• #ข่าวรอบดึก (29 มกรา) รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับยูเอ็น หลังวิจารณ์เรื่องกฎการสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ

    ✒️นาน ๆ ทีจะเห็นรัฐบาลญี่ปุ่นเกรี้ยวกราดในระดับนานาชาตินะคะ 😅
    📌สาเหตุ

    - ตุลาปีที่แล้วคณะกรรมการสหประชาชาติซึ่งมุ่งเป้าขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) ได้ออกคำแนะนำให้รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นของฝ่ายชาย

    📌 รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับอย่างร้อนแรง

    🗣️ “คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการจำกัดคุณสมบัติการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชาย จึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี รูปแบบการสืบราชสมบัติเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ จึงไม่เหมาะสมที่ CEDAW จะหยิบยกเรื่องกฎมณเฑียรบาลขึ้นมา”

    - นอกจากนี้ยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งดูแลกิจกรรมของ CEDAW

    🗣️ “ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW และยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการในปีนี้
    ◾️ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น: รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ประมาณปีละ 20-30 ล้านเยน
    ◾️เท่าที่ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เงินส่วนนี้ไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของคณะกรรมการ CEDAW มาก่อน
    ◾️การที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ให้” นำเงินบริจาคไปใช้ในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยปรกติของญี่ปุ่น (✒️ปรกติบริจาคอย่างเดียว ไม่รีเควสอะไรเป็นพิเศษ)
    ✒️เดือดของแท้เลยค่ะ 😤💢


    เครดิตเนื้อหา #กิ๊ฟจังนั่งเล่า
    https://web.facebook.com/share/p/14htHYR6ei/
    .
    รายละเอียดข่าวต้นทาง
    https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html
    #ข่าวรอบดึก (29 มกรา) รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับยูเอ็น หลังวิจารณ์เรื่องกฎการสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ✒️นาน ๆ ทีจะเห็นรัฐบาลญี่ปุ่นเกรี้ยวกราดในระดับนานาชาตินะคะ 😅 📌สาเหตุ - ตุลาปีที่แล้วคณะกรรมการสหประชาชาติซึ่งมุ่งเป้าขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) ได้ออกคำแนะนำให้รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นของฝ่ายชาย 📌 รัฐบาลญี่ปุ่น🇯🇵โต้กลับอย่างร้อนแรง 🗣️ “คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการจำกัดคุณสมบัติการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชาย จึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี รูปแบบการสืบราชสมบัติเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ จึงไม่เหมาะสมที่ CEDAW จะหยิบยกเรื่องกฎมณเฑียรบาลขึ้นมา” - นอกจากนี้ยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งดูแลกิจกรรมของ CEDAW 🗣️ “ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW และยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการในปีนี้ ◾️ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น: รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ประมาณปีละ 20-30 ล้านเยน ◾️เท่าที่ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เงินส่วนนี้ไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของคณะกรรมการ CEDAW มาก่อน ◾️การที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ให้” นำเงินบริจาคไปใช้ในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยปรกติของญี่ปุ่น (✒️ปรกติบริจาคอย่างเดียว ไม่รีเควสอะไรเป็นพิเศษ) ✒️เดือดของแท้เลยค่ะ 😤💢 เครดิตเนื้อหา #กิ๊ฟจังนั่งเล่า https://web.facebook.com/share/p/14htHYR6ei/ . รายละเอียดข่าวต้นทาง https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ และโคลอมเบียแตะเบรกระงับสงครามการค้ากันแบบหวุดหวิด หลังทำเนียบขาวประกาศว่าทางการโคลอมเบียยอมอนุญาตให้เที่ยวบินที่เนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายจากสหรัฐฯ ไปลงจอดได้แล้วแบบไร้เงื่อนไข
    .
    ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่จะแก้เผ็ดโคลอมเบียด้วยมาตรการรีดภาษีและคว่ำบาตรต่างๆ โทษฐานที่ไม่ยอมให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ นำผู้อพยพซึ่งถูกเนรเทศไปลงจอดตามนโยบายกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายอย่างครอบคลุมของเขา
    .
    อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวได้แถลงล่าสุดเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (26) ว่า โคลอมเบียตกลงยอมรับผู้อพยพแล้ว และวอชิงตันจะยังไม่นำบทลงโทษที่ขู่ไว้มาใช้
    .
    “รัฐบาลโคลอมเบียยอมรับเงื่อนไขทุกอย่างของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงจะยอมรับผู้อพยพผิดกฎหมายชาวโคลอมเบียที่ถูกเนรเทศกลับจากสหรัฐฯ ด้วยเครื่องบินทหารอย่างไม่มีข้อจำกัด และไม่ถ่วงเวลาให้ชักช้า”คำแถลงของทำเนียบขาวระบุ
    .
    ทั้งนี้ ร่างคำสั่งขึ้นภาษีศุลกากรและคว่ำบาตรโคลอมเบียจะ “ถูกชะลอเอาไว้ก่อน โดยยังไม่มีการลงนามบังคับใช้ เว้นเสียแต่โคลอมเบียจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง”
    .
    “เหตุการณ์ในวันนี้แสดงให้โลกเห็นอย่างชัดเจนว่าอเมริกาได้รับความเคารพกลับคืนมาอีกครั้ง ประธานาธิบดีทรัมป์ ...คาดหวังว่าชาติอื่นๆของโลกก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการยอมรับพลเมืองของพวกเขาที่ปรากฏตัวในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายและถูกเนรเทศออกมา” คำแถลงนี้ของทำเนียบขาวสำทับ
    .
    ลูอิส กิลเบอร์โต มูริลโญ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศโคลอมเบีย แถลงเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (26) ว่า “เราได้ก้าวข้ามอุปสรรคกับรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว รัฐบาลโคลอมเบียได้เตรียมเครื่องบินของประธานาธิบดีไว้พร้อมสำหรับการอำนวยความสะดวกแก่พลเมืองที่กำลังจะเดินทางด้วยเที่ยวบินเนรเทศกลับมาถึงในช่วงเช้า”
    .
    คำแถลงดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดว่าข้อตกลงที่ทำกับสหรัฐฯ รวมถึง “เครื่องบินทหาร” ด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลของทางทำเนียบขาว
    .
    สำหรับร่างมาตรการลงโทษของ ทรัมป์ นั้นมีทั้งการสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจากโคลอมเบียในอัตรา 25% ซึ่งจะถูกปรับเพิ่มเป็น 50% ภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจะเพิกถอนวีซ่าและใช้คำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย นอกจากนี้ยังกำหนดมาตรการคว่ำบาตรฉุกเฉินต่อกระทรวงการคลังและสถาบันทางการเงินของโคลอมเบียด้วย
    .
    ทรัมป์ ยังขู่จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองพลเมืองและสินค้าต่างๆ จากโคลอมเบีย โดยก่อนที่จะมีประกาศข้อตกลงออกมานั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาได้เริ่มระงับการออกวีซ่าที่สถานทูตประจำกรุงโบโกตาแล้วด้วย
    .
    โคลอมเบียถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ ในละตินอเมริกา ในขณะที่สหรัฐฯ เองถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของโคลอมเบีย ด้วยอานิสงส์จากข้อตกลงการค้าเสรีปี 2006 ซึ่งทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มเป็น 33,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดยสหรัฐฯ เป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 1,600 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (US Census Bureau)
    .
    อเลโจ เซรวอนโกหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนสำหรับตลาดเกิดใหม่ทวีปอเมริกา ของบริษัทบริหารความมั่งคั่ง ยูบีเอส โกลบอล เวลธ์ แมเนจเมนต์ บอกว่าสินค้าออกของโคลอมเบียราว 1 ใน 3 ต้องพึ่งพาอาศัยการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ โดยมูลค่าคิดเป็นประมาณ 4%ของจีดีพีของโคลอมเบียทีเดียว
    .
    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตรได้กล่าวประณามการที่สหรัฐฯใช้เครื่องบินทหารขนชาวโคลอมเบียที่ถูกเนรเทศและบอกว่าเขาจะไม่มีทางตอบโต้ด้วยการบุกเข้าจับกุมและใส่กุญแจมือชาวอเมริกันส่งกลับไปยังสหรัฐฯหรอก เนื่องจาก “เรานั้นอยู่ตรงกันข้ามกับพวกนาซี”เขาเขียนเช่นนี้ในโพสต์องเขาบนแพลตฟอร์มX
    .
    อย่างไรก็ดีเขาบอกด้วยว่าโคลอมเบียยินดีต้อนรับผู้อพยพที่ถูกเนรเทศส่งตัวกลับบ้านซึ่งเดินทางมาด้วยเครื่องบินพลเรือนรวมทั้งเสนอที่จะจัดส่งเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาไปอำนวยความสะดวกให้ผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้ได้“กลับมาอย่างมีศักดิ์ศรี” อีกด้วย
    .
    ไม่ใช่เฉพาะโคลอมเบีย ทางด้านเม็กซิโกก็ได้ปฏิเสธในสัปดาห์ที่แล้วคำขออนุญาตให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯลำหนึ่งซึ่งบรรทุกผู้อพยพมาลงจอดในเม็กซิโก
    .
    ส่วนในวันเสาร์ (25)กระทรวงการต่างประเทศบราซิลได้ประณาม “การปฏิบัติแบบลดทอนศักดิ์ศรี” ของชาวบราซิลหลังจากสหรัฐฯส่งผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมาให้โดยใช้เที่ยวบินพาณิชย์ทว่าพวกเขาถูกใส่กุญแจมือขณะเดินขึ้นเครื่องตามรายงานข่าวของสื่อ เมื่อเดินทางถึงบราซิลแล้วมีผู้โดยสารบางคนโอดครวญว่าถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายระหว่างอยู่บนเครื่องบิน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008687
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ และโคลอมเบียแตะเบรกระงับสงครามการค้ากันแบบหวุดหวิด หลังทำเนียบขาวประกาศว่าทางการโคลอมเบียยอมอนุญาตให้เที่ยวบินที่เนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายจากสหรัฐฯ ไปลงจอดได้แล้วแบบไร้เงื่อนไข . ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่จะแก้เผ็ดโคลอมเบียด้วยมาตรการรีดภาษีและคว่ำบาตรต่างๆ โทษฐานที่ไม่ยอมให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ นำผู้อพยพซึ่งถูกเนรเทศไปลงจอดตามนโยบายกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายอย่างครอบคลุมของเขา . อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวได้แถลงล่าสุดเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (26) ว่า โคลอมเบียตกลงยอมรับผู้อพยพแล้ว และวอชิงตันจะยังไม่นำบทลงโทษที่ขู่ไว้มาใช้ . “รัฐบาลโคลอมเบียยอมรับเงื่อนไขทุกอย่างของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงจะยอมรับผู้อพยพผิดกฎหมายชาวโคลอมเบียที่ถูกเนรเทศกลับจากสหรัฐฯ ด้วยเครื่องบินทหารอย่างไม่มีข้อจำกัด และไม่ถ่วงเวลาให้ชักช้า”คำแถลงของทำเนียบขาวระบุ . ทั้งนี้ ร่างคำสั่งขึ้นภาษีศุลกากรและคว่ำบาตรโคลอมเบียจะ “ถูกชะลอเอาไว้ก่อน โดยยังไม่มีการลงนามบังคับใช้ เว้นเสียแต่โคลอมเบียจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง” . “เหตุการณ์ในวันนี้แสดงให้โลกเห็นอย่างชัดเจนว่าอเมริกาได้รับความเคารพกลับคืนมาอีกครั้ง ประธานาธิบดีทรัมป์ ...คาดหวังว่าชาติอื่นๆของโลกก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการยอมรับพลเมืองของพวกเขาที่ปรากฏตัวในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายและถูกเนรเทศออกมา” คำแถลงนี้ของทำเนียบขาวสำทับ . ลูอิส กิลเบอร์โต มูริลโญ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศโคลอมเบีย แถลงเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (26) ว่า “เราได้ก้าวข้ามอุปสรรคกับรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว รัฐบาลโคลอมเบียได้เตรียมเครื่องบินของประธานาธิบดีไว้พร้อมสำหรับการอำนวยความสะดวกแก่พลเมืองที่กำลังจะเดินทางด้วยเที่ยวบินเนรเทศกลับมาถึงในช่วงเช้า” . คำแถลงดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดว่าข้อตกลงที่ทำกับสหรัฐฯ รวมถึง “เครื่องบินทหาร” ด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลของทางทำเนียบขาว . สำหรับร่างมาตรการลงโทษของ ทรัมป์ นั้นมีทั้งการสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจากโคลอมเบียในอัตรา 25% ซึ่งจะถูกปรับเพิ่มเป็น 50% ภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจะเพิกถอนวีซ่าและใช้คำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย นอกจากนี้ยังกำหนดมาตรการคว่ำบาตรฉุกเฉินต่อกระทรวงการคลังและสถาบันทางการเงินของโคลอมเบียด้วย . ทรัมป์ ยังขู่จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองพลเมืองและสินค้าต่างๆ จากโคลอมเบีย โดยก่อนที่จะมีประกาศข้อตกลงออกมานั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาได้เริ่มระงับการออกวีซ่าที่สถานทูตประจำกรุงโบโกตาแล้วด้วย . โคลอมเบียถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ ในละตินอเมริกา ในขณะที่สหรัฐฯ เองถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของโคลอมเบีย ด้วยอานิสงส์จากข้อตกลงการค้าเสรีปี 2006 ซึ่งทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มเป็น 33,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดยสหรัฐฯ เป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 1,600 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (US Census Bureau) . อเลโจ เซรวอนโกหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนสำหรับตลาดเกิดใหม่ทวีปอเมริกา ของบริษัทบริหารความมั่งคั่ง ยูบีเอส โกลบอล เวลธ์ แมเนจเมนต์ บอกว่าสินค้าออกของโคลอมเบียราว 1 ใน 3 ต้องพึ่งพาอาศัยการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ โดยมูลค่าคิดเป็นประมาณ 4%ของจีดีพีของโคลอมเบียทีเดียว . ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตรได้กล่าวประณามการที่สหรัฐฯใช้เครื่องบินทหารขนชาวโคลอมเบียที่ถูกเนรเทศและบอกว่าเขาจะไม่มีทางตอบโต้ด้วยการบุกเข้าจับกุมและใส่กุญแจมือชาวอเมริกันส่งกลับไปยังสหรัฐฯหรอก เนื่องจาก “เรานั้นอยู่ตรงกันข้ามกับพวกนาซี”เขาเขียนเช่นนี้ในโพสต์องเขาบนแพลตฟอร์มX . อย่างไรก็ดีเขาบอกด้วยว่าโคลอมเบียยินดีต้อนรับผู้อพยพที่ถูกเนรเทศส่งตัวกลับบ้านซึ่งเดินทางมาด้วยเครื่องบินพลเรือนรวมทั้งเสนอที่จะจัดส่งเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาไปอำนวยความสะดวกให้ผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้ได้“กลับมาอย่างมีศักดิ์ศรี” อีกด้วย . ไม่ใช่เฉพาะโคลอมเบีย ทางด้านเม็กซิโกก็ได้ปฏิเสธในสัปดาห์ที่แล้วคำขออนุญาตให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯลำหนึ่งซึ่งบรรทุกผู้อพยพมาลงจอดในเม็กซิโก . ส่วนในวันเสาร์ (25)กระทรวงการต่างประเทศบราซิลได้ประณาม “การปฏิบัติแบบลดทอนศักดิ์ศรี” ของชาวบราซิลหลังจากสหรัฐฯส่งผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมาให้โดยใช้เที่ยวบินพาณิชย์ทว่าพวกเขาถูกใส่กุญแจมือขณะเดินขึ้นเครื่องตามรายงานข่าวของสื่อ เมื่อเดินทางถึงบราซิลแล้วมีผู้โดยสารบางคนโอดครวญว่าถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายระหว่างอยู่บนเครื่องบิน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008687 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 757 มุมมอง 0 รีวิว
  • รื้อฟื้น ตม.6 ออนไลน์ ต่างชาติเข้าไทยต้องกรอก

    ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2568 เป็นต้นไป ชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มที่เรียกว่า TM6 หรือ ตม.6 ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนเข้าประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าว หลังการขยายเวลายกเว้นการยื่นแบบ ตม. 6 ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวทั้งด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้

    แบบฟอร์ม ตม.6 (TM6) คือแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามคนต่างด้าว และรักษาความมั่นคงของประเทศ ที่ผ่านมาคนไทยได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกบัตรขาออกและบัตรขาเข้า มาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด ลดความล่าช้าในการเข้าออกเมือง เพราะข้อมูลคนไทยตรวจสอบได้จากทะเบียนราษฎรอยู่แล้ว

    กระทั่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 สำหรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2565 โดยเริ่มจากทางอากาศก่อน ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2566 ได้ยกเว้นที่ด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา ซึ่งตรงกับช่วงฤดูการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย กระทั่งวันที่ 15 เม.ย. 2567 ขยายเพิ่มอีก 12 จุดทั้งทางบกและทางน้ำ เฉพาะที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) และปัจจุบันขยายเวลาถึงวันที่ 30 เม.ย. 2568 ได้แก่ ด่านทางบก 8 ด่าน และด่านทางน้ำ 8 ด่าน

    น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า แบบฟอร์ม ตม.6 ออนไลน์ จะช่วยติดตามนักท่องเที่ยวขณะอยู่ในประเทศไทย เพิ่มความมั่นใจต่อความปลอดภัย ซึ่งในวันที่ 31 ม.ค. จะประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สายการบิน โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและช่วยประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าวให้ชาวต่างชาติทราบอีกด้วย

    อนึ่ง บางประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีมาตรการให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กรอกแบบฟอร์มขาเข้าดิจิทัลก่อนเข้าประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ของสิงคโปร์, eTravel ของฟิลิปปินส์, E-Arrival Card ของบรูไน, Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ของมาเลเซีย และ Cambodia e-Arrival ของกัมพูชา (เฉพาะสนามบินพนมเปญและเสียมราฐ) ส่วนอินโดนีเซียกรอกแบบฟอร์มสำแดงต่อศุลกากร Indonesian Customs Declaration (e-CD) และใบอนุญาตสุขภาพ SATUSEHAT (SSHP) ขณะที่เวียดนาม ลาว และเมียนมา ยังคงใช้แบบฟอร์มบัตรขาเข้าเมืองกระดาษ

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    รื้อฟื้น ตม.6 ออนไลน์ ต่างชาติเข้าไทยต้องกรอก ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2568 เป็นต้นไป ชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มที่เรียกว่า TM6 หรือ ตม.6 ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนเข้าประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าว หลังการขยายเวลายกเว้นการยื่นแบบ ตม. 6 ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวทั้งด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้ แบบฟอร์ม ตม.6 (TM6) คือแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามคนต่างด้าว และรักษาความมั่นคงของประเทศ ที่ผ่านมาคนไทยได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกบัตรขาออกและบัตรขาเข้า มาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด ลดความล่าช้าในการเข้าออกเมือง เพราะข้อมูลคนไทยตรวจสอบได้จากทะเบียนราษฎรอยู่แล้ว กระทั่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 สำหรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2565 โดยเริ่มจากทางอากาศก่อน ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2566 ได้ยกเว้นที่ด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา ซึ่งตรงกับช่วงฤดูการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย กระทั่งวันที่ 15 เม.ย. 2567 ขยายเพิ่มอีก 12 จุดทั้งทางบกและทางน้ำ เฉพาะที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) และปัจจุบันขยายเวลาถึงวันที่ 30 เม.ย. 2568 ได้แก่ ด่านทางบก 8 ด่าน และด่านทางน้ำ 8 ด่าน น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า แบบฟอร์ม ตม.6 ออนไลน์ จะช่วยติดตามนักท่องเที่ยวขณะอยู่ในประเทศไทย เพิ่มความมั่นใจต่อความปลอดภัย ซึ่งในวันที่ 31 ม.ค. จะประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สายการบิน โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและช่วยประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าวให้ชาวต่างชาติทราบอีกด้วย อนึ่ง บางประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีมาตรการให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กรอกแบบฟอร์มขาเข้าดิจิทัลก่อนเข้าประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ของสิงคโปร์, eTravel ของฟิลิปปินส์, E-Arrival Card ของบรูไน, Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ของมาเลเซีย และ Cambodia e-Arrival ของกัมพูชา (เฉพาะสนามบินพนมเปญและเสียมราฐ) ส่วนอินโดนีเซียกรอกแบบฟอร์มสำแดงต่อศุลกากร Indonesian Customs Declaration (e-CD) และใบอนุญาตสุขภาพ SATUSEHAT (SSHP) ขณะที่เวียดนาม ลาว และเมียนมา ยังคงใช้แบบฟอร์มบัตรขาเข้าเมืองกระดาษ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการต่างประเทศบราซิลเตรียมร้องขอคำอธิบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่ "ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์" (degrading treatment) ของผู้อพยพบราซิล ซึ่งถูกขนขึ้นเที่ยวบินเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    ก่อนหน้านั้นมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่บราซิลได้ขอให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ถอดกุญแจมือผู้อพยพที่ถูกเนรเทศกลับมายังบราซิลเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (24) ขณะที่รัฐมนตรีอาวุโสคนหนึ่งในรัฐบาลประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ก็ประณามการกระทำของฝ่ายอเมริกันว่าเป็นการ "ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง" ต่อสิทธิเพื่อนร่วมชาติของตน
    .
    เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งมีผู้โดยสารชาวบราซิล 88 คน เจ้าหน้าความมั่งคงสหรัฐฯ 16 นาย และลูกเรืออีก 8 คน เดิมมีกำหนดลงจอดที่เมืองเบลูโอรีชองซีในรัฐมีนัสเชไรส์ทางตอนใต้ของบราซิล ทว่าต้องแวะจอดฉุกเฉินที่เมืองมาเนาช์ (Manaus) เนื่องจากเกิดปัญหาด้านเทคนิค ตามข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมบราซิล
    .
    ณ สถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บราซิลได้สั่งให้มีการถอดกุญแจมือผู้อพยพทั้งหมด และประธานาธิบดี ลูลา ได้สั่งการให้กองทัพอากาศบราซิลส่งเครื่องบินไปรับช่วงพาพลเมืองเหล่านั้นมาส่งยังที่หมาย "อย่างมีเกียรติและปลอดภัย"
    .
    เที่ยวบินดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ที่สหรัฐฯ มีการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมายังบราซิล และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมและตำรวจบราซิล
    .
    รัฐบาล ทรัมป์ ได้นำมาตรการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายมาใช้อย่างครอบคลุม โดย ทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่าจะใช้วิธี "เนรเทศหมู่" เพื่อนำคนลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ตาม การใส่กุญแจมือหรือผูกมัดด้วยวิธีอื่นๆ ต่อผู้อพยพที่โดนเนรเทศขึ้นเครื่องบินมาจากสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ทางการบราซิลไม่พอใจมานานแล้ว และแม้แต่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพันธมิตรทรัมป์ ก็ยังเคยขอให้สหรัฐฯ เลิกการกระทำเช่นนี้เสีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008328
    ..............
    Sondhi X
    กระทรวงการต่างประเทศบราซิลเตรียมร้องขอคำอธิบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่ "ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์" (degrading treatment) ของผู้อพยพบราซิล ซึ่งถูกขนขึ้นเที่ยวบินเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . ก่อนหน้านั้นมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่บราซิลได้ขอให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ถอดกุญแจมือผู้อพยพที่ถูกเนรเทศกลับมายังบราซิลเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (24) ขณะที่รัฐมนตรีอาวุโสคนหนึ่งในรัฐบาลประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ก็ประณามการกระทำของฝ่ายอเมริกันว่าเป็นการ "ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง" ต่อสิทธิเพื่อนร่วมชาติของตน . เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งมีผู้โดยสารชาวบราซิล 88 คน เจ้าหน้าความมั่งคงสหรัฐฯ 16 นาย และลูกเรืออีก 8 คน เดิมมีกำหนดลงจอดที่เมืองเบลูโอรีชองซีในรัฐมีนัสเชไรส์ทางตอนใต้ของบราซิล ทว่าต้องแวะจอดฉุกเฉินที่เมืองมาเนาช์ (Manaus) เนื่องจากเกิดปัญหาด้านเทคนิค ตามข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมบราซิล . ณ สถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บราซิลได้สั่งให้มีการถอดกุญแจมือผู้อพยพทั้งหมด และประธานาธิบดี ลูลา ได้สั่งการให้กองทัพอากาศบราซิลส่งเครื่องบินไปรับช่วงพาพลเมืองเหล่านั้นมาส่งยังที่หมาย "อย่างมีเกียรติและปลอดภัย" . เที่ยวบินดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ที่สหรัฐฯ มีการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมายังบราซิล และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมและตำรวจบราซิล . รัฐบาล ทรัมป์ ได้นำมาตรการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายมาใช้อย่างครอบคลุม โดย ทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่าจะใช้วิธี "เนรเทศหมู่" เพื่อนำคนลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินอเมริกา . อย่างไรก็ตาม การใส่กุญแจมือหรือผูกมัดด้วยวิธีอื่นๆ ต่อผู้อพยพที่โดนเนรเทศขึ้นเครื่องบินมาจากสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ทางการบราซิลไม่พอใจมานานแล้ว และแม้แต่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพันธมิตรทรัมป์ ก็ยังเคยขอให้สหรัฐฯ เลิกการกระทำเช่นนี้เสีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008328 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 969 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน"
    .
    "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย"
    .
    ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่
    .
    ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย
    .
    ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์
    .
    ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่"
    .
    แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
    .
    อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา
    .
    ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์
    .
    บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" . "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย" . ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่ . ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย . ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์ . ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่" . แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต . ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน . อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา . ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ . บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 994 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าเขาจะกำหนดมาตรการแก้เผ็ดต่างๆ เล่นงานโคลอมเบีย ในนั้นรวมถึงรีดภาษีและคว่ำบาตร หลังประเทศแถบอเมริกาใต้แห่งนี้ไม่อ้าแขนรับเครื่องบินทหาร 2 ลำของสหรัฐฯ ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่ถูกเนรเทศ ส่วนหนึ่งในการปราบปรามพวกผู้อพยพของรัฐบาลอเมริกา
    .
    ความเคลื่อนไหวลงโทษของทรัมป์ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายทำให้โคลอมเบีย เป็นแบบอย่างชาติอื่นๆ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เป็นชาติที่ 2 ในละตินอเมริกา ที่ปฏิเสธเครื่องบินทหารบรรทุกผู้อพยพของสหรัฐฯ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวในด้านนโยบายต่างประเทศของวอชิงตัน และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทรัมป์ ที่จะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมอ่อนข้อทำตามความต้องการของเขา
    .
    ทรัมป์ เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่าการที่ กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ปฏิเสธอ้าแขนรับเที่ยวบินบรรทุกพวกผู้ลี้ภัย ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ
    .
    มาตรการแก้แค้นนั้น รวมไปถึงการรีดภาษี 25% ต่อสินค้าของโคลอมเบียทั้งหมดที่นำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะแตะระดับ 50% ใน 1 สัปดาห์ คำสั่งแบนด้านการเดินทางและเพิกถอนวีซ่าพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย คว่ำบาตรภาคธนาคารและภาคการเงิน
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ เผยด้วยว่าเขาจะสั่งให้ยกระดับการตรวจสอบทางชายแดนพลเมืองชาวโคลอมเบียและสินค้าจากโคลอมเบียด้วย "มาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้น" เขาเขียน "เราจะไม่ยอมให้รัฐบาลโคลอมเบียละเมิดพันธะทางกฎหมายของพวกเขา ในเรื่องการอ้าแขนรับและส่งคืนพวกอาชญากร ที่พวกเขาบีบให้ลอบเข้าสู่สหรัฐฯ!"
    .
    ด้าน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงว่า "อเมริกาจะไม่ยอมรับคำโกหกหรือถูกเอาเปรียบอีกต่อไป" พร้อมระบุ เปโตร อนุมัติเที่ยวบินเหล่านี้ และมอบอำนาจทุกอย่างที่จำเป็น แต่จากนั้นกลับยกเลิกไฟเขียว ตอนที่เครื่องบินทั้ง 2 ลำ อยู่ระหว่างการเดินทาง
    .
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกำหนดมาตรการปราบปรามต่างๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (20 ม.ค.) ในนั้นรวมถึงสั่งการให้ทหารเข้าช่วยหน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดน ออกประกาศแบนการลี้ภัยอย่างครอบคลุม และใช้มาตรการต่างๆ ในการจำกัดสิทธิความเป็นพลเมืองของลูกพวกผู้อพยพที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินอเมริกา
    .
    ประธานาธิบดีเปโตร ประณามความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ในวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ชี้ว่ามันเป็นการปฏิบัติกับพวกผู้อพยพราวกับอาชญากร ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ทาง เปโตร บอกว่าโคลอมเบีย จะยินดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เนรเทศพวกผู้อพยพด้วยเครื่องบินพลเรือน "อเมริกาไม่อาจปฏิบัติกับพวกผู้อพยพชาวโคลอมเบียราวกับอาชญากร"
    .
    เปโตร บอกต่อว่าแม้ว่าจะมีชาวอเมริกามากกว่า 15,660 คน อยู่ในสถานะเข้าเมืองผิดกฎหมายในโคลอมเบีย แต่เขาไม่เคยคิดปฏิบัติการจู่โจมใดๆ และส่งคืนอเมริกันชนเหล่านั้นในสภาพที่ใส่กุญแจมือ กลับไปยังสหรัฐฯ "เราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาซี" เขาเขียน เหน็บแนมไปยังทรัมป์
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เม็กซิโก ได้ปฏิเสธคำร้องที่ขอให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ บรรทุกพวกผู้อพยพลงจอดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ไม่ได้ดำเนินการแบบเดียวกันนี้กับเม็กซิโก ชาติคู่หูทางการค้าใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่บอกว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อบีบให้ดำเนินการต่างๆ เพิ่มเติมจัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้าสู่อเมริกาของยาเฟนทานิล
    .
    ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาคือคู่ค้าและการลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย ส่วน โคลอมเบีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐฯ หากนับเฉพาะในละตินอเมริกา
    .
    ความเห็นของเปโดร ถือเป็นการสอดประสานส่งเสียงแสดงความขุ่นเคืองหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในละตินอเมริกา ต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอายุ 1 สัปดาห์ของทรัมป์ ที่เริ่มดำเนินการเนรเทศหมู่พวกผู้อพยพ
    .
    เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ (25 ม.ค.) กระทรวงการต่างประเทศบราซิล ประณามการปฏิบัติที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวบราซิล หลังพบเห็นพวกผู้อพยพถูกใส่กุญแจมือบนเที่ยวบินพาณิชย์ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่โดนเนรเทศจากสหรัฐฯ ครั้งเดินทางมาถึง ผู้โดยสารบางส่วนยังรายงานด้วยว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมบนเที่ยวบิน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008312
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าเขาจะกำหนดมาตรการแก้เผ็ดต่างๆ เล่นงานโคลอมเบีย ในนั้นรวมถึงรีดภาษีและคว่ำบาตร หลังประเทศแถบอเมริกาใต้แห่งนี้ไม่อ้าแขนรับเครื่องบินทหาร 2 ลำของสหรัฐฯ ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่ถูกเนรเทศ ส่วนหนึ่งในการปราบปรามพวกผู้อพยพของรัฐบาลอเมริกา . ความเคลื่อนไหวลงโทษของทรัมป์ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายทำให้โคลอมเบีย เป็นแบบอย่างชาติอื่นๆ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เป็นชาติที่ 2 ในละตินอเมริกา ที่ปฏิเสธเครื่องบินทหารบรรทุกผู้อพยพของสหรัฐฯ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวในด้านนโยบายต่างประเทศของวอชิงตัน และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทรัมป์ ที่จะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมอ่อนข้อทำตามความต้องการของเขา . ทรัมป์ เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่าการที่ กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ปฏิเสธอ้าแขนรับเที่ยวบินบรรทุกพวกผู้ลี้ภัย ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ . มาตรการแก้แค้นนั้น รวมไปถึงการรีดภาษี 25% ต่อสินค้าของโคลอมเบียทั้งหมดที่นำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะแตะระดับ 50% ใน 1 สัปดาห์ คำสั่งแบนด้านการเดินทางและเพิกถอนวีซ่าพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย คว่ำบาตรภาคธนาคารและภาคการเงิน . นอกจากนี้ ทรัมป์ เผยด้วยว่าเขาจะสั่งให้ยกระดับการตรวจสอบทางชายแดนพลเมืองชาวโคลอมเบียและสินค้าจากโคลอมเบียด้วย "มาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้น" เขาเขียน "เราจะไม่ยอมให้รัฐบาลโคลอมเบียละเมิดพันธะทางกฎหมายของพวกเขา ในเรื่องการอ้าแขนรับและส่งคืนพวกอาชญากร ที่พวกเขาบีบให้ลอบเข้าสู่สหรัฐฯ!" . ด้าน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงว่า "อเมริกาจะไม่ยอมรับคำโกหกหรือถูกเอาเปรียบอีกต่อไป" พร้อมระบุ เปโตร อนุมัติเที่ยวบินเหล่านี้ และมอบอำนาจทุกอย่างที่จำเป็น แต่จากนั้นกลับยกเลิกไฟเขียว ตอนที่เครื่องบินทั้ง 2 ลำ อยู่ระหว่างการเดินทาง . ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกำหนดมาตรการปราบปรามต่างๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (20 ม.ค.) ในนั้นรวมถึงสั่งการให้ทหารเข้าช่วยหน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดน ออกประกาศแบนการลี้ภัยอย่างครอบคลุม และใช้มาตรการต่างๆ ในการจำกัดสิทธิความเป็นพลเมืองของลูกพวกผู้อพยพที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินอเมริกา . ประธานาธิบดีเปโตร ประณามความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ในวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ชี้ว่ามันเป็นการปฏิบัติกับพวกผู้อพยพราวกับอาชญากร ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ทาง เปโตร บอกว่าโคลอมเบีย จะยินดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เนรเทศพวกผู้อพยพด้วยเครื่องบินพลเรือน "อเมริกาไม่อาจปฏิบัติกับพวกผู้อพยพชาวโคลอมเบียราวกับอาชญากร" . เปโตร บอกต่อว่าแม้ว่าจะมีชาวอเมริกามากกว่า 15,660 คน อยู่ในสถานะเข้าเมืองผิดกฎหมายในโคลอมเบีย แต่เขาไม่เคยคิดปฏิบัติการจู่โจมใดๆ และส่งคืนอเมริกันชนเหล่านั้นในสภาพที่ใส่กุญแจมือ กลับไปยังสหรัฐฯ "เราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาซี" เขาเขียน เหน็บแนมไปยังทรัมป์ . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เม็กซิโก ได้ปฏิเสธคำร้องที่ขอให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ บรรทุกพวกผู้อพยพลงจอดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ไม่ได้ดำเนินการแบบเดียวกันนี้กับเม็กซิโก ชาติคู่หูทางการค้าใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่บอกว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อบีบให้ดำเนินการต่างๆ เพิ่มเติมจัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้าสู่อเมริกาของยาเฟนทานิล . ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาคือคู่ค้าและการลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย ส่วน โคลอมเบีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐฯ หากนับเฉพาะในละตินอเมริกา . ความเห็นของเปโดร ถือเป็นการสอดประสานส่งเสียงแสดงความขุ่นเคืองหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในละตินอเมริกา ต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอายุ 1 สัปดาห์ของทรัมป์ ที่เริ่มดำเนินการเนรเทศหมู่พวกผู้อพยพ . เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ (25 ม.ค.) กระทรวงการต่างประเทศบราซิล ประณามการปฏิบัติที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวบราซิล หลังพบเห็นพวกผู้อพยพถูกใส่กุญแจมือบนเที่ยวบินพาณิชย์ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่โดนเนรเทศจากสหรัฐฯ ครั้งเดินทางมาถึง ผู้โดยสารบางส่วนยังรายงานด้วยว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมบนเที่ยวบิน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008312 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 983 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบข้อความประณามและไม่รับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเบลารุส ที่ออกโดย "บลิงเคน" และแสดงข้อความว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก" เข้ามาแทน

    นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีของอเมริกาในการ "หยุดแทรกแซงกิจการภายในของทุกประเทศ"
    หน้าเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบข้อความประณามและไม่รับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเบลารุส ที่ออกโดย "บลิงเคน" และแสดงข้อความว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก" เข้ามาแทน นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีของอเมริกาในการ "หยุดแทรกแซงกิจการภายในของทุกประเทศ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับความช่วยเหลือต่างประเทศแก่ประเทศต่างๆทั้งหมด ยกเว้นอิสราเอลและอียิปต์

    “จะไม่มีข้อผูกมัดเงินทุนใหม่ใดๆเกิดขึ้น หรือแม้แต่การขยายขอบเขตระยะเวลาการสนับสนุนเงินทุนต่างๆ จนกว่าจะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้ง” ข้อความจากรายงานบางส่วนตามบันทึกภายในถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

    แต่บันทึกดังกล่าวได้ระบุข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือด้านการทหารแก่อิสราเอล ซึ่งแพ็คเกจอาวุธหลักที่สหรัฐฯ มอบให้มาอย่างยาวนานได้ขยายเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่สงครามกาซา และอียิปต์ ซึ่งได้รับเงินทุนด้านการป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ จำนวนมากตั้งแต่ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลในปี 2522

    อิสราเอลได้รับเงินทุนทางทหารจากต่างประเทศประมาณ 3.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่อียิปต์ได้รับประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์

    แต่ขอบเขตของคำสั่งดังกล่าวยังไม่ชัดเจนว่าเงินทุนใดที่จะถูกตัดออก เนื่องจากรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดงบประมาณของรัฐบาลกลาง

    สำหรับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนดังกล่าวในปี 2025 จากการอนมุัติของรัฐบาลไบเดนได้แก่ ยูเครน ไทย จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จิบูตี โคลอมเบีย ปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน

    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAid) กล่าวว่านี่ “เป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ดังนั้นบริการด้านสุขภาพที่ช่วยชีวิตได้ทั้งหมด เอชไอวี/เอดส์ โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานเกษตรทั้งหมด การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมทั้งหมด การศึกษา”

    เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ไม่ยอมเอ่ยถึงเงินทุนของสหรัฐที่ผ่าน USAid ในรูปแบบโครงการเพื่อพัฒนาประชาธิบไตยของแต่ละประเทศ ก็ถูกระงับด้วยเช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่า เงินสนับสนุนในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความขัดแย้งในแต่ละประเทศโดยผ่านชื่อโครงการอันสวยหรู
    มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับความช่วยเหลือต่างประเทศแก่ประเทศต่างๆทั้งหมด ยกเว้นอิสราเอลและอียิปต์ “จะไม่มีข้อผูกมัดเงินทุนใหม่ใดๆเกิดขึ้น หรือแม้แต่การขยายขอบเขตระยะเวลาการสนับสนุนเงินทุนต่างๆ จนกว่าจะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้ง” ข้อความจากรายงานบางส่วนตามบันทึกภายในถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แต่บันทึกดังกล่าวได้ระบุข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือด้านการทหารแก่อิสราเอล ซึ่งแพ็คเกจอาวุธหลักที่สหรัฐฯ มอบให้มาอย่างยาวนานได้ขยายเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่สงครามกาซา และอียิปต์ ซึ่งได้รับเงินทุนด้านการป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ จำนวนมากตั้งแต่ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลในปี 2522 อิสราเอลได้รับเงินทุนทางทหารจากต่างประเทศประมาณ 3.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่อียิปต์ได้รับประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ขอบเขตของคำสั่งดังกล่าวยังไม่ชัดเจนว่าเงินทุนใดที่จะถูกตัดออก เนื่องจากรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดงบประมาณของรัฐบาลกลาง สำหรับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนดังกล่าวในปี 2025 จากการอนมุัติของรัฐบาลไบเดนได้แก่ ยูเครน ไทย จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จิบูตี โคลอมเบีย ปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAid) กล่าวว่านี่ “เป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ดังนั้นบริการด้านสุขภาพที่ช่วยชีวิตได้ทั้งหมด เอชไอวี/เอดส์ โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานเกษตรทั้งหมด การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมทั้งหมด การศึกษา” เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ไม่ยอมเอ่ยถึงเงินทุนของสหรัฐที่ผ่าน USAid ในรูปแบบโครงการเพื่อพัฒนาประชาธิบไตยของแต่ละประเทศ ก็ถูกระงับด้วยเช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่า เงินสนับสนุนในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความขัดแย้งในแต่ละประเทศโดยผ่านชื่อโครงการอันสวยหรู
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซอร์เกย์ รีอาบคอฟ (Sergei Ryabkov) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ไม่เชื่อว่าทรัมป์จะยุติสงครามยูเครนได้ภายใน 100 วัน หากปราศจากความจริงใจจากสหรัฐ

    "ก่อนอื่น ผมอยากทำความเข้าใจก่อนว่า ฝ่ายสหรัฐตั้งใจจะดำเนินการเพื่อยุติความขัดแย้งบนพื้นฐานใด หากพิจารณาจากสัญญาณที่เราได้รับมาในช่วงสองสามวันนี้ ดูเหมือนว่าความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นใน 100 วันอย่างแน่นอน"

    Ryabkov กล่าวตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ที่จะคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง
    เซอร์เกย์ รีอาบคอฟ (Sergei Ryabkov) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ไม่เชื่อว่าทรัมป์จะยุติสงครามยูเครนได้ภายใน 100 วัน หากปราศจากความจริงใจจากสหรัฐ "ก่อนอื่น ผมอยากทำความเข้าใจก่อนว่า ฝ่ายสหรัฐตั้งใจจะดำเนินการเพื่อยุติความขัดแย้งบนพื้นฐานใด หากพิจารณาจากสัญญาณที่เราได้รับมาในช่วงสองสามวันนี้ ดูเหมือนว่าความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นใน 100 วันอย่างแน่นอน" Ryabkov กล่าวตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ที่จะคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'นฤมล' เตรียมตั้งศูนย์ C4IR ยกระดับการเกษตรในไทย หวังเป็นโอกาสเพิ่มศักยภาพ
    .
    การเดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ของตัวแทนรัฐบาลไทยในครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้น แต่ยังมีรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจและที่เกี่ยวข้องร่วมคณะไปด้วย โดยเฉพาะ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
    .
    ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ร่วมประชุมในเวที Multilateral Meeting: Centre for the Fourth Industrial Revolution (C4IR) ในประเทศไทย ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ CEO ภาคเอกชนไทย และผู้แทนของ World Economic Forum  ถึงแนวทางในการจัดตั้งศูนย์C4IR ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการปฏิรูประบบอาหารและภาคการเกษตรเพื่อรับมือและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยี ขับเคลื่อนการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้
    .
    ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยถึงการหารือว่า ประเทศไทยยินดีให้การสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ C4IR เพราะถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการสมัยใหม่ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้ภาคเกษตรมีภูมิคุ้มกันตลอดจนสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงอาหาร อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งศูนย์ฯ ต้องอาศัยความร่วมมือของภาคเอกชนไทย และหารือในกระบวนการภายในประเทศต่อไป
    .
    “การจัดตั้งศูนย์ C4IR ที่ประเทศไทย จะเป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้หน่วยงานของไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ แนวปฏิบัติ และบทเรียนที่ผ่านมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตรสู่ความยั่งยืน ร่วมกับเครือข่าย C4IR ของประเทศอื่น แน่นอนว่า ภาคการเกษตรเป็นภาคที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศ ดังนั้น การพัฒนาภาคเกษตรไปสู่ความยั่งยืน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับภาคการเกษตรไทย”   ศ.ดร.นฤมล กล่าว
    .............
    Sondhi X
    'นฤมล' เตรียมตั้งศูนย์ C4IR ยกระดับการเกษตรในไทย หวังเป็นโอกาสเพิ่มศักยภาพ . การเดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ของตัวแทนรัฐบาลไทยในครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้น แต่ยังมีรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจและที่เกี่ยวข้องร่วมคณะไปด้วย โดยเฉพาะ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ . ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ร่วมประชุมในเวที Multilateral Meeting: Centre for the Fourth Industrial Revolution (C4IR) ในประเทศไทย ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ CEO ภาคเอกชนไทย และผู้แทนของ World Economic Forum  ถึงแนวทางในการจัดตั้งศูนย์C4IR ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการปฏิรูประบบอาหารและภาคการเกษตรเพื่อรับมือและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยี ขับเคลื่อนการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ . ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยถึงการหารือว่า ประเทศไทยยินดีให้การสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ C4IR เพราะถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการสมัยใหม่ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้ภาคเกษตรมีภูมิคุ้มกันตลอดจนสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงอาหาร อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งศูนย์ฯ ต้องอาศัยความร่วมมือของภาคเอกชนไทย และหารือในกระบวนการภายในประเทศต่อไป . “การจัดตั้งศูนย์ C4IR ที่ประเทศไทย จะเป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้หน่วยงานของไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ แนวปฏิบัติ และบทเรียนที่ผ่านมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตรสู่ความยั่งยืน ร่วมกับเครือข่าย C4IR ของประเทศอื่น แน่นอนว่า ภาคการเกษตรเป็นภาคที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศ ดังนั้น การพัฒนาภาคเกษตรไปสู่ความยั่งยืน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับภาคการเกษตรไทย”   ศ.ดร.นฤมล กล่าว ............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1409 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปานามาร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ ต่อคำขู่ "ที่น่ากังวล" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการยึดคลองปานามา แต่ขณะเดียวก็ได้ลงมือตรวจสอบบัญชี "บริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับฮ่องกง" ซึ่งเป็นผู้ควบคุมท่าเรือ 2 แห่งในน่านน้ำที่เชื่อมมหาสมุทรแห่งนี้ ตอบสนองต่อเสียงโวยวายของผู้นำอเมริกา
    .
    ในหนังสือที่ส่งถึง อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ทางรัฐบาลปานามาอ้างถึงมาตราหนึ่งของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ห้ามสมาชิกรายใดก็ตามจากการข่มขู่หรือใช้กำลังกับบูรณภาพแห่งดินแดนหรือความเป็นอิสระทางการเมืองของประเทศอื่น
    .
    หนังสือที่แจกจ่ายไปยังพวกผู้สื่อข่าวด้วยในวันอังคาร(21ม.ค.) เรียกร้องให้ กูเตอร์เรส หยิบยกประเด็นนี้เข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ไม่ได้ร้องขอให้มีการเรียกประชุมใดๆ
    .
    ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์(20ม.ค.) เน้นย้ำว่า จีน เสมือนเป็นผู้ปฏิบัติการคลองปานามา ผ่านการปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆแถวๆน่านน้ำแห่งนี้ ที่ทางสหรัฐฯส่งมอบให้แก่ปานามา ในช่วงปลายปี 1999 "เราไม่ได้มอบมันให้จีน เรามอบมันให้ปานามา และเรากำลังทวงคืน" ทรัมป์ระบุ
    .
    โฮเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามา ตอบโต้กลับระหว่างร่วมประชุม ณ เวทีสัมมนาเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศกร้าวว่าคลองแห่งนี้ไม่ได้เป็นของขวัญจากสหรัฐฯ "เราปฏิเสธทุกอย่างทั้งหมดที่ทรัมป์พูด ลำดับแรกเลยมันเป็นเท็จ และลำดับที่ 2 เพราะว่าคลองปานามาเป็นของปานามา และจะยังคงเป็นของปานามาต่อไป"
    .
    ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีปานามา เคยออกมาปฏิเสธแล้วว่า ไม่มีประเทศอื่นกำลังแทรกแซงคลองปานามา ที่เขาบอกว่าปฏิบัติการภายใต้หลักการของความเป็นกลาง
    .
    เมื่อพวกผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับประเด็นถกเถียงนี้ในวันพุธ(22ม.ค.) ทางจีนยืนกรานว่าไม่เคยแทรกแซงใดๆในคลองแห่งนี้ "จีนเคารพอำนาจอธิปไตยของปานามาเหนือคลองปานามา มาตลอด และยอมรับคลองแห่งนี้ ในฐานะน่านน้ำระหว่างประเทศที่เป็นกลางอย่างถาวร" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ
    .
    สำนักงานการควบคุมแห่งปานามา ซึ่งกำกับดูแลองค์กรรัฐทั้งหลาย แถลงว่าจะเริ่มตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับบริษัทปานามา พอร์ทส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับประกันการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพแลความโปร่งใส
    .
    บริษัทแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ฮัตชิสัน พอร์ทส์ เป็นบริษัทลูกของ ซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้ง กลุ่มบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และเป็นผู้ดูแลท่าเรือบัลเบาและคริสโตบาล ที่ตั้งอยู่บริเวณทั้ง 2 ด้านของคลองปานามา
    .
    ทางสำนักงานการควบคุมแห่งปานามา บอกว่าการตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อสรุปว่าทางบริษัทปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆตามสัมปทานหรือไม่ ในนั้นรวมถึงรายงานเกี่ยวกับรายได้ การจ่ายเงินและการเกี่ยวข้องกับภาครัฐ
    .
    ฮัตชิสัน พอร์ทส์ พีพีซี ระบุในถ้อยแถลงว่า พวกเขาธำรงไว้ซึ่งและจะเดินหน้าคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่โปร่งใสและเต็มไปด้วยความร่วมมือกับพวกเจ้าหน้าที่ปานามา
    .
    ทรัมป์ ยกระดับกดดันเกี่ยวกับคลองปานามา มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในนั้นรวมถึงไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารยึดคืนมัน
    .
    ทั้งนี้ข้อตกลงสัมปทานของปานามา พอร์ทส์ เพิ่งถูกขยายออกไปเมื่อปี 2021 มีอายุถึง 25 ปี คลองแห่งนี้เป็นเส้นทางการสัญจรของตู้สินค้าของสหรัฐฯราวๆ 40% ทำให้สหรัฐฯเป็นผู้ใช้รายหลักของคลองปานามา ตามมาด้วยจีน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007003
    ..............
    Sondhi X
    ปานามาร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ ต่อคำขู่ "ที่น่ากังวล" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการยึดคลองปานามา แต่ขณะเดียวก็ได้ลงมือตรวจสอบบัญชี "บริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับฮ่องกง" ซึ่งเป็นผู้ควบคุมท่าเรือ 2 แห่งในน่านน้ำที่เชื่อมมหาสมุทรแห่งนี้ ตอบสนองต่อเสียงโวยวายของผู้นำอเมริกา . ในหนังสือที่ส่งถึง อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ทางรัฐบาลปานามาอ้างถึงมาตราหนึ่งของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ห้ามสมาชิกรายใดก็ตามจากการข่มขู่หรือใช้กำลังกับบูรณภาพแห่งดินแดนหรือความเป็นอิสระทางการเมืองของประเทศอื่น . หนังสือที่แจกจ่ายไปยังพวกผู้สื่อข่าวด้วยในวันอังคาร(21ม.ค.) เรียกร้องให้ กูเตอร์เรส หยิบยกประเด็นนี้เข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ไม่ได้ร้องขอให้มีการเรียกประชุมใดๆ . ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์(20ม.ค.) เน้นย้ำว่า จีน เสมือนเป็นผู้ปฏิบัติการคลองปานามา ผ่านการปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆแถวๆน่านน้ำแห่งนี้ ที่ทางสหรัฐฯส่งมอบให้แก่ปานามา ในช่วงปลายปี 1999 "เราไม่ได้มอบมันให้จีน เรามอบมันให้ปานามา และเรากำลังทวงคืน" ทรัมป์ระบุ . โฮเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามา ตอบโต้กลับระหว่างร่วมประชุม ณ เวทีสัมมนาเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศกร้าวว่าคลองแห่งนี้ไม่ได้เป็นของขวัญจากสหรัฐฯ "เราปฏิเสธทุกอย่างทั้งหมดที่ทรัมป์พูด ลำดับแรกเลยมันเป็นเท็จ และลำดับที่ 2 เพราะว่าคลองปานามาเป็นของปานามา และจะยังคงเป็นของปานามาต่อไป" . ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีปานามา เคยออกมาปฏิเสธแล้วว่า ไม่มีประเทศอื่นกำลังแทรกแซงคลองปานามา ที่เขาบอกว่าปฏิบัติการภายใต้หลักการของความเป็นกลาง . เมื่อพวกผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับประเด็นถกเถียงนี้ในวันพุธ(22ม.ค.) ทางจีนยืนกรานว่าไม่เคยแทรกแซงใดๆในคลองแห่งนี้ "จีนเคารพอำนาจอธิปไตยของปานามาเหนือคลองปานามา มาตลอด และยอมรับคลองแห่งนี้ ในฐานะน่านน้ำระหว่างประเทศที่เป็นกลางอย่างถาวร" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ . สำนักงานการควบคุมแห่งปานามา ซึ่งกำกับดูแลองค์กรรัฐทั้งหลาย แถลงว่าจะเริ่มตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับบริษัทปานามา พอร์ทส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับประกันการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพแลความโปร่งใส . บริษัทแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ฮัตชิสัน พอร์ทส์ เป็นบริษัทลูกของ ซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้ง กลุ่มบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และเป็นผู้ดูแลท่าเรือบัลเบาและคริสโตบาล ที่ตั้งอยู่บริเวณทั้ง 2 ด้านของคลองปานามา . ทางสำนักงานการควบคุมแห่งปานามา บอกว่าการตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อสรุปว่าทางบริษัทปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆตามสัมปทานหรือไม่ ในนั้นรวมถึงรายงานเกี่ยวกับรายได้ การจ่ายเงินและการเกี่ยวข้องกับภาครัฐ . ฮัตชิสัน พอร์ทส์ พีพีซี ระบุในถ้อยแถลงว่า พวกเขาธำรงไว้ซึ่งและจะเดินหน้าคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่โปร่งใสและเต็มไปด้วยความร่วมมือกับพวกเจ้าหน้าที่ปานามา . ทรัมป์ ยกระดับกดดันเกี่ยวกับคลองปานามา มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในนั้นรวมถึงไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารยึดคืนมัน . ทั้งนี้ข้อตกลงสัมปทานของปานามา พอร์ทส์ เพิ่งถูกขยายออกไปเมื่อปี 2021 มีอายุถึง 25 ปี คลองแห่งนี้เป็นเส้นทางการสัญจรของตู้สินค้าของสหรัฐฯราวๆ 40% ทำให้สหรัฐฯเป็นผู้ใช้รายหลักของคลองปานามา ตามมาด้วยจีน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007003 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1498 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" จากคำขู่รีดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังผู้นำอเมริกาเตือนว่าเขาอาจรีดภาษี 10% สินค้านำเข้าจากแดนมังกร เริ่มตั้งแต่ปลายสัปดาห์หน้า
    .
    ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว หนึ่งวันหลังเข้าพิธีสาบานตน นอกจากคำขู่รีดภาษีจีนแล้ว เขายังส่งเสียงเตือนไปยังสหภาพยุโรปว่าอาจต้องเจอกับเพดานภาษีที่แข็งกร้าวเช่นกัน พร้อมหันกลับมาโจมตีปักกิ่งอีกรอบ เกี่ยวกับการลักลอบส่งออกยาเฟนทานิล
    .
    "พวกเขาปฏิบัติกับเราแย่มากๆ ดังนั้นพวกเขากำลังอยู่ในแผนรีดภาษีด้วย" ทรัมป์กล่าวถึงอียู "คุณจะไม่ได้รับความยุติธรรม จนกว่าคุณจะมีความยุติธรรม"
    .
    หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กล่าวหาทางกลุ่มว่า ไม่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของอเมริกามากพอ พร้อมบอกว่าเขาจะทำสิ่งนี้ให้เข้าที่เข้าทางด้วยการกำหนดมาตรการรีดภาษี หรือไม่ก็เรียกร้องให้ซื้อน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีน ทรัมป์เน้นย้ำคำขู่เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ในการกำหนดเพดานภาษี 10% บอกว่า "มันอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังส่งยาเฟนทานิลไปยังเม็กซิโกและแคนาดา"
    .
    เมื่อถามว่าอีกนานแค่ไหนที่มาตรการรีดภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ ทรัมป์ตอบว่า "บางที วันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือวันที่เรากำลังมองถึงความเป็นไปได้"
    .
    ในวันดังกล่าว ทรัมป์เคยบอกว่าจะกำหนดมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก กล่าวหาพวกเขาว่าล้มเหลวในการหยุดยั้งผู้อพยพผิดกฎหมายและการลักลอบขนยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ กระตุ้นให้ ปักกิ่ง ในวันพุธ (22 ม.ค.) ออกมาประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" ตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ "เราเชื่อมาเสมอว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษีใดๆ" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ
    .
    โฆษกหญิงรายนี้บอกต่อว่า "ปักกิ่งมีความตั้งใจคงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารกับสหรัฐฯ รับมือความเห็นต่างอย่างเหมาะสม ขยายขอบเขตความร่วมมือผลประโยชน์ร่วม และส่งเสริมเสถียรภาพ ความเข้มแข็งและพัฒนาการอันยั่งยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"
    .
    ทำเนียบขาวภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ เคยกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อ้างถึงแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมโดยปักกิ่ง จากนั้น โจ ไบเดน ผู้สืบทอดของเขา ก็ยังคงไว้ซึ่งแรงกดดันด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดจีนจากการเข้าถึงชิปไฮเทค
    .
    ทรัมป์ ยกระดับคำขู่หนักหน่วงกว่าเดิมระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศถึงขั้นว่าจะปรับเพิ่มเพดานภาษีหากเขาได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย
    .
    เศรษฐกิจของจีนยังคงต้องพึ่งพิงการส่งออกอย่างหนักสำหรับขับเคลื่อนการเติบโต แม้มีความพยายามอย่างเป็นทางการในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
    .
    ในส่วนของคณะกรรมธิการด้านเศรษฐกิจของอียู ก็ประกาศเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ว่าทางกลุ่มพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน แม้อีกด้านหนึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่าอียูพร้อมเจรจากับทรัมป์ และเน้นย้ำว่าวอชิงตันยังคงเป็นคู่หูที่สำคัญของพวกเขา
    .
    เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ทรัมป์ ประกาศยกระบบการค้าของสหรัฐฯ ในทันที สัญญาว่าจะรีดภาษีและเรียกเก็บภาษี "เหล่าประเทศต่างชาติทั้งหลาย เพื่อสร้างความร่ำรวยแก่พลเมืองของเรา"
    .
    เขาลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ศึกษาประเด็นทางการค้าต่างๆ ในนั้นรวมถึงการขาดดุลทางการค้า แนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม และการบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งการตรวบสอบนี้อาจเปิดทางสำหรับการใช้มาตรการทางภาษีเล่นงานเพิ่มเติม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007002
    ..............
    Sondhi X

    จีนประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" จากคำขู่รีดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังผู้นำอเมริกาเตือนว่าเขาอาจรีดภาษี 10% สินค้านำเข้าจากแดนมังกร เริ่มตั้งแต่ปลายสัปดาห์หน้า . ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว หนึ่งวันหลังเข้าพิธีสาบานตน นอกจากคำขู่รีดภาษีจีนแล้ว เขายังส่งเสียงเตือนไปยังสหภาพยุโรปว่าอาจต้องเจอกับเพดานภาษีที่แข็งกร้าวเช่นกัน พร้อมหันกลับมาโจมตีปักกิ่งอีกรอบ เกี่ยวกับการลักลอบส่งออกยาเฟนทานิล . "พวกเขาปฏิบัติกับเราแย่มากๆ ดังนั้นพวกเขากำลังอยู่ในแผนรีดภาษีด้วย" ทรัมป์กล่าวถึงอียู "คุณจะไม่ได้รับความยุติธรรม จนกว่าคุณจะมีความยุติธรรม" . หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กล่าวหาทางกลุ่มว่า ไม่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของอเมริกามากพอ พร้อมบอกว่าเขาจะทำสิ่งนี้ให้เข้าที่เข้าทางด้วยการกำหนดมาตรการรีดภาษี หรือไม่ก็เรียกร้องให้ซื้อน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีน ทรัมป์เน้นย้ำคำขู่เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ในการกำหนดเพดานภาษี 10% บอกว่า "มันอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังส่งยาเฟนทานิลไปยังเม็กซิโกและแคนาดา" . เมื่อถามว่าอีกนานแค่ไหนที่มาตรการรีดภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ ทรัมป์ตอบว่า "บางที วันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือวันที่เรากำลังมองถึงความเป็นไปได้" . ในวันดังกล่าว ทรัมป์เคยบอกว่าจะกำหนดมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก กล่าวหาพวกเขาว่าล้มเหลวในการหยุดยั้งผู้อพยพผิดกฎหมายและการลักลอบขนยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ . ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ กระตุ้นให้ ปักกิ่ง ในวันพุธ (22 ม.ค.) ออกมาประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" ตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ "เราเชื่อมาเสมอว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษีใดๆ" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ . โฆษกหญิงรายนี้บอกต่อว่า "ปักกิ่งมีความตั้งใจคงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารกับสหรัฐฯ รับมือความเห็นต่างอย่างเหมาะสม ขยายขอบเขตความร่วมมือผลประโยชน์ร่วม และส่งเสริมเสถียรภาพ ความเข้มแข็งและพัฒนาการอันยั่งยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ" . ทำเนียบขาวภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ เคยกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อ้างถึงแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมโดยปักกิ่ง จากนั้น โจ ไบเดน ผู้สืบทอดของเขา ก็ยังคงไว้ซึ่งแรงกดดันด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดจีนจากการเข้าถึงชิปไฮเทค . ทรัมป์ ยกระดับคำขู่หนักหน่วงกว่าเดิมระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศถึงขั้นว่าจะปรับเพิ่มเพดานภาษีหากเขาได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย . เศรษฐกิจของจีนยังคงต้องพึ่งพิงการส่งออกอย่างหนักสำหรับขับเคลื่อนการเติบโต แม้มีความพยายามอย่างเป็นทางการในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ . ในส่วนของคณะกรรมธิการด้านเศรษฐกิจของอียู ก็ประกาศเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ว่าทางกลุ่มพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน แม้อีกด้านหนึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่าอียูพร้อมเจรจากับทรัมป์ และเน้นย้ำว่าวอชิงตันยังคงเป็นคู่หูที่สำคัญของพวกเขา . เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ทรัมป์ ประกาศยกระบบการค้าของสหรัฐฯ ในทันที สัญญาว่าจะรีดภาษีและเรียกเก็บภาษี "เหล่าประเทศต่างชาติทั้งหลาย เพื่อสร้างความร่ำรวยแก่พลเมืองของเรา" . เขาลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ศึกษาประเด็นทางการค้าต่างๆ ในนั้นรวมถึงการขาดดุลทางการค้า แนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม และการบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งการตรวบสอบนี้อาจเปิดทางสำหรับการใช้มาตรการทางภาษีเล่นงานเพิ่มเติม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007002 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1447 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี
    .
    ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง
    .
    "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม"
    .
    ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ
    .
    หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน"
    .
    คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)"
    .
    ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง"
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    .
    การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้
    .
    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ
    .
    บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง
    .
    อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631
    ..............
    Sondhi X
    มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี . ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง . "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม" . ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ . หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน" . คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)" . ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง" . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ . การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้ . นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ . บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง . อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1393 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต

    ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025

    https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025 https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ บอกลาตำแหน่งของเขาไปพร้อมกับคำครหาว่าเขาคือหนึ่งในทีมงานของโจ ไบเดน ที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา รวมทั้งขัดขวางการยุติสงครามในยูเครนที่ควรจบลงตั้งแต่ปี 2565 ทำให้ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ บอกลาตำแหน่งของเขาไปพร้อมกับคำครหาว่าเขาคือหนึ่งในทีมงานของโจ ไบเดน ที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา รวมทั้งขัดขวางการยุติสงครามในยูเครนที่ควรจบลงตั้งแต่ปี 2565 ทำให้ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    Sad
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • 83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว


    ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป

    การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง
    การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

    นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย”

    ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ

    ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด

    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง

    ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน
    การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน

    ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส

    ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน

    มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ
    บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว
    ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ

    ตั้งเกตโต
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม

    การเนรเทศและสังหารหมู่
    ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส

    มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น

    เอกสารที่หลงเหลือ
    หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี

    สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์
    ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว?
    การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน

    2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร?
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่

    3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์?
    ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568

    #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย” ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ ตั้งเกตโต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม การเนรเทศและสังหารหมู่ ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น เอกสารที่หลงเหลือ หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์ ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว? การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน 2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร? ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่ 3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์? ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568 #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเวลาที่ "แม็กซ์ บลูเมนธัล" (Max Blumentha) เผชิญหน้ากับ แอนโธนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าเขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

    'ทำไมคุณถึงปล่อยให้เพื่อนนักข่าวของผมถูกสังหาร ทำไมคุณถึงยอมให้บ้านของเพื่อนผมถูกทำลาย ทำไมคุณถึงยังปล่อยให้มีการทิ้งระเบิดในขณะที่เราสามารถทำข้อตกลงสันติภาพได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณกำลังประนีประนอมกับอิสราเอลอยู่หรือเปล่า ทำไมคุณถึงยอมให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในยุคของ'


    ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำเนียบขาวเลือกที่จะไม่ตอบคำถามจากนักข่าวและพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากฝีมือของอิสราเอล ทั้งที่รู้กันทั้งโลกว่าใครเป็นคนทำ

    ครั้งนีนับเป็นการแสดงความกล้าหาญอีกครั้งของนักข่าว ที่โลกควรจดจำ "แม็กซ์ บลูเมนธัล"
    ช่วงเวลาที่ "แม็กซ์ บลูเมนธัล" (Max Blumentha) เผชิญหน้ากับ แอนโธนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าเขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา 'ทำไมคุณถึงปล่อยให้เพื่อนนักข่าวของผมถูกสังหาร ทำไมคุณถึงยอมให้บ้านของเพื่อนผมถูกทำลาย ทำไมคุณถึงยังปล่อยให้มีการทิ้งระเบิดในขณะที่เราสามารถทำข้อตกลงสันติภาพได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณกำลังประนีประนอมกับอิสราเอลอยู่หรือเปล่า ทำไมคุณถึงยอมให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในยุคของ' ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำเนียบขาวเลือกที่จะไม่ตอบคำถามจากนักข่าวและพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากฝีมือของอิสราเอล ทั้งที่รู้กันทั้งโลกว่าใครเป็นคนทำ ครั้งนีนับเป็นการแสดงความกล้าหาญอีกครั้งของนักข่าว ที่โลกควรจดจำ "แม็กซ์ บลูเมนธัล"
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 616 มุมมอง 51 0 รีวิว
  • 7 มกราคม 2568-รายงานข่าว จส.100 ระบุว่า การนำตัวหวังซิง นักแสดงชาวจีน กลับเข้าประเทศไทย พลตำรวจเอกธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการซักถาม นายหวังซิง ด้วยตัวเอง เบื้องต้นจาการสอบถาม นายหวังซิง ให้การว่าถูกชาวจีนด้วยกันพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชันวีแชต ใช้ชื่อเป็นบริษัทบันเทิงชื่อดังของไทยทักมาติดต่อให้ทำงาน จึงหลงเชื่อ ก่อนเดินทางทางยังประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นนั่งรถที่ถูกส่งมารับที่สนามบินพาไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก ก่อนจะมีคนมารับข้ามแดนทางเรือที่บริเวณชายแดน อ.แม่สอด นายหวังซิง ระบุว่า รู้ตัวว่าถูกหลอกเมื่อถูกพาข้ามแดนแต่ไม่กล้าขัดขืน อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการสอบสวน ซักถาม และตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

    สำหรับ การดำเนินการช่วยเหลือ นายหวังซิง นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานให้ความช่วยเหลือจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นการร่วมมือช่วยเหลือทางการจีนตามที่ได้ประสานมา หลังจากนี้จะได้เข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) หากพบว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ก็จะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง และประสานส่งตัวกลับประเทศตามกระบวนการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และประสานญาติมารับตัว หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดลักษณะใด ก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    ก่อนหน้านี้ นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาแถลงว่า ขณะนี้กระทรวงได้ประสานงานกับสถานทูตและสถานกงสุลของจีนในประเทศไทยและเมียนมาแล้ว หลังจากมีข่าวว่า นายหวังซิง หรือ ‘ซิงซิง’ นักแสดงชาวจีน หายตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่จังหวัดตาก ที่มีพรมแดนติดกับเมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของแก๊งอาชญากรรมมากมาย

    ด้านแฟนสาวของซิงซิง หลังมีข่าวส่งตัวซิงซิงถึงที่ไทย เพจลุยจีน ได้แปลข้อความเป็นดังนี้ "อัพเดท ขอขอบคุณทุกสื่อและผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเราได้รับข่าวสารมากมายของซิงซิงจากสื่อทุกข่องทางเมื่อครู่ฉันได้คุยโทรศัพท์กับทางเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เขาแจ้งว่าทางสถานทูตฯมีการประสานกับการเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อการช่วยเหลือในครั้งนี้อย่างกระตือรือร้น ซึ่งหากมีความคืบหน้าใดๆของการช่วยเหลือซิงซิงจะแจ้งให้ฉันทราบไปพร้อมๆกัน ขอให้อดทนรออีกนิด


    เหตุการณ์ที่ดำเนินมาถึงวันนี้ ฉันในฐานะแฟนสาวของเขาอยากที่จะพบกับเขาโดยเร็วเหลือเกิน ด้านครอบครัวของซิงซิงก็ฝากความหวังไว้ที่ฉันกับน้องชายของซิงซิงในภารกิจช่วยเหลือครั้งนี้ ฉันคงยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ หากว่ายังไม่ได้พบกับซิงซิงด้วยตัวฉันเอง


    ปล. ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันรักษาความเป็นส่วนตัวของเหยื่อในเหตุการณ์ งดการแชร์ภาพที่อาจทำให้เหยื่อเกิดความสะเทือนใจด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ ขอให้ฉันได้พบกับซิงซิงอย่างราบรื่นด้วยเทอญ"

    ที่มา - Weibo 失眠爹地

    https://www.js100.com/en/site/news/view/147428?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1OgYMKQJxeI-G9DQra2zrStKF1hw4gHhQ830JTrgaaJaJJsl6LG8E0Ld4_aem_pj_6AQUUP1F2piDeHBo5kA#m5mgd9q4ac0l15p5jbo
    7 มกราคม 2568-รายงานข่าว จส.100 ระบุว่า การนำตัวหวังซิง นักแสดงชาวจีน กลับเข้าประเทศไทย พลตำรวจเอกธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการซักถาม นายหวังซิง ด้วยตัวเอง เบื้องต้นจาการสอบถาม นายหวังซิง ให้การว่าถูกชาวจีนด้วยกันพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชันวีแชต ใช้ชื่อเป็นบริษัทบันเทิงชื่อดังของไทยทักมาติดต่อให้ทำงาน จึงหลงเชื่อ ก่อนเดินทางทางยังประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นนั่งรถที่ถูกส่งมารับที่สนามบินพาไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก ก่อนจะมีคนมารับข้ามแดนทางเรือที่บริเวณชายแดน อ.แม่สอด นายหวังซิง ระบุว่า รู้ตัวว่าถูกหลอกเมื่อถูกพาข้ามแดนแต่ไม่กล้าขัดขืน อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการสอบสวน ซักถาม และตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับ การดำเนินการช่วยเหลือ นายหวังซิง นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานให้ความช่วยเหลือจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นการร่วมมือช่วยเหลือทางการจีนตามที่ได้ประสานมา หลังจากนี้จะได้เข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) หากพบว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ก็จะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง และประสานส่งตัวกลับประเทศตามกระบวนการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และประสานญาติมารับตัว หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดลักษณะใด ก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ก่อนหน้านี้ นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาแถลงว่า ขณะนี้กระทรวงได้ประสานงานกับสถานทูตและสถานกงสุลของจีนในประเทศไทยและเมียนมาแล้ว หลังจากมีข่าวว่า นายหวังซิง หรือ ‘ซิงซิง’ นักแสดงชาวจีน หายตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่จังหวัดตาก ที่มีพรมแดนติดกับเมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของแก๊งอาชญากรรมมากมาย ด้านแฟนสาวของซิงซิง หลังมีข่าวส่งตัวซิงซิงถึงที่ไทย เพจลุยจีน ได้แปลข้อความเป็นดังนี้ "อัพเดท ขอขอบคุณทุกสื่อและผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเราได้รับข่าวสารมากมายของซิงซิงจากสื่อทุกข่องทางเมื่อครู่ฉันได้คุยโทรศัพท์กับทางเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เขาแจ้งว่าทางสถานทูตฯมีการประสานกับการเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อการช่วยเหลือในครั้งนี้อย่างกระตือรือร้น ซึ่งหากมีความคืบหน้าใดๆของการช่วยเหลือซิงซิงจะแจ้งให้ฉันทราบไปพร้อมๆกัน ขอให้อดทนรออีกนิด เหตุการณ์ที่ดำเนินมาถึงวันนี้ ฉันในฐานะแฟนสาวของเขาอยากที่จะพบกับเขาโดยเร็วเหลือเกิน ด้านครอบครัวของซิงซิงก็ฝากความหวังไว้ที่ฉันกับน้องชายของซิงซิงในภารกิจช่วยเหลือครั้งนี้ ฉันคงยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ หากว่ายังไม่ได้พบกับซิงซิงด้วยตัวฉันเอง ปล. ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันรักษาความเป็นส่วนตัวของเหยื่อในเหตุการณ์ งดการแชร์ภาพที่อาจทำให้เหยื่อเกิดความสะเทือนใจด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ ขอให้ฉันได้พบกับซิงซิงอย่างราบรื่นด้วยเทอญ" ที่มา - Weibo 失眠爹地 https://www.js100.com/en/site/news/view/147428?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1OgYMKQJxeI-G9DQra2zrStKF1hw4gHhQ830JTrgaaJaJJsl6LG8E0Ld4_aem_pj_6AQUUP1F2piDeHBo5kA#m5mgd9q4ac0l15p5jbo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี :

    การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว

    เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS

    หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด

    ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี : การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 มกราคม 2567-เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันรายหนึ่งยืนยันกับบีบีซีว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แจ้งให้สภาคองเกรสทราบเกี่ยวกับแผนการขายอาวุธมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.75 แสนล้านบาท ให้กับอิสราเอล

    https://www.bbc.com/thai/articles/ce3l6039wggo
    แผนการขายอาวุธดังกล่าวที่มีจรวดนำวิถีจากอากาศสู่อากาศ กระสุนปืน และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ รวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน
    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะออกจากตำแหน่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธเสียงเรียกร้องให้ระงับการสนับสนุนทางทหารแก่อิสราเอล เนื่องจากมีพลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างสงครามในฉนวนกาซา
    ในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ทางการสหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายเครื่องบินรบและยุทโธปกรณ์อื่นๆ มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.89 แสนล้านบาทให้กับอิสราเอลไปแล้ว
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า แผนการขายอาวุธล่าสุดประกอบด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ ขีปนาวุธเฮลล์ไฟร์ กระสุนปืนใหญ่ และระเบิด
    7 มกราคม 2567-เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันรายหนึ่งยืนยันกับบีบีซีว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แจ้งให้สภาคองเกรสทราบเกี่ยวกับแผนการขายอาวุธมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.75 แสนล้านบาท ให้กับอิสราเอล https://www.bbc.com/thai/articles/ce3l6039wggo แผนการขายอาวุธดังกล่าวที่มีจรวดนำวิถีจากอากาศสู่อากาศ กระสุนปืน และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ รวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะออกจากตำแหน่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธเสียงเรียกร้องให้ระงับการสนับสนุนทางทหารแก่อิสราเอล เนื่องจากมีพลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างสงครามในฉนวนกาซา ในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ทางการสหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายเครื่องบินรบและยุทโธปกรณ์อื่นๆ มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.89 แสนล้านบาทให้กับอิสราเอลไปแล้ว เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า แผนการขายอาวุธล่าสุดประกอบด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ ขีปนาวุธเฮลล์ไฟร์ กระสุนปืนใหญ่ และระเบิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • แบร์บ็อค รัฐมนตรีหญิงจากกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ถูกเบลอรูปในการนำเสนอข่าวของสื่อซีเรีย

    ก่อนหน้านี้ แบร์บ็อค ถูกปฏิเสธในการจับมือไปแล้วครั้งหนึ่งจากการมาเยือนซีเรียรอบนี้ นั่นยังอาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าเธอเป็นผู้หญิง แต่การเบลอรูปเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเริ่มไม่พอใจจากปฏิกิริยาเช่นนี้จาก Syrian News Channel สื่อของซีเรียที่ควบคุมโดยกลุ่มผู้ปกครองซีเรียใหม่ที่มีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้าย HTS

    สื่อในเยอรมนีเริ่มสงสัยว่า กลุ่มผู้ปกครองใหม่ของซีเรียกำลังทำอะไรทางการทูต การพบปะกันเป็นเพียงมารยาท แต่การเบลอรูปทิ้งในลักษณะนี้ เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงในสายตาชาวซีเรีย

    ในขณะที่สำนักข่าวซานา (SANA News) ซึ่งเป็นสำนักข่าวทางการของซีเรียมาตั้งแต่ยุคของอดีตผู้นำอัล-อัสซาด ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ และยุโรปจัดว่าเป็นสำนักข่าวโฆษณาชวนเชื่อของอัสซาด กลับนำเสนอภาพข่าวที่เป็นรูปถ่ายปกติที่ไม่มีการเบลอรูปแต่อย่างใด (รูปสุดท้าย)
    แบร์บ็อค รัฐมนตรีหญิงจากกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ถูกเบลอรูปในการนำเสนอข่าวของสื่อซีเรีย ก่อนหน้านี้ แบร์บ็อค ถูกปฏิเสธในการจับมือไปแล้วครั้งหนึ่งจากการมาเยือนซีเรียรอบนี้ นั่นยังอาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าเธอเป็นผู้หญิง แต่การเบลอรูปเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเริ่มไม่พอใจจากปฏิกิริยาเช่นนี้จาก Syrian News Channel สื่อของซีเรียที่ควบคุมโดยกลุ่มผู้ปกครองซีเรียใหม่ที่มีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้าย HTS สื่อในเยอรมนีเริ่มสงสัยว่า กลุ่มผู้ปกครองใหม่ของซีเรียกำลังทำอะไรทางการทูต การพบปะกันเป็นเพียงมารยาท แต่การเบลอรูปทิ้งในลักษณะนี้ เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงในสายตาชาวซีเรีย ในขณะที่สำนักข่าวซานา (SANA News) ซึ่งเป็นสำนักข่าวทางการของซีเรียมาตั้งแต่ยุคของอดีตผู้นำอัล-อัสซาด ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ และยุโรปจัดว่าเป็นสำนักข่าวโฆษณาชวนเชื่อของอัสซาด กลับนำเสนอภาพข่าวที่เป็นรูปถ่ายปกติที่ไม่มีการเบลอรูปแต่อย่างใด (รูปสุดท้าย)
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ

    ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ

    ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 

    ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา

    ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?

     ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า

    “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย

    สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้ 

    ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด

    การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

    อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง”

    ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน?

    ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

      แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

    จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ?

    จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

      “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต



    “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?  ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้  ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง” ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน? ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”   แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ” จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ? จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”   “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไบเดนย่องเงียบ" อนุมัติแผนการขายอาวุธ 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล

    กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อรัฐสภา "อย่างไม่เป็นทางการ" ถึงข้อเสนอข้อตกลงด้านอาวุธมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์กับอิสราเอล ซึ่งจะรวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์โจมตี รวมถึงกระสุนปืนใหญ่

    แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อรัฐสภาว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "สนับสนุนความมั่นคงในระยะยาวของอิสราเอลโดยการจัดหาอาวุธสำคัญและความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม"

    "ประธานาธิบดีได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องพลเมืองของตน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และในการยับยั้งการรุกรานจากอิหร่านและองค์กรตัวแทนของอิหร่าน" เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าว

    การขายอาวุธครั้งนี้รวมถึงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ AIM-120C-8 AMRAAM สำหรับเครื่องบินขับไล่เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงโดรน

    ยังรวมถึงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และขีปนาวุธ Hellfire AGM-114 สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตีด้วย

    ข้อตกลงที่เสนอนี้ยังรวมถึงระเบิดขนาดเล็ก ระเบิดดัดแปลง JDAM ที่มีหัวรบขนาด 500 ปอนด์

    ในขณะที่:
    - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - ฮิวแมนไรท์วอทช์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - รายงานของสหประชาชาติ: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - นักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court (ICC): กำลังดำเนินคดีกับเนทันยาฮูในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - แต่ไบเดนยังคงเดินหน้าขายอาวุธอีก 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล
    "ไบเดนย่องเงียบ" อนุมัติแผนการขายอาวุธ 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อรัฐสภา "อย่างไม่เป็นทางการ" ถึงข้อเสนอข้อตกลงด้านอาวุธมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์กับอิสราเอล ซึ่งจะรวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์โจมตี รวมถึงกระสุนปืนใหญ่ แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อรัฐสภาว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "สนับสนุนความมั่นคงในระยะยาวของอิสราเอลโดยการจัดหาอาวุธสำคัญและความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม" "ประธานาธิบดีได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องพลเมืองของตน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และในการยับยั้งการรุกรานจากอิหร่านและองค์กรตัวแทนของอิหร่าน" เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าว การขายอาวุธครั้งนี้รวมถึงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ AIM-120C-8 AMRAAM สำหรับเครื่องบินขับไล่เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงโดรน ยังรวมถึงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และขีปนาวุธ Hellfire AGM-114 สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตีด้วย ข้อตกลงที่เสนอนี้ยังรวมถึงระเบิดขนาดเล็ก ระเบิดดัดแปลง JDAM ที่มีหัวรบขนาด 500 ปอนด์ ในขณะที่: - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - ฮิวแมนไรท์วอทช์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - รายงานของสหประชาชาติ: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - นักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court (ICC): กำลังดำเนินคดีกับเนทันยาฮูในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - แต่ไบเดนยังคงเดินหน้าขายอาวุธอีก 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล
    Sad
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไลฟ์ไม่รอด #ยอดลับลวงพราง
    อย.สวมอีก ทีออเดอร์มโนก็ยกเลิกเพียบ
    หม๋ายเรียกมีก็หนี๋ไม่ไป สื่อติดต่อก็ปิดการติดต่อทุกทาง
    ผสห มาสมทบ รวมเป็นร้อย กลุ่ม ผสห ที่ออกสื่อก็แค่ 20%
    เรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศแล้วอีกตะหาก
    สอบสวนกลางก็รับเรื่อง ดำเนินการ
    แถมลากสาวเกามาพังพันโดยไม่จำเป็น
    สรุป ต้องถูกสอบหมด
    หวังดึง ยื้อ ผสห ไม่ให้มาร่วมฟ๊อง
    เพราะกลัว RYa จนหัวหด บางราย จะหมดอายุ๊ความยังไม่รู้ตัว
    ส่วนพี่สาว ใช้มุกเดิม โยนให้ผัวเก่าเป็นแพะ ทั้งๆที่
    เลิกกับผัวเก่าไปขี่กับคนขับรถ เอามาเชิดหน้าชูตา
    ให้ผัวใหม่ ไปเปิดบช ม๊า วันๆไม่ต้องทำงานอะไร
    เติมเกมส์ แต่งกระบะซิ่งไปวันๆ แล้วบอก ผัวที่เป็นคนขับรถช่างประเสริฐ
    จริงๆ ที่โยนให้ผัวเก่าเป็นแพะอะนะ ไม่ใช่ผัวเก่าล่าสุดคนเดียว
    มีผัวเก่าที่เก่ากว่า นั่นเลย สตอรี่แพะเหมือนกับเป๊ะ
    ทั้งๆที่ กระบวนการสองพี่น้องมิจนี้ ทำกันเองล้วนๆ
    ตั้งแต่ ตั้งตุ๋นวงแชรรร์ ทำวันเป็นร้อย สร้างมือต้นมโนขึ้นมา
    พอมีเหยี่อ ก็ปิดวงหนี กรุ๊ปแรกนี้ อิสองพี่น้องแฝดนี้ได้ไปกว่าสามสิบล
    ยังมีตุ๋นลงหุ้นแล้วเท ตุ๋นร่วมลงทุนแล้วเท ตุ๋นยืมเงินลูกน้อง
    สารพัดความซั่ว ที่ผัวเก่าหรือผัวเก่ากว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
    แต่มักโยนให้เป็นแพะ เรียกความสงสาร อ้างว่า ต้องเป็นแม่เลี้ยงเดียว
    อ่อ จ้า แม่คนดี ศรีสังคม
    คนรักลูกแบบไหน ไปเล่นซู้กับคนขับรถในบริษัท ไปบอกครอบครัวผัวเก่าว่า ต้องหย่ากัน เพราะมีคนทำของ ต้องแก้เคล็ด ที่ไหนได้ เอาซู้ขึ้นเป็นผัวแทนซะเลย
    รักลูกแบบนี้ สร้างkadee กับ ผสห หลักร้อยคน มูลหนี้ไม่ต่ำกว่า 200 ล
    ทุกอย่าง คิดอ่านทำกันเอง สองพี่น้องแฝด
    สุดท้าย ยังเอาลูกตัวเองมาเป็นเครื่องมือหวังให้รอดจากการประนาามของสังคม หงายการ์ด ที่ฉันซั่วเพราะผัวเก่าทำ อีกแล้ว
    และเป็นแม่ที่ดียังไง ให้ซู้ ไปตุ๋นเมียเค้าก่อนเท ให้ยืมเงงินญาติพี่น้องรอบตัว แล้วไอ่ซู้ก็ศีลเสมอกันด้วย ได้ตังปุ๊บ เทเมียเก่า มาเฉพกาเมกับอินี่ เป็น ผ เป็น ม กันแบบเปิดเผย ทีแบบนี้ ไม่กลัวลูกจะรู้แล้วเสียใจกับพฤติกรรมของตัวเอง
    ทุกอย่าง บ่งบอกได้ ว่าเมิงสองพี่น้องแฝด ไม่เคยรักใครจริง รักแค่ตัวเอง
    เดี๋ยวกรู จะติดต่อใครซักคน อัดคลิป เปิดให้ชัดเจนไปเลย
    แล้วนี่ ยังสร้างความหวังลมๆแล้งๆให้ ผสห ที่ยังไม่ตื่น
    ดึงเวลาไปอีก ก็ใช่สิ เวลานี้มันสำคัญ แต่จะบอกเมิงสองตัวให้รุ้ไว้น้ะ
    ไม่ต้องไปกล่อม ผสห ที่เหลือของเมิงหรอก ตอนนี้กรูปิดรับเคสเพิ่ม
    แค่ร้อยกว่าคนที่ติดต่อมาทั้งสามล็อต มูลค่าร่วมมากกว่าสองร้อยล้าน แค่นี้
    เมิงก็ได้อยู่ข้างในกรง ยันแก่ ฟันธง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไลฟ์ไม่รอด #ยอดลับลวงพราง อย.สวมอีก ทีออเดอร์มโนก็ยกเลิกเพียบ หม๋ายเรียกมีก็หนี๋ไม่ไป สื่อติดต่อก็ปิดการติดต่อทุกทาง ผสห มาสมทบ รวมเป็นร้อย กลุ่ม ผสห ที่ออกสื่อก็แค่ 20% เรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศแล้วอีกตะหาก สอบสวนกลางก็รับเรื่อง ดำเนินการ แถมลากสาวเกามาพังพันโดยไม่จำเป็น สรุป ต้องถูกสอบหมด หวังดึง ยื้อ ผสห ไม่ให้มาร่วมฟ๊อง เพราะกลัว RYa จนหัวหด บางราย จะหมดอายุ๊ความยังไม่รู้ตัว ส่วนพี่สาว ใช้มุกเดิม โยนให้ผัวเก่าเป็นแพะ ทั้งๆที่ เลิกกับผัวเก่าไปขี่กับคนขับรถ เอามาเชิดหน้าชูตา ให้ผัวใหม่ ไปเปิดบช ม๊า วันๆไม่ต้องทำงานอะไร เติมเกมส์ แต่งกระบะซิ่งไปวันๆ แล้วบอก ผัวที่เป็นคนขับรถช่างประเสริฐ จริงๆ ที่โยนให้ผัวเก่าเป็นแพะอะนะ ไม่ใช่ผัวเก่าล่าสุดคนเดียว มีผัวเก่าที่เก่ากว่า นั่นเลย สตอรี่แพะเหมือนกับเป๊ะ ทั้งๆที่ กระบวนการสองพี่น้องมิจนี้ ทำกันเองล้วนๆ ตั้งแต่ ตั้งตุ๋นวงแชรรร์ ทำวันเป็นร้อย สร้างมือต้นมโนขึ้นมา พอมีเหยี่อ ก็ปิดวงหนี กรุ๊ปแรกนี้ อิสองพี่น้องแฝดนี้ได้ไปกว่าสามสิบล ยังมีตุ๋นลงหุ้นแล้วเท ตุ๋นร่วมลงทุนแล้วเท ตุ๋นยืมเงินลูกน้อง สารพัดความซั่ว ที่ผัวเก่าหรือผัวเก่ากว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย แต่มักโยนให้เป็นแพะ เรียกความสงสาร อ้างว่า ต้องเป็นแม่เลี้ยงเดียว อ่อ จ้า แม่คนดี ศรีสังคม คนรักลูกแบบไหน ไปเล่นซู้กับคนขับรถในบริษัท ไปบอกครอบครัวผัวเก่าว่า ต้องหย่ากัน เพราะมีคนทำของ ต้องแก้เคล็ด ที่ไหนได้ เอาซู้ขึ้นเป็นผัวแทนซะเลย รักลูกแบบนี้ สร้างkadee กับ ผสห หลักร้อยคน มูลหนี้ไม่ต่ำกว่า 200 ล ทุกอย่าง คิดอ่านทำกันเอง สองพี่น้องแฝด สุดท้าย ยังเอาลูกตัวเองมาเป็นเครื่องมือหวังให้รอดจากการประนาามของสังคม หงายการ์ด ที่ฉันซั่วเพราะผัวเก่าทำ อีกแล้ว และเป็นแม่ที่ดียังไง ให้ซู้ ไปตุ๋นเมียเค้าก่อนเท ให้ยืมเงงินญาติพี่น้องรอบตัว แล้วไอ่ซู้ก็ศีลเสมอกันด้วย ได้ตังปุ๊บ เทเมียเก่า มาเฉพกาเมกับอินี่ เป็น ผ เป็น ม กันแบบเปิดเผย ทีแบบนี้ ไม่กลัวลูกจะรู้แล้วเสียใจกับพฤติกรรมของตัวเอง ทุกอย่าง บ่งบอกได้ ว่าเมิงสองพี่น้องแฝด ไม่เคยรักใครจริง รักแค่ตัวเอง เดี๋ยวกรู จะติดต่อใครซักคน อัดคลิป เปิดให้ชัดเจนไปเลย แล้วนี่ ยังสร้างความหวังลมๆแล้งๆให้ ผสห ที่ยังไม่ตื่น ดึงเวลาไปอีก ก็ใช่สิ เวลานี้มันสำคัญ แต่จะบอกเมิงสองตัวให้รุ้ไว้น้ะ ไม่ต้องไปกล่อม ผสห ที่เหลือของเมิงหรอก ตอนนี้กรูปิดรับเคสเพิ่ม แค่ร้อยกว่าคนที่ติดต่อมาทั้งสามล็อต มูลค่าร่วมมากกว่าสองร้อยล้าน แค่นี้ เมิงก็ได้อยู่ข้างในกรง ยันแก่ ฟันธง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts