• นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้

    1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

    รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI)

    2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

    กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

    บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน


    สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

    เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ


    ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

    พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง



    3. มาตรการเชิงรุก

    โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government

    ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

    ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์)


    การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection)

    มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต



    4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ

    ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC)

    มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International


    5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน

    โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ

    การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต

    การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ


    ผลลัพธ์และความท้าทาย

    แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ

    หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย
    นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI) 2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง 3. มาตรการเชิงรุก โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์) การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต 4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International 5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ ผลลัพธ์และความท้าทาย แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้

    1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

    รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI)

    2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

    กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

    บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน


    สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

    เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ


    ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

    พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง



    3. มาตรการเชิงรุก

    โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government

    ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

    ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์)


    การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection)

    มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต



    4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ

    ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC)

    มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International


    5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน

    โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ

    การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต

    การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ


    ผลลัพธ์และความท้าทาย

    แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ

    หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย ผมสามารถค้นหาข้อมูลใหม่ให้ได้นะ

    นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI) 2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง 3. มาตรการเชิงรุก โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์) การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต 4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International 5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ ผลลัพธ์และความท้าทาย แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย ผมสามารถค้นหาข้อมูลใหม่ให้ได้นะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมเข้าชื่อถอด 'สุชาติ' พ้นเก้าอี้ประธาน ป.ป.ช.'ประชาชน' ไม่ได้เอาคืนคดี 112
    .
    แม้ว่ากระแสเรื่องคลิปการพบกันระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบกปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะจางลงไปแล้ว แต่สำหรับพรรคประชาชน ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีรายงานว่าส.ส.ของพรรคจะมีการเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ 236 เพื่อยื่นให้ศาลฎีกาไต่สวน
    .
    นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งพรรคประชาชนมีมติพรรคแล้ว ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อ โดยยืนยันว่าไม่ใช่การเอาคืนกรณีป.ป.ช.เรียก 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล รับทราบข้อกล่าวหาคดีร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา112 ของประมวลกฎหมายอาญา เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของส.ส. ในการที่เราเข้าชื่อตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และต้องชี้แจงอย่างตรงไปมา ว่า ในข้อร้องเรียนที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า ไม่ได้มีแค่คลิปวิดีโอ ระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ตามที่ปรากฏ แต่ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในส่วนอื่นด้วย ซึ่งพรรคประชาชนเราได้รวบรวมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง
    .
    “ถึงแม้ไม่มีคดี 44 ส.ส. ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพราะมีหลักฐาน และไม่ใช่แค่พรรคประชาชนทำได้เท่านั้น แต่เป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาทุกคนทุกฝ่าย ดังนั้น ถ้ามี สส.พรรคอื่น และ สว. เห็นตรงกันว่า ปัญหาทุจริตเป็นเรื่องสำคัญ ก็ใช้กลไกนี้ ในการตรวจสอบ และสามารถร่วมลงชื่อสนับสนุนได้ ย้ำว่า เราไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อคดี หรือหากพรุ่งนี้ คดี44ส.ส.ถูกยกไปหมด เราก็ยังยืนยันในการทำหน้าที่ตรวจสอบ” นายพริษฐ์ กล่าว
    .
    สำหรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา 234 (1) (มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง) โดยยื่นต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง
    .............
    Sondhi X
    พร้อมเข้าชื่อถอด 'สุชาติ' พ้นเก้าอี้ประธาน ป.ป.ช.'ประชาชน' ไม่ได้เอาคืนคดี 112 . แม้ว่ากระแสเรื่องคลิปการพบกันระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบกปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะจางลงไปแล้ว แต่สำหรับพรรคประชาชน ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีรายงานว่าส.ส.ของพรรคจะมีการเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ 236 เพื่อยื่นให้ศาลฎีกาไต่สวน . นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งพรรคประชาชนมีมติพรรคแล้ว ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อ โดยยืนยันว่าไม่ใช่การเอาคืนกรณีป.ป.ช.เรียก 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล รับทราบข้อกล่าวหาคดีร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา112 ของประมวลกฎหมายอาญา เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของส.ส. ในการที่เราเข้าชื่อตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และต้องชี้แจงอย่างตรงไปมา ว่า ในข้อร้องเรียนที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า ไม่ได้มีแค่คลิปวิดีโอ ระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ตามที่ปรากฏ แต่ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในส่วนอื่นด้วย ซึ่งพรรคประชาชนเราได้รวบรวมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง . “ถึงแม้ไม่มีคดี 44 ส.ส. ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพราะมีหลักฐาน และไม่ใช่แค่พรรคประชาชนทำได้เท่านั้น แต่เป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาทุกคนทุกฝ่าย ดังนั้น ถ้ามี สส.พรรคอื่น และ สว. เห็นตรงกันว่า ปัญหาทุจริตเป็นเรื่องสำคัญ ก็ใช้กลไกนี้ ในการตรวจสอบ และสามารถร่วมลงชื่อสนับสนุนได้ ย้ำว่า เราไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อคดี หรือหากพรุ่งนี้ คดี44ส.ส.ถูกยกไปหมด เราก็ยังยืนยันในการทำหน้าที่ตรวจสอบ” นายพริษฐ์ กล่าว . สำหรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา 234 (1) (มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง) โดยยื่นต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง ............. Sondhi X
    Like
    Wow
    Haha
    Love
    Yay
    19
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1289 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หัวจะปวด" คิดได้ไง

    ต้องแก้รัฐธรรมนูญ แล้วปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ได้
    "หัวจะปวด" คิดได้ไง ต้องแก้รัฐธรรมนูญ แล้วปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ได้
    Haha
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สว.นันทนา' บอกเศรษฐกิจไทยวิกฤต ลั่นรื้อโครงสร้างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นกติกาประชาธิปไตย คือทางรอด
    https://www.thai-tai.tv/news/17271/
    'สว.นันทนา' บอกเศรษฐกิจไทยวิกฤต ลั่นรื้อโครงสร้างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นกติกาประชาธิปไตย คือทางรอด https://www.thai-tai.tv/news/17271/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลั่นสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด!! 'ปชน.' พล่านนอกสภา ผุดแคมเปญ #รัฐธรรมนูญแก้เพื่อ
    https://www.thai-tai.tv/news/17172/
    ลั่นสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด!! 'ปชน.' พล่านนอกสภา ผุดแคมเปญ #รัฐธรรมนูญแก้เพื่อ https://www.thai-tai.tv/news/17172/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษก รทสช. แจงเหตุ สส.ไม่แสดงตนนับองค์ประชุม ปมแก้รัฐธรรมนูญ
    https://www.thai-tai.tv/news/17151/
    โฆษก รทสช. แจงเหตุ สส.ไม่แสดงตนนับองค์ประชุม ปมแก้รัฐธรรมนูญ https://www.thai-tai.tv/news/17151/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมลิงค์โพสต์ปักหมุดในเพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ 2/2
    โพสต์ก่อนหน้า https://thaitimes.co/posts/176807

    ✍️ลิ่มเลือดอุด เส้นเลือดใหญ่สมอง ทนเหนียวไม่สลายง่าย
    https://www.facebook.com/share/p/1DB8koNsQR/
    ✍️สัญญาลับ ระหว่างบริษัทยา กับสาธารณสุข จะเปิดกี่โมง?
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470014421348224273
    ✍️สิทธิตามรัฐธรรมนูญมนการปฏิเสธ ยาพิษ ใครมาละเมิดสิทธิเรา เขาทำผิดกฎหมาย!!!
    หมอที่ละเมิดสิทธิ คนไข้ ผิดทั้งกฎหมายและผิดจรรยาบรรณ
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470012540508966145
    ✍️ทำไมคนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ ให้เขาหลอก
    https://www.facebook.com/share/p/15DQhXzYsw/
    ✍️ภาพคำเตือนจากคุณหมออรรถพลเมื่อ2564
    https://www.facebook.com/share/p/1B9HvXUNEH/
    ✍️คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่แค่ รับเงินเดือน กับ แถลงข่าว เท่านั้น?
    https://www.facebook.com/share/p/1B8Uq1mkno/
    https://www.facebook.com/share/p/1Bx3uc2qUV/
    ✍️บันทึกไว้เป็นหลักฐาน รายนามแพทย์ที่แนะนำให้เด็กฉีด mRNA transfection injection ยีนเทอราพี ที่หลอกว่าเป็นวัคซีน
    https://www.facebook.com/share/p/1BiWmY28ZR/

    เพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ
    อัพเดท 14 กุมภาพันธ์ 2568
    รวมลิงค์โพสต์ปักหมุดในเพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ 2/2 โพสต์ก่อนหน้า https://thaitimes.co/posts/176807 ✍️ลิ่มเลือดอุด เส้นเลือดใหญ่สมอง ทนเหนียวไม่สลายง่าย https://www.facebook.com/share/p/1DB8koNsQR/ ✍️สัญญาลับ ระหว่างบริษัทยา กับสาธารณสุข จะเปิดกี่โมง? https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470014421348224273 ✍️สิทธิตามรัฐธรรมนูญมนการปฏิเสธ ยาพิษ ใครมาละเมิดสิทธิเรา เขาทำผิดกฎหมาย!!! หมอที่ละเมิดสิทธิ คนไข้ ผิดทั้งกฎหมายและผิดจรรยาบรรณ https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470012540508966145 ✍️ทำไมคนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ ให้เขาหลอก https://www.facebook.com/share/p/15DQhXzYsw/ ✍️ภาพคำเตือนจากคุณหมออรรถพลเมื่อ2564 https://www.facebook.com/share/p/1B9HvXUNEH/ ✍️คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่แค่ รับเงินเดือน กับ แถลงข่าว เท่านั้น? https://www.facebook.com/share/p/1B8Uq1mkno/ https://www.facebook.com/share/p/1Bx3uc2qUV/ ✍️บันทึกไว้เป็นหลักฐาน รายนามแพทย์ที่แนะนำให้เด็กฉีด mRNA transfection injection ยีนเทอราพี ที่หลอกว่าเป็นวัคซีน https://www.facebook.com/share/p/1BiWmY28ZR/ เพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ อัพเดท 14 กุมภาพันธ์ 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคประชาชน จี้นายกฯ ยุบสภา หากเดินหน้านโยบายแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้
    https://www.thai-tai.tv/news/17134/
    พรรคประชาชน จี้นายกฯ ยุบสภา หากเดินหน้านโยบายแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ https://www.thai-tai.tv/news/17134/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นด้วยว่า สส.ไม่ควรทำสภาล่ม แต่สส.ที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ลดอำนาจศาล รธน. ห้ามยุบพรรค ห้ามตัดสิทธิ์ทางการเมือง และอยากแก้ไข ม.112 เลวร้ายกว่าสภาล่มเยอะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    เห็นด้วยว่า สส.ไม่ควรทำสภาล่ม แต่สส.ที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ลดอำนาจศาล รธน. ห้ามยุบพรรค ห้ามตัดสิทธิ์ทางการเมือง และอยากแก้ไข ม.112 เลวร้ายกว่าสภาล่มเยอะ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิรุธชัดร่าง "แตงโม" ไม่เหมือนแช่น้ำ 2 วัน : [NEWS UPDATE]

    นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงจิตอาสา ให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นักแสดงชื่อดัง มีจุดพิรุธ 2 จุดใหญ่ คือ โคนขาขวาด้านใน และข้างน่องขาขวา จุดน่าสงสัยอาจไม่ได้โดนใบพัดเรือ คือ โคนขาขวา เพราะรอยยาวและลึกมากจนเห็นเนื้อยุ่ย ตรงนี้น่าจะทำให้เสียชีวิต พอตกลงน้ำก็ว่ายน้ำไม่ไหว มีรอยขีดข่วนก้างปลาไม่ลึก มีจุดข้างน่องขาขวาเหมือนของแหลมแทงเข้าไป มีไขมันออกมากับเนื้อ ฟันซี่บนหักแน่นอน โดยจากประสบการณ์เก็บร่างคนตกน้ำ มอง ขาแตงโมขาว ไม่มีร่องรอยการแช่น้ำเป็นเวลา 2 วัน ขาเนียนเหมือนเพิ่งเสียชีวิต ใบหน้าเละ หน้าอกช้ำ ซึ่งตามปกติคนจมน้ำ สภาพผิวหนังจะคล้ายกันหมด
    80% เพราะจมน้ำทั้งร่างกาย ไม่ได้เสียชีวิตที่อื่นแล้วนำมาจมน้ำ



    "แม๊"ยืนยันโทรศัพท์ของจริง

    ประชุมแก้รัฐธรรมนูญล่ม

    กันจุดล่อแหลมหนีเข้าเมือง

    ฤดูชมผีเสื้อป่ามรดกโลก
    พิรุธชัดร่าง "แตงโม" ไม่เหมือนแช่น้ำ 2 วัน : [NEWS UPDATE] นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงจิตอาสา ให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นักแสดงชื่อดัง มีจุดพิรุธ 2 จุดใหญ่ คือ โคนขาขวาด้านใน และข้างน่องขาขวา จุดน่าสงสัยอาจไม่ได้โดนใบพัดเรือ คือ โคนขาขวา เพราะรอยยาวและลึกมากจนเห็นเนื้อยุ่ย ตรงนี้น่าจะทำให้เสียชีวิต พอตกลงน้ำก็ว่ายน้ำไม่ไหว มีรอยขีดข่วนก้างปลาไม่ลึก มีจุดข้างน่องขาขวาเหมือนของแหลมแทงเข้าไป มีไขมันออกมากับเนื้อ ฟันซี่บนหักแน่นอน โดยจากประสบการณ์เก็บร่างคนตกน้ำ มอง ขาแตงโมขาว ไม่มีร่องรอยการแช่น้ำเป็นเวลา 2 วัน ขาเนียนเหมือนเพิ่งเสียชีวิต ใบหน้าเละ หน้าอกช้ำ ซึ่งตามปกติคนจมน้ำ สภาพผิวหนังจะคล้ายกันหมด 80% เพราะจมน้ำทั้งร่างกาย ไม่ได้เสียชีวิตที่อื่นแล้วนำมาจมน้ำ "แม๊"ยืนยันโทรศัพท์ของจริง ประชุมแก้รัฐธรรมนูญล่ม กันจุดล่อแหลมหนีเข้าเมือง ฤดูชมผีเสื้อป่ามรดกโลก
    Like
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1249 มุมมอง 60 0 รีวิว
  • เปิดผลโหวตไม่เลื่อนญัตติ “หมอเปรม” ขอให้รัฐสภาส่งศาล รธน.ตีความ ขึ้นมาพิจารณาก่อนถกแก้รัฐธรรมนูญ พบ “สว.สีน้ำเงิน” ตัวพลิกกระดาน ลงมติค้าน 136 เสียง ขณะ “ภูมิใจไทย” ไม่ร่วมสังฆกรรมตามเจตนารมณ์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014453

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เปิดผลโหวตไม่เลื่อนญัตติ “หมอเปรม” ขอให้รัฐสภาส่งศาล รธน.ตีความ ขึ้นมาพิจารณาก่อนถกแก้รัฐธรรมนูญ พบ “สว.สีน้ำเงิน” ตัวพลิกกระดาน ลงมติค้าน 136 เสียง ขณะ “ภูมิใจไทย” ไม่ร่วมสังฆกรรมตามเจตนารมณ์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014453 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1013 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปชน.แถลงซัดพรรคร่วมรัฐบาลเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กดแสดงตน ทำสภาฯ ล่ม สะท้อนรอยร้าว ขวางแก้ รธน. จี้ นายกฯ แสดงภาวะผู้นำคุมเสียงให้ได้

    วันที่ 13 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังที่ประชุมรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ในวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) ภายหลัง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สมาชิกแสดงตนนับองค์ประชุมเพื่อลงมติของญัตติด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรค 1 (2)

    โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานี้ ตนอยากยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจเต็ม ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งจากทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ได้ในทันที อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่รับวินิจฉัย ในข้อสงสัยเรื่องของการทำหน้าที่ของรัฐสภาที่เกิดผลขึ้นแล้ว และการลงมติในญัตติแรก ที่จะมีการเลื่อนหรือไม่เลื่อน ในการพิจารณาว่าจะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหรือไม่นั้น ผลของการลงมติก็ออกมาแล้วว่า ให้รัฐเดินหน้าต่อในการพิจารณาร่างแก้ไขที่พรรคประชาชนได้เสนอเข้ามา แต่ปรากฏว่า ขณะที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในญัตติดังกล่าว ในการประชุมวาระที่หนึ่งของร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 นี้ มีการเสนอให้นับองค์ประชุม ซึ่งก็มีเพื่อนสมาชิกรัฐสภายู่ในห้องประชุม จากสายตาตนเชื่อว่า มีจำนวนมากกว่าคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะสั่งปิดการประชุม ตามข้อเท็จจริงนี้ ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า มีเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะจากฝั่งรัฐบาลเอง ไม่กดแสดงตน ไม่เป็นองค์ประชุม ทั้งที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้พูดไว้ในห้องประชุมว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวันนี้

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000014445

    #MGROnline #ร่างรัฐธรรมนูญ
    ปชน.แถลงซัดพรรคร่วมรัฐบาลเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กดแสดงตน ทำสภาฯ ล่ม สะท้อนรอยร้าว ขวางแก้ รธน. จี้ นายกฯ แสดงภาวะผู้นำคุมเสียงให้ได้ • วันที่ 13 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังที่ประชุมรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ในวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) ภายหลัง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สมาชิกแสดงตนนับองค์ประชุมเพื่อลงมติของญัตติด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรค 1 (2) • โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานี้ ตนอยากยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจเต็ม ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งจากทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ได้ในทันที อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่รับวินิจฉัย ในข้อสงสัยเรื่องของการทำหน้าที่ของรัฐสภาที่เกิดผลขึ้นแล้ว และการลงมติในญัตติแรก ที่จะมีการเลื่อนหรือไม่เลื่อน ในการพิจารณาว่าจะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหรือไม่นั้น ผลของการลงมติก็ออกมาแล้วว่า ให้รัฐเดินหน้าต่อในการพิจารณาร่างแก้ไขที่พรรคประชาชนได้เสนอเข้ามา แต่ปรากฏว่า ขณะที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในญัตติดังกล่าว ในการประชุมวาระที่หนึ่งของร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 นี้ มีการเสนอให้นับองค์ประชุม ซึ่งก็มีเพื่อนสมาชิกรัฐสภายู่ในห้องประชุม จากสายตาตนเชื่อว่า มีจำนวนมากกว่าคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะสั่งปิดการประชุม ตามข้อเท็จจริงนี้ ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า มีเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะจากฝั่งรัฐบาลเอง ไม่กดแสดงตน ไม่เป็นองค์ประชุม ทั้งที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้พูดไว้ในห้องประชุมว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวันนี้ • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000014445 • #MGROnline #ร่างรัฐธรรมนูญ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐอเมริกา ดินแดนประชาธิปไตย ยังคงเป็นเครื่องจักรผลิตสงคราม สร้างความขัดแย้งบนโลกนี้ต่อไป

    ถ้าทรัมป์เป็นผู้นำไทย บรรดาผู้คลั่งประชาธิปไตยในไทยทั้งหลายคงบอกว่า "ผิดที่รัฐธรรมนูญ" ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญทำให้การเลือกตั้งบิดเบี้ยว เลือกคนผิดมาเป็นผู้นำ
    สหรัฐอเมริกา ดินแดนประชาธิปไตย ยังคงเป็นเครื่องจักรผลิตสงคราม สร้างความขัดแย้งบนโลกนี้ต่อไป ถ้าทรัมป์เป็นผู้นำไทย บรรดาผู้คลั่งประชาธิปไตยในไทยทั้งหลายคงบอกว่า "ผิดที่รัฐธรรมนูญ" ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญทำให้การเลือกตั้งบิดเบี้ยว เลือกคนผิดมาเป็นผู้นำ
    สหรัฐฯมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนโฟกัสด้านการทหาร ให้ความสำคัญลำดับต้นๆต่อการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก เช่นเดียวกับการป้องกันมาตุภูมิ จากคำประกาศกร้าวของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน)
    .
    ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมสนับสนุนยูเครน ของเหล่ารัฐมนตรีกลาโหมนาโตและบรรดาชาตินอกสมาชิกนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำในด้านความมั่นคงของตนเอง
    .
    เฮกเซธ เน้นย้ำว่า "ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์" บีบให้วอชิงตัน ต้องหันไปมุ่งเน้นคุ้มกันชายแดนของตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามจากปักกิ่ง "สหรัฐฯต้องเผชิญกับภัยคุกคามสืบเนื่อง ที่มีต่อมาตุภูมิของเรา" เขากล่าว พร้อมบอกว่า "เราต้อง และเรากำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชายแดนของเรา"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ จีน คือภัยคุกคามสำคัญที่สุด โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "คู่แข่งที่ทัดเทียม" ทั้งในแง่ศักยภาพและความตั้งใจคุกคามผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
    .
    "สหรัฐฯให้ความสำคัญลำดับต้นๆกับการป้องปรามสงครามกับจีนในแปซิฟิก ตะหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน และต้องเลือกทุ่มเททรัพยากรไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อรับประกันว่าการป้องปรามนั้นจะไม่ล้มเหลว" เฮกเซธระบุ
    .
    ความเป็นคู่อริทางยุทธศาสตร์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ชาติต่างยกระดับการปรากฏตัวทางทหารและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงเตือนซ้ำๆในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารและความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำจุดยืนดังกล่าวเช่นกัน ประกาศกร้าวว่าการตอบโต้จีน จะเป็นแก่นกลางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขากล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีน "โกหก หลอกลวง เจาะระบบและขโมยข้อมูล เปิดทางสู่สถานะมหาอำนาจโลก โดยที่เราต้องเป็นฝ่ายชดใช้"
    .
    รูบิโอ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆนานาของสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ซึ่งอนุญาตให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญๆโยกย้ายไปยังจีน เตือนว่ามันทำให้การผลิตของอเมริกาตกอยู่ในความอ่อนแอ นอกจากนี้แล้วเขายังเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่าเดิม ในการจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในอินโด-แปซิฟิก และที่อื่นๆ
    .
    ปักกิ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวมาตลอดต่อข้อกล่าวหานี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯคือขุมกำลังหลักที่บ่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาค กระทรวงกลาโหมของจีนประณามความพยายามของวอชิงตัน ในการยกระดับปรากฏตัวทางทหารในอินโด-แปซิฟิก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในความพยายาม "ควบคุมจีน" และปั้นแต่งเรื่องเล่า "ภัยคุกคามจากจีน" แบบเลยเถิด
    .
    นอกจากนี้แล้ว จีน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อกรณีกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับไต้หวัน เน้นย้ำว่าพวกเขามองว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของประเทศ ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปักกิ่ง ประณามวอชิงตัน ต่อการขายอาวุธต่างๆนานาให้ไทเป กล่าวหาว่าอเมริกาปลุกปั่นสถานการณ์ความตึงเครียด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014311
    ..............
    Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนุทิน นำ ส.ว.น้ำเงิน ส่งสัญญาณแตกหัก อ้างหลักการแก้ รธน. ทำประชามติ 3 ครั้ง
    .
    การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่เปิดโอกาสในการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากภายหลังฝ่ายที่่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มส.ว.เริ่มมีความเคลื่อนไหว โดยล่าสุดสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ทำความเห็นเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พุทธศักราช…. (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กับคณะเป็นผู้เสนอ โดยสำนักกฎหมายฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นต้องมีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ถามประชาชนก่อนว่าต้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหมหรือไม่ ครั้งที่ 2 (ถ้าผ่านครั้งที่ 1) นำร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่เสนอแก้มาตรา 256+เพิ่มหมวด 15/1 เสนอที่ประชุมร่วมรัฐสภา ถ้าสภาเห็นชอบแล้ว จึงไปทำประชามติอีกที
    ครั้งที่ 3 (ถ้าผ่านครั้งที่ 2) ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาร่วมรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอต่อรัฐสภาพิจารณาแล้วจึงทำประชามติ
    .
    ประกอบกับรัฐธรรมนูญมาตรา 221 วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ” ซึ่งความเห็นหลักฝ่ายนี้มีการอ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18- 22/2555 เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2555 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกลางของศาล (มิใช่คำวินิจฉัยส่วนตน) ตามที่วินิจฉัยว่า”…รัฐสภามีหน้าที่ และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง” มาเป็นหลักในการพิจารณา
    .
    ทั้งนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 1 ) และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 3) ส่วนการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 2 เป็นไปโดยบทบัญญัติเฉพาะของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 256 (8)
    .
    ความเห็นของสำนักกฎหมายฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ทำหนังสือแจ้งต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้ทราบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเชื่อว่าความเห็นดังกล่าวจะเป็นท่าทีของ ส.ว.ส่วนใหญ่ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 13-14 ก.พ.นี้
    .
    ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า พรรคภูมิใจไทย มีเป็นมติเอกฉันท์ ไม่ร่วมพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ เพราะเห็นว่า การบรรจุวาระเข้ามายังมีความขัดแย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 ที่ระบุว่า ต้องมีการถามประชามติจากพี่น้องประชาชนก่อน เมื่อการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ขั้นตอนการทำประชามติยังไม่ได้รับการปฏิบัติพรรค จึงเห็นว่า มีความสุ่มเสี่ยงไม่สามารถที่จะไปรับฟังความคิดเห็นนั้นได้ เพราะเรามี ส.ส. ซึ่งพี่น้องประชาชนได้เลือกให้เราเข้ามาทำงาน ถึง 71 คน เราก็ต้องทำงาน จะไปรับความเสี่ยง โดยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วไม่ได้
    ..............
    Sondhi X
    อนุทิน นำ ส.ว.น้ำเงิน ส่งสัญญาณแตกหัก อ้างหลักการแก้ รธน. ทำประชามติ 3 ครั้ง . การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่เปิดโอกาสในการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากภายหลังฝ่ายที่่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มส.ว.เริ่มมีความเคลื่อนไหว โดยล่าสุดสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ทำความเห็นเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พุทธศักราช…. (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กับคณะเป็นผู้เสนอ โดยสำนักกฎหมายฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นต้องมีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ถามประชาชนก่อนว่าต้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหมหรือไม่ ครั้งที่ 2 (ถ้าผ่านครั้งที่ 1) นำร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่เสนอแก้มาตรา 256+เพิ่มหมวด 15/1 เสนอที่ประชุมร่วมรัฐสภา ถ้าสภาเห็นชอบแล้ว จึงไปทำประชามติอีกที ครั้งที่ 3 (ถ้าผ่านครั้งที่ 2) ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาร่วมรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอต่อรัฐสภาพิจารณาแล้วจึงทำประชามติ . ประกอบกับรัฐธรรมนูญมาตรา 221 วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ” ซึ่งความเห็นหลักฝ่ายนี้มีการอ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18- 22/2555 เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2555 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกลางของศาล (มิใช่คำวินิจฉัยส่วนตน) ตามที่วินิจฉัยว่า”…รัฐสภามีหน้าที่ และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง” มาเป็นหลักในการพิจารณา . ทั้งนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 1 ) และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 3) ส่วนการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 2 เป็นไปโดยบทบัญญัติเฉพาะของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 256 (8) . ความเห็นของสำนักกฎหมายฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ทำหนังสือแจ้งต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้ทราบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเชื่อว่าความเห็นดังกล่าวจะเป็นท่าทีของ ส.ว.ส่วนใหญ่ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ . ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า พรรคภูมิใจไทย มีเป็นมติเอกฉันท์ ไม่ร่วมพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ เพราะเห็นว่า การบรรจุวาระเข้ามายังมีความขัดแย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 ที่ระบุว่า ต้องมีการถามประชามติจากพี่น้องประชาชนก่อน เมื่อการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ขั้นตอนการทำประชามติยังไม่ได้รับการปฏิบัติพรรค จึงเห็นว่า มีความสุ่มเสี่ยงไม่สามารถที่จะไปรับฟังความคิดเห็นนั้นได้ เพราะเรามี ส.ส. ซึ่งพี่น้องประชาชนได้เลือกให้เราเข้ามาทำงาน ถึง 71 คน เราก็ต้องทำงาน จะไปรับความเสี่ยง โดยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วไม่ได้ .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2146 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธาน ป.ป.ช. แทน พล.ต.อ.วัชรพล ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    .
    วันนี้ (12 ก.พ.) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจริตแห่งชาติ ตามประกาศลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 นั้น ต่อมาพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ เป็นเหตุให้ตำแหน่งว่างลง
    .
    บัดนี้ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่มีอยู่จำนวนเจ็ดคนได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว
    .
    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 232 ของรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    .
    ประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน
    .
    ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
    นายมงคล สุระสัจจะ
    ประธานวุฒิสภา
    .
    อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 2 เลือกนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ให้เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2570 โดยนายสุชาติสำเร็จการศึกษานิติศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย โดยก่อนหน้านี้เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2563 โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014173
    ..............
    Sondhi X
    มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธาน ป.ป.ช. แทน พล.ต.อ.วัชรพล ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . วันนี้ (12 ก.พ.) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจริตแห่งชาติ ตามประกาศลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 นั้น ต่อมาพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ เป็นเหตุให้ตำแหน่งว่างลง . บัดนี้ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่มีอยู่จำนวนเจ็ดคนได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว . อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 232 ของรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ . ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . ประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน . ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา . อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 2 เลือกนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ให้เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2570 โดยนายสุชาติสำเร็จการศึกษานิติศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย โดยก่อนหน้านี้เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2563 โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014173 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2036 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลิฟอร์เนียผ่านงบคุ้มครองโรบินฮูด 50 ล้าน!

    แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ลงนามกฎหมายจัดตั้งงบประมาณ 50 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่ตกเป็นเหยื่อเนรเทศของรัฐบาลทรัมป์

    เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2025 เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ลงนามในกฎหมายจัดสรรงบประมาณพิเศษมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สำหรับให้ความคุ้มครองประชากรกลุ่มผู้อพยพ ที่กำลังถูกคุกคามจากมาตรการ “เนรเทศขนานใหญ่” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    โดยงบประมาณดังกล่าว จะแบ่งเป็นสองส่วนเท่ากัน ส่วนแรก 25 ล้านดอลลาร์ มอบให้กับสำนักงานอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อใช้เป็นเงินกองทุนต่อสู้ในเชิงกฎหมายกับรัฐบาลกลาง ส่วนที่สอง อีก 25 ล้านดอลลาร์ จะถูกแบ่งสันปันส่วนให้กับองค์กรทางกฎหมายในรัฐ ที่ทำงานให้ความช่วยเหลือผู้อพยพที่อยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ

    เกวิน นิวซัม กล่าวหลังลงนามในกฎหมายว่า งบประมาณจากกฎหมายฉบับนี้ ไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองผู้อพยพที่มีประวัติอาชญากรรม

    ทั้งนี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งตัวเป็น “คู่กัด” กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งแต่สมัยแรกในหลายประเด็น เช่นกฎหมายคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ, นโยบายบริหารจัดการน้ำ, สิทธิ์ของผู้อพยพ ฯลฯ จนมีการต่อสู้ในชั้นศาลระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐบาลกลางเกิดขึ้นมากกว่า 120 คดี

    โดยระหว่างเทอมแรกของทรัมป์นั้น สำนักงานอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้งบประมาณ 42 ล้านดอลลาร์ในการต่อสู้ทางกฎหมายกับรัฐบาลกลาง หรือเฉลี่ยปีละกว่า 10 ล้านดอลลาร์

    โรเบิร์ท ริวาส ประธานสภาผู้แทนราษฏรของแคลิฟอร์เนีย แถลงถึงการผลักดันกฎหมายฉบับนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะ “ชาวแคลิฟอร์เนียกำลังถูกคุกคามโดยฝ่ายบริหารบ้าอำนาจ ที่ไม่สนใจรัฐธรรมนูญ และคิดว่าพวกเขามีอำนาจแบบไร้ขีดจำกัด”

    ทั้งนี้ นักวิจารณ์การเมืองทั่วไปเชื่อว่า การต่อสู้ “ยกที่สอง” ระหว่างแคลิฟอร์เนียกับรัฐบาลกลาง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สองนั้น จะเข้นข้นและรุนแรงมากขึ้นกว่ายกที่หนึ่งอย่างแน่นอน.
    แคลิฟอร์เนียผ่านงบคุ้มครองโรบินฮูด 50 ล้าน! แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ลงนามกฎหมายจัดตั้งงบประมาณ 50 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่ตกเป็นเหยื่อเนรเทศของรัฐบาลทรัมป์ เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2025 เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ลงนามในกฎหมายจัดสรรงบประมาณพิเศษมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สำหรับให้ความคุ้มครองประชากรกลุ่มผู้อพยพ ที่กำลังถูกคุกคามจากมาตรการ “เนรเทศขนานใหญ่” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยงบประมาณดังกล่าว จะแบ่งเป็นสองส่วนเท่ากัน ส่วนแรก 25 ล้านดอลลาร์ มอบให้กับสำนักงานอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อใช้เป็นเงินกองทุนต่อสู้ในเชิงกฎหมายกับรัฐบาลกลาง ส่วนที่สอง อีก 25 ล้านดอลลาร์ จะถูกแบ่งสันปันส่วนให้กับองค์กรทางกฎหมายในรัฐ ที่ทำงานให้ความช่วยเหลือผู้อพยพที่อยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ เกวิน นิวซัม กล่าวหลังลงนามในกฎหมายว่า งบประมาณจากกฎหมายฉบับนี้ ไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองผู้อพยพที่มีประวัติอาชญากรรม ทั้งนี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งตัวเป็น “คู่กัด” กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งแต่สมัยแรกในหลายประเด็น เช่นกฎหมายคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ, นโยบายบริหารจัดการน้ำ, สิทธิ์ของผู้อพยพ ฯลฯ จนมีการต่อสู้ในชั้นศาลระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐบาลกลางเกิดขึ้นมากกว่า 120 คดี โดยระหว่างเทอมแรกของทรัมป์นั้น สำนักงานอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้งบประมาณ 42 ล้านดอลลาร์ในการต่อสู้ทางกฎหมายกับรัฐบาลกลาง หรือเฉลี่ยปีละกว่า 10 ล้านดอลลาร์ โรเบิร์ท ริวาส ประธานสภาผู้แทนราษฏรของแคลิฟอร์เนีย แถลงถึงการผลักดันกฎหมายฉบับนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะ “ชาวแคลิฟอร์เนียกำลังถูกคุกคามโดยฝ่ายบริหารบ้าอำนาจ ที่ไม่สนใจรัฐธรรมนูญ และคิดว่าพวกเขามีอำนาจแบบไร้ขีดจำกัด” ทั้งนี้ นักวิจารณ์การเมืองทั่วไปเชื่อว่า การต่อสู้ “ยกที่สอง” ระหว่างแคลิฟอร์เนียกับรัฐบาลกลาง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สองนั้น จะเข้นข้นและรุนแรงมากขึ้นกว่ายกที่หนึ่งอย่างแน่นอน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ทักษิณ' อ้างหลายปัจจัย 'ยิ่งลักษณ์' ยังกลับไทยไม่ได้
    .
    ถ้าใครยังจำกันได้ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี น้องสาวตัวเองจะขอกลับมาเล่นน้ำสงกรานต์กับคนไทยในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งปัจจุบันเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะถึงกำหนดดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฎว่าทักษิณแสดงท่าทีถอยชัดเจนแล้วว่าน้องปูยังไม่ถึงเวลากลับประเทศไทย
    .
    "ยังต้องดูเรื่องความเหมาะสม มีหลายปัจจัย กำลังดูอยู่ ความจริงเขาอยากกลับตั้งแต่เมื่อวาน" ทักษิณ ระบุ
    .
    สำหรับคดีที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถเดินกลับประเทศไทยได้ คือ การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก ในฐานะจำเลยคดีโครงการทุจริตรับจำนำข้าว 5 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากยิ่งลักษณ์ทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้ส่งมอบข้าวตามสัญญา จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1
    .
    นอกจากนี้ ทักษิณ ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีว่า นายกฯคุยเป็นประจำ ทราบว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะทุกคนยังทำงานกันได้ด้วยดี มีติดขัดเล็กน้อยแต่ยังเตือนกัน ยังไปได้ด้วยกันโดยไม่มีปัญหา
    .
    "ถ้าเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลของแต่ละพรรค ที่ต้องการปรับ ขอให้ดูจังหวะจะต้องปรับด้วยกัน ไม่ใช่แค่ปรับแค่คนหรือสองคน นอกจากจะมีตำแหน่งว่าง หรือลาออก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากไม่ใช่เงื่อนไขนี้เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะไม่มีการปรับ" ทักษิณ กล่าว

    .............
    Sondhi X
    'ทักษิณ' อ้างหลายปัจจัย 'ยิ่งลักษณ์' ยังกลับไทยไม่ได้ . ถ้าใครยังจำกันได้ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี น้องสาวตัวเองจะขอกลับมาเล่นน้ำสงกรานต์กับคนไทยในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งปัจจุบันเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะถึงกำหนดดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฎว่าทักษิณแสดงท่าทีถอยชัดเจนแล้วว่าน้องปูยังไม่ถึงเวลากลับประเทศไทย . "ยังต้องดูเรื่องความเหมาะสม มีหลายปัจจัย กำลังดูอยู่ ความจริงเขาอยากกลับตั้งแต่เมื่อวาน" ทักษิณ ระบุ . สำหรับคดีที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถเดินกลับประเทศไทยได้ คือ การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก ในฐานะจำเลยคดีโครงการทุจริตรับจำนำข้าว 5 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากยิ่งลักษณ์ทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้ส่งมอบข้าวตามสัญญา จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1 . นอกจากนี้ ทักษิณ ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีว่า นายกฯคุยเป็นประจำ ทราบว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะทุกคนยังทำงานกันได้ด้วยดี มีติดขัดเล็กน้อยแต่ยังเตือนกัน ยังไปได้ด้วยกันโดยไม่มีปัญหา . "ถ้าเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลของแต่ละพรรค ที่ต้องการปรับ ขอให้ดูจังหวะจะต้องปรับด้วยกัน ไม่ใช่แค่ปรับแค่คนหรือสองคน นอกจากจะมีตำแหน่งว่าง หรือลาออก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากไม่ใช่เงื่อนไขนี้เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะไม่มีการปรับ" ทักษิณ กล่าว ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1367 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
    .
    เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง
    .
    คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที
    .
    ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง
    .
    ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน
    .
    ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก
    .
    ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
    .
    ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ
    .
    ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
    .
    แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน
    .
    นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา
    .
    ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก
    .
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง
    .
    ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ . เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง . คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที . ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง . ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน . ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก . ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” . ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ . ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง . แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน . นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง . ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา . ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก . เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง . ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1308 มุมมอง 0 รีวิว
  • 158 ปี ยุคเมจิญี่ปุ่น เมื่อมกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ ปฏิรูปประเทศเพียง 2 ทศวรรษ จากด้อยพัฒนา สู่ประเทศอุตสาหกรรม

    📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 158 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เมื่อ "มกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ" ขึ้นครองราชบัลลังก์ กลายเป็น "จักรพรรดิเมจิ" (Meiji Emperor) และนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่

    ในระยะเวลาเพียง 20 ปี ญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนแปลง จากรัฐศักดินาที่ล้าหลัง ไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ได้อย่างน่าทึ่ง! 📈✨

    👑 จากมกุฎราชกุมาร สู่ผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่น 👑
    "มุตสึฮิโตะ" หรือที่รู้จักกันในพระนาม "จักรพรรดิเมจิ" (明治天皇, Meiji Tennō) เป็นจักรพรรดิ องค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2410 - 2455 (ค.ศ. 1867 - 1912) ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

    ก่อนขึ้นครองราชย์ ญี่ปุ่นยังคงเป็นรัฐศักดินา ภายใต้การปกครอง ของโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) ซึ่งดำเนินนโยบาย "ซะโกกุ" (鎖国, Sakoku) หรือการปิดประเทศมากว่า 250 ปี ทำให้ญี่ปุ่นล้าหลัง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี

    แต่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ การปฏิรูปครั้งใหญ่ ได้เริ่มต้นขึ้น 🏗️⚙️

    🔻 การล่มสลายของโชกุน และระบบซามูไร ⚔️
    หลังจากที่จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ ถูกโค่นล้มในปี พ.ศ. 2411 โดยกองกำลัง ของกลุ่มแคว้นศักดินา ซัตสึมะ (Satsuma) และโชชู (Chōshū) ในสงครามโบชิน (Boshin War)

    การสิ้นสุดของโชกุน ส่งผลให้ระบบซามูไร ถูกยกเลิก ประชาชนทุกคน ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีชนชั้นสูง ที่ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือกว่าคนทั่วไปอีกต่อไป

    📍 ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต สู่โตเกียว
    จักรพรรดิเมจิ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต มายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "โตเกียว" (Tokyo, 東京) กลายเป็นศูนย์กลาง อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจของญี่ปุ่น

    🏛️ ปฏิรูปประเทศปูทางสู่มหาอำนาจโลก
    📜 ปฏิรูประบบการเมือง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่รัฐธรรมนูญ
    รัฐบาลเมจิประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญเมจิ" (Meiji Constitution) ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก รัฐธรรมนูญของเยอรมนี ทำให้ญี่ปุ่นมีระบบรัฐสภา (Diet, 国会) ที่ประกอบด้วย
    ✅ สภาขุนนาง (House of Peers)
    ✅ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives)

    แต่ถึงแม้จะมีระบบรัฐสภา อำนาจสูงสุด ยังคงอยู่ที่จักรพรรดิ และขุนนางชั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตก

    🏭 ปฏิรูปเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
    ก่อนการปฏิรูป ญี่ปุ่นพึ่งพาเกษตรกรรม และมีระบบศักดินา ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่หลังจากการปฏิรูป ประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเอเชีย

    📌 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
    🔹 ยกเลิกระบบศักดินา นำที่ดินคืนจากไดเมียว (ขุนนางศักดินา) และจัดสรรให้เกษตรกร 📜
    🔹 ก่อตั้งระบบธนาคารและเงินตรา ใช้เงินเยน (¥) เป็นสกุลเงินหลัก 💴
    🔹 สร้างทางรถไฟ และระบบคมนาคม ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น 🚄
    🔹 ลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกล้า สิ่งทอ และเรือเดินสมุทร 🏭

    🎓 ปฏิรูประบบการศึกษา สร้างชาติด้วยความรู้
    ในปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) รัฐบาลเมจิออกกฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ ให้เด็กทุกคน ต้องเรียนหนังสือ 👨‍🎓📚

    หลักสูตรการศึกษา
    📌 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแบบตะวันตก
    📌 ลัทธิขงจื๊อ และความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ
    📌 ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ

    ผลลัพธ์คือ ญี่ปุ่นมีประชากร ที่มีการศึกษาสูงสุดในเอเชีย ภายในเวลาไม่กี่สิบปี

    ⚔️ สงครามและชัยชนะ ที่เปลี่ยนชะตาญี่ปุ่น
    ⚔️ สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Sino-Japanese War, 1894-1895)
    ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจีน และยึดครองไต้หวัน 🇹🇼

    ⚔️ สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War, 1904-1905)
    ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเอเชียชาติแรก ที่สามารถเอาชนะ มหาอำนาจยุโรปได้! 🇯🇵💥

    🔚 20 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลง สู่มหาอำนาจโลก
    ✅ จากรัฐศักดินา สู่รัฐอุตสาหกรรม
    ✅ จากระบบซามูไร สู่ระบบทหารสมัยใหม่
    ✅ จากประเทศปิดตัวเอง สู่ประเทศมหาอำนาจระดับโลก

    ยุคเมจิพิสูจน์ให้เห็นว่า "การเปลี่ยนแปลง" คือกุญแจสู่ความก้าวหน้า! 🔑🚀

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031455 ก.พ. 2568

    🔗 #MeijiEra #JapanHistory #จักรพรรดิเมจิ #ปฏิรูปญี่ปุ่น #ยุคเมจิ #ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น #MeijiRestoration #JapanEmpire #JapaneseIndustry #ModernizationJapan
    158 ปี ยุคเมจิญี่ปุ่น เมื่อมกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ ปฏิรูปประเทศเพียง 2 ทศวรรษ จากด้อยพัฒนา สู่ประเทศอุตสาหกรรม 📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 158 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เมื่อ "มกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ" ขึ้นครองราชบัลลังก์ กลายเป็น "จักรพรรดิเมจิ" (Meiji Emperor) และนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่ ในระยะเวลาเพียง 20 ปี ญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนแปลง จากรัฐศักดินาที่ล้าหลัง ไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ได้อย่างน่าทึ่ง! 📈✨ 👑 จากมกุฎราชกุมาร สู่ผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่น 👑 "มุตสึฮิโตะ" หรือที่รู้จักกันในพระนาม "จักรพรรดิเมจิ" (明治天皇, Meiji Tennō) เป็นจักรพรรดิ องค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2410 - 2455 (ค.ศ. 1867 - 1912) ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ก่อนขึ้นครองราชย์ ญี่ปุ่นยังคงเป็นรัฐศักดินา ภายใต้การปกครอง ของโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) ซึ่งดำเนินนโยบาย "ซะโกกุ" (鎖国, Sakoku) หรือการปิดประเทศมากว่า 250 ปี ทำให้ญี่ปุ่นล้าหลัง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี แต่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ การปฏิรูปครั้งใหญ่ ได้เริ่มต้นขึ้น 🏗️⚙️ 🔻 การล่มสลายของโชกุน และระบบซามูไร ⚔️ หลังจากที่จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ ถูกโค่นล้มในปี พ.ศ. 2411 โดยกองกำลัง ของกลุ่มแคว้นศักดินา ซัตสึมะ (Satsuma) และโชชู (Chōshū) ในสงครามโบชิน (Boshin War) การสิ้นสุดของโชกุน ส่งผลให้ระบบซามูไร ถูกยกเลิก ประชาชนทุกคน ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีชนชั้นสูง ที่ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือกว่าคนทั่วไปอีกต่อไป 📍 ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต สู่โตเกียว จักรพรรดิเมจิ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต มายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "โตเกียว" (Tokyo, 東京) กลายเป็นศูนย์กลาง อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 🏛️ ปฏิรูปประเทศปูทางสู่มหาอำนาจโลก 📜 ปฏิรูประบบการเมือง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่รัฐธรรมนูญ รัฐบาลเมจิประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญเมจิ" (Meiji Constitution) ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก รัฐธรรมนูญของเยอรมนี ทำให้ญี่ปุ่นมีระบบรัฐสภา (Diet, 国会) ที่ประกอบด้วย ✅ สภาขุนนาง (House of Peers) ✅ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) แต่ถึงแม้จะมีระบบรัฐสภา อำนาจสูงสุด ยังคงอยู่ที่จักรพรรดิ และขุนนางชั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตก 🏭 ปฏิรูปเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ก่อนการปฏิรูป ญี่ปุ่นพึ่งพาเกษตรกรรม และมีระบบศักดินา ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่หลังจากการปฏิรูป ประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเอเชีย 📌 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 🔹 ยกเลิกระบบศักดินา นำที่ดินคืนจากไดเมียว (ขุนนางศักดินา) และจัดสรรให้เกษตรกร 📜 🔹 ก่อตั้งระบบธนาคารและเงินตรา ใช้เงินเยน (¥) เป็นสกุลเงินหลัก 💴 🔹 สร้างทางรถไฟ และระบบคมนาคม ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น 🚄 🔹 ลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกล้า สิ่งทอ และเรือเดินสมุทร 🏭 🎓 ปฏิรูประบบการศึกษา สร้างชาติด้วยความรู้ ในปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) รัฐบาลเมจิออกกฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ ให้เด็กทุกคน ต้องเรียนหนังสือ 👨‍🎓📚 หลักสูตรการศึกษา 📌 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแบบตะวันตก 📌 ลัทธิขงจื๊อ และความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ 📌 ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผลลัพธ์คือ ญี่ปุ่นมีประชากร ที่มีการศึกษาสูงสุดในเอเชีย ภายในเวลาไม่กี่สิบปี ⚔️ สงครามและชัยชนะ ที่เปลี่ยนชะตาญี่ปุ่น ⚔️ สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Sino-Japanese War, 1894-1895) ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจีน และยึดครองไต้หวัน 🇹🇼 ⚔️ สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War, 1904-1905) ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเอเชียชาติแรก ที่สามารถเอาชนะ มหาอำนาจยุโรปได้! 🇯🇵💥 🔚 20 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลง สู่มหาอำนาจโลก ✅ จากรัฐศักดินา สู่รัฐอุตสาหกรรม ✅ จากระบบซามูไร สู่ระบบทหารสมัยใหม่ ✅ จากประเทศปิดตัวเอง สู่ประเทศมหาอำนาจระดับโลก ยุคเมจิพิสูจน์ให้เห็นว่า "การเปลี่ยนแปลง" คือกุญแจสู่ความก้าวหน้า! 🔑🚀 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031455 ก.พ. 2568 🔗 #MeijiEra #JapanHistory #จักรพรรดิเมจิ #ปฏิรูปญี่ปุ่น #ยุคเมจิ #ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น #MeijiRestoration #JapanEmpire #JapaneseIndustry #ModernizationJapan
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่างเป็นทางการ "อาหมัด อัลชารา" เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย

    จากผู้นำกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ที่มีค่าหัวสิบล้านดอลลาร์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีได้โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้ง โดยไม่มีประเทศใดออกมาคัดค้าน แม้แต่กลุ่มประเทศยุโรปที่บ้าคลั่งประชาธิปไตยสุดขั้ว ในขณะที่ประเทศที่ผ่านการเลือกตั้งอย่างเบลารุส รัสเซีย จอร์เจีย โรมาเนีย เวเนซูเอล่า กลับโดนประณามจากกลุ่มประเทศยุโรป

    ช่วงเวลาต่อจากนี้ของซีเรีย "อาหมัด อัลชารา จะเป็นประธานาธิบดีซีเรียในช่วงเปลี่ยนผ่านเบื้องต้นระบะเวลา 4 ปี
    - กองกำลังท้ังหมดจากกลุ่มต่างๆจะถูกยุบและรวมเข้ากับรัฐบาลซีเรียชุดใหม่
    - พรรคบาอัธอาหรับ ของอดีตประธานาธิบดีอัสซาด และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ และเตรียมตั้ง "สภานิติบัญญัติชั่วคราว" เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
    - น่าสนใจว่าขณะอัลจารากล่าวปราศรัยไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียวในที่ประชุมหัวหน้าทหาร
    อย่างเป็นทางการ "อาหมัด อัลชารา" เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย จากผู้นำกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ที่มีค่าหัวสิบล้านดอลลาร์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีได้โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้ง โดยไม่มีประเทศใดออกมาคัดค้าน แม้แต่กลุ่มประเทศยุโรปที่บ้าคลั่งประชาธิปไตยสุดขั้ว ในขณะที่ประเทศที่ผ่านการเลือกตั้งอย่างเบลารุส รัสเซีย จอร์เจีย โรมาเนีย เวเนซูเอล่า กลับโดนประณามจากกลุ่มประเทศยุโรป ช่วงเวลาต่อจากนี้ของซีเรีย "อาหมัด อัลชารา จะเป็นประธานาธิบดีซีเรียในช่วงเปลี่ยนผ่านเบื้องต้นระบะเวลา 4 ปี - กองกำลังท้ังหมดจากกลุ่มต่างๆจะถูกยุบและรวมเข้ากับรัฐบาลซีเรียชุดใหม่ - พรรคบาอัธอาหรับ ของอดีตประธานาธิบดีอัสซาด และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ และเตรียมตั้ง "สภานิติบัญญัติชั่วคราว" เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ - น่าสนใจว่าขณะอัลจารากล่าวปราศรัยไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียวในที่ประชุมหัวหน้าทหาร
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
    .
    ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง
    .
    พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล
    .
    นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ
    .
    และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ
    .
    ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้
    .
    ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้
    .
    ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน
    .
    บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร
    .
    พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม
    .
    ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
    .
    อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน . ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน . คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง . พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล . นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ . ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ . คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ . และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ . ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ . ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย . ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก . ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้ . ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน . บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม . ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร . พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม . ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด . อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2138 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกฯ เป็นประธานกฤษฎีกาคณะพิเศษ พิจารณา กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขณะที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" อดีต ปธ.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ นั่งเป็นกรรมการด้วย คาดเสร็จเร็วกว่า 50 วัน
    .
    วันนี้ (29 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พร้อมทั้งส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 (เกี่ยวกับบริหารราชการแผ่นดิน) เป็นประธาน และมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ) เป็นกรรมการด้วย
    .
    ขณะที่รัฐบาลได้ส่ง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และนายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนเข้าไปร่วมประชุมคอยชี้แจงหลักการและแนวคิดของรัฐบาล โดยคณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และกระทรวงการมหาดไทย เข้าไปชี้แจงแล้ว ล่าสุดมีรายงานว่า จากการเร่งเดินหน้าเรื่องดังกล่าว อาจทำให้การพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จเร็วกว่ากรอบ 50 วัน ที่จะครบในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568
    .
    ขณะที่เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) นายปกรณ์​ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า การหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ในตอนนี้เรียกประชุม 3-4 ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เรียกกระทรวงการคลัง​ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแล้ว ซึ่งการหารือไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้​ อย่างเรื่องการรักษาการร่วม และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร
    .
    ส่วนที่นายจุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง​ ระบุกฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนที่กฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติสัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นายปกรณ์เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่​นายจุลพันธ์มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น
    .
    ด้านนายจุล​พันธ์ปฏิเสธจะชี้แจงรายละเอียด ระบุเพียงว่า​ ไม่มีอะไร การพูดคุยคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษราบรื่นดี ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ร่างกาสิโน โดยได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปในแนวทางนโยบายแห่งรัฐ โดยสรุปว่านโยบายนี้คือองค์ประกอบของธุรกิจหลายรูปแบบ โดยรัฐบาลสามารถกำหนดได้ ซึ่งกาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับสัดส่วนกาสิโนไม่ได้มีการเขียนในกฎหมายตั้งแต่ต้น แต่อยู่ที่เจตจำนงของผู้กำหนดนโยบายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ แต่หากต้องกำหนด เช่น ไม่เกิน 10% ก็สามารถดำเนินการได้​ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด​ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้
    .
    ส่วนการไม่กำหนดสัดส่วนกาสิโนเข้าไปในกฎหมาย จะไม่เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายนั้น นายจุล​พันธ์ยืนยันว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องกาสิโนรายละเอียดของสถานที่ก็จะยังไม่เขียนในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย (ซูเปอร์บอร์ด) สถานบันเทิงครบวงจรในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งตามหลักโมเดลธุรกิจไม่เกิน 10% เพราะมาตรฐานทั่วโลกไม่เกิน 5% เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนกาสิโน 3% ฉะนั้นอย่าจินตนาการเลยสิ่งที่มันไม่เป็นจริงและข้อเท็จจริง​ พร้อมยืนยันว่าไม่กังวล ที่ขณะนี้สังคมกำลังจับตา เพราะทำตามหน้าที่และขั้นตอน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009147
    ..............
    Sondhi X
    พบ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกฯ เป็นประธานกฤษฎีกาคณะพิเศษ พิจารณา กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขณะที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" อดีต ปธ.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ นั่งเป็นกรรมการด้วย คาดเสร็จเร็วกว่า 50 วัน . วันนี้ (29 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พร้อมทั้งส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 (เกี่ยวกับบริหารราชการแผ่นดิน) เป็นประธาน และมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ) เป็นกรรมการด้วย . ขณะที่รัฐบาลได้ส่ง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และนายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนเข้าไปร่วมประชุมคอยชี้แจงหลักการและแนวคิดของรัฐบาล โดยคณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และกระทรวงการมหาดไทย เข้าไปชี้แจงแล้ว ล่าสุดมีรายงานว่า จากการเร่งเดินหน้าเรื่องดังกล่าว อาจทำให้การพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จเร็วกว่ากรอบ 50 วัน ที่จะครบในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568 . ขณะที่เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) นายปกรณ์​ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า การหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ในตอนนี้เรียกประชุม 3-4 ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เรียกกระทรวงการคลัง​ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแล้ว ซึ่งการหารือไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้​ อย่างเรื่องการรักษาการร่วม และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร . ส่วนที่นายจุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง​ ระบุกฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนที่กฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติสัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นายปกรณ์เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่​นายจุลพันธ์มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น . ด้านนายจุล​พันธ์ปฏิเสธจะชี้แจงรายละเอียด ระบุเพียงว่า​ ไม่มีอะไร การพูดคุยคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษราบรื่นดี ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ร่างกาสิโน โดยได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปในแนวทางนโยบายแห่งรัฐ โดยสรุปว่านโยบายนี้คือองค์ประกอบของธุรกิจหลายรูปแบบ โดยรัฐบาลสามารถกำหนดได้ ซึ่งกาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับสัดส่วนกาสิโนไม่ได้มีการเขียนในกฎหมายตั้งแต่ต้น แต่อยู่ที่เจตจำนงของผู้กำหนดนโยบายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ แต่หากต้องกำหนด เช่น ไม่เกิน 10% ก็สามารถดำเนินการได้​ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด​ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้ . ส่วนการไม่กำหนดสัดส่วนกาสิโนเข้าไปในกฎหมาย จะไม่เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายนั้น นายจุล​พันธ์ยืนยันว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องกาสิโนรายละเอียดของสถานที่ก็จะยังไม่เขียนในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย (ซูเปอร์บอร์ด) สถานบันเทิงครบวงจรในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งตามหลักโมเดลธุรกิจไม่เกิน 10% เพราะมาตรฐานทั่วโลกไม่เกิน 5% เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนกาสิโน 3% ฉะนั้นอย่าจินตนาการเลยสิ่งที่มันไม่เป็นจริงและข้อเท็จจริง​ พร้อมยืนยันว่าไม่กังวล ที่ขณะนี้สังคมกำลังจับตา เพราะทำตามหน้าที่และขั้นตอน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009147 .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    Sad
    11
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2272 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย วางแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยจะบรรญัติข้อความในการยอมรับอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง

    ฟิโก ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายที่คล้ายกันนี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง

    ฟิโก้ ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ว่าเป็น "นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและมีเหตุผล" และเสนอแนะว่าสหภาพยุโรปควรปฏิบัติตาม
    โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย วางแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยจะบรรญัติข้อความในการยอมรับอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ฟิโก ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายที่คล้ายกันนี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ฟิโก้ ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ว่าเป็น "นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและมีเหตุผล" และเสนอแนะว่าสหภาพยุโรปควรปฏิบัติตาม
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts