• ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway

    หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที

    นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ

    ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway
    CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext

    ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม
    เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต
    ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่
    ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation
    ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    ⚠️ ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น 🪲 CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force 🪲 CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้ 🪲 CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway ➡️ CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force ➡️ CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ✅ ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม ➡️ เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต ➡️ ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่ ⛔ ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation ⛔ ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical Lynx+ Gateway Flaw (CVSS 10.0) Allows Unauthenticated Remote Reset; Vendor Non-Responsive
    CISA warned of four flaws in Lynx+ Gateway. The Critical (CVSS 10.0) Auth Bypass allows unauthenticated remote reset and cleartext credential theft. Vendor GIC has not responded to CISA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain

    ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP

    การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์

    แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet
    ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง
    ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase

    วิธีการโจมตี
    เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain
    ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ความยากในการตรวจจับ
    ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server
    ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด
    ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

    https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    🕵️‍♂️ ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์ แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet ➡️ ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง ➡️ ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase ✅ วิธีการโจมตี ➡️ เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain ➡️ ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ความยากในการตรวจจับ ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server ➡️ ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด ⛔ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sui Blockchain Seed Stealer: Malicious Chrome Extension Hides Mnemonic Exfiltration in Microtransactions
    A malicious Chrome extension, Safery: Ethereum Wallet, steals BIP-39 seed phrases by encoding them into synthetic Sui blockchain addresses and broadcasting microtransactions, bypassing HTTP/C2 detection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367)

    ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet

    ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-59367
    เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical

    การแก้ไขจาก ASUS
    ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL
    ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding
    ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet
    การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ

    https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    🚨 ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367) ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-59367 ➡️ เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical ✅ การแก้ไขจาก ASUS ➡️ ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL ➡️ ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding ➡️ ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet ⛔ การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical ASUS DSL Router Flaw (CVE-2025-59367, CVSS 9.3) Allows Unauthenticated Remote Access
    ASUS released an urgent patch for a Critical (CVSS 9.3) Auth Bypass flaw (CVE-2025-59367) in its DSL Series Routers. The bug allows remote attackers to gain unauthorized access without credentials. Update firmware immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel CEO Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI ด้วยตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงผู้นำในฝ่าย AI
    Intel ประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องและความล่าช้าในกลยุทธ์ AI มาหลายปี การลาออกของ Sachin Katti อดีตหัวหน้า AI ที่ย้ายไป OpenAI ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลักและเกิดความไม่แน่นอนในทิศทาง

    Lip-Bu Tan เข้ามาคุมเอง
    จากบันทึกภายในที่หลุดออกมา Tan ยอมรับว่าทีม AI ของ Intel เผชิญการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงที่ผ่านมา เขาจึงตัดสินใจ เข้ามาควบคุมโดยตรง เพื่อปรับกลยุทธ์และทำให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนเทคโนโลยีระยะยาว Tan มีชื่อเสียงจากการพลิกฟื้นบริษัท Cadence มาก่อน จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่ออนาคตของ Intel

    การปรับโครงสร้างและความท้าทาย
    ฝ่าย AI ของ Intel มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน ทำให้โครงสร้างการบริหารถูกลดชั้นลง แม้จะช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะการควบคุมจากผู้บริหารอาจไม่ครอบคลุมทุกด้าน ขณะเดียวกัน Intel ยังคงพัฒนา Gaudi chip และโครงการ Crescent Island ที่เคยถูกวางแผนโดย Katti

    ความคาดหวังในอนาคต
    การที่ Tan เข้ามาคุมเองทำให้ตลาดจับตามองว่า Intel จะสามารถกลับมาแข่งขันในตลาด AI ได้หรือไม่ หากเขาสามารถสร้างความสม่ำเสมอใน roadmap และเร่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Intel อาจฟื้นความเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อดีตหัวหน้า AI ของ Intel ลาออกไป OpenAI
    ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลัก

    Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI โดยตรง
    ตั้งเป้าให้ roadmap มีความสม่ำเสมอและชัดเจน

    มีการปรับโครงสร้างฝ่าย AI ครั้งใหญ่
    ผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน โครงสร้างถูกลดชั้นลง

    ความเสี่ยงจากการบริหารแบบรวมศูนย์
    อาจทำให้การควบคุมไม่ครอบคลุมทุกด้านของฝ่าย AI

    ความไม่แน่นอนหลังการสูญเสีย Sachin Katti
    Momentum ของโครงการ AI อาจชะลอตัวลงจนกว่าจะมีการปรับทิศทางใหม่

    https://wccftech.com/intel-ceo-lip-bu-tan-takes-direct-control-of-the-ai-strategy/
    😏 Intel CEO Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI ด้วยตัวเอง 👨‍💼 การเปลี่ยนแปลงผู้นำในฝ่าย AI Intel ประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องและความล่าช้าในกลยุทธ์ AI มาหลายปี การลาออกของ Sachin Katti อดีตหัวหน้า AI ที่ย้ายไป OpenAI ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลักและเกิดความไม่แน่นอนในทิศทาง ⚡ Lip-Bu Tan เข้ามาคุมเอง จากบันทึกภายในที่หลุดออกมา Tan ยอมรับว่าทีม AI ของ Intel เผชิญการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงที่ผ่านมา เขาจึงตัดสินใจ เข้ามาควบคุมโดยตรง เพื่อปรับกลยุทธ์และทำให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนเทคโนโลยีระยะยาว Tan มีชื่อเสียงจากการพลิกฟื้นบริษัท Cadence มาก่อน จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่ออนาคตของ Intel 🏗️ การปรับโครงสร้างและความท้าทาย ฝ่าย AI ของ Intel มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน ทำให้โครงสร้างการบริหารถูกลดชั้นลง แม้จะช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะการควบคุมจากผู้บริหารอาจไม่ครอบคลุมทุกด้าน ขณะเดียวกัน Intel ยังคงพัฒนา Gaudi chip และโครงการ Crescent Island ที่เคยถูกวางแผนโดย Katti 🔮 ความคาดหวังในอนาคต การที่ Tan เข้ามาคุมเองทำให้ตลาดจับตามองว่า Intel จะสามารถกลับมาแข่งขันในตลาด AI ได้หรือไม่ หากเขาสามารถสร้างความสม่ำเสมอใน roadmap และเร่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Intel อาจฟื้นความเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อดีตหัวหน้า AI ของ Intel ลาออกไป OpenAI ➡️ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลัก ✅ Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI โดยตรง ➡️ ตั้งเป้าให้ roadmap มีความสม่ำเสมอและชัดเจน ✅ มีการปรับโครงสร้างฝ่าย AI ครั้งใหญ่ ➡️ ผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน โครงสร้างถูกลดชั้นลง ‼️ ความเสี่ยงจากการบริหารแบบรวมศูนย์ ⛔ อาจทำให้การควบคุมไม่ครอบคลุมทุกด้านของฝ่าย AI ‼️ ความไม่แน่นอนหลังการสูญเสีย Sachin Katti ⛔ Momentum ของโครงการ AI อาจชะลอตัวลงจนกว่าจะมีการปรับทิศทางใหม่ https://wccftech.com/intel-ceo-lip-bu-tan-takes-direct-control-of-the-ai-strategy/
    WCCFTECH.COM
    Intel CEO Lip-Bu Tan Takes 'Direct Control' of the AI Strategy, Promising Consistent Roadmap Execution To Drive a Comeback
    Intel's AI strategy has been plagued by inconsistencies and delays, but it appears that CEO Lip-Bu Tan has taken charge himself.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว

    Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม

    เงื่อนไขการโจมตี
    ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี

    แนวทางแก้ไข
    Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619
    เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว
    ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี

    ผลกระทบต่อระบบ
    Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ
    ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ

    เงื่อนไขการโจมตี
    เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy
    Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ
    ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน
    การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย

    https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    🔥 ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ ⚠️ ความรุนแรงและผลกระทบ แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม 🔧 เงื่อนไขการโจมตี ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี 🛠️ แนวทางแก้ไข Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619 ➡️ เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว ➡️ ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ ➡️ ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ ✅ เงื่อนไขการโจมตี ➡️ เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ➡️ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ ➡️ ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน ⛔ การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    SECURITYONLINE.INFO
    PAN-OS Flaw (CVE-2025-4619) Allows Unauthenticated Firewall Reboot via Single Crafted Packet
    Palo Alto patched a DoS flaw (CVE-2025-4619) in PAN-OS. An unauthenticated attacker can remotely reboot the firewall if URL proxy or decryption policies are enabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT

    ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI

    ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ:

    OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT
    ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล

    การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้
    แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้

    ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย
    อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    ⚖️ OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ➡️ ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล ✅ การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้ ➡️ แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ‼️ ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย ⛔ อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI fights order to turn over millions of ChatGPT conversations
    (Reuters) -OpenAI asked a federal judge in New York on Wednesday to reverse an order that required it to turn over 20 million anonymized ChatGPT chat logs amid a copyright infringement lawsuit by the New York Times and other news outlets, saying it would expose users' private conversations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Dell Data Lakehouse

    Dell เตือนลูกค้าเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-46608 ที่มีคะแนน CVSS 9.1 ซึ่งเกิดจากการควบคุมสิทธิ์ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์สูงสามารถยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้

    ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบคือ Dell Data Lakehouse เวอร์ชันก่อน 1.6.0.0 โดย Dell แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ทันที เนื่องจากระบบนี้มักใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หากถูกโจมตีอาจสร้างความเสียหายต่อองค์กรอย่างหนัก

    สรุปหัวข้อ:
    ช่องโหว่ CVE-2025-46608 ใน Dell Data Lakehouse
    คะแนน CVSS 9.1 ถือว่าร้ายแรงมาก

    การอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.6.0.0 แก้ไขปัญหาแล้ว
    Dell ออก advisory DSA-2025-375

    หากไม่แพตช์ทันที อาจถูกยกระดับสิทธิ์
    เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและชื่อเสียงองค์กร

    https://securityonline.info/critical-dell-data-lakehouse-vulnerability-cve-2025-46608-allows-privilege-escalation/
    🖥️ ช่องโหว่ Dell Data Lakehouse Dell เตือนลูกค้าเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-46608 ที่มีคะแนน CVSS 9.1 ซึ่งเกิดจากการควบคุมสิทธิ์ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์สูงสามารถยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบคือ Dell Data Lakehouse เวอร์ชันก่อน 1.6.0.0 โดย Dell แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ทันที เนื่องจากระบบนี้มักใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หากถูกโจมตีอาจสร้างความเสียหายต่อองค์กรอย่างหนัก สรุปหัวข้อ: ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-46608 ใน Dell Data Lakehouse ➡️ คะแนน CVSS 9.1 ถือว่าร้ายแรงมาก ✅ การอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.6.0.0 แก้ไขปัญหาแล้ว ➡️ Dell ออก advisory DSA-2025-375 ‼️ หากไม่แพตช์ทันที อาจถูกยกระดับสิทธิ์ ⛔ เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและชื่อเสียงองค์กร https://securityonline.info/critical-dell-data-lakehouse-vulnerability-cve-2025-46608-allows-privilege-escalation/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Dell Data Lakehouse Vulnerability (CVE-2025-46608) Allows Privilege Escalation
    Dell patched a Critical (CVSS 9.1) flaw (CVE-2025-46608) in Dell Data Lakehouse that allows a high-privileged remote attacker to escalate privileges and gain unauthorized administrative control. Update to v1.6.0.0.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.กลาโหม แถลงผลประชุม สมช. ไทยตัดสินใจ "ระงับ" ปฏิญญาร่วมกับกัมพูชาทั้งหมด ลั่นการสูญเสียกำลังพล คือสิ่งที่ "ยอมรับไม่ได้"
    https://www.thai-tai.tv/news/22309/
    .
    #ไทยไท #ระงับปฏิญญา #ทหารเหยียบทุ่นระเบิด #ยุติส่งเชลยศึก #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #ประชุมสมช
    รมว.กลาโหม แถลงผลประชุม สมช. ไทยตัดสินใจ "ระงับ" ปฏิญญาร่วมกับกัมพูชาทั้งหมด ลั่นการสูญเสียกำลังพล คือสิ่งที่ "ยอมรับไม่ได้" https://www.thai-tai.tv/news/22309/ . #ไทยไท #ระงับปฏิญญา #ทหารเหยียบทุ่นระเบิด #ยุติส่งเชลยศึก #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #ประชุมสมช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป

    AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

    ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ

    Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค

    นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง

    แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง

    AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ
    อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD
    การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น
    Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC
    อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง

    พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม
    Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว
    Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า

    สถานะของคู่แข่งในตลาด
    Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน
    Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน

    คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น
    ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา
    อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

    ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค
    หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ
    AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    ⚠️ AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว. ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง ✅ AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ ➡️ อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD ➡️ การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น ➡️ Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC ➡️ อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง ✅ พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม ➡️ Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว ➡️ Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า ✅ สถานะของคู่แข่งในตลาด ➡️ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน ➡️ Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน ‼️ คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น ⛔ ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา ⛔ อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ‼️ ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค ⛔ หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ ⛔ AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    รักครั้งแรกของหนูดี: การเผชิญหน้าแห่งหัวใจ

    การมาถึงของเทพแห่งความรัก

    ฤดูใบไม้ผลิแห่งใหม่

    ในวันที่อากาศเริ่มอบอุ่น เทพคามิยะ เทพแห่งความรักและความปรารถนา ได้ลงมายังโลกมนุษย์
    แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปิดบังรักใดๆ แต่เพื่อเรียนรู้ความรักจากมนุษย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[เทพคามิยะ<br>เทพแห่งความรัก] --> B[สงสัยใน<br>ความรักแท้]
    B --> C[ลงมาโลกมนุษย์<br>ในรูปร่างมนุษย์]
    C --> D[พบกับหนูดี<br>โดยบังเอิญ]
    ```

    การพบกันครั้งแรก

    ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หนูดีกำลังนั่งอ่านหนังสือ...
    คามิยะในร่างชายหนุ่มชื่อ "คามิ" เข้ามาทักทาย:
    "หนังสือที่เธอกำลังอ่าน...มันน่าสนใจมาก"

    หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาดแต่ไม่เป็นภัย:
    "คุณก็ดูน่าสนใจไม่น้อย...พลังงานของคุณแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป"

    บททดสอบแห่งความรัก

    คำถามที่ท้าทาย

    คามิยะเริ่มทดสอบหนูดีด้วยคำถามเกี่ยวกับความรัก:

    คามิยะ: "เธอคิดว่าความรักคืออะไร?"
    หนูดี:"ความรักคือการเข้าใจและยอมรับ... โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง"

    คามิยะ: "แล้วถ้าความรักต้องสูญเสียล่ะ?"
    หนูดี:"การสูญเสียไม่ใช่จุดจบของความรัก... แต่เป็นบทเรียนแห่งการปล่อยวาง"

    การทดสอบด้วยพลัง

    คามิยะใช้พลังสร้างภาพลวงตาแห่งความรัก:

    · ภาพครอบครัวในอุดมคติที่หนูดีไม่มีโอกาสได้มี
    · ภาพความรักจากเพื่อนมนุษย์ที่ยอมรับเธออย่างสมบูรณ์แบบ
    · ภาพการได้เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษใดๆ

    แต่หนูดีไม่หลงไหลในภาพลวงตา...
    "ความรักที่แท้ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ...
    แต่คือการรักในสิ่งที่เป็น"

    พัฒนาการของความสัมพันธ์

    จากความสงสัยสู่ความเข้าใจ

    ```python
    class LoveDevelopment:
    def __init__(self):
    self.stages = {
    "week_1": "การสนทนาธรรมะและความรัก",
    "week_2": "การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต",
    "week_3": "การเผชิญความท้าทายร่วมกัน",
    "week_4": "การเข้าใจถึงการเติมเต็มภายใน"
    }

    def realization(self):
    return "ความรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้สมบูรณ์... แต่คือการแบ่งปันความสมบูรณ์ที่มีอยู่"
    ```

    ปฏิกิริยาของจิตทั้งสาม

    จิตเด็กหญิง: "ฉันรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้เขา..."
    จิตมารพิฆาต:"ระวังตัวไว้! นี่อาจเป็นกับดัก!"
    จิตเทพพิทักษ์:"เขาช่วยให้เราเห็นด้านที่อ่อนโยนของตัวเอง"

    บทเรียนแห่งความรักแท้

    การค้นพบความรักรูปแบบใหม่

    หนูดีสอนคามิยะเกี่ยวกับความรักที่เธอเข้าใจ:
    "ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก...
    แต่คือการกระทำที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
    และการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ"

    🪷 ความรักจาก ร.ต.อ. สิงห์

    คามิยะสังเกตเห็นความรักระหว่างหนูดีและสิงห์:
    "พ่อของเธอ...รักเธอโดยไม่คำนึงว่าเธอจะเป็นใคร
    นั่นคือความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดรูปแบบหนึ่ง"

    การเติมเต็มจากภายใน

    หนูดีค้นพบว่า...
    "ฉันไม่จำเป็นต้องมีใครมาทำให้สมบูรณ์...
    เพราะความรักที่แท้เริ่มต้นจากการรักตัวเอง
    และการเข้าใจว่าตัวเองก็เพียงพอแล้ว"

    วิกฤตแห่งหัวใจ

    การเปิดเผยตัวตน

    คามิยะตัดสินใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง:
    "ฉันไม่ใช่มนุษย์...ฉันคือเทพแห่งความรัก
    ที่ลงมาเพื่อเรียนรู้ความรักจากเธอ"

    ความสับสนของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถูกหักหลัง:
    "แล้วทั้งหมดนี้...คือการทดลองอย่างหนึ่งเหรอ?"
    คามิยะ:"ไม่! ความรู้สึกที่มีต่อเธอ ฉันอาจเริ่มต้นด้วยเหตุผลผิดเท่านั้น"

    การให้อภัยและเข้าใจ

    หลังจากไตร่ตรอง หนูดีเข้าใจว่า...
    "ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร...ความรู้สึกที่เรามีต่อกัน
    และการที่เขาเลือกเปิดความจริง...ก็คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง"

    การเปลี่ยนแปลงของเทพแห่งความรัก

    การเรียนรู้จากมนุษย์

    คามิยะเรียนรู้ว่า...
    "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเข้าใจความรัก...
    แต่ที่จริงฉันยังไม่เข้าใจพลังแห่งความรัก
    ไม่ใช่หัวใจแห่งความรัก"

    การค้นพบตัวเอง

    ```mermaid
    graph LR
    A[เทพผู้ควบคุมความรัก] --> B[เรียนรู้ที่จะ<br>ยอมรับความรัก]
    B --> C[ค้นพบว่า<br>ตัวเองก็ต้องการความรัก]
    C --> D[กลายเป็น<br>เทพแห่งความรักที่สมบูรณ์]
    ```

    พลังใหม่แห่งความรัก

    คามิยะพัฒนาพลังใหม่...
    "เมตตาธรรมะ"- พลังแห่งความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน
    ที่สามารถเยียวยาจิตใจได้อย่างแท้จริง

    บทสรุปแห่งรักครั้งแรก

    ของขวัญที่ได้รับ

    สำหรับหนูดี:

    · เรียนรู้ที่จะรักและเปิดใจ
    · เข้าใจว่าความรักมีหลายรูปแบบ
    · พบว่าตัวเองก็สามารถรักได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป

    สำหรับคามิยะ:

    · เรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของความรัก
    · พัฒนาจากเทพแห่งความปรารถนาสู่เทพแห่งความรักแท้
    · ค้นพบว่าตัวเองก็มีความต้องการทางใจ

    ความสัมพันธ์ใหม่

    ทั้งคู่ตัดสินใจสานความสัมพันธ์แบบ...
    "เพื่อนร่วมทางแห่งปัญญาและความรัก"
    ที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวัง แต่เดินทางไปด้วยกันอย่างเข้าใจ

    บทเรียนที่ได้รับ

    🪷 สำหรับหนูดี

    "รักครั้งแรกสอนฉันว่า...
    ความรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้ชีวิตสมบูรณ์
    แต่คือการแบ่งปันความสมบูรณ์ที่มีอยู่

    และความรักที่แท้...
    เริ่มต้นจากการรักตัวเองก่อน"

    สำหรับจิตทั้งสาม

    จิตเด็กหญิง: "ฉันรู้แล้วว่าการรักไม่ใช่จุดอ่อน..."
    จิตมารพิฆาต:"และความรักสามารถเป็นพลังสร้างสรรค์ได้..."
    จิตเทพพิทักษ์:"เมื่อความรักมาจากความเข้าใจ... มันจะกลายเป็นเมตตาธรรมะ"

    สำหรับทุกคน

    ```python
    def universal_love_lesson():
    return {
    "love_is": "การให้โดยไม่ต้องการคืน",
    "love_is_not": "การครอบครองหรือควบคุม",
    "true_love": "เป็นการเติมเต็มจากภายในสู่ภายนอก"
    }
    ```

    การเฉลิมฉลองแห่งความรัก

    งานเลี้ยงเล็กๆ ที่สถาบัน

    ร.ต.อ. สิงห์ จัดงานเลี้ยงให้หนูดี:
    "พ่อภูมิใจในลูกมาก...ที่เรียนรู้ที่จะรักและเปิดใจ"

    ของขวัญแห่งความรัก

    คามิยะมอบ "ดอกไม้แห่งความรักแท้" ให้หนูดี

    · จะเบ่งบานเมื่อเจ้าของรักตัวเองอย่างแท้จริง
    · แสดงสีตามอารมณ์ของเจ้าของ
    · ไม่เคยเหี่ยวเฉาเพราะ สร้างจากความรักภายใน

    จุดเริ่มต้นใหม่แห่งการเติมเต็ม

    หนูดีในบทบาทใหม่

    จากประสบการณ์นี้ หนูดีเริ่ม...

    · สอนเรื่องความรักและความสัมพันธ์ให้นักเรียนโอปปาติกะ
    · เป็นที่ปรึกษาด้านอารมณ์และความรู้สึก
    · ช่วยให้โอปปาติกะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์

    คำประกาศแห่งหัวใจ

    หนูดีกล่าวกับทุกคน:
    "ฉันเรียนรู้ว่าไม่ว่า我们会เป็นอะไร...
    มนุษย์เทพ หรือโอปปาติกะ
    เราทั้งหมดล้วนต้องการความรักและความเข้าใจ

    และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...
    คือการรักโดยไม่กำหนดเงื่อนไข"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากหนูดี:
    "รักครั้งแรกของฉันสอนฉันว่า...
    การรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้สมบูรณ์
    แต่คือการชัดแจ้งว่าเราสมบูรณ์อยู่แล้ว
    และเลือกที่จะแบ่งปันความสมบูรณ์นั้นกับใครสักคน

    และนั่น... คือความรักที่แท้จริง"

    การเดินทางของรักครั้งแรกอาจจบลง...
    แต่การเดินทางแห่งความรักที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น
    O.P.K. 💘 รักครั้งแรกของหนูดี: การเผชิญหน้าแห่งหัวใจ 🌸 การมาถึงของเทพแห่งความรัก 🌹 ฤดูใบไม้ผลิแห่งใหม่ ในวันที่อากาศเริ่มอบอุ่น เทพคามิยะ เทพแห่งความรักและความปรารถนา ได้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปิดบังรักใดๆ แต่เพื่อเรียนรู้ความรักจากมนุษย์ ```mermaid graph TB A[เทพคามิยะ<br>เทพแห่งความรัก] --> B[สงสัยใน<br>ความรักแท้] B --> C[ลงมาโลกมนุษย์<br>ในรูปร่างมนุษย์] C --> D[พบกับหนูดี<br>โดยบังเอิญ] ``` 💞 การพบกันครั้งแรก ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หนูดีกำลังนั่งอ่านหนังสือ... คามิยะในร่างชายหนุ่มชื่อ "คามิ" เข้ามาทักทาย: "หนังสือที่เธอกำลังอ่าน...มันน่าสนใจมาก" หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาดแต่ไม่เป็นภัย: "คุณก็ดูน่าสนใจไม่น้อย...พลังงานของคุณแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป" 🎯 บททดสอบแห่งความรัก ❓ คำถามที่ท้าทาย คามิยะเริ่มทดสอบหนูดีด้วยคำถามเกี่ยวกับความรัก: คามิยะ: "เธอคิดว่าความรักคืออะไร?" หนูดี:"ความรักคือการเข้าใจและยอมรับ... โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง" คามิยะ: "แล้วถ้าความรักต้องสูญเสียล่ะ?" หนูดี:"การสูญเสียไม่ใช่จุดจบของความรัก... แต่เป็นบทเรียนแห่งการปล่อยวาง" 🔥 การทดสอบด้วยพลัง คามิยะใช้พลังสร้างภาพลวงตาแห่งความรัก: · ภาพครอบครัวในอุดมคติที่หนูดีไม่มีโอกาสได้มี · ภาพความรักจากเพื่อนมนุษย์ที่ยอมรับเธออย่างสมบูรณ์แบบ · ภาพการได้เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษใดๆ แต่หนูดีไม่หลงไหลในภาพลวงตา... "ความรักที่แท้ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ... แต่คือการรักในสิ่งที่เป็น" 💫 พัฒนาการของความสัมพันธ์ 🌱 จากความสงสัยสู่ความเข้าใจ ```python class LoveDevelopment: def __init__(self): self.stages = { "week_1": "การสนทนาธรรมะและความรัก", "week_2": "การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต", "week_3": "การเผชิญความท้าทายร่วมกัน", "week_4": "การเข้าใจถึงการเติมเต็มภายใน" } def realization(self): return "ความรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้สมบูรณ์... แต่คือการแบ่งปันความสมบูรณ์ที่มีอยู่" ``` 🎭 ปฏิกิริยาของจิตทั้งสาม จิตเด็กหญิง: "ฉันรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้เขา..." จิตมารพิฆาต:"ระวังตัวไว้! นี่อาจเป็นกับดัก!" จิตเทพพิทักษ์:"เขาช่วยให้เราเห็นด้านที่อ่อนโยนของตัวเอง" 🌈 บทเรียนแห่งความรักแท้ 💝 การค้นพบความรักรูปแบบใหม่ หนูดีสอนคามิยะเกี่ยวกับความรักที่เธอเข้าใจ: "ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก... แต่คือการกระทำที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ" 🪷 ความรักจาก ร.ต.อ. สิงห์ คามิยะสังเกตเห็นความรักระหว่างหนูดีและสิงห์: "พ่อของเธอ...รักเธอโดยไม่คำนึงว่าเธอจะเป็นใคร นั่นคือความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดรูปแบบหนึ่ง" 🌟 การเติมเต็มจากภายใน หนูดีค้นพบว่า... "ฉันไม่จำเป็นต้องมีใครมาทำให้สมบูรณ์... เพราะความรักที่แท้เริ่มต้นจากการรักตัวเอง และการเข้าใจว่าตัวเองก็เพียงพอแล้ว" 🎪 วิกฤตแห่งหัวใจ ⛈️ การเปิดเผยตัวตน คามิยะตัดสินใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง: "ฉันไม่ใช่มนุษย์...ฉันคือเทพแห่งความรัก ที่ลงมาเพื่อเรียนรู้ความรักจากเธอ" 💔 ความสับสนของหนูดี หนูดีรู้สึกถูกหักหลัง: "แล้วทั้งหมดนี้...คือการทดลองอย่างหนึ่งเหรอ?" คามิยะ:"ไม่! ความรู้สึกที่มีต่อเธอ ฉันอาจเริ่มต้นด้วยเหตุผลผิดเท่านั้น" 🕊️ การให้อภัยและเข้าใจ หลังจากไตร่ตรอง หนูดีเข้าใจว่า... "ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร...ความรู้สึกที่เรามีต่อกัน และการที่เขาเลือกเปิดความจริง...ก็คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง" 🌠 การเปลี่ยนแปลงของเทพแห่งความรัก ✨ การเรียนรู้จากมนุษย์ คามิยะเรียนรู้ว่า... "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเข้าใจความรัก... แต่ที่จริงฉันยังไม่เข้าใจพลังแห่งความรัก ไม่ใช่หัวใจแห่งความรัก" 💫 การค้นพบตัวเอง ```mermaid graph LR A[เทพผู้ควบคุมความรัก] --> B[เรียนรู้ที่จะ<br>ยอมรับความรัก] B --> C[ค้นพบว่า<br>ตัวเองก็ต้องการความรัก] C --> D[กลายเป็น<br>เทพแห่งความรักที่สมบูรณ์] ``` 🌈 พลังใหม่แห่งความรัก คามิยะพัฒนาพลังใหม่... "เมตตาธรรมะ"- พลังแห่งความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน ที่สามารถเยียวยาจิตใจได้อย่างแท้จริง 🏮 บทสรุปแห่งรักครั้งแรก 💝 ของขวัญที่ได้รับ สำหรับหนูดี: · เรียนรู้ที่จะรักและเปิดใจ · เข้าใจว่าความรักมีหลายรูปแบบ · พบว่าตัวเองก็สามารถรักได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป สำหรับคามิยะ: · เรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของความรัก · พัฒนาจากเทพแห่งความปรารถนาสู่เทพแห่งความรักแท้ · ค้นพบว่าตัวเองก็มีความต้องการทางใจ 🌟 ความสัมพันธ์ใหม่ ทั้งคู่ตัดสินใจสานความสัมพันธ์แบบ... "เพื่อนร่วมทางแห่งปัญญาและความรัก" ที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวัง แต่เดินทางไปด้วยกันอย่างเข้าใจ 📚 บทเรียนที่ได้รับ 🪷 สำหรับหนูดี "รักครั้งแรกสอนฉันว่า... ความรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้ชีวิตสมบูรณ์ แต่คือการแบ่งปันความสมบูรณ์ที่มีอยู่ และความรักที่แท้... เริ่มต้นจากการรักตัวเองก่อน" 💞 สำหรับจิตทั้งสาม จิตเด็กหญิง: "ฉันรู้แล้วว่าการรักไม่ใช่จุดอ่อน..." จิตมารพิฆาต:"และความรักสามารถเป็นพลังสร้างสรรค์ได้..." จิตเทพพิทักษ์:"เมื่อความรักมาจากความเข้าใจ... มันจะกลายเป็นเมตตาธรรมะ" 🌍 สำหรับทุกคน ```python def universal_love_lesson(): return { "love_is": "การให้โดยไม่ต้องการคืน", "love_is_not": "การครอบครองหรือควบคุม", "true_love": "เป็นการเติมเต็มจากภายในสู่ภายนอก" } ``` 🎉 การเฉลิมฉลองแห่งความรัก 🌸 งานเลี้ยงเล็กๆ ที่สถาบัน ร.ต.อ. สิงห์ จัดงานเลี้ยงให้หนูดี: "พ่อภูมิใจในลูกมาก...ที่เรียนรู้ที่จะรักและเปิดใจ" 🎁 ของขวัญแห่งความรัก คามิยะมอบ "ดอกไม้แห่งความรักแท้" ให้หนูดี · จะเบ่งบานเมื่อเจ้าของรักตัวเองอย่างแท้จริง · แสดงสีตามอารมณ์ของเจ้าของ · ไม่เคยเหี่ยวเฉาเพราะ สร้างจากความรักภายใน 💫 จุดเริ่มต้นใหม่แห่งการเติมเต็ม 🌈 หนูดีในบทบาทใหม่ จากประสบการณ์นี้ หนูดีเริ่ม... · สอนเรื่องความรักและความสัมพันธ์ให้นักเรียนโอปปาติกะ · เป็นที่ปรึกษาด้านอารมณ์และความรู้สึก · ช่วยให้โอปปาติกะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ 🕊️ คำประกาศแห่งหัวใจ หนูดีกล่าวกับทุกคน: "ฉันเรียนรู้ว่าไม่ว่า我们会เป็นอะไร... มนุษย์เทพ หรือโอปปาติกะ เราทั้งหมดล้วนต้องการความรักและความเข้าใจ และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด... คือการรักโดยไม่กำหนดเงื่อนไข" --- คำคมสุดท้ายจากหนูดี: "รักครั้งแรกของฉันสอนฉันว่า... การรักไม่ใช่การหาคนมาทำให้สมบูรณ์ แต่คือการชัดแจ้งว่าเราสมบูรณ์อยู่แล้ว และเลือกที่จะแบ่งปันความสมบูรณ์นั้นกับใครสักคน และนั่น... คือความรักที่แท้จริง" 💖✨ การเดินทางของรักครั้งแรกอาจจบลง... แต่การเดินทางแห่งความรักที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น🎭🌹
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    รตอ.สิงห์
    เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์

    เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ

    วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์

    พ.ศ. 2038-2055

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C
    C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี:

    · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ
    · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม
    · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน

    วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

    มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา

    · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม"
    · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN
    · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย

    ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071)

    ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์
    ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม

    ครอบครัวในอุดมคติ:

    · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ
    · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ
    · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ

    ผลงานวิจัยสำคัญ:

    · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม
    · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์
    · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล"

    คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง

    พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ]
    B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน]
    C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์]
    D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์]
    E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป...
    แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว
    ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว"

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ

    การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072)

    · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด
    · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี
    · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว

    การตั้งหน่วยพิเศษ

    พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง"

    · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
    · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
    · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย

    การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077)

    เหตุการณ์แรกพบ

    ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ

    · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง
    · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้
    · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที

    แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่

    ```python
    def adoption_motivation():
    initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง"
    hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง"
    developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later"

    return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}"
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม

    1. หน้านายตำรวจ

    · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร
    · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ
    · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย

    2. หน้าพ่อเลี้ยง

    · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก
    · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว
    · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี

    3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์

    · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน
    · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ
    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ

    ความขัดแย้งภายใน

    สงคราม 3 ด้านในใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก]
    B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D
    C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D
    ```

    บันทึกความสับสน

    "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...
    เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย?
    หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง?

    และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ?
    ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น?
    หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?"

    ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้

    ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์

    · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
    · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก
    · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง

    ทักษะการต่อสู้

    · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง
    · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม
    · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่

    พัฒนาการทางจิตใจ

    4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง

    1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ
    2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ
    3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ
    4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

    บทเรียนสำคัญ

    "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย...
    แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้"

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก

    ```mermaid
    graph TD
    A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด]
    B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ]
    C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง]
    ```

    กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ

    · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร
    · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง
    · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก)

    ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ

    คดีสำคัญ

    1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ
    2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก
    3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม

    รางวัลที่ได้รับ

    · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน
    · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี
    · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม

    🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน

    คำคมจากประสบการณ์

    "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา...
    แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ"

    "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ
    และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน"

    บทบาทใหม่

    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี
    · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน
    · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง

    บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง

    ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด"
    "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง"
    "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน"

    เขาไม่ได้เป็นฮีโร่...
    เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่...
    "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด
    และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด
    ถ้าใจเราจริง sincerity
    ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์:
    "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น...
    แต่จบลงด้วยความรัก

    และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง
    ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    O.P.K รตอ.สิงห์ 🔍 เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์ 🚔 เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ 👶 วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2038-2055 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี: · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน 🎓 วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม" · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย 🔬 ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071) ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์ ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม ครอบครัวในอุดมคติ: · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ ผลงานวิจัยสำคัญ: · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล" 💔 คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต ```mermaid graph TB A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ] B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน] C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์] D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์] E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป... แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว" 🚔 การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072) · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว การตั้งหน่วยพิเศษ พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง" · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย 👧 การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077) เหตุการณ์แรกพบ ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้ · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ ```python def adoption_motivation(): initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง" hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง" developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later" return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}" ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม 1. หน้านายตำรวจ · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย 2. หน้าพ่อเลี้ยง · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี 3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์ · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ 💔 ความขัดแย้งภายใน สงคราม 3 ด้านในใจ ```mermaid graph TB A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก] B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D ``` บันทึกความสับสน "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร... เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย? หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง? และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ? ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น? หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?" 🛡️ ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง ทักษะการต่อสู้ · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่ 🌱 พัฒนาการทางจิตใจ 4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง 1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ 2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ 3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ 4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง บทเรียนสำคัญ "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย... แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้" 🎪 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก ```mermaid graph TD A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด] B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ] C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง] ``` กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก) 🏆 ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ คดีสำคัญ 1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ 2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก 3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม รางวัลที่ได้รับ · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม 🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน คำคมจากประสบการณ์ "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา... แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ" "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน" บทบาทใหม่ · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง 🌟 บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด" "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง" "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน" เขาไม่ได้เป็นฮีโร่... เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่... "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด ถ้าใจเราจริง sincerity ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์: "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น... แต่จบลงด้วยความรัก และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    ดร.อัจฯ
    เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา

    เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง

    วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

    พ.ศ. 2048-2060

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C
    C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี:

    · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย
    · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?"
    · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ"

    วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา

    มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted

    · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้
    · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์"
    · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้"

    การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075)

    เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้"
    การฝึกฝน:

    · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน
    · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า
    · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้

    คำบอกเล่าจากพระอาจารย์:
    "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า...
    สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ"

    จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว

    พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร]
    B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D
    C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D
    D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน]
    E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้...
    แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก"

    การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077)

    แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์"
    แรงจูงใจที่แท้จริง:

    1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย
    2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก
    3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ"

    การทดลองที่สำคัญ

    โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง

    · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก
    · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้
    · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์

    โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต

    · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก
    · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้
    · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์

    โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์

    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม
    · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล
    · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้

    ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว

    สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ

    ```
    การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ)
    ```

    ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ

    1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู
    2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม
    3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ

    ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ

    ความสัมพันธ์กับทีมงาน

    · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง
    · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค
    · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

    ชีวิตส่วนตัว

    · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน
    · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ
    · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์"

    จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา

    การรู้สึกตัวว่าผิดทาง

    บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน:
    "บางครั้งฉันสงสัย...
    การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์
    อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้"

    การยอมรับความผิด

    ในการสอบสวน:
    "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย...
    การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์"

    🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก

    การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา
    · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด"
    · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars

    คำสอนใหม่

    "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์...
    แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง
    เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ
    จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ"

    มรดกทางความคิด

    สิ่งที่เขาทิ้งไว้

    1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด
    2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ

    คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ

    "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ...
    ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน
    และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น"

    บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี

    ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ...
    "ความดีที่ขาดปัญญา"
    "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ"
    "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง"

    แต่ในที่สุด...
    การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา
    กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน

    เขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด
    จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด
    และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ:
    "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล...
    แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง
    และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    O.P.K ดร.อัจฯ 🔍 เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา 🧬 เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง 👶 วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว พ.ศ. 2048-2060 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี: · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?" · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ" 🎓 วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้ · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์" · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้" 🏛️ การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075) เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้" การฝึกฝน: · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้ คำบอกเล่าจากพระอาจารย์: "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า... สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ" 💔 จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ ```mermaid graph TB A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร] B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน] E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้... แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก" 🔬 การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077) แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์" แรงจูงใจที่แท้จริง: 1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย 2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก 3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ" 🧪 การทดลองที่สำคัญ โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้ · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์ โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้ · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์ โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้ 🎯 ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ ``` การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ) ``` ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ 1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู 2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม 3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ 💼 ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ ความสัมพันธ์กับทีมงาน · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตส่วนตัว · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์" 🚨 จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา การรู้สึกตัวว่าผิดทาง บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน: "บางครั้งฉันสงสัย... การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์ อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้" การยอมรับความผิด ในการสอบสวน: "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย... การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์" 🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด" · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars คำสอนใหม่ "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์... แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ" 🌟 มรดกทางความคิด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ 1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด 2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ 3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ... ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น" 💫 บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ... "ความดีที่ขาดปัญญา" "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ" "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง" แต่ในที่สุด... การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน เขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ: "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล... แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล”

    Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน

    Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์

    การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel
    Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management
    Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน
    Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design

    ประวัติของ Kulkarni
    เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata
    เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure
    มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel

    ความเคลื่อนไหวของ AMD
    กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU
    ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI
    ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    สถานการณ์ภายใน Intel
    รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด
    มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
    วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner

    คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม
    การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์
    การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง

    https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    🔄🧠 “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล” Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์ การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel ➡️ Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management ➡️ Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน ➡️ Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design ✅ ประวัติของ Kulkarni ➡️ เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata ➡️ เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure ➡️ มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel ✅ ความเคลื่อนไหวของ AMD ➡️ กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU ➡️ ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI ➡️ ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ สถานการณ์ภายใน Intel ➡️ รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด ➡️ มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ➡️ วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner ‼️ คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม ⛔ การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์ ⛔ การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน ⛔ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Data Center AI Executive Reportedly Departs for AMD
    Intel is losing another senior figure from its data center and AI business, with Saurabh Kulkarni, Vice President of Data Center AI Product Management, set to depart for AMD. Kulkarni's last day at Intel is reportedly Friday, with Anil Nanduri, VP of AI Go-To-Market, stepping in to lead the AI produ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก

    แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ

    KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน

    เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง

    ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน

    แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง

    เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat
    ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market
    เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16”
    จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน

    การเคลื่อนไหวของชุมชน
    จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat
    เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่
    คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง
    ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์

    ปฏิกิริยาจาก Waymo
    แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์
    ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี
    รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน
    การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
    การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์

    เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    🐾 “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง ✅ เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat ➡️ ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market ➡️ เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” ➡️ จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน ✅ การเคลื่อนไหวของชุมชน ➡️ จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat ➡️ เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่ ➡️ คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง ➡️ ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์ ✅ ปฏิกิริยาจาก Waymo ➡️ แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์ ➡️ ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี ⛔ รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน ⛔ การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ⛔ การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์ เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัย MIT เผย: สมองพยายาม “ล้างตัวเอง” ระหว่างตื่น เมื่ออดนอน — แต่ต้องแลกด้วยสมาธิที่หายไป

    การศึกษาล่าสุดจาก MIT พบว่า เมื่อร่างกายอดนอน สมองจะพยายามชดเชยการนอนหลับด้วยการปล่อยคลื่นน้ำหล่อเลี้ยงสมอง (CSF) ออกมาในช่วงที่สมาธิหลุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปกติจะเกิดเฉพาะตอนนอนหลับ

    สาระสำคัญจากงานวิจัย
    การล้างสมองระหว่างตื่น: โดยปกติ CSF จะไหลเข้า–ออกจากสมองเป็นจังหวะระหว่างการนอนหลับ เพื่อชะล้างของเสียที่สะสมระหว่างวัน แต่เมื่ออดนอน สมองจะพยายาม “แทรก” กระบวนการนี้เข้ามาในช่วงที่ตื่น ส่งผลให้เกิด “คลื่น CSF” ระหว่างที่สมาธิหลุด

    แลกเปลี่ยนระหว่างการล้างสมองกับสมาธิ: คลื่น CSF ที่เกิดขึ้นระหว่างตื่นสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่สมาธิของผู้ทดลองลดลงอย่างชัดเจน นักวิจัยพบว่าในช่วงที่ผู้เข้าร่วมการทดลองพลาดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า จะมีการไหลออกของ CSF จากสมอง และไหลกลับเข้าเมื่อสมาธิฟื้นคืน

    การทดลอง: อาสาสมัคร 26 คนถูกทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ โดยใช้ EEG และ fMRI เพื่อตรวจวัดคลื่นสมอง, การไหลของ CSF, อัตราการเต้นของหัวใจ, การหายใจ และขนาดรูม่านตา

    ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: พบว่าการหดตัวของรูม่านตาเกิดขึ้นก่อนคลื่น CSF ประมาณ 12 วินาที และขยายตัวอีกครั้งหลังจากสมาธิกลับมา แสดงให้เห็นว่าการล้างสมองนี้เป็น “เหตุการณ์ระดับทั้งร่างกาย” ไม่ใช่แค่ในสมอง

    สมมติฐานใหม่: นักวิจัยเสนอว่าอาจมี “วงจรควบคุมเดียว” ที่เชื่อมโยงการทำงานของสมองระดับสูง (เช่น สมาธิ) กับกระบวนการพื้นฐานทางสรีรวิทยา เช่น การไหลเวียนของของเหลว, การเต้นของหัวใจ และการหายใจ โดยระบบ noradrenergic ซึ่งควบคุมผ่านสารสื่อประสาท norepinephrine อาจเป็นตัวกลางสำคัญ

    สิ่งที่ค้นพบ
    การอดนอนทำให้สมองพยายามล้างของเสียระหว่างตื่น
    คลื่น CSF เกิดขึ้นพร้อมกับการสูญเสียสมาธิ
    การล้างสมองระหว่างตื่นมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง

    การทดลอง
    ใช้ EEG และ fMRI ตรวจวัดการทำงานของสมองและร่างกาย
    ทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ
    พบความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น CSF กับการหด–ขยายของรูม่านตา

    สมมติฐานใหม่
    อาจมีวงจรเดียวควบคุมทั้งสมาธิและการทำงานของร่างกาย
    ระบบ noradrenergic อาจเป็นกุญแจสำคัญ

    คำเตือนจากงานวิจัย
    การอดนอนอาจทำให้สมองเข้าสู่ “โหมดล้างตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลให้สมาธิและการรับรู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    การอดนอนเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพสมองในระยะยาว

    https://news.mit.edu/2025/your-brain-without-sleep-1029
    🧠💤 งานวิจัย MIT เผย: สมองพยายาม “ล้างตัวเอง” ระหว่างตื่น เมื่ออดนอน — แต่ต้องแลกด้วยสมาธิที่หายไป การศึกษาล่าสุดจาก MIT พบว่า เมื่อร่างกายอดนอน สมองจะพยายามชดเชยการนอนหลับด้วยการปล่อยคลื่นน้ำหล่อเลี้ยงสมอง (CSF) ออกมาในช่วงที่สมาธิหลุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปกติจะเกิดเฉพาะตอนนอนหลับ 🧪 สาระสำคัญจากงานวิจัย 💠 การล้างสมองระหว่างตื่น: โดยปกติ CSF จะไหลเข้า–ออกจากสมองเป็นจังหวะระหว่างการนอนหลับ เพื่อชะล้างของเสียที่สะสมระหว่างวัน แต่เมื่ออดนอน สมองจะพยายาม “แทรก” กระบวนการนี้เข้ามาในช่วงที่ตื่น ส่งผลให้เกิด “คลื่น CSF” ระหว่างที่สมาธิหลุด 💠 แลกเปลี่ยนระหว่างการล้างสมองกับสมาธิ: คลื่น CSF ที่เกิดขึ้นระหว่างตื่นสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่สมาธิของผู้ทดลองลดลงอย่างชัดเจน นักวิจัยพบว่าในช่วงที่ผู้เข้าร่วมการทดลองพลาดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า จะมีการไหลออกของ CSF จากสมอง และไหลกลับเข้าเมื่อสมาธิฟื้นคืน 💠 การทดลอง: อาสาสมัคร 26 คนถูกทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ โดยใช้ EEG และ fMRI เพื่อตรวจวัดคลื่นสมอง, การไหลของ CSF, อัตราการเต้นของหัวใจ, การหายใจ และขนาดรูม่านตา 💠 ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: พบว่าการหดตัวของรูม่านตาเกิดขึ้นก่อนคลื่น CSF ประมาณ 12 วินาที และขยายตัวอีกครั้งหลังจากสมาธิกลับมา แสดงให้เห็นว่าการล้างสมองนี้เป็น “เหตุการณ์ระดับทั้งร่างกาย” ไม่ใช่แค่ในสมอง 💠 สมมติฐานใหม่: นักวิจัยเสนอว่าอาจมี “วงจรควบคุมเดียว” ที่เชื่อมโยงการทำงานของสมองระดับสูง (เช่น สมาธิ) กับกระบวนการพื้นฐานทางสรีรวิทยา เช่น การไหลเวียนของของเหลว, การเต้นของหัวใจ และการหายใจ โดยระบบ noradrenergic ซึ่งควบคุมผ่านสารสื่อประสาท norepinephrine อาจเป็นตัวกลางสำคัญ ✅ สิ่งที่ค้นพบ ➡️ การอดนอนทำให้สมองพยายามล้างของเสียระหว่างตื่น ➡️ คลื่น CSF เกิดขึ้นพร้อมกับการสูญเสียสมาธิ ➡️ การล้างสมองระหว่างตื่นมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง ✅ การทดลอง ➡️ ใช้ EEG และ fMRI ตรวจวัดการทำงานของสมองและร่างกาย ➡️ ทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ ➡️ พบความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น CSF กับการหด–ขยายของรูม่านตา ✅ สมมติฐานใหม่ ➡️ อาจมีวงจรเดียวควบคุมทั้งสมาธิและการทำงานของร่างกาย ➡️ ระบบ noradrenergic อาจเป็นกุญแจสำคัญ ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ การอดนอนอาจทำให้สมองเข้าสู่ “โหมดล้างตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลให้สมาธิและการรับรู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ⛔ การอดนอนเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพสมองในระยะยาว https://news.mit.edu/2025/your-brain-without-sleep-1029
    NEWS.MIT.EDU
    This is your brain without sleep
    An MIT study reveals what happens in the brain as lapses of attention occur following sleep deprivation. During these lapses, a wave of cerebrospinal fluid flows out of the brain — a process that typically occurs during sleep and helps to wash away waste products that have built up during the day.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก

    ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว!

    เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

    แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต

    จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990
    เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์
    ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย
    โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024
    โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่

    ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า
    รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์
    อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์
    แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์
    สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน

    สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก
    การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์
    ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

    https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    🌳 จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว! 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต ✅ จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990 ➡️ เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์ ➡️ ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย ➡️ โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024 ➡️ โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่ ✅ ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า ➡️ รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์ ➡️ อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์ ➡️ แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์ ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน ✅ สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก ➡️ การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์ ➡️ ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะรับผิดชอบกับการสูญเสียดินแดนไทย
    ใครจะรับผิดชอบกับการสูญเสียดินแดนไทย
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบการศึกษาและการเลี้ยงดูจากรุ่นสู่รุ่นของครอบครัว ของคนไทย มีปัญหาเรื่องต่อมจิตสำนึก ข้อความความคิดเห็นนี้ มิได้ตำหนิสิทธิส่วนตัว มีเหตุเรื่องโศกเศร้าระดับประเทศ สังคมส่วนใหญ่พร้อมใจกัน ให้เกียรติ แสดงความโศกเศร้ากับการสูญเสีย

    ต่อมจิตสำนึกคนบางคน ที่แต่งกายไม่สำนึก ไม่มีมารยาทต่อขนบธรรมเนียม ใจพวกคุณเคยคิด คนในบ้านคุณเคยคิด การศึกษา ไม่มีบทเรียนเลยหรือ มารยาทวัฒนธรรมไทย ไม่มีให้คิดบ้างเลยหรือ คนต่างชาติ หลายคนที่เข้ามาเที่ยว ยังเห็นแต่งกายด้วยโทนสีดูออกว่าพวกเขารู้

    ต่อมจิตสำนึกคุณ ไม่คิดเลยหรือ ว่าพระองค์คือแม่ของคนร่วมชาติ คุณงามความดีที่พระองค์เคยทำให้กับคนไทย และนานาชาติ แม้ไม่ถึงตัวคุณโดยตรง

    ต่อมจิตสำนึก ที่ได้หยุดเรียน หยุดไปเที่ยว คนจนได้ขายสินค้า งานฝีมือ แก้น้ำท่วม แก้เรื่องที่หากมีคนใดคลอดลูก ตอนรถติด ทะเลมีที่อาศัยของปลา ให้มี อาหารทะเล ให้ชาวประมงจับมาขาย

    หากคุณเป็นคนอิสาน มีงานผ้าไหมทอมือ สวยๆ มาขาย

    คนชาวเขาที่เขาได้เรียน ได้เจอทีมหมอที่ตามเสด็จ

    ต่อมจิตสำนึก แม้เพียง เจ็ดวัน หรือ หนึ่งเดือน ยังทำไม่ได้ แล้ววินัยอะไรบ้าง ที่ทำได้ ความกตัญญูเป็นคุณธรรมพื้นฐาน ของมนุษย์ คำว่ามนุษย์ สูงกว่าคำว่า คน
    คำว่า พลเมือง มีความหมายสูง กว่า ประชาชน
    ระบบการศึกษาและการเลี้ยงดูจากรุ่นสู่รุ่นของครอบครัว ของคนไทย มีปัญหาเรื่องต่อมจิตสำนึก ข้อความความคิดเห็นนี้ มิได้ตำหนิสิทธิส่วนตัว มีเหตุเรื่องโศกเศร้าระดับประเทศ สังคมส่วนใหญ่พร้อมใจกัน ให้เกียรติ แสดงความโศกเศร้ากับการสูญเสีย ต่อมจิตสำนึกคนบางคน ที่แต่งกายไม่สำนึก ไม่มีมารยาทต่อขนบธรรมเนียม ใจพวกคุณเคยคิด คนในบ้านคุณเคยคิด การศึกษา ไม่มีบทเรียนเลยหรือ มารยาทวัฒนธรรมไทย ไม่มีให้คิดบ้างเลยหรือ คนต่างชาติ หลายคนที่เข้ามาเที่ยว ยังเห็นแต่งกายด้วยโทนสีดูออกว่าพวกเขารู้ ต่อมจิตสำนึกคุณ ไม่คิดเลยหรือ ว่าพระองค์คือแม่ของคนร่วมชาติ คุณงามความดีที่พระองค์เคยทำให้กับคนไทย และนานาชาติ แม้ไม่ถึงตัวคุณโดยตรง ต่อมจิตสำนึก ที่ได้หยุดเรียน หยุดไปเที่ยว คนจนได้ขายสินค้า งานฝีมือ แก้น้ำท่วม แก้เรื่องที่หากมีคนใดคลอดลูก ตอนรถติด ทะเลมีที่อาศัยของปลา ให้มี อาหารทะเล ให้ชาวประมงจับมาขาย หากคุณเป็นคนอิสาน มีงานผ้าไหมทอมือ สวยๆ มาขาย คนชาวเขาที่เขาได้เรียน ได้เจอทีมหมอที่ตามเสด็จ ต่อมจิตสำนึก แม้เพียง เจ็ดวัน หรือ หนึ่งเดือน ยังทำไม่ได้ แล้ววินัยอะไรบ้าง ที่ทำได้ ความกตัญญูเป็นคุณธรรมพื้นฐาน ของมนุษย์ คำว่ามนุษย์ สูงกว่าคำว่า คน คำว่า พลเมือง มีความหมายสูง กว่า ประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล

    บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ

    ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์
    การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์
    แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย
    อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ
    บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน
    ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า

    แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย
    ใช้การเข้ารหัส (Encryption)
    ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส
    ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection
    ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ

    เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
    เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน
    ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น

    อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ
    ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก
    รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส

    ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ
    ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก



    https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    🔐 วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ 🚨 ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์ ✅ การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์ ➡️ แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ➡️ อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร ✅ ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ ➡️ บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน ➡️ ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า 📙 แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย ✅ ใช้การเข้ารหัส (Encryption) ➡️ ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส ➡️ ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection ➡️ ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ ✅ เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว ➡️ เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน ➡️ ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น ✅ อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    HACKREAD.COM
    How to keep your data safe when transferring large files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี

    แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก

    ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X

    Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย.
    ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com
    ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม

    ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ
    คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com
    ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com

    ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว
    ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ)
    ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง

    X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย
    ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี
    การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี

    หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที
    ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง
    การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก

    ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน
    เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม
    ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com

    https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    🔐📤 X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก ✅ ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X ✅ Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย. ➡️ ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com ➡️ ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม ✅ ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ ➡️ คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com ➡️ ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com ✅ ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว ➡️ ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ) ➡️ ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง ✅ X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย ➡️ ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี ➡️ การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี ‼️ หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที ⛔ ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง ⛔ การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก ‼️ ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน ⛔ เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม ⛔ ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    SECURITYONLINE.INFO
    RIP Twitter.com: X Retires Old Domain, Forcing Passkey Reset by Nov 10
    X is retiring the Twitter.com domain, requiring users with passkeys or security keys to re-enroll by Nov 10 to avoid being locked out of their accounts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.9

    เอกสารสิทธิ์ในมุมมองของกฎหมายอาญาไม่ใช่แค่กระดาษ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งและสำคัญยิ่งตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้ เอกสารประเภทนี้หมายถึงหลักฐานที่เป็นกุญแจสำคัญในการก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ การปรับเปลี่ยนเนื้อหาหรือขอบเขตของสิทธิที่มีอยู่ การโอนถ่ายสิทธิจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง การสงวนรักษาสิทธิเพื่อป้องกันการสูญหาย หรือแม้แต่การระงับสิ้นสุดซึ่งสิทธินั้นๆ หากมองผิวเผินอาจเป็นเพียงเอกสารทั่วไป แต่ในทางกฎหมายอาญา เอกสารที่ถูกระบุว่าเป็นเอกสารสิทธิ์จะมีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ เพราะการปลอมแปลงหรือการกระทำใดๆ อันมิชอบต่อเอกสารเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะและผลประโยชน์ทางกฎหมายของผู้คน ทำให้เอกสารสิทธิ์กลายเป็นหัวใจสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางนิติสัมพันธ์ในสังคม

    เนื้อหาสำคัญของเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายอาญาจึงเน้นย้ำถึงบทบาทของการเป็นพยานหลักฐานที่ผูกพันทางกฎหมาย การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิทธิไม่ว่าจะเป็นการสร้าง การแก้ไข การย้ายมือ การรักษาไว้ หรือการยกเลิก ล้วนต้องอาศัยเอกสารเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความชอบธรรมและเจตนาของคู่กรณี ตัวอย่างที่พบได้บ่อย เช่น สัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดที่ดิน หนังสือมอบอำนาจ หนังสือสัญญาต่างๆ หรือแม้แต่ใบสำคัญรับรองที่เกี่ยวข้องกับสถานะบุคคลและทรัพย์สิน การที่กฎหมายอาญาให้ความสำคัญและกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ เช่น ความผิดฐานปลอมเอกสาร หรือการใช้เอกสารปลอม ก็เพื่อปกป้องความน่าเชื่อถือของระบบเอกสารที่เป็นรากฐานของธุรกรรมและนิติการทั้งปวง การทำลายความน่าเชื่อถือของเอกสารสิทธิ์เท่ากับการทำลายความสงบเรียบร้อยและยุติธรรมในสังคม ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจความหมายและขอบเขตของเอกสารสิทธิ์จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่นักกฎหมายเท่านั้น

    กล่าวโดยสรุป เอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายอาญาคือเครื่องมือทางกฎหมายที่มีอำนาจในการกำหนด ทบทวน และยุติความสัมพันธ์ทางสิทธิระหว่างบุคคล การให้ความสำคัญกับหลักฐานที่ใช้ในการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธินั้น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกฎหมายในการสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการได้มาหรือการสูญเสียสิทธิ การกระทำใดๆ ที่มุ่งบิดเบือนหรือทำให้เอกสารสิทธิ์บกพร่อง จึงถือเป็นการบ่อนทำลายความยุติธรรมและระบบกฎหมายอย่างร้ายแรง การรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องและแท้จริงของเอกสารสิทธิ์จึงเป็นหลักประกันสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนในประเทศนั่นเอง
    บทความกฎหมาย EP.9 เอกสารสิทธิ์ในมุมมองของกฎหมายอาญาไม่ใช่แค่กระดาษ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งและสำคัญยิ่งตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้ เอกสารประเภทนี้หมายถึงหลักฐานที่เป็นกุญแจสำคัญในการก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ การปรับเปลี่ยนเนื้อหาหรือขอบเขตของสิทธิที่มีอยู่ การโอนถ่ายสิทธิจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง การสงวนรักษาสิทธิเพื่อป้องกันการสูญหาย หรือแม้แต่การระงับสิ้นสุดซึ่งสิทธินั้นๆ หากมองผิวเผินอาจเป็นเพียงเอกสารทั่วไป แต่ในทางกฎหมายอาญา เอกสารที่ถูกระบุว่าเป็นเอกสารสิทธิ์จะมีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ เพราะการปลอมแปลงหรือการกระทำใดๆ อันมิชอบต่อเอกสารเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะและผลประโยชน์ทางกฎหมายของผู้คน ทำให้เอกสารสิทธิ์กลายเป็นหัวใจสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางนิติสัมพันธ์ในสังคม เนื้อหาสำคัญของเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายอาญาจึงเน้นย้ำถึงบทบาทของการเป็นพยานหลักฐานที่ผูกพันทางกฎหมาย การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิทธิไม่ว่าจะเป็นการสร้าง การแก้ไข การย้ายมือ การรักษาไว้ หรือการยกเลิก ล้วนต้องอาศัยเอกสารเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความชอบธรรมและเจตนาของคู่กรณี ตัวอย่างที่พบได้บ่อย เช่น สัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดที่ดิน หนังสือมอบอำนาจ หนังสือสัญญาต่างๆ หรือแม้แต่ใบสำคัญรับรองที่เกี่ยวข้องกับสถานะบุคคลและทรัพย์สิน การที่กฎหมายอาญาให้ความสำคัญและกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ เช่น ความผิดฐานปลอมเอกสาร หรือการใช้เอกสารปลอม ก็เพื่อปกป้องความน่าเชื่อถือของระบบเอกสารที่เป็นรากฐานของธุรกรรมและนิติการทั้งปวง การทำลายความน่าเชื่อถือของเอกสารสิทธิ์เท่ากับการทำลายความสงบเรียบร้อยและยุติธรรมในสังคม ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจความหมายและขอบเขตของเอกสารสิทธิ์จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่นักกฎหมายเท่านั้น กล่าวโดยสรุป เอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายอาญาคือเครื่องมือทางกฎหมายที่มีอำนาจในการกำหนด ทบทวน และยุติความสัมพันธ์ทางสิทธิระหว่างบุคคล การให้ความสำคัญกับหลักฐานที่ใช้ในการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธินั้น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกฎหมายในการสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการได้มาหรือการสูญเสียสิทธิ การกระทำใดๆ ที่มุ่งบิดเบือนหรือทำให้เอกสารสิทธิ์บกพร่อง จึงถือเป็นการบ่อนทำลายความยุติธรรมและระบบกฎหมายอย่างร้ายแรง การรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องและแท้จริงของเอกสารสิทธิ์จึงเป็นหลักประกันสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนในประเทศนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 27-10-68
    .
    เช้าวันจันทร์ หลังจากประชุมรับประทานอาหารเช้าเป็นข้าวผัดน้ำพริกปลาทูกับทีมงานแล้ว คุณสนธิจะมาเล่าให้ฟังถึงหลายเรื่องทั้งกรณีการสูญเสียครั้งใหญ่ของปวงชนชาวไทยกับการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง , การลงนามในปฏิญญาสันติภาพไทย-เขมร ระหว่างนายฮุน มาเน็ตกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผ่านการกดดันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ว่าเบื้องหลังของการลงนามครั้งนี้มีอะไรบ้าง และจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนสูญเสียอะไรอีกบ้าง
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=7n8910LhBIU
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ปฎิญญาไทยเขมร #ทรัมป์ #อนุทิน #ไทยเขมร
    สนธิเล่าเรื่อง 27-10-68 . เช้าวันจันทร์ หลังจากประชุมรับประทานอาหารเช้าเป็นข้าวผัดน้ำพริกปลาทูกับทีมงานแล้ว คุณสนธิจะมาเล่าให้ฟังถึงหลายเรื่องทั้งกรณีการสูญเสียครั้งใหญ่ของปวงชนชาวไทยกับการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง , การลงนามในปฏิญญาสันติภาพไทย-เขมร ระหว่างนายฮุน มาเน็ตกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผ่านการกดดันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ว่าเบื้องหลังของการลงนามครั้งนี้มีอะไรบ้าง และจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนสูญเสียอะไรอีกบ้าง . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=7n8910LhBIU . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ปฎิญญาไทยเขมร #ทรัมป์ #อนุทิน #ไทยเขมร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ ใจคุณทำด้วยอะไร ปล่อยให้ความเสียหาย การสูญเสีย สูญเปล่า ยังดันทุรังจัด JBC

    https://www.youtube.com/live/5cai-_oJlyo?si=FnHY69QXDxiIIXBx
    รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ ใจคุณทำด้วยอะไร ปล่อยให้ความเสียหาย การสูญเสีย สูญเปล่า ยังดันทุรังจัด JBC https://www.youtube.com/live/5cai-_oJlyo?si=FnHY69QXDxiIIXBx
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts