• บทความกฎหมาย EP.23

    ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย

    ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ

    ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    บทความกฎหมาย EP.23 ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี้คืออีกตัวอย่างหนึ่งของกฎหมายที่เลวชั่วของเจ้าของกิจการdeep stateคาบาลในไทยสั่งรัฐบาลไทยเขียนขึ้นเพื่อเอาเปรียบและข่มเหง กดขี่คนไทย เหยียบซ้ำให้คนไทยเรายากจนและเดือดร้อนทั่วประเทศ.

    ..ทหารไทยเราที่ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลคาบาลไซออนิสต์ในไทยจึงต้องฉีกกฎหมายกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งกฎหมายการเงินของแบงค์ชาติไทยด้วยที่ออกกฎหมายมารับใช้คาบาลไซออนิสต์เครือข่ายกิจการมันทั้งหมดในไทย.,นอกจากฉีกรัฐธรรมนูญของคาบาลในไทยที่อ้างประชาชนคนไทยบังหน้า อ้างเพื่อผลดีต่อคนไทยแต่ผลงานคือบัตรคนจนเพิ่มขึ้น.

    ..ทหารไทยจะยึดอำนาจกี่โมง อย่าลากเกมส์เดินตามหมากมัน,แผ่นดินไทยเรา เราเลือกทางรอดเราเอง .

    #การยึดอำนาจคือหนทางรอดของคนไทยทั้งประเทศจากคาบาลไซออนิสต์โลก
    #ยุติอำนาจมันปล้นประเทศไทยด้วยการปฏิวัติสถานเดียว.

    https://vm.tiktok.com/ZSH3LsVoVLNRk-B5uON/
    นี้คืออีกตัวอย่างหนึ่งของกฎหมายที่เลวชั่วของเจ้าของกิจการdeep stateคาบาลในไทยสั่งรัฐบาลไทยเขียนขึ้นเพื่อเอาเปรียบและข่มเหง กดขี่คนไทย เหยียบซ้ำให้คนไทยเรายากจนและเดือดร้อนทั่วประเทศ. ..ทหารไทยเราที่ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลคาบาลไซออนิสต์ในไทยจึงต้องฉีกกฎหมายกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งกฎหมายการเงินของแบงค์ชาติไทยด้วยที่ออกกฎหมายมารับใช้คาบาลไซออนิสต์เครือข่ายกิจการมันทั้งหมดในไทย.,นอกจากฉีกรัฐธรรมนูญของคาบาลในไทยที่อ้างประชาชนคนไทยบังหน้า อ้างเพื่อผลดีต่อคนไทยแต่ผลงานคือบัตรคนจนเพิ่มขึ้น. ..ทหารไทยจะยึดอำนาจกี่โมง อย่าลากเกมส์เดินตามหมากมัน,แผ่นดินไทยเรา เราเลือกทางรอดเราเอง . #การยึดอำนาจคือหนทางรอดของคนไทยทั้งประเทศจากคาบาลไซออนิสต์โลก #ยุติอำนาจมันปล้นประเทศไทยด้วยการปฏิวัติสถานเดียว. https://vm.tiktok.com/ZSH3LsVoVLNRk-B5uON/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเขียนใหม่หมดเฉพาะอิสระเสรีภาคประชาชนจริงๆ,เอาอธิปไตยคืนจากต่างประเทศจริงที่รัฐธรรมนูญฉบับยึดอำนาจยุคลุงและใดๆกฎหมายพรบ.ที่ออกๆมาทำร้ายทำลายความสงบสุขและสร้างจริงจากทรัพยากรไทยเราจริงๆที่สามารถเอามาอิสระสร้างชาติได้แต่รัฐบาลยึดอำนาจชุดเก่าและอดีตรัฐบาลไม่เคยทำหน้าที่นี้จริง,การยึดอำนาจครั้งนี้หากทำจริงได้ เราจะควบคุมทุกๆอย่างทั้งหมด,เขมรเปิดโอกาสเราแล้ว ทหารชอบธรรม ยึดอำนาจเลย เบื่อหน่ายการโกงกินบ้านเมืองของนักการเมืองมากและเอาต่างชาติมาทำลายชาติไทยตนเองด้วย.

    https://youtu.be/mVYdSNZ1mL8?si=FUS9-12e7rlka0c1
    ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเขียนใหม่หมดเฉพาะอิสระเสรีภาคประชาชนจริงๆ,เอาอธิปไตยคืนจากต่างประเทศจริงที่รัฐธรรมนูญฉบับยึดอำนาจยุคลุงและใดๆกฎหมายพรบ.ที่ออกๆมาทำร้ายทำลายความสงบสุขและสร้างจริงจากทรัพยากรไทยเราจริงๆที่สามารถเอามาอิสระสร้างชาติได้แต่รัฐบาลยึดอำนาจชุดเก่าและอดีตรัฐบาลไม่เคยทำหน้าที่นี้จริง,การยึดอำนาจครั้งนี้หากทำจริงได้ เราจะควบคุมทุกๆอย่างทั้งหมด,เขมรเปิดโอกาสเราแล้ว ทหารชอบธรรม ยึดอำนาจเลย เบื่อหน่ายการโกงกินบ้านเมืองของนักการเมืองมากและเอาต่างชาติมาทำลายชาติไทยตนเองด้วย. https://youtu.be/mVYdSNZ1mL8?si=FUS9-12e7rlka0c1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอนแทนาเปิดประวัติศาสตร์! รับรอง “สิทธิในการคำนวณ” เป็นกฎหมายครั้งแรกในสหรัฐฯ

    รัฐมอนแทนาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการออกกฎหมายรับรอง “สิทธิในการคำนวณ” อย่างเป็นทางการ โดยผ่านร่างกฎหมาย Senate Bill 212 หรือ “Montana Right to Compute Act” ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกในสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือคำนวณและเทคโนโลยี AI ภายใต้หลักการเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในทรัพย์สิน

    กฎหมายนี้ระบุว่าชาวมอนแทนามีสิทธิพื้นฐานในการเป็นเจ้าของและใช้งานทรัพยากรคำนวณ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือ AI โดยรัฐสามารถออกข้อจำกัดได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยสาธารณะ และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและจำกัดขอบเขตอย่างเข้มงวด

    นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมด้วย AI เช่น:
    ต้องมี “กลไกหยุดทำงาน” เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมได้
    ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยประจำปี

    กฎหมายนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิด้านดิจิทัล เช่น Frontier Institute และองค์กรระดับโลกอย่าง Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ที่ผลักดันแนวคิดว่า “คอมพิวเตอร์คือการขยายขีดความสามารถในการคิดของมนุษย์”

    สิ่งที่กฎหมาย MRTCA รับรอง
    สิทธิในการเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ AI
    การคุ้มครองสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญของมอนแทนา
    ข้อจำกัดจากรัฐต้องมีเหตุผลด้านสุขภาพหรือความปลอดภัย และจำกัดขอบเขต
    ระบบ AI ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานต้องมี “shutdown mechanism”
    ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ทุกปี
    สนับสนุนแนวคิดว่า “การคำนวณคือสิทธิมนุษยชน”
    ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มระดับโลก เช่น Haltia.AI และ ASIMOV Protocol
    เป็นแรงบันดาลใจให้รัฐอื่น เช่น New Hampshire ผลักดันกฎหมายคล้ายกัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ข้อจำกัดจากรัฐยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีเหตุผลด้านความปลอดภัย
    ระบบ AI ที่ไม่มีกลไกควบคุมจากมนุษย์อาจถูกจำกัดการใช้งาน
    การตีความ “สิทธิในการคำนวณ” อาจแตกต่างกันในแต่ละรัฐ
    การขยายสิทธิไปยังระดับประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย

    https://montananewsroom.com/montana-becomes-first-state-to-enshrine-right-to-compute-into-law/
    🛡️ มอนแทนาเปิดประวัติศาสตร์! รับรอง “สิทธิในการคำนวณ” เป็นกฎหมายครั้งแรกในสหรัฐฯ รัฐมอนแทนาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการออกกฎหมายรับรอง “สิทธิในการคำนวณ” อย่างเป็นทางการ โดยผ่านร่างกฎหมาย Senate Bill 212 หรือ “Montana Right to Compute Act” ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกในสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือคำนวณและเทคโนโลยี AI ภายใต้หลักการเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในทรัพย์สิน กฎหมายนี้ระบุว่าชาวมอนแทนามีสิทธิพื้นฐานในการเป็นเจ้าของและใช้งานทรัพยากรคำนวณ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือ AI โดยรัฐสามารถออกข้อจำกัดได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยสาธารณะ และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและจำกัดขอบเขตอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมด้วย AI เช่น: 💠 ต้องมี “กลไกหยุดทำงาน” เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมได้ 💠 ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยประจำปี กฎหมายนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิด้านดิจิทัล เช่น Frontier Institute และองค์กรระดับโลกอย่าง Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ที่ผลักดันแนวคิดว่า “คอมพิวเตอร์คือการขยายขีดความสามารถในการคิดของมนุษย์” ✅ สิ่งที่กฎหมาย MRTCA รับรอง ➡️ สิทธิในการเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ AI ➡️ การคุ้มครองสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญของมอนแทนา ➡️ ข้อจำกัดจากรัฐต้องมีเหตุผลด้านสุขภาพหรือความปลอดภัย และจำกัดขอบเขต ➡️ ระบบ AI ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานต้องมี “shutdown mechanism” ➡️ ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ทุกปี ➡️ สนับสนุนแนวคิดว่า “การคำนวณคือสิทธิมนุษยชน” ➡️ ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มระดับโลก เช่น Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ➡️ เป็นแรงบันดาลใจให้รัฐอื่น เช่น New Hampshire ผลักดันกฎหมายคล้ายกัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ข้อจำกัดจากรัฐยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีเหตุผลด้านความปลอดภัย ⛔ ระบบ AI ที่ไม่มีกลไกควบคุมจากมนุษย์อาจถูกจำกัดการใช้งาน ⛔ การตีความ “สิทธิในการคำนวณ” อาจแตกต่างกันในแต่ละรัฐ ⛔ การขยายสิทธิไปยังระดับประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย https://montananewsroom.com/montana-becomes-first-state-to-enshrine-right-to-compute-into-law/
    MONTANANEWSROOM.COM
    Montana Becomes First State to Enshrine ‘Right to Compute’ Into Law - Montana Newsroom
    Montana has made history as the first state in the U.S. to legally protect its citizens’ right to access and use computational tools and artificial intelligence technologies. Governor Greg Gianforte signed Senate Bill 212, officially known as the Montana Right to Compute Act (MRTCA), into law. The groundbreaking legislation affirms Montanans’ fundamental right to own […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระนครศรีอยุธยามี สส.เขต 5 คน เป็นสส.ภูมิใจเทา 3 คน สส.ส้มเน่า 2 คน ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเน่าโกยคะแนนกว่า 230,000 เสียง หรือ 45% แต่พวกมันกลับไม่เคยเหลียวแลคนในพื้นที่กินนอนกลางน้ำมา4เดือน ห่วงแต่กอบโกยและแก้ไขรัฐธรรมนูญ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    พระนครศรีอยุธยามี สส.เขต 5 คน เป็นสส.ภูมิใจเทา 3 คน สส.ส้มเน่า 2 คน ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเน่าโกยคะแนนกว่า 230,000 เสียง หรือ 45% แต่พวกมันกลับไม่เคยเหลียวแลคนในพื้นที่กินนอนกลางน้ำมา4เดือน ห่วงแต่กอบโกยและแก้ไขรัฐธรรมนูญ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ไอติม’ ขีดเส้นตาย อนุทิน 2 เงื่อนไขหลัก หากไม่ทำตาม MOA ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที
    https://www.thai-tai.tv/news/22283/
    .
    #ไทยไท #พริษฐ์วัชรสินธุ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ยุบสภา #แก้รัฐธรรมนูญ #MOA #พรรคประชาชน
    ‘ไอติม’ ขีดเส้นตาย อนุทิน 2 เงื่อนไขหลัก หากไม่ทำตาม MOA ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที https://www.thai-tai.tv/news/22283/ . #ไทยไท #พริษฐ์วัชรสินธุ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ยุบสภา #แก้รัฐธรรมนูญ #MOA #พรรคประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผย ยังไม่ได้รับสัญญาณจากรัฐบาลขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ แต่มีพูดคุยกับคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าอาจต้องขอให้สภาเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาในวาระ 2 ก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างจากกฎหมายอื่น เมื่อพิจารณาเสร็จวาระ 2 ต้องเว้นระยะ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระ 3 อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความเรียบร้อยประนีประนอมในข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อไปทำประชามติตามที่รัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมไว้ ส่วนกรณีการตรวจสอบประเด็นผู้ช่วย สส. ถ้ามีคนร้องว่ามีการกระทำไม่ถูกต้อง สภาก็ต้องตรวจสอบไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วย สส. เปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ต้องมีคนร้องเรียนเข้ามาเพื่อจะได้มีข้อมูล ทางสภาจะให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ
    นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผย ยังไม่ได้รับสัญญาณจากรัฐบาลขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ แต่มีพูดคุยกับคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าอาจต้องขอให้สภาเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาในวาระ 2 ก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างจากกฎหมายอื่น เมื่อพิจารณาเสร็จวาระ 2 ต้องเว้นระยะ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระ 3 อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความเรียบร้อยประนีประนอมในข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อไปทำประชามติตามที่รัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมไว้ ส่วนกรณีการตรวจสอบประเด็นผู้ช่วย สส. ถ้ามีคนร้องว่ามีการกระทำไม่ถูกต้อง สภาก็ต้องตรวจสอบไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วย สส. เปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ต้องมีคนร้องเรียนเข้ามาเพื่อจะได้มีข้อมูล ทางสภาจะให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.18

    การยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นมากกว่าการส่งเอกสาร แต่คือการใช้สิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองในการขอให้ภาครัฐใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อแก้ไข เยียวยา หรือดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา คำร้องเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เสียงของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ระดับชาติถูกนำไปพิจารณาในระบบยุติธรรมและระบบบริหารราชการแผ่นดิน มันสะท้อนถึงหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและสามารถแสดงออกผ่านช่องทางที่เป็นทางการเพื่อแสวงหาความยุติธรรมหรือการบริการจากรัฐ การเตรียมคำร้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และการเขียนที่ชัดเจนและหนักแน่น เพื่อให้ข้อเรียกร้องนั้นมีน้ำหนักและนำไปสู่การพิจารณาอย่างจริงจังตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การกระทำนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐด้วยวิถีทางที่สงบและเป็นระบบ

    ในทางปฏิบัติ คำร้องที่ถูกยื่นจะถูกกลั่นกรองและประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือคณะผู้พิพากษาตามแต่กรณี การตอบสนองต่อคำร้องนั้นอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การยกเลิกคำสั่งที่ไม่ชอบ หรือการพิพากษาคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้อง ถือเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐได้ทบทวนการทำงานของตนเองและปรับปรุงการให้บริการหรือการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมมากยิ่งขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการนี้อยู่ที่การให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นการยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ การลงนามในคำร้องแต่ละฉบับจึงเปรียบเสมือนการส่งมอบความหวังและความเชื่อมั่นในระบบ ในขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายให้ระบบนั้นต้องทำงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    ท้ายที่สุดแล้ว คำร้องคือเครื่องมือทรงพลังที่เปลี่ยนข้อความบนกระดาษให้กลายเป็น การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการเรียกร้องให้เกิดการกระทำ ที่เป็นรูปธรรม มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเสียงเล็กๆ ของประชาชนมีความหมายและมีช่องทางที่เปิดกว้างในการสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของรัฐ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ร้องขอหรือไม่ กระบวนการยื่นคำร้องเองก็เป็นเครื่องยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพและเป็นรากฐานสำคัญที่ค้ำจุนสังคมที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมไว้ได้อย่างมั่นคง คำร้องจึงมิใช่เพียงแค่การขอ แต่คือ การประกาศสิทธิ์ ที่รอคอยการตอบรับจากผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะและความเป็นธรรมของสังคมโดยรวม
    บทความกฎหมาย EP.18 การยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นมากกว่าการส่งเอกสาร แต่คือการใช้สิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองในการขอให้ภาครัฐใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อแก้ไข เยียวยา หรือดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา คำร้องเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เสียงของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ระดับชาติถูกนำไปพิจารณาในระบบยุติธรรมและระบบบริหารราชการแผ่นดิน มันสะท้อนถึงหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและสามารถแสดงออกผ่านช่องทางที่เป็นทางการเพื่อแสวงหาความยุติธรรมหรือการบริการจากรัฐ การเตรียมคำร้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และการเขียนที่ชัดเจนและหนักแน่น เพื่อให้ข้อเรียกร้องนั้นมีน้ำหนักและนำไปสู่การพิจารณาอย่างจริงจังตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การกระทำนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐด้วยวิถีทางที่สงบและเป็นระบบ ในทางปฏิบัติ คำร้องที่ถูกยื่นจะถูกกลั่นกรองและประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือคณะผู้พิพากษาตามแต่กรณี การตอบสนองต่อคำร้องนั้นอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การยกเลิกคำสั่งที่ไม่ชอบ หรือการพิพากษาคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้อง ถือเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐได้ทบทวนการทำงานของตนเองและปรับปรุงการให้บริการหรือการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมมากยิ่งขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการนี้อยู่ที่การให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นการยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ การลงนามในคำร้องแต่ละฉบับจึงเปรียบเสมือนการส่งมอบความหวังและความเชื่อมั่นในระบบ ในขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายให้ระบบนั้นต้องทำงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด ท้ายที่สุดแล้ว คำร้องคือเครื่องมือทรงพลังที่เปลี่ยนข้อความบนกระดาษให้กลายเป็น การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการเรียกร้องให้เกิดการกระทำ ที่เป็นรูปธรรม มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเสียงเล็กๆ ของประชาชนมีความหมายและมีช่องทางที่เปิดกว้างในการสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของรัฐ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ร้องขอหรือไม่ กระบวนการยื่นคำร้องเองก็เป็นเครื่องยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพและเป็นรากฐานสำคัญที่ค้ำจุนสังคมที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมไว้ได้อย่างมั่นคง คำร้องจึงมิใช่เพียงแค่การขอ แต่คือ การประกาศสิทธิ์ ที่รอคอยการตอบรับจากผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะและความเป็นธรรมของสังคมโดยรวม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิโรจน์ ชี้ รัฐธรรมนูญ 60 "เป็นโซ่ตรวนขวางพัฒนาประเทศ" รับการยุบสภาเป็นอำนาจเฉพาะตัวนายกฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/22226/
    .
    #ไทยไท #วิโรจน์ #รัฐธรรมนูญ60 #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ทุนเทา #ยุบสภา
    วิโรจน์ ชี้ รัฐธรรมนูญ 60 "เป็นโซ่ตรวนขวางพัฒนาประเทศ" รับการยุบสภาเป็นอำนาจเฉพาะตัวนายกฯ https://www.thai-tai.tv/news/22226/ . #ไทยไท #วิโรจน์ #รัฐธรรมนูญ60 #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ทุนเทา #ยุบสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • MOU43-ปฏิญญาสันติภาพ กต.ทำขัดรัฐธรรมนูญ : คนเคาะข่าว 04-11-68

    https://www.youtube.com/watch?v=AvXcWHRYaoU
    MOU43-ปฏิญญาสันติภาพ กต.ทำขัดรัฐธรรมนูญ : คนเคาะข่าว 04-11-68 https://www.youtube.com/watch?v=AvXcWHRYaoU
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • MOU43-ปฏิญญาสันติภาพ กต.ทำขัดรัฐธรรมนูญ : คนเคาะข่าว 04-11-68
    : อ.คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมาย
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    https://www.youtube.com/watch?v=AvXcWHRYaoU
    MOU43-ปฏิญญาสันติภาพ กต.ทำขัดรัฐธรรมนูญ : คนเคาะข่าว 04-11-68 : อ.คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมาย ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ https://www.youtube.com/watch?v=AvXcWHRYaoU
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลขาฯ เพื่อไทย ยัน สส. ถูกพาดพิง "เว็บพนัน" ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เตรียมฟ้องกลับ!
    https://www.thai-tai.tv/news/22200/
    .
    #ไทยไท #ประเสริฐจันทรรวงทอง #เว็บพนัน #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ยุบสภา #แก้ไขรัฐธรรมนูญ

    เลขาฯ เพื่อไทย ยัน สส. ถูกพาดพิง "เว็บพนัน" ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เตรียมฟ้องกลับ! https://www.thai-tai.tv/news/22200/ . #ไทยไท #ประเสริฐจันทรรวงทอง #เว็บพนัน #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ยุบสภา #แก้ไขรัฐธรรมนูญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ ตีตกคำร้อง “ปชน.-ภท.”ทำ MOA ดัน “อนุทิน” นั่งนายกฯ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
    https://www.thai-tai.tv/news/22187/
    .
    #ไทยไท #ศาลรัฐธรรมนูญ #พรรคประชาชน #MOA #ล้มล้างการปกครอง #อนุทิน #ณัฐพงษ์
    ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ ตีตกคำร้อง “ปชน.-ภท.”ทำ MOA ดัน “อนุทิน” นั่งนายกฯ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง https://www.thai-tai.tv/news/22187/ . #ไทยไท #ศาลรัฐธรรมนูญ #พรรคประชาชน #MOA #ล้มล้างการปกครอง #อนุทิน #ณัฐพงษ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เปิดสมอง” การใช้ Claude Code แบบเต็มระบบ โดย Shrivu Shankar
    Shrivu Shankar นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้แชร์วิธีการใช้ Claude Code อย่างละเอียดในบทความบน Substack โดยเขาใช้เครื่องมือนี้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานระดับองค์กรที่มีการใช้หลายพันล้านโทเคนต่อเดือน! จุดเด่นของบทความคือการเจาะลึกทุกฟีเจอร์ของ Claude Code ตั้งแต่ไฟล์พื้นฐานอย่าง CLAUDE.md ไปจนถึงการใช้ SDK และ GitHub Actions เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่ทรงพลัง

    เขาเน้นว่าเป้าหมายของการใช้ AI Agent ไม่ใช่แค่ให้มัน “ตอบดี” แต่ต้องสามารถ “ทำงานแทน” ได้จริง โดยมีการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การใช้ planning mode เพื่อกำหนดแผนก่อนเริ่มงาน, การใช้ hooks เพื่อควบคุมคุณภาพโค้ด และการใช้ skills เพื่อให้ agent เข้าถึงเครื่องมือได้อย่างปลอดภัย

    บทความนี้ไม่ใช่แค่คู่มือการใช้ Claude Code แต่เป็นแนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบ AI Agent ที่ยืดหยุ่นและทรงพลัง เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างระบบอัตโนมัติที่ “คิดเองได้” มากกว่าแค่ “ตอบคำถาม”

    CLAUDE.md คือหัวใจของระบบ
    ใช้เป็น “รัฐธรรมนูญ” ของ agent เพื่อเข้าใจโครงสร้างโปรเจกต์

    ใช้ planning mode ก่อนเริ่มงานใหญ่
    ช่วยให้ Claude วางแผนและตรวจสอบได้ตรงจุด

    Slash commands ใช้แบบเรียบง่าย
    เช่น /catchup เพื่อให้ Claude อ่านไฟล์ที่เปลี่ยนใน git

    Subagents ไม่จำเป็นเสมอไป
    แนะนำให้ใช้ Task(...) เพื่อให้ agent จัดการงานเองแบบ dynamic

    Resume และ History มีประโยชน์มาก
    ใช้สรุปบทเรียนจาก session เก่าเพื่อปรับปรุง CLAUDE.md

    Hooks ควบคุมคุณภาพโค้ดได้ดี
    เช่น block commit ถ้าทดสอบไม่ผ่าน

    Skills คืออนาคตของ agent
    เป็นการ formalize การใช้ CLI/script ให้ agent ใช้งานได้ปลอดภัย

    Claude Code SDK เหมาะกับการสร้าง agent prototype
    ใช้สร้างเครื่องมือภายในหรือรันงานแบบ parallel ได้ง่าย

    GitHub Action (GHA) คือเครื่องมือที่ทรงพลัง
    ใช้ Claude สร้าง PR อัตโนมัติจาก Slack, Jira หรือ CloudWatch

    settings.json ปรับแต่งการทำงานได้ลึก
    เช่น proxy, timeout, API key และ permission audit

    การใช้ subagent อาจทำให้ context หายไป
    Agent อาจไม่เข้าใจภาพรวมของงานถ้าข้อมูลถูกแยกไว้ใน subagent

    Slash commands ที่ซับซ้อนเกินไปเป็น anti-pattern
    ทำให้ผู้ใช้ต้องเรียนรู้คำสั่งพิเศษแทนที่จะใช้ภาษาธรรมชาติ

    Blocking agent ระหว่างเขียนโค้ดอาจทำให้สับสน
    ควรใช้ block-at-submit แทน block-at-write เพื่อให้ agent ทำงานจบก่อนตรวจสอบ



    https://blog.sshh.io/p/how-i-use-every-claude-code-feature
    🧠 “เปิดสมอง” การใช้ Claude Code แบบเต็มระบบ โดย Shrivu Shankar Shrivu Shankar นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้แชร์วิธีการใช้ Claude Code อย่างละเอียดในบทความบน Substack โดยเขาใช้เครื่องมือนี้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานระดับองค์กรที่มีการใช้หลายพันล้านโทเคนต่อเดือน! จุดเด่นของบทความคือการเจาะลึกทุกฟีเจอร์ของ Claude Code ตั้งแต่ไฟล์พื้นฐานอย่าง CLAUDE.md ไปจนถึงการใช้ SDK และ GitHub Actions เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่ทรงพลัง เขาเน้นว่าเป้าหมายของการใช้ AI Agent ไม่ใช่แค่ให้มัน “ตอบดี” แต่ต้องสามารถ “ทำงานแทน” ได้จริง โดยมีการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การใช้ planning mode เพื่อกำหนดแผนก่อนเริ่มงาน, การใช้ hooks เพื่อควบคุมคุณภาพโค้ด และการใช้ skills เพื่อให้ agent เข้าถึงเครื่องมือได้อย่างปลอดภัย บทความนี้ไม่ใช่แค่คู่มือการใช้ Claude Code แต่เป็นแนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบ AI Agent ที่ยืดหยุ่นและทรงพลัง เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างระบบอัตโนมัติที่ “คิดเองได้” มากกว่าแค่ “ตอบคำถาม” ✅ CLAUDE.md คือหัวใจของระบบ ➡️ ใช้เป็น “รัฐธรรมนูญ” ของ agent เพื่อเข้าใจโครงสร้างโปรเจกต์ ✅ ใช้ planning mode ก่อนเริ่มงานใหญ่ ➡️ ช่วยให้ Claude วางแผนและตรวจสอบได้ตรงจุด ✅ Slash commands ใช้แบบเรียบง่าย ➡️ เช่น /catchup เพื่อให้ Claude อ่านไฟล์ที่เปลี่ยนใน git ✅ Subagents ไม่จำเป็นเสมอไป ➡️ แนะนำให้ใช้ Task(...) เพื่อให้ agent จัดการงานเองแบบ dynamic ✅ Resume และ History มีประโยชน์มาก ➡️ ใช้สรุปบทเรียนจาก session เก่าเพื่อปรับปรุง CLAUDE.md ✅ Hooks ควบคุมคุณภาพโค้ดได้ดี ➡️ เช่น block commit ถ้าทดสอบไม่ผ่าน ✅ Skills คืออนาคตของ agent ➡️ เป็นการ formalize การใช้ CLI/script ให้ agent ใช้งานได้ปลอดภัย ✅ Claude Code SDK เหมาะกับการสร้าง agent prototype ➡️ ใช้สร้างเครื่องมือภายในหรือรันงานแบบ parallel ได้ง่าย ✅ GitHub Action (GHA) คือเครื่องมือที่ทรงพลัง ➡️ ใช้ Claude สร้าง PR อัตโนมัติจาก Slack, Jira หรือ CloudWatch ✅ settings.json ปรับแต่งการทำงานได้ลึก ➡️ เช่น proxy, timeout, API key และ permission audit ‼️ การใช้ subagent อาจทำให้ context หายไป ⛔ Agent อาจไม่เข้าใจภาพรวมของงานถ้าข้อมูลถูกแยกไว้ใน subagent ‼️ Slash commands ที่ซับซ้อนเกินไปเป็น anti-pattern ⛔ ทำให้ผู้ใช้ต้องเรียนรู้คำสั่งพิเศษแทนที่จะใช้ภาษาธรรมชาติ ‼️ Blocking agent ระหว่างเขียนโค้ดอาจทำให้สับสน ⛔ ควรใช้ block-at-submit แทน block-at-write เพื่อให้ agent ทำงานจบก่อนตรวจสอบ https://blog.sshh.io/p/how-i-use-every-claude-code-feature
    BLOG.SSHH.IO
    How I Use Every Claude Code Feature
    A brain dump of all the ways I've been using Claude Code.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'วันนอร์' วอน สส.-สว. "ลดราวาศอก" ดันแก้รธน.ฉลุย ตั้ง สสร. คนกลาง อ้าง เพื่อจัดทำ "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน"
    https://www.thai-tai.tv/news/22167/
    .
    #ไทยไท #วันนอร์ #แก้รัฐธรรมนูญ #สสร. #ยุบสภา #คนกลาง
    'วันนอร์' วอน สส.-สว. "ลดราวาศอก" ดันแก้รธน.ฉลุย ตั้ง สสร. คนกลาง อ้าง เพื่อจัดทำ "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" https://www.thai-tai.tv/news/22167/ . #ไทยไท #วันนอร์ #แก้รัฐธรรมนูญ #สสร. #ยุบสภา #คนกลาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 1

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก

    กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย

    ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ
    J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย

    ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan

    เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ

    ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย

    มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey

    “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ”

    “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….”
    เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย

    กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์

    นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917

    การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ
    อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915

    การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks

    และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก

    รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล

    การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา

    การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 2

    ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย

    อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย !

    J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม

    จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา

    ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน
    นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ

    แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ

    เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ” “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….” เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์ นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917 การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915 การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 2 ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย ! J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.ชิดตะวัน" จวก "อนุทิน" ไม่ยึดประโยชน์ของชาติตาม รธน. 2560 มาตรา 52 หลังให้สัมภาษณ์ “ดินแดนที่ไทยรุกล้ำเข้าไปในกัมพูชาก็มี...” ยก รธน. มาตรา 5 และมาตรา 3 วรรค 2 ยันคำสั่งนายกฯ ที่เกี่ยวพันกับการลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 มีผลให้ใช้บังคับไม่ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103840

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #อนุทิน #ดรชิดตะวัน #อธิปไตยไทย #รัฐธรรมนูญ2560 #ไทยกัมพูชา #เขตแดน #ผลประโยชน์ชาติ
    "ดร.ชิดตะวัน" จวก "อนุทิน" ไม่ยึดประโยชน์ของชาติตาม รธน. 2560 มาตรา 52 หลังให้สัมภาษณ์ “ดินแดนที่ไทยรุกล้ำเข้าไปในกัมพูชาก็มี...” ยก รธน. มาตรา 5 และมาตรา 3 วรรค 2 ยันคำสั่งนายกฯ ที่เกี่ยวพันกับการลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 มีผลให้ใช้บังคับไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103840 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #อนุทิน #ดรชิดตะวัน #อธิปไตยไทย #รัฐธรรมนูญ2560 #ไทยกัมพูชา #เขตแดน #ผลประโยชน์ชาติ
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีต ส.ว. ดิเรกฤทธิ์ ยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาล รธน.วินิจฉัยมติรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ทำประชามติ ชี้ขัดคำวินิจฉัยศาลฯ ที่ 4/2564 และเปิดทางแตะหมวด 1-2 อันเป็นหัวใจรัฐธรรมนูญ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102882

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #แก้รัฐธรรมนูญ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ทำประชามติ
    อดีต ส.ว. ดิเรกฤทธิ์ ยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาล รธน.วินิจฉัยมติรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ทำประชามติ ชี้ขัดคำวินิจฉัยศาลฯ ที่ 4/2564 และเปิดทางแตะหมวด 1-2 อันเป็นหัวใจรัฐธรรมนูญ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102882 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #แก้รัฐธรรมนูญ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ทำประชามติ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26 และการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ประเทศไทยยืนยันให้ความร่วมมือแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ โดยไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อหาพลังของภูมิภาคในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เป็นรูปธรรมและจริงจัง เป็นการร่วมมือระดับนานาชาติ โดยพูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถึงวิธีการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแล้ว

    -ประชาชนควรได้รู้
    -ยังไม่เปิดจุดผ่านแดน
    -MOU 43 เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ
    -ตลาดใหม่หนุนส่งออก
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26 และการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ประเทศไทยยืนยันให้ความร่วมมือแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ โดยไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อหาพลังของภูมิภาคในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เป็นรูปธรรมและจริงจัง เป็นการร่วมมือระดับนานาชาติ โดยพูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถึงวิธีการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแล้ว -ประชาชนควรได้รู้ -ยังไม่เปิดจุดผ่านแดน -MOU 43 เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ -ตลาดใหม่หนุนส่งออก
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • คำนูณ ชี้ MOU 43 สุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ ปม ครม. "รับทราบ" ไม่ใช่ "เห็นชอบ" เตรียมส่งรายงานเบื้องต้นถึงรัฐบาล
    https://www.thai-tai.tv/news/22067/
    .
    #ไทยไท #MOU2543 #คำนูณสิทธิสมาน #วุฒิสภา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เสียดินแดน
    คำนูณ ชี้ MOU 43 สุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ ปม ครม. "รับทราบ" ไม่ใช่ "เห็นชอบ" เตรียมส่งรายงานเบื้องต้นถึงรัฐบาล https://www.thai-tai.tv/news/22067/ . #ไทยไท #MOU2543 #คำนูณสิทธิสมาน #วุฒิสภา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เสียดินแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สถาบันกษัตริย์จะอยู่คู่กับอังกฤษตลอดไป"

    นี่คือเรื่องราวบางส่วนของ "ลิซ ทรัสส์" (Liz Truss) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ที่ในอดีตเคยเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ หลังผ่านไป 30 ปี เธอก็ยังไม่สามารถทำได้

    นอกจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอยังต้องปฏิบัติตามราชประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่อดีตอีกด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง

    "ลิซ ทรัสส์" เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง คือ 49 วัน
    (เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษวันที่ 6 กันยายน 2022 จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2022 และรักษาการต่อจนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2022 ซึ่งเป็นวันที่ริชี ซูนัคเข้ารับตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 49 วัน)


    เปิดเผยตัวตนเป็นผู้ต่อต้าน
    คลิปวิดีโอที่ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน "ลิซ ทรัสส์" ในวัย 19 ปี “นักศึกษาหญิงหัวก้าวหน้า” ที่ชื่นชอบแนวคิดของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) จนได้รับโอกาสกล่าวบนเวทีปราศรัยของพรรค ในวันนั้นเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐ (republicanism) และเรียกร้องให้ “ยกเลิกสถาบันกษัตริย์” อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

    การแสดงออกของเธออย่างอย่างแข็งกร้าวในวันนั้น สะท้อนถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อความเชื่อใน “ความเท่าเทียม” และ “สิทธิของประชาชนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน” โดยเธอปฏิเสธหลักการปกครองแบบสืบทอดทางสายเลือด (เช่น ระบบกษัตริย์ หรือชนชั้นสูงที่สืบทอดอำนาจ) โดยเชื่อว่าสถานะทางสังคมหรือสิทธิในการปกครองไม่ควรถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด

    และประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้ยอมรับการตัดสินใจของผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของพวกเขาแต่ควรมาจากความสามารถหรือการได้รับความยินยอมจากประชาชน

    “เราเชื่อในความยุติธรรมและสามัญสำนึก เราไม่เชื่อว่าจะมีคนใดเกิดมาเพื่อปกครอง หรือต้องถูกบังคับให้เงียบต่อการตัดสินใจที่กระทบต่อชีวิตของพวกเขา” (We do not believe that people should be born to rule or that they should put up and shut up about decisions that affect their everyday lives.)

    “พวกเราพรรคเสรีประชาธิปไตยเชื่อในโอกาสสำหรับทุกคน เราไม่เชื่อว่าผู้คนเกิดมาเพื่อปกครอง” (We Liberal Democrats believe in opportunity for all. We do not believe people are born to rule.)

    ในระหว่างปราศรัยวันนั้น เธอยังเสริมอีกว่า:
    เราได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ด้านนอกงาน เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ คุณรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอะไร? พวกเขาตอบว่า 'ยกเลิกพวกเขา เราพอแล้ว' (They said abolish them, we’ve had enough) "เราไม่พบคนที่นิยมราชาธิปไตยสักคนเดียวนอก Royal Pavilion"

    คำพูดเหล่านั้นถูกจดจำในฐานะ “จุดยืนแห่งการต่อต้านสถาบัน” ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งจากนักการเมืองอังกฤษรุ่นใหม่ในยุคนั้น
    .
    แต่เมื่อเวลาผ่านไป อุดมการณ์ที่เคยแรงราวไฟเผา กลับถูกกลืนด้วยความเป็นจริงของอำนาจ ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงด้วยการ "จุมพิตพระหัตถ์ราชินี"

    ต่อมา ทรัสส์ได้เปลี่ยนเส้นทางการเมือง โดยเข้าร่วมกับพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์อย่างแข็งขัน
    และนั่นทำให้มุมมองของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง

    ในช่วงปี 2022 ผู้สื่อข่าวถามถึงมุมมองในอดีตของเธอเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทรัสส์ตอบว่าแนวคิดทางการเมืองของเธอ “พัฒนาไปตามวัย”
    เธอกล่าวกับ Sky News ว่า:

    “ฉันได้พบกับราชินีแล้ว และเธอก็สุภาพเกินกว่าจะยกประเด็นสมัยนั้นขึ้นมา”
    (I have met the Queen, and she was far too polite to raise the issue.)
    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอจะขอโทษหรือไม่ หากราชินีพูดถึงเรื่องนี้ เธอตอบว่า

    “ฉันเคยผิดพลาดที่พูดสิ่งเหล่านั้นในเวลานั้น”
    (I was wrong to say what I did at the time.)

    นิก โรบินสัน” แห่ง BBC ได้ซักถามเกี่ยวกับความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของเธอ ซึ่งทรัสส์ตอบว่า:
    “ฉันเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมอังกฤษถึงประสบความสำเร็จ และส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเราคือระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนประชาธิปไตยเสรี”
    (I have come to understand more about why Britain is successful — and part of that success is our constitutional monarchy that underpins a free democracy.)

    ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2022 ลิซ ทรัสส์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการโดยการเข้าเฝ้าและรับการแต่งตั้งจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ณ พระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์

    ภาพของหญิงสาวผู้เคยเรียกร้องให้ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” เมื่อวัยเยาว์ กลับต้องค้อมศีรษะและ “จุมพิตพระหัตถ์” ของราชินีผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งระบอบที่เธอเคยปฏิเสธ

    และเพียง 49 วัน หลังจากนั้น เธอก็ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทิ้งไว้เพียงภาพอันน่าขบขันของ “อดีตนักล้มล้าง” ที่ลงเอยด้วยการอยู่ภายใต้ระบอบเดิมที่เธอเคยพยายามโค่นล้มด้วยถ้อยคำรุนแรงของเธอเอง
    .
    https://www.yahoo.com/news/liz-truss-queen-monarchy-abolished-video-114714959.html

    https://www.abc.net.au/news/2022-09-06/who-is-liz-truss-britains-next-prime-minister/101404932

    https://www.independent.co.uk/tv/news/liz-truss-monarchy-republicanism-abolish-b2128076.html
    "สถาบันกษัตริย์จะอยู่คู่กับอังกฤษตลอดไป" นี่คือเรื่องราวบางส่วนของ "ลิซ ทรัสส์" (Liz Truss) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ที่ในอดีตเคยเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ หลังผ่านไป 30 ปี เธอก็ยังไม่สามารถทำได้ นอกจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอยังต้องปฏิบัติตามราชประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่อดีตอีกด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง "ลิซ ทรัสส์" เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง คือ 49 วัน (เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษวันที่ 6 กันยายน 2022 จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2022 และรักษาการต่อจนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2022 ซึ่งเป็นวันที่ริชี ซูนัคเข้ารับตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 49 วัน) 👉เปิดเผยตัวตนเป็นผู้ต่อต้าน คลิปวิดีโอที่ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน "ลิซ ทรัสส์" ในวัย 19 ปี “นักศึกษาหญิงหัวก้าวหน้า” ที่ชื่นชอบแนวคิดของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) จนได้รับโอกาสกล่าวบนเวทีปราศรัยของพรรค ในวันนั้นเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐ (republicanism) และเรียกร้องให้ “ยกเลิกสถาบันกษัตริย์” อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด การแสดงออกของเธออย่างอย่างแข็งกร้าวในวันนั้น สะท้อนถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อความเชื่อใน “ความเท่าเทียม” และ “สิทธิของประชาชนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน” โดยเธอปฏิเสธหลักการปกครองแบบสืบทอดทางสายเลือด (เช่น ระบบกษัตริย์ หรือชนชั้นสูงที่สืบทอดอำนาจ) โดยเชื่อว่าสถานะทางสังคมหรือสิทธิในการปกครองไม่ควรถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด และประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้ยอมรับการตัดสินใจของผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของพวกเขาแต่ควรมาจากความสามารถหรือการได้รับความยินยอมจากประชาชน “เราเชื่อในความยุติธรรมและสามัญสำนึก เราไม่เชื่อว่าจะมีคนใดเกิดมาเพื่อปกครอง หรือต้องถูกบังคับให้เงียบต่อการตัดสินใจที่กระทบต่อชีวิตของพวกเขา” (We do not believe that people should be born to rule or that they should put up and shut up about decisions that affect their everyday lives.) “พวกเราพรรคเสรีประชาธิปไตยเชื่อในโอกาสสำหรับทุกคน เราไม่เชื่อว่าผู้คนเกิดมาเพื่อปกครอง” (We Liberal Democrats believe in opportunity for all. We do not believe people are born to rule.) ในระหว่างปราศรัยวันนั้น เธอยังเสริมอีกว่า: เราได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ด้านนอกงาน เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ คุณรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอะไร? พวกเขาตอบว่า 'ยกเลิกพวกเขา เราพอแล้ว' (They said abolish them, we’ve had enough) "เราไม่พบคนที่นิยมราชาธิปไตยสักคนเดียวนอก Royal Pavilion" คำพูดเหล่านั้นถูกจดจำในฐานะ “จุดยืนแห่งการต่อต้านสถาบัน” ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งจากนักการเมืองอังกฤษรุ่นใหม่ในยุคนั้น . 👉แต่เมื่อเวลาผ่านไป อุดมการณ์ที่เคยแรงราวไฟเผา กลับถูกกลืนด้วยความเป็นจริงของอำนาจ ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงด้วยการ "จุมพิตพระหัตถ์ราชินี" ต่อมา ทรัสส์ได้เปลี่ยนเส้นทางการเมือง โดยเข้าร่วมกับพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์อย่างแข็งขัน และนั่นทำให้มุมมองของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในช่วงปี 2022 ผู้สื่อข่าวถามถึงมุมมองในอดีตของเธอเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทรัสส์ตอบว่าแนวคิดทางการเมืองของเธอ “พัฒนาไปตามวัย” เธอกล่าวกับ Sky News ว่า: “ฉันได้พบกับราชินีแล้ว และเธอก็สุภาพเกินกว่าจะยกประเด็นสมัยนั้นขึ้นมา” (I have met the Queen, and she was far too polite to raise the issue.) เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอจะขอโทษหรือไม่ หากราชินีพูดถึงเรื่องนี้ เธอตอบว่า “ฉันเคยผิดพลาดที่พูดสิ่งเหล่านั้นในเวลานั้น” (I was wrong to say what I did at the time.) นิก โรบินสัน” แห่ง BBC ได้ซักถามเกี่ยวกับความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของเธอ ซึ่งทรัสส์ตอบว่า: “ฉันเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมอังกฤษถึงประสบความสำเร็จ และส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเราคือระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนประชาธิปไตยเสรี” (I have come to understand more about why Britain is successful — and part of that success is our constitutional monarchy that underpins a free democracy.) 👉ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2022 ลิซ ทรัสส์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการโดยการเข้าเฝ้าและรับการแต่งตั้งจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ณ พระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์ ภาพของหญิงสาวผู้เคยเรียกร้องให้ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” เมื่อวัยเยาว์ กลับต้องค้อมศีรษะและ “จุมพิตพระหัตถ์” ของราชินีผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งระบอบที่เธอเคยปฏิเสธ และเพียง 49 วัน หลังจากนั้น เธอก็ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทิ้งไว้เพียงภาพอันน่าขบขันของ “อดีตนักล้มล้าง” ที่ลงเอยด้วยการอยู่ภายใต้ระบอบเดิมที่เธอเคยพยายามโค่นล้มด้วยถ้อยคำรุนแรงของเธอเอง . https://www.yahoo.com/news/liz-truss-queen-monarchy-abolished-video-114714959.html https://www.abc.net.au/news/2022-09-06/who-is-liz-truss-britains-next-prime-minister/101404932 https://www.independent.co.uk/tv/news/liz-truss-monarchy-republicanism-abolish-b2128076.html
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาล รธน. สั่งไต่สวนพยาน ปม ภูมิธรรม-ทวี ใช้ DSI เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบ สว.
    https://www.thai-tai.tv/news/22019/
    .
    #ไทยไท #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #DSI #ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี #มาตรฐานจริยธรรม

    ศาล รธน. สั่งไต่สวนพยาน ปม ภูมิธรรม-ทวี ใช้ DSI เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบ สว. https://www.thai-tai.tv/news/22019/ . #ไทยไท #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #DSI #ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี #มาตรฐานจริยธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts