• “ภูมิธรรม” คุยทูตสหรัฐฯ! ยันจุดยืนไทยแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ชี้ “ความจริง” จะพิสูจน์ทุกอย่าง
    https://www.thai-tai.tv/news/21162/
    .
    #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทูตสหรัฐฯ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวการเมือง #ข่าวความมั่นคง #ไทยไท

    “ภูมิธรรม” คุยทูตสหรัฐฯ! ยันจุดยืนไทยแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ชี้ “ความจริง” จะพิสูจน์ทุกอย่าง https://www.thai-tai.tv/news/21162/ . #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทูตสหรัฐฯ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวการเมือง #ข่าวความมั่นคง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตสหรัฐฯ ตอบกรณี Michael A Alfaro ชี้ไม่เกี่ยวข้องทำเนียบขาว เป็นเรื่องของเอกชน ย้ำจุดยืนหนุนหยุดยิงไทย–กัมพูชา ก้าวไปสู่สันติภาพที่ถาวร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078213

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สถานทูตสหรัฐฯ ตอบกรณี Michael A Alfaro ชี้ไม่เกี่ยวข้องทำเนียบขาว เป็นเรื่องของเอกชน ย้ำจุดยืนหนุนหยุดยิงไทย–กัมพูชา ก้าวไปสู่สันติภาพที่ถาวร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078213 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 16
    จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้
    แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว
    จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว
    จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด
    มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง
    ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ
    อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ
    อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
    หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้
    คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย)
    จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน
    แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง
    อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา
    ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat
    ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน
    ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ
    ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน)
    นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ
    เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ
    หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ
    อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ
    อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5
    อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!)
    แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ

    คนเล่านิทาน
    ตอน 16 จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้ แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้ คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย) จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน) นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5 อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!) แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ คนเล่านิทาน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดูสนิทกันดีเนอะ!"

    6 สิงหาคม พ.ศ. 2568
    กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่ภาพ "พลเอกเตีย เซ็ยฮา" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งนายเอ็ดการ์ด คาแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำมาเลเซีย เข้าพบพลเรือเอก ซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) ที่สำนักงานในฮาวาย

    ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงการติดตามการดำเนินการที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผล

    และสหรัฐอเมริกายืนยันจะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และเทคนิคที่สำคัญในการจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบอาเซียน (AMT) โดยเร็วที่สุด

    นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้สรุปแนวทางการดำเนินการของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการวางแผนทางทหาร อุปกรณ์ ระบบส่งกำลัง ระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอุปกรณ์ทางเทคนิคขั้นสูงอื่นๆ

    สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีความมุ่งมั่นและความพร้อมอย่างสูงที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอย่างแท้จริง
    "ดูสนิทกันดีเนอะ!" 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่ภาพ "พลเอกเตีย เซ็ยฮา" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งนายเอ็ดการ์ด คาแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำมาเลเซีย เข้าพบพลเรือเอก ซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) ที่สำนักงานในฮาวาย ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงการติดตามการดำเนินการที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผล และสหรัฐอเมริกายืนยันจะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และเทคนิคที่สำคัญในการจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบอาเซียน (AMT) โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้สรุปแนวทางการดำเนินการของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการวางแผนทางทหาร อุปกรณ์ ระบบส่งกำลัง ระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอุปกรณ์ทางเทคนิคขั้นสูงอื่นๆ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีความมุ่งมั่นและความพร้อมอย่างสูงที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP304 : พระยาละแวกเนรคุณไทย หักหลังจีน - 010868 (Full)
    - สงครามตัวแทน “ไทย-กัมพูชา”
    - ทูตสหรัฐกับจุดยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
    - เปลือยธาตุแท้ “วิระชัย จีวรปลิว”
    - ชะตากรรม “หมอเกศ” ตายเดี่ยว

    https://www.youtube.com/watch?v=5VW7fnudm7g


    #พระยาละแวก #ไทยกัมพูชา #Sondhitalk #สงครามตัวแทน #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #News1 #Shorts #เปิดโปงความจริง #เขมรละเมิดข้อตกลง #อินโดแปซิฟิก #หมอเกศ #จีวรปลิว #SondhiEP304
    Sondhitalk EP304 : พระยาละแวกเนรคุณไทย หักหลังจีน - 010868 (Full) - สงครามตัวแทน “ไทย-กัมพูชา” - ทูตสหรัฐกับจุดยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก - เปลือยธาตุแท้ “วิระชัย จีวรปลิว” - ชะตากรรม “หมอเกศ” ตายเดี่ยว https://www.youtube.com/watch?v=5VW7fnudm7g #พระยาละแวก #ไทยกัมพูชา #Sondhitalk #สงครามตัวแทน #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #News1 #Shorts #เปิดโปงความจริง #เขมรละเมิดข้อตกลง #อินโดแปซิฟิก #หมอเกศ #จีวรปลิว #SondhiEP304
    Like
    Love
    20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1482 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าที่ทูตสหรัฐฯ "ออกลาย" ทันที! 'ฌอน โอ’นีล' สั่งสอนไทย "ห้ามรบเขมร" ทั้งที่โดนรุกราน... แถมจะสั่ง "ไม่รับรองเลือกตั้งเมียนมา"!
    https://www.thai-tai.tv/news/20669/
    .
    #ฌอนโอนีล #ทูตสหรัฐ #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เมียนมา #นโยบายต่างประเทศ #พันธมิตร #อเมริกา #ไทยไท
    ว่าที่ทูตสหรัฐฯ "ออกลาย" ทันที! 'ฌอน โอ’นีล' สั่งสอนไทย "ห้ามรบเขมร" ทั้งที่โดนรุกราน... แถมจะสั่ง "ไม่รับรองเลือกตั้งเมียนมา"! https://www.thai-tai.tv/news/20669/ . #ฌอนโอนีล #ทูตสหรัฐ #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เมียนมา #นโยบายต่างประเทศ #พันธมิตร #อเมริกา #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • งง! ว่าที่ทูตสหรัฐอาการแปลกๆ ประกาศจะกดดันไทยให้ยุติสงคราม!? [30/7/68]

    #ทูตสหรัฐอาการแปลก #กดดันไทยหยุดสงคราม #ตั้งคำถามกับท่าทีอเมริกา #DiplomaticPressureOnThailand #สหรัฐเข้าข้างใคร #งงในจังหวะนี้ #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวการเมืองโลก #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    งง! ว่าที่ทูตสหรัฐอาการแปลกๆ ประกาศจะกดดันไทยให้ยุติสงคราม!? [30/7/68] #ทูตสหรัฐอาการแปลก #กดดันไทยหยุดสงคราม #ตั้งคำถามกับท่าทีอเมริกา #DiplomaticPressureOnThailand #สหรัฐเข้าข้างใคร #งงในจังหวะนี้ #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวการเมืองโลก #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • หลังเหตุปะทะดุเดือดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 35 ราย ล่าสุดนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ประกาศความสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชา โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมรับฟังและสนับสนุนการหารือครั้งสำคัญนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000071303

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    หลังเหตุปะทะดุเดือดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 35 ราย ล่าสุดนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ประกาศความสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชา โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมรับฟังและสนับสนุนการหารือครั้งสำคัญนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000071303 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตสหรัฐฯ ยันชัด! ไม่มีแผนสร้างฐานทัพในไทย ปัดข่าวแลกข้อตกลงภาษี
    https://www.thai-tai.tv/news/20330/
    .
    #สหรัฐอเมริกา #ฐานทัพเรือ #ไทย #พังงา #ข้อตกลงภาษี #สถานทูตสหรัฐฯ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ข่าวปลอม #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #กองทัพเรือไทย
    สถานทูตสหรัฐฯ ยันชัด! ไม่มีแผนสร้างฐานทัพในไทย ปัดข่าวแลกข้อตกลงภาษี https://www.thai-tai.tv/news/20330/ . #สหรัฐอเมริกา #ฐานทัพเรือ #ไทย #พังงา #ข้อตกลงภาษี #สถานทูตสหรัฐฯ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ข่าวปลอม #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #กองทัพเรือไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย!

    ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย! ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอม บาร์รัค ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ ประจำซีเรีย พร้อมด้วย อาซาด อัล-ไชบานี รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ร่วมกันเชิญธงชาติสหรัฐฯ ขึ้นสู่ยอดเสาที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรียเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นความสัยมพันธ์ที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าปกติ!

    สหรัฐประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย หลังจาก "อัล-โจลานี" ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย HTS ใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด และแต่งตั้งตนเองขึ้นปกครองซีเรีย

    แม้ว่าโจลานีจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเคยหมายหัว และมีรางวัลนำจับสิบล้านดอลลาร์ แต่เมื่อสามารถโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด ที่สหรัฐไม่ชอบหน้า และหาเหตุคว่ำบาตรซีเรียนานกว่าสิบปีได้เป็นผลสำเร็จ คงไม่มีอะไรที่ทำให้สหรัฐดีใจไปมากกว่านี้
    ทอม บาร์รัค ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ ประจำซีเรีย พร้อมด้วย อาซาด อัล-ไชบานี รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ร่วมกันเชิญธงชาติสหรัฐฯ ขึ้นสู่ยอดเสาที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรียเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นความสัยมพันธ์ที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าปกติ! สหรัฐประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย หลังจาก "อัล-โจลานี" ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย HTS ใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด และแต่งตั้งตนเองขึ้นปกครองซีเรีย แม้ว่าโจลานีจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเคยหมายหัว และมีรางวัลนำจับสิบล้านดอลลาร์ แต่เมื่อสามารถโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด ที่สหรัฐไม่ชอบหน้า และหาเหตุคว่ำบาตรซีเรียนานกว่าสิบปีได้เป็นผลสำเร็จ คงไม่มีอะไรที่ทำให้สหรัฐดีใจไปมากกว่านี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอม บารัค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำตุรกี (ซ้ายมือของรูป) พบกับอาหมัด อัล-ชารา (อัล-โจลานี) (คนกลางของรูป) ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองแห่งซีเรีย และ Asaad Hassan al-Shaibani รัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย (ขวามือของรูป)

    สหรัฐยืนยันถึงการสนับสนุนชาวซีเรียมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเขาต้องทนทุกข์กับความรุนแรงมาหลายปี (จากการคว่ำบาตรของสหรัฐเอง!!) พร้อมกันนี้สหรัฐได้มีการหารือถึงการสร้างซีเรียใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองตามค่านิยมของสหรัฐ

    ขณะเดียวกัน อัล-โจลานี กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของสหรัฐ ในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย
    ทอม บารัค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำตุรกี (ซ้ายมือของรูป) พบกับอาหมัด อัล-ชารา (อัล-โจลานี) (คนกลางของรูป) ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองแห่งซีเรีย และ Asaad Hassan al-Shaibani รัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย (ขวามือของรูป) สหรัฐยืนยันถึงการสนับสนุนชาวซีเรียมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเขาต้องทนทุกข์กับความรุนแรงมาหลายปี (จากการคว่ำบาตรของสหรัฐเอง!!) พร้อมกันนี้สหรัฐได้มีการหารือถึงการสร้างซีเรียใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองตามค่านิยมของสหรัฐ ขณะเดียวกัน อัล-โจลานี กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของสหรัฐ ในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตย"

    ไมเคิล แม็กฟอล อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำรัสเซีย กล่าวแสดงความยินดีต่อผลการเลือกตั้งในโรมาเนีย ว่าเป็นชัยชนะของประชาธิปไตย เมื่อคนของพวกเขาชนะการเลือกตั้ง
    "นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตย" ไมเคิล แม็กฟอล อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำรัสเซีย กล่าวแสดงความยินดีต่อผลการเลือกตั้งในโรมาเนีย ว่าเป็นชัยชนะของประชาธิปไตย เมื่อคนของพวกเขาชนะการเลือกตั้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับอาหมัด อัลชารา ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองหลังการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย และเป็นอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS (Hay'at Tahrir al-Sham) รวมทั้งเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนุสราฟรอนต์(Nusra Front) หรือ กลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียอีกด้วย

    การพบกันเกิดขึ้นในวันนี้ที่ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐฯ(Gulf_US_Summit) จะเริ่มต้นขึ้น

    สำหรับ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS เคยถูกตั้งรางวัลนำจับสูงถึงลิบล้านดอลลาร์ จากสถานทูตสหรัฐในซีเรีย เมื่อปี 2017
    ภาพการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับอาหมัด อัลชารา ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองหลังการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย และเป็นอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS (Hay'at Tahrir al-Sham) รวมทั้งเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนุสราฟรอนต์(Nusra Front) หรือ กลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียอีกด้วย การพบกันเกิดขึ้นในวันนี้ที่ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐฯ(Gulf_US_Summit) จะเริ่มต้นขึ้น สำหรับ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS เคยถูกตั้งรางวัลนำจับสูงถึงลิบล้านดอลลาร์ จากสถานทูตสหรัฐในซีเรีย เมื่อปี 2017
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณีมายาเกวซ (Mayaguez incident) เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่รวดเร็ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12-15 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) ในเกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองพระสีหนุ/กำปงโสม (ក្រុងព្រះសីហនុ,កំពង់សោម;Sihanoukville) จังหวัดพระสีหนุ (ព្រះសីហនុ) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา

    เวลาประมาณ 15.20 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) เรือบรรทุกสินค้าซึ่งใช้บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงสัญชาติอเมริกาชื่อ เอสเอส มายาเกวซ (SS Mayaguez) ซึ่งแล่นระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทย ขณะที่แล่นอยู่ห่างจากชายฝั่งของประเทศกัมพูชา 60 ไมล์ ซึ่งถือเป็นเขตน่านน้ำสากล ได้ถูกเรือปืนจำนวนหลายลำของเขมรแดง (ខ្មែរក្រហម,Khmer Rouge) เข้าล้อมและบุกยึด จับตัวประกันซึ่งเป็นกัปตันและลูกเรือไว้ได้ทั้งหมด 39 คน จากนั้นได้ลากไปจอดลอยลำทิ้งสมอไว้ที่เกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองกำปงโสม (เมืองพระสีหนุในปัจจุบัน)

    รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำโดยน.ท.เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Rudolph Ford Jr.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 38 (9 สิงหาคม พ.ศ.2517-20 มกราคม พ.ศ.2520) ได้ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนส่งกองกำลังทหารซึ่งส่วนมากเป็นนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประมาณ 1,000 นาย (ประกอบด้วยกองพันที่ 1,กรมนาวิกโยธินที่ 4,กองพันที่ 2,กรมนาวิกโยธินที่ 9,กองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 21,ฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอากาศที่ 40,ฝูงบินสนับสนุนทางอากาศทางยุทธวิธีที่ 23,กองบินรบทางยุทธวิธีที่ 3,เรือยูเอสเอส เฮนรี่ บี. วิลสัน,เรือยูเอสเอส แฮโรลด์ อี. โฮลต์,เรือยูเอสเอส คอรัลซี ฝูงบินบรรทุกเรือเครื่องบินที่ 15) จากเกาะโอกินาว่าและอ่าวซูบิก เข้าประจำการที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (U-Tapao Rayong-Pattaya International Airport) ในพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการบุกยึดเรือและตัวประกันคืน ในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยปฏิบัติการเริ่มขึ้นในเช้ามืดของวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพสหรัฐฯที่จังหวัดอุดรธานีและนครราชสีมา (โคราช) ออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยสามารถจมเรือปืนของเขมรแดงลงได้ 3 ลำ มีความสูญเสียด้วยกันของทั้งสองฝ่าย แต่สามารถช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงลูกเรือประมงของไทยจำนวน 5 คนออกมาได้

    ทว่าปฏิบัติการดังกล่าว ทางการสหรัฐใช้ฐานบินอู่ตะเภาทั้งที่รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่อนุญาตอย่างชัดแจ้ง ในวันที่ 17 พฤษภาคม ได้มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชน 30,000 คน นำโดยธีรยุทธ บุญมี ประท้วงที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย (Embassy of the United States, Bangkok) ฝ่ายรัฐบาลไทยเรียกว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย และให้สหรัฐถอนทหารออกจากอู่ตะเภาในทันที

    ในที่สุดเหตุการณ์จบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากการชุมนุมยืดเยื้อนานถึง 3 วัน เมื่ออุปทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยได้ส่งสาสน์แสดงความเสียใจต่อการกระทำดังกล่าว สุดท้ายสหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดสิ้นในปี 2519 (1976)
    กรณีมายาเกวซ (Mayaguez incident) เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่รวดเร็ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12-15 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) ในเกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองพระสีหนุ/กำปงโสม (ក្រុងព្រះសីហនុ,កំពង់សោម;Sihanoukville) จังหวัดพระสีหนุ (ព្រះសីហនុ) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา เวลาประมาณ 15.20 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) เรือบรรทุกสินค้าซึ่งใช้บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงสัญชาติอเมริกาชื่อ เอสเอส มายาเกวซ (SS Mayaguez) ซึ่งแล่นระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทย ขณะที่แล่นอยู่ห่างจากชายฝั่งของประเทศกัมพูชา 60 ไมล์ ซึ่งถือเป็นเขตน่านน้ำสากล ได้ถูกเรือปืนจำนวนหลายลำของเขมรแดง (ខ្មែរក្រហម,Khmer Rouge) เข้าล้อมและบุกยึด จับตัวประกันซึ่งเป็นกัปตันและลูกเรือไว้ได้ทั้งหมด 39 คน จากนั้นได้ลากไปจอดลอยลำทิ้งสมอไว้ที่เกาะตาง (កោះតាង,Koh Tang) ใกล้กับเมืองกำปงโสม (เมืองพระสีหนุในปัจจุบัน) รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำโดยน.ท.เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Rudolph Ford Jr.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 38 (9 สิงหาคม พ.ศ.2517-20 มกราคม พ.ศ.2520) ได้ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนส่งกองกำลังทหารซึ่งส่วนมากเป็นนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประมาณ 1,000 นาย (ประกอบด้วยกองพันที่ 1,กรมนาวิกโยธินที่ 4,กองพันที่ 2,กรมนาวิกโยธินที่ 9,กองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 21,ฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอากาศที่ 40,ฝูงบินสนับสนุนทางอากาศทางยุทธวิธีที่ 23,กองบินรบทางยุทธวิธีที่ 3,เรือยูเอสเอส เฮนรี่ บี. วิลสัน,เรือยูเอสเอส แฮโรลด์ อี. โฮลต์,เรือยูเอสเอส คอรัลซี ฝูงบินบรรทุกเรือเครื่องบินที่ 15) จากเกาะโอกินาว่าและอ่าวซูบิก เข้าประจำการที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (U-Tapao Rayong-Pattaya International Airport) ในพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการบุกยึดเรือและตัวประกันคืน ในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยปฏิบัติการเริ่มขึ้นในเช้ามืดของวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพสหรัฐฯที่จังหวัดอุดรธานีและนครราชสีมา (โคราช) ออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยสามารถจมเรือปืนของเขมรแดงลงได้ 3 ลำ มีความสูญเสียด้วยกันของทั้งสองฝ่าย แต่สามารถช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงลูกเรือประมงของไทยจำนวน 5 คนออกมาได้ ทว่าปฏิบัติการดังกล่าว ทางการสหรัฐใช้ฐานบินอู่ตะเภาทั้งที่รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่อนุญาตอย่างชัดแจ้ง ในวันที่ 17 พฤษภาคม ได้มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชน 30,000 คน นำโดยธีรยุทธ บุญมี ประท้วงที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย (Embassy of the United States, Bangkok) ฝ่ายรัฐบาลไทยเรียกว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย และให้สหรัฐถอนทหารออกจากอู่ตะเภาในทันที ในที่สุดเหตุการณ์จบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากการชุมนุมยืดเยื้อนานถึง 3 วัน เมื่ออุปทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยได้ส่งสาสน์แสดงความเสียใจต่อการกระทำดังกล่าว สุดท้ายสหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดสิ้นในปี 2519 (1976)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 780 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16 เมษายน 2568-สำนักข่าว CNN รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะปิดสถานเอกอัครราชทูต รวมถึงสถานกงสุลในต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะลดบาทบาทของตัวเองในบางประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่ CNN ได้รับเอกสารภายในของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ซึ่งข้อมูลในเอกสารมีการแนะนำให้รัฐบาลปิดสถานเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ 10 แห่ง และปิดสถานกงสุลของสหรัฐฯ อีก 17 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและแอฟริกาประเทศที่ถูกระบุในเอกสารให้ปิดสถานทูต บางส่วนประกอบด้วย  มอลตา, ลักเซมเบิร์ก, เลโซโท, สาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง  และซูดานใต้ นอกจากนี้ยังมีสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในฝรั่งเศสอีก 5 แห่ง, ในเยอรมนีอีก 2 แห่ง, ในบอสเนียอีก 2 แห่ง, ในอังกฤษ 1 แห่ง, ในเซาท์แอฟริกา 1 แห่ง และเกาหลีใต้ 1 แห่ง ที่กำลังถูกพิจารณาให้ปิดด้วย โดยหลังจากที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านี้ถูกปิด ประชาชนในประเทศเหล่านั้นจะต้องไปติดต่อสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศใกล้เคียงแทนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย แทมมี บรูซ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบกับทางทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีโดยตรง เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องงบประมาณที่ส่งให้สภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งการใช้งบประมาณในปีหน้าของสหรัฐฯ มีการเสนอให้ลดงบประมาณลงในหลายส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศด้วยhttps://www.cnn.com/2025/04/15/politics/closing-embassies-consulates-document/index.html?cid=ios_app
    16 เมษายน 2568-สำนักข่าว CNN รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะปิดสถานเอกอัครราชทูต รวมถึงสถานกงสุลในต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะลดบาทบาทของตัวเองในบางประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่ CNN ได้รับเอกสารภายในของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ซึ่งข้อมูลในเอกสารมีการแนะนำให้รัฐบาลปิดสถานเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ 10 แห่ง และปิดสถานกงสุลของสหรัฐฯ อีก 17 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและแอฟริกาประเทศที่ถูกระบุในเอกสารให้ปิดสถานทูต บางส่วนประกอบด้วย  มอลตา, ลักเซมเบิร์ก, เลโซโท, สาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง  และซูดานใต้ นอกจากนี้ยังมีสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในฝรั่งเศสอีก 5 แห่ง, ในเยอรมนีอีก 2 แห่ง, ในบอสเนียอีก 2 แห่ง, ในอังกฤษ 1 แห่ง, ในเซาท์แอฟริกา 1 แห่ง และเกาหลีใต้ 1 แห่ง ที่กำลังถูกพิจารณาให้ปิดด้วย โดยหลังจากที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านี้ถูกปิด ประชาชนในประเทศเหล่านั้นจะต้องไปติดต่อสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศใกล้เคียงแทนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย แทมมี บรูซ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบกับทางทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีโดยตรง เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องงบประมาณที่ส่งให้สภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งการใช้งบประมาณในปีหน้าของสหรัฐฯ มีการเสนอให้ลดงบประมาณลงในหลายส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศด้วยhttps://www.cnn.com/2025/04/15/politics/closing-embassies-consulates-document/index.html?cid=ios_app
    WWW.CNN.COM
    Trump administration looking at closing nearly 30 overseas embassies and consulates | CNN Politics
    The Trump administration is looking at closing nearly 30 overseas embassies and consulates as it eyes significant changes to its diplomatic presence abroad, according to an internal State Department document obtained by CNN.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านให้บริการบางร้านในกวางโจว และซานซี แสดงออกเพื่อต่อต้านนโยบายภาษีของทรัมป์ที่กระทำต่อจีน โดยขึ้นป้ายข้อความ "เรียกเก็บค่าบริการ 104% จากลูกค้าชาวอเมริกัน และหากคุณมีปัญหาใดๆ โปรดติดต่อสถานทูตสหรัฐ"


    "แม้ว่าในจีนจะมีชาวอเมริกันไม่มากนักจนส่งผลถึงรายได้ของร้านเหล่านี้ แต่สิ่งนี้นับเป็นการแสดงออกถึงรูปแบบความรักชาติของคนจีนที่มีมากกว่าชาติอื่นๆในยามที่ประเทศต้องการความสามัคคีของคนในชาติ"
    ร้านให้บริการบางร้านในกวางโจว และซานซี แสดงออกเพื่อต่อต้านนโยบายภาษีของทรัมป์ที่กระทำต่อจีน โดยขึ้นป้ายข้อความ "เรียกเก็บค่าบริการ 104% จากลูกค้าชาวอเมริกัน และหากคุณมีปัญหาใดๆ โปรดติดต่อสถานทูตสหรัฐ" "แม้ว่าในจีนจะมีชาวอเมริกันไม่มากนักจนส่งผลถึงรายได้ของร้านเหล่านี้ แต่สิ่งนี้นับเป็นการแสดงออกถึงรูปแบบความรักชาติของคนจีนที่มีมากกว่าชาติอื่นๆในยามที่ประเทศต้องการความสามัคคีของคนในชาติ"
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริดเจ็ต บริงค์ (Bridget Brink) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครน ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ

    -กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยืนยันการลาออกของเธอแล้ว

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจของบริงค์เกิดจากปัจจัยทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเรื่องการตัดลดงบประมาณของ USAID เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเอกอัครราชทูตบริงค์ถือเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพรรคเดโมแครตอย่างมาก และเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ได้รับทุนสนับสนุนหลายกลุ่มในยูเครน

    นอกจากนี้ เธอยังมีความเครียดจากการต้องทำหน้าที่อยู่ในประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย ซึ่งยูเครนถูกจัดให้อยู่ในสถานะเป็นประเทศด่านหน้าสำหรับความยากลำบาก นักการทูตสหรัฐจะไม่สามารถพาครอบครัวมาอยู่ร่วมด้วยได้

    ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บริงค์ และเซเลนสกี อยู่ในช่วงที่ไม่ราบรื่นนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเซเลนสกีวิจารณ์เธออย่างรุนแรงที่ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการออกมาประณามรัสเซียหลังจากขีปนาวุธของรัสเซียสังหารกองทหารต่างชาติไปกว่า 85 รายในเมือง Kryvyi Rih

    “น่าเสียดายที่การตอบสนองจากสถานทูตสหรัฐฯ นั้นน่าผิดหวังอย่างน่าประหลาดใจ – ประเทศที่เข้มแข็ง ประชาชนที่เข้มแข็ง แต่ปฏิกิริยากลับอ่อนแอ” เซเลนสกี เขียนบน X


    การลาออกของเธอได้รับการคาดหมายจากสื่อของสหรัฐมาล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง
    บริดเจ็ต บริงค์ (Bridget Brink) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครน ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ -กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยืนยันการลาออกของเธอแล้ว ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจของบริงค์เกิดจากปัจจัยทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเรื่องการตัดลดงบประมาณของ USAID เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเอกอัครราชทูตบริงค์ถือเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพรรคเดโมแครตอย่างมาก และเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ได้รับทุนสนับสนุนหลายกลุ่มในยูเครน นอกจากนี้ เธอยังมีความเครียดจากการต้องทำหน้าที่อยู่ในประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย ซึ่งยูเครนถูกจัดให้อยู่ในสถานะเป็นประเทศด่านหน้าสำหรับความยากลำบาก นักการทูตสหรัฐจะไม่สามารถพาครอบครัวมาอยู่ร่วมด้วยได้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บริงค์ และเซเลนสกี อยู่ในช่วงที่ไม่ราบรื่นนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเซเลนสกีวิจารณ์เธออย่างรุนแรงที่ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการออกมาประณามรัสเซียหลังจากขีปนาวุธของรัสเซียสังหารกองทหารต่างชาติไปกว่า 85 รายในเมือง Kryvyi Rih “น่าเสียดายที่การตอบสนองจากสถานทูตสหรัฐฯ นั้นน่าผิดหวังอย่างน่าประหลาดใจ – ประเทศที่เข้มแข็ง ประชาชนที่เข้มแข็ง แต่ปฏิกิริยากลับอ่อนแอ” เซเลนสกี เขียนบน X การลาออกของเธอได้รับการคาดหมายจากสื่อของสหรัฐมาล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ กรณีการจับกุม ‘พอล แชมเบอร์ส’ แถลงการณ์กรณีการจับกุม พอล แชมเบอร์ส โดยทางการไทยแทมมี่ บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ8 เมษายน 2568สหรัฐอเมริการู้สึกตกใจต่อการจับกุม นายพอล แชมเบอร์ส พลเมืองอเมริกัน ในประเทศไทย ด้วยข้อหาความผิดทางอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเรากำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันในต่างประเทศอย่างจริงจัง และเรากำลังติดต่อกับทางการไทยเกี่ยวกับกรณีนี้กรณีนี้ ตอกย้ำถึงความกังวลที่มีมาอย่างยาวนานของเรา ต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงออก และให้แน่ใจว่ากฎหมายจะไม่ถูกใช้เพื่อปิดกั้นการแสดงออกที่ได้รับอนุญาต ในฐานะพันธมิตรของประเทศไทยตามสนธิสัญญา เราจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อนายพอล แชมเบอร์สเจ้าหน้าที่กงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ กำลังให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลที่เหมาะสมทั้งหมด แก่นายพอล แชมเบอร์ส เราได้ร้องขอให้สามารถเข้าพบนายพอล แชมเบอร์สเพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อให้การสนับสนุนที่จำเป็น
    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ กรณีการจับกุม ‘พอล แชมเบอร์ส’ แถลงการณ์กรณีการจับกุม พอล แชมเบอร์ส โดยทางการไทยแทมมี่ บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ8 เมษายน 2568สหรัฐอเมริการู้สึกตกใจต่อการจับกุม นายพอล แชมเบอร์ส พลเมืองอเมริกัน ในประเทศไทย ด้วยข้อหาความผิดทางอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเรากำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันในต่างประเทศอย่างจริงจัง และเรากำลังติดต่อกับทางการไทยเกี่ยวกับกรณีนี้กรณีนี้ ตอกย้ำถึงความกังวลที่มีมาอย่างยาวนานของเรา ต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงออก และให้แน่ใจว่ากฎหมายจะไม่ถูกใช้เพื่อปิดกั้นการแสดงออกที่ได้รับอนุญาต ในฐานะพันธมิตรของประเทศไทยตามสนธิสัญญา เราจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อนายพอล แชมเบอร์สเจ้าหน้าที่กงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ กำลังให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลที่เหมาะสมทั้งหมด แก่นายพอล แชมเบอร์ส เราได้ร้องขอให้สามารถเข้าพบนายพอล แชมเบอร์สเพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อให้การสนับสนุนที่จำเป็น
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทูตสหรัฐฯ ชี้ปัญหา 'ช้างในห้อง' ของการเจรจาสันติภาพคือการยกดินแดนยูเครนให้รัสเซีย

    ทูตพิเศษสหรัฐฯ Steve Witkoff เผยว่าอุปสรรคใหญ่สุดในการแก้ไขสงครามยูเครนคือสถานะของไครเมียและสี่ภูมิภาคที่รัสเซียยึดครอง โดยเรียกประเด็นนี้ว่า "ช้างในห้อง" ของการเจรจาสันติภาพ

    ในการให้สัมภาษณ์กับ Tucker Carlson Witkoff อ้างว่าการลงประชามติในภูมิภาค Donetsk, Luhansk, Zaporizhzhia และ Kherson แสดงว่าประชาชนต้องการอยู่ภายใต้รัสเซีย

    "รัสเซียควบคุมดินแดนเหล่านี้อยู่แล้วตามข้อเท็จจริง คำถามคือ
    โลกจะยอมรับหรือไม่ว่านั่นเป็นดินแดนรัสเซีย?
    Zelensky จะอยู่รอดทางการเมืองหรือไม่ถ้ายอมรับ?
    นี่คือประเด็นสำคัญในความขัดแย้ง" Witkoff กล่าว

    ขณะที่ Zelensky ยืนยันว่า "เราไม่ยอมรับดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองเป็นของรัสเซีย"

    ทูตพิเศษยังเปิดเผยว่า Vladimir Putin สั่งวาดภาพเหมือนอันงดงามของประธานาธิบดี Donald Trump โดยศิลปินชั้นนำของรัสเซีย ซึ่ง Witkoff นำกลับไปให้ประธานาธิบดี และเล่าว่า Putin ยังสวดมนต์เพื่อ Trump หลังถูกลอบสังหาร
    "ไม่ใช่เพราะเขา...อาจกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะ พวกเขาเป็นเพื่อนกัน" ซึ่ง Trump ก็ "ซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน" กับการแสดงออกของ Putin

    Witkoff ประทับใจในความ "สุภาพ" และ "สติปัญญา" ของ Putin
    โดยเสริมว่าการแก้ไขสงครามอาจนำไปสู่ความร่วมมือทั้งด้านพลังงานในอาร์กติก การแบ่งปันเส้นทางทะเล และการส่งก๊าซธรรมชาติเหลวเข้ายุโรปร่วมกัน
    ทูตสหรัฐฯ ชี้ปัญหา 'ช้างในห้อง' ของการเจรจาสันติภาพคือการยกดินแดนยูเครนให้รัสเซีย ทูตพิเศษสหรัฐฯ Steve Witkoff เผยว่าอุปสรรคใหญ่สุดในการแก้ไขสงครามยูเครนคือสถานะของไครเมียและสี่ภูมิภาคที่รัสเซียยึดครอง โดยเรียกประเด็นนี้ว่า "ช้างในห้อง" ของการเจรจาสันติภาพ ในการให้สัมภาษณ์กับ Tucker Carlson Witkoff อ้างว่าการลงประชามติในภูมิภาค Donetsk, Luhansk, Zaporizhzhia และ Kherson แสดงว่าประชาชนต้องการอยู่ภายใต้รัสเซีย "รัสเซียควบคุมดินแดนเหล่านี้อยู่แล้วตามข้อเท็จจริง คำถามคือ โลกจะยอมรับหรือไม่ว่านั่นเป็นดินแดนรัสเซีย? Zelensky จะอยู่รอดทางการเมืองหรือไม่ถ้ายอมรับ? นี่คือประเด็นสำคัญในความขัดแย้ง" Witkoff กล่าว ขณะที่ Zelensky ยืนยันว่า "เราไม่ยอมรับดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองเป็นของรัสเซีย" ทูตพิเศษยังเปิดเผยว่า Vladimir Putin สั่งวาดภาพเหมือนอันงดงามของประธานาธิบดี Donald Trump โดยศิลปินชั้นนำของรัสเซีย ซึ่ง Witkoff นำกลับไปให้ประธานาธิบดี และเล่าว่า Putin ยังสวดมนต์เพื่อ Trump หลังถูกลอบสังหาร "ไม่ใช่เพราะเขา...อาจกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะ พวกเขาเป็นเพื่อนกัน" ซึ่ง Trump ก็ "ซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน" กับการแสดงออกของ Putin Witkoff ประทับใจในความ "สุภาพ" และ "สติปัญญา" ของ Putin โดยเสริมว่าการแก้ไขสงครามอาจนำไปสู่ความร่วมมือทั้งด้านพลังงานในอาร์กติก การแบ่งปันเส้นทางทะเล และการส่งก๊าซธรรมชาติเหลวเข้ายุโรปร่วมกัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 844 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง "ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี"
    อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำไทย
    ดูแลกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
    .
    เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เสนอชื่อ นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรีอดีตเอกอัครราชทูตทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในช่วงปี 2563 ถึง 2564 ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แทนที่ นายแดเนียล คริเทนบริงค์
    .
    คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSMGqb1vn/
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #ทรัมป์ #ดีซอมบรี #MichaelGeorgeDeSombre
    โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง "ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี" อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำไทย ดูแลกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก . เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เสนอชื่อ นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรีอดีตเอกอัครราชทูตทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในช่วงปี 2563 ถึง 2564 ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แทนที่ นายแดเนียล คริเทนบริงค์ . คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSMGqb1vn/ . #บูรพาไม่แพ้ #ทรัมป์ #ดีซอมบรี #MichaelGeorgeDeSombre
    @thedongfangbubai

    โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง "ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี" อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำไทย ดูแลกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก . เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เสนอชื่อ นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรีอดีตเอกอัครราชทูตทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในช่วงปี 2563 ถึง 2564 ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แทนที่ นายแดเนียล คริเทนบริงค์ . สำหรับ ประวัติของนายดีซอมบรีนั้น นายดีซอมบรีจบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ คือ นิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รวมถึงเศรษฐศาสตร์ และเอเชียตะวันออกศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยมีประสบการณ์การทำงานในทวีปเอเชียมานานกว่า 20 ปี . ในขั้นต่อไปเมื่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ให้การอนุมัติ นายดีซอมบรีจะดูแลนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออก ภายใต้การนำของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ โดยรับผิดชอบประเด็นสำคัญในภูมิภาค เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ รวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย . อ่านข่าวฉบับเต็ม >> https://www.facebook.com/share/p/1BkKGGUvr1/ . บูรพาไม่แพ้ ทรัมป์ ดีซอมบรี MichaelGeorgeDeSombre

    ♬ original sound - บูรพาไม่แพ้ - บูรพาไม่แพ้
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกวิวาทะดุเดือดในทำเนียบขาว ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อความเห็นต่างในบรรดาสมาชิกรีพับลิกันของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบั่นทอนแนวโน้มที่สภาคองเกรสจะอนุมัติเงินช่วยเหลือรอบใหม่ใดๆ สำหรับเคียฟ ในการทำสงครามกับรัสเซีย บางส่วนถึงขั้นตะเพิด เซเลนสกี พ้นจากตำแหน่งและเร่งเร้าให้ยุติความช่วยเหลือทางทหารที่มอบแก่ประเทศแห่งนี้
    .
    สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนที่เคยสนับสนุนยูเครนมาช้านาน ได้หันมาด่าทอ เซเลนสกี ตามหลังเหตุโต้เถียงกันในวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ปะทะคารมกับผู้นำยูเครน ต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก กล่าวหาเขาขาดความเคารพ
    .
    วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม เรียกร้อง เซเลนสกี ปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ก็ลาออกไป ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเข้าร่วมประชุมที่เป็นไปอย่างฉันมิตรระหว่างเซเลนสกีกับบรรดาสมาชิกวุฒิสภาสิบกว่าคน
    .
    "สิ่งที่ผมเห็นในห้องทำงานรูปไข่ คือการขาดความเคารพ และผมไม่รู้ว่าเราจะสามารถคบหาเซเลนสกีได้อีกหรือไม่" เกรแฮม พันธมิตรผู้ใกล้ชิดทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ระหว่างเดินทางออกจากทำเนียบขาว ตามหลังเหตุกระทบกระทั่ง ที่ฉุดความสัมพันธ์ระหว่างเคียฟกับพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาแห่งสงคราม ดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบใหม่
    .
    "เขาจำเป็นต้องลาออกและส่งใครบางคนมา ใครที่เราสามารถทำธุระปะปังกันได้ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง" วุฒิสภาจากเซาท์แคโรโลนากล่าว ส่วน บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากเทนเนสซี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ครั้งที่ทรัมป์ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยแรก โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ "สหรัฐอเมริกาจะไม่มอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าอีกต่อไป"
    .
    แม้สมาชิกรีพับลิกันเกือบทั้งหมดที่แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์ แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าร่วมกับเดโมแครตในการปกป้องยูเครน ในนั้นรวมถึง ไมค์ ลอเวอร์ ส.ส.จากนิวยอร์ก ที่โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ "พลาดโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสหรัฐฯ และเคียฟ นั่นคือข้อตกลงหนึ่งๆ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะก่อผลลัพธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่เข้มแข็ง"
    .
    ดอน เบคอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหัวสายกลางของรีพับลิกัน จากเนบราสกา ก็สนับสนุนเคียฟเช่นกัน โดยบอกว่า "มันเป็นวันที่แย่สำหรับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ยูเครนต้องการเอกราช ตลาดเสรีและหลักนิติรัฐ พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก รัสเซียเกลียดเราและค่านิยมตะวันตกของเรา พวกเราควรแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเรายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ" อย่างไรก็ตามไม่มีสมาชิกสภาคองเกรสรีพับลิกันรายใดที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ หรือแวนซ์
    .
    เซเลนสกี เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน เพื่อลงนามในข้อตกลงหนึ่งสำหรับร่วมกับสหรัฐฯ ในการพัฒนาทรัพยากรทางธรรมชาติอันมั่งคั่งของยูเครน
    .
    ผู้นำยูเครนมองว่าการพบปะกับทรัมป์และแวนซ์ เป็นโอกาสโน้มน้าวไม่ให้ สหรัฐฯ หันไปยืนเคียงข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการทำสงครามกับยูเครน อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่า เซเลนสกี ถูกไล่ออกจากทำเนียบขาวและไม่มีการลงนามในข้อตกลงใดๆ
    .
    บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ หวังว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเอาชนะใจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากสมาชิกรีพับลิกันของทรัมป์ ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สำหรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต
    .
    ที่ผ่านมา สภาคองเกรสอนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วกว่า 175,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ ปูติน เปิดฉากรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เงินช่วยเหลือก้อนสุดท้ายที่ผ่านความเห็นชอบต้องย้อนกลับไปในเดือนเมษายนเลยทีเดียว ครั้งที่พรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และ โจ ไบเดน ยังคงเป็นประธานาธิบดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020218
    ..................
    Sondhi X
    ศึกวิวาทะดุเดือดในทำเนียบขาว ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อความเห็นต่างในบรรดาสมาชิกรีพับลิกันของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบั่นทอนแนวโน้มที่สภาคองเกรสจะอนุมัติเงินช่วยเหลือรอบใหม่ใดๆ สำหรับเคียฟ ในการทำสงครามกับรัสเซีย บางส่วนถึงขั้นตะเพิด เซเลนสกี พ้นจากตำแหน่งและเร่งเร้าให้ยุติความช่วยเหลือทางทหารที่มอบแก่ประเทศแห่งนี้ . สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนที่เคยสนับสนุนยูเครนมาช้านาน ได้หันมาด่าทอ เซเลนสกี ตามหลังเหตุโต้เถียงกันในวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ปะทะคารมกับผู้นำยูเครน ต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก กล่าวหาเขาขาดความเคารพ . วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม เรียกร้อง เซเลนสกี ปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ก็ลาออกไป ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเข้าร่วมประชุมที่เป็นไปอย่างฉันมิตรระหว่างเซเลนสกีกับบรรดาสมาชิกวุฒิสภาสิบกว่าคน . "สิ่งที่ผมเห็นในห้องทำงานรูปไข่ คือการขาดความเคารพ และผมไม่รู้ว่าเราจะสามารถคบหาเซเลนสกีได้อีกหรือไม่" เกรแฮม พันธมิตรผู้ใกล้ชิดทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ระหว่างเดินทางออกจากทำเนียบขาว ตามหลังเหตุกระทบกระทั่ง ที่ฉุดความสัมพันธ์ระหว่างเคียฟกับพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาแห่งสงคราม ดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบใหม่ . "เขาจำเป็นต้องลาออกและส่งใครบางคนมา ใครที่เราสามารถทำธุระปะปังกันได้ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง" วุฒิสภาจากเซาท์แคโรโลนากล่าว ส่วน บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากเทนเนสซี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ครั้งที่ทรัมป์ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยแรก โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ "สหรัฐอเมริกาจะไม่มอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าอีกต่อไป" . แม้สมาชิกรีพับลิกันเกือบทั้งหมดที่แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์ แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าร่วมกับเดโมแครตในการปกป้องยูเครน ในนั้นรวมถึง ไมค์ ลอเวอร์ ส.ส.จากนิวยอร์ก ที่โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ "พลาดโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสหรัฐฯ และเคียฟ นั่นคือข้อตกลงหนึ่งๆ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะก่อผลลัพธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่เข้มแข็ง" . ดอน เบคอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหัวสายกลางของรีพับลิกัน จากเนบราสกา ก็สนับสนุนเคียฟเช่นกัน โดยบอกว่า "มันเป็นวันที่แย่สำหรับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ยูเครนต้องการเอกราช ตลาดเสรีและหลักนิติรัฐ พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก รัสเซียเกลียดเราและค่านิยมตะวันตกของเรา พวกเราควรแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเรายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ" อย่างไรก็ตามไม่มีสมาชิกสภาคองเกรสรีพับลิกันรายใดที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ หรือแวนซ์ . เซเลนสกี เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน เพื่อลงนามในข้อตกลงหนึ่งสำหรับร่วมกับสหรัฐฯ ในการพัฒนาทรัพยากรทางธรรมชาติอันมั่งคั่งของยูเครน . ผู้นำยูเครนมองว่าการพบปะกับทรัมป์และแวนซ์ เป็นโอกาสโน้มน้าวไม่ให้ สหรัฐฯ หันไปยืนเคียงข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการทำสงครามกับยูเครน อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่า เซเลนสกี ถูกไล่ออกจากทำเนียบขาวและไม่มีการลงนามในข้อตกลงใดๆ . บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ หวังว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเอาชนะใจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากสมาชิกรีพับลิกันของทรัมป์ ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สำหรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต . ที่ผ่านมา สภาคองเกรสอนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วกว่า 175,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ ปูติน เปิดฉากรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เงินช่วยเหลือก้อนสุดท้ายที่ผ่านความเห็นชอบต้องย้อนกลับไปในเดือนเมษายนเลยทีเดียว ครั้งที่พรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และ โจ ไบเดน ยังคงเป็นประธานาธิบดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020218 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1796 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 965 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้ออกคำเตือนชาวอเมริกันให้เพิ่มความระมัดระวังครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปตามสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019961

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้ออกคำเตือนชาวอเมริกันให้เพิ่มความระมัดระวังครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปตามสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019961 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    Yay
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1176 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร

    จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก

    เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ

    WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง

    การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ)

    การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่"

    คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง

    ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ
    คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

    นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย
    ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ

    เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี"

    การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง?

    เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน
    ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล

    USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ
    เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย

    Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/

    ตอนที่.3
    https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ) การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่" คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี" การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง? เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/ ตอนที่.3 https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1048 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts