าพเจ้าไม่กล้าคิดจะเกิดขึ้นและมาถึงในไม่ช้า

    เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกปล้นฆ่าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ภายในบ้านหรือนอกบ้านจากคนทุกเพศทุกวัย เพราะเมื่อใดที่คนไม่มีเงิน แล้วยังติดหนี้การพนัน มันผู้นั้นย่อมขายจิตวิญญาณให้แก่ปีศาจไปแล้ว และสามารถทำได้ทุกสิ่งที่คนปกติไม่กล้าทำ เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้

    มีเมียมีลูกยังสามารถขายแลกเงินได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องมีหรือจะสน แม้แต่ชีวิตตนก็ยังขายตัวเป็นทาสได้ มีที่ดินก็หมดที่ดิน มีทรัพย์สินใดก็หมด เมื่อสิ้นทุกอย่างทีนี้แหละ จะเริ่มปล้นชิงวิ่งราว ขโมยสารพัด คดีทำร้ายร่างกาย ปล้น ฆ่า จะเต็มบ้านเมืองมากกว่าเดิมอย่างทวีคูณ สุดท้ายคนเป็นพ่อแม่หรือคนในครอบครัวของผีพนันก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความทุกข์ทับถมใจหนักหน่วงจะถ่วงความเจริญทางธรรมของคนให้ลดน้อยถอยลง แล้วสังคมโดยรวมก็จะมีแต่ความสาหัสของบาดแผลจากพิษภัยของการพนันจนยากกอบกู้ ให้ดูประเทศเพื่อนบ้านรายล้อมรอบเราว่าเขามีสภาพอย่างไรเถิด อนาคตเราอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น

    ถ้ามีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย จะเกิดนักพนันอายุน้อยขึ้นมาอีกมากมายอย่างน่ากลัว เมื่อเขาเหล่านั้นที่ยังไม่มีรายได้กลายเป็นทายาทผีพนัน ประเทศชาติก็มีแต่จะมุ่งหน้าเข้าหาความฉิบหายล่มจมในท้ายที่สุด

    ในฐานะที่ข้าพเจ้ายังเป็นพุทธมามกะที่ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่เคารพของตนไปจนตลอดชีวิต หากยังยินดีกับการเล่นพนันอยู่ อยากให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นแบบถูกกฎหมายในประเทศ นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนผู้ทุรยศต่อสถาบันศาสนาที่ตนเคารพนับถือ และต่อพระศาสดา เป็นคนอกตัญญู เป็นความละอายแก่ใจตนจนเกินกว่าจะกล้าเรียกตนเป็นพุทธศาสนิกชน สู้เป็นคนไม่นับถือศาสนาเสียเลยยังดีกว่า

    เพราะศาสนาพุทธ จะไม่มีทางยอมฮั้ว อี๋อ๋อ ซูฮก ซูเอี๋ย กะลิ้มกะเหลี่ย ปากมันเลียริมฝีปาก น้ำลายไหลยืดย้อย กับความกระสันอยากในเม็ดเงินที่มาจากการพนันทั้งหลายเป็นอันขาด ไม่ว่าจะชาตินี้หรืออีกกี่ชาติ

    #คัดค้านบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย
    #thaitimes
    #บทความ
    #ข้อคิด
    #ต้านบ่อนกาสิโน
    #สร้างป่าดีกว่าสร้างบ่อน
    ข้าพเจ้ายังไม่อยากถูกปล้นเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจากตัวเองมากไปกว่านี้ ต่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่คนเลวนัก คือพอมีความดีในตัวอยู่บ้างแม้นไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่ซื้อลอตเตอรี่ ไม่เล่นหวย ไม่เล่นพนันบอล ไม่ส่งชิงโชคทายผลกีฬาและล่ารางวัล ไม่เล่นไพ่ ไม่แทงม้า ไม่หวังลาภลอยจากการพนันทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพราะมีเงินเยอะแล้ว แต่เพราะรู้ว่าการพนันคือผีร้าย คือปีศาจ ถ้าลองยอมให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ซะแล้ว มันก็จะอาละวาดทำลายล้างให้เรา รวมถึงคนรอบข้างและสังคมกลายเป็นดินแดนแห่งอนารยะ ดังนั้นจึงไม่ยินดีอยากให้เมืองไทยต้องเลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เท่าที่ในปัจจุบันก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว ในโลกโซเชียลเต็มไปด้วยสื่อซาตานที่แทรกซึมทั่วทุกหัวระแหง เลื่อนดูอะไรในสมาร์ตโฟนจะต้องเห็นพวกสัญลักษณ์แอบแฝงของนายทุนและแก๊งโจรมิจฉาชีพเหล่านี้เกร่อเต็มไปหมด แล้วคนไทยนี้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนกันอย่างที่เรียกว่าอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ประชากรน้อยกว่าประเทศอื่นอีกหลายประเทศ แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ควรต้องใช้ก็ยังมีสมาร์ตโฟน ที่พ่อแม่ผู้รังแกลูกหยิบยื่นให้ ด้วยเหตุนี้เยาวชนลูกหลานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อความชั่วที่ซ่อนมาหลากหลายรูปแบบ จึงง่ายมากต่อการตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้ ที่จ้องจะดึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกท่าน ให้หลงตกไปอยู่ในนรกของการพนัน บางทีมันหลอกล่อมาสารพัดในลักษณะของเกมออนไลน์ การแลกเงินจริงเป็นเงินในเกม การสะสมไอเทม การซื้อสารพัดที่เมื่อเด็กหลงเข้าไปเล่นเข้าสักครั้ง ความหวังที่จะหลุดออกมาได้นั้นยากเย็นกว่าเข็นครกขึ้นเขา ยิ่งติดยิ่งห้ามใจไม่ได้ อยากหาอยากมีไปแข่งไปอวดเพื่อน มันคือปากเหวแห่งหายนะโดยแท้ ที่แน่นอนคือหากยังปล่อยให้มีการเกิดขึ้นของบ่อนกาสิโนหลายแห่งทั้วประเทศ อนาคตที่ข้าพเจ้าไม่กล้าคิดจะเกิดขึ้นและมาถึงในไม่ช้า เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกปล้นฆ่าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ภายในบ้านหรือนอกบ้านจากคนทุกเพศทุกวัย เพราะเมื่อใดที่คนไม่มีเงิน แล้วยังติดหนี้การพนัน มันผู้นั้นย่อมขายจิตวิญญาณให้แก่ปีศาจไปแล้ว และสามารถทำได้ทุกสิ่งที่คนปกติไม่กล้าทำ เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ มีเมียมีลูกยังสามารถขายแลกเงินได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องมีหรือจะสน แม้แต่ชีวิตตนก็ยังขายตัวเป็นทาสได้ มีที่ดินก็หมดที่ดิน มีทรัพย์สินใดก็หมด เมื่อสิ้นทุกอย่างทีนี้แหละ จะเริ่มปล้นชิงวิ่งราว ขโมยสารพัด คดีทำร้ายร่างกาย ปล้น ฆ่า จะเต็มบ้านเมืองมากกว่าเดิมอย่างทวีคูณ สุดท้ายคนเป็นพ่อแม่หรือคนในครอบครัวของผีพนันก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความทุกข์ทับถมใจหนักหน่วงจะถ่วงความเจริญทางธรรมของคนให้ลดน้อยถอยลง แล้วสังคมโดยรวมก็จะมีแต่ความสาหัสของบาดแผลจากพิษภัยของการพนันจนยากกอบกู้ ให้ดูประเทศเพื่อนบ้านรายล้อมรอบเราว่าเขามีสภาพอย่างไรเถิด อนาคตเราอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น ถ้ามีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย จะเกิดนักพนันอายุน้อยขึ้นมาอีกมากมายอย่างน่ากลัว เมื่อเขาเหล่านั้นที่ยังไม่มีรายได้กลายเป็นทายาทผีพนัน ประเทศชาติก็มีแต่จะมุ่งหน้าเข้าหาความฉิบหายล่มจมในท้ายที่สุด ในฐานะที่ข้าพเจ้ายังเป็นพุทธมามกะที่ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่เคารพของตนไปจนตลอดชีวิต หากยังยินดีกับการเล่นพนันอยู่ อยากให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นแบบถูกกฎหมายในประเทศ นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนผู้ทุรยศต่อสถาบันศาสนาที่ตนเคารพนับถือ และต่อพระศาสดา เป็นคนอกตัญญู เป็นความละอายแก่ใจตนจนเกินกว่าจะกล้าเรียกตนเป็นพุทธศาสนิกชน สู้เป็นคนไม่นับถือศาสนาเสียเลยยังดีกว่า เพราะศาสนาพุทธ จะไม่มีทางยอมฮั้ว อี๋อ๋อ ซูฮก ซูเอี๋ย กะลิ้มกะเหลี่ย ปากมันเลียริมฝีปาก น้ำลายไหลยืดย้อย กับความกระสันอยากในเม็ดเงินที่มาจากการพนันทั้งหลายเป็นอันขาด ไม่ว่าจะชาตินี้หรืออีกกี่ชาติ #คัดค้านบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย #thaitimes #บทความ #ข้อคิด #ต้านบ่อนกาสิโน #สร้างป่าดีกว่าสร้างบ่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดร่องขุน จ.เชียงราย
    วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩
    #วัดร่องขุน
    #ท่องเที่ยว
    #เชียงราย
    วัดร่องขุน จ.เชียงราย วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩 #วัดร่องขุน #ท่องเที่ยว #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกโบราณ
    เป็นบันทึกโบราณที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา เป็นความเข้าใจของผู้เขียน

    นานมาแล้ว...ก่อนจะมีความทรงจำเกี่ยวกับอดีต มีเผ่าพันธุ์หนึ่งอยู่ร่วมกับอีกหลายเผ่าพันธุ์ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ในทุกๆด้าน รวมทั้งจิตและวิญญาน เป็นแผ่นดินที่อยู่กันกับธรรมชาติ และปัญญาที่ดีงาม เป็นสังคมที่เป็นสังคมในอุดมคติ ที่แผ่นดินอื่นไม่มี แต่เหมือนจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชะตากรรมที่ติดตัวมาหลายพันหลายหมื่นปีเป็นชะตากรรมหมู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น คำว่า มีเกิดมีดับ เป็นแบบนี้วนไป

    ประเทศไทย คนไทย และคนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เกิดและดับมาหลายครั้ง เกิดและดับ มีความพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นใคร มาจากไหน เหมือนจะหาหลักฐานมาแสดงให้ทุกคนเห็นช่างยากเย็นเหลือเกิน

    หลักฐานที่จะรู้ให้ได้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นใคร มาจากไหนมีหรือไม่ มีและมีมาก แต่รอยต่อประวัติศาสตร์ และการแยกเพื่อปกครองทำให้มีขบวนการที่ทำไห้หลักฐานที่มีอยู่ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างถูกต้อง บางอย่างถูกบิดเบือน โดยการชี้แนะจากการศึกษาที่บิดเบือน หรือไม่รู้ไม่เข้าใจจริงจริง

    เผ่าพันธุ์โบราณที่อยู่บนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ได้ทำหลักฐาน ว่าตัวเองและญาติพื่น้องได้จากมา จากแผ่นดินเดิมอย่างไร และผู้ที่ตกค้างอยู่แผ่นดินเดิมที่จากมามีสภาพอย่างไร

    คนโบราณไม่ได้มีความคิดเช่นคนปัจจุบัน คนบนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และคนไทยในปัจจุบันพยายามตามหาว่าเผ่าพันธ์ตัวเองมาจากแผ่นดินไหน แผ่นดินอยู่ที่ใด โดยไม่รู้เลยว่าแผ่นดินของบรรพบุรุษโดนทำลายด้วยน้ำ ทิ้งวัตถุโบราณที่เสมือนบันทึกไว้มากมายบนแผ่นดินที่เรียกว่าเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

    แผ่นดินโบราณเมื่อถูกน้ำเข้าทำลาย คนที่มีสิทธิ์หนีตายไม่ใช่ผู้มีอำนาจมากสุด แต่ผู้ที่จะเสียสละทุกอย่างคือผู้มีอำนาจ

    ผู้ที่รอดคือเด็ก ผู้ปกครองที่มีความรู้ ที่จะถ่ายทอดทุกอย่างให้ลูกหลาน มีชีวิตรอดและมีความรู้ที่จะสืบทอด และถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต ให้เด็กๆที่เมื่อโตขึ้น จะได้ทำบันทึกไว้ให้ผู้ที่ไม่รู้ รู้ว่าพวกเขามีชะตากรรมอย่างไร

    โพสต์นี้มีนำหลักฐานหลายอย่างนำมาลงให้ดู แต่มีหลักฐารแบบหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ธรรมจักร ธรรมจักรถูกเรียกจากนักวิชาการ ด้านโบราณคดี ผิดไหม ไม่ผิดที่เรียกแบบนั้น แต่เมื่อมีการตรวจสอบกันในเวลาต่อมามีสิ่งที่อยากจะเขียนให้เห็นให้เข้าใจ

    ภายในรูปธรรมจักร ถูกทำโดยชาวทวารวดี ไม่เคยมีใครสงสัยว่ารูปคนที่อยู่บนธรรมจักรเป็นใคร ในรูปมีอัปกิริยาที่ถูกทำมาอย่างเคารพเทิดทูนบูชา ภาพที่เห็นเป็นคนมีอำนาจที่พร้อมที่จะตายบนแผ่นดินที่เป็นอาณาจักรของตัวเองอย่าสงบ ภายใต้ความสงบก็ยังมีความห่วงใยลูกหลาน และคนที่ตัวเองไว้ใจ มือวางอย่างเป็นห่วง และส่งพลังให้คนที่ไว้ใจนำลูกหลานไปสร้างอาณาจักรใหม่ให้ได้ ถึงตัวเองจะต้องตายพร้อมกับน้ำที่ทำลายแผ่นดินนั้นอีกไม่กีนาทีก็ตาม

    วัตถุโบราณที่ถูกเรียกธรรมจักร (ผังเมือง) โบราณและกลองมโหระทึกโบราณ(ผังเมือง)
    คือ...ผังเมืองโบราณที่ลูกหลานตามหากันนั้นเอง ธรรมจักรและกลองมโหระทึกโบราณมีแต่ลายน้ำที่ใช้อธิบายที่ไม่ใช่ตัวหนังสืออธิบาย

    บทความและหลักฐานโบราณ
    โดยคุณทราวิฑะ นอกกรอบ
    Fb ทราวิฑะ นอกกรอบ
    บันทึกโบราณ เป็นบันทึกโบราณที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา เป็นความเข้าใจของผู้เขียน นานมาแล้ว...ก่อนจะมีความทรงจำเกี่ยวกับอดีต มีเผ่าพันธุ์หนึ่งอยู่ร่วมกับอีกหลายเผ่าพันธุ์ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ในทุกๆด้าน รวมทั้งจิตและวิญญาน เป็นแผ่นดินที่อยู่กันกับธรรมชาติ และปัญญาที่ดีงาม เป็นสังคมที่เป็นสังคมในอุดมคติ ที่แผ่นดินอื่นไม่มี แต่เหมือนจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชะตากรรมที่ติดตัวมาหลายพันหลายหมื่นปีเป็นชะตากรรมหมู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น คำว่า มีเกิดมีดับ เป็นแบบนี้วนไป ประเทศไทย คนไทย และคนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เกิดและดับมาหลายครั้ง เกิดและดับ มีความพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นใคร มาจากไหน เหมือนจะหาหลักฐานมาแสดงให้ทุกคนเห็นช่างยากเย็นเหลือเกิน หลักฐานที่จะรู้ให้ได้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นใคร มาจากไหนมีหรือไม่ มีและมีมาก แต่รอยต่อประวัติศาสตร์ และการแยกเพื่อปกครองทำให้มีขบวนการที่ทำไห้หลักฐานที่มีอยู่ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างถูกต้อง บางอย่างถูกบิดเบือน โดยการชี้แนะจากการศึกษาที่บิดเบือน หรือไม่รู้ไม่เข้าใจจริงจริง เผ่าพันธุ์โบราณที่อยู่บนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ได้ทำหลักฐาน ว่าตัวเองและญาติพื่น้องได้จากมา จากแผ่นดินเดิมอย่างไร และผู้ที่ตกค้างอยู่แผ่นดินเดิมที่จากมามีสภาพอย่างไร คนโบราณไม่ได้มีความคิดเช่นคนปัจจุบัน คนบนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และคนไทยในปัจจุบันพยายามตามหาว่าเผ่าพันธ์ตัวเองมาจากแผ่นดินไหน แผ่นดินอยู่ที่ใด โดยไม่รู้เลยว่าแผ่นดินของบรรพบุรุษโดนทำลายด้วยน้ำ ทิ้งวัตถุโบราณที่เสมือนบันทึกไว้มากมายบนแผ่นดินที่เรียกว่าเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แผ่นดินโบราณเมื่อถูกน้ำเข้าทำลาย คนที่มีสิทธิ์หนีตายไม่ใช่ผู้มีอำนาจมากสุด แต่ผู้ที่จะเสียสละทุกอย่างคือผู้มีอำนาจ ผู้ที่รอดคือเด็ก ผู้ปกครองที่มีความรู้ ที่จะถ่ายทอดทุกอย่างให้ลูกหลาน มีชีวิตรอดและมีความรู้ที่จะสืบทอด และถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต ให้เด็กๆที่เมื่อโตขึ้น จะได้ทำบันทึกไว้ให้ผู้ที่ไม่รู้ รู้ว่าพวกเขามีชะตากรรมอย่างไร โพสต์นี้มีนำหลักฐานหลายอย่างนำมาลงให้ดู แต่มีหลักฐารแบบหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ธรรมจักร ธรรมจักรถูกเรียกจากนักวิชาการ ด้านโบราณคดี ผิดไหม ไม่ผิดที่เรียกแบบนั้น แต่เมื่อมีการตรวจสอบกันในเวลาต่อมามีสิ่งที่อยากจะเขียนให้เห็นให้เข้าใจ ภายในรูปธรรมจักร ถูกทำโดยชาวทวารวดี ไม่เคยมีใครสงสัยว่ารูปคนที่อยู่บนธรรมจักรเป็นใคร ในรูปมีอัปกิริยาที่ถูกทำมาอย่างเคารพเทิดทูนบูชา ภาพที่เห็นเป็นคนมีอำนาจที่พร้อมที่จะตายบนแผ่นดินที่เป็นอาณาจักรของตัวเองอย่าสงบ ภายใต้ความสงบก็ยังมีความห่วงใยลูกหลาน และคนที่ตัวเองไว้ใจ มือวางอย่างเป็นห่วง และส่งพลังให้คนที่ไว้ใจนำลูกหลานไปสร้างอาณาจักรใหม่ให้ได้ ถึงตัวเองจะต้องตายพร้อมกับน้ำที่ทำลายแผ่นดินนั้นอีกไม่กีนาทีก็ตาม วัตถุโบราณที่ถูกเรียกธรรมจักร (ผังเมือง) โบราณและกลองมโหระทึกโบราณ(ผังเมือง) คือ...ผังเมืองโบราณที่ลูกหลานตามหากันนั้นเอง ธรรมจักรและกลองมโหระทึกโบราณมีแต่ลายน้ำที่ใช้อธิบายที่ไม่ใช่ตัวหนังสืออธิบาย บทความและหลักฐานโบราณ โดยคุณทราวิฑะ นอกกรอบ Fb ทราวิฑะ นอกกรอบ
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง
    ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม

    ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง

    ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน
    มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง

    และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาของฉัน
    ความปรารถนาของฉันในชีวิตนี้ชาติหนึ่งนี้มีอะไรบ้างนั้น ทุกคนมาติดตามกันได้ดังนี้จ้า
    ก่อนอื่นจะแบ่งความปรารถนาของฉันเป็นสองทางนะ คือทางธรรมกับทางโลก ฉันจะเริ่มต้นที่ทางธรรมก่อนนะ
    ความปรารถนาทางธรรมของฉันนั้นคือ การได้เป็นผู้พิทักษ์ราชาแห่งความมืดที่แท้จริง คือการได้รับการยอมรับจากเพื่อนพ้องและทุกคนว่าเป็นผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในหกเสาหลักผู้พิทักษ์ในองค์กร กับ การบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธองค์ในศาสนาพุทธ นั่นก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปนั่นเอง
    ความปรารถนาทางโลกของฉันนั้นคือ การที่ได้ก่อตั้งองค์กรลับใต้ดิน ดิ เอลเลเม้นท์ อย่างเป็นรูปธรรม ก็เพื่อค้ำจุนช่วยเหลือประเทศนี้ให้ดำรงอยู่สืบไปชั่วลูกหลาน ซึ่งก็คือการปิดทองหลังพระโดยที่ไม่มีใครรับรู้ว่ามีองค์กรลับนี้อยู่ ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ โดยขึ้นตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเปรียบได้กับคณะองคมนตรีนั่นเอง กับ การที่ฉันได้ตายไปแล้วและได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลนั่นเอง โดยที่ฉันปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นดั่งวีรบุรุษบรรพชนที่ได้เคยเสียสละตนเองเพื่อคนรุ่นหลังมาแล้วนั่นเอง
    สุดท้ายนี้ความหวังความฝันของฉันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่ากับมีเพื่อนพ้องที่รักและเข้าใจในตัวฉันอย่างแท้จริง และเมื่อฉันได้ตายไปแล้วนั้น ก็มีคนไปงานศพของฉันเพื่อไว้อาลัยให้กับฉันเป็นครั้งสุดท้าย แค่นี้ฉันก็ดีใจนอนตายตาหลับแล้วล่ะทุกคน
    ความปรารถนาของฉัน ความปรารถนาของฉันในชีวิตนี้ชาติหนึ่งนี้มีอะไรบ้างนั้น ทุกคนมาติดตามกันได้ดังนี้จ้า ก่อนอื่นจะแบ่งความปรารถนาของฉันเป็นสองทางนะ คือทางธรรมกับทางโลก ฉันจะเริ่มต้นที่ทางธรรมก่อนนะ ความปรารถนาทางธรรมของฉันนั้นคือ การได้เป็นผู้พิทักษ์ราชาแห่งความมืดที่แท้จริง คือการได้รับการยอมรับจากเพื่อนพ้องและทุกคนว่าเป็นผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในหกเสาหลักผู้พิทักษ์ในองค์กร กับ การบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธองค์ในศาสนาพุทธ นั่นก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปนั่นเอง ความปรารถนาทางโลกของฉันนั้นคือ การที่ได้ก่อตั้งองค์กรลับใต้ดิน ดิ เอลเลเม้นท์ อย่างเป็นรูปธรรม ก็เพื่อค้ำจุนช่วยเหลือประเทศนี้ให้ดำรงอยู่สืบไปชั่วลูกหลาน ซึ่งก็คือการปิดทองหลังพระโดยที่ไม่มีใครรับรู้ว่ามีองค์กรลับนี้อยู่ ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ โดยขึ้นตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเปรียบได้กับคณะองคมนตรีนั่นเอง กับ การที่ฉันได้ตายไปแล้วและได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลนั่นเอง โดยที่ฉันปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นดั่งวีรบุรุษบรรพชนที่ได้เคยเสียสละตนเองเพื่อคนรุ่นหลังมาแล้วนั่นเอง สุดท้ายนี้ความหวังความฝันของฉันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่ากับมีเพื่อนพ้องที่รักและเข้าใจในตัวฉันอย่างแท้จริง และเมื่อฉันได้ตายไปแล้วนั้น ก็มีคนไปงานศพของฉันเพื่อไว้อาลัยให้กับฉันเป็นครั้งสุดท้าย แค่นี้ฉันก็ดีใจนอนตายตาหลับแล้วล่ะทุกคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน
    ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ
    ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ
    ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที
    พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น
    พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง
    ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน
    ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง
    สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตวิญญาณ
    บางคนอาจจะคงสงสัยว่าคำๆนี้มีความหมายว่าอย่างไร และคนที่เอ่ยถึงคำๆนี้นั้นเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมสามารถที่จะพอตอบกับทุกคนได้เลยว่า คนที่เอ่ยคำๆนี้นั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นคนที่บรรลุธรรมขั้นสูงมาอย่างโชกโชนและมีประสบการณ์มากมายพอตัวเลยทีเดียว ถ้าคนๆนั้นรู้ความหมายที่แท้จริงของคำๆนี้
    จิตวิญญาณนั้นล้วนมีอยู่ในตัวของทุกๆคน แต่เค้าคนนั้นจะล่วงรู้ค้นพบถึงคำๆนี้และเข้าใจความหมายของจิตวิญญาณของตนเองหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว และจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้มาอย่างยาวนานมากมาย ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าถึงซึ่งความหมายของคำๆนี้และได้หมดลมหายใจตายไปอย่างไร้คุณค่าไร้ราคา
    จิตวิญญาณนั้นมีหลากหลายแบบ เช่น จิตวิญญาณของความเป็นคนหรือสัตว์ จิตวิญญาณของความเป็นคนอาชีพนั้นๆ จิตวิญญาณของธรรมชาติ จิตวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งความหมายของมันก็จะแตกต่างกันไป
    จิตวิญญาณนั้น คือการรวมกันระหว่าง จิตใจ กับ วิญญาณ ซึ่งทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น
    ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงนั้นคือจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้มาง่ายดายเลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมือนกันกับการเรียนรู้สรรพวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะศรัทธานับถือในศาสนาใด และจะต้องเข้าถึงหลักธรรมของศาสนานั้นๆอย่างเข้าใจเข้าถึงอย่างแท้จริง หรือก็คือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดนั่นเอง ซึ่งผมจะยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธ ก็จะต้องบรรลุธรรมมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าใจเข้าถึงซึ่งจิตวิญญาณที่แท้จริงนั่นเอง
    จิตวิญญาณ บางคนอาจจะคงสงสัยว่าคำๆนี้มีความหมายว่าอย่างไร และคนที่เอ่ยถึงคำๆนี้นั้นเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมสามารถที่จะพอตอบกับทุกคนได้เลยว่า คนที่เอ่ยคำๆนี้นั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นคนที่บรรลุธรรมขั้นสูงมาอย่างโชกโชนและมีประสบการณ์มากมายพอตัวเลยทีเดียว ถ้าคนๆนั้นรู้ความหมายที่แท้จริงของคำๆนี้ จิตวิญญาณนั้นล้วนมีอยู่ในตัวของทุกๆคน แต่เค้าคนนั้นจะล่วงรู้ค้นพบถึงคำๆนี้และเข้าใจความหมายของจิตวิญญาณของตนเองหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว และจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้มาอย่างยาวนานมากมาย ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าถึงซึ่งความหมายของคำๆนี้และได้หมดลมหายใจตายไปอย่างไร้คุณค่าไร้ราคา จิตวิญญาณนั้นมีหลากหลายแบบ เช่น จิตวิญญาณของความเป็นคนหรือสัตว์ จิตวิญญาณของความเป็นคนอาชีพนั้นๆ จิตวิญญาณของธรรมชาติ จิตวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งความหมายของมันก็จะแตกต่างกันไป จิตวิญญาณนั้น คือการรวมกันระหว่าง จิตใจ กับ วิญญาณ ซึ่งทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงนั้นคือจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้มาง่ายดายเลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมือนกันกับการเรียนรู้สรรพวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะศรัทธานับถือในศาสนาใด และจะต้องเข้าถึงหลักธรรมของศาสนานั้นๆอย่างเข้าใจเข้าถึงอย่างแท้จริง หรือก็คือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดนั่นเอง ซึ่งผมจะยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธ ก็จะต้องบรรลุธรรมมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าใจเข้าถึงซึ่งจิตวิญญาณที่แท้จริงนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นราชาแห่งความมืด
    การเป็นราชาแห่งความมืดนั้น ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องที่สนุกสนานที่จะนำมาล้อเล่นกันได้ แต่เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งยวดมากมายหลายเท่านัก ใช่ว่าใครๆก็เป็นกันได้ จะต้องมีจิตวิญญาณที่แน่วแน่มั่นคงยิ่งยวด และจะต้องรู้จักระงับอารมณ์หยุดยอมผ่อนปรนด้วย
    การเป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีด้วยกันสองแบบคือ ราชาแห่งความมืดทั่วไป หรือราชาผู้ที่ชั่วร้ายที่ถูกความมืดเข้าครอบงำจิตใจ กับราชาแห่งความมืดที่แท้จริง หรือผู้ซึ่งถูกลิขิตให้เป็นราชาที่อยู่เหนือตนเองได้และอยู่เหนือความมืดมิดทั้งมวล
    คุณสมบัติของราชาแห่งความมืดทั้งสองแบบมีดังต่อไปนี้คือ
    1.เป็นคนที่เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวชีวิตที่เลวร้ายมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบันและรวมทั้งอนาคตด้วย(ซึ่งจะต้องเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้ากันได้เลย)
    2.เคยเป็นคนที่สติฟั่นเฟือน หรือคนบ้าวิกลจริตโรคจิตโรคประสาทมาก่อน(โดยด้วยตนเองและหรือโดยด้วยคนอื่นๆในสังคมยัดเยียดให้เป็น)
    3.จะต้องมีศาสนาและบรรลุธรรมขั้นสูงในศาสนานั้นๆด้วย(ไม่ใช่คนไร้ศาสนาและต้องเข้าใจในหลักธรรมอย่างลึกซึ้งซึ่งต้องเป็นคนที่เคร่งศาสนาพอสมควร)
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชาแห่งความมืดนั่นเอง
    ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    การเป็นราชาแห่งความมืด การเป็นราชาแห่งความมืดนั้น ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องที่สนุกสนานที่จะนำมาล้อเล่นกันได้ แต่เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งยวดมากมายหลายเท่านัก ใช่ว่าใครๆก็เป็นกันได้ จะต้องมีจิตวิญญาณที่แน่วแน่มั่นคงยิ่งยวด และจะต้องรู้จักระงับอารมณ์หยุดยอมผ่อนปรนด้วย การเป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีด้วยกันสองแบบคือ ราชาแห่งความมืดทั่วไป หรือราชาผู้ที่ชั่วร้ายที่ถูกความมืดเข้าครอบงำจิตใจ กับราชาแห่งความมืดที่แท้จริง หรือผู้ซึ่งถูกลิขิตให้เป็นราชาที่อยู่เหนือตนเองได้และอยู่เหนือความมืดมิดทั้งมวล คุณสมบัติของราชาแห่งความมืดทั้งสองแบบมีดังต่อไปนี้คือ 1.เป็นคนที่เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวชีวิตที่เลวร้ายมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบันและรวมทั้งอนาคตด้วย(ซึ่งจะต้องเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้ากันได้เลย) 2.เคยเป็นคนที่สติฟั่นเฟือน หรือคนบ้าวิกลจริตโรคจิตโรคประสาทมาก่อน(โดยด้วยตนเองและหรือโดยด้วยคนอื่นๆในสังคมยัดเยียดให้เป็น) 3.จะต้องมีศาสนาและบรรลุธรรมขั้นสูงในศาสนานั้นๆด้วย(ไม่ใช่คนไร้ศาสนาและต้องเข้าใจในหลักธรรมอย่างลึกซึ้งซึ่งต้องเป็นคนที่เคร่งศาสนาพอสมควร) นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชาแห่งความมืดนั่นเอง ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขที่แท้จริง
    บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    ความสุขที่แท้จริง บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือคือเพื่อนแท้
    ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือกันสักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีเวลา หรืออาจเป็นเพราะว่ามีสื่อประเภทอื่นๆที่ดีกว่า สะดวกกว่าก็เป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้ผมก็ชอบที่จะอ่านหนังสืออยู่ดี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยน่าสนใจ น่าอ่านเท่ากับในสมัยก่อนหน้านี้ ที่เทคโนโลยียังไม่ทันสมัยและเลือกไม่ได้มากมายนักเหมือนกับในสมัยนี้ตอนนี้ แต่มันเป็นสื่อที่เป็นพื้นฐานและมีความเป็นมนต์ขลังในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรประเภทไหนๆก็ตาม ล้วนมีความหมายและคุณค่าในตัวของมันเองทุกเรื่องทุกเล่ม โดยเฉพาะหนังสือจำพวกประเภทศาสนา,ปรัชญา,ความรู้ทางด้านจิตวิญญาณนั้น ผมจะชอบเสาะแสวงหามาอ่านให้จนได้อยู่ดี ไม่ว่ามันจะให้ความรู้และคุณค่ามากน้อยเพียงใด แต่ในยุคสมัยนี้หนังสือที่มีคุณภาพและราคาถูกก็มี เช่น หนังสือในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น มักจะมีหนังสือใหม่ๆอยู่เสมอที่มีราคาถูกกว่าที่อื่น ผมมักจะเข้าไปที่ร้านและดูหนังสือและซื้อหนังสือเล่มที่ถูกใจไปอ่านแทบทุกเดือน ส่วนที่อื่นนั้นก็มี เช่น ที่ร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค แต่เป็นบางเล่มเท่านั้นที่จะมีราคาถูกและมีเนื้อหาสาระที่ดีน่าอ่าน ร้านหนังสือไพลินบุ๊คก็มีหนังสือที่ราคาถูกและดีมีคุณภาพเหมือนกัน แต่จะเป็นเล่มที่เก่าหน่อย และหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมกันในหมู่เด็กวัยรุ่น เสริมสร้างจิตนาการณ์ได้ดี และอย่าคิดว่าหนังสือจำพวกนี้ไม่มีสาระและข้อคิดนะครับ หนังสือจำพวกนี้ก็มีข้อคิดคติเตือนใจเหมือนกัน ผมก็เช่าหามาอ่านตามร้านเช่าหนังสือการ์ตูนแถวบ้านเหมือนกัน และก็ดีตรงที่เราไม่ต้องไปซื้อหามาอ่านเพื่อประหยัดตังค์และหาเลือกอ่านได้มากมายหลายเรื่องเลย
    ที่ผมยกตัวอย่างของตัวเองมาให้เห็นเป็นภาพที่ชัดเจนก็เพื่อว่าจะได้ทำให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่ายและหันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น ซึ่งสถิติที่ผมได้รับรู้มาคือ คนไทยเริ่มที่จะอ่านหนังสือกันน้อยลงมากขึ้นทุกที ไม่เหมือนกับในสมัยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว หนังสือคือเพื่อนแท้ของเรา มันไม่เคยทำร้ายเรา เป็นทั้งครูที่คอยสอน เป็นทั้งเพื่อนในยามว่างและยามเหงา เป็นทั้งเพื่อนคู่ใจ เป็นทั้งเพื่อนในยามสนุกสนาน เป็นทั้งเพื่อนเก่าให้เพื่อนใหม่ และเป็นอีกหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย แล้วแต่คุณจะสื่อถึงและให้เป็น สุดท้ายนี้ผมแค่อยากจะบอกคุณผู้อ่านให้ได้รับรู้และทราบว่า ไม่มีมิตรใดที่ให้เราโดยถ่ายเดียวมากไปกว่าหนังสืออีกแล้วล่ะครับ และผมอยากจะขอและส่งต่อความคิดนี้ให้กับคุณ มันคือเพื่อนแท้ของเราจริงๆนะ หนังสือนี่น่ะ ได้โปรดเก็บรักษามันไว้ให้เป็นอย่างดีเพื่อตัวคุณเองและคนรอบข้างคุณได้สัมผัสกับหนังสือคู่คิดคู่ใจของคุณ
    หนังสือคือเพื่อนแท้ ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือกันสักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีเวลา หรืออาจเป็นเพราะว่ามีสื่อประเภทอื่นๆที่ดีกว่า สะดวกกว่าก็เป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้ผมก็ชอบที่จะอ่านหนังสืออยู่ดี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยน่าสนใจ น่าอ่านเท่ากับในสมัยก่อนหน้านี้ ที่เทคโนโลยียังไม่ทันสมัยและเลือกไม่ได้มากมายนักเหมือนกับในสมัยนี้ตอนนี้ แต่มันเป็นสื่อที่เป็นพื้นฐานและมีความเป็นมนต์ขลังในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรประเภทไหนๆก็ตาม ล้วนมีความหมายและคุณค่าในตัวของมันเองทุกเรื่องทุกเล่ม โดยเฉพาะหนังสือจำพวกประเภทศาสนา,ปรัชญา,ความรู้ทางด้านจิตวิญญาณนั้น ผมจะชอบเสาะแสวงหามาอ่านให้จนได้อยู่ดี ไม่ว่ามันจะให้ความรู้และคุณค่ามากน้อยเพียงใด แต่ในยุคสมัยนี้หนังสือที่มีคุณภาพและราคาถูกก็มี เช่น หนังสือในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น มักจะมีหนังสือใหม่ๆอยู่เสมอที่มีราคาถูกกว่าที่อื่น ผมมักจะเข้าไปที่ร้านและดูหนังสือและซื้อหนังสือเล่มที่ถูกใจไปอ่านแทบทุกเดือน ส่วนที่อื่นนั้นก็มี เช่น ที่ร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค แต่เป็นบางเล่มเท่านั้นที่จะมีราคาถูกและมีเนื้อหาสาระที่ดีน่าอ่าน ร้านหนังสือไพลินบุ๊คก็มีหนังสือที่ราคาถูกและดีมีคุณภาพเหมือนกัน แต่จะเป็นเล่มที่เก่าหน่อย และหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมกันในหมู่เด็กวัยรุ่น เสริมสร้างจิตนาการณ์ได้ดี และอย่าคิดว่าหนังสือจำพวกนี้ไม่มีสาระและข้อคิดนะครับ หนังสือจำพวกนี้ก็มีข้อคิดคติเตือนใจเหมือนกัน ผมก็เช่าหามาอ่านตามร้านเช่าหนังสือการ์ตูนแถวบ้านเหมือนกัน และก็ดีตรงที่เราไม่ต้องไปซื้อหามาอ่านเพื่อประหยัดตังค์และหาเลือกอ่านได้มากมายหลายเรื่องเลย ที่ผมยกตัวอย่างของตัวเองมาให้เห็นเป็นภาพที่ชัดเจนก็เพื่อว่าจะได้ทำให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่ายและหันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น ซึ่งสถิติที่ผมได้รับรู้มาคือ คนไทยเริ่มที่จะอ่านหนังสือกันน้อยลงมากขึ้นทุกที ไม่เหมือนกับในสมัยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว หนังสือคือเพื่อนแท้ของเรา มันไม่เคยทำร้ายเรา เป็นทั้งครูที่คอยสอน เป็นทั้งเพื่อนในยามว่างและยามเหงา เป็นทั้งเพื่อนคู่ใจ เป็นทั้งเพื่อนในยามสนุกสนาน เป็นทั้งเพื่อนเก่าให้เพื่อนใหม่ และเป็นอีกหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย แล้วแต่คุณจะสื่อถึงและให้เป็น สุดท้ายนี้ผมแค่อยากจะบอกคุณผู้อ่านให้ได้รับรู้และทราบว่า ไม่มีมิตรใดที่ให้เราโดยถ่ายเดียวมากไปกว่าหนังสืออีกแล้วล่ะครับ และผมอยากจะขอและส่งต่อความคิดนี้ให้กับคุณ มันคือเพื่อนแท้ของเราจริงๆนะ หนังสือนี่น่ะ ได้โปรดเก็บรักษามันไว้ให้เป็นอย่างดีเพื่อตัวคุณเองและคนรอบข้างคุณได้สัมผัสกับหนังสือคู่คิดคู่ใจของคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน"
    ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น
    แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง
    น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง
    คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง
    น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า
    ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป
    ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง
    สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
    ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
    ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน" ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อคิดจากหนังสือการ์ตูนเรื่องยูเรก้าเซเว่น
    6 ม.ค. 18:41 น.
    คนเราจะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ต่างกับตัวเองได้รึเปล่า และเมื่อยอมรับว่าแตกต่างแล้วจะอยู่ร่วมกันได้รึเปล่า
    ลำพังแค่เชื้อชาติหรือศาสนาต่างกันก็ยอมรับอีกฝ่ายไม่ได้ นี่คือสภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายของโลกใบนี้ มันเป็นปัญหาที่สำคัญมาก
    เรนตั้นจะหลงรักยูเรก้าที่ไม่ใช่มนุษย์ได้รึเปล่า
    โลกที่มีการอยู่ร่วมกันโดยยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น ก็คืออนาคตที่เรนตั้นและยูเรก้ามุ่งหวัง


    ทาเคดะ เซย์จิ
    ผู้ให้ความเห็นในบทความนี้
    Psalms of Planets Eureka seveN
    ข้อคิดจากหนังสือการ์ตูนเรื่องยูเรก้าเซเว่น 6 ม.ค. 18:41 น. คนเราจะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ต่างกับตัวเองได้รึเปล่า และเมื่อยอมรับว่าแตกต่างแล้วจะอยู่ร่วมกันได้รึเปล่า ลำพังแค่เชื้อชาติหรือศาสนาต่างกันก็ยอมรับอีกฝ่ายไม่ได้ นี่คือสภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายของโลกใบนี้ มันเป็นปัญหาที่สำคัญมาก เรนตั้นจะหลงรักยูเรก้าที่ไม่ใช่มนุษย์ได้รึเปล่า โลกที่มีการอยู่ร่วมกันโดยยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น ก็คืออนาคตที่เรนตั้นและยูเรก้ามุ่งหวัง ทาเคดะ เซย์จิ ผู้ให้ความเห็นในบทความนี้ Psalms of Planets Eureka seveN
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุดมการณ์ของฉัน
    อุดมการณ์ของฉันก็คือ สืบทอด สานต่อ เจตจำนงของบรรพชน ธำรงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
    “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ที่พยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อคนอื่นที่เค้ามีความทุกข์ ให้พวกเค้าได้คลายทุกข์โศก ได้มีความหวังกำลังใจ ที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป ก็เท่านั้นเอง”
    อุดมการณ์ของฉัน อุดมการณ์ของฉันก็คือ สืบทอด สานต่อ เจตจำนงของบรรพชน ธำรงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ที่พยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อคนอื่นที่เค้ามีความทุกข์ ให้พวกเค้าได้คลายทุกข์โศก ได้มีความหวังกำลังใจ ที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป ก็เท่านั้นเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายๆศาสนาสอนให้คนลดละเลิกการพนัน เพื่อนๆว่านักการเมืองที่สนับสนุนให้มีบ่อนกสรพนันเขานับถือศาสนาอะไรกันครับ
    หลายๆศาสนาสอนให้คนลดละเลิกการพนัน เพื่อนๆว่านักการเมืองที่สนับสนุนให้มีบ่อนกสรพนันเขานับถือศาสนาอะไรกันครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สนธิ”กับ‘วันชัย สอนศิริ ’มาตรฐานต่างกัน
    ราว “พญาเหยี่ยว”กับ‘นกกระจอก’
    .
    เรื่องของผม สนธิ ลิ้มทองกุลกับคุณวันชัย สอนศิริ ผมกลับมานอนคิดสะระตะแล้ว เฮ้ย! ความผิดอยู่ที่เรานี่หว่า ผมพลาดไปเองที่ใช้มาตรฐานผมเป็นตัวตั้ง แล้วผมก็หวังว่าคุณคงจะมีมาตรฐานเหมือนผม นี่คือข้อผิดพลาดในชีวิตของผม ผมเพิ่งจะรู้ว่ามาตรฐานของคุณกับผมมันห่างกันเหลือเกินเป็นพันๆ ลี้ อุปมาอุปไมยผมเหมือนพญาเหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่คุณคือนกกระจอก นกกระจิบ ที่บินอยู่ข้างล่าง หากินกับไส้เดือนบนพื้นดิน
    .
    มาตรฐานของผมคือ “อะไรที่ถูกต้อง ผมไม่ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว” จนวันนี้ก็ยังไม่ถอย ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง จากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยเปลี่ยน และผมยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
    .
    หลักการตรงนี้อยู่ติดตัวผมมานานแล้ว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่ผมสนับสนุนและส่งเสริมให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำเรื่องน้องแตงโมนั้น ก็เพราะว่าหลักการของสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ ให้ประชาชนได้รับรู้อีกด้านหนึ่ง
    .
    คุณวันชัย คุณรู้หรือเปล่าว่าผมสู้มาตั้งแต่ปี 2548 ยี่สิบปีแล้วที่ผมออกมาสู้ มาถึงวันนี้ ฝนตก แดดออก พายุเข้า พอทุกอย่างฟ้าใสแจ้งจางปาง พระอาทิตย์ออก ประชาชนเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่คุณวันชัยต้องยอมรับกับผมนะว่า ประเทศไทยมีคนอยู่ไม่น้อยเลยที่ยอมเสียหลักการของตัวเอง เพื่อเลียคนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ผมไม่ทราบว่าคุณวันชัย เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า
    .
    ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยความไม่กลัว ความกลัวคือความเสื่อม แล้วอีกอันหนึ่งที่ผมอยู่ได้เพราะ ธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ผมที่คุณดูถูก เยาะเย้ย เหยียดหยามหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า “สนธิ ธรรมชนะอธรรม ชนะอวิชชา ธรรมจะใช้เวลานิดหนึ่ง” เหมือนกับที่ผมต้องใช้เวลาถึง 17 ปี ผมและพันธมิตรฯ ทุกคนถึงได้รับการนิรโทษกรรมทางใจว่าพวกผมสู้มาไม่ผิด แต่ต้องรอตั้ง 17 ปี กว่า "ธรรม" ที่หลวงตามหาบัวสอนผมมาเป็นความจริง พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ธรรมนำหน้าของผมที่ต่อสู้กับเจ้านายคุณ คือทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะนายคุณยอมรับสารภาพในราชกิจจานุเบกษาว่าได้ทำผิดจริง ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงจริง 1..2..3..4.. ถึงโดนโทษจำคุก 8 ปี แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
    .
    ผมเป็นคนเชื่อในหลักนิติธรรม และผมเคารพในหลักนิติธรรม ไม่ยอมปฏิเสธ ไม่หลบหนี มาตรฐานของผมบอกว่า ขนาดผมยังยอมเดินเข้าคุก ไม่หนี ติดคุกอยู่ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน แล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา เนื่องในวาระของราชาภิเษก ให้รัชกาลที่ 10 ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ตอนนั้น ของผมถูกต้องตามระเบียบทุกประการ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คุณวันชัยครับ เผอิญว่านี่ก็คือมาตรฐานของผมอย่างหนึ่งเช่นกัน ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง ผมไม่เคยต้องไปเลียรองเท้าของนายพลต่างๆ เพื่อให้นายพลตั้งตัวเองเป็น สว. พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะหมดอำนาจแล้วตั้งแต่สิงหาคม ก็เริ่มเลียการเมือง ผมไม่ได้พูดถึงใครนะครับคุณวันชัย อย่าเดือดร้อน
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว คุณจะไปตกลงอะไรกับทักษิณ ชินวัตร คุณตอบผมสักคำได้ไหมว่า นายใหม่คุณ เจ้าของคอกหมา ซึ่งคุณเข้าไปในคอกนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำอะไรให้บ้างตั้งแต่เขากลับมา นอกจากสร้างความวุ่นวายในเรื่องหลักนิติธรรมให้วุ่นวายทั่วประเทศ วิสัยทัศน์เขามีอะไร นอกจากการพนัน ตั้งบ่อนกาสิโน นอกจากแจกเงิน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ที่คุณบอกเป็นนารีกู้แผ่นดิน คุณวันชัยครับ ประชาชนเขาหัวเราะขำคำว่า "นารีกู้แผ่นดิน" ของคุณ
    .
    คุณวันชัย คุณเป็นทนาย คุณก็รู้ว่าในศาลเขาแพ้ชนะกันที่ประจักษ์พยานไม่ใช่หรือ แล้วคุณจะมาว่าผมสร้างความวุ่นวายได้อย่างไร ตัววุ่นวายคือนายคุณ ที่สร้างความวุ่นวาย แล้วคุณก็เป็นลูกคู่ที่เข้าไปช่วยทำให้ความวุ่นวายนั้นมันวุ่นวายมากขึ้น
    .
    มาตรฐานผม ผมไม่เคยถอย คุณบอกคุณเป็นนักเลง นักเลงกล้าได้กล้าเสีย แต่ผมเป็นนักเลงโบราณซึ่งนักเลงทั่วๆไปไม่มี คือผมเป็นคนที่มีสัจจะที่มีคนเชื่อผมเป็นแสนๆเป็นล้านคนทุกวันนี้ คุณไม่ต้องท้าผม ถึงเวลา ถ้าจำเป็น ผมจะลงถนนแน่นอน ผมจะลงถนนแน่นอน ถ้าการกระทำของรัฐบาลนี้ส่อให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยของประเทศ ผมพร้อมเสมอ อย่ามาบอกว่าเดี๋ยวนี้ผมเรียกคนไม่ได้ คุณจะลองมั้ย ถึงวันนั้นแล้วคุณอย่าเสียใจนะว่าคุณปากไม่ดี พูดไม่ดี คุณวันชัย อยากจะพล่ามอะไรก็พล่าม เพราะคุณจำเป็นต้องพล่ามให้มากๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นายคุณ ว่าผมทำงานให้แล้วนะ ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลถ้ามี ตั้งผมหน่อย
    .
    คุณจำไว้อย่างนะคุณวันชัย ผมไม่เคยเลียแข้งเลียขาใครเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง อย่างเช่นเป็น สว. ไม่เคย ให้ตายสิ พอผมพูดถึงคุณแล้ว เขาหัวเราะกัน ประพันธ์ คูณมีบอกว่า พี่อย่าไปสนใจเลยไอ้คนประเภทนี้ คุณวันชัย เชิญคุณตามสบาย จะยั่วยุอย่างไร ยั่วยุไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณกับผมมันคนละมาตรฐานกัน
    “สนธิ”กับ‘วันชัย สอนศิริ ’มาตรฐานต่างกัน ราว “พญาเหยี่ยว”กับ‘นกกระจอก’ . เรื่องของผม สนธิ ลิ้มทองกุลกับคุณวันชัย สอนศิริ ผมกลับมานอนคิดสะระตะแล้ว เฮ้ย! ความผิดอยู่ที่เรานี่หว่า ผมพลาดไปเองที่ใช้มาตรฐานผมเป็นตัวตั้ง แล้วผมก็หวังว่าคุณคงจะมีมาตรฐานเหมือนผม นี่คือข้อผิดพลาดในชีวิตของผม ผมเพิ่งจะรู้ว่ามาตรฐานของคุณกับผมมันห่างกันเหลือเกินเป็นพันๆ ลี้ อุปมาอุปไมยผมเหมือนพญาเหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่คุณคือนกกระจอก นกกระจิบ ที่บินอยู่ข้างล่าง หากินกับไส้เดือนบนพื้นดิน . มาตรฐานของผมคือ “อะไรที่ถูกต้อง ผมไม่ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว” จนวันนี้ก็ยังไม่ถอย ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง จากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยเปลี่ยน และผมยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ . หลักการตรงนี้อยู่ติดตัวผมมานานแล้ว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่ผมสนับสนุนและส่งเสริมให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำเรื่องน้องแตงโมนั้น ก็เพราะว่าหลักการของสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ ให้ประชาชนได้รับรู้อีกด้านหนึ่ง . คุณวันชัย คุณรู้หรือเปล่าว่าผมสู้มาตั้งแต่ปี 2548 ยี่สิบปีแล้วที่ผมออกมาสู้ มาถึงวันนี้ ฝนตก แดดออก พายุเข้า พอทุกอย่างฟ้าใสแจ้งจางปาง พระอาทิตย์ออก ประชาชนเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่คุณวันชัยต้องยอมรับกับผมนะว่า ประเทศไทยมีคนอยู่ไม่น้อยเลยที่ยอมเสียหลักการของตัวเอง เพื่อเลียคนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ผมไม่ทราบว่าคุณวันชัย เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า . ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยความไม่กลัว ความกลัวคือความเสื่อม แล้วอีกอันหนึ่งที่ผมอยู่ได้เพราะ ธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ผมที่คุณดูถูก เยาะเย้ย เหยียดหยามหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า “สนธิ ธรรมชนะอธรรม ชนะอวิชชา ธรรมจะใช้เวลานิดหนึ่ง” เหมือนกับที่ผมต้องใช้เวลาถึง 17 ปี ผมและพันธมิตรฯ ทุกคนถึงได้รับการนิรโทษกรรมทางใจว่าพวกผมสู้มาไม่ผิด แต่ต้องรอตั้ง 17 ปี กว่า "ธรรม" ที่หลวงตามหาบัวสอนผมมาเป็นความจริง พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ธรรมนำหน้าของผมที่ต่อสู้กับเจ้านายคุณ คือทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะนายคุณยอมรับสารภาพในราชกิจจานุเบกษาว่าได้ทำผิดจริง ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงจริง 1..2..3..4.. ถึงโดนโทษจำคุก 8 ปี แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว . ผมเป็นคนเชื่อในหลักนิติธรรม และผมเคารพในหลักนิติธรรม ไม่ยอมปฏิเสธ ไม่หลบหนี มาตรฐานของผมบอกว่า ขนาดผมยังยอมเดินเข้าคุก ไม่หนี ติดคุกอยู่ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน แล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา เนื่องในวาระของราชาภิเษก ให้รัชกาลที่ 10 ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ตอนนั้น ของผมถูกต้องตามระเบียบทุกประการ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คุณวันชัยครับ เผอิญว่านี่ก็คือมาตรฐานของผมอย่างหนึ่งเช่นกัน ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง ผมไม่เคยต้องไปเลียรองเท้าของนายพลต่างๆ เพื่อให้นายพลตั้งตัวเองเป็น สว. พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะหมดอำนาจแล้วตั้งแต่สิงหาคม ก็เริ่มเลียการเมือง ผมไม่ได้พูดถึงใครนะครับคุณวันชัย อย่าเดือดร้อน . เพราะฉะนั้นแล้ว คุณจะไปตกลงอะไรกับทักษิณ ชินวัตร คุณตอบผมสักคำได้ไหมว่า นายใหม่คุณ เจ้าของคอกหมา ซึ่งคุณเข้าไปในคอกนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำอะไรให้บ้างตั้งแต่เขากลับมา นอกจากสร้างความวุ่นวายในเรื่องหลักนิติธรรมให้วุ่นวายทั่วประเทศ วิสัยทัศน์เขามีอะไร นอกจากการพนัน ตั้งบ่อนกาสิโน นอกจากแจกเงิน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ที่คุณบอกเป็นนารีกู้แผ่นดิน คุณวันชัยครับ ประชาชนเขาหัวเราะขำคำว่า "นารีกู้แผ่นดิน" ของคุณ . คุณวันชัย คุณเป็นทนาย คุณก็รู้ว่าในศาลเขาแพ้ชนะกันที่ประจักษ์พยานไม่ใช่หรือ แล้วคุณจะมาว่าผมสร้างความวุ่นวายได้อย่างไร ตัววุ่นวายคือนายคุณ ที่สร้างความวุ่นวาย แล้วคุณก็เป็นลูกคู่ที่เข้าไปช่วยทำให้ความวุ่นวายนั้นมันวุ่นวายมากขึ้น . มาตรฐานผม ผมไม่เคยถอย คุณบอกคุณเป็นนักเลง นักเลงกล้าได้กล้าเสีย แต่ผมเป็นนักเลงโบราณซึ่งนักเลงทั่วๆไปไม่มี คือผมเป็นคนที่มีสัจจะที่มีคนเชื่อผมเป็นแสนๆเป็นล้านคนทุกวันนี้ คุณไม่ต้องท้าผม ถึงเวลา ถ้าจำเป็น ผมจะลงถนนแน่นอน ผมจะลงถนนแน่นอน ถ้าการกระทำของรัฐบาลนี้ส่อให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยของประเทศ ผมพร้อมเสมอ อย่ามาบอกว่าเดี๋ยวนี้ผมเรียกคนไม่ได้ คุณจะลองมั้ย ถึงวันนั้นแล้วคุณอย่าเสียใจนะว่าคุณปากไม่ดี พูดไม่ดี คุณวันชัย อยากจะพล่ามอะไรก็พล่าม เพราะคุณจำเป็นต้องพล่ามให้มากๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นายคุณ ว่าผมทำงานให้แล้วนะ ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลถ้ามี ตั้งผมหน่อย . คุณจำไว้อย่างนะคุณวันชัย ผมไม่เคยเลียแข้งเลียขาใครเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง อย่างเช่นเป็น สว. ไม่เคย ให้ตายสิ พอผมพูดถึงคุณแล้ว เขาหัวเราะกัน ประพันธ์ คูณมีบอกว่า พี่อย่าไปสนใจเลยไอ้คนประเภทนี้ คุณวันชัย เชิญคุณตามสบาย จะยั่วยุอย่างไร ยั่วยุไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณกับผมมันคนละมาตรฐานกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts