• ขนาดมีธรรมะ มีพระมือหนึ่งในประเทศตัวเอง ยังไม่ช่วยขัดเกลาอะไรได้ ดันมานำเข้าพระมือสอง พระทรยศ จะไปเหลืออะไร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ขนาดมีธรรมะ มีพระมือหนึ่งในประเทศตัวเอง ยังไม่ช่วยขัดเกลาอะไรได้ ดันมานำเข้าพระมือสอง พระทรยศ จะไปเหลืออะไร #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • "การทักทายที่น่าอึดอัด" ระหว่างประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และภริยา บริจิตต์ มาครง ขณะต้อนรับประธานาธิบดีลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล และภริยา โรซานเกลา "จานจา" ดา ซิลวา ที่เดินทางมากรุงปารีสเพื่อร่วมประชุมที่พระราชวังเอลิเซ ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025
    "การทักทายที่น่าอึดอัด" ระหว่างประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และภริยา บริจิตต์ มาครง ขณะต้อนรับประธานาธิบดีลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล และภริยา โรซานเกลา "จานจา" ดา ซิลวา ที่เดินทางมากรุงปารีสเพื่อร่วมประชุมที่พระราชวังเอลิเซ ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 186 Views 26 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร
    สัทธรรมลำดับที่ : 300
    ชื่อบทธรรม : -อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=300
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร
    --ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้ มีอยู่
    เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือ
    เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด.
    อาหารสี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ
    http://etipitaka.com/read/pali/16/122/?keywords=จตฺตาโร+อาหารา
    อาหารที่หนึ่ง คือ อาหารคือคำข้าว หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม,
    อาหารที่สอง คือ ผัสสะ,
    อาหารที่สาม คือ มโนสัญเจตนา,
    อาหารที่สี่ คือ วิญญาณ.
    --ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้แล มีอยู่
    เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือ
    เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด.
    --ภิกษุ ท. ! ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวไซร้.
    วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ.
    วิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด,
    การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด,
    ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด,
    การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ ในที่ใด, ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป ก็มีอยู่ ในที่นั้น.
    ชาติ ชรา และมรณะต่อไป มีอยู่ ในที่ใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า “เป็น ที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น”
    ดังนี้.

    (ในกรณีเกี่ยวกับอาหารอีก ๓ อย่าง คือ
    ผัสสะ มโนสัญเจตนา และ วิญญาณ
    ก็ตรัสโดยทำนองเดียวกับอาหารคือคำข้าว).

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนช่างย้อม หรือช่างเขียน,
    เมื่อมีน้ำย้อม คือ ครั่งขมิ้น ครามหรือสีแดงอ่อน
    ก็จะพึงเขียนรูปสตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาน
    หรือฝาผนัง หรือผืนผ้า ซึ่งเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน,
    อุปมานี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ
    ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหาร คือคำข้าวไซร้,
    วิญญาณ ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ,
    วิญญาณ ที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด,
    การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด,
    ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ ในที่นั้น.
    ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด.
    การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ในที่ใด,
    ชาติ ชราและมรณะต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น.
    ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า
    “เป็นที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น".

    (มีข้อความตรัสต่อไปจนกระทั่งจบข้อความในกรณีอาหารที่สี่คือวิญญาณ
    http://etipitaka.com/read/pali/16/123/?keywords=วิญฺญาณ+อาหาเร
    ซึ่งอาหารอีก ๓ อย่างที่ตรัสต่อไปนั้น
    ก็มีข้อความเหมือนกับในกรณีอาหารคือคำข้าวข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออาหารเท่านั้น)

    ดังนี้ แล.-

    #ทุกขสมุทัย#อริยสัจสี #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/99-100/245-247.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/99/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๒-๑๒๓/๒๔๕-๒๔๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/122/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=300
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=300
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20
    ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร สัทธรรมลำดับที่ : 300 ชื่อบทธรรม : -อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=300 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร --ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้ มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด. อาหารสี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ http://etipitaka.com/read/pali/16/122/?keywords=จตฺตาโร+อาหารา อาหารที่หนึ่ง คือ อาหารคือคำข้าว หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม, อาหารที่สอง คือ ผัสสะ, อาหารที่สาม คือ มโนสัญเจตนา, อาหารที่สี่ คือ วิญญาณ. --ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด. --ภิกษุ ท. ! ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวไซร้. วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ. วิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น. ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ ในที่ใด, ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป ก็มีอยู่ ในที่นั้น. ชาติ ชรา และมรณะต่อไป มีอยู่ ในที่ใด ; --ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า “เป็น ที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น” ดังนี้. (ในกรณีเกี่ยวกับอาหารอีก ๓ อย่าง คือ ผัสสะ มโนสัญเจตนา และ วิญญาณ ก็ตรัสโดยทำนองเดียวกับอาหารคือคำข้าว). --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนช่างย้อม หรือช่างเขียน, เมื่อมีน้ำย้อม คือ ครั่งขมิ้น ครามหรือสีแดงอ่อน ก็จะพึงเขียนรูปสตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาน หรือฝาผนัง หรือผืนผ้า ซึ่งเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน, อุปมานี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหาร คือคำข้าวไซร้, วิญญาณ ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ, วิญญาณ ที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ ในที่นั้น. ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ในที่ใด, ชาติ ชราและมรณะต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด ; --ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า “เป็นที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น". (มีข้อความตรัสต่อไปจนกระทั่งจบข้อความในกรณีอาหารที่สี่คือวิญญาณ http://etipitaka.com/read/pali/16/123/?keywords=วิญฺญาณ+อาหาเร ซึ่งอาหารอีก ๓ อย่างที่ตรัสต่อไปนั้น ก็มีข้อความเหมือนกับในกรณีอาหารคือคำข้าวข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออาหารเท่านั้น) ดังนี้ แล.- #ทุกขสมุทัย​ #อริยสัจสี #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/99-100/245-247. http://etipitaka.com/read/thai/16/99/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๒-๑๒๓/๒๔๕-๒๔๗. http://etipitaka.com/read/pali/16/122/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=300 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=300 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20 ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร
    -อาการที่ทุกข์เกิดจากอาหาร ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้ มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด. อาหารสี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ อาหารที่หนึ่งคือ อาหารคือคำข้าว หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม, อาหารที่สองคือ ผัสสะ, อาหารที่สามคือ มโนสัญเจตนา, อาหารที่สี่คือ วิญญาณ. ภิกษุ ท. ! อาหารสี่อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด. ภิกษุ ท. ! ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวไซร้. วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ. วิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น. ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ ในที่ใด, ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป ก็มีอยู่ ในที่นั้น. ชาติ ชรา และมรณะต่อไป มีอยู่ ในที่ใด ; ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า “เป็น ที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น” ดังนี้. (ในกรณีเกี่ยวกับอาหารอีก ๓ อย่าง คือ ผัสสะ มโนสัญเจตนา และ วิญญาณ ก็ตรัสโดยทำนองเดียวกับอาหารคือคำข้าว). ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนช่างย้อม หรือช่างเขียน, เมื่อมีน้ำย้อม คือ ครั่งขมิ้น ครามหรือสีแดงอ่อน ก็จะพึงเขียนรูปสตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาน หรือฝาผนัง หรือผืนผ้า ซึ่งเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน, อุปมานี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหาร คือคำข้าวไซร้, วิญญาณ ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือคำข้าวนั้น ๆ, วิญญาณ ที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ ในที่นั้น. ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใด. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป มีอยู่ในที่ใด, ชาติ ชราและมรณะต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. ชาติ ชรา และมรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด ; ภิกษุ ท. ! เราเรียกที่นั้น ว่า “เป็นที่มีโศก มีธุลี และมีความคับแค้น. (มีข้อความตรัสต่อไปจนกระทั่งจบข้อความในกรณีอาหารที่สี่คือวิญญาณ ซึ่งอาหารอีก ๓ อย่างที่ตรัสต่อไปนั้น ก็มีข้อความเหมือนกับในกรณีอาหารคือคำข้าวข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออาหารเท่านั้น)” ดังนี้ แล.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    สัทธรรมลำดับที่ : 666
    ชื่อบทธรรม :- วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    --เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ :-
    ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
    : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย :
    +--เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คือ
    อัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย)
    สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ)
    ปวิเวกกถา (ให้สงัด)
    อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่)
    วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร)
    สีลกถา (ให้มีศีล)
    สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ)
    ปัญญากถา (ให้มีปัญญา)
    วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ)
    วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
    เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม
    เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.

    --เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี,
    ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือ
    จักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ,
    จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ,
    จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ,
    จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ.
    +--เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว

    พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ :-
    ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ.
    ๒--เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท.
    ๓--เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก.
    ๔--เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ;
    กล่าวคือ
    เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง.
    ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ #นิพพานในทิฏฐธรรม
    นั่นเทียว.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/371/?keywords=ทิฏฺเฐว+ธมฺเม+นิพฺพานนฺติ
    (--ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “#เครื่องบ่มวิมุตติ”
    ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕)
    http://etipitaka.com/read/pali/23/364/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    เรียกว่า “#ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี
    )

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/288/207.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/288/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๓๖๙/๒๐๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/366/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=666
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46
    ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด สัทธรรมลำดับที่ : 666 ชื่อบทธรรม :- วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด --เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ :- ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย : +--เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คือ อัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย) สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ) ปวิเวกกถา (ให้สงัด) อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่) วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร) สีลกถา (ให้มีศีล) สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ) ปัญญากถา (ให้มีปัญญา) วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. --เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี, ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือ จักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ, จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ, จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ, จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ. +--เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ :- ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ. ๒--เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท. ๓--เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก. ๔--เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ; กล่าวคือ เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง. ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ #นิพพานในทิฏฐธรรม นั่นเทียว.- http://etipitaka.com/read/pali/23/371/?keywords=ทิฏฺเฐว+ธมฺเม+นิพฺพานนฺติ (--ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “#เครื่องบ่มวิมุตติ” ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕) http://etipitaka.com/read/pali/23/364/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 เรียกว่า “#ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี ) #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/288/207. http://etipitaka.com/read/thai/23/288/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๓๖๙/๒๐๗. http://etipitaka.com/read/pali/23/366/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=666 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46 ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    -วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ : ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย : เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คืออัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย) สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ) ปวิเวกกถา (ให้สงัด) อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่) วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร) สีลกถา (ให้มีศีล) สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ) ปัญญากถา (ให้มีปัญญา) วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี, ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือจักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ, จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ, จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ, จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ. เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ : เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ. เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท. เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก. เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ; กล่าวคือ เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง. ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ นิพพานในทิฏฐธรรม นั่นเทียว.
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 1020
    ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ
    ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : -
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี

    ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี).
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี

    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้
    มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ
    ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ
    ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม
    เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง
    กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป.
    โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้
    พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -)

    ก. จิตตุปปาทปริยาย
    +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ...
    เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)”
    ดังนี้นั้น
    ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว
    ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา.
    การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย.

    ข. ปริกกมนปริยาย
    +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล
    เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา.
    ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง
    ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ
    ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย.

    ค. อุปริภาวังคมนปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ)
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง)
    จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า
    “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”.
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย.

    ง. ปรินิพพานปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน)
    ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน
    ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า
    ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้
    เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้
    ฉันใดก็ฉันนั้น.-

    (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้
    ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว
    แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย
    ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย;
    ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร
    เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้
    โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น,
    ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 1020 ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 เนื้อความทั้งหมด :- --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : - +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ... เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย. http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.- (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้ ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย; ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้ โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น, ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108. http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค--รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    -[ในสูตรนี้ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”; ส่วนในสูตรอื่นๆ (๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗) ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี. ในสูตรอื่นทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี ( ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖) ]. หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา (เรื่องควรดูประกอบในหน้า ๙๑๑, ๙๒๖, ๑๓๐๐, ๑๓๔๑, ๑๓๖๔, ๑๔๑๒, ๑๔๑๔ และในขุม.โอ.หน้า ๓๒๒) จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิด เรียกว่า จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่าง เหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปรินิพพานปริยาย. ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • ..คลิปนี้,พูดชัดเจน,ไล่คือไล่,ทำสุดซอยเลย,ยึดอำนาจโดยภาคประชาชนแล้วจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจภาคประชาชนเลย,ทหารพระราชายืนคุ้มครองอยู่ด้านข้างร่วมกัน,มาพลิกมาเปลี่ยนแปลงฟื้นฟูประเทศไทยกันใหม่อย่างจริงจัง,ครม.ก็ภาคประชาชนเราที่ไล่รัฐบาลสำเร็จและยึดอำนาจนี้ล่ะ,และแก้ไขปัญหาโลกทันกาลด้วยกฎอัยการศึกทหารผ่านภาครัฐบาลประชาชนร่วมกันประเมินตัดสินใจใช้ เช่น ปิดพรมแดนเขมรตลอดแนวไม่มีกำหนดเปิด,ตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดเน็ตตัดคลื่นวิทยุคลื่นมือถือตลอดแนวพรมแดนเขมร.บวกมาตรการคว่ำบาตรเขมรอย่างเป็นทางการด้วยไม่มีระยะเวลากำหนดจนกว่าเขมรจะสำนึกผิดจริงได้.,และกวาดล้างสิ่งชั่วเลวที่เต็มประเทศเขมรอยู่ในปัจจุบันให้หมดสิ้นจริง.
    ..ตลอดรัฐบาลภาคยึดอำนาจโดยประชาชน ลงมติโมฆะสัมปทานปิโตรเลียมที่รัฐบาลในอดีตสมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการชั่วเลวทรยศประชาชนตัดสินใจเองไม่นำเข้าสภาสส.สว.ให้ประชาชนรับความจริงว่าประเทศไทยโปร่งใส่สุจริตใจต่อประชาชนตนในการทำปิโตรเลียนบนแผ่นดินไทยจะมากจะน้อยต้องนำเข้าสภาและเขียนกฎหมายปิโตรเลียมอย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อชาติและประชาชน,ซึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทั้งหมดชัดเจนแล้วว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตซื่อสัตย์สุจริตใจใดๆปกปิดแอบปิดบังความจริงมากมาย,และขัดต่ออธิปไตยความมั่งคงของประเทศไทยกระทบอย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งประเทศไทยจากการทรยศของกระบวนการเขียนกฎหมายที่มิชอบและสมคบคิดต่างชาติทั้งคนนอกเพื่อมุ่งเอาแต่ได้ในผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากแหล่งปิโตรเลียมประเทศไทยตน,โดยเปิดสัมปทานเกินกว่า20ครั้งแต่ไม่นำเข้าหารือแสดงอภิปรายใดๆในระบบสภาสส.สวตนเองประจำประเทศไทย,จึงเป็นความผิดมหันตภัยร้ายต่ออธิปไตยทั้งดินแดนที่ต้องให้ไปในการดำเนินกิจการบนพื้นที่สัมปทานนั้นๆและอธิปไตยด้านความมั่นคงมั่งคั่งของชาติและประชาชน,ซึ่งสามารถกำหนดราคาภายในประเทศไทยเหมือนชาติผู้ผลิตน้ำมันได้ อย่างน้อยเทียบกับอิหร่านขายดีเชลและเบนซินก็แค่ลิตรละไม่เกิน1-2บาทได้,นี้เป็นการส่งเสริมการพัฒนาสาระพัดด้านหลากหลายมิติของภายในประเทศไทยตนได้อย่างมีเสถียรภาพมั่งคงในทุกๆด้านตลอดความมั่นคงจริงด้านพลังงานของประเทศไทยตนเองอีก,ราคานอกตลาดต่างประเทศเราสามารถส่งขายในราคาตลาดโลกหรือสูงกว่าได้เมื่อแหล่งน้ำมันเรามีคุณภาพสิ่งปลอมปนสกัดได้ปริมาณน้ำมันมากมีคุณภาพดีด้วย,นี้คือการไม่ซื่อสัตย์สมรู้ร่วมคิดระบบโครงสร้างกระทรวงขัดเจนผ่านกลไกระบบราชการรัฐเองซึ่งร่วมกับคนนอกระบรัฐกระทำการเลวชั่วต่อแผ่นดินไทยและประชาชนทำกันเป็นเวลาอันยาวนานโดยใช้มุกให้เสมือนชอบธรรมด้านกฎหมายระดับประเทศหรือให้ชอบธรรมโดยอ้างเอากฎหมายนั้นกำกับให้ตนสามารถต่อยอดกระทำชั่วได้ต่อเนื่องเช่นลากยาวจนถึงยุคปัจตุบันนี้นั้นเอง,จึงชอบด้วยกฎสากลยุติธรรมโลกให้โมฆะกรรมแก่สัญญาไม่สุจริตอยุติธรรมต่อประเทศไทยนี้ทันทีและให้มีผลทันทีด้วยกฎอัยการศึกยึดอำนาจภาคมหามวลชนคนไทยทั้งประเทศ,นี้คือเวลาและเป็นจังหวะของประเทศไทยของคนไทย.
    #พรรคthaitimeก็ว่า555

    ..นี้คือเวลาของคนไทย,ใครผีบ้าไปตามโหรทายทัก,อย่าลงสนามเลย,ปล่อยนายกฯทำชาติพังแบบไหนก็ตามเถอะเดี๋ยวไปเองคำทำนายโหรบอกเพราะเมื่อถึงเวลาพะนะ,ถึงจนครบเทอมมันล่ะ,
    ..ถ้าคนไทยต่างคิดถึงแต่ตัวเอง โดยเฉพาะคนกรุงและรอบกรุงเรา,กว่า10ล้านคนแล้วเหลือล้น,ไทยจะเจริญรุ่งโรจน์มันก็ขึ้นอยู่กับเรา..ประชาชนเต็มๆด้วย,หากต้องการบ่อนคาสิโนซึ่งโคตรความเสื่อมด่านแรกประจำประเทศไทยแต่คนไทยยังนิ่งเฉยโดยเฉพาะคนกรุงเทพและปริมลฑลเต็มรอบนั่งดูนอนรอตายในบ้าน,ก็อย่าหวังว่าเราจะจบวิกฤติใดๆที่จะเข้ามาอีกได้แค่หลอกฉีดตายยังเสียโง่ทั่วกรุงแล้ว,ความจริงยังปกปิดเต็มอีก,เรา..ประชาชนเท่านั้นคือหนทางเดียวในเวลานี้,ยิ่งชัดเจนว่ามันคือเรื่องอธิปไตยแดนดินที่พวกมันนำมาสร้างกระแสอัพค่าตัวแบบเดิมๆทางการเมืองเพื่อปกครองอีก,เขมรได้หน้าคือเขาพระวิหารแบบอดีต เราผู้นำผู้ปกครองสมัยนั้นเลวชั่วเนรคุณแผ่นดินไทยแกล้งโง่ชัดเจน ไอ้นี้ผู้นำคนนี้คงรู้แล้วว่ากากและกระจอกจริงทางสมองของแท้,มายุคนี้กะใช้มุกเดิมอีก อ้างผู้นำยังเด็กโง่รู้ไม่เท่าคนอีกล่ะแต่ทีมรอบตัวเบื้องหลังและครอบครัวสมยอมขายชาติทรยศอธิปไตยดินแดนตรึมเตรียมแล้ว,โคตรพ่อโคตรแมร่งทั้งวงศ์ตระกูลขายชาติจริงๆ,ยังนึกเจ็บใจแทนประเทศไทยเราที่เสียโง่เขาพระวิหารไปด้วยผู้นำกากๆกระจอกสมองหมาปัญญาควายขึ้นมานำประเทศสมัยเสียเขาพระวิหารไปสมัยนั้น.
    ..เราต้องเดินสุดซอยจริงๆยุคน้ำหมากเราคือรุ่นสุดท้ายแล้ว เรี่ยวแรงจะลงโลงแล้ว,อนาคตเราต้องเปิดทางให้คนรุ่นหลังเรา,เมื่อเราทำหน้าที่เต็มที่แล้วที่รักษาอธิปไตยแผ่นดินไว้ได้ในมือเราแล้วส่งต่อให้รุ่นต่อไปได้สำเร็จ เวลาจะขัดเกลาคนรุ่นต่อไปของเราอีกทีและอาจเป็นยุคที่รุ่งโรจน์เป็นเอกให้หลายๆด้านในอนาคตก็ได้กว่ารุ่นยุคเราๆอีก,เขมรในอนาคตอาจเป็นดินแดนของไทยกว่าครึ่งประเทศได้คืนมาจากคนรุ่นหลังยึดคืนทวงคืนมาได้เด็ดขาด,หรือทั้งประเทศเขมรจมหายไปกับทะเลก็ว่า,ไม่ต้องมาคุกคามอะไรให้น่ารำคาญอีกต่อไปตลอดกาล.
    ..หรือเราปูทางปูสิ่งดีๆงามไว้เพื่อเราเองล่ะกลับชาติมากเกิดใหม่พบเจอแต่สิ่งดีๆงามๆพัฒนาระดับจิตวิญญาณตนให้สูงๆขึ้นผ่านกายมนุษย์สมบัตินี้จนบรรลุนิพพานใครมันที่ปรารถนาไว้,
    ..จิตวิญญาณไม่มีวันตายก็ว่า.,แม้กายเนื้อจะไม่มีก็ว่า.ชาติไทยเราอุดมสมบูรณ์จริงแท้ในทุกๆด้านที่ชาติใดๆก็อยากได้และอิจฉานัก,แค่ผู้นำผู้ปกครองเรากากกระจอกด้อยความสามารถแค่นั้นเอง,บารมีไม่ถึง ไม่คู่ควรกับอาวุธมีมีอนุภาพเดชฤทธิ์มากมายมหาศาลนี้,บุญบารมีไม่พอเปิดกรุสมบัติมหาศาลนี้ได้.,แค่ขี้เล็บๆที่เห็นๆในปัจจุบัน.
    ..คนไทยเราอันมากจะเป็นยอดมนุษย์เหนือมนุษย์บนโลกนี้,เพราะบรรพบุรุษเราปูทางไว้ดีแล้ว สร้างหลักสร้างฐานไว้ดีแล้ว,และเราคนไทยยุคนี้ก็พร้อมใจสามัคคีกันเป็นอันที่ปกติอยู่แล้วในการร่วมสร้างมันต่อยอดต่อๆไป.
    ..อำนาจคือประชาชน,เราคือประชาชน,ยึดอำนาจโดยประชาชนมันผิดตรงไหน,ประชาชนปกครองด้วยธรรมฝ่ายขาวกุศลธรรมคือไทยเรานี้.ถีบผู้นำสารเลวเสื่อมธรรมผิดศีลผิดธรรมไม่ละอายใจออกไป.

    ..https://youtu.be/TC-GG43mAKQ?si=AVdJPdYuX9AAvF-W

    ..คลิปนี้,พูดชัดเจน,ไล่คือไล่,ทำสุดซอยเลย,ยึดอำนาจโดยภาคประชาชนแล้วจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจภาคประชาชนเลย,ทหารพระราชายืนคุ้มครองอยู่ด้านข้างร่วมกัน,มาพลิกมาเปลี่ยนแปลงฟื้นฟูประเทศไทยกันใหม่อย่างจริงจัง,ครม.ก็ภาคประชาชนเราที่ไล่รัฐบาลสำเร็จและยึดอำนาจนี้ล่ะ,และแก้ไขปัญหาโลกทันกาลด้วยกฎอัยการศึกทหารผ่านภาครัฐบาลประชาชนร่วมกันประเมินตัดสินใจใช้ เช่น ปิดพรมแดนเขมรตลอดแนวไม่มีกำหนดเปิด,ตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดเน็ตตัดคลื่นวิทยุคลื่นมือถือตลอดแนวพรมแดนเขมร.บวกมาตรการคว่ำบาตรเขมรอย่างเป็นทางการด้วยไม่มีระยะเวลากำหนดจนกว่าเขมรจะสำนึกผิดจริงได้.,และกวาดล้างสิ่งชั่วเลวที่เต็มประเทศเขมรอยู่ในปัจจุบันให้หมดสิ้นจริง. ..ตลอดรัฐบาลภาคยึดอำนาจโดยประชาชน ลงมติโมฆะสัมปทานปิโตรเลียมที่รัฐบาลในอดีตสมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการชั่วเลวทรยศประชาชนตัดสินใจเองไม่นำเข้าสภาสส.สว.ให้ประชาชนรับความจริงว่าประเทศไทยโปร่งใส่สุจริตใจต่อประชาชนตนในการทำปิโตรเลียนบนแผ่นดินไทยจะมากจะน้อยต้องนำเข้าสภาและเขียนกฎหมายปิโตรเลียมอย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อชาติและประชาชน,ซึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทั้งหมดชัดเจนแล้วว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตซื่อสัตย์สุจริตใจใดๆปกปิดแอบปิดบังความจริงมากมาย,และขัดต่ออธิปไตยความมั่งคงของประเทศไทยกระทบอย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งประเทศไทยจากการทรยศของกระบวนการเขียนกฎหมายที่มิชอบและสมคบคิดต่างชาติทั้งคนนอกเพื่อมุ่งเอาแต่ได้ในผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากแหล่งปิโตรเลียมประเทศไทยตน,โดยเปิดสัมปทานเกินกว่า20ครั้งแต่ไม่นำเข้าหารือแสดงอภิปรายใดๆในระบบสภาสส.สวตนเองประจำประเทศไทย,จึงเป็นความผิดมหันตภัยร้ายต่ออธิปไตยทั้งดินแดนที่ต้องให้ไปในการดำเนินกิจการบนพื้นที่สัมปทานนั้นๆและอธิปไตยด้านความมั่นคงมั่งคั่งของชาติและประชาชน,ซึ่งสามารถกำหนดราคาภายในประเทศไทยเหมือนชาติผู้ผลิตน้ำมันได้ อย่างน้อยเทียบกับอิหร่านขายดีเชลและเบนซินก็แค่ลิตรละไม่เกิน1-2บาทได้,นี้เป็นการส่งเสริมการพัฒนาสาระพัดด้านหลากหลายมิติของภายในประเทศไทยตนได้อย่างมีเสถียรภาพมั่งคงในทุกๆด้านตลอดความมั่นคงจริงด้านพลังงานของประเทศไทยตนเองอีก,ราคานอกตลาดต่างประเทศเราสามารถส่งขายในราคาตลาดโลกหรือสูงกว่าได้เมื่อแหล่งน้ำมันเรามีคุณภาพสิ่งปลอมปนสกัดได้ปริมาณน้ำมันมากมีคุณภาพดีด้วย,นี้คือการไม่ซื่อสัตย์สมรู้ร่วมคิดระบบโครงสร้างกระทรวงขัดเจนผ่านกลไกระบบราชการรัฐเองซึ่งร่วมกับคนนอกระบรัฐกระทำการเลวชั่วต่อแผ่นดินไทยและประชาชนทำกันเป็นเวลาอันยาวนานโดยใช้มุกให้เสมือนชอบธรรมด้านกฎหมายระดับประเทศหรือให้ชอบธรรมโดยอ้างเอากฎหมายนั้นกำกับให้ตนสามารถต่อยอดกระทำชั่วได้ต่อเนื่องเช่นลากยาวจนถึงยุคปัจตุบันนี้นั้นเอง,จึงชอบด้วยกฎสากลยุติธรรมโลกให้โมฆะกรรมแก่สัญญาไม่สุจริตอยุติธรรมต่อประเทศไทยนี้ทันทีและให้มีผลทันทีด้วยกฎอัยการศึกยึดอำนาจภาคมหามวลชนคนไทยทั้งประเทศ,นี้คือเวลาและเป็นจังหวะของประเทศไทยของคนไทย. #พรรคthaitimeก็ว่า555 ..นี้คือเวลาของคนไทย,ใครผีบ้าไปตามโหรทายทัก,อย่าลงสนามเลย,ปล่อยนายกฯทำชาติพังแบบไหนก็ตามเถอะเดี๋ยวไปเองคำทำนายโหรบอกเพราะเมื่อถึงเวลาพะนะ,ถึงจนครบเทอมมันล่ะ, ..ถ้าคนไทยต่างคิดถึงแต่ตัวเอง โดยเฉพาะคนกรุงและรอบกรุงเรา,กว่า10ล้านคนแล้วเหลือล้น,ไทยจะเจริญรุ่งโรจน์มันก็ขึ้นอยู่กับเรา..ประชาชนเต็มๆด้วย,หากต้องการบ่อนคาสิโนซึ่งโคตรความเสื่อมด่านแรกประจำประเทศไทยแต่คนไทยยังนิ่งเฉยโดยเฉพาะคนกรุงเทพและปริมลฑลเต็มรอบนั่งดูนอนรอตายในบ้าน,ก็อย่าหวังว่าเราจะจบวิกฤติใดๆที่จะเข้ามาอีกได้แค่หลอกฉีดตายยังเสียโง่ทั่วกรุงแล้ว,ความจริงยังปกปิดเต็มอีก,เรา..ประชาชนเท่านั้นคือหนทางเดียวในเวลานี้,ยิ่งชัดเจนว่ามันคือเรื่องอธิปไตยแดนดินที่พวกมันนำมาสร้างกระแสอัพค่าตัวแบบเดิมๆทางการเมืองเพื่อปกครองอีก,เขมรได้หน้าคือเขาพระวิหารแบบอดีต เราผู้นำผู้ปกครองสมัยนั้นเลวชั่วเนรคุณแผ่นดินไทยแกล้งโง่ชัดเจน ไอ้นี้ผู้นำคนนี้คงรู้แล้วว่ากากและกระจอกจริงทางสมองของแท้,มายุคนี้กะใช้มุกเดิมอีก อ้างผู้นำยังเด็กโง่รู้ไม่เท่าคนอีกล่ะแต่ทีมรอบตัวเบื้องหลังและครอบครัวสมยอมขายชาติทรยศอธิปไตยดินแดนตรึมเตรียมแล้ว,โคตรพ่อโคตรแมร่งทั้งวงศ์ตระกูลขายชาติจริงๆ,ยังนึกเจ็บใจแทนประเทศไทยเราที่เสียโง่เขาพระวิหารไปด้วยผู้นำกากๆกระจอกสมองหมาปัญญาควายขึ้นมานำประเทศสมัยเสียเขาพระวิหารไปสมัยนั้น. ..เราต้องเดินสุดซอยจริงๆยุคน้ำหมากเราคือรุ่นสุดท้ายแล้ว เรี่ยวแรงจะลงโลงแล้ว,อนาคตเราต้องเปิดทางให้คนรุ่นหลังเรา,เมื่อเราทำหน้าที่เต็มที่แล้วที่รักษาอธิปไตยแผ่นดินไว้ได้ในมือเราแล้วส่งต่อให้รุ่นต่อไปได้สำเร็จ เวลาจะขัดเกลาคนรุ่นต่อไปของเราอีกทีและอาจเป็นยุคที่รุ่งโรจน์เป็นเอกให้หลายๆด้านในอนาคตก็ได้กว่ารุ่นยุคเราๆอีก,เขมรในอนาคตอาจเป็นดินแดนของไทยกว่าครึ่งประเทศได้คืนมาจากคนรุ่นหลังยึดคืนทวงคืนมาได้เด็ดขาด,หรือทั้งประเทศเขมรจมหายไปกับทะเลก็ว่า,ไม่ต้องมาคุกคามอะไรให้น่ารำคาญอีกต่อไปตลอดกาล. ..หรือเราปูทางปูสิ่งดีๆงามไว้เพื่อเราเองล่ะกลับชาติมากเกิดใหม่พบเจอแต่สิ่งดีๆงามๆพัฒนาระดับจิตวิญญาณตนให้สูงๆขึ้นผ่านกายมนุษย์สมบัตินี้จนบรรลุนิพพานใครมันที่ปรารถนาไว้, ..จิตวิญญาณไม่มีวันตายก็ว่า.,แม้กายเนื้อจะไม่มีก็ว่า.ชาติไทยเราอุดมสมบูรณ์จริงแท้ในทุกๆด้านที่ชาติใดๆก็อยากได้และอิจฉานัก,แค่ผู้นำผู้ปกครองเรากากกระจอกด้อยความสามารถแค่นั้นเอง,บารมีไม่ถึง ไม่คู่ควรกับอาวุธมีมีอนุภาพเดชฤทธิ์มากมายมหาศาลนี้,บุญบารมีไม่พอเปิดกรุสมบัติมหาศาลนี้ได้.,แค่ขี้เล็บๆที่เห็นๆในปัจจุบัน. ..คนไทยเราอันมากจะเป็นยอดมนุษย์เหนือมนุษย์บนโลกนี้,เพราะบรรพบุรุษเราปูทางไว้ดีแล้ว สร้างหลักสร้างฐานไว้ดีแล้ว,และเราคนไทยยุคนี้ก็พร้อมใจสามัคคีกันเป็นอันที่ปกติอยู่แล้วในการร่วมสร้างมันต่อยอดต่อๆไป. ..อำนาจคือประชาชน,เราคือประชาชน,ยึดอำนาจโดยประชาชนมันผิดตรงไหน,ประชาชนปกครองด้วยธรรมฝ่ายขาวกุศลธรรมคือไทยเรานี้.ถีบผู้นำสารเลวเสื่อมธรรมผิดศีลผิดธรรมไม่ละอายใจออกไป. ..https://youtu.be/TC-GG43mAKQ?si=AVdJPdYuX9AAvF-W
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • เจ้านายดี ๆ ไม่ได้เกิดจากความตามใจ แต่เกิดจากความเข้าใจคน

    เวลาพูดถึง “เจ้านายดี ๆ”
    คนจำนวนมากจะนึกถึงคนที่ให้เงินดี งานเบา
    ขอหยุดได้ตามใจ ขอเข้าเลทก็ไม่ว่า
    ทักแชตนอกเวลาแล้วเงียบ ก็ยังไม่ถือสา

    แต่...เจ้านายแบบนั้น
    อาจทำให้บริษัทเจ๊งได้ในไม่ช้า

    เพราะความจริงของ “คน” ก็คือ...
    คนส่วนใหญ่ขี้เกียจมากกว่าขยัน
    ชอบหลบงานมากกว่าวิ่งเข้าหางาน
    และหาทางต่อต้านมากกว่ายอมทำตาม
    หากไม่มีใคร “จับบังเหียน” อย่างจริงจัง

    เจ้านายดี ๆ
    จึงไม่ใช่คนตามใจจนเปื่อย
    แต่เป็นคนที่รู้ว่า “เวลาไหนควรปลอบ และเวลาไหนควรเฆี่ยน”

    เขาเคยเป็นลูกน้องมาก่อน
    เลยเข้าใจดีว่า

    บางทีคนแค่เหนื่อย ต้องการคำปลอบ

    บางทีคนเริ่มเหลิง ต้องการไม้เรียว

    บางทีคนเริ่มหลงทาง ต้องการคนสะกิดแรง ๆ

    ลูกน้องดี ๆ ที่เคยถูกดูแลมาดี
    เมื่อโตเป็นเจ้านาย
    จะเข้าใจว่าคนเรา “มีขึ้นมีลง”
    ไม่ใช่ดีได้ตลอดไป
    และไม่ใช่แย่แล้วจะไม่มีวันลุกขึ้นใหม่

    เจ้านายที่ดี
    จึงไม่ใช่คนที่ใจดีตลอดเวลา
    แต่คือคนที่ “เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์”
    และใช้ความเข้าใจนั้น ขัดเกลาให้คนในทีม “เติบโตเป็นคนจริง”
    เจ้านายดี ๆ ไม่ได้เกิดจากความตามใจ แต่เกิดจากความเข้าใจคน เวลาพูดถึง “เจ้านายดี ๆ” คนจำนวนมากจะนึกถึงคนที่ให้เงินดี งานเบา ขอหยุดได้ตามใจ ขอเข้าเลทก็ไม่ว่า ทักแชตนอกเวลาแล้วเงียบ ก็ยังไม่ถือสา แต่...เจ้านายแบบนั้น อาจทำให้บริษัทเจ๊งได้ในไม่ช้า เพราะความจริงของ “คน” ก็คือ... คนส่วนใหญ่ขี้เกียจมากกว่าขยัน ชอบหลบงานมากกว่าวิ่งเข้าหางาน และหาทางต่อต้านมากกว่ายอมทำตาม หากไม่มีใคร “จับบังเหียน” อย่างจริงจัง เจ้านายดี ๆ จึงไม่ใช่คนตามใจจนเปื่อย แต่เป็นคนที่รู้ว่า “เวลาไหนควรปลอบ และเวลาไหนควรเฆี่ยน” เขาเคยเป็นลูกน้องมาก่อน เลยเข้าใจดีว่า บางทีคนแค่เหนื่อย ต้องการคำปลอบ บางทีคนเริ่มเหลิง ต้องการไม้เรียว บางทีคนเริ่มหลงทาง ต้องการคนสะกิดแรง ๆ ลูกน้องดี ๆ ที่เคยถูกดูแลมาดี เมื่อโตเป็นเจ้านาย จะเข้าใจว่าคนเรา “มีขึ้นมีลง” ไม่ใช่ดีได้ตลอดไป และไม่ใช่แย่แล้วจะไม่มีวันลุกขึ้นใหม่ เจ้านายที่ดี จึงไม่ใช่คนที่ใจดีตลอดเวลา แต่คือคนที่ “เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์” และใช้ความเข้าใจนั้น ขัดเกลาให้คนในทีม “เติบโตเป็นคนจริง”
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • "ความหวาดกลัวคือความเขลา"
    18 เมษา 68...ขอลองเขียนเล่าเรื่องดาร์ก ๆ ดูบ้าง
    ....
    ความหวาดกลัวมีพื้นฐานจากความโง่เขลา เรื่องนี้ lit nit รู้ดี ทุกครั้งที่เกิดความกลัวในเรื่องใด lit nit จะเผชิญหน้ากับมัน ท้าทายมัน และบุกตะลุยให้ความกลัวกระเจิดกระเจิง เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่กลัวกับเรื่องนั้นอีกแล้ว
    ....
    แต่ lit nit ยังมีความกลัวอย่างหนึ่งที่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกของสำนึก กลัวถึงขนาดที่แม้จะเขียนนิยามของมันออกมาก็ไม่ได้ จุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มันเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ สำหรับใครหลาย ๆ คนที่อยู่ด้วยในวันนั้น แต่สำหรับ lit nit แม่งคือ "โศกนาฏกรรมของชีวิต !"
    ....
    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ lit nit หวาดกลัวสิ่งนี้ มันหลับอยู่ในมุมที่มืดที่สุดไม่แสดงตัวให้ใครเห็น จน lit nit เองยังคิดว่ามันจากไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ความจริงมันเปล่าเลย มันเคยถูกปลุกให้ตื่นอยู่บางช่วงเวลาของชีวิต มันเขย่าประสาท lit nit จนหลอน มันหยอกล้อเหยียบย่ำ lit nit สนุกสนาน lit nit รู้ดีว่ามีเพียงความกล้าและปัญญาเท่านั้นที่จะจัดการมันได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่นี่มันคือจุดอ่อนแอที่สุด เป็นปมเดียวของชีวิต อยากให้ใครสักคนโยนเชือกมาฉุด lit nit ขึ้นไปจากหลุมดำแห่งนี้ เพื่อยื้อชีวิตต่อเวลาให้ได้ขัดเกลาความกล้าและปัญญาจนแหลมคม เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า lit nit จะอาจหาญกล้าตะลุยความหวาดกลัวนี้ให้สะบั้นกันไปข้างหนึ่ง อยากขอเวลาเพิ่มอีกสักนิดจริง ๆ
    ....
    "ความกลัวคือความเขลา"
    ไม่ว่าใครก็โปรดอย่าถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะ lit nit กลัวจนยากที่จะเรียกนิยามของมัน ขอให้ lit nit รับรู้ถึงมันเพียงคนเดียวก็พอ ที่เขียนมันออกมาเพราะอยากลองเขียนเรื่องดาร์ก ๆ ดูบ้างก็เท่านั้น

    lit nit
    18 เมษายน 2568
    "ความหวาดกลัวคือความเขลา" 18 เมษา 68...ขอลองเขียนเล่าเรื่องดาร์ก ๆ ดูบ้าง .... ความหวาดกลัวมีพื้นฐานจากความโง่เขลา เรื่องนี้ lit nit รู้ดี ทุกครั้งที่เกิดความกลัวในเรื่องใด lit nit จะเผชิญหน้ากับมัน ท้าทายมัน และบุกตะลุยให้ความกลัวกระเจิดกระเจิง เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่กลัวกับเรื่องนั้นอีกแล้ว .... แต่ lit nit ยังมีความกลัวอย่างหนึ่งที่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกของสำนึก กลัวถึงขนาดที่แม้จะเขียนนิยามของมันออกมาก็ไม่ได้ จุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มันเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ สำหรับใครหลาย ๆ คนที่อยู่ด้วยในวันนั้น แต่สำหรับ lit nit แม่งคือ "โศกนาฏกรรมของชีวิต !" .... เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ lit nit หวาดกลัวสิ่งนี้ มันหลับอยู่ในมุมที่มืดที่สุดไม่แสดงตัวให้ใครเห็น จน lit nit เองยังคิดว่ามันจากไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ความจริงมันเปล่าเลย มันเคยถูกปลุกให้ตื่นอยู่บางช่วงเวลาของชีวิต มันเขย่าประสาท lit nit จนหลอน มันหยอกล้อเหยียบย่ำ lit nit สนุกสนาน lit nit รู้ดีว่ามีเพียงความกล้าและปัญญาเท่านั้นที่จะจัดการมันได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่นี่มันคือจุดอ่อนแอที่สุด เป็นปมเดียวของชีวิต อยากให้ใครสักคนโยนเชือกมาฉุด lit nit ขึ้นไปจากหลุมดำแห่งนี้ เพื่อยื้อชีวิตต่อเวลาให้ได้ขัดเกลาความกล้าและปัญญาจนแหลมคม เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า lit nit จะอาจหาญกล้าตะลุยความหวาดกลัวนี้ให้สะบั้นกันไปข้างหนึ่ง อยากขอเวลาเพิ่มอีกสักนิดจริง ๆ .... "ความกลัวคือความเขลา" ไม่ว่าใครก็โปรดอย่าถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะ lit nit กลัวจนยากที่จะเรียกนิยามของมัน ขอให้ lit nit รับรู้ถึงมันเพียงคนเดียวก็พอ ที่เขียนมันออกมาเพราะอยากลองเขียนเรื่องดาร์ก ๆ ดูบ้างก็เท่านั้น lit nit 18 เมษายน 2568
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • คลื่นสเกลาร์ Chemtrail Haarp

    HAARP ปล่อยเทคโนโลยีการแผ่คลื่นวิทยุอันทรงพลังซึ่งจะยกพื้นที่ไอโอโนสเฟียร์ขึ้นด้วยการโฟกัสลำแสงและทำให้พื้นที่ดังกล่าวร้อนขึ้น

    จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหมด
    คลื่นสเกลาร์ Chemtrail Haarp HAARP ปล่อยเทคโนโลยีการแผ่คลื่นวิทยุอันทรงพลังซึ่งจะยกพื้นที่ไอโอโนสเฟียร์ขึ้นด้วยการโฟกัสลำแสงและทำให้พื้นที่ดังกล่าวร้อนขึ้น จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหมด
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 0 Reviews
  • เปิดแล้วสถานีขนส่ง TBG มีรถทัวร์รันเตาปันยังไป KL

    สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เปิดทดลองให้บริการเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อต้อนรับวันหยุดฮารีรายา อีดิลฟิฏร์ (Hari Raya Aidilfitri) ที่จะมีชาวมาเลเซียเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก

    เบื้องต้นพบว่ามีผู้ประกอบการเดินรถบางบริษัทให้บริการไปยังปลายทางชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย เช่น เมืองกัวลาตรังกานู (Kuala Terengganu) รัฐตรังกานู (Terengganu), เมืองโกตาบารู (Kota Bharu) รัฐกลันตัน (Kelantan) และเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง (Pahang) โดยช่องทางสำรองที่นั่งมีทั้งช่องทางออนไลน์ของสถานีขนส่ง TBG เว็บไซต์ www.tbg.com.my ช่องทางออนไลน์ของผู้ประกอบการเดินรถ และแพลตฟอร์มจองตั๋วรถบัสออนไลน์ซึ่งมีหลายแห่ง

    เช่น บริษัทปันจารัน มาตาฮาริ (Pancaran Matahari) มีรถจากรัฐกลันตัน แวะส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่ง TBG ก่อนไปต่อที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) และชาห์อลาม (Shah Alam) ส่วนบริษัท ซานิ เอ็กซ์เพรส (Sani Express) จะเริ่มให้บริการระหว่างสถานีขนส่ง TBG ไปยัง 3 เมืองในรัฐกลันตัน ได้แก่ ทานาห์ เมราห์ (Tanah Merah) ปาเซร์มัส (Pasir Mas) และรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. โดยเปิดให้สำรองที่นั่งแล้วผ่านเว็บไซต์ www.tbg.com.my และ www.saniexpress.com.my

    การเดินทางจากใจกลางเมือง เช่น สถานีเคแอลเซ็นทรัล (KL Sentral) สถานีเคแอลซีซี (KLCC) สถานีอัมปังพาร์ค (Ampang Park) ไปยังสถานีขนส่ง TBG สามารถใช้บริการรถไฟฟ้ารางเบาสายเกลานา จายา (LRT Kelana Jaya Line) ลงที่สถานีกอมบัค (Gombak) จากนั้นเดินเท้าออกจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังด้านหลังสถานีขนส่ง TBG กดลิฟต์ไปที่ชั้น 2 แล้วเดินเข้าอาคารผู้โดยสาร ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมาก

    สำหรับประเทศไทย รถทัวร์ที่จะไปสถานีขนส่ง TBG มีเพียงสถานีขนส่งรันเตาปันยัง ใกล้กับด่าน ICQS รันเตาปันยัง ตรงข้ามด่านพรมแดนสุไหงโกลก จ.นราธิวาส มีรถของบริษัทซานิ เอ็กซ์เพรส ให้บริการวันละ 1 เที่ยว รถออกเวลา 21.00 น. (ตามเวลามาเลเซีย) ถึงสถานีขนส่ง TBG เวลาประมาณ 05.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 82.50 ริงกิต (633 บาท) แต่ที่ท่ารถเป็งกาลันกูโบ (Pengkalan Kubor) ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส มีแต่รถไปสถานี TBS ยังไม่มีรถไปถึงสถานีขนส่ง TBG

    #Newskit
    เปิดแล้วสถานีขนส่ง TBG มีรถทัวร์รันเตาปันยังไป KL สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เปิดทดลองให้บริการเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อต้อนรับวันหยุดฮารีรายา อีดิลฟิฏร์ (Hari Raya Aidilfitri) ที่จะมีชาวมาเลเซียเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก เบื้องต้นพบว่ามีผู้ประกอบการเดินรถบางบริษัทให้บริการไปยังปลายทางชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย เช่น เมืองกัวลาตรังกานู (Kuala Terengganu) รัฐตรังกานู (Terengganu), เมืองโกตาบารู (Kota Bharu) รัฐกลันตัน (Kelantan) และเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง (Pahang) โดยช่องทางสำรองที่นั่งมีทั้งช่องทางออนไลน์ของสถานีขนส่ง TBG เว็บไซต์ www.tbg.com.my ช่องทางออนไลน์ของผู้ประกอบการเดินรถ และแพลตฟอร์มจองตั๋วรถบัสออนไลน์ซึ่งมีหลายแห่ง เช่น บริษัทปันจารัน มาตาฮาริ (Pancaran Matahari) มีรถจากรัฐกลันตัน แวะส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่ง TBG ก่อนไปต่อที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) และชาห์อลาม (Shah Alam) ส่วนบริษัท ซานิ เอ็กซ์เพรส (Sani Express) จะเริ่มให้บริการระหว่างสถานีขนส่ง TBG ไปยัง 3 เมืองในรัฐกลันตัน ได้แก่ ทานาห์ เมราห์ (Tanah Merah) ปาเซร์มัส (Pasir Mas) และรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. โดยเปิดให้สำรองที่นั่งแล้วผ่านเว็บไซต์ www.tbg.com.my และ www.saniexpress.com.my การเดินทางจากใจกลางเมือง เช่น สถานีเคแอลเซ็นทรัล (KL Sentral) สถานีเคแอลซีซี (KLCC) สถานีอัมปังพาร์ค (Ampang Park) ไปยังสถานีขนส่ง TBG สามารถใช้บริการรถไฟฟ้ารางเบาสายเกลานา จายา (LRT Kelana Jaya Line) ลงที่สถานีกอมบัค (Gombak) จากนั้นเดินเท้าออกจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังด้านหลังสถานีขนส่ง TBG กดลิฟต์ไปที่ชั้น 2 แล้วเดินเข้าอาคารผู้โดยสาร ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมาก สำหรับประเทศไทย รถทัวร์ที่จะไปสถานีขนส่ง TBG มีเพียงสถานีขนส่งรันเตาปันยัง ใกล้กับด่าน ICQS รันเตาปันยัง ตรงข้ามด่านพรมแดนสุไหงโกลก จ.นราธิวาส มีรถของบริษัทซานิ เอ็กซ์เพรส ให้บริการวันละ 1 เที่ยว รถออกเวลา 21.00 น. (ตามเวลามาเลเซีย) ถึงสถานีขนส่ง TBG เวลาประมาณ 05.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 82.50 ริงกิต (633 บาท) แต่ที่ท่ารถเป็งกาลันกูโบ (Pengkalan Kubor) ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส มีแต่รถไปสถานี TBS ยังไม่มีรถไปถึงสถานีขนส่ง TBG #Newskit
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 883 Views 0 Reviews
  • ย้อนดูท่าทางของเซเลนสกีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ขณะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนอร์มังดี ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส ธันวาคม 2019

    ท่าทางของเซเลนสกี อดีตดาวตลก ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2019 หลายฝ่ายมองว่าไม่ให้เกียรติและกำลังดูหมิ่นประธานาธิบดีปูติน ขณะที่เขากำลังพูดถึงความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความขัดแย้งในแคว้นดอนบาสของยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากภูมิภาคโดเนตส์ก (Donetsk) และลูฮันส์ก (Luhansk) ทำสงครามแยกตัวเป็นเอกราชจากยูเครน ไม่นานหลังจากรัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

    แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ข้อตกลงมินสค์ที่ออกมาจากการประชุมครั้งนั้น ไม่เคยมีไว้เพื่อปฏิบัติตามเลย แม้แต่นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ยอมรับในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงนี้ถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อหลอกรัสเซีย และเพื่อซื้อเวลาและอาวุธให้ยูเครนได้เตรียมตัวก่อนทำสงครามจริงจัง
    ย้อนดูท่าทางของเซเลนสกีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ขณะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนอร์มังดี ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส ธันวาคม 2019 ท่าทางของเซเลนสกี อดีตดาวตลก ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2019 หลายฝ่ายมองว่าไม่ให้เกียรติและกำลังดูหมิ่นประธานาธิบดีปูติน ขณะที่เขากำลังพูดถึงความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความขัดแย้งในแคว้นดอนบาสของยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากภูมิภาคโดเนตส์ก (Donetsk) และลูฮันส์ก (Luhansk) ทำสงครามแยกตัวเป็นเอกราชจากยูเครน ไม่นานหลังจากรัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ข้อตกลงมินสค์ที่ออกมาจากการประชุมครั้งนั้น ไม่เคยมีไว้เพื่อปฏิบัติตามเลย แม้แต่นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ยอมรับในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงนี้ถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อหลอกรัสเซีย และเพื่อซื้อเวลาและอาวุธให้ยูเครนได้เตรียมตัวก่อนทำสงครามจริงจัง
    0 Comments 0 Shares 505 Views 0 Reviews
  • สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด
    .
    หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง
    .
    ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย
    .
    แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง
    .
    มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย
    .
    ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด
    .
    อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้
    .
    เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป
    .
    การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา
    .
    มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ
    .
    ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด . หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ . ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง . ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย . แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ . ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง . มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ . ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย . ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด . อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ . เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป . การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น . นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา . มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ . ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 2748 Views 0 Reviews
  • ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี

    แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน

    นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79%

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย

    สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี

    อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย

    #Newskit
    ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 797 Views 0 Reviews
  • เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025

    ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16%

    สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน

    ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน

    จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara)

    มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange)

    2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์

    อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562

    #Newskit
    เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025 ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16% สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara) มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange) 2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562 #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 851 Views 0 Reviews
  • Arm ได้เปิดตัวซีพียู Cortex-A320 รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Armv9 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในแอปพลิเคชัน IoT และ AI ที่เน้นความมีประสิทธิภาพสูง ซีพียูนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Cortex-A520 ถึง 50% ด้วยการปรับปรุงในระดับไมโครอาร์คิเทกเจอร์

    Cortex-A320 ยังมีประสิทธิภาพในด้านการประมวลผลสเกลาร์สูงกว่า Cortex-A35 ถึง 30% ด้วยการใช้ตัวคาดเดาสาขาที่มีประสิทธิภาพ, การดึงข้อมูลล่วงหน้า, และการปรับปรุงระบบหน่วยความจำ ซีพียูรุ่นนี้สามารถรองรับการกำหนดค่าแบบซิงเกิลคอร์ถึงควอดคอร์ และมีหน่วย DSU-120T ที่ช่วยให้สามารถสร้างกลุ่มซีพียู Cortex-A320 เท่านั้น

    จุดเด่นของ Cortex-A320 คือการรองรับแคช L1 ขนาดสูงสุด 64 KB และแคช L2 ขนาดสูงสุด 512 KB รวมถึงอินเตอร์เฟซ AMBA5 AXI ขนาด 256 บิตสำหรับเชื่อมต่อหน่วยความจำภายนอก ซีพียูนี้ยังมีหน่วยประมวลผลเวกเตอร์ที่รองรับเทคโนโลยี NEON และ SVE2 ซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้ในระบบคอร์เดียวหรือระบบคอร์คู่และควอดคอร์

    ซีพียูรุ่นนี้ไม่เพียงแค่เน้นตลาด IoT เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นตลาด AI ด้วยการรวมการปรับปรุงสถาปัตยกรรม Armv9 ในหน่วยประมวลผลเวกเตอร์ NEON และ SVE2 Cortex-A320 มีการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ML ถึงสิบเท่าเมื่อเทียบกับ Cortex-A35 และหกเท่าเมื่อเทียบกับ Cortex-A53 ที่ใช้งานแพร่หลาย

    นอกจากนี้ Cortex-A320 ยังรองรับประเภทข้อมูลใหม่เช่น BF16 และมีการปรับปรุงคำสั่งการคูณจุดและการคูณเมตริกซ์ ทำให้เป็นซีพียู Cortex-A ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดสำหรับแอปพลิเคชัน ML

    https://www.techpowerup.com/333194/arm-intros-cortex-a320-armv9-cpu-for-iot-and-edge-ai-applications
    Arm ได้เปิดตัวซีพียู Cortex-A320 รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Armv9 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในแอปพลิเคชัน IoT และ AI ที่เน้นความมีประสิทธิภาพสูง ซีพียูนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Cortex-A520 ถึง 50% ด้วยการปรับปรุงในระดับไมโครอาร์คิเทกเจอร์ Cortex-A320 ยังมีประสิทธิภาพในด้านการประมวลผลสเกลาร์สูงกว่า Cortex-A35 ถึง 30% ด้วยการใช้ตัวคาดเดาสาขาที่มีประสิทธิภาพ, การดึงข้อมูลล่วงหน้า, และการปรับปรุงระบบหน่วยความจำ ซีพียูรุ่นนี้สามารถรองรับการกำหนดค่าแบบซิงเกิลคอร์ถึงควอดคอร์ และมีหน่วย DSU-120T ที่ช่วยให้สามารถสร้างกลุ่มซีพียู Cortex-A320 เท่านั้น จุดเด่นของ Cortex-A320 คือการรองรับแคช L1 ขนาดสูงสุด 64 KB และแคช L2 ขนาดสูงสุด 512 KB รวมถึงอินเตอร์เฟซ AMBA5 AXI ขนาด 256 บิตสำหรับเชื่อมต่อหน่วยความจำภายนอก ซีพียูนี้ยังมีหน่วยประมวลผลเวกเตอร์ที่รองรับเทคโนโลยี NEON และ SVE2 ซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้ในระบบคอร์เดียวหรือระบบคอร์คู่และควอดคอร์ ซีพียูรุ่นนี้ไม่เพียงแค่เน้นตลาด IoT เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นตลาด AI ด้วยการรวมการปรับปรุงสถาปัตยกรรม Armv9 ในหน่วยประมวลผลเวกเตอร์ NEON และ SVE2 Cortex-A320 มีการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ML ถึงสิบเท่าเมื่อเทียบกับ Cortex-A35 และหกเท่าเมื่อเทียบกับ Cortex-A53 ที่ใช้งานแพร่หลาย นอกจากนี้ Cortex-A320 ยังรองรับประเภทข้อมูลใหม่เช่น BF16 และมีการปรับปรุงคำสั่งการคูณจุดและการคูณเมตริกซ์ ทำให้เป็นซีพียู Cortex-A ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดสำหรับแอปพลิเคชัน ML https://www.techpowerup.com/333194/arm-intros-cortex-a320-armv9-cpu-for-iot-and-edge-ai-applications
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Arm Intros Cortex-A320 Armv9 CPU for IoT and Edge AI Applications
    Arm's new Cortex-A320 represents its first ultra-efficient CPU using the advanced Armv9 architecture dedicated to the needs of IoT and AI applications. The processor achieves over 50% higher efficiency compared to the Cortex-A520 through several microarchitecture optimizations, together with a narro...
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • ธรรมภาษาภาษาใจ
    หมายความจริงอิงอาศัย
    เห็นโทษคุณบุญบาปได้
    ให้เลือกทำกรรมพึ่งตน

    ภาวนาพาแจ้งชัด
    ขัดเกลาได้ไม่สับสน
    รักษาจิตสติยล
    หนทางธรรมนำปัญญา
    ธรรมภาษาภาษาใจ หมายความจริงอิงอาศัย เห็นโทษคุณบุญบาปได้ ให้เลือกทำกรรมพึ่งตน ภาวนาพาแจ้งชัด ขัดเกลาได้ไม่สับสน รักษาจิตสติยล หนทางธรรมนำปัญญา
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดำรัสให้โอวาท ทรงตรัสถึงการเผยแผ่พระธรรมที่เป็นมิจฉาวาจา ขอเชิญอ่านค่ะ

    ********

    คติธรรมเนื่องในวันมาฆบูชาวันพุธ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
    ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัท น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ที่เรียกอีกอย่างว่าวันจาตุรงคสันติบาต

    วันจาตุรงคสันนิบาต อาจเตือนใจพุทธศาสนิกชน ให้น้อมรำลึกถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานวิธีการประกาศพระศาสนา อันนักเผยแผ่ และผู้สดับธรรรมะ พึงน้อมนำมาเป็น
    วิถีทางประพฤติแห่งตน กล่าวคือ อนุปวาโท การไม่พูดร้าย ๑ อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ๑ ซึ่งทั้งสองวิธีการนี้ล้วนประมวลอยู่ในกุศลกรรมบถทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยและสังคมโลกในปัจจุบัน ถูกขับเคลื่อนไปบนกระแสชี้นำตามกลไกการสื่อสารอันรวดเร็วฉับไว ผู้คนจำนวนมากมักพอใจในความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย จนอาจมักง่าย ละเลยกระบวนการอันสุขุม รอบคอบ และชอบธรรม นำไปสู่การทำร้ายกันโดยกายทุจริต และการกล่าวร้ายกันโดยวจีทุจริต ย้อมจิตให้เสพคุ้นกับเนื้อความและรูปแบบอันก่อโทษ ประทุษร้าย หยาบกระด้าง เป็นเท็จส่อเสียด และเพ้อเจ้อ จนรู้สึกด้านชา หลงว่าอกุศลเป็นความดี หลงว่าความทุจริตเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา ณ โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้สาธุชน จงหมั่นเตือนตน
    ด้วยตนเอง อย่าได้ย่อหย่อนในการขัดเกลากาย วาจา และใจ ให้คุ้นชินกับความประณีต อ่อนโยน สุภาพและสุขุม เพื่อช่วยกันเหนี่ยวรั้งสังคม ให้หนักแน่นอยู่บนหลักการไม่ทำร้าย และไม่พูดร้าย อันเป็นวิธีการรักษาและเผยแผ่พระศาสนาตามพระธรรมวินัย เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญกตเวที และได้พลีอุทิศตน
    เป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระบรมครูผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง

    ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำรงคงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลาย จงถึงพร้อมด้วยความอดทนและหมั่นเพียร ในอันที่จะศึกษาและเผยแผ่พระสัทธรรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองสถาพรสืบไป เทอญ.

    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
    สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดำรัสให้โอวาท ทรงตรัสถึงการเผยแผ่พระธรรมที่เป็นมิจฉาวาจา ขอเชิญอ่านค่ะ ******** คติธรรมเนื่องในวันมาฆบูชาวันพุธ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัท น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ที่เรียกอีกอย่างว่าวันจาตุรงคสันติบาต วันจาตุรงคสันนิบาต อาจเตือนใจพุทธศาสนิกชน ให้น้อมรำลึกถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานวิธีการประกาศพระศาสนา อันนักเผยแผ่ และผู้สดับธรรรมะ พึงน้อมนำมาเป็น วิถีทางประพฤติแห่งตน กล่าวคือ อนุปวาโท การไม่พูดร้าย ๑ อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ๑ ซึ่งทั้งสองวิธีการนี้ล้วนประมวลอยู่ในกุศลกรรมบถทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยและสังคมโลกในปัจจุบัน ถูกขับเคลื่อนไปบนกระแสชี้นำตามกลไกการสื่อสารอันรวดเร็วฉับไว ผู้คนจำนวนมากมักพอใจในความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย จนอาจมักง่าย ละเลยกระบวนการอันสุขุม รอบคอบ และชอบธรรม นำไปสู่การทำร้ายกันโดยกายทุจริต และการกล่าวร้ายกันโดยวจีทุจริต ย้อมจิตให้เสพคุ้นกับเนื้อความและรูปแบบอันก่อโทษ ประทุษร้าย หยาบกระด้าง เป็นเท็จส่อเสียด และเพ้อเจ้อ จนรู้สึกด้านชา หลงว่าอกุศลเป็นความดี หลงว่าความทุจริตเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา ณ โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้สาธุชน จงหมั่นเตือนตน ด้วยตนเอง อย่าได้ย่อหย่อนในการขัดเกลากาย วาจา และใจ ให้คุ้นชินกับความประณีต อ่อนโยน สุภาพและสุขุม เพื่อช่วยกันเหนี่ยวรั้งสังคม ให้หนักแน่นอยู่บนหลักการไม่ทำร้าย และไม่พูดร้าย อันเป็นวิธีการรักษาและเผยแผ่พระศาสนาตามพระธรรมวินัย เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญกตเวที และได้พลีอุทิศตน เป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระบรมครูผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำรงคงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลาย จงถึงพร้อมด้วยความอดทนและหมั่นเพียร ในอันที่จะศึกษาและเผยแผ่พระสัทธรรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองสถาพรสืบไป เทอญ. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
    0 Comments 0 Shares 640 Views 0 Reviews
  • เนื่องในวันมาฆบูชา ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม ความว่า

    “ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัท น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ที่เรียกอีกอย่างว่า วันจาตุรงคสันนิบาต

    วันจาตุรงคสันนิบาต อาจเตือนใจพุทธศาสนิกชน ให้น้อมรำลึกถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานวิธีการประกาศพระศาสนา อันนักเผยแผ่ และผู้สดับธรรมะ พึงน้อมนำมาเป็นวิถีทางประพฤติแห่งตน กล่าวคือ อนูปวาโท การไม่พูดร้าย ๑ อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ๑ ซึ่งทั้งสองวิธีการนี้ ล้วนประมวลอยู่ในกุศลกรรมบถทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยและสังคมโลกในปัจจุบัน ถูกขับเคลื่อนไปบนกระแสชี้นำ ตามกลไกการสื่อสารอันรวดเร็วฉับไว ผู้คนจำนวนมากมักพอใจในความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย จนอาจมักง่าย ละเลยกระบวนการอันสุขุม รอบคอบ และชอบธรรม นำไปสู่การทำร้ายกันโดยกายทุจริต และการกล่าวร้ายกันโดยวจีทุจริต ย้อมจิตให้เสพคุ้นกับเนื้อความและรูปแบบอันก่อโทษ ประทุษร้าย หยาบกระด้าง เป็นเท็จ ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ จนรู้สึกด้านชา หลงว่าอกุศลเป็นความดี หลงว่าความทุจริตเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา ณ โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้สาธุชน จงหมั่นเตือนตนด้วยตนเอง อย่าได้ย่อหย่อนในการขัดเกลากาย วาจา และใจ ให้คุ้นชินกับความประณีต อ่อนโยน สุภาพ และสุขุม เพื่อช่วยกันเหนี่ยวรั้งสังคม ให้หนักแน่นอยู่บนหลักการไม่ทำร้าย และไม่พูดร้าย อันเป็นวิธีการรักษาและเผยแผ่พระศาสนาตามพระธรรมวินัย เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที และได้พลีอุทิศตนเป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระบรมครูผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง

    ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำรงคงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลาย จงถึงพร้อมด้วยความอดทนและหมั่นเพียร ในอันที่จะศึกษาและเผยแผ่พระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองสถาพรสืบไป เทอญ.”

    ที่มา สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
    เนื่องในวันมาฆบูชา ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม ความว่า “ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัท น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ที่เรียกอีกอย่างว่า วันจาตุรงคสันนิบาต วันจาตุรงคสันนิบาต อาจเตือนใจพุทธศาสนิกชน ให้น้อมรำลึกถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานวิธีการประกาศพระศาสนา อันนักเผยแผ่ และผู้สดับธรรมะ พึงน้อมนำมาเป็นวิถีทางประพฤติแห่งตน กล่าวคือ อนูปวาโท การไม่พูดร้าย ๑ อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ๑ ซึ่งทั้งสองวิธีการนี้ ล้วนประมวลอยู่ในกุศลกรรมบถทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยและสังคมโลกในปัจจุบัน ถูกขับเคลื่อนไปบนกระแสชี้นำ ตามกลไกการสื่อสารอันรวดเร็วฉับไว ผู้คนจำนวนมากมักพอใจในความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย จนอาจมักง่าย ละเลยกระบวนการอันสุขุม รอบคอบ และชอบธรรม นำไปสู่การทำร้ายกันโดยกายทุจริต และการกล่าวร้ายกันโดยวจีทุจริต ย้อมจิตให้เสพคุ้นกับเนื้อความและรูปแบบอันก่อโทษ ประทุษร้าย หยาบกระด้าง เป็นเท็จ ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ จนรู้สึกด้านชา หลงว่าอกุศลเป็นความดี หลงว่าความทุจริตเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา ณ โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้สาธุชน จงหมั่นเตือนตนด้วยตนเอง อย่าได้ย่อหย่อนในการขัดเกลากาย วาจา และใจ ให้คุ้นชินกับความประณีต อ่อนโยน สุภาพ และสุขุม เพื่อช่วยกันเหนี่ยวรั้งสังคม ให้หนักแน่นอยู่บนหลักการไม่ทำร้าย และไม่พูดร้าย อันเป็นวิธีการรักษาและเผยแผ่พระศาสนาตามพระธรรมวินัย เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที และได้พลีอุทิศตนเป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระบรมครูผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำรงคงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลาย จงถึงพร้อมด้วยความอดทนและหมั่นเพียร ในอันที่จะศึกษาและเผยแผ่พระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองสถาพรสืบไป เทอญ.” ที่มา สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 818 Views 0 Reviews
  • “ฉีเคอะ” ประกาศ “ก๊วยเจ๋ง” ต้อง “เซียวจ้าน” คนเดียวเท่านั้น !
    ​​
    หลังจากประกาศงานการสร้าง ที่มีแม่ทัพคือ "ฉีเคอะ" ที่นั่งหัวโต๊ะรับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับระดับตำนานแห่งภาพยนตร์จีน ที่เลื่องชื่อในเรื่องความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ "อุทิศจิตวิญญาณ" แม้จะอายุ 75 แล้ว เขายังคงมีพลังล้นเหลือและมาตรฐานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉากหรือกระบวนท่าต่อสู้ เขาก็ลงมือทำเองทั้งหมด ขัดเกลาทั้งวันทั้งคืน เพียงเพื่อสร้างภาพยนตร์ "มังกรหยก" ให้เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย และสิ่งสำคัญที่สุด "ฉีเคอะ" สตีเว่น สปิลเบิร์ก แห่งเมืองจีน ฟันธงก๊วยเจ๋งของเขาต้องเป็น "เซียวจ้าน" เท่านั้น
    ​​
    "เซียวจ้าน" ซุปเปอร์สตาร์ดาราหนุ่มผู้ที่มาพร้อมกับวลีเด็ดติดปาก "ขออีกทีครับ!" ความมุ่งมั่น ความมีวินัย และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เซียวจ้านได้พิสูจน์ให้ฉีเคอะเห็นมาตลอดว่าเขาไม่คิดที่จะหยุดอยู่กับที่ เขาพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า! และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนี้เองคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจมหาชนของวงการบันเทิงจีน!

    คำกล่าวของฉีเคอะที่ว่า "โอกาสไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาเอง" ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยเซียวจ้าน ! กับบทบาท "ก๊วยเจ๋ง" จึงเหมาะสมกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขา ! เขาได้พิชิตใจฉีเคอะ พิชิตใจทีมงาน และกำลังจะเข้าไปพิชิตใจผู้ชมทั่วโลก !

    จากบทประพันธ์สุดลือลั่นของกิมย้ง ด้วยมหึมาทุนสร้าง 2,000 ล้านบาท
    นี่คือภาพยนตร์มังกรหยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค
    มหาศึกระหว่างเหล่าจอมยุทธกับทัพใหญ่มองโกล
    ผลงานของผู้กำกับมือเทพ “ฉีเคอะ”

    “เซียวจ้าน” เป็น ก๊วยเจ๋ง ใน
    “The Legend of the Condor Heroes : The Gallants”
    “มังกรหยก จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่”
    ระเบิดพลังยุทธกอบกู้แผ่นดิน
    20 กุมภาพันธ์นี้ ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

    #มังกรหยกจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่
    #LegendsofTheCondorHeroes #มังกรหยก2025
    #LegendsoftheCondorHeroesTheGallants
    #มังกรหยกเซียวจ้าน2025 #XiaoZhan
    #XiaoZhan肖战 #เซียวจ้าน #肖战
    #XiaoZhanxGuoJing #มังกรหยก
    #ก๊วยเจ๋ง #กัวจึ้ง #GuoJing
    “ฉีเคอะ” ประกาศ “ก๊วยเจ๋ง” ต้อง “เซียวจ้าน” คนเดียวเท่านั้น ! ​​ หลังจากประกาศงานการสร้าง ที่มีแม่ทัพคือ "ฉีเคอะ" ที่นั่งหัวโต๊ะรับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับระดับตำนานแห่งภาพยนตร์จีน ที่เลื่องชื่อในเรื่องความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ "อุทิศจิตวิญญาณ" แม้จะอายุ 75 แล้ว เขายังคงมีพลังล้นเหลือและมาตรฐานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉากหรือกระบวนท่าต่อสู้ เขาก็ลงมือทำเองทั้งหมด ขัดเกลาทั้งวันทั้งคืน เพียงเพื่อสร้างภาพยนตร์ "มังกรหยก" ให้เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย และสิ่งสำคัญที่สุด "ฉีเคอะ" สตีเว่น สปิลเบิร์ก แห่งเมืองจีน ฟันธงก๊วยเจ๋งของเขาต้องเป็น "เซียวจ้าน" เท่านั้น ​​ "เซียวจ้าน" ซุปเปอร์สตาร์ดาราหนุ่มผู้ที่มาพร้อมกับวลีเด็ดติดปาก "ขออีกทีครับ!" ความมุ่งมั่น ความมีวินัย และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เซียวจ้านได้พิสูจน์ให้ฉีเคอะเห็นมาตลอดว่าเขาไม่คิดที่จะหยุดอยู่กับที่ เขาพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า! และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนี้เองคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจมหาชนของวงการบันเทิงจีน! คำกล่าวของฉีเคอะที่ว่า "โอกาสไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาเอง" ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยเซียวจ้าน ! กับบทบาท "ก๊วยเจ๋ง" จึงเหมาะสมกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขา ! เขาได้พิชิตใจฉีเคอะ พิชิตใจทีมงาน และกำลังจะเข้าไปพิชิตใจผู้ชมทั่วโลก ! จากบทประพันธ์สุดลือลั่นของกิมย้ง ด้วยมหึมาทุนสร้าง 2,000 ล้านบาท นี่คือภาพยนตร์มังกรหยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค มหาศึกระหว่างเหล่าจอมยุทธกับทัพใหญ่มองโกล ผลงานของผู้กำกับมือเทพ “ฉีเคอะ” “เซียวจ้าน” เป็น ก๊วยเจ๋ง ใน “The Legend of the Condor Heroes : The Gallants” “มังกรหยก จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่” ระเบิดพลังยุทธกอบกู้แผ่นดิน 20 กุมภาพันธ์นี้ ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น #มังกรหยกจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #LegendsofTheCondorHeroes #มังกรหยก2025 #LegendsoftheCondorHeroesTheGallants #มังกรหยกเซียวจ้าน2025 #XiaoZhan #XiaoZhan肖战 #เซียวจ้าน #肖战 #XiaoZhanxGuoJing #มังกรหยก #ก๊วยเจ๋ง #กัวจึ้ง #GuoJing
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 1520 Views 0 Reviews
  • Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า”
    .
    การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง
    .
    อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที
    .
    แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!"
    .
    บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้"
    .
    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง"
    .
    .
    to be continued...
    .
    .
    Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า” . การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง . อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที . แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!" . บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้" . วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง" . . to be continued... . .
    0 Comments 0 Shares 1258 Views 0 Reviews
  • พุทธศิลป์หินสลักแท้........อันดากู
    ศิลปะปาละดู........ชัดแท้
    สล่าอินเดียชั้นครู.....เกลาแกะไว้เอย
    กรุพุกามบรรจุแล้.....สื่อไว้ภาษาเตลูกู เจ้าเฮย..
    ........อาจารย์นิคม เทพย์ช่วย........
    พุทธศิลป์หินสลักแท้........อันดากู ศิลปะปาละดู........ชัดแท้ สล่าอินเดียชั้นครู.....เกลาแกะไว้เอย กรุพุกามบรรจุแล้.....สื่อไว้ภาษาเตลูกู เจ้าเฮย.. ........อาจารย์นิคม เทพย์ช่วย........
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 Comments 0 Shares 849 Views 0 Reviews
  • #บวชมาแล้ว...ฉันแล้วนอน

    - ให้บิณฑบาตร นั่งซาเล้ง รถเบ็นซ์ เลี้ยงชีพ

    - อยู่ที่วิเวก ไม่คลุกคลี

    - ใช้ชีวิตสันโดษ ขูดเกลากิเลส

    - มุ่งปรารภความเพียรภาวนาเพื่อบรรลุธรรมฯ

    ×ไม่ต้องไปทำเดรัจฉานวิชาเลี้ยงชีพ

    ×ไม่ต้องไปสนใจโลก สนใจพูดคุยกับใคร

    ×ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ส่งเสริมกิเลส อย่างโลกๆ

    ×ไม่ต้องมีกิจ ที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานฯ

    #ทางที่ไม่เนิ่นช้า

    #เต็ม100กับการปฏิบัติ

    #ย่อมประสบความสำเร็จ100 %

    #ธรรมจักษุของนักภาวนา

    https://youtu.be/Lrf1i78JN1M?si=QDMo8uVa-LQ0ikeW

    #จากซาเล้งพ่วงข้าง สู่หนทางพระนิพพาน
    #บวชมาแล้ว...ฉันแล้วนอน - ให้บิณฑบาตร นั่งซาเล้ง รถเบ็นซ์ เลี้ยงชีพ - อยู่ที่วิเวก ไม่คลุกคลี - ใช้ชีวิตสันโดษ ขูดเกลากิเลส - มุ่งปรารภความเพียรภาวนาเพื่อบรรลุธรรมฯ ×ไม่ต้องไปทำเดรัจฉานวิชาเลี้ยงชีพ ×ไม่ต้องไปสนใจโลก สนใจพูดคุยกับใคร ×ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ส่งเสริมกิเลส อย่างโลกๆ ×ไม่ต้องมีกิจ ที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานฯ #ทางที่ไม่เนิ่นช้า #เต็ม100กับการปฏิบัติ #ย่อมประสบความสำเร็จ100 % #ธรรมจักษุของนักภาวนา https://youtu.be/Lrf1i78JN1M?si=QDMo8uVa-LQ0ikeW #จากซาเล้งพ่วงข้าง สู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 691 Views 0 Reviews
  • #บวชมาแล้ว...ฉันแล้วนอน

    - ให้บิณฑบาตร นั่งซาเล้ง รถเบ็นซ์ เลี้ยงชีพ

    - อยู่ที่วิเวก ไม่คลุกคลี

    - ใช้ชีวิตสันโดษ ขูดเกลากิเลส

    - มุ่งปรารภความเพียรภาวนาเพื่อบรรลุธรรมฯ

    ×ไม่ต้องไปทำเดรัจฉานวิชาเลี้ยงชีพ

    ×ไม่ต้องไปสนใจโลก สนใจพูดคุยกับใคร

    ×ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ส่งเสริมกิเลส อย่างโลกๆ

    ×ไม่ต้องมีกิจ ที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานฯ

    #ทางที่ไม่เนิ่นช้า

    #เต็ม100กับการปฏิบัติ

    #ย่อมประสบความสำเร็จ100 %

    #ธรรมจักษุของนักภาวนา

    https://youtu.be/Lrf1i78JN1M?si=QDMo8uVa-LQ0ikeW

    #จากซาเล้งพ่วงข้าง สู่หนทางพระนิพพาน
    #บวชมาแล้ว...ฉันแล้วนอน - ให้บิณฑบาตร นั่งซาเล้ง รถเบ็นซ์ เลี้ยงชีพ - อยู่ที่วิเวก ไม่คลุกคลี - ใช้ชีวิตสันโดษ ขูดเกลากิเลส - มุ่งปรารภความเพียรภาวนาเพื่อบรรลุธรรมฯ ×ไม่ต้องไปทำเดรัจฉานวิชาเลี้ยงชีพ ×ไม่ต้องไปสนใจโลก สนใจพูดคุยกับใคร ×ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ส่งเสริมกิเลส อย่างโลกๆ ×ไม่ต้องมีกิจ ที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานฯ #ทางที่ไม่เนิ่นช้า #เต็ม100กับการปฏิบัติ #ย่อมประสบความสำเร็จ100 % #ธรรมจักษุของนักภาวนา https://youtu.be/Lrf1i78JN1M?si=QDMo8uVa-LQ0ikeW #จากซาเล้งพ่วงข้าง สู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 684 Views 0 Reviews
  • สิ่งยืนยันว่า การศึกษาไม่ช่วยขัดเกลาจิตใจกบ..ฏคนล้มล้าง ก่อกวน ก่อการ ก่อกรรม หลบหนี แล้วโอ้อวด หารู้ไม่ว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์คอยสาปแช่ง และรอวันลงโทษคนหักหลังอย่างมรึง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    สิ่งยืนยันว่า การศึกษาไม่ช่วยขัดเกลาจิตใจกบ..ฏคนล้มล้าง ก่อกวน ก่อการ ก่อกรรม หลบหนี แล้วโอ้อวด หารู้ไม่ว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์คอยสาปแช่ง และรอวันลงโทษคนหักหลังอย่างมรึง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    Sad
    4
    1 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
More Results