• ออกมาโพสต์ขอความเป็นธรรม หลังโดนทนายรายหนึ่งโกงเงินไปกว่า 2 ล้าน สำหรับ “นิวนิว เอวเด้ง” ธนวลัญช์ ธนรัตน์หิรัญช์ งานนี้ทำให้เครียดถึงขั้นวูบฟันหักเลยทีเดียว

    “เป็นทนายก็ต้องอยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่ #โกง เอาเงินหนูไป❌แล้วไม่ทำคดีให้ แล้วก็ไม่ คืนเงินให้หนู หลอกลวงหนู ยอดที่โกงหนูไป 2,460,000 บาท

    ขอเงินลูกหนูคืนด้วยนะคะ หนูเครียด หนูเป็นโรค #ซึมเศร้า คุณก็ทราบ ที่หนูวูบล้มฟันหัก ก็เพราะเครียดนอนไม่หลับ กินยานอนหลับไปเยอะ ขอเงินลูกหนูคืนด้วยนะคะ ครอบครัวหนูก็ต้องกินต้องใช้ อย่าทำให้อาชีพ #ทนายเสื่อมเสียเพราะคนอย่างคุณเลย”

    ต่อมา ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ซึ่งนิวนิวเรียกว่าพ่อ ได้วิดีโอคอลมาถาม ว่าเป็นทนายคนไหน อายุเท่าไหร่ โกรธที่กล้าล้วงคองูเห่า เดี๋ยวเอาให้ตาย ถ้าไม่คืนก็ติดคุก เดี๋ยวดำเนินคดีเอง พ่อเพิ่งรู้เมื่อกี้ ทีหลังมีอะไรนิวไม่ต้องกลัว ให้มาบอก ทนายเยอะแยะ เดี๋ยวทำให้ เรื่องนี้เดี๋ยวพ่อล่าเอง

    #MGROnline #นิวนิวเอวเด้ง #ทนายโกง
    ออกมาโพสต์ขอความเป็นธรรม หลังโดนทนายรายหนึ่งโกงเงินไปกว่า 2 ล้าน สำหรับ “นิวนิว เอวเด้ง” ธนวลัญช์ ธนรัตน์หิรัญช์ งานนี้ทำให้เครียดถึงขั้นวูบฟันหักเลยทีเดียว • “เป็นทนายก็ต้องอยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่ #โกง เอาเงินหนูไป❌แล้วไม่ทำคดีให้ แล้วก็ไม่ คืนเงินให้หนู หลอกลวงหนู ยอดที่โกงหนูไป 2,460,000 บาท • ขอเงินลูกหนูคืนด้วยนะคะ หนูเครียด หนูเป็นโรค #ซึมเศร้า คุณก็ทราบ ที่หนูวูบล้มฟันหัก ก็เพราะเครียดนอนไม่หลับ กินยานอนหลับไปเยอะ ขอเงินลูกหนูคืนด้วยนะคะ ครอบครัวหนูก็ต้องกินต้องใช้ อย่าทำให้อาชีพ #ทนายเสื่อมเสียเพราะคนอย่างคุณเลย” • ต่อมา ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ซึ่งนิวนิวเรียกว่าพ่อ ได้วิดีโอคอลมาถาม ว่าเป็นทนายคนไหน อายุเท่าไหร่ โกรธที่กล้าล้วงคองูเห่า เดี๋ยวเอาให้ตาย ถ้าไม่คืนก็ติดคุก เดี๋ยวดำเนินคดีเอง พ่อเพิ่งรู้เมื่อกี้ ทีหลังมีอะไรนิวไม่ต้องกลัว ให้มาบอก ทนายเยอะแยะ เดี๋ยวทำให้ เรื่องนี้เดี๋ยวพ่อล่าเอง • #MGROnline #นิวนิวเอวเด้ง #ทนายโกง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคเพื่อไทยยืนยัน ไม่ตั้ง "พานทองแท้" ประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
    .
    รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่แต่งตั้ง "พานทองแท้ ชินวัตร" ลูกชายทักษิญ เป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามที่ไพศาล พืชมงคลโพสต์เอาไว้ ระบุเจ้าตัวไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใดๆ โวยมีขบวนการปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน
    .
    วันนี้ (17 ธ.ค.) จากกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ากลยุทธ์และแผนงานเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยระบุว่า เพื่อกุมบังเหียนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และอยู่ดีกินดีถ้วนหน้ากัน และเปรียบว่าขนาด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาวยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมพี่ชายถึงจะเป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่ได้ ตามที่ปรากฎในโซเชียลมีเดียนั้น
    .
    ล่าสุด น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในแพลตฟอร์ม X ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคไม่มีมติแต่งตั้งใครหรือหรือตำแหน่งใดๆ เหล่านี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใดๆ ทั้งในพรรคเเละในรัฐบาลเลย ช่วงนี้กระบวนการแบบนี้มีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ การปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน และพยายามทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล โชคดีว่าประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาว เลยไม่เหมาะกับการปั้นน้ำเป็นตัว
    .
    สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2522 เป็นลูกชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยทำธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ชีแอทมู้ด และคาเฟ่ชื่อ Cafeinn ที่สยามสแควร์ ซอย 2 นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ เวอร์ทู รวมทั้งสัมปทานพื้นที่โฆษณาอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และทำธุรกิจสวนสนุก Amazing Fun Park บริเวณถนนรัชดาภิเษก ในนาม บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อปี 2548 กระทั่งปี 2552 นายพานทองแท้ ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี แต่ได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 และอาคารสถานีย่านถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้สี่แยกสุทธิสาร กำลังรีโนเวตเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคเพื่อไทย
    .
    ปัจจุบัน นายพานทองแท้เป็นกรรมการบริษัทที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ม็อกกิ้งเบิร์ด จำกัด ประกอบธุรกิจการจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่งานอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์, บริษัท วอยซ์ ครีเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, บริษัท เวิร์คส์ ครีเอทีฟ จำกัด ประกอบกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ธุรกิจ, บริษัท ไวฟ์ ดิจิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจ กิจกรรมการจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการผลิตรายการโทรทัศน์
    .
    ส่วนบริษัทที่เสร็จการชำระบัญชี มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการถ่ายภาพ, บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฆษณา, และบริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง และบริษัทที่มีสถานะเลิก ได้แก่ บริษัท โอคานิท จำกัด ประกอบธุรกิจการบริการด้านเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นหลักในร้าน
    .
    อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพานทองแท้ นั่งรถไฟขบวนพิเศษรอยัลบอสซั่มที่ 913 เพื่อเดินทางร่วมกับ สส.พรรคเพื่อไทย ไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว ก่อนที่นายทักษิณจะร่วมขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีบางบำหรุ เพราะอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69
    .............
    Sondhi X
    พรรคเพื่อไทยยืนยัน ไม่ตั้ง "พานทองแท้" ประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ . รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่แต่งตั้ง "พานทองแท้ ชินวัตร" ลูกชายทักษิญ เป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามที่ไพศาล พืชมงคลโพสต์เอาไว้ ระบุเจ้าตัวไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใดๆ โวยมีขบวนการปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน . วันนี้ (17 ธ.ค.) จากกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ากลยุทธ์และแผนงานเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยระบุว่า เพื่อกุมบังเหียนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และอยู่ดีกินดีถ้วนหน้ากัน และเปรียบว่าขนาด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาวยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมพี่ชายถึงจะเป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่ได้ ตามที่ปรากฎในโซเชียลมีเดียนั้น . ล่าสุด น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในแพลตฟอร์ม X ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคไม่มีมติแต่งตั้งใครหรือหรือตำแหน่งใดๆ เหล่านี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใดๆ ทั้งในพรรคเเละในรัฐบาลเลย ช่วงนี้กระบวนการแบบนี้มีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ การปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน และพยายามทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล โชคดีว่าประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาว เลยไม่เหมาะกับการปั้นน้ำเป็นตัว . สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2522 เป็นลูกชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยทำธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ชีแอทมู้ด และคาเฟ่ชื่อ Cafeinn ที่สยามสแควร์ ซอย 2 นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ เวอร์ทู รวมทั้งสัมปทานพื้นที่โฆษณาอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และทำธุรกิจสวนสนุก Amazing Fun Park บริเวณถนนรัชดาภิเษก ในนาม บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อปี 2548 กระทั่งปี 2552 นายพานทองแท้ ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี แต่ได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 และอาคารสถานีย่านถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้สี่แยกสุทธิสาร กำลังรีโนเวตเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคเพื่อไทย . ปัจจุบัน นายพานทองแท้เป็นกรรมการบริษัทที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ม็อกกิ้งเบิร์ด จำกัด ประกอบธุรกิจการจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่งานอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์, บริษัท วอยซ์ ครีเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, บริษัท เวิร์คส์ ครีเอทีฟ จำกัด ประกอบกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ธุรกิจ, บริษัท ไวฟ์ ดิจิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจ กิจกรรมการจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการผลิตรายการโทรทัศน์ . ส่วนบริษัทที่เสร็จการชำระบัญชี มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการถ่ายภาพ, บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฆษณา, และบริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง และบริษัทที่มีสถานะเลิก ได้แก่ บริษัท โอคานิท จำกัด ประกอบธุรกิจการบริการด้านเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นหลักในร้าน . อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพานทองแท้ นั่งรถไฟขบวนพิเศษรอยัลบอสซั่มที่ 913 เพื่อเดินทางร่วมกับ สส.พรรคเพื่อไทย ไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว ก่อนที่นายทักษิณจะร่วมขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีบางบำหรุ เพราะอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69 ............. Sondhi X
    Haha
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไพศาล พืชมงคล" เผย บิ๊กจิ๋ว ชวลิต ยงใจยุทธ ติดเชื้อในกระแสเลือดนอนห้อง ICU แนะหลานสาวลุงจิ๋วเตรียมเทปพระสวดไว้ เผื่ออาการวิกฤต ก็ให้เปิด ให้ลุงจิ๋วฟัง ด้านหลานเข้าเยี่ยมเผยตอนนี้ปู่ลืมตาแล้ว คุณปู่มีสติ สามารถยกมือตอบสนอง และส่งเสียงพูดเบาๆได้บ้างแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000119496

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ไพศาล พืชมงคล" เผย บิ๊กจิ๋ว ชวลิต ยงใจยุทธ ติดเชื้อในกระแสเลือดนอนห้อง ICU แนะหลานสาวลุงจิ๋วเตรียมเทปพระสวดไว้ เผื่ออาการวิกฤต ก็ให้เปิด ให้ลุงจิ๋วฟัง ด้านหลานเข้าเยี่ยมเผยตอนนี้ปู่ลืมตาแล้ว คุณปู่มีสติ สามารถยกมือตอบสนอง และส่งเสียงพูดเบาๆได้บ้างแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000119496 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1106 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/12/668

    10/12/67

    สันติ ลุนเผ่" ศิลปินแห่งชาติถึงแก่กรรมแล้ว สิริอายุ 88 ปี

    ร.ต.สันติ ลุนเผ่ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล-ขับร้อง) ประจำปี 2558 ถึงแก่กรรมเมื่อเวลาประมาณ 01.01 น. วันนี้(10 ธ.ค.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริอายุ 88 ปี
    .
    ร.ต.สันติ ลุนเผ่ นักร้องเสียงเทเนอร์ หรือเสียงโทนสูงของนักร้องชายระดับตำนานของไทย ฝากผลงานเพลงแนวรักชาติ เพลงคลาสสิกและเพลงประกอบภาพยนตร์ไว้มากมาย เช่น เพลง "หนักแผ่นดิน", "ทหารพระนเรศวร", "ดุจบิดามารดร", "เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย" รวมถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ความฝันอันสูงสุด"

    เรือตรี สันติ ลุนเผ่ มีชื่อเดิมว่า ไพศาล ลุนเผ่ มีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักร้องประจำคณะดุริยางค์แห่งกองทัพไทย และมีน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในผลงานด้านเพลงปลุกใจ, เพลงคลาสสิก และเพลงประกอบภาพยนตร์

    ร.ต.สันติ ได้บันทึกแผ่นเสียงเพลงแรกโดยวงดนตรีวายุบุตรคือเพลง "คมแสนคม" ผลงานของ เชาว์ แคล่วคล่อง เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่อง "คมแสนคม" ในปี พ.ศ. 2507 ต่อมามีผลงานอีกมากมายจนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2558

    cr:New 1
    10/12/668 10/12/67 สันติ ลุนเผ่" ศิลปินแห่งชาติถึงแก่กรรมแล้ว สิริอายุ 88 ปี ร.ต.สันติ ลุนเผ่ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล-ขับร้อง) ประจำปี 2558 ถึงแก่กรรมเมื่อเวลาประมาณ 01.01 น. วันนี้(10 ธ.ค.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริอายุ 88 ปี . ร.ต.สันติ ลุนเผ่ นักร้องเสียงเทเนอร์ หรือเสียงโทนสูงของนักร้องชายระดับตำนานของไทย ฝากผลงานเพลงแนวรักชาติ เพลงคลาสสิกและเพลงประกอบภาพยนตร์ไว้มากมาย เช่น เพลง "หนักแผ่นดิน", "ทหารพระนเรศวร", "ดุจบิดามารดร", "เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย" รวมถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ความฝันอันสูงสุด" เรือตรี สันติ ลุนเผ่ มีชื่อเดิมว่า ไพศาล ลุนเผ่ มีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักร้องประจำคณะดุริยางค์แห่งกองทัพไทย และมีน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในผลงานด้านเพลงปลุกใจ, เพลงคลาสสิก และเพลงประกอบภาพยนตร์ ร.ต.สันติ ได้บันทึกแผ่นเสียงเพลงแรกโดยวงดนตรีวายุบุตรคือเพลง "คมแสนคม" ผลงานของ เชาว์ แคล่วคล่อง เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่อง "คมแสนคม" ในปี พ.ศ. 2507 ต่อมามีผลงานอีกมากมายจนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2558 cr:New 1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เป็นความรู้นะคับนะ
    กรณี ตักปลาร้าปลาส้มขายในตลอดอะไรงี้ ไม่ต้องมี อย.นะคับนะ
    แต่เมื่อไหร่ ไลฟ์ขาย ส่งแบบเป็นแพคเกจจิ้ง ต้องมีฉลากต้องมีการจดแจ้ง
    อย. ให้ถูกต้อง จะเอา อย.อย่างอื่นมาสวม หรือแก้ปัญหาด้วยการไม่ใส่ อย.บนฉลากเลย เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับนะ
    ตามที่ นพ.ไพศาลกล่าวไว้เลย
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #เป็นความรู้นะคับนะ กรณี ตักปลาร้าปลาส้มขายในตลอดอะไรงี้ ไม่ต้องมี อย.นะคับนะ แต่เมื่อไหร่ ไลฟ์ขาย ส่งแบบเป็นแพคเกจจิ้ง ต้องมีฉลากต้องมีการจดแจ้ง อย. ให้ถูกต้อง จะเอา อย.อย่างอื่นมาสวม หรือแก้ปัญหาด้วยการไม่ใส่ อย.บนฉลากเลย เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับนะ ตามที่ นพ.ไพศาลกล่าวไว้เลย อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/11/67

    เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงวัยที่ดีที่สุดของโลก
    ฟรี ! – รีบไปหาซื้อไอโฟนราคาถูก ๆ สำหรับช่วยผู้สูงวัยในการฟังไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อเครื่องช่วยฟังราคาหลายหมื่นบาทซึ่งเจ็บหู ดูแก่ และน่ารำคาญ
    1. วันก่อนเห็นท่านธนินท์ เจียรวนนท์ และลูกชายทั้ง 2 คน คือ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ไปทางภาคตะวันออกและได้รับมอบพระสมเด็จสายวังจากท่านอาจารย์บำเพ็ญก็มีความยินดีเพราะไม่ได้พบกันมานานแต่สังเกตเห็นว่าท่านธนินท์ เจียรวนนท์ ใส่เครื่อง AirPods (แอร์พอด) ติดกับหูก็แปลกใจว่าท่านไปงานมีผู้คนมากมายถึงจะติดเพลงอย่างไร ก็ย่อมรักษามารยาทไม่ไปฟังเพลงกลางงานเป็นแน่จึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการใช้ในลักษณะเครื่องช่วยฟัง จึงให้ลูกชายไปค้นคว้าเรื่องนี้
    2. จ๊ะเอ๋....พบความจริงว่าโทรศัพท์ไอโฟนมีโปรแกรมหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องช่วยฟังผ่าน AirPods (แอร์พอด) สามารถปรับเสียงและกรองเสียงทั้งหลายทำให้ฟังชัดเจนมาก และไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยเหมือนเครื่องช่วยฟังธรรมดา หูไม่อื้อ ไม่เจ็บหู ฟังชัดแจ๋วแหว๋ว เมื่อใส่แล้วดูเท่ เป็นวัยรุ่น
    ปรากฏว่าโปรแกรมนี้ติดตั้งในไอโฟน ซึ่งที่บ้านมีไอโฟนที่ไม่ใช้แล้วเอามาปัดฝุ่นใช้ และไปหา AirPods (แอร์พอด) รุ่นใหม่ทันสมัยสวยหรู ดูเท่เป็นวัยรุ่น มาใช้สบายใจไปเลย
    ดังนั้นใครมี ญาติ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ที่มีปัญหาการฟังเสียงก็รีบไปหา โปรแกรมนี้มาใช้ได้เลย ใครสงสัยก็ถามผู้ช่วยผมได้ โทร. 095 228 9924 (ไตเติ้ล)

    ไพศาล พืชมงคล


    ################

    เข้า iPhone ที่เมนู Setting แล้วเข้าไปที่ control center จากนั้นให้หาเมนู Hearing กดเครื่องหมายบวกแล้วออกจากหน้าจอนั้น

    จากนั้นเข้ามาที่หน้าแรกแล้ว ใช้นิ้วลากลงทางหน้าจอด้านขวา คลิกเลือกไอคอนที่เป็นรูปใบหู แล้วเลือก Live listening ครับ

    อย่าลืมเชื่อมบลูทูธระหว่าง iPhone กับ AirPods ก่อนด้วยนะครับ

    @@@@@@

    https://support.google.com/accessibility/android/answer/9157755?hl=th
    10/11/67 เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงวัยที่ดีที่สุดของโลก ฟรี ! – รีบไปหาซื้อไอโฟนราคาถูก ๆ สำหรับช่วยผู้สูงวัยในการฟังไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อเครื่องช่วยฟังราคาหลายหมื่นบาทซึ่งเจ็บหู ดูแก่ และน่ารำคาญ 1. วันก่อนเห็นท่านธนินท์ เจียรวนนท์ และลูกชายทั้ง 2 คน คือ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ไปทางภาคตะวันออกและได้รับมอบพระสมเด็จสายวังจากท่านอาจารย์บำเพ็ญก็มีความยินดีเพราะไม่ได้พบกันมานานแต่สังเกตเห็นว่าท่านธนินท์ เจียรวนนท์ ใส่เครื่อง AirPods (แอร์พอด) ติดกับหูก็แปลกใจว่าท่านไปงานมีผู้คนมากมายถึงจะติดเพลงอย่างไร ก็ย่อมรักษามารยาทไม่ไปฟังเพลงกลางงานเป็นแน่จึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการใช้ในลักษณะเครื่องช่วยฟัง จึงให้ลูกชายไปค้นคว้าเรื่องนี้ 2. จ๊ะเอ๋....พบความจริงว่าโทรศัพท์ไอโฟนมีโปรแกรมหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องช่วยฟังผ่าน AirPods (แอร์พอด) สามารถปรับเสียงและกรองเสียงทั้งหลายทำให้ฟังชัดเจนมาก และไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยเหมือนเครื่องช่วยฟังธรรมดา หูไม่อื้อ ไม่เจ็บหู ฟังชัดแจ๋วแหว๋ว เมื่อใส่แล้วดูเท่ เป็นวัยรุ่น ปรากฏว่าโปรแกรมนี้ติดตั้งในไอโฟน ซึ่งที่บ้านมีไอโฟนที่ไม่ใช้แล้วเอามาปัดฝุ่นใช้ และไปหา AirPods (แอร์พอด) รุ่นใหม่ทันสมัยสวยหรู ดูเท่เป็นวัยรุ่น มาใช้สบายใจไปเลย ดังนั้นใครมี ญาติ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ที่มีปัญหาการฟังเสียงก็รีบไปหา โปรแกรมนี้มาใช้ได้เลย ใครสงสัยก็ถามผู้ช่วยผมได้ โทร. 095 228 9924 (ไตเติ้ล) ไพศาล พืชมงคล ################ เข้า iPhone ที่เมนู Setting แล้วเข้าไปที่ control center จากนั้นให้หาเมนู Hearing กดเครื่องหมายบวกแล้วออกจากหน้าจอนั้น จากนั้นเข้ามาที่หน้าแรกแล้ว ใช้นิ้วลากลงทางหน้าจอด้านขวา คลิกเลือกไอคอนที่เป็นรูปใบหู แล้วเลือก Live listening ครับ อย่าลืมเชื่อมบลูทูธระหว่าง iPhone กับ AirPods ก่อนด้วยนะครับ @@@@@@ https://support.google.com/accessibility/android/answer/9157755?hl=th
    โปรแกรมขยายเสียง: ขยายเสียงพูดโดยรอบและเสียงในอุปกรณ์ - การช่วยเหลือพิเศษของ Android ความช่วยเหลือ
    คุณใช้โปรแกรมขยายเสียงกับหูฟังแบบมีสายหรือบลูทูธเพื่อกรอง เพิ่มคุณภาพ และขยายเสียงในสภาพแวดล้อมหรือในอุปกรณ์ Android ได้ ดาวน์โหลดและเปิดโปรแกรมขยายเสียง ดาวน์โหลดโปรแกรมขยายเสียงจาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๙ พระราชกรณียกิจแก้ว ของสมเด็จพระพันปีหลวง
    ๑.ทรงฟื้นชีวิต "โขน" ศิลปะชั้นสูงของไทยให้คงอยู่

    -๑-
    ๐ ปวงข้าฯน้อมเกล้าอภิวาท
    กราบบาทพระราชชนนีพันปีหลวง
    พระผู้ทรงงดงามด้วยความปวง
    ดุจดั่ง ประทีปสรวงรัตนา

    ๐ อัญเชิญมงคลชัย ทั้งไตรจักร
    เป็นฉัตรแก้วอารักษ์ทุกทิศา
    ถ้วนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ สักการ์
    เทินทิพย์บุษบา กราบบาทบวร

    ๐ ขอพระพลานามัยสมบูรณ์พูนสวัสดิ์
    ปานแก้วเก้าเนาวรัตน์ประภัสสร
    ขอพระทัยปรีดาสถาพร
    ยั่งยืนเช่นสิงขร-จักรวาล

    -๒-
    ๐ อันทวยทัพพิโลนโขนสยาม
    ได้ฟื้นความเป็นไทยอันไพศาล
    เป็นประจักษ์นัยนาวิชาชาญ
    ด้วยพระองค์ทรงบริบาล ชุบชีวา

    ๐ แลสรรพถนิม พิมพาภรณ์
    เปล่งประกายอรชรเบื้องภูษา
    สุดวิจิตรอัศจรรย์ พรรณนา
    ก็เคลื่อนพลมนตรามาประโคม

    ๐ กอปรด้วยถ้วนคีตาภาษาชาติ
    ได้ประกาศบทเพลงบรรเลงโหม
    เสนาะในอุระถึงโพยม
    รินบรรโลมพร้อมเพรียงอย่างเกรียงไกร

    ๐ วิจิตรศิลป์ถิ่นสยามงามสง่า
    ทุกชีวาโขนดำรงอสงไขย
    เพราะพระองค์ทรงงดงามน้ำพระทัย
    หยาดสร้างขวัญ-กำลังใจ ให้แผ่นดิน

    ๐ ทรงบํารุงปรุงปรับรับสมัย
    ให้โขนไทยเรืองฤทธิ์วิจิตรศิลป์
    ตระการตา ตรึงกมล ผู้ยลยิน
    ไม่รู้สิ้นเอกลักษณ์นัครา

    -๓-
    ๐ จึ่งทวยทัพ ราม-ลักษณ์ ยักษ์-ลิง
    สำนึกยิ่งพระการุณย์อุ่นเกศา
    เทิดทูนไว้เหนือกระหม่อมน้อมบูชา
    พระการุณย์ล้นฟ้าล้นธรณี

    ๐ ทุกโยธาคลาไคล ไกรกอง
    เปล่งเสียงซ้องบาทบงสุ์ผู้ทรงศรี
    ศิลป์สำแดงลํ้าค่าบรรดามี
    สมกับที่ทรงอุปถัมภ์-คํ้าชู

    ๐ ความสง่า-สามารถ ทุกยาตรย้าย
    กราบถวายพระเมตตาอันมาสู่
    ศิลปะ ศิลปิน มิสิ้นครู
    จะคงอยู่เป็นศักดิ์ลักษณา

    ๐ ด้วยพระทัยแห่งปราชญ์ สะอาดปลั่ง
    จึ่งฟื้นโขนโผนพลังทุกสังขาร์
    ได้อวยยศ ไร้ที่ ให้ตรีชา
    มรดกภูมิปัญญาฯ สถาวร

    ๐ ร้อยความรักสุดหัวใจไทยทุกดวง
    กราบบาทพระพันปีหลวง อดิศร
    พระผู้เป็นดุจภาสพรม-ปฐมพร
    เป็นทินกรพิโลน ส่องโขนไทย

    .........เพลงผ้า ปรพากย์
    ๙ พระราชกรณียกิจแก้ว ของสมเด็จพระพันปีหลวง ๑.ทรงฟื้นชีวิต "โขน" ศิลปะชั้นสูงของไทยให้คงอยู่ -๑- ๐ ปวงข้าฯน้อมเกล้าอภิวาท กราบบาทพระราชชนนีพันปีหลวง พระผู้ทรงงดงามด้วยความปวง ดุจดั่ง ประทีปสรวงรัตนา ๐ อัญเชิญมงคลชัย ทั้งไตรจักร เป็นฉัตรแก้วอารักษ์ทุกทิศา ถ้วนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ สักการ์ เทินทิพย์บุษบา กราบบาทบวร ๐ ขอพระพลานามัยสมบูรณ์พูนสวัสดิ์ ปานแก้วเก้าเนาวรัตน์ประภัสสร ขอพระทัยปรีดาสถาพร ยั่งยืนเช่นสิงขร-จักรวาล -๒- ๐ อันทวยทัพพิโลนโขนสยาม ได้ฟื้นความเป็นไทยอันไพศาล เป็นประจักษ์นัยนาวิชาชาญ ด้วยพระองค์ทรงบริบาล ชุบชีวา ๐ แลสรรพถนิม พิมพาภรณ์ เปล่งประกายอรชรเบื้องภูษา สุดวิจิตรอัศจรรย์ พรรณนา ก็เคลื่อนพลมนตรามาประโคม ๐ กอปรด้วยถ้วนคีตาภาษาชาติ ได้ประกาศบทเพลงบรรเลงโหม เสนาะในอุระถึงโพยม รินบรรโลมพร้อมเพรียงอย่างเกรียงไกร ๐ วิจิตรศิลป์ถิ่นสยามงามสง่า ทุกชีวาโขนดำรงอสงไขย เพราะพระองค์ทรงงดงามน้ำพระทัย หยาดสร้างขวัญ-กำลังใจ ให้แผ่นดิน ๐ ทรงบํารุงปรุงปรับรับสมัย ให้โขนไทยเรืองฤทธิ์วิจิตรศิลป์ ตระการตา ตรึงกมล ผู้ยลยิน ไม่รู้สิ้นเอกลักษณ์นัครา -๓- ๐ จึ่งทวยทัพ ราม-ลักษณ์ ยักษ์-ลิง สำนึกยิ่งพระการุณย์อุ่นเกศา เทิดทูนไว้เหนือกระหม่อมน้อมบูชา พระการุณย์ล้นฟ้าล้นธรณี ๐ ทุกโยธาคลาไคล ไกรกอง เปล่งเสียงซ้องบาทบงสุ์ผู้ทรงศรี ศิลป์สำแดงลํ้าค่าบรรดามี สมกับที่ทรงอุปถัมภ์-คํ้าชู ๐ ความสง่า-สามารถ ทุกยาตรย้าย กราบถวายพระเมตตาอันมาสู่ ศิลปะ ศิลปิน มิสิ้นครู จะคงอยู่เป็นศักดิ์ลักษณา ๐ ด้วยพระทัยแห่งปราชญ์ สะอาดปลั่ง จึ่งฟื้นโขนโผนพลังทุกสังขาร์ ได้อวยยศ ไร้ที่ ให้ตรีชา มรดกภูมิปัญญาฯ สถาวร ๐ ร้อยความรักสุดหัวใจไทยทุกดวง กราบบาทพระพันปีหลวง อดิศร พระผู้เป็นดุจภาสพรม-ปฐมพร เป็นทินกรพิโลน ส่องโขนไทย .........เพลงผ้า ปรพากย์
    Love
    Like
    Yay
    38
    8 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 798 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อซินแสชื่อดังทยอยแจ้งความกองปราบเพิ่ม ยอดความเสียหายทะลุ 70 ล้าน รอง ผบก.ป.เผยเร่งขอรับโอนคดีมาสอบสวน ด้านทนายไพศาลปัดเป็นทนายให้หมอดู

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106664

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เหยื่อซินแสชื่อดังทยอยแจ้งความกองปราบเพิ่ม ยอดความเสียหายทะลุ 70 ล้าน รอง ผบก.ป.เผยเร่งขอรับโอนคดีมาสอบสวน ด้านทนายไพศาลปัดเป็นทนายให้หมอดู อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106664 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Wow
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2442 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำดีแบบแม่นํ้า
    โดย นิลฉงน นลเฉลย
    (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง)
    “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ
    กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ
    เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก
    สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน
    การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว
    เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น
    การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม
    มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ
    ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ
    เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ
    การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น
    เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก
    ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่
    นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย
    ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี
    น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ
    บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ
    หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่
    นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    ทำดีแบบแม่นํ้า โดย นิลฉงน นลเฉลย (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง) “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่ นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่ นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️

    🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱

    ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

    ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์

    ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
    เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
    มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

    ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

    ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

    ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
    ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
    ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
    ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
    และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
    คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
    การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

    ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
    ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
    ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
    ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้

    ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

    ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
    หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
    #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

    ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก
    ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน
    นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

    ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์

    ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
    ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️
    🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย
    🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️ 🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱 ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11 ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์ ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้ ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้ ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก" หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ) ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️ 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 996 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา

    ธรรมขั้นสูงสุดนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในความธรรมดาสามัญ เพราะธรรมดาสามัญนั้นเอง

    ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา
    กลมกลืนกับธรรมดา
    ไม่ขัดขืนโต้แย้งกับธรรมดา
    ทั้งไม่ผลักไสหรือยึดติดธรรมดา

    เพราะธรรมดานั้นไม่มีบวกหรือลบ สูงหรือต่ำ น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี หากเป็นใจเราต่างหากที่ไปกำหนดหมายหรือให้ค่าเอาเอง

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เร่งรีบอึกทึก และถูกปรุงแต่งจนพอกหนาด้วยสมมติและมายา บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเร้นไปยังที่ที่สงบสงัดและปลอดโปร่งจากภารกิจ เพื่อมีเวลาพินิจจิตใจของตน จนหยั่งเห็นธรรมะหรือธรรมดาท่ามกลางความผันผวนของความรู้สึกนึกคิด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างกลมกลืน และเป็นมิตรกับธรรมดามากขึ้น

    แต่ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องกลับมาสู่โลกกว้างและชีวิตที่เป็นจริง ต้องเกี่ยวข้องกับงานการและผู้คน เผชิญกับความแปรปรวนของสรรพสิ่งรอบตัว พบกับความสมหวังและไม่สมหวัง จนบางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดหัวนกลับไปสู่สำนักปฏิบัติอันสงบสงัด หรือไม่ก็อยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องพระเพื่อเจริญสมาธิภาวนานานเท่านาน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชั่วขณะนั้น เรากำลังคิดหันหลังให้กับธรรมะที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญ

    ชีวิตที่นั่งหรือเดินภาวนาทั้งวันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญ แม้จะจำเป็น แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องพร้อมกลับมาสู่ชีวิตธรรมดาสามัญ ซึ่งมีภารกิจและความรับผิดชอบที่ต้องใส่ใจ

    แต่งานการใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม แท้จริงเป็นอุปกรณ์แห่งการเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อพระรูปหนึ่งขอร้องให้อาจารย์สอนธรรม ท่านกลับถามว่า เธอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ เมื่อศิษย์ตอบว่า ฉันเสร็จแล้ว ท่านกลับตอบว่า งั้นเธอก็กลับไปล้างจานได้แล้ว

    การปฏิบัติธรรมในสำนักอันสงบสงัด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมของนักกีฬา แต่การฝึกซ้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไม่ลงไปสู่สนามจริง นักกีฬาย่อมไม่กลัวสนามจริงฉันใด นักปฏิบัติธรรมก็ไม่พรั่นพรึงโลกกว้างและชีวิตจริงฉันนั้น

    จะว่าไปแล้ว โลกว้างและชีวิตจริงนั่นแหละคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะความเป็นจริงโดยเฉพาะความทุกข์คือครูที่ฉลาดทีสุดในการเคี่ยวเข็ญเราให้เข้าถึงธรรมและธรรมดา

    การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพลัดพราก ความสูญเสีย และความไม่สมหวังอย่างไม่เป็นทุกข์ สามารถเข้าถึงความสงบเย็นได้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกและชีวิต อีกทั้งยังสามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและเป็นมิตรกับผู้อื่นได้ โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตสามัญที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง

    พระไพศาล วิสาโล

    🙏🙏🙏
    ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา ธรรมขั้นสูงสุดนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในความธรรมดาสามัญ เพราะธรรมดาสามัญนั้นเอง ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา กลมกลืนกับธรรมดา ไม่ขัดขืนโต้แย้งกับธรรมดา ทั้งไม่ผลักไสหรือยึดติดธรรมดา เพราะธรรมดานั้นไม่มีบวกหรือลบ สูงหรือต่ำ น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี หากเป็นใจเราต่างหากที่ไปกำหนดหมายหรือให้ค่าเอาเอง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เร่งรีบอึกทึก และถูกปรุงแต่งจนพอกหนาด้วยสมมติและมายา บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเร้นไปยังที่ที่สงบสงัดและปลอดโปร่งจากภารกิจ เพื่อมีเวลาพินิจจิตใจของตน จนหยั่งเห็นธรรมะหรือธรรมดาท่ามกลางความผันผวนของความรู้สึกนึกคิด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างกลมกลืน และเป็นมิตรกับธรรมดามากขึ้น แต่ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องกลับมาสู่โลกกว้างและชีวิตที่เป็นจริง ต้องเกี่ยวข้องกับงานการและผู้คน เผชิญกับความแปรปรวนของสรรพสิ่งรอบตัว พบกับความสมหวังและไม่สมหวัง จนบางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดหัวนกลับไปสู่สำนักปฏิบัติอันสงบสงัด หรือไม่ก็อยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องพระเพื่อเจริญสมาธิภาวนานานเท่านาน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชั่วขณะนั้น เรากำลังคิดหันหลังให้กับธรรมะที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญ ชีวิตที่นั่งหรือเดินภาวนาทั้งวันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญ แม้จะจำเป็น แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องพร้อมกลับมาสู่ชีวิตธรรมดาสามัญ ซึ่งมีภารกิจและความรับผิดชอบที่ต้องใส่ใจ แต่งานการใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม แท้จริงเป็นอุปกรณ์แห่งการเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อพระรูปหนึ่งขอร้องให้อาจารย์สอนธรรม ท่านกลับถามว่า เธอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ เมื่อศิษย์ตอบว่า ฉันเสร็จแล้ว ท่านกลับตอบว่า งั้นเธอก็กลับไปล้างจานได้แล้ว การปฏิบัติธรรมในสำนักอันสงบสงัด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมของนักกีฬา แต่การฝึกซ้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไม่ลงไปสู่สนามจริง นักกีฬาย่อมไม่กลัวสนามจริงฉันใด นักปฏิบัติธรรมก็ไม่พรั่นพรึงโลกกว้างและชีวิตจริงฉันนั้น จะว่าไปแล้ว โลกว้างและชีวิตจริงนั่นแหละคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะความเป็นจริงโดยเฉพาะความทุกข์คือครูที่ฉลาดทีสุดในการเคี่ยวเข็ญเราให้เข้าถึงธรรมและธรรมดา การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพลัดพราก ความสูญเสีย และความไม่สมหวังอย่างไม่เป็นทุกข์ สามารถเข้าถึงความสงบเย็นได้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกและชีวิต อีกทั้งยังสามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและเป็นมิตรกับผู้อื่นได้ โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตสามัญที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง พระไพศาล วิสาโล 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....เนื้อทองสัมฤทธิ์.....( กรรมการ ).....เลขทุกเหรียญ.....รวมกันได้.....9.....*****
    *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....*****
    *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....*****
    *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....*****
    *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....*****
    *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....*****
    #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....เนื้อทองสัมฤทธิ์.....( กรรมการ ).....เลขทุกเหรียญ.....รวมกันได้.....9.....***** *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....***** *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....***** *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....***** *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....***** *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....***** #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อหากบฏ หากยกเกาะกูดให้เขมร 26/10/67 #ไพศาล #เกาะกูด #ข้อหากบฏ #นักการเมือง #คนขายชาติ #ยุบพรรค
    ข้อหากบฏ หากยกเกาะกูดให้เขมร 26/10/67 #ไพศาล #เกาะกูด #ข้อหากบฏ #นักการเมือง #คนขายชาติ #ยุบพรรค
    Like
    Love
    22
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2067 มุมมอง 834 0 รีวิว
  • บาดแผลคดีตากใบ ไม่มีวันหมดอายุ

    ในที่สุดคดีสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 หมดอายุความแล้ว หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา (26 ต.ค.) หลังจากที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดนำตัวผู้ต้องหาที่มีทั้งหมด 7 ราย ส่งให้ศาลจังหวัดนราธิวาส แม้แต่ศาลในพื้นที่ทุกจังหวัด ที่มีช่องทางรับตัวโดยมีสักขีพยานสอบผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่มีรายงานว่ามีการส่งตัวจำเลยแต่อย่างใด

    แม้การหมดอายุความของคดีตากใบ จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน รวมทั้งคนในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บางคนโล่งใจที่ไม่ถูกเช็กบิล แต่ยังต้องเฝ้าระวังการก่อเหตุรุนแรง ที่เกิดจากความแค้นในคดีดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุลอบวางระเบิดทหารพรานที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และเหตุคาร์บอมบ์ที่ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี

    พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ ยกระดับควบคุมพื้นที่มาตรการสูงสุด ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ข่าวว่า เหตุการณ์ตากใบเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการที่วางแผนปลุกปั่นอย่างดี และเจ้าหน้าที่มีความผิดพลาดในการควบคุมตัว

    รายงานข่าวจากศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า คลิปเหตุการณ์ตากใบถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก ทำให้เยาวชนในพื้นที่แม้จะเกิดไม่ทัน แต่ก็ได้ดูคลิปเหตุการณ์ด้วย ซึ่งแต่ละคนรู้สึกเจ็บใจมาก รุ่นตนต้องไม่เกิดขึ้นอีก ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด ชาวบ้านจะได้รับความเป็นธรรม บางคนดูคลิปแล้วโกรธเจ้าหน้าที่ สงสารชาวบ้านที่ถูกกระทำเช่นนั้น

    ส่วนกลุ่มนักปั่นจักรยานกว่า 30 คัน ออกจาก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส รวมตัวที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ซึ่งห่างออกไป 145 กิโลเมตร เพื่อชูป้ายเรียกร้องความยุติธรรม ต่อด้วยหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แต่ที่ สภ.ตากใบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผกก.สภ.ตากใบ ใช้วิธีลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับมวลชนอย่างต่อเนื่อง

    แม้คดีตากใบจะหมดอายุความ แต่บาดแผลในอดีตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลัง ที่เห็นเหตุการณ์ผ่านสื่อโซเชียลฯ แล้วเกิดความคับแค้นยังคงไม่หมดไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจเอากรณีนี้เป็นเงื่อนไขปลุกระดมมวลชน สร้างสถานการณ์ในพื้นที่อีกครั้ง

    ขณะที่การบริหารประเทศของ น.ส.แพทองธาร ที่มีผู้ใหญ่เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรทั้งสิ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์คงต้องใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน จนกว่าเรื่องราวจะเงียบหายไปกับสายลม

    #Newskit #คดีตากใบ
    บาดแผลคดีตากใบ ไม่มีวันหมดอายุ ในที่สุดคดีสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 หมดอายุความแล้ว หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา (26 ต.ค.) หลังจากที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดนำตัวผู้ต้องหาที่มีทั้งหมด 7 ราย ส่งให้ศาลจังหวัดนราธิวาส แม้แต่ศาลในพื้นที่ทุกจังหวัด ที่มีช่องทางรับตัวโดยมีสักขีพยานสอบผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่มีรายงานว่ามีการส่งตัวจำเลยแต่อย่างใด แม้การหมดอายุความของคดีตากใบ จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน รวมทั้งคนในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บางคนโล่งใจที่ไม่ถูกเช็กบิล แต่ยังต้องเฝ้าระวังการก่อเหตุรุนแรง ที่เกิดจากความแค้นในคดีดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุลอบวางระเบิดทหารพรานที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และเหตุคาร์บอมบ์ที่ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ ยกระดับควบคุมพื้นที่มาตรการสูงสุด ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ข่าวว่า เหตุการณ์ตากใบเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการที่วางแผนปลุกปั่นอย่างดี และเจ้าหน้าที่มีความผิดพลาดในการควบคุมตัว รายงานข่าวจากศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า คลิปเหตุการณ์ตากใบถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก ทำให้เยาวชนในพื้นที่แม้จะเกิดไม่ทัน แต่ก็ได้ดูคลิปเหตุการณ์ด้วย ซึ่งแต่ละคนรู้สึกเจ็บใจมาก รุ่นตนต้องไม่เกิดขึ้นอีก ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด ชาวบ้านจะได้รับความเป็นธรรม บางคนดูคลิปแล้วโกรธเจ้าหน้าที่ สงสารชาวบ้านที่ถูกกระทำเช่นนั้น ส่วนกลุ่มนักปั่นจักรยานกว่า 30 คัน ออกจาก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส รวมตัวที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ซึ่งห่างออกไป 145 กิโลเมตร เพื่อชูป้ายเรียกร้องความยุติธรรม ต่อด้วยหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แต่ที่ สภ.ตากใบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผกก.สภ.ตากใบ ใช้วิธีลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับมวลชนอย่างต่อเนื่อง แม้คดีตากใบจะหมดอายุความ แต่บาดแผลในอดีตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลัง ที่เห็นเหตุการณ์ผ่านสื่อโซเชียลฯ แล้วเกิดความคับแค้นยังคงไม่หมดไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจเอากรณีนี้เป็นเงื่อนไขปลุกระดมมวลชน สร้างสถานการณ์ในพื้นที่อีกครั้ง ขณะที่การบริหารประเทศของ น.ส.แพทองธาร ที่มีผู้ใหญ่เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรทั้งสิ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์คงต้องใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน จนกว่าเรื่องราวจะเงียบหายไปกับสายลม #Newskit #คดีตากใบ
    Like
    Sad
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 743 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙

    เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก

    ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก...

    “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง”

    นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย

    “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก”

    พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า

    “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์”

    อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา”

    ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก

    “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก”

    และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป

    “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง”
    นั่นคือพุทธธรรม...

    Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว
    https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY

    ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ
    "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย"
    ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

    เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

    ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม
    http://bit.ly/1nZnfef

    Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ

    ๐๑. ขันธ์5
    http://bit.ly/1qih1Xj

    ๐๒. อายตนะ ๖
    http://bit.ly/1Xq7tVe

    ๐๓.ไตรลักษณ์
    http://bit.ly/1VhCuNd

    ๐๔. ปฏิจสุปบาท
    http://bit.ly/1SYJnj1

    ๐๕. กรรม
    http://bit.ly/20u0M6t

    ๐๖. นิพพาน
    http://bit.ly/1Q2AZKF

    ๐๗. ประเภทนิพพาน
    http://bit.ly/1qIMFOI

    ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา
    http://bit.ly/1UUvg1A

    ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน
    http://bit.ly/1VLTVUU

    ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน
    http://bit.ly/23wfOdI

    ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา
    http://bit.ly/1S4wT9r

    ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร
    http://bit.ly/1S0ftIV

    ๑๓. โยนิโสมนสิการ
    http://bit.ly/1RNTVlX

    ๑๔. ปัญญา
    http://bit.ly/1RNU211

    ๑๕. ศีล
    http://bit.ly/23nRiid

    ๑๖. สมาธิ
    http://bit.ly/1MoRbve

    ๑๗. บทสรุปอริยสัจ
    http://bit.ly/1qihTv3

    ๑๘. โสดาบัน
    http://bit.ly/1MoRfeq

    ๑๙. วินัย
    http://bit.ly/1SYK63G

    ๒๐. ปาฏิหาริย์
    http://bit.ly/1VLUY7z

    ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ
    http://bit.ly/1N3oUKE

    ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน
    http://bit.ly/1VLV3rJ

    ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ
    http://bit.ly/1SYK9g0

    เครดิต Kanlayanatam
    ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก... “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง” นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก” พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์” อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา” ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก” และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง” นั่นคือพุทธธรรม... Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย" ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม http://bit.ly/1nZnfef Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ ๐๑. ขันธ์5 http://bit.ly/1qih1Xj ๐๒. อายตนะ ๖ http://bit.ly/1Xq7tVe ๐๓.ไตรลักษณ์ http://bit.ly/1VhCuNd ๐๔. ปฏิจสุปบาท http://bit.ly/1SYJnj1 ๐๕. กรรม http://bit.ly/20u0M6t ๐๖. นิพพาน http://bit.ly/1Q2AZKF ๐๗. ประเภทนิพพาน http://bit.ly/1qIMFOI ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา http://bit.ly/1UUvg1A ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน http://bit.ly/1VLTVUU ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน http://bit.ly/23wfOdI ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา http://bit.ly/1S4wT9r ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร http://bit.ly/1S0ftIV ๑๓. โยนิโสมนสิการ http://bit.ly/1RNTVlX ๑๔. ปัญญา http://bit.ly/1RNU211 ๑๕. ศีล http://bit.ly/23nRiid ๑๖. สมาธิ http://bit.ly/1MoRbve ๑๗. บทสรุปอริยสัจ http://bit.ly/1qihTv3 ๑๘. โสดาบัน http://bit.ly/1MoRfeq ๑๙. วินัย http://bit.ly/1SYK63G ๒๐. ปาฏิหาริย์ http://bit.ly/1VLUY7z ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ http://bit.ly/1N3oUKE ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน http://bit.ly/1VLV3rJ ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ http://bit.ly/1SYK9g0 เครดิต Kanlayanatam
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคมรดกชาติไทย-มรดกของโลก
    .
    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567
    .
    ทั้งนี้ เป็นพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต่างรอคอยชมความงดงามของริ้วขบวนเรือพระราชพิธี ดังจะเห็นได้จากในช่วงการซ้อมใหญ่ที่ผ่านมา ได้มีประชาชนจับจองพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขบวนเรือเคลื่อนผ่านเป็นจำนวนมาก
    .
    สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนให้ความสนใจกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นอย่างมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นโบราณราชประเพณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก แต่จะมีขึ้นเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญเท่านั้น อย่างล่าสุดที่คนไทยได้เห็นขบวนพยุหยาตราทางชลมารค คือ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปีพ.ศ.2562
    .
    พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในมิติของการเป็นพิธีการหนึ่งของรัฐเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำอีกด้วย โดยสารคดีเฉลิมพระเกียรติ มรดกศิลป์ แผ่นดินไทย ตอนที่ 1 เรือไทยคู่สายน้ำ และ ตอนที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นข้อมูลที่จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อธิบายถึงความสำคัญของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งดังนี้
    .
    "นับแต่อดีตชาวไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำ เปรียบเสมือนสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลที่ทำให้คนในสมัยโบราณ นิยมสร้างบ้านเรือนใกล้ริมน้ำกันเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น เรือ จึงเป็นพาหนะ สำคัญที่ใช้ในการสัญจรทางน้ำ การต่อเรือแต่ละลำ จึงคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งาน ...และยิ่งเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว จะมีการจัดริ้วขบวนเรืออย่างสมพระเกียรติ ริ้วขบวนเรือนี้ เรียกว่า ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค"
    .
    สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ มีวิวัฒนาการมาจากการจัดขบวนทัพเรือในยามที่ว่างศึก เพื่อเป็นการฝึกซ้อมเรียกระดมพล โดยที่กองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการประโคมดนตรีไปในขบวน เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน และพลพายเกิดความฮึกเหิมเป็นการแสดงออก ถึงความเป็นเอกลักษณ์ ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติแสดงถึงพระบารมีแผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ และเป็นที่พึ่งแด่พสกนิกรทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
    .
    โดยประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น ได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2500 หลังจากว่างเว้นมานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่การสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ซึ่งการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยได้จัดให้มีขบวนเรือพระราชพิธี อัญเชิญพระพุทธรูป ไตรปิฏก และพระสงฆ์ เคลื่อนไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
    .
    นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึง พ.ศ.2555 ได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จำนวน 15 ครั้ง และจัดขบวนเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ครั้ง โดยสิ่งที่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีทางน้ำของประเทศไทย คือ การที่องค์การเรือโลก (World Ship Trust) แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบรางวัล “มรดกเรือโลก” แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2535
    .
    ดังนั้น พระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม จึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
    ..............
    Sondhi X
    ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคมรดกชาติไทย-มรดกของโลก . เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 . ทั้งนี้ เป็นพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต่างรอคอยชมความงดงามของริ้วขบวนเรือพระราชพิธี ดังจะเห็นได้จากในช่วงการซ้อมใหญ่ที่ผ่านมา ได้มีประชาชนจับจองพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขบวนเรือเคลื่อนผ่านเป็นจำนวนมาก . สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนให้ความสนใจกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นอย่างมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นโบราณราชประเพณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก แต่จะมีขึ้นเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญเท่านั้น อย่างล่าสุดที่คนไทยได้เห็นขบวนพยุหยาตราทางชลมารค คือ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปีพ.ศ.2562 . พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในมิติของการเป็นพิธีการหนึ่งของรัฐเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำอีกด้วย โดยสารคดีเฉลิมพระเกียรติ มรดกศิลป์ แผ่นดินไทย ตอนที่ 1 เรือไทยคู่สายน้ำ และ ตอนที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นข้อมูลที่จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อธิบายถึงความสำคัญของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งดังนี้ . "นับแต่อดีตชาวไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำ เปรียบเสมือนสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลที่ทำให้คนในสมัยโบราณ นิยมสร้างบ้านเรือนใกล้ริมน้ำกันเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น เรือ จึงเป็นพาหนะ สำคัญที่ใช้ในการสัญจรทางน้ำ การต่อเรือแต่ละลำ จึงคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งาน ...และยิ่งเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว จะมีการจัดริ้วขบวนเรืออย่างสมพระเกียรติ ริ้วขบวนเรือนี้ เรียกว่า ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค" . สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ มีวิวัฒนาการมาจากการจัดขบวนทัพเรือในยามที่ว่างศึก เพื่อเป็นการฝึกซ้อมเรียกระดมพล โดยที่กองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการประโคมดนตรีไปในขบวน เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน และพลพายเกิดความฮึกเหิมเป็นการแสดงออก ถึงความเป็นเอกลักษณ์ ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติแสดงถึงพระบารมีแผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ และเป็นที่พึ่งแด่พสกนิกรทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร . โดยประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น ได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2500 หลังจากว่างเว้นมานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่การสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ซึ่งการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยได้จัดให้มีขบวนเรือพระราชพิธี อัญเชิญพระพุทธรูป ไตรปิฏก และพระสงฆ์ เคลื่อนไปตามลำน้ำเจ้าพระยา . นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึง พ.ศ.2555 ได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จำนวน 15 ครั้ง และจัดขบวนเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ครั้ง โดยสิ่งที่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีทางน้ำของประเทศไทย คือ การที่องค์การเรือโลก (World Ship Trust) แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบรางวัล “มรดกเรือโลก” แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2535 . ดังนั้น พระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม จึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”พลอยเพชร ด้วงเขียว“ หวดไม่เสียเซตลิ่วตัดเชือกศึกเทนนิส แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีนฯ

    9 ตุลาคม 2567 -รายงานข่าวมติชนระบุว่า การแข่งขันเทนนิสเยาวชนเอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี เก็บคะแนนสะสมอันดับเอเชีย ระดับเกรด 2 รายการ LTAT Asian 14&Under C2 (4) 2024 หรือ “แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีน แอนด์ อันเดอร์ 2024” ครั้งที่ 4 ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม เป็นการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ

    พลอยเพชร ด้วงเขียว นักเทนนิสดาวรุ่งจากสงขลา ดีกรีทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี โชว์ฟอร์มมือวางอันดับ 1 ของรายการ หวดชนะ เอลิซา โอนาธี กาเบรียล คาฮากัลลา จากศรีลังกา ด้วยสกอร์ 6-0 ทั้งสองเซต ในการแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว รอบก่อนรองชนะเลิศ ส่งให้ พลอยเพชร ทะยานสู่รอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ อัญวีณ์ ไพศาลภาณุวงศ์ นักเทนนิสไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นมือวางอันดับ 4 ของรายการ ที่ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เอาชนะ แฮลีน หมิง แฮ ชู มือวางอันดับ 8 จากฮ่องกง 2-0 เซต 7-6 ไทเบรก 7-5 และ 6-0

    ที่มา มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/sport/thai-sport/news_4836797

    #Thaitimes
    ”พลอยเพชร ด้วงเขียว“ หวดไม่เสียเซตลิ่วตัดเชือกศึกเทนนิส แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีนฯ 9 ตุลาคม 2567 -รายงานข่าวมติชนระบุว่า การแข่งขันเทนนิสเยาวชนเอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี เก็บคะแนนสะสมอันดับเอเชีย ระดับเกรด 2 รายการ LTAT Asian 14&Under C2 (4) 2024 หรือ “แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีน แอนด์ อันเดอร์ 2024” ครั้งที่ 4 ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม เป็นการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ พลอยเพชร ด้วงเขียว นักเทนนิสดาวรุ่งจากสงขลา ดีกรีทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี โชว์ฟอร์มมือวางอันดับ 1 ของรายการ หวดชนะ เอลิซา โอนาธี กาเบรียล คาฮากัลลา จากศรีลังกา ด้วยสกอร์ 6-0 ทั้งสองเซต ในการแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว รอบก่อนรองชนะเลิศ ส่งให้ พลอยเพชร ทะยานสู่รอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ อัญวีณ์ ไพศาลภาณุวงศ์ นักเทนนิสไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นมือวางอันดับ 4 ของรายการ ที่ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เอาชนะ แฮลีน หมิง แฮ ชู มือวางอันดับ 8 จากฮ่องกง 2-0 เซต 7-6 ไทเบรก 7-5 และ 6-0 ที่มา มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/sport/thai-sport/news_4836797 #Thaitimes
    WWW.MATICHON.CO.TH
    พลอยเพชร หวดไม่เสียเซตลิ่วตัดเชือกศึกเทนนิส แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีนฯ
    พลอยเพชร หวดไม่เสียเซตลิ่วตัดเชือกศึกเทนนิส แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีนฯ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 687 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.78: ไซบีเรีย

    ความในตอนที่แล้วได้เล่าไปถึงเรื่องท่อก๊าซไซบีเรียที่รัสเซียต่อท่อส่งมาขายให้จีน ผมก็เกิดสงสัยขึ้นว่า “ไซบีเรียนี่อยู่ตรงไหนกันแน่?”

    ในความคิดแรก ผมคิดแค่ว่าไซบีเรียคงเป็นจังหวัดหรือมณฑลหนึ่งในรัสเซีย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ ไซบีเรียนั้นคือแผ่นดินขนาดยักษ์ที่ถือเป็น 80% ของประเทศรัสเซียเลย

    ถ้าพูดเอาง่ายก็คือ รัสเซียนั้นเป็นประเทศที่ครอบคลุมสองทวีปคือยุโรปและเอเซีย ซึ่งแบ่งกันด้วยเทือกเขาอูราล ฝั่งซ้ายของเทือกเขาอูราลเป็นฝั่งยุโรปครับ เมืองใหญ่ๆเช่น มอสโคว หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และที่ทำการรัฐบาลรัสเซียอยู่ฝั่งนี้

    ส่วนฝั่งขวาของอูราลเป็นฝั่งเอเซียครับ ซึ่งแผ่นดินรัสเซียทั้งหมดในฝั่งเอเซียนี่แหละครับที่เราเรียกว่า “ไซบีเรีย” กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 13 ล้านตร.กม.

    ไซบีเรียนั้นใหญ่กว่าประเทศไทยราวๆ 10 เท่าครับ
    .
    .
    .
    เมื่อเราย้อนเวลาไปประมาณ 150 ปีที่แล้ว ไซบีเรียนั้นเป็นพื้นที่หนาวเหน็บและทุรกันดารมาก รัฐบาลของพระเจ้าซาร์ไม่ค่อยได้ให้ความใส่ใจมากเท่าไรเพราะถือเป็นแผ่นดินไกลโพ้น

    ในเวลานั้นเมืองของรัสเซียที่อยู่ไกลสุดฝั่งตะวันออกมีอยู่สองเมืองชื่อว่า “วลาดิวอสสต็อก” กับ “คาบารอฟ” ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนของจีนที่เรียกว่า “แมนจูเรีย” ครับ

    ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียในยุคนั้น ก็คือไม่ได้รักกันแต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันครับ อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันไปยังงั้นแหละ ชาวไซบีเรียบางส่วนก็หน้าตาคล้ายคนจีน แถมบางกลุ่มยังคิดว่าตัวเองอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิจีนอยู่เลย

    แต่เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม อันมีทั้งอังกฤษ โปรตุเกส และสเปน เข้ามามีอิทธิพลในเอเซีย รัสเซียก็เลยเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนตัวเองที่อยู่ใกล้ๆจีน คือ เมืองวลาดิวอสต็อก

    ในเวลานั้น เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่ฝรั่งเขาใช้รุกรานแผ่นดินอื่นคือ “ทางรถไฟ” ครับ

    อเมริกาใช้การก่อสร้างรางรถไฟเพื่อขยายรุกคืบไปยึดครองอเมริกาฝั่งตะวันตก ชื่อว่า “ทางรถไฟสายทรานส์คอนติเนนทัล"

    อังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกันในการรุกคืบแผ่นดินแคนาดาฝั่งตะวันตก คือ สร้างรางรถไฟชื่อว่า ”แคเนเดี้ยน แปซิฟิก เรลเวย์“

    รัสเซียเกรงว่าเมื่ออังกฤษยึดครองแคนาดาฝั่งตะวันตก (แถวๆแวนคูเวอร์) เสร็จแล้ว ก็จะเอาทหารนั่งเรือต่อมายังเอเซียและมาวุ่นวายกับดินแดนรัสเซียฝั่งเอเซียเข้า

    โครงการอภิมหาโปรเจคท์สร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงกำเนิดขึ้นในปี 1881

    เป้าหมายของรัสเซียคือ เพื่อให้กองทัพรัสเซียขนส่งทหารและยุทโธปกรณ์ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกให้ได้โดยเร็วเมื่อเกิดสงคราม

    ต้องขอเล่าก่อนว่า แต่ดั้งเดิมนั้นการเดินทางจากเมืองมอสโควไปยังตะวันออกของรัสเซีย ควีนคัทรินมหาราชินีแห่งรัสเซียได้เคยสร้างถนนยาวนับหมื่นกิโลเมตรไว้แล้ว แต่ก็ผุพังไปเพราะไม่มีการบำรุงรักษา

    ต่อมาคนรัสเซียจึงใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำ แต่ก็ทำได้จำกัดเพราะไซบีเรียนั้นหนาวเหน็บหฤโหดมาก แม่น้ำแข็งจนเป็นน้ำแข็งถึงปีละ 8 เดือน

    ในเบื้องแรกรัฐบาลรัสเซียก็เห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาที่ควรจะสร้างทางรถไฟทอดข้ามไซบีเรียกัน แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีคมนาคมกับรัฐมนตรีคลังทะเลาะกันอยู่เป็นปี เพราะต่างฝ่ายต่างอยากจะให้ทางรถไฟวิ่งผ่านในพื้นที่ของตัวเอง

    พระเจ้าซาร์ทนไม่ไหวจึงเขียนจดหมายไปสั่งรัฐบาลว่า “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว เราต้องสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียเดี๋ยวนี้”

    การทะเลาะกันจึงยุติลงและเริ่มก่อสร้างโดยทันที
    .
    .
    .
    การก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านภูมิประเทศที่กันดาร มีการเจาะภูเขา สร้างสะพานข้ามแม่น้ำหลายสาย ลงหุบเขา รวมถึงต้องสร้างโรงหลอมเหล็กตามไปเป็นระยะๆ

    แต่กระนั้นก็ยังหาเหล็กได้ไม่พอ จนต้องสั่งซื้อเพิ่มจากโปแลนด์ อังกฤษและอเมริกา

    ส่วนแรงงานนั้นก็หลากหลาย มีตั้งแต่แรงงานรับจ้างไปจนถึงนักโทษที่เกณฑ์มา

    ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเส้นแรกนั้น มีบางส่วนที่ตัดผ่านแผ่นดินแมนจูเรียที่รัสเซียเช่าจากรัฐบาลจีน แต่เมื่อสร้างเสร็จปุ๊บ การณ์กลับกลายเป็นว่ามีคนจีนก่อหวอดประท้วง จนรัสเซียกับจีนต้องบาดหมางกัน

    และญี่ปุ่นเปิดฉากก่อสงครามกับรัสเซีย ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ Russo-Japanese war จนกองทัพเรือรัสเซียฝั่งแปซิฟิกย่อยยับ

    รัสเซียจึงเห็นว่าการสร้างทางรถไฟบางส่วนในแผ่นดินจีนนั้นไม่ตอบโจทย์ความมั่นคง รัสเซียจึงทิ้งรางรถไฟทั้งหมดในแมนจูเรีย แล้วพัฒนาเปลี่ยนเส้นทางให้รางรถไฟทั้งหมดวิ่งในแผ่นดินรัสเซีย และขยายจากรางเดี่ยวเป็นรางคู่ด้วย

    ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงสำเร็จได้ในปี 1916

    ชนรัสเซียนั้นเขาภูมิใจในทางรถไฟสายนี้มาก แต่ไม่ใช่ที่รางรถไฟนะครับ เพราะความมหัศจรรย์ที่แท้ของทรานส์ไซบีเรียคือ “สะพาน”

    วิศวกรรมการก่อสร้างสะพานตลอดเส้นทางทรานส์ไซบีเรียนั้นหลากหลายมาก สะพานบางแห่งสูงถึง 64 เมตร บางช่วงทอดข้ามแม่น้ำที่ยาวถึง 2.6 กิโลเมตร

    เรียกกันว่า “Amur Miracle"

    อ้อ....ลืมบอกไปว่า ทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียนั้นยาวถึง 9,500 กิโลเมตรครับ
    .
    .
    .
    เมื่อทรานส์ไซบีเรียสร้างเสร็จปุ๊บ รัฐบาลรัสเซียก็พยายามชักชวนให้คนไปอาศัยอยู่ที่ไซบีเรีย โดยแถมโปรโมชั่นให้เพียบเช่น กู้เงินได้ง่าย, งดเก็บภาษี 10 ปี, รักษาพยาบาลฟรี, ลูกหลานเรียนฟรี, มีเงินอุดหนุนมากมายจากรัฐ

    ผู้คนจึงทยอยหลั่งไหลไปไซบีเรีย ประชากรจึงเพิ่มจากหลักหมื่น ไปสู่หลักแสนและหลักล้านในที่สุด

    ทุกวันนี้ภูมิภาคไซบีเรียมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 37 ล้านคน

    และกลายเป็นภูมิภาคสำคัญ เพราะมีทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้แผ่นดินไซบีเรียมหาศาล

    …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.78: ไซบีเรีย ความในตอนที่แล้วได้เล่าไปถึงเรื่องท่อก๊าซไซบีเรียที่รัสเซียต่อท่อส่งมาขายให้จีน ผมก็เกิดสงสัยขึ้นว่า “ไซบีเรียนี่อยู่ตรงไหนกันแน่?” ในความคิดแรก ผมคิดแค่ว่าไซบีเรียคงเป็นจังหวัดหรือมณฑลหนึ่งในรัสเซีย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ ไซบีเรียนั้นคือแผ่นดินขนาดยักษ์ที่ถือเป็น 80% ของประเทศรัสเซียเลย ถ้าพูดเอาง่ายก็คือ รัสเซียนั้นเป็นประเทศที่ครอบคลุมสองทวีปคือยุโรปและเอเซีย ซึ่งแบ่งกันด้วยเทือกเขาอูราล ฝั่งซ้ายของเทือกเขาอูราลเป็นฝั่งยุโรปครับ เมืองใหญ่ๆเช่น มอสโคว หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และที่ทำการรัฐบาลรัสเซียอยู่ฝั่งนี้ ส่วนฝั่งขวาของอูราลเป็นฝั่งเอเซียครับ ซึ่งแผ่นดินรัสเซียทั้งหมดในฝั่งเอเซียนี่แหละครับที่เราเรียกว่า “ไซบีเรีย” กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 13 ล้านตร.กม. ไซบีเรียนั้นใหญ่กว่าประเทศไทยราวๆ 10 เท่าครับ . . . เมื่อเราย้อนเวลาไปประมาณ 150 ปีที่แล้ว ไซบีเรียนั้นเป็นพื้นที่หนาวเหน็บและทุรกันดารมาก รัฐบาลของพระเจ้าซาร์ไม่ค่อยได้ให้ความใส่ใจมากเท่าไรเพราะถือเป็นแผ่นดินไกลโพ้น ในเวลานั้นเมืองของรัสเซียที่อยู่ไกลสุดฝั่งตะวันออกมีอยู่สองเมืองชื่อว่า “วลาดิวอสสต็อก” กับ “คาบารอฟ” ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนของจีนที่เรียกว่า “แมนจูเรีย” ครับ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียในยุคนั้น ก็คือไม่ได้รักกันแต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันครับ อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันไปยังงั้นแหละ ชาวไซบีเรียบางส่วนก็หน้าตาคล้ายคนจีน แถมบางกลุ่มยังคิดว่าตัวเองอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิจีนอยู่เลย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม อันมีทั้งอังกฤษ โปรตุเกส และสเปน เข้ามามีอิทธิพลในเอเซีย รัสเซียก็เลยเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนตัวเองที่อยู่ใกล้ๆจีน คือ เมืองวลาดิวอสต็อก ในเวลานั้น เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่ฝรั่งเขาใช้รุกรานแผ่นดินอื่นคือ “ทางรถไฟ” ครับ อเมริกาใช้การก่อสร้างรางรถไฟเพื่อขยายรุกคืบไปยึดครองอเมริกาฝั่งตะวันตก ชื่อว่า “ทางรถไฟสายทรานส์คอนติเนนทัล" อังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกันในการรุกคืบแผ่นดินแคนาดาฝั่งตะวันตก คือ สร้างรางรถไฟชื่อว่า ”แคเนเดี้ยน แปซิฟิก เรลเวย์“ รัสเซียเกรงว่าเมื่ออังกฤษยึดครองแคนาดาฝั่งตะวันตก (แถวๆแวนคูเวอร์) เสร็จแล้ว ก็จะเอาทหารนั่งเรือต่อมายังเอเซียและมาวุ่นวายกับดินแดนรัสเซียฝั่งเอเซียเข้า โครงการอภิมหาโปรเจคท์สร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงกำเนิดขึ้นในปี 1881 เป้าหมายของรัสเซียคือ เพื่อให้กองทัพรัสเซียขนส่งทหารและยุทโธปกรณ์ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกให้ได้โดยเร็วเมื่อเกิดสงคราม ต้องขอเล่าก่อนว่า แต่ดั้งเดิมนั้นการเดินทางจากเมืองมอสโควไปยังตะวันออกของรัสเซีย ควีนคัทรินมหาราชินีแห่งรัสเซียได้เคยสร้างถนนยาวนับหมื่นกิโลเมตรไว้แล้ว แต่ก็ผุพังไปเพราะไม่มีการบำรุงรักษา ต่อมาคนรัสเซียจึงใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำ แต่ก็ทำได้จำกัดเพราะไซบีเรียนั้นหนาวเหน็บหฤโหดมาก แม่น้ำแข็งจนเป็นน้ำแข็งถึงปีละ 8 เดือน ในเบื้องแรกรัฐบาลรัสเซียก็เห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาที่ควรจะสร้างทางรถไฟทอดข้ามไซบีเรียกัน แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีคมนาคมกับรัฐมนตรีคลังทะเลาะกันอยู่เป็นปี เพราะต่างฝ่ายต่างอยากจะให้ทางรถไฟวิ่งผ่านในพื้นที่ของตัวเอง พระเจ้าซาร์ทนไม่ไหวจึงเขียนจดหมายไปสั่งรัฐบาลว่า “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว เราต้องสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียเดี๋ยวนี้” การทะเลาะกันจึงยุติลงและเริ่มก่อสร้างโดยทันที . . . การก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านภูมิประเทศที่กันดาร มีการเจาะภูเขา สร้างสะพานข้ามแม่น้ำหลายสาย ลงหุบเขา รวมถึงต้องสร้างโรงหลอมเหล็กตามไปเป็นระยะๆ แต่กระนั้นก็ยังหาเหล็กได้ไม่พอ จนต้องสั่งซื้อเพิ่มจากโปแลนด์ อังกฤษและอเมริกา ส่วนแรงงานนั้นก็หลากหลาย มีตั้งแต่แรงงานรับจ้างไปจนถึงนักโทษที่เกณฑ์มา ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเส้นแรกนั้น มีบางส่วนที่ตัดผ่านแผ่นดินแมนจูเรียที่รัสเซียเช่าจากรัฐบาลจีน แต่เมื่อสร้างเสร็จปุ๊บ การณ์กลับกลายเป็นว่ามีคนจีนก่อหวอดประท้วง จนรัสเซียกับจีนต้องบาดหมางกัน และญี่ปุ่นเปิดฉากก่อสงครามกับรัสเซีย ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ Russo-Japanese war จนกองทัพเรือรัสเซียฝั่งแปซิฟิกย่อยยับ รัสเซียจึงเห็นว่าการสร้างทางรถไฟบางส่วนในแผ่นดินจีนนั้นไม่ตอบโจทย์ความมั่นคง รัสเซียจึงทิ้งรางรถไฟทั้งหมดในแมนจูเรีย แล้วพัฒนาเปลี่ยนเส้นทางให้รางรถไฟทั้งหมดวิ่งในแผ่นดินรัสเซีย และขยายจากรางเดี่ยวเป็นรางคู่ด้วย ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงสำเร็จได้ในปี 1916 ชนรัสเซียนั้นเขาภูมิใจในทางรถไฟสายนี้มาก แต่ไม่ใช่ที่รางรถไฟนะครับ เพราะความมหัศจรรย์ที่แท้ของทรานส์ไซบีเรียคือ “สะพาน” วิศวกรรมการก่อสร้างสะพานตลอดเส้นทางทรานส์ไซบีเรียนั้นหลากหลายมาก สะพานบางแห่งสูงถึง 64 เมตร บางช่วงทอดข้ามแม่น้ำที่ยาวถึง 2.6 กิโลเมตร เรียกกันว่า “Amur Miracle" อ้อ....ลืมบอกไปว่า ทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียนั้นยาวถึง 9,500 กิโลเมตรครับ . . . เมื่อทรานส์ไซบีเรียสร้างเสร็จปุ๊บ รัฐบาลรัสเซียก็พยายามชักชวนให้คนไปอาศัยอยู่ที่ไซบีเรีย โดยแถมโปรโมชั่นให้เพียบเช่น กู้เงินได้ง่าย, งดเก็บภาษี 10 ปี, รักษาพยาบาลฟรี, ลูกหลานเรียนฟรี, มีเงินอุดหนุนมากมายจากรัฐ ผู้คนจึงทยอยหลั่งไหลไปไซบีเรีย ประชากรจึงเพิ่มจากหลักหมื่น ไปสู่หลักแสนและหลักล้านในที่สุด ทุกวันนี้ภูมิภาคไซบีเรียมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 37 ล้านคน และกลายเป็นภูมิภาคสำคัญ เพราะมีทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้แผ่นดินไซบีเรียมหาศาล …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ… นัทแนะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผิว ตอน 02.🤠

    🤯3. ภายใต้การปกครองอาณานิคมของอังกฤษ🤯

    ในศตวรรษที่ 17 อินเดียได้รับการสนับสนุนจากชาวอังกฤษผิวขาว

    บริเตนเคยเป็นที่รู้จักในนามจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะกษัตริย์พระองค์หนึ่งของเขาตรัสว่า ที่ใดดวงอาทิตย์ส่องแสงไปถึง ที่นั่นก็มีที่ดินอยู่ภายใต้เขตอำนาจของอังกฤษ

    โดยผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกและการปฏิรูปสังคม สหราชอาณาจักรเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเริ่มขยายอาณานิคมไปทั่วโลก

    การขับเคลื่อนเป็นพลังช่วยด้วยสถานะระหว่างประเทศที่เข้มแข็งและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก อังกฤษเปิดฉากสงครามกับอินเดียครั้งแรกในปี ค.ศ. 1757 ด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารขั้นสูงและติดสินบนเจ้าหน้าที่อินเดียด้วยเงินจำนวนมาก อังกฤษจึงเข้ายึดครองแคว้นเบงกอลของอินเดียโดยใช้กองกำลังจำนวนน้อยมาก

    แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศอารยธรรมโบราณ แต่อยู่ในภาวะแบ่งแยกมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีประเทศเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในขอบเขตของตน ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ยังคงดำเนินกิจการปกครองอย่างเป็นอิสระ และสงครามก็ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถรวมพลังเป็นเอกภาพได้เลย

    หลังจากที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้าสู่อินเดีย ต่างจากชาวอารยันผู้โหดร้ายรุนแรง ไม่มีการเร่งรีบที่จะรวมชาวอินเดียเข้าด้วยกัน พวกเขากลับไปเยือนประเทศต่างๆ ด้วยทัศนคติที่เป็นมิตร และใช้เส้นทางวิธีแห่งการติดสินบน การแบ่งแยก และการโจมตี

    ในตอนแรกพวกเขาสร้างพันธมิตรกับกองกำลังอินเดียที่ทรงอำนาจมากกว่า จากนั้นเอาชนะกองกำลังอินเดียที่อ่อนแอกว่า และยังคงสร้างความขัดแย้งเพื่อให้กองกำลังอินเดียในท้องถิ่นโจมตีกันเอง ในขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามไปด้วยไปด้วย

    ภายใต้ระบบวรรณะดั้งเดิมของอินเดีย ผู้คนในวรรณะ ศูทร จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นทหาร ส่งผลให้อินเดียมีกำลังทหารที่อ่อนแอ

    เพื่อเสริมสร้างการปกครองทางทหารในอินเดีย อังกฤษได้ยกเว้นและรวมคนวรรณะ ศูทร เหล่านี้เข้าในกองทัพ เพื่อเพิ่มขนาดของกองทัพ ด้วยความแข็งแกร่งทางศักยภาพการทหารที่เข้มแข็งและวิถีทางทางการเมืองที่ยืดหยุ่น โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออกเป็นกำลังหลัก จึงค่อย ๆ รุกล้ำเข้าไปในหลายภูมิภาคในอินเดีย

    จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1858 สหราชอาณาจักรได้จำแนกอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบร้อยปี

    การปกครองอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียมีไว้เพื่อพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่นและอำนวยความสะดวกทางการค้าเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการให้ความรู้แก่ประชาชน และไม่ต้องการครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ พวกเขาเพียงแค่สร้างระบบบางอย่างและสร้างสภาพแวดล้อมการค้าขายที่มีคุณภาพสูง

    เนื่องจากอินเดียถูกปกครองโดยชาวอารยัน และจากนั้นก็ถูกพิชิตและปกครองโดยชาวกรีกและมองโกลที่มีอำนาจอย่างต่อเนื่อง กระดูกสันหลังรากเหง้าของชาติเผ่าพันธุ์ถูกทำลายไปนานแล้ว โดยได้ปรับตัวให้เข้ากับการปกครองของอังกฤษอย่างรวดเร็วและไม่มีความรู้สึกต่อต้านเลย

    รวมทั้งเมื่อประกอบกับศาสนาที่หลากหลาย พวกเขาเผยแพร่ลัทธิเวรกรรมของการกลับชาติมาเกิด ทำให้ผู้คนสามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานของชีวิตนี้ได้อย่างมีสติ และตั้งตารอชีวิตที่ไร้สาระและมีความสุขในชีวิตหน้า ผู้คนถูกผูกมัดความคิดที่ต่อต้านจากภายนอกด้วยศาสนาเอาไว้ และไม่สนใจการเมืองที่เป็นอยู่ในมือ ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเลย

    คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากวรรณะบน และพวกเขามีความเคารพอย่างลึกซึ้งและการเชื่อฟังต่อชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนผิวขาวเช่นกัน

    อังกฤษปกครองอินเดียโดยได้รับเครื่องเทศ ยางไม้ น้ำตาล และทรัพยากรอื่นๆ จากอินเดียอย่างง่ายดายและต่อเนื่อง ต่อมาพวกเขาได้พัฒนาอินเดียให้เป็นอุตสาหกรรมและได้รับทรัพยากรทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก

    🤯4. จำนวนคนผิวขาวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง🤯

    ด้วยการปกครองของอังกฤษในอินเดียคนผิวขาวเข้ามาในประเทศอินเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของคนผิวขาวและเพิ่มการบูรณาการทางเชื้อชาติ

    อาณานิคมของอังกฤษตระหนักดีถึงระบบเชื้อชาติของอินเดีย ซึ่งเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ละเลยซึ่งกันและกัน และความมั่งคั่งและเสียงส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนที่มีวรรณะสูง ตราบใดที่วรรณะบนสนับสนุนการปกครองของตน วรรณะอื่นๆ ก็จะปฏิบัติตาม

    ดังนั้น ในระหว่างการปกครองในอินเดีย ชาวอังกฤษจึงให้การปฏิบัติอันเป็นที่ชื่นชอบแก่คนวรรณะสูงมากมาย และสร้างพันธมิตรที่เป็นมิตรกับพวกเขา

    เพื่อแสดงความเคารพต่อคนวรรณะสูงของอังกฤษ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอังกฤษบางคนจะแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียวรรณะสูงเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุความร่วมมือกับวรรณะบนและบรรลุผลประโยชน์ที่มากขึ้น

    คนอังกฤษซึ่งฐานะเป็นผู้ปกครองหลังจากเข้าสู่อินเดียจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มวรรณะสูงโดยอัตโนมัติ ผู้สูงศักดิ์อินเดียก็มีความยินดีที่ได้แต่งงานกับพวกเขาเช่นกัน การแต่งงานระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและผู้สูงศักดิ์อินเดียในลักษณะนี้ ส่วนผสมของเลือดของชาวอินเดียมีเพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มการผสมผสานระหว่างสายเลือดของชาวอินเดียอย่างมาก และยังช่วยยกสถานะของอินเดียนผิวขาวด้วย

    นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีอิทธิพลบางคนเห็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและชีวิตความเป็นอยู่ พวกเขาจึงปฏิบัติทำตามและแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียในท้องถิ่นและมีลูกหลาน

    นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษบางคนที่อาศัยสถานะของตนในฐานะชาวอาณานิคมมีชีวิตในอินเดียแย่มาก จะเลี้ยงดูผู้หญิงอินเดียที่สวยงามไว้บางคน

    แม้ว่าชาวอังกฤษจะเป็นคนผิวขาวเช่นกัน แต่ไม่เหมือนชาวอารยันซึ่งมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งเข้มงวดในเรื่องของสายเลือด มองการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการทรยศชั่วร้าย ในทางตรงกันข้าม รู้สึกว่าการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง

    ในช่วง 200 ปีแห่งการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอินเดียยังคงผสมกันในสายเลือดกับชาวอังกฤษผิวขาวอยู่ไม่ขาด และเด็กผสมเชื้อชาติผิวขาวจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น

    อินเดียได้รับความนิยมมากกว่าในประเทศตะวันตก สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าชาวอินเดียมีสายเลือดคนผิวขาวอยู่ในร่างกาย จึงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพวกเขา

    เนื่องจากมีเชื้อสายยุโรปจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างชาวอินเดียกับผู้คนจากประเทศในเอเชียตะวันออก แม้ว่าผมของพวกเขาจะเป็นสีดำ แต่ใบหน้าของพวกเขามีมิติมากกว่า โดยส่วนใหญ่เป็นสันจมูกตรงและตาโต

    บางครั้งเมื่อคุณเห็นคนผิวขาวในอินเดีย คุณอาจคิดว่าพวกเขาเป็นคนยุโรป แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงอินเดียวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ที่มีผิวขาวเท่านั้น

    แต่ไม่ใช่ว่าคนผิวขาวทุกคนจะมีวรรณะสูง เด็กลูกผสมบางคนเกิดจากคู่รักชาวอังกฤษและอินเดีย แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นคนผิวขาว แต่ก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสชนชั้นต่ำเท่านั้น

    เด็กเชื้อชาติผสมผิวขาววรรณะต่ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่มีสิทธิในการรับมรดกตามกฎหมาย แต่ยังถูกเลือกปฏิบัติในสังคมด้วย เนื่องจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับแตกต่างจากการศึกษาในท้องถิ่น

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อินเดียประกาศอิสรภาพ และอังกฤษก็ถอนตัวออกจากอินเดีย เด็กอินเดียผิวขาวที่เหลือไม่สามารถกลับไปอังกฤษเพื่อมีอัตลักษณ์ของอังกฤษได้ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอินเดียซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็ง มาเป็นแพะรับบาปให้กับอินเดียเพื่อระบายความอัปยศอดสูและความสิ้นหวังในประวัติศาสตร์ของตัวเอง

    โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลมีชีวิตอกำเนิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวไหลไปข้างหน้า การแลกเปลี่ยนและการบูรณาการระหว่างเชื้อชาติไม่เพียงแต่มีด้านที่โหดร้ายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความมั่งคั่งร่ำรวยและความหลากหลายของอารยธรรมอีกด้วย

    ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นเอกภาพซึ่งคนผิวเหลือง คนผิวดำ และคนผิวขาวจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกจะไปที่นั่นเพื่อพัฒนา

    เมื่อเดินไปตามถนนหนทางจะไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคนผิวสีต่างๆอีกต่อไป

    แม้ว่าด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียยังคงมีสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีแต่ผู้คนกลับไม่มองว่าสีผิวเป็นสิ่งซึ่งใช้ในการโอ่อวดอีกต่อไป

    ด้วยความก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องของอารยธรรม ประเพณีพื้นบ้านมีความเป็นอารยะมากขึ้น และทุกคนก็มีสติสัมปชัญญะสำนึกในเหตุผลมากขึ้นพวกเขาไม่ตัดสินคนจากสีผิวอีกต่อไป ผู้คนทุกสีผิวจะต้องทำงานหนักเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นสูงของสังคม

    ต้องรู้ว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและไม่สามารถแยกแยะตามสีผิว ชาติพันธุ์ เพศ หรือความเชื่อได้ ควรปฏิบัติต่อทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก

    🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผิว ตอน 02.🤠 🤯3. ภายใต้การปกครองอาณานิคมของอังกฤษ🤯 ในศตวรรษที่ 17 อินเดียได้รับการสนับสนุนจากชาวอังกฤษผิวขาว บริเตนเคยเป็นที่รู้จักในนามจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะกษัตริย์พระองค์หนึ่งของเขาตรัสว่า ที่ใดดวงอาทิตย์ส่องแสงไปถึง ที่นั่นก็มีที่ดินอยู่ภายใต้เขตอำนาจของอังกฤษ โดยผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกและการปฏิรูปสังคม สหราชอาณาจักรเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเริ่มขยายอาณานิคมไปทั่วโลก การขับเคลื่อนเป็นพลังช่วยด้วยสถานะระหว่างประเทศที่เข้มแข็งและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก อังกฤษเปิดฉากสงครามกับอินเดียครั้งแรกในปี ค.ศ. 1757 ด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารขั้นสูงและติดสินบนเจ้าหน้าที่อินเดียด้วยเงินจำนวนมาก อังกฤษจึงเข้ายึดครองแคว้นเบงกอลของอินเดียโดยใช้กองกำลังจำนวนน้อยมาก แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศอารยธรรมโบราณ แต่อยู่ในภาวะแบ่งแยกมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีประเทศเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในขอบเขตของตน ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ยังคงดำเนินกิจการปกครองอย่างเป็นอิสระ และสงครามก็ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถรวมพลังเป็นเอกภาพได้เลย หลังจากที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้าสู่อินเดีย ต่างจากชาวอารยันผู้โหดร้ายรุนแรง ไม่มีการเร่งรีบที่จะรวมชาวอินเดียเข้าด้วยกัน พวกเขากลับไปเยือนประเทศต่างๆ ด้วยทัศนคติที่เป็นมิตร และใช้เส้นทางวิธีแห่งการติดสินบน การแบ่งแยก และการโจมตี ในตอนแรกพวกเขาสร้างพันธมิตรกับกองกำลังอินเดียที่ทรงอำนาจมากกว่า จากนั้นเอาชนะกองกำลังอินเดียที่อ่อนแอกว่า และยังคงสร้างความขัดแย้งเพื่อให้กองกำลังอินเดียในท้องถิ่นโจมตีกันเอง ในขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามไปด้วยไปด้วย ภายใต้ระบบวรรณะดั้งเดิมของอินเดีย ผู้คนในวรรณะ ศูทร จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นทหาร ส่งผลให้อินเดียมีกำลังทหารที่อ่อนแอ เพื่อเสริมสร้างการปกครองทางทหารในอินเดีย อังกฤษได้ยกเว้นและรวมคนวรรณะ ศูทร เหล่านี้เข้าในกองทัพ เพื่อเพิ่มขนาดของกองทัพ ด้วยความแข็งแกร่งทางศักยภาพการทหารที่เข้มแข็งและวิถีทางทางการเมืองที่ยืดหยุ่น โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออกเป็นกำลังหลัก จึงค่อย ๆ รุกล้ำเข้าไปในหลายภูมิภาคในอินเดีย จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1858 สหราชอาณาจักรได้จำแนกอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบร้อยปี การปกครองอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียมีไว้เพื่อพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่นและอำนวยความสะดวกทางการค้าเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการให้ความรู้แก่ประชาชน และไม่ต้องการครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ พวกเขาเพียงแค่สร้างระบบบางอย่างและสร้างสภาพแวดล้อมการค้าขายที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากอินเดียถูกปกครองโดยชาวอารยัน และจากนั้นก็ถูกพิชิตและปกครองโดยชาวกรีกและมองโกลที่มีอำนาจอย่างต่อเนื่อง กระดูกสันหลังรากเหง้าของชาติเผ่าพันธุ์ถูกทำลายไปนานแล้ว โดยได้ปรับตัวให้เข้ากับการปกครองของอังกฤษอย่างรวดเร็วและไม่มีความรู้สึกต่อต้านเลย รวมทั้งเมื่อประกอบกับศาสนาที่หลากหลาย พวกเขาเผยแพร่ลัทธิเวรกรรมของการกลับชาติมาเกิด ทำให้ผู้คนสามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานของชีวิตนี้ได้อย่างมีสติ และตั้งตารอชีวิตที่ไร้สาระและมีความสุขในชีวิตหน้า ผู้คนถูกผูกมัดความคิดที่ต่อต้านจากภายนอกด้วยศาสนาเอาไว้ และไม่สนใจการเมืองที่เป็นอยู่ในมือ ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเลย คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากวรรณะบน และพวกเขามีความเคารพอย่างลึกซึ้งและการเชื่อฟังต่อชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนผิวขาวเช่นกัน อังกฤษปกครองอินเดียโดยได้รับเครื่องเทศ ยางไม้ น้ำตาล และทรัพยากรอื่นๆ จากอินเดียอย่างง่ายดายและต่อเนื่อง ต่อมาพวกเขาได้พัฒนาอินเดียให้เป็นอุตสาหกรรมและได้รับทรัพยากรทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก 🤯4. จำนวนคนผิวขาวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง🤯 ด้วยการปกครองของอังกฤษในอินเดียคนผิวขาวเข้ามาในประเทศอินเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของคนผิวขาวและเพิ่มการบูรณาการทางเชื้อชาติ อาณานิคมของอังกฤษตระหนักดีถึงระบบเชื้อชาติของอินเดีย ซึ่งเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ละเลยซึ่งกันและกัน และความมั่งคั่งและเสียงส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนที่มีวรรณะสูง ตราบใดที่วรรณะบนสนับสนุนการปกครองของตน วรรณะอื่นๆ ก็จะปฏิบัติตาม ดังนั้น ในระหว่างการปกครองในอินเดีย ชาวอังกฤษจึงให้การปฏิบัติอันเป็นที่ชื่นชอบแก่คนวรรณะสูงมากมาย และสร้างพันธมิตรที่เป็นมิตรกับพวกเขา เพื่อแสดงความเคารพต่อคนวรรณะสูงของอังกฤษ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอังกฤษบางคนจะแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียวรรณะสูงเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุความร่วมมือกับวรรณะบนและบรรลุผลประโยชน์ที่มากขึ้น คนอังกฤษซึ่งฐานะเป็นผู้ปกครองหลังจากเข้าสู่อินเดียจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มวรรณะสูงโดยอัตโนมัติ ผู้สูงศักดิ์อินเดียก็มีความยินดีที่ได้แต่งงานกับพวกเขาเช่นกัน การแต่งงานระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและผู้สูงศักดิ์อินเดียในลักษณะนี้ ส่วนผสมของเลือดของชาวอินเดียมีเพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มการผสมผสานระหว่างสายเลือดของชาวอินเดียอย่างมาก และยังช่วยยกสถานะของอินเดียนผิวขาวด้วย นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีอิทธิพลบางคนเห็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและชีวิตความเป็นอยู่ พวกเขาจึงปฏิบัติทำตามและแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียในท้องถิ่นและมีลูกหลาน นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษบางคนที่อาศัยสถานะของตนในฐานะชาวอาณานิคมมีชีวิตในอินเดียแย่มาก จะเลี้ยงดูผู้หญิงอินเดียที่สวยงามไว้บางคน แม้ว่าชาวอังกฤษจะเป็นคนผิวขาวเช่นกัน แต่ไม่เหมือนชาวอารยันซึ่งมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งเข้มงวดในเรื่องของสายเลือด มองการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการทรยศชั่วร้าย ในทางตรงกันข้าม รู้สึกว่าการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ในช่วง 200 ปีแห่งการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอินเดียยังคงผสมกันในสายเลือดกับชาวอังกฤษผิวขาวอยู่ไม่ขาด และเด็กผสมเชื้อชาติผิวขาวจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น อินเดียได้รับความนิยมมากกว่าในประเทศตะวันตก สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าชาวอินเดียมีสายเลือดคนผิวขาวอยู่ในร่างกาย จึงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพวกเขา เนื่องจากมีเชื้อสายยุโรปจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างชาวอินเดียกับผู้คนจากประเทศในเอเชียตะวันออก แม้ว่าผมของพวกเขาจะเป็นสีดำ แต่ใบหน้าของพวกเขามีมิติมากกว่า โดยส่วนใหญ่เป็นสันจมูกตรงและตาโต บางครั้งเมื่อคุณเห็นคนผิวขาวในอินเดีย คุณอาจคิดว่าพวกเขาเป็นคนยุโรป แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงอินเดียวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ที่มีผิวขาวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าคนผิวขาวทุกคนจะมีวรรณะสูง เด็กลูกผสมบางคนเกิดจากคู่รักชาวอังกฤษและอินเดีย แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นคนผิวขาว แต่ก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสชนชั้นต่ำเท่านั้น เด็กเชื้อชาติผสมผิวขาววรรณะต่ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่มีสิทธิในการรับมรดกตามกฎหมาย แต่ยังถูกเลือกปฏิบัติในสังคมด้วย เนื่องจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับแตกต่างจากการศึกษาในท้องถิ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อินเดียประกาศอิสรภาพ และอังกฤษก็ถอนตัวออกจากอินเดีย เด็กอินเดียผิวขาวที่เหลือไม่สามารถกลับไปอังกฤษเพื่อมีอัตลักษณ์ของอังกฤษได้ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอินเดียซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็ง มาเป็นแพะรับบาปให้กับอินเดียเพื่อระบายความอัปยศอดสูและความสิ้นหวังในประวัติศาสตร์ของตัวเอง โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลมีชีวิตอกำเนิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวไหลไปข้างหน้า การแลกเปลี่ยนและการบูรณาการระหว่างเชื้อชาติไม่เพียงแต่มีด้านที่โหดร้ายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความมั่งคั่งร่ำรวยและความหลากหลายของอารยธรรมอีกด้วย ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นเอกภาพซึ่งคนผิวเหลือง คนผิวดำ และคนผิวขาวจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกจะไปที่นั่นเพื่อพัฒนา เมื่อเดินไปตามถนนหนทางจะไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคนผิวสีต่างๆอีกต่อไป แม้ว่าด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียยังคงมีสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีแต่ผู้คนกลับไม่มองว่าสีผิวเป็นสิ่งซึ่งใช้ในการโอ่อวดอีกต่อไป ด้วยความก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องของอารยธรรม ประเพณีพื้นบ้านมีความเป็นอารยะมากขึ้น และทุกคนก็มีสติสัมปชัญญะสำนึกในเหตุผลมากขึ้นพวกเขาไม่ตัดสินคนจากสีผิวอีกต่อไป ผู้คนทุกสีผิวจะต้องทำงานหนักเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นสูงของสังคม ต้องรู้ว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและไม่สามารถแยกแยะตามสีผิว ชาติพันธุ์ เพศ หรือความเชื่อได้ ควรปฏิบัติต่อทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก 🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • 26-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.9 ตอน "KILL THEM(FCUK JEWS BASTARD) ALL" ล่อกันเมามันส์ เปิดฉากแลกกันแบบลืมหายใจ เสี้ยนอยากตาย จัดให้! เฮซบอเลาะห์ถล่มใส่ฐานบัญชาการ "อีมดสัด" แตกกระจุย กลางกรุงเทลอาวีฟ ช็อคแดร๊ก! สื่อตี 40000 เข้าช่วยเลบานอน ของจริงมาเป็นแสนไอ้สัส มาจากไหนไม่รู้? เลบานอนช่วงโปรไฟไหม้ คึกคักสัด อย่างกะปลากระดี่ได้น้ำ ดาหน้ายกพลเตรียมขึ้นบก เอาส้นตรีนไปขยี้หน้าทหารยิวเหี้ยนอนตายเกลื่อน ตอนเหนือแค่ป่าช้า! หลังจีนประกาศอุ้มเลบานอนเต็มเหนี่ยว ของก็ถึงมือทันที อะไรน่ะเหรอ? "โดรน AI" MADE IN CHINA เยเมนกลัวเหงาจัด ไอ้สัส! ทะเลแดงเงียบกริบ เหี้ยมันหายหัวไปไหนหมดฟ่ะ? ขอร่วมแจมเลบานอน ส่งมือดี เพชรฆาตรัตติกาล เข้าไปช่วยซ้อมเป้า อีเหี้ยมะกันเห็นลวกเพ่ยิวขี้แตก หวังจะเข้าไปช่วย โดนลูกยาวขู่ มรึงเข้าคือตายโหง! ตอนนี้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว ปิดช่องทางหลบหนี เปิดให้แลกซึ่งหน้าอย่างเดียว แบบนี้ อียิวก็ตายโหงตายห่าชัวร์ จะเอาเหี้ยอะไรไปสู้ได้ล่ะ? สื่อหลอกควาย ควายก็โง่บัดซบ แค่ใช้สติ ไม่ต้องเสพข่าว ยังรู้ ว่าใครได้เปรียบ เสียเปรียบยังไง? โลกน่ะมรึง! มรึงสู้กับทั้งโลกไหวเหรอ ดีออก? คำว่า "ลงแขก" ไม่ใช่เอาแค่มรึงแพ้ หรือตาย งานนี้ ใบสั่งมุสลิมทั้งโลก "เอาให้สูญพันธุ์ยิว" ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ทั้งหลาย เชิญกลับขุมนรกตามพ่อเหี้ยลูซิเฟอร์มรึงไปซ่ะน่ะ! ถล่มฐานลับอีมดสัดได้ มรึงไม่ต้องไปหาข่าวกรองที่ไหนอีกแล้ว แบบว่ารั่วสุดขีด เกลือเป็นหนอนทั้งนั้น! ไม่ทันไร รัสเซียเพิ่งจะออกอาวุธใหม่อีกดอก เหี้ยจะอยู่ต่อไหวเหรอ? แผนปูตินหลายชั้น ก่อนเปิดยูเครน ล่อยูเครนจนคลังอาวุธเก่าสมัยโซเวียตหมดเกลี้ยง ทำให้อี NATO ต้องส่งทหารนาโต้เข้ามาประจำการ เหตุเพราะทหารยูเครน มันใช้อาวุธตะวันตกไม่เป็นน่ะสิ เมื่ออาวุธมาพร้อมกับคนใช้เป็น คำตอบคือ ตายโหงทั้งอาวุธและคนใช้ เมื่อตายไปเยอะ ก็ยิ่งแค้นจัด ส่งเพิ่มเข้ามา ส่งเติมเข้ามา ก็ถูกกับดักที่มารีโอโพสตายห่าในถ้ำใต้ดินเป็นพันตัว ลูกยาวลงหัวทุกวัน ทหารพิการทั้งกองทัพ ทั้งหมดมันคือภาพที่รัสเซียวางไว้ก่อนแล้ว นี่ไง อัจฉริยะตัวจริง! อาร์คติคระอุเดือด รัสเซียขยายฐานพื้นที่ในอาร์คติค ขยันสำรวจอลาสก้าเพิ่ม จนบินรบเหี้ยต้องตามประกบบินสำรวจรัสเซียเช้าเย็น หากวัดกันจริง ระยะห่างระหว่างสหรัฐ และรัสเซียในขั้วโลกเหนือห่างกันแค่ 4 กิโลเมตรเอง ไม่แปลก หากเหี้ยจะแตกแผ่นดิน ไม่ต้องถามว่า อลาสก้าจะยังอยู่มุย? รัสเซียปักป้ายจองคืนไว้นานแล้ว แค่จะจ่าย หรือของฟรี เท่านั้นเอง! ฐานทัพอาร์คติคของรัสเซียขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเยอะ ผู้คนเข้าอาร์คติคมากขึ้นจากการขยายฐานนั่นเอง ส่งผลให้ความมั่นคง แข็งแกร่งของรัสเซีย ในอาร์คติคเด่นชัดยิ่งขึ้น ฐานทัพเหี้ย ในนาม NATO ทางขั้วโลกเหนือ ไม่สามารถต่อกรกับรัสเซียได้เลย เพราะแค่เรือตัดน้ำแข็งยังไม่มี ไม่พังก็ซ่อม เพราะไม่ได้ใช้นานแล้ว แต่รัสเซียผลิตเพิ่ม ใช้เยอะ ใช้ทุกวัน ภาพมันฟ้อง "อาร์คติค" เป็นของใครเบ็ดเสร็จ ไม่แปลกที่จีนเข้ามาร่วมด้วย ขอมีเอี่ยว เพราะมันคือแหล่งแก็สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดใน 3 โลก ดังนั้น ตามรัสเซีย โลกจะไม่มีวันหมดพลังงานใช้เด็ดขาด มีเยอะ มีเกินกว่าที่มรึงจะคาดคิด สั้นๆ "กว้างใหญ่ไพศาลมโหฬารบานตะบือ" ข้ามวิกแป๊บ : ไอ้สัส! ดีใจแค่วันเดียว 25 กำลังจะไล่แจก ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง เอาหมด ฝ่ายกฎหมายยิ้มแก้มปริ มรึงหาเรื่องไร้แผ่นดินอยู่ ไม่ทันไร ข้อกฎหมายออกมาจ่อหัวเพี๊ยบ เหี้ยมันรู้ อีนายกปลอมก็รู้ ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะทำลายแผ่นดินไทยได้อย่างไร? กูบอกแล้วชิมิ? นโยบายไม่มีดอก รับงานอีเยรูซาเล็มมาเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานบ้านพ่อกู ดอก 10000 คุกยังไม่พอ ยังซ้ำดาบสองด้วยขึ้นค่าแรง 400 คนไทยไม่ได้ พม่า ลาว ขะแมร์เอาไปแดร๊กหมด นี่ไง ปชต.โคตรพ่องที่พวกมรึงใฝ่ฝัน เมื่อมรึงไม่แคร์ชาติและแผ่นดิน กูก็ไม่ต้องไว้หน้าไอ้พวกเสนียดเกาะกินแผ่นดินเช่นกัน ทำไปเหอะ ทุกอย่าง เอาอีก เอาให้เหี้ยกว่านี้ เอาให้สุดโต่ง ขายชาติ แบ่งขายกันไปเลย แล้วมรึงรอดูวันที่ศาลไคฟงลงดาบน่ะมรึง หายหมดเกลี้ยง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ นี่คือเกมส์ "เค้าเล่นกันไว้แบบนี้" ปล่อยทหารเค้าเดินหมากของเค้าไป มรึงอย่าอิน อย่าเครียดกันมาก ไม่มีดอกน่ะ ทำเหี้ยได้ดี ทำชั่วได้ดี มันมีแต่ในการ์ตูนหลอกควายเท่านั้น โลกความจริง ทุกอย่างย่อมต้องชดใช้! ตอนนี้ มรึงควรจะเชียร์ แจกให้ครบ จบทุกขบวนความ ใครรับ ก็เตรียมถูกฟ้องเรียกเงินคืน ไม่มีจ่าย ก็ต้องชดใช้คืน ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง เงินแจกฟรี มันมีแต่เฉพาะชาติที่เป็นง่อยเท่านั้น ไม่ทำมาหาแดร๊ก แบมือขอท่าเดียว! มรึงดูอีเมสซี่แลนด์ก็พอ ป่านนี้ ยังเป็นหนี้หัวบานกับ IMF ต้องทะยอยขายทรัพย์สินแผ่นดินเรื่อยไป งานนี้ พูดจริง คุกจริง ตายจริง เผ่นจริง ราบคาบ เบ็ดเสร็จ สงครามเค้าไม่ได้ดูกันที่วันแรก เค้าดูกันตอนจบ ถึงค่อยนับศพทหาร? ไม่ว่ามรึงจะเล่นแร่แปรวิญญาน ตอแหล แถไปเรื่อยยังไง สุดท้าย จบที่คุกเท่านั้น ปัญหาจะตามมาทันที ใครไม่ได้เงิน ใครได้ไม่ครบ ใครยังไม่ได้รับสิทธิ์ งานนี้ โดมิโน่ แอฟเฟคมาเต็ม ไม่อยากจะเดาว่าเละเทะแค่ไหน? ไปหมดเกลี้ยงทั้งอีแดง อีส้มเน่า แล้วยังจะเหลือใครอีกล่ะ? ก็เปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันใหม่ไงล่ะ ทุกอย่างมันเดินมาทรงนี้หมดแล้ว! รอดูดาบอาจารย์ฮันโซ ที่เสธ.แดงถือเอาไว้ให้ดีดี จะบั่นหัวไอ้เนรคุณขายชาติได้กี่ตัว? งานนี้ อาจไม่จบที่ศาล แต่ไปสุสานแทนซะก่อน?

    ปล.ดูภาพใหญ่เข้าไว้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว รัสเซียลงแขกอี NATO แล้ว เหลือจีน โสมแดง กำลังจะลงแขกใครเอ่ย? เดาดูจิ? ด้านจีนคือทำลายรากฐานความมั่นคงด้านการเงินยิวเหี้ย จัดการกระทืบดอลล่าร์ตายคาตรีน จนเงินหยวนขึ้นมาแซงเป็นอันดับ 1 ตอนนี้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะต้องทำให้มันกลายเป็น 0 จนโลกลืมไปว่า อดีตเคยมีดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก ที่มาว่าทำไม จีนรุกหนักอุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV แหล่งแร่ พลังงาน ตลาดย่อยออนไลน์ โลจิสติค อาหาร ตลาดหุ้น ด้านการเงิน การธนาคาร แหล่งเงินทุน จีนไล่ทุบเส้นเลือดเหี้ยรายวัน นั่นคือแผนที่ขั้วใหม่เค้าวางเอาไว้ จีนเล่นบทบุ๋น รัสเซียเล่นบทบู๊ อิหร่านแฮปปี้ ได้ขย่มอียิวสัดนรกตายคาตรีนอย่างเอร็ดอร่อย โสมแดงรอเล่นบท "พระเอก" ปักธงโสมแดงบนยอดทำเนียบขาว ขยี้ปชต.หลอกแดร๊กโลกให้สิ้นซาก ช่วงนี้ จะเป็นช่วงเวลาโชว์ของหนัก อาวุธลับกันแล้ว สิ่งที่เหี้ยหนักใจที่สุดกำลังจะมา ไอ้ที่มรึงโดนมาตลอด 2 ปีกว่าเนี่ย นั่นแค่ออเดิร์ฟ ไอ้สัส! จีนยิงโชว์แล้ว ขีปนาวุธข้ามทวีป ส่งสัญญานตรงถึงวอชิงตัน อย่าห้าวเป้ง! กระจอกก็หลบไป ไอ้น้อง! อยู่ดีดี เรือเติมน้ำมันพัง เรือบรรทุกเครื่องบินจอดสนิท ถามจริงเหอะ! พิการซะขนาดนี้ ยังจะเสี้ยนตายโหงต่ออีกมุย? จะทำให้เหนื่อยไปทำไม? ไอ้อีอเมริกันควายในแผ่นดิน มันมีปัญญาจะทำอะไรมรึงได้ สร้างสตอรี่มาซะขนาดนี้ ประกาศไปเลย อเมริกาจะยกแผ่นดินให้อิสราเอลมาอยู่แทน ปรับชาวอเมริกันเป็นประชาชนชั้น 2 คือจบทันที ยิวได้แผ่นดินใหม่ มรึงไม่ต้องตายห่าสูญพันธุ์ โลกไม่ต้องการมรึง ต่างคนต่างอยู่ ที่ทำไปทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่ออียิวตอแหลสลัดหมาเหรอ? ยิ่งนานวัน มรึงยิ่งจะเสียหมามากขึ้นเรื่อยๆ หมดสภาพ สุดท้ายถูกหั่น แตกยับ ตอนโซเวียตแตก ทุกอย่างยังอยู่ครบ แค่ใช้ชื่อใหม่ และปูตินตามมาเก็บกลับคืนแผ่นดินแม่ได้หมด ต่างจากอเมริกา ที่จะสูญพันธุ์ไปตลอดกาล ไม่เหลือเรื่องราวให้เล่าขานอีกต่อไป นอกจากเรื่องเหยียบดวงจันทร์ตอแหลนั่นแหละ โลกจะล้อมรึงไปอีก 1000 ปี เกมส์เพิ่งจะเริ่ม จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรมันมักจะไปไวมาไวเสมอ ยามสิ้นกลียุค ถูกปูพรมหายเรียบวุธ! กระแสโลกมันเดินมาทางเดียวหมดแล้ว ใครดี ใครเหี้ย รู้แจ้งจางปางหมดเกลี้ยง?

    หมี CNN(ยุคคาวบอยกำลังจะสิ้นสุด เข้าสู่ยุคปัญญา ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องขู่ บีบปากท้องก็ตายห่าแล้ว นุ๊กไร้น้ำยา ขู่หมายังไม่ได้ จะเปิดเกมส์ใหญ่ แต่ปัญญาไม่มี ถังแตก หมดตูด จะเอาเหี้ยอะไรแดร๊ก อย่าว่าจะเปิดศึกเลย อเมริกาคือหมา(รับใช้) อังกฤษคือหมา(รับใช้) ส่วนอิสราเอลคือเหี้ย(ตัวบงการใหญ่) ส่วนอีเรปทีเรี่ยนคือเหี้ยกว่า(ตัวสั่งตัวบงการอีกที) สุดท้ายแสงพาลงทัวร์ขุมนรกกันหมด มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น ไฟนรกเหมาะกับมรึง วันพิพากษาใกล้เข้ามาแล้ว WWIII แค่ชื่อเรียก นรกบนดินผุดขึ้นมา
    26 กย. 67
    12.35 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172732901793834377
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    26-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.9 ตอน "KILL THEM(FCUK JEWS BASTARD) ALL" ล่อกันเมามันส์ เปิดฉากแลกกันแบบลืมหายใจ เสี้ยนอยากตาย จัดให้! เฮซบอเลาะห์ถล่มใส่ฐานบัญชาการ "อีมดสัด" แตกกระจุย กลางกรุงเทลอาวีฟ ช็อคแดร๊ก! สื่อตี 40000 เข้าช่วยเลบานอน ของจริงมาเป็นแสนไอ้สัส มาจากไหนไม่รู้? เลบานอนช่วงโปรไฟไหม้ คึกคักสัด อย่างกะปลากระดี่ได้น้ำ ดาหน้ายกพลเตรียมขึ้นบก เอาส้นตรีนไปขยี้หน้าทหารยิวเหี้ยนอนตายเกลื่อน ตอนเหนือแค่ป่าช้า! หลังจีนประกาศอุ้มเลบานอนเต็มเหนี่ยว ของก็ถึงมือทันที อะไรน่ะเหรอ? "โดรน AI" MADE IN CHINA เยเมนกลัวเหงาจัด ไอ้สัส! ทะเลแดงเงียบกริบ เหี้ยมันหายหัวไปไหนหมดฟ่ะ? ขอร่วมแจมเลบานอน ส่งมือดี เพชรฆาตรัตติกาล เข้าไปช่วยซ้อมเป้า อีเหี้ยมะกันเห็นลวกเพ่ยิวขี้แตก หวังจะเข้าไปช่วย โดนลูกยาวขู่ มรึงเข้าคือตายโหง! ตอนนี้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว ปิดช่องทางหลบหนี เปิดให้แลกซึ่งหน้าอย่างเดียว แบบนี้ อียิวก็ตายโหงตายห่าชัวร์ จะเอาเหี้ยอะไรไปสู้ได้ล่ะ? สื่อหลอกควาย ควายก็โง่บัดซบ แค่ใช้สติ ไม่ต้องเสพข่าว ยังรู้ ว่าใครได้เปรียบ เสียเปรียบยังไง? โลกน่ะมรึง! มรึงสู้กับทั้งโลกไหวเหรอ ดีออก? คำว่า "ลงแขก" ไม่ใช่เอาแค่มรึงแพ้ หรือตาย งานนี้ ใบสั่งมุสลิมทั้งโลก "เอาให้สูญพันธุ์ยิว" ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ทั้งหลาย เชิญกลับขุมนรกตามพ่อเหี้ยลูซิเฟอร์มรึงไปซ่ะน่ะ! ถล่มฐานลับอีมดสัดได้ มรึงไม่ต้องไปหาข่าวกรองที่ไหนอีกแล้ว แบบว่ารั่วสุดขีด เกลือเป็นหนอนทั้งนั้น! ไม่ทันไร รัสเซียเพิ่งจะออกอาวุธใหม่อีกดอก เหี้ยจะอยู่ต่อไหวเหรอ? แผนปูตินหลายชั้น ก่อนเปิดยูเครน ล่อยูเครนจนคลังอาวุธเก่าสมัยโซเวียตหมดเกลี้ยง ทำให้อี NATO ต้องส่งทหารนาโต้เข้ามาประจำการ เหตุเพราะทหารยูเครน มันใช้อาวุธตะวันตกไม่เป็นน่ะสิ เมื่ออาวุธมาพร้อมกับคนใช้เป็น คำตอบคือ ตายโหงทั้งอาวุธและคนใช้ เมื่อตายไปเยอะ ก็ยิ่งแค้นจัด ส่งเพิ่มเข้ามา ส่งเติมเข้ามา ก็ถูกกับดักที่มารีโอโพสตายห่าในถ้ำใต้ดินเป็นพันตัว ลูกยาวลงหัวทุกวัน ทหารพิการทั้งกองทัพ ทั้งหมดมันคือภาพที่รัสเซียวางไว้ก่อนแล้ว นี่ไง อัจฉริยะตัวจริง! อาร์คติคระอุเดือด รัสเซียขยายฐานพื้นที่ในอาร์คติค ขยันสำรวจอลาสก้าเพิ่ม จนบินรบเหี้ยต้องตามประกบบินสำรวจรัสเซียเช้าเย็น หากวัดกันจริง ระยะห่างระหว่างสหรัฐ และรัสเซียในขั้วโลกเหนือห่างกันแค่ 4 กิโลเมตรเอง ไม่แปลก หากเหี้ยจะแตกแผ่นดิน ไม่ต้องถามว่า อลาสก้าจะยังอยู่มุย? รัสเซียปักป้ายจองคืนไว้นานแล้ว แค่จะจ่าย หรือของฟรี เท่านั้นเอง! ฐานทัพอาร์คติคของรัสเซียขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเยอะ ผู้คนเข้าอาร์คติคมากขึ้นจากการขยายฐานนั่นเอง ส่งผลให้ความมั่นคง แข็งแกร่งของรัสเซีย ในอาร์คติคเด่นชัดยิ่งขึ้น ฐานทัพเหี้ย ในนาม NATO ทางขั้วโลกเหนือ ไม่สามารถต่อกรกับรัสเซียได้เลย เพราะแค่เรือตัดน้ำแข็งยังไม่มี ไม่พังก็ซ่อม เพราะไม่ได้ใช้นานแล้ว แต่รัสเซียผลิตเพิ่ม ใช้เยอะ ใช้ทุกวัน ภาพมันฟ้อง "อาร์คติค" เป็นของใครเบ็ดเสร็จ ไม่แปลกที่จีนเข้ามาร่วมด้วย ขอมีเอี่ยว เพราะมันคือแหล่งแก็สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดใน 3 โลก ดังนั้น ตามรัสเซีย โลกจะไม่มีวันหมดพลังงานใช้เด็ดขาด มีเยอะ มีเกินกว่าที่มรึงจะคาดคิด สั้นๆ "กว้างใหญ่ไพศาลมโหฬารบานตะบือ" ข้ามวิกแป๊บ : ไอ้สัส! ดีใจแค่วันเดียว 25 กำลังจะไล่แจก ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง เอาหมด ฝ่ายกฎหมายยิ้มแก้มปริ มรึงหาเรื่องไร้แผ่นดินอยู่ ไม่ทันไร ข้อกฎหมายออกมาจ่อหัวเพี๊ยบ เหี้ยมันรู้ อีนายกปลอมก็รู้ ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะทำลายแผ่นดินไทยได้อย่างไร? กูบอกแล้วชิมิ? นโยบายไม่มีดอก รับงานอีเยรูซาเล็มมาเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานบ้านพ่อกู ดอก 10000 คุกยังไม่พอ ยังซ้ำดาบสองด้วยขึ้นค่าแรง 400 คนไทยไม่ได้ พม่า ลาว ขะแมร์เอาไปแดร๊กหมด นี่ไง ปชต.โคตรพ่องที่พวกมรึงใฝ่ฝัน เมื่อมรึงไม่แคร์ชาติและแผ่นดิน กูก็ไม่ต้องไว้หน้าไอ้พวกเสนียดเกาะกินแผ่นดินเช่นกัน ทำไปเหอะ ทุกอย่าง เอาอีก เอาให้เหี้ยกว่านี้ เอาให้สุดโต่ง ขายชาติ แบ่งขายกันไปเลย แล้วมรึงรอดูวันที่ศาลไคฟงลงดาบน่ะมรึง หายหมดเกลี้ยง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ นี่คือเกมส์ "เค้าเล่นกันไว้แบบนี้" ปล่อยทหารเค้าเดินหมากของเค้าไป มรึงอย่าอิน อย่าเครียดกันมาก ไม่มีดอกน่ะ ทำเหี้ยได้ดี ทำชั่วได้ดี มันมีแต่ในการ์ตูนหลอกควายเท่านั้น โลกความจริง ทุกอย่างย่อมต้องชดใช้! ตอนนี้ มรึงควรจะเชียร์ แจกให้ครบ จบทุกขบวนความ ใครรับ ก็เตรียมถูกฟ้องเรียกเงินคืน ไม่มีจ่าย ก็ต้องชดใช้คืน ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง เงินแจกฟรี มันมีแต่เฉพาะชาติที่เป็นง่อยเท่านั้น ไม่ทำมาหาแดร๊ก แบมือขอท่าเดียว! มรึงดูอีเมสซี่แลนด์ก็พอ ป่านนี้ ยังเป็นหนี้หัวบานกับ IMF ต้องทะยอยขายทรัพย์สินแผ่นดินเรื่อยไป งานนี้ พูดจริง คุกจริง ตายจริง เผ่นจริง ราบคาบ เบ็ดเสร็จ สงครามเค้าไม่ได้ดูกันที่วันแรก เค้าดูกันตอนจบ ถึงค่อยนับศพทหาร? ไม่ว่ามรึงจะเล่นแร่แปรวิญญาน ตอแหล แถไปเรื่อยยังไง สุดท้าย จบที่คุกเท่านั้น ปัญหาจะตามมาทันที ใครไม่ได้เงิน ใครได้ไม่ครบ ใครยังไม่ได้รับสิทธิ์ งานนี้ โดมิโน่ แอฟเฟคมาเต็ม ไม่อยากจะเดาว่าเละเทะแค่ไหน? ไปหมดเกลี้ยงทั้งอีแดง อีส้มเน่า แล้วยังจะเหลือใครอีกล่ะ? ก็เปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันใหม่ไงล่ะ ทุกอย่างมันเดินมาทรงนี้หมดแล้ว! รอดูดาบอาจารย์ฮันโซ ที่เสธ.แดงถือเอาไว้ให้ดีดี จะบั่นหัวไอ้เนรคุณขายชาติได้กี่ตัว? งานนี้ อาจไม่จบที่ศาล แต่ไปสุสานแทนซะก่อน? ปล.ดูภาพใหญ่เข้าไว้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว รัสเซียลงแขกอี NATO แล้ว เหลือจีน โสมแดง กำลังจะลงแขกใครเอ่ย? เดาดูจิ? ด้านจีนคือทำลายรากฐานความมั่นคงด้านการเงินยิวเหี้ย จัดการกระทืบดอลล่าร์ตายคาตรีน จนเงินหยวนขึ้นมาแซงเป็นอันดับ 1 ตอนนี้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะต้องทำให้มันกลายเป็น 0 จนโลกลืมไปว่า อดีตเคยมีดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก ที่มาว่าทำไม จีนรุกหนักอุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV แหล่งแร่ พลังงาน ตลาดย่อยออนไลน์ โลจิสติค อาหาร ตลาดหุ้น ด้านการเงิน การธนาคาร แหล่งเงินทุน จีนไล่ทุบเส้นเลือดเหี้ยรายวัน นั่นคือแผนที่ขั้วใหม่เค้าวางเอาไว้ จีนเล่นบทบุ๋น รัสเซียเล่นบทบู๊ อิหร่านแฮปปี้ ได้ขย่มอียิวสัดนรกตายคาตรีนอย่างเอร็ดอร่อย โสมแดงรอเล่นบท "พระเอก" ปักธงโสมแดงบนยอดทำเนียบขาว ขยี้ปชต.หลอกแดร๊กโลกให้สิ้นซาก ช่วงนี้ จะเป็นช่วงเวลาโชว์ของหนัก อาวุธลับกันแล้ว สิ่งที่เหี้ยหนักใจที่สุดกำลังจะมา ไอ้ที่มรึงโดนมาตลอด 2 ปีกว่าเนี่ย นั่นแค่ออเดิร์ฟ ไอ้สัส! จีนยิงโชว์แล้ว ขีปนาวุธข้ามทวีป ส่งสัญญานตรงถึงวอชิงตัน อย่าห้าวเป้ง! กระจอกก็หลบไป ไอ้น้อง! อยู่ดีดี เรือเติมน้ำมันพัง เรือบรรทุกเครื่องบินจอดสนิท ถามจริงเหอะ! พิการซะขนาดนี้ ยังจะเสี้ยนตายโหงต่ออีกมุย? จะทำให้เหนื่อยไปทำไม? ไอ้อีอเมริกันควายในแผ่นดิน มันมีปัญญาจะทำอะไรมรึงได้ สร้างสตอรี่มาซะขนาดนี้ ประกาศไปเลย อเมริกาจะยกแผ่นดินให้อิสราเอลมาอยู่แทน ปรับชาวอเมริกันเป็นประชาชนชั้น 2 คือจบทันที ยิวได้แผ่นดินใหม่ มรึงไม่ต้องตายห่าสูญพันธุ์ โลกไม่ต้องการมรึง ต่างคนต่างอยู่ ที่ทำไปทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่ออียิวตอแหลสลัดหมาเหรอ? ยิ่งนานวัน มรึงยิ่งจะเสียหมามากขึ้นเรื่อยๆ หมดสภาพ สุดท้ายถูกหั่น แตกยับ ตอนโซเวียตแตก ทุกอย่างยังอยู่ครบ แค่ใช้ชื่อใหม่ และปูตินตามมาเก็บกลับคืนแผ่นดินแม่ได้หมด ต่างจากอเมริกา ที่จะสูญพันธุ์ไปตลอดกาล ไม่เหลือเรื่องราวให้เล่าขานอีกต่อไป นอกจากเรื่องเหยียบดวงจันทร์ตอแหลนั่นแหละ โลกจะล้อมรึงไปอีก 1000 ปี เกมส์เพิ่งจะเริ่ม จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรมันมักจะไปไวมาไวเสมอ ยามสิ้นกลียุค ถูกปูพรมหายเรียบวุธ! กระแสโลกมันเดินมาทางเดียวหมดแล้ว ใครดี ใครเหี้ย รู้แจ้งจางปางหมดเกลี้ยง? หมี CNN(ยุคคาวบอยกำลังจะสิ้นสุด เข้าสู่ยุคปัญญา ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องขู่ บีบปากท้องก็ตายห่าแล้ว นุ๊กไร้น้ำยา ขู่หมายังไม่ได้ จะเปิดเกมส์ใหญ่ แต่ปัญญาไม่มี ถังแตก หมดตูด จะเอาเหี้ยอะไรแดร๊ก อย่าว่าจะเปิดศึกเลย อเมริกาคือหมา(รับใช้) อังกฤษคือหมา(รับใช้) ส่วนอิสราเอลคือเหี้ย(ตัวบงการใหญ่) ส่วนอีเรปทีเรี่ยนคือเหี้ยกว่า(ตัวสั่งตัวบงการอีกที) สุดท้ายแสงพาลงทัวร์ขุมนรกกันหมด มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น ไฟนรกเหมาะกับมรึง วันพิพากษาใกล้เข้ามาแล้ว WWIII แค่ชื่อเรียก นรกบนดินผุดขึ้นมา 26 กย. 67 12.35 น. https://linevoom.line.me/post/1172732901793834377 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 0 รีวิว
  • *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....*****

    *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....*****

    *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....*****
    *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....*****
    *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....*****

    *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....*****

    #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....***** *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....***** *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....***** *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....***** *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....***** *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....***** #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1611 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,525
    วันอาทิตย์: แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗ (22 September 2024)

    Photo Album 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดเขาหลักชัย อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    02. วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    03. วัดคลองบางเดื่อ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    04. วัดคลองเรือ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    05. วัดควนสงฆ์ อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    06. วัดจำปาสะเอิง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    07ใ วัดเจติยาคีรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    08. วัดดงพลับ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    09. วัดดอกไม้ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    10. วัดดอนสังข์วนาราม อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๓ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,525 วันอาทิตย์: แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗ (22 September 2024) Photo Album 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดเขาหลักชัย อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 02. วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 03. วัดคลองบางเดื่อ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 04. วัดคลองเรือ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 05. วัดควนสงฆ์ อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 06. วัดจำปาสะเอิง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 07ใ วัดเจติยาคีรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 08. วัดดงพลับ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 09. วัดดอกไม้ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 10. วัดดอนสังข์วนาราม อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๓ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,525
    วันอาทิตย์: แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗ (22 September 2024)

    Photo Album 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดเขาหลักชัย อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    02. วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    03. วัดคลองบางเดื่อ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    04. วัดคลองเรือ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    05. วัดควนสงฆ์ อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    06. วัดจำปาสะเอิง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    07ใ วัดเจติยาคีรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    08. วัดดงพลับ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    09. วัดดอกไม้ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    10. วัดดอนสังข์วนาราม อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
    (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๓ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,525 วันอาทิตย์: แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗ (22 September 2024) Photo Album 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดเขาหลักชัย อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 02. วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 03. วัดคลองบางเดื่อ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 04. วัดคลองเรือ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 05. วัดควนสงฆ์ อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 06. วัดจำปาสะเอิง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 07ใ วัดเจติยาคีรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 08. วัดดงพลับ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 09. วัดดอกไม้ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) 10. วัดดอนสังข์วนาราม อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (ทอดกฐินสามัคคี 20 ต.ค.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๓ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว