• วลีจีน วิญญาณผู้กล้าหวนคืนมาตุภูมิ

    สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนหลายบทความถึง ‘วลีเด็ด’ จากบทกวีจีนโบราณและวรรณกรรมจีนโบราณที่ถูกนำมาใช้ในหลายซีรีส์และนวนิยายจีน แต่จริงๆ แล้วก็มี ‘วลีเด็ด’ จากยุคปัจจุบันที่เคยถูกยกไปใช้ในซีรีส์หรือนิยายจีนโบราณด้วยเหมือนกัน

    วันนี้เรามาคุยกันถึงตัวอย่างหนึ่งจากซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> เพื่อนเพจที่ได้ดูอาจพอจำได้ว่าในระหว่างการเดินทางของคณะฑูตแคว้นอู๋ไปยังแคว้นอันเพื่อช่วยกษัตริย์แคว้นอู๋นั้น พวกเขาพบซากศพและป้ายห้อยคอประจำตัวของเหล่าทหารจากหน่วยหกวิถีที่พลีชีพก่อนหน้านี้ในศึกที่แคว้นอู๋พ่ายแพ้ และได้จัดพิธีเผาศพให้กับพวกเขา (รูปประกอบ1) ในฉากนี้ หลี่อ๋องเซ่นสุราและกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์” (หมายเหตุ คำแปลตามซับไทย)

    ประโยคดังกล่าว ต้นฉบับภาษาจีนคือ ‘魂兮归来 维莫永伤 (หุนซีกุยหลาย เหวยม่อหย่งซัง)’ เป็นประโยคที่มาจากสุทรพจน์เมื่อปี 2021 เพื่อสดุดีทหารอาสาสมัครจีน โดยวรรคแรกถูกยกมาจากบทประพันธ์โบราณ

    ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ วรรคนี้มาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า ‘เรียกดวงวิญญาณ’ (招魂 /จาวหุน) บ้างว่าเป็นผลงานของชวีหยวน ขุนนางและกวีแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินชื่อจากตำนานบ๊ะจ่าง บ้างว่าเป็นผลงานของซ่งอวี้ ขุนนางจากแคว้นฉู่เช่นกัน

    บทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ เป็นบทประพันธ์ที่ยาวมาก ลักษณะคล้ายเล่านิทาน ใจความของบทประพันธ์เป็นการเรียกและหว่านล้อมดวงวิญญาณให้กลับมาบ้าน อย่าได้ไปหยุดรั้งอยู่ในดินแดน ณ ทิศต่างๆ โดยบรรยายถึงภยันตรายและความยากลำบากในดินแดนนั้นๆ ที่อาจทำให้ดวงวิญญาณอาจดับสูญได้ และกล่าวถึงความคิดถึงของคนที่บ้านที่รอคอยให้ดวงวิญญาณนั้นหวนคืนมา ซึ่งสะท้อนถึงธรรมเนียมโบราณที่ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้ที่ตายในต่างแดนให้กลับบ้าน

    ว่ากันว่าบทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ นี้มีที่มาจากเรื่องราวของกษัตริย์ฉู่หวยหวางที่เสียท่าให้กับกุศโลบายของแคว้นฉิน ถูกจับเป็นตัวประกันหลังพ่ายศึกและพลีชีพที่นั่น ต่อมาสามปีให้หลังเมื่อสองแคว้นสงบศึกกันแล้วจึงมีการจัดพิธีศพให้แต่กษัตริย์ฉู่หวยหวาง และแม้ว่ากษัตริย์ฉู่หวยหวางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด แต่ในช่วงที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้นได้แสดงถึงความกล้าหาญยอมหักไม่ยอมงอ บทกวีนี้จึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณอันหาญกล้าของผู้ที่พลีชีพในต่างแดนเพื่อแผ่นดินเกิด

    และวลี ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ ได้ถูกนำมาใช้ในสุนทรพจน์สดุดีทหารจีนในงานพิธีฝังศพทหารอาสาสมัครจีนชุดที่ 8 จำนวน 109 นายที่พลีชีพในสงครามเกาหลีเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้วและเพิ่งได้รับการส่งคืนจากเกาหลีใต้ในเดือนกันยายน 2021 มันเป็นสุนทรพจน์ของนายซุนส้าวเฉิงในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการทหารผ่านศึก (Ministry of Veteran Affairs) ในสมัยนั้น โดยประโยคเต็ม ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์’ นี้คือประโยคจบของสุนทรพจน์ (รูปประกอบ2)

    บทสุนทรพจน์ดังกล่าวยาวและใช้ทักษะภาษาชั้นสูงถ้อยคำงดงาม ใจความโดยสรุปคือยกย่องเหล่าทหารอาสาสมัครที่ออกไปร่วบรบเพื่อเสถียรภาพของสาธารณรัฐจีนที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ สดุดีความกล้าหาญของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธสงครามที่ร้ายกาจ สุดท้ายพลีชีพอยู่ต่างแดนไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดจวบจนวันนี้ ขอให้เหล่าดวงวิญญาณกลับมาสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของประชาชนที่รักเขาและยังไม่ลืมความเสียสละของพวกเขา ได้กลับมาเห็นความเจริญเข้มแข็งของประเทศที่เขาพลีกายปกปักษ์รักษา ขอเหล่าวิญญาณผู้กล้าจงกลับคืนสู่มาตุภูมิ กลับมาสู่ความสงบ ไม่ต้องเจ็บช้ำหรือโศกเศร้าอีกต่อไป

    สุนทรพจน์นี้ได้รับการยกย่องด้วยภาษาที่งดงามและความหมายลึกซึ้งกินใจ ไม่เพียงสดุดีความกล้าหาญ แต่ยังกระตุ้นอารมณ์รักและเคารพในผู้ฟังอีกด้วย และประโยคนี้เป็นคำพูดในยุคจีนปัจจุบันที่สะท้อนวัฒนธรรมที่สั่งสมผ่านกาลเวลาจากวลีจีนโบราณ กลายมาเป็นอีกประโยคหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.sohu.com/a/584621129_114988
    http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html
    https://mgronline.com/china/detail/9670000114488
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://m.shangshiwen.com/71990.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju_991.aspx
    https://baike.baidu.com/item/招魂/8176058
    http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #เรียกดวงวิญญาณ #ชวีหยวน #ทหารอาสาสมัครจีน #สาระจีน
    วลีจีน วิญญาณผู้กล้าหวนคืนมาตุภูมิ สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนหลายบทความถึง ‘วลีเด็ด’ จากบทกวีจีนโบราณและวรรณกรรมจีนโบราณที่ถูกนำมาใช้ในหลายซีรีส์และนวนิยายจีน แต่จริงๆ แล้วก็มี ‘วลีเด็ด’ จากยุคปัจจุบันที่เคยถูกยกไปใช้ในซีรีส์หรือนิยายจีนโบราณด้วยเหมือนกัน วันนี้เรามาคุยกันถึงตัวอย่างหนึ่งจากซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> เพื่อนเพจที่ได้ดูอาจพอจำได้ว่าในระหว่างการเดินทางของคณะฑูตแคว้นอู๋ไปยังแคว้นอันเพื่อช่วยกษัตริย์แคว้นอู๋นั้น พวกเขาพบซากศพและป้ายห้อยคอประจำตัวของเหล่าทหารจากหน่วยหกวิถีที่พลีชีพก่อนหน้านี้ในศึกที่แคว้นอู๋พ่ายแพ้ และได้จัดพิธีเผาศพให้กับพวกเขา (รูปประกอบ1) ในฉากนี้ หลี่อ๋องเซ่นสุราและกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์” (หมายเหตุ คำแปลตามซับไทย) ประโยคดังกล่าว ต้นฉบับภาษาจีนคือ ‘魂兮归来 维莫永伤 (หุนซีกุยหลาย เหวยม่อหย่งซัง)’ เป็นประโยคที่มาจากสุทรพจน์เมื่อปี 2021 เพื่อสดุดีทหารอาสาสมัครจีน โดยวรรคแรกถูกยกมาจากบทประพันธ์โบราณ ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ วรรคนี้มาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า ‘เรียกดวงวิญญาณ’ (招魂 /จาวหุน) บ้างว่าเป็นผลงานของชวีหยวน ขุนนางและกวีแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินชื่อจากตำนานบ๊ะจ่าง บ้างว่าเป็นผลงานของซ่งอวี้ ขุนนางจากแคว้นฉู่เช่นกัน บทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ เป็นบทประพันธ์ที่ยาวมาก ลักษณะคล้ายเล่านิทาน ใจความของบทประพันธ์เป็นการเรียกและหว่านล้อมดวงวิญญาณให้กลับมาบ้าน อย่าได้ไปหยุดรั้งอยู่ในดินแดน ณ ทิศต่างๆ โดยบรรยายถึงภยันตรายและความยากลำบากในดินแดนนั้นๆ ที่อาจทำให้ดวงวิญญาณอาจดับสูญได้ และกล่าวถึงความคิดถึงของคนที่บ้านที่รอคอยให้ดวงวิญญาณนั้นหวนคืนมา ซึ่งสะท้อนถึงธรรมเนียมโบราณที่ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้ที่ตายในต่างแดนให้กลับบ้าน ว่ากันว่าบทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ นี้มีที่มาจากเรื่องราวของกษัตริย์ฉู่หวยหวางที่เสียท่าให้กับกุศโลบายของแคว้นฉิน ถูกจับเป็นตัวประกันหลังพ่ายศึกและพลีชีพที่นั่น ต่อมาสามปีให้หลังเมื่อสองแคว้นสงบศึกกันแล้วจึงมีการจัดพิธีศพให้แต่กษัตริย์ฉู่หวยหวาง และแม้ว่ากษัตริย์ฉู่หวยหวางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด แต่ในช่วงที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้นได้แสดงถึงความกล้าหาญยอมหักไม่ยอมงอ บทกวีนี้จึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณอันหาญกล้าของผู้ที่พลีชีพในต่างแดนเพื่อแผ่นดินเกิด และวลี ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ ได้ถูกนำมาใช้ในสุนทรพจน์สดุดีทหารจีนในงานพิธีฝังศพทหารอาสาสมัครจีนชุดที่ 8 จำนวน 109 นายที่พลีชีพในสงครามเกาหลีเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้วและเพิ่งได้รับการส่งคืนจากเกาหลีใต้ในเดือนกันยายน 2021 มันเป็นสุนทรพจน์ของนายซุนส้าวเฉิงในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการทหารผ่านศึก (Ministry of Veteran Affairs) ในสมัยนั้น โดยประโยคเต็ม ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์’ นี้คือประโยคจบของสุนทรพจน์ (รูปประกอบ2) บทสุนทรพจน์ดังกล่าวยาวและใช้ทักษะภาษาชั้นสูงถ้อยคำงดงาม ใจความโดยสรุปคือยกย่องเหล่าทหารอาสาสมัครที่ออกไปร่วบรบเพื่อเสถียรภาพของสาธารณรัฐจีนที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ สดุดีความกล้าหาญของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธสงครามที่ร้ายกาจ สุดท้ายพลีชีพอยู่ต่างแดนไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดจวบจนวันนี้ ขอให้เหล่าดวงวิญญาณกลับมาสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของประชาชนที่รักเขาและยังไม่ลืมความเสียสละของพวกเขา ได้กลับมาเห็นความเจริญเข้มแข็งของประเทศที่เขาพลีกายปกปักษ์รักษา ขอเหล่าวิญญาณผู้กล้าจงกลับคืนสู่มาตุภูมิ กลับมาสู่ความสงบ ไม่ต้องเจ็บช้ำหรือโศกเศร้าอีกต่อไป สุนทรพจน์นี้ได้รับการยกย่องด้วยภาษาที่งดงามและความหมายลึกซึ้งกินใจ ไม่เพียงสดุดีความกล้าหาญ แต่ยังกระตุ้นอารมณ์รักและเคารพในผู้ฟังอีกด้วย และประโยคนี้เป็นคำพูดในยุคจีนปัจจุบันที่สะท้อนวัฒนธรรมที่สั่งสมผ่านกาลเวลาจากวลีจีนโบราณ กลายมาเป็นอีกประโยคหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/584621129_114988 http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html https://mgronline.com/china/detail/9670000114488 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://m.shangshiwen.com/71990.html https://www.gushiwen.cn/mingju_991.aspx https://baike.baidu.com/item/招魂/8176058 http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #เรียกดวงวิญญาณ #ชวีหยวน #ทหารอาสาสมัครจีน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายเสียงออกใหม่

    กว่าจะรู้ตัวว่าได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปก็ในวันที่สายไปแล้ว ทว่าในเมื่อฟ้าให้โอกาสได้เจอเธออีกครั้ง เขาจะต้องรั้งเธอไว้ด้วยทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

    ความรักที่ต้องจำจากนั้นเจ็บปวดเสมอ เหมือนกับน้ำตาล ที่ตัดสินใจหนีหายจากภูริวัฒน์ คุณหมอหนุ่มที่เป็นสามีทั้งที่ยังรักเขาอยู่ หลังจากแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ร่วมกันที่บ้านแม่เขา ด้วยความที่ภูริวัฒน์กำลังอยู่ในช่วงสร้างความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้เวลาที่ได้อยู่กับภรรยาเริ่มน้อยลงทุกที และด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู เขาจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างภรรยากับแม่ตัวเองที่รังเกียจเดียดฉันท์ภรรยาของเขามากเพียงใด น้ำตาลต้องอดทนทุกอย่างเพราะไม่อยากให้สามีลำบากใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอค้นพบว่าบางสิ่งบางอย่างได้ขาดหายไป ซึ่งก็คือความสุข ประจวบเหมาะกับแม่ตัวเองเสีย เธอจึงตัดสินใจที่เดินออกจากบ้านหลังนั้นและไม่คิดย้อนกลับมาอีกเลย

    “พี่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าตาลอีกแล้ว”

    “ตาลก็เหมือนกันค่ะ”

    “ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”

    “พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”

    “ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”

    น้ำตาลเม้มปากเข้าหากันก่อนจะตอบเสียงเบา

    “ค่ะ ตาลไม่เคยลืม”

    #นิยายเสียง #audiobook #ปรียาดา
    #นิยายเสียงออกใหม่ กว่าจะรู้ตัวว่าได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปก็ในวันที่สายไปแล้ว ทว่าในเมื่อฟ้าให้โอกาสได้เจอเธออีกครั้ง เขาจะต้องรั้งเธอไว้ด้วยทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ความรักที่ต้องจำจากนั้นเจ็บปวดเสมอ เหมือนกับน้ำตาล ที่ตัดสินใจหนีหายจากภูริวัฒน์ คุณหมอหนุ่มที่เป็นสามีทั้งที่ยังรักเขาอยู่ หลังจากแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ร่วมกันที่บ้านแม่เขา ด้วยความที่ภูริวัฒน์กำลังอยู่ในช่วงสร้างความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้เวลาที่ได้อยู่กับภรรยาเริ่มน้อยลงทุกที และด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู เขาจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างภรรยากับแม่ตัวเองที่รังเกียจเดียดฉันท์ภรรยาของเขามากเพียงใด น้ำตาลต้องอดทนทุกอย่างเพราะไม่อยากให้สามีลำบากใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอค้นพบว่าบางสิ่งบางอย่างได้ขาดหายไป ซึ่งก็คือความสุข ประจวบเหมาะกับแม่ตัวเองเสีย เธอจึงตัดสินใจที่เดินออกจากบ้านหลังนั้นและไม่คิดย้อนกลับมาอีกเลย “พี่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าตาลอีกแล้ว” “ตาลก็เหมือนกันค่ะ” “ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป” “พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” “ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว” น้ำตาลเม้มปากเข้าหากันก่อนจะตอบเสียงเบา “ค่ะ ตาลไม่เคยลืม” #นิยายเสียง #audiobook #ปรียาดา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💜 #รีวิว เส้นทาง #ญี่ปุ่น #โตเกียว จากคุณเพทายนะคะ💜 เมื่อวันที่ 19-24 ธ.ค. 67ที่ผ่านมาค่ะ📍
    ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘

    ⭐️เทศกาลประดับไฟซากะมิโกะ (Sagamiko Illumillion) เป็นหนึ่งในเทศกาลประดับไฟที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคคันโตของญี่ปุ่น จัดขึ้นในพื้นที่ของ Sagamiko Resort Pleasure Forest ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เทศกาลนี้จะประดับไฟ LED หลายล้านดวงทั่วทั้งสวน ให้บรรยากาศที่งดงามราวกับเทพนิยาย

    ดูทัวร์ญี่ปุ่นทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/a32eb2

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ญี่ปุ่น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    💜 #รีวิว เส้นทาง #ญี่ปุ่น #โตเกียว จากคุณเพทายนะคะ💜 เมื่อวันที่ 19-24 ธ.ค. 67ที่ผ่านมาค่ะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 ⭐️เทศกาลประดับไฟซากะมิโกะ (Sagamiko Illumillion) เป็นหนึ่งในเทศกาลประดับไฟที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคคันโตของญี่ปุ่น จัดขึ้นในพื้นที่ของ Sagamiko Resort Pleasure Forest ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เทศกาลนี้จะประดับไฟ LED หลายล้านดวงทั่วทั้งสวน ให้บรรยากาศที่งดงามราวกับเทพนิยาย ดูทัวร์ญี่ปุ่นทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/a32eb2 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ญี่ปุ่น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระดาษไป๋ลู่

    สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ

    ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด

    ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร

    แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร?

    กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ)

    กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย

    กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน

    กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง

    กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’

    กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก

    ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก

    กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html
    https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446
    https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910
    https://www.sohu.com/a/362150345_616747

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    กระดาษไป๋ลู่ สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร? กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ) กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’ กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914 http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446 https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910 https://www.sohu.com/a/362150345_616747 #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘กระดูกงดงาม’ จากวรรณกรรมโบราณ

    สวัสดีค่ะ วันนี้ Storyฯ มาเก็บตกเกร็ดหนึ่งจากนิยาย/ซีรีส์เรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยายต้นฉบับหรือดูซีรีส์น่าจะจำได้ว่า มีหลายฉากที่เกริ่นถึงว่าพระเอกในภาคอดีตคือคนที่มีกระดูกงดงาม

    ...“กระดูกงดงาม คือความดีงามที่ฝังถึงเนื้อใน ผู้ที่มีกระดูกจะไม่มีผิวหนัง ผู้ที่มีผิวหนังจะไม่มีกระดูก”
    ...“คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก”
    - จาก <ทุกชาติภพ กระดูงดงาม> ผู้แต่ง ม่อเป่าเฟยเป่า และ ผู้แปล เสี่ยวหวา

    ประโยคแรกเป็นคำประพันธ์ของคุณม่อเป่าเฟยเป่า แต่ประโยคหลังยกมาจากบทประพันธ์โบราณซึ่งในนิยายกล่าวถึงว่าชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น)

    ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ เป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1627 มันเป็นบทประพันธ์รวบรวมเรื่องสั้นจากยุคสมัยก่อน แต่งขึ้นในลักษณะนักเขียนเล่าและชวนนักอ่านคุย (นึกภาพเหมือนฟังคนเล่านิทานในซีรีส์จีนที่พูดเองเออเองแต่เหมือนกับคุยกับคนฟังอยู่) โดยเนื้อหาของเรื่องสั้นเหล่านี้สอดแทรกคติธรรมสอนใจ และประโยคที่ว่า “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” (世人眼孔浅的多,只有皮相,没有骨相) นี้ปรากฏอยู่ในบทแรกที่มีชื่อว่า ‘สองนายอำเภอถกเรื่องการแต่งงานของสตรีกำพร้า’ (两县令竞义婚孤女)

    สตรีกำพร้าที่กล่าวถึงคือเยวี่ยเซียงผู้กำพร้าแม่แต่เด็ก พ่อคือสือปี้เป็นนายอำเภอ ต่อมาเกิดเหตุไฟไหม้คลังหลวง ซึ่งตามกฎหมายแล้วนายอำเภอต้องถูกปลดจากตำแหน่งและต้องนำเงินส่วนตัวมาชดเชยค่าเสียหาย แต่สือปี้เป็นขุนนางตงฉินฐานะไม่ดี ไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้ เครียดจนล้มป่วยตายไป เยวี่ยเซียงและแม่นมจึงถูกทางการขายในฐานะครอบครัวของนักโทษทางการเพื่อเอาเงินมาชดใช้แทน ยังดีที่มีพ่อค้านามว่าเจี่ยชางที่เคยได้รับการช่วยชีวิตจากสือปี้มาซื้อตัวทั้งสองคนกลับไป เขารับเยวี่ยเซียงเป็นลูกบุญธรรมและให้ทุกคนดูแลนางดียิ่ง ทำให้ภรรยาของเจี่ยชางอิจฉาและแอบกดขี่ข่มเหงเยวี่ยเซียงในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน แต่ไม่ว่านางจะกลั่นแกล้งอย่างไรเยวี่ยเซียงก็ทนและไม่เคยคิดแค้นเคืองเพราะสำนึกในบุญคุณของเจี่ยชาง ต่อมาภรรยาของเจี่ยชางฉวยโอกาสที่เจี่ยชางเดินทางไปค้าขายต่างเมืองจัดการขายเยวี่ยเซียงและแม่นมไป

    เป็นโชคดีครั้งที่สองที่เยวี่ยเซียงถูกครอบครัวของนายอำเภอคนใหม่ซื้อไปเพื่อจะให้ไปเป็นสาวใช้ที่ติดตามบุตรีของตนตอนออกเรือน ซึ่งบ้านพักของนายอำเภอจงหลีก็คือบ้านเดิมที่เยวี่ยเซียงเคยอยู่เมื่อครั้งที่พ่อของนางเป็นนายอำเภอ และต่อมานายอำเภอจงหลีทราบเรื่องราวของนางก็เห็นใจรับนางเป็นลูกบุญธรรม เขาเขียนจดหมายไปหานายอำเภอเกาซึ่งเป็นนายอำเภอของอีกอำเภอหนึ่งว่าอยากจะชะลอเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวตนและลูกชายคนโตของนายอำเภอเกาไว้ เพราะอยากจัดการให้เยวี่ยเซียงเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน คุยไปคุยมานายอำเภอเกาจึงให้ลูกชายคนโตแต่งงานกับลูกสาวของนายอำเภอจงหลี และให้ลูกชายคนรองแต่งงานกับเยวี่ยเซียง จบแบบสุขนิยมอารมณ์คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ และเป็นที่มาของชื่อนิทานเรื่องนี้

    แต่จริงๆ แล้วในบทนี้แบ่งเป็นนิทานสองเรื่อง โดยเรื่องของเยวี่ยเซียงนี้เป็นเรื่องที่สองและเป็นเรื่องหลัก แต่มันถูกเกริ่นนำด้วยนิทานเรื่องแรกซึ่งเป็นเรื่องของชายผู้มีนามว่าหวางเฟิ่งและลูกสาวหลานสาว และประโยค “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” ปรากฏอยู่ในนิทานเรื่องแรกนี้

    ในเรื่องของหวางเฟิ่งนี้ เล่าถึงว่าพี่ชายของเขาก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังลูกสาวคนเดียวที่กำพร้าแม่แต่เด็กให้หวางเฟิ่งช่วยดูแล พอได้อายุแต่งงานก็ให้แต่งไปตระกูลพานที่หมั้นหมายกันไว้แต่เด็ก โดยฝากเงินสินสอดทองหมั้นของลูกสาวเอาไว้ด้วย หวางเฟิ่งก็รับหลานสาวคือฉยงอิงไปเลี้ยงดูอย่างดีคู่กับลูกสาวคือฉยงเจิน อยู่มาวันหนึ่งคุณชายตระกูลพานคือพานหัวเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมกันกับเซียวหย่าซึ่งหมั้นหมายไว้แต่เด็กกับฉยงเจิน พานหัวหล่อเหลาร่ำรวย แต่เซียวหย่าฐานะยากจนและหน้าตาอัปลักษณ์ หวางเฟิ่งนั่งคิดนอนคิดก็ตัดสินใจสลับตัวเจ้าสาว ให้ฉยงเจินลูกสาวของตนแต่งไปกับพานหัว อีกทั้งยึดเอาสินสอดของฉยงอิงไปด้วย และให้ฉยงอิงแต่งงานกับเซียวหย่า

    พานหัวร่ำรวยแต่เละเทะไม่เอาการเอางาน ไม่ถึงสิบปีก็ผลาญทรัพย์สินของตระกูลจนหมด ไม่รู้จะเอาอะไรกินก็เลยจะพาเมียไปรับงานเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่น หวางเฟิ่งรู้ข่าวจึงไปรับลูกสาวตนเองกลับมาและขับไล่พานหัวไป ส่วนเซียวหย่านั้น เอาการเอางาน สอบได้เป็นราชบัณฑิต ต่อมาไต่เต้าเป็นถึงเสนาบดีและฉยงอิงได้เป็นฟูเหรินขั้นที่หนึ่ง

    “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” จึงเป็นการกล่าวถึงหวางเฟิ่งเพื่อเป็นคติสอนใจให้มองคนที่เนื้อใน ส่วนเรื่องของเยวี่ยเซียงเป็นการเล่ากลับมุมเพื่อเป็นคติสอนใจให้ดำรงตนเป็นคนที่ดีจากเนื้อในนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/489109778_100127948
    https://www.bella.tw/articles/movies&culture/31188
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/醒世恒言/768435
    https://baike.baidu.com/item/两县令竞义婚孤女/7878655
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=66907&remap=gb
    https://www.toutiao.com/article/7102754854845727236/

    #ทุกชาติภพ #กระดูกงดงาม #เฝิงเมิ่งหลง #วรรณกรรมจีนโบราณ
    ‘กระดูกงดงาม’ จากวรรณกรรมโบราณ สวัสดีค่ะ วันนี้ Storyฯ มาเก็บตกเกร็ดหนึ่งจากนิยาย/ซีรีส์เรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยายต้นฉบับหรือดูซีรีส์น่าจะจำได้ว่า มีหลายฉากที่เกริ่นถึงว่าพระเอกในภาคอดีตคือคนที่มีกระดูกงดงาม ...“กระดูกงดงาม คือความดีงามที่ฝังถึงเนื้อใน ผู้ที่มีกระดูกจะไม่มีผิวหนัง ผู้ที่มีผิวหนังจะไม่มีกระดูก” ...“คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” - จาก <ทุกชาติภพ กระดูงดงาม> ผู้แต่ง ม่อเป่าเฟยเป่า และ ผู้แปล เสี่ยวหวา ประโยคแรกเป็นคำประพันธ์ของคุณม่อเป่าเฟยเป่า แต่ประโยคหลังยกมาจากบทประพันธ์โบราณซึ่งในนิยายกล่าวถึงว่าชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ เป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1627 มันเป็นบทประพันธ์รวบรวมเรื่องสั้นจากยุคสมัยก่อน แต่งขึ้นในลักษณะนักเขียนเล่าและชวนนักอ่านคุย (นึกภาพเหมือนฟังคนเล่านิทานในซีรีส์จีนที่พูดเองเออเองแต่เหมือนกับคุยกับคนฟังอยู่) โดยเนื้อหาของเรื่องสั้นเหล่านี้สอดแทรกคติธรรมสอนใจ และประโยคที่ว่า “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” (世人眼孔浅的多,只有皮相,没有骨相) นี้ปรากฏอยู่ในบทแรกที่มีชื่อว่า ‘สองนายอำเภอถกเรื่องการแต่งงานของสตรีกำพร้า’ (两县令竞义婚孤女) สตรีกำพร้าที่กล่าวถึงคือเยวี่ยเซียงผู้กำพร้าแม่แต่เด็ก พ่อคือสือปี้เป็นนายอำเภอ ต่อมาเกิดเหตุไฟไหม้คลังหลวง ซึ่งตามกฎหมายแล้วนายอำเภอต้องถูกปลดจากตำแหน่งและต้องนำเงินส่วนตัวมาชดเชยค่าเสียหาย แต่สือปี้เป็นขุนนางตงฉินฐานะไม่ดี ไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้ เครียดจนล้มป่วยตายไป เยวี่ยเซียงและแม่นมจึงถูกทางการขายในฐานะครอบครัวของนักโทษทางการเพื่อเอาเงินมาชดใช้แทน ยังดีที่มีพ่อค้านามว่าเจี่ยชางที่เคยได้รับการช่วยชีวิตจากสือปี้มาซื้อตัวทั้งสองคนกลับไป เขารับเยวี่ยเซียงเป็นลูกบุญธรรมและให้ทุกคนดูแลนางดียิ่ง ทำให้ภรรยาของเจี่ยชางอิจฉาและแอบกดขี่ข่มเหงเยวี่ยเซียงในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน แต่ไม่ว่านางจะกลั่นแกล้งอย่างไรเยวี่ยเซียงก็ทนและไม่เคยคิดแค้นเคืองเพราะสำนึกในบุญคุณของเจี่ยชาง ต่อมาภรรยาของเจี่ยชางฉวยโอกาสที่เจี่ยชางเดินทางไปค้าขายต่างเมืองจัดการขายเยวี่ยเซียงและแม่นมไป เป็นโชคดีครั้งที่สองที่เยวี่ยเซียงถูกครอบครัวของนายอำเภอคนใหม่ซื้อไปเพื่อจะให้ไปเป็นสาวใช้ที่ติดตามบุตรีของตนตอนออกเรือน ซึ่งบ้านพักของนายอำเภอจงหลีก็คือบ้านเดิมที่เยวี่ยเซียงเคยอยู่เมื่อครั้งที่พ่อของนางเป็นนายอำเภอ และต่อมานายอำเภอจงหลีทราบเรื่องราวของนางก็เห็นใจรับนางเป็นลูกบุญธรรม เขาเขียนจดหมายไปหานายอำเภอเกาซึ่งเป็นนายอำเภอของอีกอำเภอหนึ่งว่าอยากจะชะลอเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวตนและลูกชายคนโตของนายอำเภอเกาไว้ เพราะอยากจัดการให้เยวี่ยเซียงเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน คุยไปคุยมานายอำเภอเกาจึงให้ลูกชายคนโตแต่งงานกับลูกสาวของนายอำเภอจงหลี และให้ลูกชายคนรองแต่งงานกับเยวี่ยเซียง จบแบบสุขนิยมอารมณ์คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ และเป็นที่มาของชื่อนิทานเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วในบทนี้แบ่งเป็นนิทานสองเรื่อง โดยเรื่องของเยวี่ยเซียงนี้เป็นเรื่องที่สองและเป็นเรื่องหลัก แต่มันถูกเกริ่นนำด้วยนิทานเรื่องแรกซึ่งเป็นเรื่องของชายผู้มีนามว่าหวางเฟิ่งและลูกสาวหลานสาว และประโยค “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” ปรากฏอยู่ในนิทานเรื่องแรกนี้ ในเรื่องของหวางเฟิ่งนี้ เล่าถึงว่าพี่ชายของเขาก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังลูกสาวคนเดียวที่กำพร้าแม่แต่เด็กให้หวางเฟิ่งช่วยดูแล พอได้อายุแต่งงานก็ให้แต่งไปตระกูลพานที่หมั้นหมายกันไว้แต่เด็ก โดยฝากเงินสินสอดทองหมั้นของลูกสาวเอาไว้ด้วย หวางเฟิ่งก็รับหลานสาวคือฉยงอิงไปเลี้ยงดูอย่างดีคู่กับลูกสาวคือฉยงเจิน อยู่มาวันหนึ่งคุณชายตระกูลพานคือพานหัวเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมกันกับเซียวหย่าซึ่งหมั้นหมายไว้แต่เด็กกับฉยงเจิน พานหัวหล่อเหลาร่ำรวย แต่เซียวหย่าฐานะยากจนและหน้าตาอัปลักษณ์ หวางเฟิ่งนั่งคิดนอนคิดก็ตัดสินใจสลับตัวเจ้าสาว ให้ฉยงเจินลูกสาวของตนแต่งไปกับพานหัว อีกทั้งยึดเอาสินสอดของฉยงอิงไปด้วย และให้ฉยงอิงแต่งงานกับเซียวหย่า พานหัวร่ำรวยแต่เละเทะไม่เอาการเอางาน ไม่ถึงสิบปีก็ผลาญทรัพย์สินของตระกูลจนหมด ไม่รู้จะเอาอะไรกินก็เลยจะพาเมียไปรับงานเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่น หวางเฟิ่งรู้ข่าวจึงไปรับลูกสาวตนเองกลับมาและขับไล่พานหัวไป ส่วนเซียวหย่านั้น เอาการเอางาน สอบได้เป็นราชบัณฑิต ต่อมาไต่เต้าเป็นถึงเสนาบดีและฉยงอิงได้เป็นฟูเหรินขั้นที่หนึ่ง “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” จึงเป็นการกล่าวถึงหวางเฟิ่งเพื่อเป็นคติสอนใจให้มองคนที่เนื้อใน ส่วนเรื่องของเยวี่ยเซียงเป็นการเล่ากลับมุมเพื่อเป็นคติสอนใจให้ดำรงตนเป็นคนที่ดีจากเนื้อในนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/489109778_100127948 https://www.bella.tw/articles/movies&culture/31188 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/醒世恒言/768435 https://baike.baidu.com/item/两县令竞义婚孤女/7878655 https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=66907&remap=gb https://www.toutiao.com/article/7102754854845727236/ #ทุกชาติภพ #กระดูกงดงาม #เฝิงเมิ่งหลง #วรรณกรรมจีนโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • สินเดิมเจ้าสาวจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยถึงเรื่องการหย่าร้างในจีนโบราณ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านต้องเคยผ่านตาพล็อตเรื่องในนิยายที่บอกว่า หากสตรีโดนสามีทิ้งหรือขับ (休/ซิว) จะทำให้สูญเสียสินเดิมส่วนตัวไปด้วย แต่ถ้าเป็นการเลิกโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย (和离/เหอหลี) สตรีจะไม่สูญเสียสินเดิมนี้ วันนี้เรามาคุยกันในประเด็นนี้ว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่

    ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับธรรมเนียมเรื่องเงินๆ ทองๆ ของการแต่งงาน ไทยเราจะคุ้นเคยกับสินสอดทองหมั้น ซึ่งก็คือเงินและสินทรัพย์ที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้พ่อแม่ของเจ้าสาวเพื่อเป็นการตอบแทนค่าเลี้ยงดูเจ้าสาวมาจนเติบใหญ่ ซึ่งในธรรมเนียมจีนมีการให้สินสอดนี้เช่นกัน เรียกว่า ‘พิ่นหลี่’ (聘礼) หรือ ‘ไฉหลี่’ (彩礼) โดยนำมามอบครอบครัวฝ่ายหญิงให้ในวันที่มาสู่ขอ

    และในธรรมเนียมจีนยังมีเงินและสินทรัพย์ที่พ่อแม่ของเจ้าสาวมอบให้ลูกสาวในวันออกเรือน เรียกว่า ‘เจี้ยจวง’ (嫁妆) หรือที่บางเพจแปลไว้ว่า ‘สินเดิม’ ซึ่งธรรมเนียมไทยเราไม่มี โดยปกติเจี้ยจวงเหล่านี้จะถูกขนไปบ้านเจ้าบ่าวพร้อมกับขบวนรับตัวเจ้าสาวแบบที่เราเห็นกันในหนัง และรายการทรัพย์สินเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด และหมายรวมถึงบ่าวไพร่ส่วนตัวที่ติดสอยห้อยตามมาจากบ้านเจ้าสาวด้วย

    แล้วใครมีสิทธิในสินเดิมของเจ้าสาว?

    เดิมในสมัยฉินและฮั่นไม่มีบทกฎหมายแบ่งแยกสิทธิของสามีภรรยาในเรื่องนี้ และด้วยบริบทของสังคมจีนโบราณที่มองว่าสามีภรรยาเป็นคนเดียวกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สามีสามารถใช้จ่ายสินเดิมของเจ้าสาวได้ แต่อย่างไรก็ดี ในสมัยฉินปรากฎกรณีศึกษาที่ตระกูลของฝ่ายชายถูกยึดทรัพย์ทั้งตระกูล แต่ทางการไม่อาจยึดเอาสินเดิมของสะใภ้ไปได้ จึงเห็นได้ว่า แม้ไม่มีการกำหนดแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าสินเดิมเจ้าสาวเป็นสิทธิส่วนตัวของภรรยาหรือหรือของสามี แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ทรัพย์สินกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย

    ตราบใดที่พันธะสมรสยังอยู่ สามีภรรยาใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ร่วมกันได้ แต่ทันทีที่พันธะสมรสสิ้นสุดลง ความชัดเจนปรากฏทันที กล่าวคือสินเดิมนี้นับเป็นสินส่วนตัวของภรรยา เป็นต้นว่าในกรณีที่บุรุษตายไป สินเดิมจะอยู่ในความครอบครองของภรรยา ไม่ถูกนับรวมเป็นมรดกเข้าทรัพย์สินกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย ในกรณีที่ทั้งบุรุษและสตรีตายไป สินเดิมจะของนางจะตกเป็นของบุตร คนอื่นในตระกูลฝ่ายชายไม่มีเอี่ยว แต่ถ้านางไม่มีบุตร สินเดิมนี้ต้องถูกนำส่งคืนให้ครอบครัวเดิมของสตรี (แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายชายก็สามารถเรียกร้องสินสอดคืนได้เช่นกัน) และในกรณีเลิกรากันไม่ว่าด้วยวิธีใด ซึ่งหมายรวมถึงการที่ภรรยาถูกสามีทิ้ง นางจะสามารถนำสินเดิมของนางติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง มีบัญญัติกฎหมายขึ้นเกี่ยวกับการแต่งงานหย่าร้างและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ในยุคสมัยนี้สินเดิมเป็นสิทธิของสตรี และไม่นับเป็นสมบัติกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย คนในตระกูลฝ่ายชายจับต้องไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สามีมักใช้เงินส่วนนี้ได้ด้วยความเชื่อของฝ่ายหญิงว่าสามีภรรยาคือคนเดียวกัน แต่ด้วยสภาพสังคมที่เน้นความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว สามีจะเอาไปใช้ก็ต่อเมื่อภรรยาอนุญาต และโดยหลักการคือใช้ประโยชน์ได้แต่เอาไปขายไม่ได้ (เช่น โฉนดที่ดิน ร้านค้า) และชายใดเอาสินเดิมของภรรยาไปใช้มักถูกสังคมดูแคลน

    อย่างไรก็ดี มีสารพัดวิธีที่สินเดิมของเจ้าสาวจะหมดไปกับครอบครัวฝ่ายชาย ในกรณีที่ฐานะครอบครัวเจ้าบ่าวยากจน เจ้าสาวมักเอาสินเดิมมาแปลงเป็นเงินนำออกมาช่วยจุนเจือดำรงชีพซึ่งรวมถึงการดูแลพ่อแม่สามี หรือส่งสามีเรียนหนังสือเพื่อไปสอบราชบัณฑิต หรือช่วยจัดงานแต่งน้องสามี เป็นต้น ถือว่าเป็นวิธีแสดงจรรยาและความกตัญญูต่อครอบครัวฝ่ายสามี แต่ในทางกลับกัน หากฝ่ายชายมีฐานะมีอันจะกิน สินเดิมนี้จะถูกเก็บไว้เพื่อให้ลูกสำหรับแต่งงานในอนาคต

    เรียกได้ว่าในยุคสมัยถังซ่งนี้ โดยหลักการแล้วสตรีมีสิทธิทางกฎหมายชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับสินเดิมของตน แต่ก็มีข้อจำกัดเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในกรณีที่สตรีตายไปโดยไม่มีบุตรหรือแต่งตั้งทายาทไว้ สินเดิมนี้จะไม่ต้องถูกส่งคืนให้ครอบครัวเดิมของนาง และในกรณีที่สตรีถูกสามีทิ้งหรือขับ (休/ซิว) หรือกรณีถูกศาลบังคับหย่าด้วยความผิดของฝ่ายหญิง สตรีไม่สามารถนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้

    และนับจากสมัยหยวนเป็นต้นมา มีกฎหมายกำหนดเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในกรณีที่สตรีไปแต่งงานใหม่หลังจากหย่าร้าง (แม้ว่าจะเป็นการหย่าร้างด้วยความสมัครใจ) หรือแต่งงานใหม่หลังจากสามีเสียไป สตรีไม่อาจนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้

    ดังนั้น สตรีเมื่อหย่าร้างแล้วสามารถนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับยุคสมัยค่ะ

    (หมายเหตุ บทความข้างต้น เป็นข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบริบทการหย่าร้างเท่านั้น Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิตามกฎหมายในการครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ ของสตรีในแต่ละยุคสมัย เช่นการครอบครองที่ดินซึ่งมีลักษณะเฉพาะ หรือการสืบทอดสินทรัพย์ฝั่งสามี ฯลฯ)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.spp.gov.cn/spp/llyj/202104/t20210414_515602.shtml
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml
    http://www.xnwbw.com/page/1/2024-11/21/A18/20241121A18_pdf.pdf
    http://m.dyzxw.org/?act=a&aid=193698&cid=1
    http://www.guoxue.com/?p=792

    #สินเดิมเจ้าสาว #การแต่งงานจีนโบราณ #เจี้ยจวง #ซ่อนรักชายาลับ #สาระจีน
    สินเดิมเจ้าสาวจีนโบราณ สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยถึงเรื่องการหย่าร้างในจีนโบราณ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านต้องเคยผ่านตาพล็อตเรื่องในนิยายที่บอกว่า หากสตรีโดนสามีทิ้งหรือขับ (休/ซิว) จะทำให้สูญเสียสินเดิมส่วนตัวไปด้วย แต่ถ้าเป็นการเลิกโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย (和离/เหอหลี) สตรีจะไม่สูญเสียสินเดิมนี้ วันนี้เรามาคุยกันในประเด็นนี้ว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับธรรมเนียมเรื่องเงินๆ ทองๆ ของการแต่งงาน ไทยเราจะคุ้นเคยกับสินสอดทองหมั้น ซึ่งก็คือเงินและสินทรัพย์ที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้พ่อแม่ของเจ้าสาวเพื่อเป็นการตอบแทนค่าเลี้ยงดูเจ้าสาวมาจนเติบใหญ่ ซึ่งในธรรมเนียมจีนมีการให้สินสอดนี้เช่นกัน เรียกว่า ‘พิ่นหลี่’ (聘礼) หรือ ‘ไฉหลี่’ (彩礼) โดยนำมามอบครอบครัวฝ่ายหญิงให้ในวันที่มาสู่ขอ และในธรรมเนียมจีนยังมีเงินและสินทรัพย์ที่พ่อแม่ของเจ้าสาวมอบให้ลูกสาวในวันออกเรือน เรียกว่า ‘เจี้ยจวง’ (嫁妆) หรือที่บางเพจแปลไว้ว่า ‘สินเดิม’ ซึ่งธรรมเนียมไทยเราไม่มี โดยปกติเจี้ยจวงเหล่านี้จะถูกขนไปบ้านเจ้าบ่าวพร้อมกับขบวนรับตัวเจ้าสาวแบบที่เราเห็นกันในหนัง และรายการทรัพย์สินเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด และหมายรวมถึงบ่าวไพร่ส่วนตัวที่ติดสอยห้อยตามมาจากบ้านเจ้าสาวด้วย แล้วใครมีสิทธิในสินเดิมของเจ้าสาว? เดิมในสมัยฉินและฮั่นไม่มีบทกฎหมายแบ่งแยกสิทธิของสามีภรรยาในเรื่องนี้ และด้วยบริบทของสังคมจีนโบราณที่มองว่าสามีภรรยาเป็นคนเดียวกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สามีสามารถใช้จ่ายสินเดิมของเจ้าสาวได้ แต่อย่างไรก็ดี ในสมัยฉินปรากฎกรณีศึกษาที่ตระกูลของฝ่ายชายถูกยึดทรัพย์ทั้งตระกูล แต่ทางการไม่อาจยึดเอาสินเดิมของสะใภ้ไปได้ จึงเห็นได้ว่า แม้ไม่มีการกำหนดแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าสินเดิมเจ้าสาวเป็นสิทธิส่วนตัวของภรรยาหรือหรือของสามี แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ทรัพย์สินกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย ตราบใดที่พันธะสมรสยังอยู่ สามีภรรยาใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ร่วมกันได้ แต่ทันทีที่พันธะสมรสสิ้นสุดลง ความชัดเจนปรากฏทันที กล่าวคือสินเดิมนี้นับเป็นสินส่วนตัวของภรรยา เป็นต้นว่าในกรณีที่บุรุษตายไป สินเดิมจะอยู่ในความครอบครองของภรรยา ไม่ถูกนับรวมเป็นมรดกเข้าทรัพย์สินกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย ในกรณีที่ทั้งบุรุษและสตรีตายไป สินเดิมจะของนางจะตกเป็นของบุตร คนอื่นในตระกูลฝ่ายชายไม่มีเอี่ยว แต่ถ้านางไม่มีบุตร สินเดิมนี้ต้องถูกนำส่งคืนให้ครอบครัวเดิมของสตรี (แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายชายก็สามารถเรียกร้องสินสอดคืนได้เช่นกัน) และในกรณีเลิกรากันไม่ว่าด้วยวิธีใด ซึ่งหมายรวมถึงการที่ภรรยาถูกสามีทิ้ง นางจะสามารถนำสินเดิมของนางติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้ ต่อมาในสมัยถังและซ่ง มีบัญญัติกฎหมายขึ้นเกี่ยวกับการแต่งงานหย่าร้างและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ในยุคสมัยนี้สินเดิมเป็นสิทธิของสตรี และไม่นับเป็นสมบัติกองกลางของตระกูลฝ่ายชาย คนในตระกูลฝ่ายชายจับต้องไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สามีมักใช้เงินส่วนนี้ได้ด้วยความเชื่อของฝ่ายหญิงว่าสามีภรรยาคือคนเดียวกัน แต่ด้วยสภาพสังคมที่เน้นความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว สามีจะเอาไปใช้ก็ต่อเมื่อภรรยาอนุญาต และโดยหลักการคือใช้ประโยชน์ได้แต่เอาไปขายไม่ได้ (เช่น โฉนดที่ดิน ร้านค้า) และชายใดเอาสินเดิมของภรรยาไปใช้มักถูกสังคมดูแคลน อย่างไรก็ดี มีสารพัดวิธีที่สินเดิมของเจ้าสาวจะหมดไปกับครอบครัวฝ่ายชาย ในกรณีที่ฐานะครอบครัวเจ้าบ่าวยากจน เจ้าสาวมักเอาสินเดิมมาแปลงเป็นเงินนำออกมาช่วยจุนเจือดำรงชีพซึ่งรวมถึงการดูแลพ่อแม่สามี หรือส่งสามีเรียนหนังสือเพื่อไปสอบราชบัณฑิต หรือช่วยจัดงานแต่งน้องสามี เป็นต้น ถือว่าเป็นวิธีแสดงจรรยาและความกตัญญูต่อครอบครัวฝ่ายสามี แต่ในทางกลับกัน หากฝ่ายชายมีฐานะมีอันจะกิน สินเดิมนี้จะถูกเก็บไว้เพื่อให้ลูกสำหรับแต่งงานในอนาคต เรียกได้ว่าในยุคสมัยถังซ่งนี้ โดยหลักการแล้วสตรีมีสิทธิทางกฎหมายชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับสินเดิมของตน แต่ก็มีข้อจำกัดเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในกรณีที่สตรีตายไปโดยไม่มีบุตรหรือแต่งตั้งทายาทไว้ สินเดิมนี้จะไม่ต้องถูกส่งคืนให้ครอบครัวเดิมของนาง และในกรณีที่สตรีถูกสามีทิ้งหรือขับ (休/ซิว) หรือกรณีถูกศาลบังคับหย่าด้วยความผิดของฝ่ายหญิง สตรีไม่สามารถนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้ และนับจากสมัยหยวนเป็นต้นมา มีกฎหมายกำหนดเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในกรณีที่สตรีไปแต่งงานใหม่หลังจากหย่าร้าง (แม้ว่าจะเป็นการหย่าร้างด้วยความสมัครใจ) หรือแต่งงานใหม่หลังจากสามีเสียไป สตรีไม่อาจนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้ ดังนั้น สตรีเมื่อหย่าร้างแล้วสามารถนำสินเดิมติดตัวออกจากบ้านฝ่ายชายไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับยุคสมัยค่ะ (หมายเหตุ บทความข้างต้น เป็นข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบริบทการหย่าร้างเท่านั้น Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิตามกฎหมายในการครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ ของสตรีในแต่ละยุคสมัย เช่นการครอบครองที่ดินซึ่งมีลักษณะเฉพาะ หรือการสืบทอดสินทรัพย์ฝั่งสามี ฯลฯ) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.spp.gov.cn/spp/llyj/202104/t20210414_515602.shtml https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml http://www.xnwbw.com/page/1/2024-11/21/A18/20241121A18_pdf.pdf http://m.dyzxw.org/?act=a&aid=193698&cid=1 http://www.guoxue.com/?p=792 #สินเดิมเจ้าสาว #การแต่งงานจีนโบราณ #เจี้ยจวง #ซ่อนรักชายาลับ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมได้นำนวนิยายไกจิน ของเจมส์คลาเวลล์ ผู้แต่งนิยายเรื่องโชกุนอันโด่งดัง มาทะยอยเล่าให้ฟังเป็นตอนสั้นๆครับ และนี่คือตัวอย่าง
    ผมได้นำนวนิยายไกจิน ของเจมส์คลาเวลล์ ผู้แต่งนิยายเรื่องโชกุนอันโด่งดัง มาทะยอยเล่าให้ฟังเป็นตอนสั้นๆครับ และนี่คือตัวอย่าง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ‘กระดูกงดงาม’ จากวรรณกรรมโบราณ

    สวัสดีค่ะ วันนี้ Storyฯ มาเก็บตกเกร็ดหนึ่งจากนิยาย/ซีรีส์เรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยายต้นฉบับหรือดูซีรีส์น่าจะจำได้ว่า มีหลายฉากที่เกริ่นถึงว่าพระเอกในภาคอดีตคือคนที่มีกระดูกงดงาม

    ...“กระดูกงดงาม คือความดีงามที่ฝังถึงเนื้อใน ผู้ที่มีกระดูกจะไม่มีผิวหนัง ผู้ที่มีผิวหนังจะไม่มีกระดูก”
    ...“คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก”
    - จาก <ทุกชาติภพ กระดูงดงาม> ผู้แต่ง ม่อเป่าเฟยเป่า และ ผู้แปล เสี่ยวหวา

    ประโยคแรกเป็นคำประพันธ์ของคุณม่อเป่าเฟยเป่า แต่ประโยคหลังยกมาจากบทประพันธ์โบราณซึ่งในนิยายกล่าวถึงว่าชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น)

    ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ เป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1627 มันเป็นบทประพันธ์รวบรวมเรื่องสั้นจากยุคสมัยก่อน แต่งขึ้นในลักษณะนักเขียนเล่าและชวนนักอ่านคุย (นึกภาพเหมือนฟังคนเล่านิทานในซีรีส์จีนที่พูดเองเออเองแต่เหมือนกับคุยกับคนฟังอยู่) โดยเนื้อหาของเรื่องสั้นเหล่านี้สอดแทรกคติธรรมสอนใจ และประโยคที่ว่า “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” (世人眼孔浅的多,只有皮相,没有骨相) นี้ปรากฏอยู่ในบทแรกที่มีชื่อว่า ‘สองนายอำเภอถกเรื่องการแต่งงานของสตรีกำพร้า’ (两县令竞义婚孤女)

    สตรีกำพร้าที่กล่าวถึงคือเยวี่ยเซียงผู้กำพร้าแม่แต่เด็ก พ่อคือสือปี้เป็นนายอำเภอ ต่อมาเกิดเหตุไฟไหม้คลังหลวง ซึ่งตามกฎหมายแล้วนายอำเภอต้องถูกปลดจากตำแหน่งและต้องนำเงินส่วนตัวมาชดเชยค่าเสียหาย แต่สือปี้เป็นขุนนางตงฉินฐานะไม่ดี ไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้ เครียดจนล้มป่วยตายไป เยวี่ยเซียงและแม่นมจึงถูกทางการขายในฐานะครอบครัวของนักโทษทางการเพื่อเอาเงินมาชดใช้แทน ยังดีที่มีพ่อค้านามว่าเจี่ยชางที่เคยได้รับการช่วยชีวิตจากสือปี้มาซื้อตัวทั้งสองคนกลับไป เขารับเยวี่ยเซียงเป็นลูกบุญธรรมและให้ทุกคนดูแลนางดียิ่ง ทำให้ภรรยาของเจี่ยชางอิจฉาและแอบกดขี่ข่มเหงเยวี่ยเซียงในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน แต่ไม่ว่านางจะกลั่นแกล้งอย่างไรเยวี่ยเซียงก็ทนและไม่เคยคิดแค้นเคืองเพราะสำนึกในบุญคุณของเจี่ยชาง ต่อมาภรรยาของเจี่ยชางฉวยโอกาสที่เจี่ยชางเดินทางไปค้าขายต่างเมืองจัดการขายเยวี่ยเซียงและแม่นมไป

    เป็นโชคดีครั้งที่สองที่เยวี่ยเซียงถูกครอบครัวของนายอำเภอคนใหม่ซื้อไปเพื่อจะให้ไปเป็นสาวใช้ที่ติดตามบุตรีของตนตอนออกเรือน ซึ่งบ้านพักของนายอำเภอจงหลีก็คือบ้านเดิมที่เยวี่ยเซียงเคยอยู่เมื่อครั้งที่พ่อของนางเป็นนายอำเภอ และต่อมานายอำเภอจงหลีทราบเรื่องราวของนางก็เห็นใจรับนางเป็นลูกบุญธรรม เขาเขียนจดหมายไปหานายอำเภอเกาซึ่งเป็นนายอำเภอของอีกอำเภอหนึ่งว่าอยากจะชะลอเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวตนและลูกชายคนโตของนายอำเภอเกาไว้ เพราะอยากจัดการให้เยวี่ยเซียงเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน คุยไปคุยมานายอำเภอเกาจึงให้ลูกชายคนโตแต่งงานกับลูกสาวของนายอำเภอจงหลี และให้ลูกชายคนรองแต่งงานกับเยวี่ยเซียง จบแบบสุขนิยมอารมณ์คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ และเป็นที่มาของชื่อนิทานเรื่องนี้

    แต่จริงๆ แล้วในบทนี้แบ่งเป็นนิทานสองเรื่อง โดยเรื่องของเยวี่ยเซียงนี้เป็นเรื่องที่สองและเป็นเรื่องหลัก แต่มันถูกเกริ่นนำด้วยนิทานเรื่องแรกซึ่งเป็นเรื่องของชายผู้มีนามว่าหวางเฟิ่งและลูกสาวหลานสาว และประโยค “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” ปรากฏอยู่ในนิทานเรื่องแรกนี้

    ในเรื่องของหวางเฟิ่งนี้ เล่าถึงว่าพี่ชายของเขาก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังลูกสาวคนเดียวที่กำพร้าแม่แต่เด็กให้หวางเฟิ่งช่วยดูแล พอได้อายุแต่งงานก็ให้แต่งไปตระกูลพานที่หมั้นหมายกันไว้แต่เด็ก โดยฝากเงินสินสอดทองหมั้นของลูกสาวเอาไว้ด้วย หวางเฟิ่งก็รับหลานสาวคือฉยงอิงไปเลี้ยงดูอย่างดีคู่กับลูกสาวคือฉยงเจิน อยู่มาวันหนึ่งคุณชายตระกูลพานคือพานหัวเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมกันกับเซียวหย่าซึ่งหมั้นหมายไว้แต่เด็กกับฉยงเจิน พานหัวหล่อเหลาร่ำรวย แต่เซียวหย่าฐานะยากจนและหน้าตาอัปลักษณ์ หวางเฟิ่งนั่งคิดนอนคิดก็ตัดสินใจสลับตัวเจ้าสาว ให้ฉยงเจินลูกสาวของตนแต่งไปกับพานหัว อีกทั้งยึดเอาสินสอดของฉยงอิงไปด้วย และให้ฉยงอิงแต่งงานกับเซียวหย่า

    พานหัวร่ำรวยแต่เละเทะไม่เอาการเอางาน ไม่ถึงสิบปีก็ผลาญทรัพย์สินของตระกูลจนหมด ไม่รู้จะเอาอะไรกินก็เลยจะพาเมียไปรับงานเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่น หวางเฟิ่งรู้ข่าวจึงไปรับลูกสาวตนเองกลับมาและขับไล่พานหัวไป ส่วนเซียวหย่านั้น เอาการเอางาน สอบได้เป็นราชบัณฑิต ต่อมาไต่เต้าเป็นถึงเสนาบดีและฉยงอิงได้เป็นฟูเหรินขั้นที่หนึ่ง

    “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” จึงเป็นการกล่าวถึงหวางเฟิ่งเพื่อเป็นคติสอนใจให้มองคนที่เนื้อใน ส่วนเรื่องของเยวี่ยเซียงเป็นการเล่ากลับมุมเพื่อเป็นคติสอนใจให้ดำรงตนเป็นคนที่ดีจากเนื้อในนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/489109778_100127948
    https://www.bella.tw/articles/movies&culture/31188
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/醒世恒言/768435
    https://baike.baidu.com/item/两县令竞义婚孤女/7878655
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=66907&remap=gb
    https://www.toutiao.com/article/7102754854845727236/

    #ทุกชาติภพ #กระดูกงดงาม #เฝิงเมิ่งหลง #วรรณกรรมจีนโบราณ
    ‘กระดูกงดงาม’ จากวรรณกรรมโบราณ สวัสดีค่ะ วันนี้ Storyฯ มาเก็บตกเกร็ดหนึ่งจากนิยาย/ซีรีส์เรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยายต้นฉบับหรือดูซีรีส์น่าจะจำได้ว่า มีหลายฉากที่เกริ่นถึงว่าพระเอกในภาคอดีตคือคนที่มีกระดูกงดงาม ...“กระดูกงดงาม คือความดีงามที่ฝังถึงเนื้อใน ผู้ที่มีกระดูกจะไม่มีผิวหนัง ผู้ที่มีผิวหนังจะไม่มีกระดูก” ...“คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” - จาก <ทุกชาติภพ กระดูงดงาม> ผู้แต่ง ม่อเป่าเฟยเป่า และ ผู้แปล เสี่ยวหวา ประโยคแรกเป็นคำประพันธ์ของคุณม่อเป่าเฟยเป่า แต่ประโยคหลังยกมาจากบทประพันธ์โบราณซึ่งในนิยายกล่าวถึงว่าชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ เป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1627 มันเป็นบทประพันธ์รวบรวมเรื่องสั้นจากยุคสมัยก่อน แต่งขึ้นในลักษณะนักเขียนเล่าและชวนนักอ่านคุย (นึกภาพเหมือนฟังคนเล่านิทานในซีรีส์จีนที่พูดเองเออเองแต่เหมือนกับคุยกับคนฟังอยู่) โดยเนื้อหาของเรื่องสั้นเหล่านี้สอดแทรกคติธรรมสอนใจ และประโยคที่ว่า “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” (世人眼孔浅的多,只有皮相,没有骨相) นี้ปรากฏอยู่ในบทแรกที่มีชื่อว่า ‘สองนายอำเภอถกเรื่องการแต่งงานของสตรีกำพร้า’ (两县令竞义婚孤女) สตรีกำพร้าที่กล่าวถึงคือเยวี่ยเซียงผู้กำพร้าแม่แต่เด็ก พ่อคือสือปี้เป็นนายอำเภอ ต่อมาเกิดเหตุไฟไหม้คลังหลวง ซึ่งตามกฎหมายแล้วนายอำเภอต้องถูกปลดจากตำแหน่งและต้องนำเงินส่วนตัวมาชดเชยค่าเสียหาย แต่สือปี้เป็นขุนนางตงฉินฐานะไม่ดี ไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้ เครียดจนล้มป่วยตายไป เยวี่ยเซียงและแม่นมจึงถูกทางการขายในฐานะครอบครัวของนักโทษทางการเพื่อเอาเงินมาชดใช้แทน ยังดีที่มีพ่อค้านามว่าเจี่ยชางที่เคยได้รับการช่วยชีวิตจากสือปี้มาซื้อตัวทั้งสองคนกลับไป เขารับเยวี่ยเซียงเป็นลูกบุญธรรมและให้ทุกคนดูแลนางดียิ่ง ทำให้ภรรยาของเจี่ยชางอิจฉาและแอบกดขี่ข่มเหงเยวี่ยเซียงในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน แต่ไม่ว่านางจะกลั่นแกล้งอย่างไรเยวี่ยเซียงก็ทนและไม่เคยคิดแค้นเคืองเพราะสำนึกในบุญคุณของเจี่ยชาง ต่อมาภรรยาของเจี่ยชางฉวยโอกาสที่เจี่ยชางเดินทางไปค้าขายต่างเมืองจัดการขายเยวี่ยเซียงและแม่นมไป เป็นโชคดีครั้งที่สองที่เยวี่ยเซียงถูกครอบครัวของนายอำเภอคนใหม่ซื้อไปเพื่อจะให้ไปเป็นสาวใช้ที่ติดตามบุตรีของตนตอนออกเรือน ซึ่งบ้านพักของนายอำเภอจงหลีก็คือบ้านเดิมที่เยวี่ยเซียงเคยอยู่เมื่อครั้งที่พ่อของนางเป็นนายอำเภอ และต่อมานายอำเภอจงหลีทราบเรื่องราวของนางก็เห็นใจรับนางเป็นลูกบุญธรรม เขาเขียนจดหมายไปหานายอำเภอเกาซึ่งเป็นนายอำเภอของอีกอำเภอหนึ่งว่าอยากจะชะลอเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวตนและลูกชายคนโตของนายอำเภอเกาไว้ เพราะอยากจัดการให้เยวี่ยเซียงเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน คุยไปคุยมานายอำเภอเกาจึงให้ลูกชายคนโตแต่งงานกับลูกสาวของนายอำเภอจงหลี และให้ลูกชายคนรองแต่งงานกับเยวี่ยเซียง จบแบบสุขนิยมอารมณ์คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ และเป็นที่มาของชื่อนิทานเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วในบทนี้แบ่งเป็นนิทานสองเรื่อง โดยเรื่องของเยวี่ยเซียงนี้เป็นเรื่องที่สองและเป็นเรื่องหลัก แต่มันถูกเกริ่นนำด้วยนิทานเรื่องแรกซึ่งเป็นเรื่องของชายผู้มีนามว่าหวางเฟิ่งและลูกสาวหลานสาว และประโยค “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” ปรากฏอยู่ในนิทานเรื่องแรกนี้ ในเรื่องของหวางเฟิ่งนี้ เล่าถึงว่าพี่ชายของเขาก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังลูกสาวคนเดียวที่กำพร้าแม่แต่เด็กให้หวางเฟิ่งช่วยดูแล พอได้อายุแต่งงานก็ให้แต่งไปตระกูลพานที่หมั้นหมายกันไว้แต่เด็ก โดยฝากเงินสินสอดทองหมั้นของลูกสาวเอาไว้ด้วย หวางเฟิ่งก็รับหลานสาวคือฉยงอิงไปเลี้ยงดูอย่างดีคู่กับลูกสาวคือฉยงเจิน อยู่มาวันหนึ่งคุณชายตระกูลพานคือพานหัวเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมกันกับเซียวหย่าซึ่งหมั้นหมายไว้แต่เด็กกับฉยงเจิน พานหัวหล่อเหลาร่ำรวย แต่เซียวหย่าฐานะยากจนและหน้าตาอัปลักษณ์ หวางเฟิ่งนั่งคิดนอนคิดก็ตัดสินใจสลับตัวเจ้าสาว ให้ฉยงเจินลูกสาวของตนแต่งไปกับพานหัว อีกทั้งยึดเอาสินสอดของฉยงอิงไปด้วย และให้ฉยงอิงแต่งงานกับเซียวหย่า พานหัวร่ำรวยแต่เละเทะไม่เอาการเอางาน ไม่ถึงสิบปีก็ผลาญทรัพย์สินของตระกูลจนหมด ไม่รู้จะเอาอะไรกินก็เลยจะพาเมียไปรับงานเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่น หวางเฟิ่งรู้ข่าวจึงไปรับลูกสาวตนเองกลับมาและขับไล่พานหัวไป ส่วนเซียวหย่านั้น เอาการเอางาน สอบได้เป็นราชบัณฑิต ต่อมาไต่เต้าเป็นถึงเสนาบดีและฉยงอิงได้เป็นฟูเหรินขั้นที่หนึ่ง “คนบนโลกส่วนใหญ่สายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก” จึงเป็นการกล่าวถึงหวางเฟิ่งเพื่อเป็นคติสอนใจให้มองคนที่เนื้อใน ส่วนเรื่องของเยวี่ยเซียงเป็นการเล่ากลับมุมเพื่อเป็นคติสอนใจให้ดำรงตนเป็นคนที่ดีจากเนื้อในนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/489109778_100127948 https://www.bella.tw/articles/movies&culture/31188 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/醒世恒言/768435 https://baike.baidu.com/item/两县令竞义婚孤女/7878655 https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=66907&remap=gb https://www.toutiao.com/article/7102754854845727236/ #ทุกชาติภพ #กระดูกงดงาม #เฝิงเมิ่งหลง #วรรณกรรมจีนโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวอย่างแรก "มังกรหยก" ฉบับ "#ฉีเคอะ"
    《射雕英雄传:侠之大者》
    กำหนดฉายในจีน ตรุษจีน 2025
    เข้าฉายไทย เร็วๆนี้

    #เซียวจ้าน รับบท #ก๊วยเจ๋ง และ
    #จวงต๋าเฟย รับบท #อึ้งย้ง
    #จางเหวินซิน รับบท #องค์หญิงแห่งมองโกล
    #เหลียงเจียฮุย รับบท #พิษประจิมอาวเอี๊ยงฮง
    #หูจุน รับบท #อั้งฉิกกง
    #ไช่เส้าเฟิน รับบท #หลีเพ้ง มารดาก๊วยเจ๋ง

    ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายที่สุดคลาสสิกและโด่งดังไปทั่วโลก
    ของนักประพันธ์ผู้ล่วงลับ "กิมย้ง"
    **ดัดแปลงมาจากบทที่ 34 ถึง 40**

    #มังกรหยก ตอน จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ -
    "The Legend of the Condor Heroes: The Great Hero"
    #射雕英雄传侠之大者
    ตัวอย่างแรก "มังกรหยก" ฉบับ "#ฉีเคอะ" 《射雕英雄传:侠之大者》 กำหนดฉายในจีน ตรุษจีน 2025 เข้าฉายไทย เร็วๆนี้ #เซียวจ้าน รับบท #ก๊วยเจ๋ง และ #จวงต๋าเฟย รับบท #อึ้งย้ง #จางเหวินซิน รับบท #องค์หญิงแห่งมองโกล #เหลียงเจียฮุย รับบท #พิษประจิมอาวเอี๊ยงฮง #หูจุน รับบท #อั้งฉิกกง #ไช่เส้าเฟิน รับบท #หลีเพ้ง มารดาก๊วยเจ๋ง ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายที่สุดคลาสสิกและโด่งดังไปทั่วโลก ของนักประพันธ์ผู้ล่วงลับ "กิมย้ง" **ดัดแปลงมาจากบทที่ 34 ถึง 40** #มังกรหยก ตอน จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ - "The Legend of the Condor Heroes: The Great Hero" #射雕英雄传侠之大者
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี

    วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย

    มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย

    และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง

    การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย

    และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย

    แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ

    จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้

    อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml
    https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560
    http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html
    http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml

    #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้ อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560 http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามในโลกไซ-ไฟ กลายเป็นจริง!
    นักวิจัยจีนหาวิธี ยิงเลเซอร์จากโดรน
    "ลำแสงทรงพลัง" ตัดผ่านเหล็กได้
    .
    วันนี้ (15 ธ.ค.) เว็บไซต์ South China Morning Post สื่อฮ่องกงรายงานว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ทีมวิจัยซึ่งนำโดย หลี่ เซียว (李霄) ผู้ช่วยนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมออปโตอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติ (国防科技大学) กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ได้เผยแพร่งานวิจัยที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Acta Armamentarii ว่า
    .
    "ลำแสงเลเซอร์ที่ปล่อยออกมาจากโดรน เลเซอร์อินฟราเรดใกล้ (Near-infrared laser) ที่มีความยาวคลื่น 1,080 นาโนเมตร สามารถทำให้ตาบอดได้เมื่อใช้พลังงานเพียง 5 ไมโครวัตต์ ความเข้มของลำแสงที่เข้าตาทหารเหล่านี้มีมากกว่า 200 ล้านเท่า ซึ่งสูงถึง 1 กิโลวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร หากผิวหนังที่ถูกยิงโดน ไขมันใต้ผิวหนังจะระเหยไปในทันที โดยเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นดังกล่าวมีศักยภาพเพียงพอที่จะ 'ตัดผ่านโลหะได้' "
    .
    อีเมลของ หลี่ เซียว ที่ใช้ชื่อขึ้นต้นว่า "crazy.li" แสดงให้เห็นถึงความคิดที่แหวกแนวของเขา โดยก่อนหน้านี้สิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้นั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการสร้างลำแสงเลเซอร์ที่มีความสามารถในการล่าสังหารจากระยะไกล โดยปกติแล้วต้องใช้อุปกรณ์ในการผลิตลำแสงขนาดใหญ่ราว ๆ รถบรรทุก ซึ่งจักรกลขนาดเล็กอย่างโดรนนั้นไม่สามารถบรรทุกอาวุธเลเซอร์ที่มีพลังสูง และอุปกรณ์จ่ายพลังงานที่เกี่ยวข้องได้
    .
    โดยหลี่ และทีมงานของเขา ได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์เปลี่ยนทิศทางขนาดเล็ก และมีน้ำหนักเบาที่ช่วยให้โดรนที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้สามารถรับลำแสงที่มีพลังสูงจากพื้นดินและสะท้อนไปยังเป้าหมายของศัตรูได้ โดยวิธีนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังเลเซอร์ที่โดรนปล่อยออกมาเป็น 30 กิโลวัตต์หรือสูงกว่านั้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลำแสงโค้งงอในท้องฟ้าได้ โดยหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง เช่น อาคาร และโจมตีเป้าหมายในจุดที่เปราะบางที่สุดได้อีกด้วย
    .
    “ในอนาคต โดรนหลายลำสามารถติดตั้งอุปกรณ์นี้เพื่อตรวจจับเป้าหมาย แล้วร้องขอลำแสงจากภาคพื้น (ตามภาพประกอบ) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการตอบสนองได้มากขึ้น” ทีมงานระบุในงานวิจัย
    .
    สำหรับ ส่วนประกอบหลักของอุปกรณ์เปลี่ยนทิศทางนั้นเป็น ท่อคล้ายกล้องโทรทรรศน์สองท่อ โดย "ท่อรับ" จะหันไปทางเครื่องส่งเลเซอร์ฝ่ายเดียวกันที่อยู่บนพื้น และ "ท่อสะท้อนแสง" ซึ่งจะชี้ตรงไปยังเป้าหมาย ซึ่งเป็นฝั่งศัตรู
    .
    การเคลื่อนไหวของท่อควบคุมด้วยกลไกเซอร์โวปรับระดับความสูงที่มีความแม่นยำสูงเป็นพิเศษ และแท่นหมุนแนวราบ และเส้นทางแสงระหว่างท่อทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยกระจกสะท้อนแสงประสิทธิภาพสูง
    .
    ปัญหาหลักอีกประการของวิธีการนี้ คือ แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างการบินของโดรน ซึ่งอาจทำให้ลำแสงเลเซอร์กระจัดกระจาย และลดความรุนแรงของลำแสงลงได้ ดังนั้น อุปกรณ์จะต้องมีเทคโนโลยีป้องกันการสั่นสะเทือนที่ดีเยี่ยม ทีมงานของหลี่ระบุ
    .
    นอกจากนี้ การล็อกเส้นทางแสงระหว่างโดรน และตัวปล่อยภาคพื้นดินอย่างแน่นหนายังต้องใช้เทคโนโลยีบีคอนออปติกชั้นยอด (first-rate optical beacon) อีกด้วย โดยปัญหาทางเทคนิคเหล่านี้ส่วนใหญ่ นักวิจัยชาวจีนได้หาทางแก้ไขได้แล้ว
    .
    อนึ่ง จีนเคยส่งดาวเทียมควอนตัมดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศในปี 2559 โดยเปลี่ยนเทคโนโลยีการเล็งด้วยเลเซอร์ระยะไกลเป็นพิเศษ (ultra-long-distance laser aiming technology) จากนวนิยายวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นความจริงได้ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการซิงโครไนซ์เวลาที่มีความแม่นยำสูงเป็นพิเศษบนอุปกรณ์พกพา ซึ่งช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการประสานงานระหว่างแพลตฟอร์มอาวุธอัจฉริยะได้อย่างมาก
    .
    สิ่งนี้ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่ง เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เช่น การรวมคลื่นไมโครเวฟ หรือ เลเซอร์ที่ปล่อยออกมาจากแพลตฟอร์มต่างๆ ให้กลายเป็นลำแสงพลังงานสูงบนท้องฟ้า เป็นต้น
    .
    .
    .
    เรียบเรียงจาก >> https://www.scmp.com/news/china/science/article/3290461/chinese-laser-scientist-crazy-li-arms-small-drones-metal-cutting-beam
    สงครามในโลกไซ-ไฟ กลายเป็นจริง! นักวิจัยจีนหาวิธี ยิงเลเซอร์จากโดรน "ลำแสงทรงพลัง" ตัดผ่านเหล็กได้ . วันนี้ (15 ธ.ค.) เว็บไซต์ South China Morning Post สื่อฮ่องกงรายงานว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ทีมวิจัยซึ่งนำโดย หลี่ เซียว (李霄) ผู้ช่วยนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมออปโตอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติ (国防科技大学) กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ได้เผยแพร่งานวิจัยที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Acta Armamentarii ว่า . "ลำแสงเลเซอร์ที่ปล่อยออกมาจากโดรน เลเซอร์อินฟราเรดใกล้ (Near-infrared laser) ที่มีความยาวคลื่น 1,080 นาโนเมตร สามารถทำให้ตาบอดได้เมื่อใช้พลังงานเพียง 5 ไมโครวัตต์ ความเข้มของลำแสงที่เข้าตาทหารเหล่านี้มีมากกว่า 200 ล้านเท่า ซึ่งสูงถึง 1 กิโลวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร หากผิวหนังที่ถูกยิงโดน ไขมันใต้ผิวหนังจะระเหยไปในทันที โดยเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นดังกล่าวมีศักยภาพเพียงพอที่จะ 'ตัดผ่านโลหะได้' " . อีเมลของ หลี่ เซียว ที่ใช้ชื่อขึ้นต้นว่า "crazy.li" แสดงให้เห็นถึงความคิดที่แหวกแนวของเขา โดยก่อนหน้านี้สิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้นั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการสร้างลำแสงเลเซอร์ที่มีความสามารถในการล่าสังหารจากระยะไกล โดยปกติแล้วต้องใช้อุปกรณ์ในการผลิตลำแสงขนาดใหญ่ราว ๆ รถบรรทุก ซึ่งจักรกลขนาดเล็กอย่างโดรนนั้นไม่สามารถบรรทุกอาวุธเลเซอร์ที่มีพลังสูง และอุปกรณ์จ่ายพลังงานที่เกี่ยวข้องได้ . โดยหลี่ และทีมงานของเขา ได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์เปลี่ยนทิศทางขนาดเล็ก และมีน้ำหนักเบาที่ช่วยให้โดรนที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้สามารถรับลำแสงที่มีพลังสูงจากพื้นดินและสะท้อนไปยังเป้าหมายของศัตรูได้ โดยวิธีนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังเลเซอร์ที่โดรนปล่อยออกมาเป็น 30 กิโลวัตต์หรือสูงกว่านั้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลำแสงโค้งงอในท้องฟ้าได้ โดยหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง เช่น อาคาร และโจมตีเป้าหมายในจุดที่เปราะบางที่สุดได้อีกด้วย . “ในอนาคต โดรนหลายลำสามารถติดตั้งอุปกรณ์นี้เพื่อตรวจจับเป้าหมาย แล้วร้องขอลำแสงจากภาคพื้น (ตามภาพประกอบ) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการตอบสนองได้มากขึ้น” ทีมงานระบุในงานวิจัย . สำหรับ ส่วนประกอบหลักของอุปกรณ์เปลี่ยนทิศทางนั้นเป็น ท่อคล้ายกล้องโทรทรรศน์สองท่อ โดย "ท่อรับ" จะหันไปทางเครื่องส่งเลเซอร์ฝ่ายเดียวกันที่อยู่บนพื้น และ "ท่อสะท้อนแสง" ซึ่งจะชี้ตรงไปยังเป้าหมาย ซึ่งเป็นฝั่งศัตรู . การเคลื่อนไหวของท่อควบคุมด้วยกลไกเซอร์โวปรับระดับความสูงที่มีความแม่นยำสูงเป็นพิเศษ และแท่นหมุนแนวราบ และเส้นทางแสงระหว่างท่อทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยกระจกสะท้อนแสงประสิทธิภาพสูง . ปัญหาหลักอีกประการของวิธีการนี้ คือ แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างการบินของโดรน ซึ่งอาจทำให้ลำแสงเลเซอร์กระจัดกระจาย และลดความรุนแรงของลำแสงลงได้ ดังนั้น อุปกรณ์จะต้องมีเทคโนโลยีป้องกันการสั่นสะเทือนที่ดีเยี่ยม ทีมงานของหลี่ระบุ . นอกจากนี้ การล็อกเส้นทางแสงระหว่างโดรน และตัวปล่อยภาคพื้นดินอย่างแน่นหนายังต้องใช้เทคโนโลยีบีคอนออปติกชั้นยอด (first-rate optical beacon) อีกด้วย โดยปัญหาทางเทคนิคเหล่านี้ส่วนใหญ่ นักวิจัยชาวจีนได้หาทางแก้ไขได้แล้ว . อนึ่ง จีนเคยส่งดาวเทียมควอนตัมดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศในปี 2559 โดยเปลี่ยนเทคโนโลยีการเล็งด้วยเลเซอร์ระยะไกลเป็นพิเศษ (ultra-long-distance laser aiming technology) จากนวนิยายวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นความจริงได้ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการซิงโครไนซ์เวลาที่มีความแม่นยำสูงเป็นพิเศษบนอุปกรณ์พกพา ซึ่งช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการประสานงานระหว่างแพลตฟอร์มอาวุธอัจฉริยะได้อย่างมาก . สิ่งนี้ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่ง เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เช่น การรวมคลื่นไมโครเวฟ หรือ เลเซอร์ที่ปล่อยออกมาจากแพลตฟอร์มต่างๆ ให้กลายเป็นลำแสงพลังงานสูงบนท้องฟ้า เป็นต้น . . . เรียบเรียงจาก >> https://www.scmp.com/news/china/science/article/3290461/chinese-laser-scientist-crazy-li-arms-small-drones-metal-cutting-beam
    Like
    Wow
    9
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถิงจ้าง - การโบยพระราชทานสวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ถึงเรื่องราวตอนที่ผู้ตรวจการล่ายหมิงเฉิงร้องเรียนฮ่องเต้ว่าประพฤติตนไม่ถูกต้อง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) ฮ่องเต้เลย ‘ตกรางวัล’ ให้เป็นการลงทัณฑ์ด้วยการโบยพร้อมกับคำพูดที่ว่า ยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองเพื่อให้ผู้ตรวจการล่ายมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตีเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยจากหลายซีรีส์และนิยายจีน การลงทัณฑ์นี้ทั่วไปเรียกว่า ‘จ้างสิง’ (杖刑) เป็นวิธีการลงทัณฑ์ที่ถูกบัญญัติเข้าไปในกฎหมาย เพียงแต่รูปแบบและรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ที่วันนี้จะคุยถึงคือการโบยที่เรียกว่า ‘ถิงจ้าง’ (廷杖) ซึ่งเป็นกรณีที่เราเห็นในเรื่อง <หาญชะตาฯ 2> ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ‘จ้าง’ แปลว่าตีด้วยไม้ ส่วน ‘ถิง’ หมายถึงส่วนของพระราชวังที่ฮ่องเต้ใช้ทรงงานและประชุมกับขุนนางหรือหมายถึงราชสำนัก ดังนั้น ‘ถิงจ้าง’ จึงเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้หมายถึงการโบยขุนนางระดับสูงหน้าพระที่นั่งและเป็นคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตามคำสั่งของฮ่องเต้มีมาตั้งแต่สมัยฮั่น แต่จากสมัยฮั่นจนถึงสมัยหยวนเกิดกรณีอย่างนี้น้อยมาก มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวและไม่ใช่บทลงโทษตามกฎหมาย หากแต่เป็นอำนาจของฮ่องเต้ที่จะเลือกใช้ได้ตามความต้องการและสั่งลงทัณฑ์ได้เลยโดยไม่ผ่านขั้นตอนพิจารณาความผิดตามกฎหมาย ต่อมาในสมัยหมิงมีการถิงจ้างหน้าพระที่นั่งบ่อยมากโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์และมีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน จริงๆ แล้วแรกเริ่มเลย การถิงจ้างในสมัยหมิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงโทษสถานหนัก หากแต่เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เพราะว่าหลักปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมาคือไม่ลงทัณฑ์ขุนนาง หากจะลงทัณฑ์จะปลดออกจากตำแหน่งก่อน ดังนั้น การที่ขุนนางถูกถกชุดชั้นนอกออกแล้วโบยก้นอีกทั้งทำต่อหน้าขุนนางด้วยกันนั้นจึงเป็นเรื่องอัปยศมาก ซึ่งเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในรัชสมัยขององค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง) เป็นช่วงตอนที่เพิ่งครองราชย์ได้สักแปดปี (ค.ศ. 1376) เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของขุนนางจากกระทรวงราชทัณฑ์นามว่าหรูไท่ซู่ เขาถวายฎีกาฉบับหนึ่งยาวถึงหมื่นกว่าอักษรร้องเรียนการขาดแคลนข้าราชการที่มีคุณภาพ ซึ่งยาวจนองค์หมิงไท่จู่ต้องให้คนอ่านให้ฟัง ฟังๆ ไปก็รู้สึกว่าน้ำเยอะเนื้อน้อย ถ้อยคำที่ใช้ก็ยิ่งฟังไม่เข้าหู อุตส่าห์เรียกให้หรู่ไท่ซู่มานั่งคุยให้ฟัง แต่ก็ทนไม่ได้กับการพูดวกไปวนมา ว่ากันว่า ยังมีถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนยกให้บัณฑิตสูงส่งกว่าซึ่งไม่เข้าหูฮ่องเต้ที่มีพื้นเพเป็นลูกชาวนา สุดท้ายฮ่องเต้โกรธจัดเลยสั่งให้โบยก้นต่อหน้าข้าราชสำนักในท้องพระโรง ในบันทึกไม่ได้เขียนไว้ว่าโบยไปกี่ครั้ง ต่อมาภายหลังองค์หมิงไท่จู่ไตร่ตรองทบทวนเห็นว่าบางข้อเสนอของฎีกานั้นน่าสนใจจึงเอาไปใช้ จึงกลายเป็นว่าความผิดที่ทำให้หรูไท่ซู่ถูกถิงจ้างไม่ใช่เป็นเพราะสาระ แต่เป็นเพราะเขียนยาวเกินไปทำให้สิ้นเปลืองเวลาของฮ่องเต้ เนื้อหาที่เขียนได้ภายในห้าร้อยอักษรกลับเขียนยาวถึงหมื่นอักษร และเพราะเหตุการณ์นี้องค์หมิงไท่จู่จึงให้มีการกำหนดรูปแบบของการเขียนฎีกาขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้อีก การโบยเพื่อสร้างความอัปยศเป็นการแสดงอำนาจของฮ่องเต้เมื่อถูกหมิ่นหรือขัดใจโดยขุนนาง แต่กลับกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขุนนางมองว่าการถูกถิงจ้างนี้เป็นการแสดงความกล้าหาญและเป็นสิ่งที่ควรทำ ต่อมาการถิงจ้างจึงเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นตายได้ แน่นอนว่าการสั่งโบยได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวนพิพากษาตามกฎหมายก็กลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมขุนนางไม่ให้กระด้างกระเดื่อง จะตีเมื่อไหร่ ตีกี่ครั้ง ตีหนักตีเบา ล้วนแล้วแต่ฮ่องเต้จะกำหนดเอง ถิงจ้างกลายเป็นภาพที่เห็นบ่อยในราชสำนักเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางราชวงศ์หมิง สถานที่ลงทัณฑ์เปลี่ยนจากในท้องพระโรงมาเป็นริมทางเดินเข้าวังด้านประตูอู่เหมิน ซึ่งก็คือประตูด้านหน้าของวัง และถิงจ้างทวีความรุนแรงมากขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงอู่จง (ฮ่องเต้องค์ที่สิบเอ็ด) เมื่อมีการเปลี่ยนกฎไม่ให้วางเบาะรองและผู้ถูกโบยห้ามใส่กางเกง ตลอดการครองราชย์สิบหกปีขององค์หมิงอู่จงนั้น มีคนถูกถิงจ้างทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยคน ตายสิบเอ็ดคน และนี่เป็นรัชสมัยที่เริ่มใช้ถิงจ้างกับคนจากสำนักผู้ตรวจการ ในรายละเอียดมีเรื่องการใช้อำนาจเกินควรของกลุ่มขันที แต่ Storyฯ ขอไม่เล่าเพราะเรื่องยาวและออกนอกประเด็นเหตุการณ์ถิงจ้างที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงซื่อจง (ฮ่องเต้องค์ที่ สิบสอง) เมื่อปีค.ศ. 1525 เพราะเป็นการโบยพร้อมกันถึงหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน มีคนตายในระหว่างโบยสิบเจ็ดคน (หมายเหตุ เรื่องจำนวนคนแตกต่างกันในหลายบทความ แต่ตัวเลขนี้ Storyฯ ใช้ตามเอกสารของพิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม)เรื่องมีอยู่ว่าฮ่องเต้หมิงซื่อจงไม่ใช่ลูกของฮ่องเต้องค์ก่อนคือฮ่องเต้หมิงอู่จง หากแต่มีศักดิ์เป็นหลานลุง ตามธรรมเนียมเมื่อหมิงซื่อจงขึ้นครองราชย์แล้วก็ต้องรับฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นพ่อ ส่วนพ่อแม่ตัวเองก็ต้องกลายเป็นน้าและน้าสะใภ้ นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ แต่องค์หมิงซื่อจงไม่ยอม ยืนยันจะคงไว้ว่าฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นลุง ขุนนางสองร้อยสามสิบคนคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าประตูพระที่นั่งเพื่อหวังจะบีบให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจ สุดท้ายขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปโดนปลด ที่เหลือโดนโบยหมู่และเนรเทศ ในการถิงจ้างสมัยหมิงนั้น ผู้ที่มีหน้าที่โบยคือขันทีหรือองครักษ์เสื้อแพร ว่ากันว่าจริงจังถึงขนาดฝึกซ้อมโบยโดยใช้หุ่นฟางยัดไส้แผ่นกระเบื้องแล้วห่อด้วยกระดาษ ต้องฝึกจนสามารถตีให้กระเบื้องข้างในแตกละเอียดได้โดยที่กระดาษหุ้มข้างนอกไม่ขาด! ที่ต้องฝึกเพราะคำสั่งโบยมีสองแบบคือ ‘ตีอย่างใส่ใจ’ (用心打) และ ‘ตีอย่างจริงจัง’ (着实打) ซึ่งแบบแรกคือไม่ให้เจ็บมากและแบบหลังคือจัดเต็ม และเนื่องจากมันต้องใช้แรงมาก จะมีการเปลี่ยนคนโบยทุกๆ ห้าครั้งจากที่ Storyฯ อ่านเจอมา ไม้ที่ใช้โบยนั้นทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างไม้เกาลัด หน้าตาของมันมีสองแบบ แบบแรกคือไม้พลองที่มีปลายแบนหน้าตาเหมือนไม้พาย แบบที่สองฟังดูโหดร้ายคือเป็นไม้พลองที่มีปลายหุ้มด้วยแผ่นเหล็กบากเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ เป็นที่มาว่าทำไมคนจึงถูกโบยจนเนื้อก้นเละเหวอะหวะได้ ว่ากันว่าถูกโบยสิบพลองก็ทำต้องพักติดเตียงเป็นแรมเดือนแล้ว(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://reading.udn.com/read/story/7046/7952824https://www.163.com/dy/article/J2USN6TV0517QCSB.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.dpm.org.cn/Uploads/pdf/1942/T00017_00.pdf https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_1800722 https://www.hunantoday.cn/news/xhn/202310/18872283.html https://www.sohu.com/a/771696490_121165427 https://www.sohu.com/a/773532850_121921623 https://www.163.com/dy/article/G86EPNJQ0528NB1M.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ถิงจ้าง #โบยตี #ลงทัณฑ์พระราชทาน #จูหยวนจาง
    ถิงจ้าง - การโบยพระราชทานสวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ถึงเรื่องราวตอนที่ผู้ตรวจการล่ายหมิงเฉิงร้องเรียนฮ่องเต้ว่าประพฤติตนไม่ถูกต้อง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) ฮ่องเต้เลย ‘ตกรางวัล’ ให้เป็นการลงทัณฑ์ด้วยการโบยพร้อมกับคำพูดที่ว่า ยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองเพื่อให้ผู้ตรวจการล่ายมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตีเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยจากหลายซีรีส์และนิยายจีน การลงทัณฑ์นี้ทั่วไปเรียกว่า ‘จ้างสิง’ (杖刑) เป็นวิธีการลงทัณฑ์ที่ถูกบัญญัติเข้าไปในกฎหมาย เพียงแต่รูปแบบและรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ที่วันนี้จะคุยถึงคือการโบยที่เรียกว่า ‘ถิงจ้าง’ (廷杖) ซึ่งเป็นกรณีที่เราเห็นในเรื่อง <หาญชะตาฯ 2> ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ‘จ้าง’ แปลว่าตีด้วยไม้ ส่วน ‘ถิง’ หมายถึงส่วนของพระราชวังที่ฮ่องเต้ใช้ทรงงานและประชุมกับขุนนางหรือหมายถึงราชสำนัก ดังนั้น ‘ถิงจ้าง’ จึงเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้หมายถึงการโบยขุนนางระดับสูงหน้าพระที่นั่งและเป็นคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตามคำสั่งของฮ่องเต้มีมาตั้งแต่สมัยฮั่น แต่จากสมัยฮั่นจนถึงสมัยหยวนเกิดกรณีอย่างนี้น้อยมาก มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวและไม่ใช่บทลงโทษตามกฎหมาย หากแต่เป็นอำนาจของฮ่องเต้ที่จะเลือกใช้ได้ตามความต้องการและสั่งลงทัณฑ์ได้เลยโดยไม่ผ่านขั้นตอนพิจารณาความผิดตามกฎหมาย ต่อมาในสมัยหมิงมีการถิงจ้างหน้าพระที่นั่งบ่อยมากโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์และมีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน จริงๆ แล้วแรกเริ่มเลย การถิงจ้างในสมัยหมิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงโทษสถานหนัก หากแต่เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เพราะว่าหลักปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมาคือไม่ลงทัณฑ์ขุนนาง หากจะลงทัณฑ์จะปลดออกจากตำแหน่งก่อน ดังนั้น การที่ขุนนางถูกถกชุดชั้นนอกออกแล้วโบยก้นอีกทั้งทำต่อหน้าขุนนางด้วยกันนั้นจึงเป็นเรื่องอัปยศมาก ซึ่งเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในรัชสมัยขององค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง) เป็นช่วงตอนที่เพิ่งครองราชย์ได้สักแปดปี (ค.ศ. 1376) เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของขุนนางจากกระทรวงราชทัณฑ์นามว่าหรูไท่ซู่ เขาถวายฎีกาฉบับหนึ่งยาวถึงหมื่นกว่าอักษรร้องเรียนการขาดแคลนข้าราชการที่มีคุณภาพ ซึ่งยาวจนองค์หมิงไท่จู่ต้องให้คนอ่านให้ฟัง ฟังๆ ไปก็รู้สึกว่าน้ำเยอะเนื้อน้อย ถ้อยคำที่ใช้ก็ยิ่งฟังไม่เข้าหู อุตส่าห์เรียกให้หรู่ไท่ซู่มานั่งคุยให้ฟัง แต่ก็ทนไม่ได้กับการพูดวกไปวนมา ว่ากันว่า ยังมีถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนยกให้บัณฑิตสูงส่งกว่าซึ่งไม่เข้าหูฮ่องเต้ที่มีพื้นเพเป็นลูกชาวนา สุดท้ายฮ่องเต้โกรธจัดเลยสั่งให้โบยก้นต่อหน้าข้าราชสำนักในท้องพระโรง ในบันทึกไม่ได้เขียนไว้ว่าโบยไปกี่ครั้ง ต่อมาภายหลังองค์หมิงไท่จู่ไตร่ตรองทบทวนเห็นว่าบางข้อเสนอของฎีกานั้นน่าสนใจจึงเอาไปใช้ จึงกลายเป็นว่าความผิดที่ทำให้หรูไท่ซู่ถูกถิงจ้างไม่ใช่เป็นเพราะสาระ แต่เป็นเพราะเขียนยาวเกินไปทำให้สิ้นเปลืองเวลาของฮ่องเต้ เนื้อหาที่เขียนได้ภายในห้าร้อยอักษรกลับเขียนยาวถึงหมื่นอักษร และเพราะเหตุการณ์นี้องค์หมิงไท่จู่จึงให้มีการกำหนดรูปแบบของการเขียนฎีกาขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้อีก การโบยเพื่อสร้างความอัปยศเป็นการแสดงอำนาจของฮ่องเต้เมื่อถูกหมิ่นหรือขัดใจโดยขุนนาง แต่กลับกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขุนนางมองว่าการถูกถิงจ้างนี้เป็นการแสดงความกล้าหาญและเป็นสิ่งที่ควรทำ ต่อมาการถิงจ้างจึงเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นตายได้ แน่นอนว่าการสั่งโบยได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวนพิพากษาตามกฎหมายก็กลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมขุนนางไม่ให้กระด้างกระเดื่อง จะตีเมื่อไหร่ ตีกี่ครั้ง ตีหนักตีเบา ล้วนแล้วแต่ฮ่องเต้จะกำหนดเอง ถิงจ้างกลายเป็นภาพที่เห็นบ่อยในราชสำนักเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางราชวงศ์หมิง สถานที่ลงทัณฑ์เปลี่ยนจากในท้องพระโรงมาเป็นริมทางเดินเข้าวังด้านประตูอู่เหมิน ซึ่งก็คือประตูด้านหน้าของวัง และถิงจ้างทวีความรุนแรงมากขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงอู่จง (ฮ่องเต้องค์ที่สิบเอ็ด) เมื่อมีการเปลี่ยนกฎไม่ให้วางเบาะรองและผู้ถูกโบยห้ามใส่กางเกง ตลอดการครองราชย์สิบหกปีขององค์หมิงอู่จงนั้น มีคนถูกถิงจ้างทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยคน ตายสิบเอ็ดคน และนี่เป็นรัชสมัยที่เริ่มใช้ถิงจ้างกับคนจากสำนักผู้ตรวจการ ในรายละเอียดมีเรื่องการใช้อำนาจเกินควรของกลุ่มขันที แต่ Storyฯ ขอไม่เล่าเพราะเรื่องยาวและออกนอกประเด็นเหตุการณ์ถิงจ้างที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงซื่อจง (ฮ่องเต้องค์ที่ สิบสอง) เมื่อปีค.ศ. 1525 เพราะเป็นการโบยพร้อมกันถึงหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน มีคนตายในระหว่างโบยสิบเจ็ดคน (หมายเหตุ เรื่องจำนวนคนแตกต่างกันในหลายบทความ แต่ตัวเลขนี้ Storyฯ ใช้ตามเอกสารของพิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม)เรื่องมีอยู่ว่าฮ่องเต้หมิงซื่อจงไม่ใช่ลูกของฮ่องเต้องค์ก่อนคือฮ่องเต้หมิงอู่จง หากแต่มีศักดิ์เป็นหลานลุง ตามธรรมเนียมเมื่อหมิงซื่อจงขึ้นครองราชย์แล้วก็ต้องรับฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นพ่อ ส่วนพ่อแม่ตัวเองก็ต้องกลายเป็นน้าและน้าสะใภ้ นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ แต่องค์หมิงซื่อจงไม่ยอม ยืนยันจะคงไว้ว่าฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นลุง ขุนนางสองร้อยสามสิบคนคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าประตูพระที่นั่งเพื่อหวังจะบีบให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจ สุดท้ายขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปโดนปลด ที่เหลือโดนโบยหมู่และเนรเทศ ในการถิงจ้างสมัยหมิงนั้น ผู้ที่มีหน้าที่โบยคือขันทีหรือองครักษ์เสื้อแพร ว่ากันว่าจริงจังถึงขนาดฝึกซ้อมโบยโดยใช้หุ่นฟางยัดไส้แผ่นกระเบื้องแล้วห่อด้วยกระดาษ ต้องฝึกจนสามารถตีให้กระเบื้องข้างในแตกละเอียดได้โดยที่กระดาษหุ้มข้างนอกไม่ขาด! ที่ต้องฝึกเพราะคำสั่งโบยมีสองแบบคือ ‘ตีอย่างใส่ใจ’ (用心打) และ ‘ตีอย่างจริงจัง’ (着实打) ซึ่งแบบแรกคือไม่ให้เจ็บมากและแบบหลังคือจัดเต็ม และเนื่องจากมันต้องใช้แรงมาก จะมีการเปลี่ยนคนโบยทุกๆ ห้าครั้งจากที่ Storyฯ อ่านเจอมา ไม้ที่ใช้โบยนั้นทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างไม้เกาลัด หน้าตาของมันมีสองแบบ แบบแรกคือไม้พลองที่มีปลายแบนหน้าตาเหมือนไม้พาย แบบที่สองฟังดูโหดร้ายคือเป็นไม้พลองที่มีปลายหุ้มด้วยแผ่นเหล็กบากเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ เป็นที่มาว่าทำไมคนจึงถูกโบยจนเนื้อก้นเละเหวอะหวะได้ ว่ากันว่าถูกโบยสิบพลองก็ทำต้องพักติดเตียงเป็นแรมเดือนแล้ว(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://reading.udn.com/read/story/7046/7952824https://www.163.com/dy/article/J2USN6TV0517QCSB.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.dpm.org.cn/Uploads/pdf/1942/T00017_00.pdf https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_1800722 https://www.hunantoday.cn/news/xhn/202310/18872283.html https://www.sohu.com/a/771696490_121165427 https://www.sohu.com/a/773532850_121921623 https://www.163.com/dy/article/G86EPNJQ0528NB1M.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ถิงจ้าง #โบยตี #ลงทัณฑ์พระราชทาน #จูหยวนจาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องที่เขียนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนนวนิยาย “กรุงเทพมหานครฯ คือ ศูนย์กลางสงครามจารชน ทุกชาติมีจารชนแฝงอยู่ในรูปแบบต่างๆ” แต่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สถานทูต แห่งที่แสวงหาข่าว “ย่านบาร์ที่เป็นสถานที่เปิด เช่น ถนนคนเดิน ซอยคาวบอย พัฒน์พงษ์ FCCT การสัมมนาต่างตามมหาวิทยาลัยและพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง” เป็นต้นมีประวัติเช่นนี้มานานแล้ว “เริ่มต้นในยุคก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา ร่ายยาวมาจนทุกวันนี้” แม้กระทั่ง เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน Peace Corps บางคนเป็น CIA Trained (มาวิเคราะห์อุปนิสัยและมโนสำนึกของคนไทยที่อยู่ในระดับฐานะชนชั้นกลาง)ทุกสถานทูตจะมี “เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง (เปิดเผย) และจารชนมืออาชีพ เช่น CIA, MI 6 หรือ SIS (อังกฤษ), SVR RF (รัสเซีย) MSS (จีน) MOSSAD (อิสราเอล) เป็นต้นก่อนหน้ารัฐบาล มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รถนั่งจารชนก็ติดป้ายรถทูต ต่อมาหลายๆ ประเทศส่งจารชนมามากมายโดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพิธีการทูตที่กำหนดจำนวนเจ้าหน้าที่สถานทูตไว้จำนวนหนึ่งชัดเจนที่ได้รับสิทธิทางการทูตคุ้มครอง ในสมัยรัฐบาล มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จารชนเต็มเมืองและถือสิทธิ์นักการทูต นายกรัฐมนตรี มรว.คึกฤทธิ์ เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงกำหนดรถราชการองค์ต่างชาติให้ใช้ป้ายสีฟ้าเพื่อแยกแยะ คณะทูตกับเจ้าหน้าที่องค์ต่างชาติต่างๆ และจารชน ซึ่งไม่ใช่ทูตและไม่มีสิทธิ์ทางการทูตคุ้มครองกัมพูชาก็มีจารชนด้วยเช่นกันและครั้งหนึ่ง ๓๐ กว่าปีมาแล้วผมพบกับเลขาเอกสถานทูตเขมรและเข้าใจหน้าที่ของเขาดีว่าเขา “ต้องการอะไร The needed Intelligence Assessment”และในปี ๒๕๕๖ ก่อนการชุมนุม กปท./กองทัพธรรม เลขานุการฝ่ายการเมืองสถาทูตสหรัฐฯ ขอพบผม ๒ ครั้งและเราพบทั้ง ๒ ครั้ง “ผมก็ให้เหตุผลการชุมนุมของ กปท./กองทัพธรรมและยืนหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ชี้แจ้งยืนยันเจตนารมณ์ที่ดีเพื่อขจัดเผด็จการรัฐสภา (ช่วงนั้นเป็นยุคนางคริสตี้ Christy ซึ่งเข้าข้างฝ่ายระบอบทักษิณ)หลักการสรรหาแหล่งข่าว Human Intelligent ๑. คนมีปมด้อยหรือคิดว่าตัวเองถูกรัฐหรือสังคมเอาผิดอย่างไม่ยุติธรรมทั้งที่ตัวเองผิดเต็มประตู (อย่างที่นายทักษิณ ไปเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน) ๒. คนโลภเห็นแก่เงิน ๓. คนไร้อุดมการณ์ระบอบการเมืองของรัฐนั้นๆ ๔. คนทีความทะเยอทะยานใฝ่สูง ๕. พวกหลงตัวเองโดยเฉพาะนักวิชาการสมเด็จฮุนเซนจึงไม่ได้ลงทุนอะไรมากเลยแต่กลับได้ข่าวที่แทบจะไม่ต้อง “กรอง” เลยโดยเฉพาะ “จุดอ่อนของประเทศไทยที่หน่วยข่าวกรองไทยเราเองประเมินไว้ตามหลัก “รู้เขารู้เรา” ในนายกรัฐมนตรีรับทราบและกำหนดนโยบายแก้ไขในฐานะที่ผมเคยเป็น “ผู้ช่วยเจ้ากรมข่าวทหารอากาศ เป็น ๑ ในกลุ่มผู้วิเคราะห์ข่าวยุทธศาสตร์/ยุทธวิธีและการต่อต้านการจารกรรม (ขั้นพื้นฐาน คือ การยึดระเบียบการรักษาความปลอดภัยของชาติ ๒๕๔๔)ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้อง “ตั้งประเด็นโดยเฉพาะ ปปช.” ซึ่งสามารถตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนและหาความจริงเท่าที่จะทำได้ ว่านายทักษิณให้คำปรึกษาอะไรบ้าง ที่อาจจะเป็นการเผยความลับที่สุดของชาติ ด้วยการนำเอารายละเอียดหลักการต่างๆ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีมติยกเลิก MOU44 ฉบับทรยศชาติมาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบVachara Riddhagni
    เรื่องที่เขียนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนนวนิยาย “กรุงเทพมหานครฯ คือ ศูนย์กลางสงครามจารชน ทุกชาติมีจารชนแฝงอยู่ในรูปแบบต่างๆ” แต่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สถานทูต แห่งที่แสวงหาข่าว “ย่านบาร์ที่เป็นสถานที่เปิด เช่น ถนนคนเดิน ซอยคาวบอย พัฒน์พงษ์ FCCT การสัมมนาต่างตามมหาวิทยาลัยและพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง” เป็นต้นมีประวัติเช่นนี้มานานแล้ว “เริ่มต้นในยุคก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา ร่ายยาวมาจนทุกวันนี้” แม้กระทั่ง เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน Peace Corps บางคนเป็น CIA Trained (มาวิเคราะห์อุปนิสัยและมโนสำนึกของคนไทยที่อยู่ในระดับฐานะชนชั้นกลาง)ทุกสถานทูตจะมี “เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง (เปิดเผย) และจารชนมืออาชีพ เช่น CIA, MI 6 หรือ SIS (อังกฤษ), SVR RF (รัสเซีย) MSS (จีน) MOSSAD (อิสราเอล) เป็นต้นก่อนหน้ารัฐบาล มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รถนั่งจารชนก็ติดป้ายรถทูต ต่อมาหลายๆ ประเทศส่งจารชนมามากมายโดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพิธีการทูตที่กำหนดจำนวนเจ้าหน้าที่สถานทูตไว้จำนวนหนึ่งชัดเจนที่ได้รับสิทธิทางการทูตคุ้มครอง ในสมัยรัฐบาล มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จารชนเต็มเมืองและถือสิทธิ์นักการทูต นายกรัฐมนตรี มรว.คึกฤทธิ์ เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงกำหนดรถราชการองค์ต่างชาติให้ใช้ป้ายสีฟ้าเพื่อแยกแยะ คณะทูตกับเจ้าหน้าที่องค์ต่างชาติต่างๆ และจารชน ซึ่งไม่ใช่ทูตและไม่มีสิทธิ์ทางการทูตคุ้มครองกัมพูชาก็มีจารชนด้วยเช่นกันและครั้งหนึ่ง ๓๐ กว่าปีมาแล้วผมพบกับเลขาเอกสถานทูตเขมรและเข้าใจหน้าที่ของเขาดีว่าเขา “ต้องการอะไร The needed Intelligence Assessment”และในปี ๒๕๕๖ ก่อนการชุมนุม กปท./กองทัพธรรม เลขานุการฝ่ายการเมืองสถาทูตสหรัฐฯ ขอพบผม ๒ ครั้งและเราพบทั้ง ๒ ครั้ง “ผมก็ให้เหตุผลการชุมนุมของ กปท./กองทัพธรรมและยืนหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ชี้แจ้งยืนยันเจตนารมณ์ที่ดีเพื่อขจัดเผด็จการรัฐสภา (ช่วงนั้นเป็นยุคนางคริสตี้ Christy ซึ่งเข้าข้างฝ่ายระบอบทักษิณ)หลักการสรรหาแหล่งข่าว Human Intelligent ๑. คนมีปมด้อยหรือคิดว่าตัวเองถูกรัฐหรือสังคมเอาผิดอย่างไม่ยุติธรรมทั้งที่ตัวเองผิดเต็มประตู (อย่างที่นายทักษิณ ไปเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน) ๒. คนโลภเห็นแก่เงิน ๓. คนไร้อุดมการณ์ระบอบการเมืองของรัฐนั้นๆ ๔. คนทีความทะเยอทะยานใฝ่สูง ๕. พวกหลงตัวเองโดยเฉพาะนักวิชาการสมเด็จฮุนเซนจึงไม่ได้ลงทุนอะไรมากเลยแต่กลับได้ข่าวที่แทบจะไม่ต้อง “กรอง” เลยโดยเฉพาะ “จุดอ่อนของประเทศไทยที่หน่วยข่าวกรองไทยเราเองประเมินไว้ตามหลัก “รู้เขารู้เรา” ในนายกรัฐมนตรีรับทราบและกำหนดนโยบายแก้ไขในฐานะที่ผมเคยเป็น “ผู้ช่วยเจ้ากรมข่าวทหารอากาศ เป็น ๑ ในกลุ่มผู้วิเคราะห์ข่าวยุทธศาสตร์/ยุทธวิธีและการต่อต้านการจารกรรม (ขั้นพื้นฐาน คือ การยึดระเบียบการรักษาความปลอดภัยของชาติ ๒๕๔๔)ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้อง “ตั้งประเด็นโดยเฉพาะ ปปช.” ซึ่งสามารถตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนและหาความจริงเท่าที่จะทำได้ ว่านายทักษิณให้คำปรึกษาอะไรบ้าง ที่อาจจะเป็นการเผยความลับที่สุดของชาติ ด้วยการนำเอารายละเอียดหลักการต่างๆ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีมติยกเลิก MOU44 ฉบับทรยศชาติมาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบVachara Riddhagni
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.mebmarket.com/ebook-291549-ศรีศิขเรศ-ภูวาลัย
    .
    #นิยายอิงประวัติศาสตร์
    .
    https://www.mebmarket.com/ebook-337180-ศรีศิขเรศ-ภูวาลัย-เล่ม-2

    .
    https://www.mebmarket.com/ebook-291549-ศรีศิขเรศ-ภูวาลัย . #นิยายอิงประวัติศาสตร์ . https://www.mebmarket.com/ebook-337180-ศรีศิขเรศ-ภูวาลัย-เล่ม-2 .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ ลงเว็บไซต์ Hongsamut.com ค่ะ เป็นแนวสืบสวน ชิงไหวชิงพริบ หักมุม แต่เป็นการสมมติสถานที่ บุคคลและเนื้อเรื่อง ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงนะคะ ขอให้รับชมเพื่อความบันเทิง หรือใครจะหาข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ จากงานเขียนของผู้เขียนได้ ผู้เขียนก็จะดีใจมากค่ะ

    https://www.hongsamut.com/fiction/11397/The+Contrast+%28%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%29
    ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ ลงเว็บไซต์ Hongsamut.com ค่ะ เป็นแนวสืบสวน ชิงไหวชิงพริบ หักมุม แต่เป็นการสมมติสถานที่ บุคคลและเนื้อเรื่อง ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงนะคะ ขอให้รับชมเพื่อความบันเทิง หรือใครจะหาข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ จากงานเขียนของผู้เขียนได้ ผู้เขียนก็จะดีใจมากค่ะ https://www.hongsamut.com/fiction/11397/The+Contrast+%28%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%29
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมู่บ้านหิมะ Dream Home หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย

    หมู่บ้านหิมะ Dream Home
    ตั้งอยู่มณฑลเฮยหลงเจียง เมืองหมู่ตันเจียง
    ประเทศจีน

    มี 2 ฤดู
    ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว

    ☀ ฤดูร้อน : ต้นกรกฎาคม - ปลายสิงหาคม
    อุณหภูมิอยู่ที่ 19 ถึง 30 องศา

    ❄ ฤดูหนาว : ตุลาคม - พฤษภาคม
    อุณหภูมิอยู่ที่ -15 ถึง -30 องศา
    อากาศหนาวเย็น
    มีโอกาสเห็นหิมะตก (ธ.ค. - ม.ค.)
    เหมาะสำหรับการสัมผัสอากาศหนาว

    ใน 1 ปี หิมะตกยาวนานถึง 7 เดือน

    มีหิมะปกคลุมหนา บนหลังคาบ้าน
    ทำให้มีลักษณะคล้ายเห็ด
    จึงถูกเรียกว่า 'บ้านเห็ดหิมะ'

    👍 นิยมท่องเที่ยวมากที่สุดในฤดูหนาว

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #ฮาร์บิน #dreamhome #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    หมู่บ้านหิมะ Dream Home หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย หมู่บ้านหิมะ Dream Home ตั้งอยู่มณฑลเฮยหลงเจียง เมืองหมู่ตันเจียง ประเทศจีน มี 2 ฤดู ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว ☀ ฤดูร้อน : ต้นกรกฎาคม - ปลายสิงหาคม อุณหภูมิอยู่ที่ 19 ถึง 30 องศา ❄ ฤดูหนาว : ตุลาคม - พฤษภาคม อุณหภูมิอยู่ที่ -15 ถึง -30 องศา อากาศหนาวเย็น มีโอกาสเห็นหิมะตก (ธ.ค. - ม.ค.) เหมาะสำหรับการสัมผัสอากาศหนาว ใน 1 ปี หิมะตกยาวนานถึง 7 เดือน มีหิมะปกคลุมหนา บนหลังคาบ้าน ทำให้มีลักษณะคล้ายเห็ด จึงถูกเรียกว่า 'บ้านเห็ดหิมะ' 👍 นิยมท่องเที่ยวมากที่สุดในฤดูหนาว LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #ฮาร์บิน #dreamhome #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 906 มุมมอง 50 0 รีวิว
  • 👇🏽https://www.readawrite.com/c/f9ed0301fcd686b354f4afa5aba56e28.✍🏽เปิดฉากตอนแรกแล้วค่า ไม่ต้องรอกลางเดือนหน้าแล้วค่าาา.เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 ในชุดซีรีส์โรมานซ์-อีโรติก (แนวซีรีส์จีน)ตลกฮา พระเอก-นางเอก โก๊ะบ้าบอที่สุด อลเวงว้าวุ่น แนว light novel.สนุกเอามันส์ หวานน้ำตาลหยด กระตุ้นหัวใจนะ จบภายในเดือนครึ่ง ไปต่อนิยายแห่งปีหน้า 2525 เครียดกับนิยายพีเรียดเรื่องต่อไป.https://www.readawrite.com/c/f9ed0301fcd686b354f4afa5aba56e28
    👇🏽https://www.readawrite.com/c/f9ed0301fcd686b354f4afa5aba56e28.✍🏽เปิดฉากตอนแรกแล้วค่า ไม่ต้องรอกลางเดือนหน้าแล้วค่าาา.เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 ในชุดซีรีส์โรมานซ์-อีโรติก (แนวซีรีส์จีน)ตลกฮา พระเอก-นางเอก โก๊ะบ้าบอที่สุด อลเวงว้าวุ่น แนว light novel.สนุกเอามันส์ หวานน้ำตาลหยด กระตุ้นหัวใจนะ จบภายในเดือนครึ่ง ไปต่อนิยายแห่งปีหน้า 2525 เครียดกับนิยายพีเรียดเรื่องต่อไป.https://www.readawrite.com/c/f9ed0301fcd686b354f4afa5aba56e28
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • 4เรื่อง4พล้อต นิยายแอคชั่น อ่านอีบุ๊คที่ meb https://www.mebmarket.com/ebook-333179-มุกวารี
    4เรื่อง4พล้อต นิยายแอคชั่น อ่านอีบุ๊คที่ meb https://www.mebmarket.com/ebook-333179-มุกวารี
    Like
    1
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • 5 ที่เที่ยววังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    วังน้ำเขียวเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชศรีมาที่มีพื้นที่เที่ยวดีๆ มากมาย แถมยังมีความหลากหลายที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกแนว ไม่ว่าจะสายถ่ายรูป สายกิน สายธรรมชาติ สายซื้อ สายบุญ หรือสายความรู้ สำหรับใครที่กำลังทำทริปวังน้ำเขียว แล้วไม่รู้จะเที่ยวที่ไหนดี บทความนี้ได้เตรียมรวบรวมที่เที่ยวดีๆ มารอเสิร์ฟไว้แล้ว

    1.เขาแผงม้า
    เขาแผงม้าเป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาในบริเวณนี้นิยมมาเที่ยวกันมากๆ ยิ่งกับคนที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ถ่ายรูป ส่องสัตว์ยิ่งจะชอบเขาแผงม้าเข้าไปอีก

    จุดเด่น
    บริเวณเขาแผงม้าจะมีรั้วที่ใช้กั้นฝูงกระทิงป่าจากเขตชุมชน ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาก็จะสามารถเข้าชมส่องดูฝูงกระทิงได้ ซึ่งจุดที่ได้รับความนิยม ก็จะเป็นบริเวณจุดสกัดเขาสูง เขาแผงม้า ที่จะสามารถเห็นฝูงกระทิงที่ปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่า 300 ตัว ออกมาหากินหญ้าบริเวณทุ่งหญ้ากว้างได้อย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเขาและชมวิวทิวทัศน์ระหว่างรอดูฝูงกระทิงได้อีกด้วย สำหรับคนที่ต้องการนอนค้างคืนกางเตนท์ก็สามารถมาขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพื้นที่ได้

    เวลาทำการและวิธีเดินทาง
    เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน มีค่าเข้าชมคนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท และชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

    วิธีเดินทาง : การเดินทางไปเขาแผงม้า สามารถเดินทางจากอำเภอวังน้ำเขียวมุ่งหน้าเข้าสู่เขาแผงม้า กม.ที่ 83 โดยใช้เส้นทางถนนศาลเจ้าพ่อ-วังหมี แล้วจึงตรงไปอีก 7 กิโลเมตร ก็จะเจอเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะเจอจุดชมกระทิงนี้เอง

    2. ผาเก็บตะวัน
    ผาเก็บตะวัน ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติทับลาน เป็นจุดชมวิวเหนือหน้าผาที่มีธรรมชาติสวยงามและนิยมมาถ่ายภาพ เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ คือ ช่วงเช้าตรู่ ซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกอ่อนๆ และยังอาจจะได้เห็นคนท้องถิ่นจำนวนมากมาที่นี่เพื่อเพลิดเพลินกับการปิกนิกใกล้หน้าผา เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจากส่วนอื่นๆ ของประเทศไทย

    จุดเด่น
    ผาเก็บตะวันมีสายหมอกบางๆ ในยามเช้า ยิ่งในช่วงเวลาบางเดือนของปีที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยก็อาจจะมีทะเลหมอกให้ได้ชมกัน ในวันมีแดดแรงก็จะได้เห็นป่าไม้อันอุมดมสมบูรณ์สีเขียวชอุ่ม หรือจะในช่วงเย็นใกล้อาทิตย์ตกดิน แสงของท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูสร้างบรรยากาศที่แสนโรแมนติกราวกับอยู่ในนิยายให้ได้เห็นกัน นอกจากชมวิวและถ่ายรูปแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถทำกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่าที่มีทั้ง เมล็ดมะค่าโมง และเมล็ดลาน หรือ ลูกลาน

    เวลาทำการและวิธีเดินทาง
    เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน 06.00-18.00 น. มีค่าเข้าชมอยู่ที่ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท

    วิธีเดินทาง : ผาเก็บตะวันตั้งอยู่ในตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

    3.อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง
    อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง หรือ เขื่อนลำพระเพลิง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ ซึ่งก็จะอยู่ในบริเวณเดียวกับเขาแผงม้าเช่นกันด้วย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 เพื่อใช้เป็นที่กักเก็บน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภค แต่ถูกพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อน ชมวิวทิวทัศน์และถ่ายรูปได้ในภายหลัง

    จุดเด่น
    อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงมีการพัฒนาให้มีความเป็นสวนสาธารณะมากขึ้น เช่น เลนจักรยานที่ขนานไปกับถนน และ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง สำหรับปั่นจักรยานท่ามกลางวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงาม มีมุมให้ถ่ายรูปหลายจุด ตามบริเวณทางเดิน จุดชมวิว และบริเวณหน้า ต่างๆ โดยนักท่องเที่ยวจะนิยมมาในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เพราะจะเป็นช่วงที่แดดไม่แรงและวิวกำลังถ่ายรูปได้อย่างสวยงาม

    เวลาทำการและวิธีเดินทาง
    เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน

    วิธีเดินทาง : สามารถเดินทางผ่านทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) กลับรถเข้าสู่ถนนลาดยางสาย นม. 3060 จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ ถนนโยธาธิการ ก็จะเจอกับอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง

    4.น้ำตกม่านฟ้า
    น้ำตกม่านฟ้าเป็นน้ำตกที่สวยงามไหลลงมาจากภูเขา น้ำที่ไหลออกมาจากโขดหินในที่ต่างๆ บuแอ่งน้ำที่สามารถแช่ตัวและคลายร้อนในวันที่อากาศร้อนได้ เป็นหนึ่งในน้ำตกที่หลายคนจะผ่านไปเมื่อมีทริปวังน้ำเขียวกัน

    จุดเด่น
    น้ำตกม่านฟ้าจะมีน้ำมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนตุลาคม ผู้คนมักนิยมเดินทางมาชมวิวทิวทัศน์น้ำตกที่ตกจากผาสูง ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งสายธรรมชาติและสายถ่ายรูปนิยมไปที่นี่กันเป็นอย่างมาก

    เวลาทำการและวิธีเดินทาง
    น้ำตกม่านฟ้าเป็นน้ำตกที่อยู่เหนือน้ำตกห้วยใหญ่ ขึ้นไปอีกเพียง 100 เมตร โดยมีทางเดินจากบริเวณน้ำตกห้วยใหญ่ไปได้ เปิดทำการทุกวันในเวลา 06:00 – 18:00

    5.ทุ่งลาเวนเดอร์
    ในบริเวณวังน้ำเขียวยังมีทุ่งดอกไม้ที่มีความพิเศษอย่างมาก เพราะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์แห่งเดียวในเมืองไทย ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมและถ่ายภาพได้ เพลิดเพลินไปกับทุ่งดอกไม้สีม่วงอันแสนงดงาม

    จุดเด่น
    ที่ทุ่งลาเวนเดอร์ก็จะมีจุดเด่นอย่างดอกลาเวนเดอร์ที่สวยงาม ในช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆ ส่องสว่างและสายลมพัดผ่านก็จะเป็นวิวทิวทัศน์ที่นำความสงบมาสู่จิตใจได้ไม่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถมาชมวิวหรือถ่ายรูป ดื่มด่ำไปกับความงามของโลก โดยช่วงเวลาที่มีดอกไม้ให้ชมก็จะเป็น ปลายมกราคม – มีนาคม

    เวลาทำการและวิธีเดินทาง
    เวลาทำการ : เปิดให้บริการเมื่อ 07:00 – 18:00 น. ของทุกวัน

    วิธีเดินทาง : ทุ่งลาเวนเดอร์อยู่ในสวน Chateau Chili
    5 ที่เที่ยววังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา วังน้ำเขียวเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชศรีมาที่มีพื้นที่เที่ยวดีๆ มากมาย แถมยังมีความหลากหลายที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกแนว ไม่ว่าจะสายถ่ายรูป สายกิน สายธรรมชาติ สายซื้อ สายบุญ หรือสายความรู้ สำหรับใครที่กำลังทำทริปวังน้ำเขียว แล้วไม่รู้จะเที่ยวที่ไหนดี บทความนี้ได้เตรียมรวบรวมที่เที่ยวดีๆ มารอเสิร์ฟไว้แล้ว 1.เขาแผงม้า เขาแผงม้าเป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาในบริเวณนี้นิยมมาเที่ยวกันมากๆ ยิ่งกับคนที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ถ่ายรูป ส่องสัตว์ยิ่งจะชอบเขาแผงม้าเข้าไปอีก จุดเด่น บริเวณเขาแผงม้าจะมีรั้วที่ใช้กั้นฝูงกระทิงป่าจากเขตชุมชน ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาก็จะสามารถเข้าชมส่องดูฝูงกระทิงได้ ซึ่งจุดที่ได้รับความนิยม ก็จะเป็นบริเวณจุดสกัดเขาสูง เขาแผงม้า ที่จะสามารถเห็นฝูงกระทิงที่ปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่า 300 ตัว ออกมาหากินหญ้าบริเวณทุ่งหญ้ากว้างได้อย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเขาและชมวิวทิวทัศน์ระหว่างรอดูฝูงกระทิงได้อีกด้วย สำหรับคนที่ต้องการนอนค้างคืนกางเตนท์ก็สามารถมาขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพื้นที่ได้ เวลาทำการและวิธีเดินทาง เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน มีค่าเข้าชมคนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท และชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท วิธีเดินทาง : การเดินทางไปเขาแผงม้า สามารถเดินทางจากอำเภอวังน้ำเขียวมุ่งหน้าเข้าสู่เขาแผงม้า กม.ที่ 83 โดยใช้เส้นทางถนนศาลเจ้าพ่อ-วังหมี แล้วจึงตรงไปอีก 7 กิโลเมตร ก็จะเจอเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะเจอจุดชมกระทิงนี้เอง 2. ผาเก็บตะวัน ผาเก็บตะวัน ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติทับลาน เป็นจุดชมวิวเหนือหน้าผาที่มีธรรมชาติสวยงามและนิยมมาถ่ายภาพ เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ คือ ช่วงเช้าตรู่ ซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกอ่อนๆ และยังอาจจะได้เห็นคนท้องถิ่นจำนวนมากมาที่นี่เพื่อเพลิดเพลินกับการปิกนิกใกล้หน้าผา เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจากส่วนอื่นๆ ของประเทศไทย จุดเด่น ผาเก็บตะวันมีสายหมอกบางๆ ในยามเช้า ยิ่งในช่วงเวลาบางเดือนของปีที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยก็อาจจะมีทะเลหมอกให้ได้ชมกัน ในวันมีแดดแรงก็จะได้เห็นป่าไม้อันอุมดมสมบูรณ์สีเขียวชอุ่ม หรือจะในช่วงเย็นใกล้อาทิตย์ตกดิน แสงของท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูสร้างบรรยากาศที่แสนโรแมนติกราวกับอยู่ในนิยายให้ได้เห็นกัน นอกจากชมวิวและถ่ายรูปแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถทำกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่าที่มีทั้ง เมล็ดมะค่าโมง และเมล็ดลาน หรือ ลูกลาน เวลาทำการและวิธีเดินทาง เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน 06.00-18.00 น. มีค่าเข้าชมอยู่ที่ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท วิธีเดินทาง : ผาเก็บตะวันตั้งอยู่ในตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา 3.อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง หรือ เขื่อนลำพระเพลิง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ ซึ่งก็จะอยู่ในบริเวณเดียวกับเขาแผงม้าเช่นกันด้วย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 เพื่อใช้เป็นที่กักเก็บน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภค แต่ถูกพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อน ชมวิวทิวทัศน์และถ่ายรูปได้ในภายหลัง จุดเด่น อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงมีการพัฒนาให้มีความเป็นสวนสาธารณะมากขึ้น เช่น เลนจักรยานที่ขนานไปกับถนน และ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง สำหรับปั่นจักรยานท่ามกลางวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงาม มีมุมให้ถ่ายรูปหลายจุด ตามบริเวณทางเดิน จุดชมวิว และบริเวณหน้า ต่างๆ โดยนักท่องเที่ยวจะนิยมมาในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เพราะจะเป็นช่วงที่แดดไม่แรงและวิวกำลังถ่ายรูปได้อย่างสวยงาม เวลาทำการและวิธีเดินทาง เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน วิธีเดินทาง : สามารถเดินทางผ่านทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) กลับรถเข้าสู่ถนนลาดยางสาย นม. 3060 จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ ถนนโยธาธิการ ก็จะเจอกับอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง 4.น้ำตกม่านฟ้า น้ำตกม่านฟ้าเป็นน้ำตกที่สวยงามไหลลงมาจากภูเขา น้ำที่ไหลออกมาจากโขดหินในที่ต่างๆ บuแอ่งน้ำที่สามารถแช่ตัวและคลายร้อนในวันที่อากาศร้อนได้ เป็นหนึ่งในน้ำตกที่หลายคนจะผ่านไปเมื่อมีทริปวังน้ำเขียวกัน จุดเด่น น้ำตกม่านฟ้าจะมีน้ำมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนตุลาคม ผู้คนมักนิยมเดินทางมาชมวิวทิวทัศน์น้ำตกที่ตกจากผาสูง ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งสายธรรมชาติและสายถ่ายรูปนิยมไปที่นี่กันเป็นอย่างมาก เวลาทำการและวิธีเดินทาง น้ำตกม่านฟ้าเป็นน้ำตกที่อยู่เหนือน้ำตกห้วยใหญ่ ขึ้นไปอีกเพียง 100 เมตร โดยมีทางเดินจากบริเวณน้ำตกห้วยใหญ่ไปได้ เปิดทำการทุกวันในเวลา 06:00 – 18:00 5.ทุ่งลาเวนเดอร์ ในบริเวณวังน้ำเขียวยังมีทุ่งดอกไม้ที่มีความพิเศษอย่างมาก เพราะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์แห่งเดียวในเมืองไทย ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมและถ่ายภาพได้ เพลิดเพลินไปกับทุ่งดอกไม้สีม่วงอันแสนงดงาม จุดเด่น ที่ทุ่งลาเวนเดอร์ก็จะมีจุดเด่นอย่างดอกลาเวนเดอร์ที่สวยงาม ในช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆ ส่องสว่างและสายลมพัดผ่านก็จะเป็นวิวทิวทัศน์ที่นำความสงบมาสู่จิตใจได้ไม่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถมาชมวิวหรือถ่ายรูป ดื่มด่ำไปกับความงามของโลก โดยช่วงเวลาที่มีดอกไม้ให้ชมก็จะเป็น ปลายมกราคม – มีนาคม เวลาทำการและวิธีเดินทาง เวลาทำการ : เปิดให้บริการเมื่อ 07:00 – 18:00 น. ของทุกวัน วิธีเดินทาง : ทุ่งลาเวนเดอร์อยู่ในสวน Chateau Chili
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พี่คิงส์มีเรื่องจริงจะบอกอีกเรื่อง
    ในช่วงเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่คิงส์ยอมรับว่า
    มีแฟนคลับฝั่งเกา ที่ลาออกจากการเป็นด้อมทักมาหาพี่เยอะมาก
    จะมีคำคล้ายๆกันว่า "พี่คิงส์ เมื่อก่อนไม่ชอบพี่ และหนูเคยด่าพี่ด้วย
    แต่พอเวลาผ่านไป สิ่งที่พี่โพสมันจริงในหลายเรื่องอย่างน่าตกใจ
    เช่น ทุกอย่างจะพังเพราะป้า" เอาว่าบทสนทนาประมาณนี้
    และทุกคนจะมีความรู้สึกอึดอัดกับความหิวแสงกลัวโดนแย่งซีน
    ของป้าคนนี้เอามากๆ
    - โดยด้อมเหล่านี้ รักสงบ ไม่อยากให้สาวเกาของตัวเองต้องไปมีเรื่องมีราวกับคนนั้นคนนี้ และบางคนก็เคยเอ่ยในช่องที่อิป้าเป็นเจ้าลัทติ๊ว่า พอเหอะป้า ปรากฏ อิป้าตีโพยตีพาย บอกว่าด้อมคนนี้ย้ายข้างแล้ว อ้าว อิห่านจิก ไปไล่เค้าอีก
    - และพี่คิงส์ก็เจออีกหลายๆเคส ที่โดนบลล็อคคแหลก หรือเจออะไรที่มันปวดหัวไม่เว้นวัน จนคิดว่า ถ้าจะเชียร์สาวเกาโดยต้องอยู่ใต้ teen อิป้า พวกเค้าขอถอนตัวออกมา เอาชีวีให้รอดก่อน เพราะถ้ายังต้องเป็นสาวกอิป้าต่อไป มีหวัง ได้เปื่อยจิตตามอิป้าแน่นอน
    - พี่คิงได้สนทนา ก็ได้แต่แสดงความเห็นใจ และเข้าใจ
    อ้อ แล้วเริ่มมีด้อมเกาจำนวนมากที่เกิดความสงสัยในหลายๆครั้ง ที่ป้า มักอ้างว่า ได้คุยกับสาวเกา สาวเกาพูดว่าอย่างโน้น อย่างนี้นั้น มันจริงรึเปล่า เพราะมันมีบทพิสูจน์หลายอย่างที่สาวเกามาพูดเอง กับสิ่งที่ป้าถ่ายทอดเป็นนิยาย มันไม่ตรงกัน มันคนละเรื่องกัน อย่างไม่น่าให้อภัย แม้กระทั่ง เรื่องที่ป้าเม้นมา น้องมันก็แคปมาให้พี่ดูว่า "เนี่ย ป้าไปคุยกับน้องมา น้องบอกว่าไม่มีการออมชอม รู้สึกใจฟูู" เออ อะไรประมาณนี้แหละ
    - เพราะทุกคนที่ทักมารู้ดีกว่า การฟ๊องคนไทย สาวเกามีแต่ความอิ๊บอ๋ายวายป่วงแน่นวล
    และพี่คิงส์ไปได้ข้อมูลมาว่า อิป้า ให้สาวเกามอบ อำ นาจ ให้ทานายที่อิโจหามา แล้วสาวเกาไม่รู้ว่า อิป้า จะฟ๊องเป็นร้อยๆคาดี เพราะมันจะฟ๊องเท่าไหร่ก็ได้ ทานายมีใบมอบไว้แล้ว แต่ค่าฟ๊อง สาวเกาออกนะ ไม่ใช่ ป้า ยังไม่พอ การทำคาดีแบบนี้ อย่าคิดว่าสาวไม่ต้องลงมาไทยเลยนะ ต้องมีการไต่สวน มีอะไรที่เป็นขั้นตอนวุ่นวายอีกมาก และที่สำคัญ อิป้าก็เอ่ยแล้วว่า ต้องใช่ค่าใช่จ่ายในการฟ๊องคนไทยนั้นมหาศาล แต่อิป้าก็ไม่ปล่อยวาง
    - ถามว่า ไอ่ที่อิป้ามันจะปักธงฟ๊องอะ มันปกป้องสาวเกาจริง หรือเพียงแค่สนองความสะใจ และรู้สึกว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ซะเหลือเกินกันแน่ กรรูว่านะ ใครๆก็รู้คำตอบแม้ว่าเป็นฝั่งเดียวกัน แต่หารู้ไม่ว่า
    - ป้า กำลังบั่นทอนคนที่เป็นแฟนคลับสาวเกาจากที่แฟนคลับหนุ่มกับสาว คือกลุ่มเดียวกัน ถ้าป้าไม่ปั่น ยอดฟอลไม่หายเกินครึ่งล้านแบบนี้ ในห้องเทพ จากห้าพัน ป้าปั่นไปปั่นมา เหลืออยู่พันกว่า ยอดฟอลจากล้านเจ็ด เหลือนับถอยหลังต่ำล้านแน่นอนในเวลาไม่นาน จากกลุ่มที่เล็กจะแย่อยู่แล้ว ป้ายังมาซอยย่อยยิบ ถีบหัวส่งคนเชียร์ฝั่งเดียวกัน แต่เค้าไม่อยาก Ba เหมือนป้า ที่จะไปไฝว้กับคนนั้นคนนี้ ป้าไล่หมด
    กรรูอยากถามว่า สรุป อิป้านี่ มันจะผูกขาดความเป็นแฟนคลับสาวเกาไว้ที่มันกับคนไม่กี่คนเหรอฟร๊ะ เออ แต่ก็แล้วแต่เมิงแหละ เอาที่เมิงสบายใจ
    - สรุป สาวเกา คบ และเชื่ออิป้า เสียเงินมหาศาล ไม่รวมค่าใช้จ่ายวันแถลงข่าวที่ไมไ่ด้ห่านอะไรเป็นสาระ และมีอิป้าที่แย่งซีนสาวเกาซะเหลือเกิน จับมือแฟนคลับดุจดั่งตัวเองเป็นสาวเกา กรรูเห็นแล้วยังเขินแทนเลย นอกจากเสียเงินมหาศาลที่พี่คิงส์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะหมดอีกเท่าไหร่ หรืออาจจะถึงขั้นหมดตัวก็ได้ เพราะทานาย จ้าง เค้าก็ฟ๊อง แต่ชนะ หรือ แพ้ หรือโดนฟ๊องกลับนั่นก็อีกเรื่อง แต่เค้าได้เงินไปแล้ว ส่วนอิป้าจะได้เปอร์เซ็นหรือไม่ เอาว่า ปกติ มันมีครับกรณีแบบนี้หาลูกค้ามาให้ มีตั้งแต่ 10 - 40% แล้วแต่ตกลง
    ก็พี่คิงส์เคยบอกแล้วว่างานนี้ ทุกคนมีแต่เสีย หนุ่ม สาว แฟนคลับสองฝ่าย
    - คนที่ได้สนองความเฉพติดดราม่า และความต้องการของตัวเองคนเดียวคือ
    ก๊อดซีป้านี่แหละ
    อิฉัด
    หวังว่าถ้าเรื่องนี้จบ อิป้า จะพยายามหาผัวให้ได้นะ
    กรรูว่า เมิงฟุ้งซ่านจนชาวบา้นเดือดร้อนมากเกินไปละ
    อิห่านจิก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #พี่คิงส์มีเรื่องจริงจะบอกอีกเรื่อง ในช่วงเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่คิงส์ยอมรับว่า มีแฟนคลับฝั่งเกา ที่ลาออกจากการเป็นด้อมทักมาหาพี่เยอะมาก จะมีคำคล้ายๆกันว่า "พี่คิงส์ เมื่อก่อนไม่ชอบพี่ และหนูเคยด่าพี่ด้วย แต่พอเวลาผ่านไป สิ่งที่พี่โพสมันจริงในหลายเรื่องอย่างน่าตกใจ เช่น ทุกอย่างจะพังเพราะป้า" เอาว่าบทสนทนาประมาณนี้ และทุกคนจะมีความรู้สึกอึดอัดกับความหิวแสงกลัวโดนแย่งซีน ของป้าคนนี้เอามากๆ - โดยด้อมเหล่านี้ รักสงบ ไม่อยากให้สาวเกาของตัวเองต้องไปมีเรื่องมีราวกับคนนั้นคนนี้ และบางคนก็เคยเอ่ยในช่องที่อิป้าเป็นเจ้าลัทติ๊ว่า พอเหอะป้า ปรากฏ อิป้าตีโพยตีพาย บอกว่าด้อมคนนี้ย้ายข้างแล้ว อ้าว อิห่านจิก ไปไล่เค้าอีก - และพี่คิงส์ก็เจออีกหลายๆเคส ที่โดนบลล็อคคแหลก หรือเจออะไรที่มันปวดหัวไม่เว้นวัน จนคิดว่า ถ้าจะเชียร์สาวเกาโดยต้องอยู่ใต้ teen อิป้า พวกเค้าขอถอนตัวออกมา เอาชีวีให้รอดก่อน เพราะถ้ายังต้องเป็นสาวกอิป้าต่อไป มีหวัง ได้เปื่อยจิตตามอิป้าแน่นอน - พี่คิงได้สนทนา ก็ได้แต่แสดงความเห็นใจ และเข้าใจ อ้อ แล้วเริ่มมีด้อมเกาจำนวนมากที่เกิดความสงสัยในหลายๆครั้ง ที่ป้า มักอ้างว่า ได้คุยกับสาวเกา สาวเกาพูดว่าอย่างโน้น อย่างนี้นั้น มันจริงรึเปล่า เพราะมันมีบทพิสูจน์หลายอย่างที่สาวเกามาพูดเอง กับสิ่งที่ป้าถ่ายทอดเป็นนิยาย มันไม่ตรงกัน มันคนละเรื่องกัน อย่างไม่น่าให้อภัย แม้กระทั่ง เรื่องที่ป้าเม้นมา น้องมันก็แคปมาให้พี่ดูว่า "เนี่ย ป้าไปคุยกับน้องมา น้องบอกว่าไม่มีการออมชอม รู้สึกใจฟูู" เออ อะไรประมาณนี้แหละ - เพราะทุกคนที่ทักมารู้ดีกว่า การฟ๊องคนไทย สาวเกามีแต่ความอิ๊บอ๋ายวายป่วงแน่นวล และพี่คิงส์ไปได้ข้อมูลมาว่า อิป้า ให้สาวเกามอบ อำ นาจ ให้ทานายที่อิโจหามา แล้วสาวเกาไม่รู้ว่า อิป้า จะฟ๊องเป็นร้อยๆคาดี เพราะมันจะฟ๊องเท่าไหร่ก็ได้ ทานายมีใบมอบไว้แล้ว แต่ค่าฟ๊อง สาวเกาออกนะ ไม่ใช่ ป้า ยังไม่พอ การทำคาดีแบบนี้ อย่าคิดว่าสาวไม่ต้องลงมาไทยเลยนะ ต้องมีการไต่สวน มีอะไรที่เป็นขั้นตอนวุ่นวายอีกมาก และที่สำคัญ อิป้าก็เอ่ยแล้วว่า ต้องใช่ค่าใช่จ่ายในการฟ๊องคนไทยนั้นมหาศาล แต่อิป้าก็ไม่ปล่อยวาง - ถามว่า ไอ่ที่อิป้ามันจะปักธงฟ๊องอะ มันปกป้องสาวเกาจริง หรือเพียงแค่สนองความสะใจ และรู้สึกว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ซะเหลือเกินกันแน่ กรรูว่านะ ใครๆก็รู้คำตอบแม้ว่าเป็นฝั่งเดียวกัน แต่หารู้ไม่ว่า - ป้า กำลังบั่นทอนคนที่เป็นแฟนคลับสาวเกาจากที่แฟนคลับหนุ่มกับสาว คือกลุ่มเดียวกัน ถ้าป้าไม่ปั่น ยอดฟอลไม่หายเกินครึ่งล้านแบบนี้ ในห้องเทพ จากห้าพัน ป้าปั่นไปปั่นมา เหลืออยู่พันกว่า ยอดฟอลจากล้านเจ็ด เหลือนับถอยหลังต่ำล้านแน่นอนในเวลาไม่นาน จากกลุ่มที่เล็กจะแย่อยู่แล้ว ป้ายังมาซอยย่อยยิบ ถีบหัวส่งคนเชียร์ฝั่งเดียวกัน แต่เค้าไม่อยาก Ba เหมือนป้า ที่จะไปไฝว้กับคนนั้นคนนี้ ป้าไล่หมด กรรูอยากถามว่า สรุป อิป้านี่ มันจะผูกขาดความเป็นแฟนคลับสาวเกาไว้ที่มันกับคนไม่กี่คนเหรอฟร๊ะ เออ แต่ก็แล้วแต่เมิงแหละ เอาที่เมิงสบายใจ - สรุป สาวเกา คบ และเชื่ออิป้า เสียเงินมหาศาล ไม่รวมค่าใช้จ่ายวันแถลงข่าวที่ไมไ่ด้ห่านอะไรเป็นสาระ และมีอิป้าที่แย่งซีนสาวเกาซะเหลือเกิน จับมือแฟนคลับดุจดั่งตัวเองเป็นสาวเกา กรรูเห็นแล้วยังเขินแทนเลย นอกจากเสียเงินมหาศาลที่พี่คิงส์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะหมดอีกเท่าไหร่ หรืออาจจะถึงขั้นหมดตัวก็ได้ เพราะทานาย จ้าง เค้าก็ฟ๊อง แต่ชนะ หรือ แพ้ หรือโดนฟ๊องกลับนั่นก็อีกเรื่อง แต่เค้าได้เงินไปแล้ว ส่วนอิป้าจะได้เปอร์เซ็นหรือไม่ เอาว่า ปกติ มันมีครับกรณีแบบนี้หาลูกค้ามาให้ มีตั้งแต่ 10 - 40% แล้วแต่ตกลง ก็พี่คิงส์เคยบอกแล้วว่างานนี้ ทุกคนมีแต่เสีย หนุ่ม สาว แฟนคลับสองฝ่าย - คนที่ได้สนองความเฉพติดดราม่า และความต้องการของตัวเองคนเดียวคือ ก๊อดซีป้านี่แหละ อิฉัด หวังว่าถ้าเรื่องนี้จบ อิป้า จะพยายามหาผัวให้ได้นะ กรรูว่า เมิงฟุ้งซ่านจนชาวบา้นเดือดร้อนมากเกินไปละ อิห่านจิก #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 0 รีวิว
  • คัปปาโดเกีย ดินแดนบอลลูน มรดกโลกแห่งตุรกี

    คัปปาโดเกีย (Cappadocia)
    ตั้งอยู่บนที่ราบสูงอนาโตเลีย ประเทศตุรกี

    สัมผัสดินแดนเทพนิยาย ท่ามกลางบอลลูนหลากสี
    ล่องลอยเหนือคัปปาโดเกีย ชมปล่องไฟ โบสถ์หิน บ้านถ้ำ

    📍 ขึ้นบอลลูนชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม
    ของคัปปาโดเกียแบบ 360 องศา

    📍 ชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดโรแมนติก

    📍 ราคา: เริ่มต้น 300 - 350 USD / ท่าน
    หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000-9,000 บาท

    ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยว

    🍃 ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนเมษายน-พฤษภาคม
    🍂 ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน
    ❄ ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม - มีนาคม

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ตุรกี #คัปปาโดเกีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    คัปปาโดเกีย ดินแดนบอลลูน มรดกโลกแห่งตุรกี คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ตั้งอยู่บนที่ราบสูงอนาโตเลีย ประเทศตุรกี สัมผัสดินแดนเทพนิยาย ท่ามกลางบอลลูนหลากสี ล่องลอยเหนือคัปปาโดเกีย ชมปล่องไฟ โบสถ์หิน บ้านถ้ำ 📍 ขึ้นบอลลูนชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม ของคัปปาโดเกียแบบ 360 องศา 📍 ชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดโรแมนติก 📍 ราคา: เริ่มต้น 300 - 350 USD / ท่าน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000-9,000 บาท ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยว 🍃 ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนเมษายน-พฤษภาคม 🍂 ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ❄ ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม - มีนาคม LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ตุรกี #คัปปาโดเกีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • ข่าวร้ายของผู้ใช้งานในองค์กร Microsoft ได้เปลี่ยนการตั้งค่าให้การเก็บข้อมูลจาก Word และ Excel เพื่อฝึก AI อัตโนมัติ Microsoft จะสามารถใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น บทความ นวนิยาย หรือผลงานอื่น ๆ เพื่อฝึก AI โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยการปิดฟีเจอร์ "Optional Connected Experiences" บน Windows PC ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้:
    1) เปิดโปรแกรม Word หรือ Excel
    2)ไปที่เมนู File
    3)เลือก Options
    4)คลิกที่ Trust Center
    5)เลือก Trust Center Settings
    6)คลิกที่ Privacy Options
    7)ไปที่ Privacy Settings
    8) ยกเลิกการเลือกกล่อง Optional Connected Experiences

    เฮ้อ... Microsoft จะโดน EU ฟ้องแน่นอน และผลคือต้องปิด Feature นี้เป็นค่าอัตโนมัติในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น ฟันธง!!

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-word-and-excel-ai-data-scraping-slyly-switched-to-opt-in-by-default-the-opt-out-toggle-is-not-that-easy-to-find
    ข่าวร้ายของผู้ใช้งานในองค์กร Microsoft ได้เปลี่ยนการตั้งค่าให้การเก็บข้อมูลจาก Word และ Excel เพื่อฝึก AI อัตโนมัติ Microsoft จะสามารถใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น บทความ นวนิยาย หรือผลงานอื่น ๆ เพื่อฝึก AI โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยการปิดฟีเจอร์ "Optional Connected Experiences" บน Windows PC ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้: 1) เปิดโปรแกรม Word หรือ Excel 2)ไปที่เมนู File 3)เลือก Options 4)คลิกที่ Trust Center 5)เลือก Trust Center Settings 6)คลิกที่ Privacy Options 7)ไปที่ Privacy Settings 8) ยกเลิกการเลือกกล่อง Optional Connected Experiences เฮ้อ... Microsoft จะโดน EU ฟ้องแน่นอน และผลคือต้องปิด Feature นี้เป็นค่าอัตโนมัติในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น ฟันธง!! https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-word-and-excel-ai-data-scraping-slyly-switched-to-opt-in-by-default-the-opt-out-toggle-is-not-that-easy-to-find
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บุญคุณป้าข้างบ้าน
    หลังจากที่พี่คิงส์แยกได้แล้ว
    ระหว่างแฟนคลับสาวแดนอุนจิตัวจริง
    กับสาวกป้าข้างบ้าน
    ถ้าเป็นแฟนคลับสาวจริงจะโพสจะคอมเม้นเชิง+ ไม่แซะ
    แต่ถ้าแซะ ปั่น หาประเด็นให้มีความแตกแยกระหว่างคนไทย
    ให้เป็นสองฝั่ง นั่นคือสาวกป้าล้วนๆ
    แต่ฝั่งสาวกป้า พี่คิงส์ก็เห็นสร้างวาทะกรรม
    ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่พ้นวาทะกรรมของป้านี่แหละ
    ที่สร้างแล้วก็กระจายให้กับสมุน
    นั่นคือ ถ้าไม่มีป้า คนที่รักสาวคงจะไม่มากมายขนาดนี้
    เอ้า เอาก็เอา งั้นวันนี้เรามารำลึกถึงบุญคุณของป้ากัน
    1. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่โดนคนไทยเกลียดมากขนาดนี้ ยอดคนติดตามคงไม่หายไปเกินครึ่งล้าน
    2. ถ้าไม่มีป้า #สาวกับหนุ่มก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเชียร์ เพราะไม่มีป้ามาหาประเด็นสร้างดราม่าไม่เว้นแต่ละวัน
    3. ถ้าไม่มีป้า #จะไม่มีความแตกแยก เพราะป้าคอยรับข้อมูลจากปูเป็นหนอนแบบผิดๆ เพราะปูเป็นหนอนหวังไปเกาะสาวตั้งแต่แรกก็เลยปั้นหลายเรื่อง แล้วเอาไปบอกป้าผ่าน ผ.บ้าง บอกเองบ้าง ทำกันแบบนี้สม่ำเสมอตั้งแต่หนุ่มสาวยังไม่ได้เลิกกัน พอป้าได้ข้อมูลมาแล้วก็เอามาสร้างอคติให้เกิดขึ้นในกลุ่มแฟนคลับสาวตามจริตที่ป้ามีปมที่ถูกผัวเท เลยทำให้หนุ่มโดนปักธงจากป้าโดยไม่รู้ตัว จนแฟนคลับหนุ่มเริ่มรับไม่ได้ เป็นจุดเริ่มต้นของการแตกกันระหว่างแฟนคลับของทั้งสองฝ่าย
    4. ถ้าไม่มีป้า #จะมีใครสร้างปัญหาให้สาวได้มากเท่านี้ ด้วยการไฝ้วสร้างโจทย์ไปทั่ว กับบอส ณวัฒน์งี้ กับก้องห้วยไร่งี้ แม้กระทั่งกับคิงส์โพธิ์แดงงี้ ฝีมือป้าทั้งนั้น
    5. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่พลาดมาแถลงฟ๊องคนไทย จนความนิยมหล่นลงยาวๆแบบนี้ และคงไม่มีใครมาเตรียมชิงฟ๊องก่อน หรือฟ๊องกลับ กันมากมายขนาดนี้
    6. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน ด้วยการต้องมาขึ้นSAN อีกไม่รู้กี่สิบรอบ หรือถ้าอีกฝ่ายฟ๊องกลับ 1 ปี อาจเป็นร้อยรอบ ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ป้าก็จะได้อยู่กับสาวตลอดปี
    7. ถ้าไม่มีป้า #ก็จะไม่มีก๊าบๆ ที่ป้าเอาเข้าไปในกลุ่มเทพ ที่แสดงความถ๋อย สถุ๋น จนเป็นภาพลบให้กับคนในนั้นที่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางอาชีพ และชีวิตมาก่อนทั้งนั้น เทพคงไม่มีใครลดตัวมาคบคนอย่างก๊าบๆแน่นอน (และพอก๊าบๆเกมส์ ก็ไม่ออกมาปกป้อง พูดหน้าตาลอยว่า ที่ไม่ปกป้อง เพราะรู้ปลายทางว่ายังไงก็ฟ๊องก๊าบๆไม่ได้ หรือฟ๊องได้ก็ไม่ชนะ อันนี้ขอทีนะ อิฉัด ไปต้มเด็กอมมือไป เหตุผลตลกsus sus เมิงเทมัน แต่แค่หาข้ออ้างดีๆ อย่าเท่ห์เลยเมิง ทุ๊ย ถ้าเมิงรักมัน เมิงต้องปกป้อง ออกตัว มันไม่มีหรอก KADEE ไหน ที่ชนะชัวร์ อิฉัด เพราะผพภษ เท่านั้นที่ตัดสิน ไม่รู้ไอ่ก๊าบๆมันรู้ตัวมั๊ย หรืออย่าบอกนะ ว่าเชื่อเหตุผลจากอิป้าเนี่ย)
    8. ถ้าไม่มีป้า #แล้วใครจะสร้างเรื่องนิยายให้สาวกฟัง เล่าแบบผิดๆถูกๆ เอาแบบที่ใจอยากให้สาวเป็น ทั้งเรื่องแม่ เรื่องพี่ชาย และอีกหลายๆเรื่อง ให้อีกฝ่ายที่ป้าตั้งใจสร้างให้มี ได้มาจับโป๊ะกันสนุกสนาน
    9. ถ้าไม่มีป้า #จะมีใครมาเสียเวลาBAบอ ทำเหมือนเป็นบางระจัน สมัยจะเสียกรุง มโนคติว่า ตัวเองมีคนจะมาทำนั่นนี่ ต้องออกศึ-ก-ส-ง-ค-ร-า-ม ศาลา ฟินิกส์เฮี้ยอะไรอีกฟร๊ะเนี่ย
    10. ถ้าไม่มีป้า #สี่ห้าเดือนที่ผ่านมาพวกเราคงเอาเวลาไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตมากกว่านี้
    11. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เพราะไม่ต้องมารับข้อมูลปั่นจากป้า และไม่มีป้าก็คงไม่มีคนคาบข่าวจากสาวมาแปลเพื่อเป็นประโยชน์กับอุดมการณ์บ็องๆของตัวเองแบบนี้
    12. ถ้าไม่มีป้า #คนคงไม่รู้ว่าคนที่ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีวุฒิแค่ม.3 อย่างป้า จะทำให้คนที่จบตรี ถึงดร. เชื่อได้ขนาดนี้
    ดังนั้น สาวกเค้าบอกว่าต้องไม่ลืมบุญคุณป้านะ จะเทป้าไม่ได้นะ
    ก็สมเหตุสมผลอยู่ ถ้าโลกนี้ไม่มีป้า ก็จะมี 12 ข้อนี้ไม่ได้แน่นอน
    ทุกคน ทุกฝ่าย สูญเสีย แต่ป้าได้อยู่คนเดียว ได้เสพพดราม่าสมใจ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #บุญคุณป้าข้างบ้าน หลังจากที่พี่คิงส์แยกได้แล้ว ระหว่างแฟนคลับสาวแดนอุนจิตัวจริง กับสาวกป้าข้างบ้าน ถ้าเป็นแฟนคลับสาวจริงจะโพสจะคอมเม้นเชิง+ ไม่แซะ แต่ถ้าแซะ ปั่น หาประเด็นให้มีความแตกแยกระหว่างคนไทย ให้เป็นสองฝั่ง นั่นคือสาวกป้าล้วนๆ แต่ฝั่งสาวกป้า พี่คิงส์ก็เห็นสร้างวาทะกรรม ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่พ้นวาทะกรรมของป้านี่แหละ ที่สร้างแล้วก็กระจายให้กับสมุน นั่นคือ ถ้าไม่มีป้า คนที่รักสาวคงจะไม่มากมายขนาดนี้ เอ้า เอาก็เอา งั้นวันนี้เรามารำลึกถึงบุญคุณของป้ากัน 1. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่โดนคนไทยเกลียดมากขนาดนี้ ยอดคนติดตามคงไม่หายไปเกินครึ่งล้าน 2. ถ้าไม่มีป้า #สาวกับหนุ่มก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเชียร์ เพราะไม่มีป้ามาหาประเด็นสร้างดราม่าไม่เว้นแต่ละวัน 3. ถ้าไม่มีป้า #จะไม่มีความแตกแยก เพราะป้าคอยรับข้อมูลจากปูเป็นหนอนแบบผิดๆ เพราะปูเป็นหนอนหวังไปเกาะสาวตั้งแต่แรกก็เลยปั้นหลายเรื่อง แล้วเอาไปบอกป้าผ่าน ผ.บ้าง บอกเองบ้าง ทำกันแบบนี้สม่ำเสมอตั้งแต่หนุ่มสาวยังไม่ได้เลิกกัน พอป้าได้ข้อมูลมาแล้วก็เอามาสร้างอคติให้เกิดขึ้นในกลุ่มแฟนคลับสาวตามจริตที่ป้ามีปมที่ถูกผัวเท เลยทำให้หนุ่มโดนปักธงจากป้าโดยไม่รู้ตัว จนแฟนคลับหนุ่มเริ่มรับไม่ได้ เป็นจุดเริ่มต้นของการแตกกันระหว่างแฟนคลับของทั้งสองฝ่าย 4. ถ้าไม่มีป้า #จะมีใครสร้างปัญหาให้สาวได้มากเท่านี้ ด้วยการไฝ้วสร้างโจทย์ไปทั่ว กับบอส ณวัฒน์งี้ กับก้องห้วยไร่งี้ แม้กระทั่งกับคิงส์โพธิ์แดงงี้ ฝีมือป้าทั้งนั้น 5. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่พลาดมาแถลงฟ๊องคนไทย จนความนิยมหล่นลงยาวๆแบบนี้ และคงไม่มีใครมาเตรียมชิงฟ๊องก่อน หรือฟ๊องกลับ กันมากมายขนาดนี้ 6. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน ด้วยการต้องมาขึ้นSAN อีกไม่รู้กี่สิบรอบ หรือถ้าอีกฝ่ายฟ๊องกลับ 1 ปี อาจเป็นร้อยรอบ ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ป้าก็จะได้อยู่กับสาวตลอดปี 7. ถ้าไม่มีป้า #ก็จะไม่มีก๊าบๆ ที่ป้าเอาเข้าไปในกลุ่มเทพ ที่แสดงความถ๋อย สถุ๋น จนเป็นภาพลบให้กับคนในนั้นที่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางอาชีพ และชีวิตมาก่อนทั้งนั้น เทพคงไม่มีใครลดตัวมาคบคนอย่างก๊าบๆแน่นอน (และพอก๊าบๆเกมส์ ก็ไม่ออกมาปกป้อง พูดหน้าตาลอยว่า ที่ไม่ปกป้อง เพราะรู้ปลายทางว่ายังไงก็ฟ๊องก๊าบๆไม่ได้ หรือฟ๊องได้ก็ไม่ชนะ อันนี้ขอทีนะ อิฉัด ไปต้มเด็กอมมือไป เหตุผลตลกsus sus เมิงเทมัน แต่แค่หาข้ออ้างดีๆ อย่าเท่ห์เลยเมิง ทุ๊ย ถ้าเมิงรักมัน เมิงต้องปกป้อง ออกตัว มันไม่มีหรอก KADEE ไหน ที่ชนะชัวร์ อิฉัด เพราะผพภษ เท่านั้นที่ตัดสิน ไม่รู้ไอ่ก๊าบๆมันรู้ตัวมั๊ย หรืออย่าบอกนะ ว่าเชื่อเหตุผลจากอิป้าเนี่ย) 8. ถ้าไม่มีป้า #แล้วใครจะสร้างเรื่องนิยายให้สาวกฟัง เล่าแบบผิดๆถูกๆ เอาแบบที่ใจอยากให้สาวเป็น ทั้งเรื่องแม่ เรื่องพี่ชาย และอีกหลายๆเรื่อง ให้อีกฝ่ายที่ป้าตั้งใจสร้างให้มี ได้มาจับโป๊ะกันสนุกสนาน 9. ถ้าไม่มีป้า #จะมีใครมาเสียเวลาBAบอ ทำเหมือนเป็นบางระจัน สมัยจะเสียกรุง มโนคติว่า ตัวเองมีคนจะมาทำนั่นนี่ ต้องออกศึ-ก-ส-ง-ค-ร-า-ม ศาลา ฟินิกส์เฮี้ยอะไรอีกฟร๊ะเนี่ย 10. ถ้าไม่มีป้า #สี่ห้าเดือนที่ผ่านมาพวกเราคงเอาเวลาไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตมากกว่านี้ 11. ถ้าไม่มีป้า #สาวคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เพราะไม่ต้องมารับข้อมูลปั่นจากป้า และไม่มีป้าก็คงไม่มีคนคาบข่าวจากสาวมาแปลเพื่อเป็นประโยชน์กับอุดมการณ์บ็องๆของตัวเองแบบนี้ 12. ถ้าไม่มีป้า #คนคงไม่รู้ว่าคนที่ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีวุฒิแค่ม.3 อย่างป้า จะทำให้คนที่จบตรี ถึงดร. เชื่อได้ขนาดนี้ ดังนั้น สาวกเค้าบอกว่าต้องไม่ลืมบุญคุณป้านะ จะเทป้าไม่ได้นะ ก็สมเหตุสมผลอยู่ ถ้าโลกนี้ไม่มีป้า ก็จะมี 12 ข้อนี้ไม่ได้แน่นอน ทุกคน ทุกฝ่าย สูญเสีย แต่ป้าได้อยู่คนเดียว ได้เสพพดราม่าสมใจ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 869 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝากนิยายด้วยนะคะ
    อัพตอนที่ 19 ค่ะ อัพทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ readAwrite นะคะ
    The Boundary เขตแดนพิศวง แนว ชญ ลึกลับ แฟนตาซี สืบสวนแบบเหนือธรรมชาติ
    Writer : Cirrus Halo
    มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่น และรับคำร้องจากคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ เอวากับนาชาญเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์จึงมีหน้าที่ต้องลงไปตรวจสอบและแก้ไขปริศนาเบื้องหลังความลึกลับของตำนานสยองขวัญและความเชื่อที่แปลกประหลาด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภพภูมิทั้งสี่ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาค และคนธรรพ์ การเดินทางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง โปรดติดตามได้ใน The Boundary เขตแดนพิศวงค่ะ

    https://www.readawrite.com/a/Zbrlo9-The-Boundary-40%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7?r=search_article
    ฝากนิยายด้วยนะคะ อัพตอนที่ 19 ค่ะ อัพทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ readAwrite นะคะ The Boundary เขตแดนพิศวง แนว ชญ ลึกลับ แฟนตาซี สืบสวนแบบเหนือธรรมชาติ Writer : Cirrus Halo มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่น และรับคำร้องจากคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ เอวากับนาชาญเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์จึงมีหน้าที่ต้องลงไปตรวจสอบและแก้ไขปริศนาเบื้องหลังความลึกลับของตำนานสยองขวัญและความเชื่อที่แปลกประหลาด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภพภูมิทั้งสี่ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาค และคนธรรพ์ การเดินทางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง โปรดติดตามได้ใน The Boundary เขตแดนพิศวงค่ะ https://www.readawrite.com/a/Zbrlo9-The-Boundary-40%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7?r=search_article
    WWW.READAWRITE.COM
    The Boundary (เขตแดนพิศวง): ลึกลับ
    มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำหน้าที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อท้องถิ่นและตำนานอาถรรพ์ บางครั้งก็มีคำร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts