• อ.วีระ พูดได้ชัดได้ต้องประเด็น นี้คืออธิปไตยไทยคุณจะมาทำเล่นๆเหมือนนักการเมืองไม่ได้ จริงๆนักการเมืองที่มาคุมกระทรวงกลาโหม คุมกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง อธิบดีด้วย ก็ต้องโดน ม.157ด้วย ที่ปล่อยปะละเลยมานานบนหน้าที่ในอำนาจตำแหน่งตน อะไรสมควร อะำรเหมาะสม ตนจะเกรงใจไม่ได้แก่ต่างชาติ เรื่องอื่นๆเฮี้ยๆเรา..คนไทยรับรู้กันหมดมันบัดสบขนาดไหน แต่เราสามารถไม่ใส่ใจสนใจและไม่ร้ายแรงก็พร้อมอภัยกันได้เอาตาไปนาไปไร่ได้ คุณอาจทำสาระพัดเลวในตำแหน่งอำนาจหน้าที่ซึ่งยังไม่ถูกจับได้หรือไม่เป็นภัยร้ายแรงแก่เรา..ประชาชนคนไทย คนไทยเราก็มองผ่านได้เพราะปากท้องใครมันมีเหตุมีผลต้องเลี้ยงดู,แต่กับอธิปไตยไทยมันไม่สมควรอย่างยิ่งและกับคนต่างชาติด้วยแบบเขมรเป็นต้นหรือต่างชาติอื่นๆก็ตามที่ใช้นอมินียึดทำกินครอบครองที่ดินอธิปไตยไทย,ต่างชาติทั้งหมดต้องไม่สามารถถือครองมีสิทธิเป็นเจ้าของใดๆในที่ดินไทยได้ทุกๆกรณี,สิทธินี้มีแค่คนไทยเท่านั้น มึงก็มีประเทศของมึงมาห่าอะไรในประเทศไทย อาทิเศรษฐีอินเดียอาหรับมาทำนาปรังถือครองที่ดินคนไทยและผ่านนอมินีเป็นอันมาก,ชดเชยตังด้านนาปรังพวกนี้ก็แทรกแดกได้ด้วย กาฝากบนแผ่นดินไทยแย่งชิงสิทธิมากมายที่คนไทยได้ด้วย เป็นต้นและหลายหลากเคสสาระพัดเรื่องราว.,
    ..อ.วีระ ถือว่าเป็นผู้เสียสละมากๆกล้าชนในช่วงสุดท้าย,ยุคเราต้องร่วมกันกำจัดกวาดล้างภายในให้ดีขึ้นจริงๆ,มันเน่าเกินพอแล้วและหลากหลายเรื่องราวด้วย ,นี้คือการจุดพุส่งสัญญาณเตือนข้าราชการไทยและนักการเมืองด้วยว่า ประเทศไทยท่านทั้งหลายจงอย่าทำเล่นๆอีกต่อไป ลุแก่ตำแหน่งการงานหน้าที่ไม่ได้อีก,ละเว้นเรื่องที่พิจารณาสมควรละเว้นได้ก็ละเว้น,แต่กับเรื่องแผ่นดินไทยอธิปไตยไทยอย่าเอามาเล่นหรือมุ่งหวังซึ่งผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้องครอบครัวตนผ่านอำนาจหน้าที่ตนที่มีในช่วงปัจจุบันได้,ใช้อำนาจตนเพื่อผลประโยชน์ตนอย่าหาทำเด็ดขาดเพราะราคาที่ท่านต้องจ่ายในการรับใช้คนชั่วนักการเมืองข้าราชการชั่วต่างชาติชั่วย่อมสะท้อนกลับไม่ธรรมดาแน่นอนเพราะความจริงมีค่าเดียวสิ่งเดียวและมันชนะเสมอ.,คนดีต้องมีที่ยืนบนแผ่นดินไทย เราไม่ต้องส่งต่อคนชั่วไปสู่รุ่นต่อไป,ให้มันจบที่รุ่นเรา.เขมรส้นตีนนี้ก็ด้วยต้องสิ้นชาติอย่างเดียว ลาว เวียดนามต้องมีส่วนแบ่งพื้นที่,เราจะไม่ให้คนรุ่นลูกหลานเราต้องมาทำสงครามกับพวกนี้อีก,เพราะนั้นคือจะไม่มีประเทศเขมรอีกต่อไป,อเมริกาชอบสมุนขี้ข้ารับใช้พวกอยู่เกาะนัก,ต้องถีบเขมรด้วยกำลังลาวกำลังเวียดนามและกำลังตีนเราถีบไปอยู่เกาะมาเลย์เลยซึ่งกอดเอวกันกลมเกลียวนัก สิงคโปร์ก็เกาะ ฟิลิปปินส์ก็เกาะ ญี่ปุ่นก็เกาะ มาเลย์ก็เกาะที่ทะเลาะแย่งบ่อน้ำมันกับอินโดฯนั่นละกว่า40-50ล้านล้านบาท อย่าให้คนเขมรมาร่วมอาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกันนี้กับเรากับลาวกับเวียดนามเลย,การค้าการขายเราจะเจริญรุ่งเรืองแน่ไม่มีเดอะแก๊งหลอกลวงทั่วไทยทั่วเวียดนามลาวทั่วจีนและทั่วโลกอีกต่อไป,มาเลย์ก็ต้องจ่ายราคาแพงด้วยที่รุกรานไทยมุกภาคใต้ไม่สงบนั้นตลอดช่วยเหลือเขมรด้วยไร้ความเป็นกลางและปาหี่โคตรๆด้วย.

    https://youtube.com/watch?v=ZxzzChtVCrI&si=Ynnb05Z1lqeXtQCW
    อ.วีระ พูดได้ชัดได้ต้องประเด็น นี้คืออธิปไตยไทยคุณจะมาทำเล่นๆเหมือนนักการเมืองไม่ได้ จริงๆนักการเมืองที่มาคุมกระทรวงกลาโหม คุมกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง อธิบดีด้วย ก็ต้องโดน ม.157ด้วย ที่ปล่อยปะละเลยมานานบนหน้าที่ในอำนาจตำแหน่งตน อะไรสมควร อะำรเหมาะสม ตนจะเกรงใจไม่ได้แก่ต่างชาติ เรื่องอื่นๆเฮี้ยๆเรา..คนไทยรับรู้กันหมดมันบัดสบขนาดไหน แต่เราสามารถไม่ใส่ใจสนใจและไม่ร้ายแรงก็พร้อมอภัยกันได้เอาตาไปนาไปไร่ได้ คุณอาจทำสาระพัดเลวในตำแหน่งอำนาจหน้าที่ซึ่งยังไม่ถูกจับได้หรือไม่เป็นภัยร้ายแรงแก่เรา..ประชาชนคนไทย คนไทยเราก็มองผ่านได้เพราะปากท้องใครมันมีเหตุมีผลต้องเลี้ยงดู,แต่กับอธิปไตยไทยมันไม่สมควรอย่างยิ่งและกับคนต่างชาติด้วยแบบเขมรเป็นต้นหรือต่างชาติอื่นๆก็ตามที่ใช้นอมินียึดทำกินครอบครองที่ดินอธิปไตยไทย,ต่างชาติทั้งหมดต้องไม่สามารถถือครองมีสิทธิเป็นเจ้าของใดๆในที่ดินไทยได้ทุกๆกรณี,สิทธินี้มีแค่คนไทยเท่านั้น มึงก็มีประเทศของมึงมาห่าอะไรในประเทศไทย อาทิเศรษฐีอินเดียอาหรับมาทำนาปรังถือครองที่ดินคนไทยและผ่านนอมินีเป็นอันมาก,ชดเชยตังด้านนาปรังพวกนี้ก็แทรกแดกได้ด้วย กาฝากบนแผ่นดินไทยแย่งชิงสิทธิมากมายที่คนไทยได้ด้วย เป็นต้นและหลายหลากเคสสาระพัดเรื่องราว., ..อ.วีระ ถือว่าเป็นผู้เสียสละมากๆกล้าชนในช่วงสุดท้าย,ยุคเราต้องร่วมกันกำจัดกวาดล้างภายในให้ดีขึ้นจริงๆ,มันเน่าเกินพอแล้วและหลากหลายเรื่องราวด้วย ,นี้คือการจุดพุส่งสัญญาณเตือนข้าราชการไทยและนักการเมืองด้วยว่า ประเทศไทยท่านทั้งหลายจงอย่าทำเล่นๆอีกต่อไป ลุแก่ตำแหน่งการงานหน้าที่ไม่ได้อีก,ละเว้นเรื่องที่พิจารณาสมควรละเว้นได้ก็ละเว้น,แต่กับเรื่องแผ่นดินไทยอธิปไตยไทยอย่าเอามาเล่นหรือมุ่งหวังซึ่งผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้องครอบครัวตนผ่านอำนาจหน้าที่ตนที่มีในช่วงปัจจุบันได้,ใช้อำนาจตนเพื่อผลประโยชน์ตนอย่าหาทำเด็ดขาดเพราะราคาที่ท่านต้องจ่ายในการรับใช้คนชั่วนักการเมืองข้าราชการชั่วต่างชาติชั่วย่อมสะท้อนกลับไม่ธรรมดาแน่นอนเพราะความจริงมีค่าเดียวสิ่งเดียวและมันชนะเสมอ.,คนดีต้องมีที่ยืนบนแผ่นดินไทย เราไม่ต้องส่งต่อคนชั่วไปสู่รุ่นต่อไป,ให้มันจบที่รุ่นเรา.เขมรส้นตีนนี้ก็ด้วยต้องสิ้นชาติอย่างเดียว ลาว เวียดนามต้องมีส่วนแบ่งพื้นที่,เราจะไม่ให้คนรุ่นลูกหลานเราต้องมาทำสงครามกับพวกนี้อีก,เพราะนั้นคือจะไม่มีประเทศเขมรอีกต่อไป,อเมริกาชอบสมุนขี้ข้ารับใช้พวกอยู่เกาะนัก,ต้องถีบเขมรด้วยกำลังลาวกำลังเวียดนามและกำลังตีนเราถีบไปอยู่เกาะมาเลย์เลยซึ่งกอดเอวกันกลมเกลียวนัก สิงคโปร์ก็เกาะ ฟิลิปปินส์ก็เกาะ ญี่ปุ่นก็เกาะ มาเลย์ก็เกาะที่ทะเลาะแย่งบ่อน้ำมันกับอินโดฯนั่นละกว่า40-50ล้านล้านบาท อย่าให้คนเขมรมาร่วมอาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกันนี้กับเรากับลาวกับเวียดนามเลย,การค้าการขายเราจะเจริญรุ่งเรืองแน่ไม่มีเดอะแก๊งหลอกลวงทั่วไทยทั่วเวียดนามลาวทั่วจีนและทั่วโลกอีกต่อไป,มาเลย์ก็ต้องจ่ายราคาแพงด้วยที่รุกรานไทยมุกภาคใต้ไม่สงบนั้นตลอดช่วยเหลือเขมรด้วยไร้ความเป็นกลางและปาหี่โคตรๆด้วย. https://youtube.com/watch?v=ZxzzChtVCrI&si=Ynnb05Z1lqeXtQCW
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง,
    ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก.

    ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา.

    ..รัฐล้มเหลว
    ..วิถีปกครองล้มเหลว

    https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง, ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก. ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา. ..รัฐล้มเหลว ..วิถีปกครองล้มเหลว https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อชีวิตนักพัฒนาสตาร์ทอัพต้องมาเจอโลกขององค์กรใหญ่

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักพัฒนาที่เคยทำงานในสตาร์ทอัพเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณตัดสินใจ “ขายวิญญาณ” เข้าสู่โลกขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อเงินและความมั่นคง นี่คือเรื่องราวของผู้เขียนที่เข้าสู่ชีวิตใหม่ในบริษัทที่เรียกว่า $ENTERPRISE

    เขาเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานก็พบกับความวุ่นวายที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือที่ไม่มีใครรู้ว่าใครดูแล, การใช้เงินอย่างไร้เหตุผล, เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน, ความเร่งด่วนที่ไม่มีเหตุผล และระบบความปลอดภัยที่กลายเป็น “ละครตัวเลข”

    แม้จะมีเรื่องให้บ่นมากมาย แต่เขาก็ยอมรับว่าการทำงานในองค์กรใหญ่มีข้อดี เช่น การได้เขียนโค้ดที่มีคนใช้จริง, โอกาสเติบโตในสายงาน, การได้เรียนรู้จากคนเก่ง และความมั่นคงที่มากกว่าที่เคยมี

    ประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ที่แตกต่างจากสตาร์ทอัพ
    การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือในองค์กรใหญ่เป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน
    เครื่องมือบางตัวไม่มีคนดูแล แต่ยังคงใช้งานและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล
    การใช้เงินในองค์กรใหญ่ขาดความคุ้มค่า เช่น ใช้ AWS เกินความจำเป็น
    โครงการใหญ่ถูกยกเลิกก่อนเปิดตัวเพราะงบเกินนิดเดียว
    การขออุปกรณ์เล็ก ๆ เช่นเมาส์ กลับถูกปฏิเสธ
    เพื่อนร่วมงานมีความสามารถไม่เท่ากัน และไม่มีการคัดกรองที่ดี
    ความเร่งด่วนในองค์กรใหญ่ไม่ชัดเจน ต้องแยกแยะเองว่าเรื่องไหนจริง
    ระบบความปลอดภัยกลายเป็นการสร้างตัวเลขเพื่อโชว์ผู้บริหาร
    ตำแหน่งในองค์กรไม่ชัดเจน เช่น “หัวหน้าสถาปัตยกรรม” มีหลายคน
    ผู้นำใหม่มักทำซ้ำความผิดพลาดเดิม เพราะไม่กล้ายอมรับว่า “ไม่รู้”
    ทีมวิศวกรรมแต่ละทีมมีวัฒนธรรมของตัวเอง เหมือนอาณาจักรแยกกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหา “tool ownership” เป็นเรื่องใหญ่ในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนทีมบ่อย
    การใช้เงินเกินจำเป็นในระบบคลาวด์เป็นปัญหาที่หลายองค์กรกำลังแก้ด้วย FinOps
    การขาดมาตรฐานในการจ้างงานส่งผลต่อคุณภาพของทีมและความสามารถในการส่งมอบงาน
    การสร้าง “urgency” เทียมเป็นหนึ่งในสาเหตุของ burnout ในสายงานไอที
    การวัดความปลอดภัยด้วยตัวเลขแทนการวิเคราะห์เชิงลึกเป็นแนวโน้มที่ถูกวิจารณ์ในวงการ cybersecurity
    การมีหลายทีมที่ไม่สื่อสารกันทำให้เกิด “software silos” ซึ่งลดประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร

    https://churchofturing.github.io/the-enterprise-experience.html
    🏢 เมื่อชีวิตนักพัฒนาสตาร์ทอัพต้องมาเจอโลกขององค์กรใหญ่ ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักพัฒนาที่เคยทำงานในสตาร์ทอัพเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณตัดสินใจ “ขายวิญญาณ” เข้าสู่โลกขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อเงินและความมั่นคง นี่คือเรื่องราวของผู้เขียนที่เข้าสู่ชีวิตใหม่ในบริษัทที่เรียกว่า $ENTERPRISE เขาเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานก็พบกับความวุ่นวายที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือที่ไม่มีใครรู้ว่าใครดูแล, การใช้เงินอย่างไร้เหตุผล, เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน, ความเร่งด่วนที่ไม่มีเหตุผล และระบบความปลอดภัยที่กลายเป็น “ละครตัวเลข” แม้จะมีเรื่องให้บ่นมากมาย แต่เขาก็ยอมรับว่าการทำงานในองค์กรใหญ่มีข้อดี เช่น การได้เขียนโค้ดที่มีคนใช้จริง, โอกาสเติบโตในสายงาน, การได้เรียนรู้จากคนเก่ง และความมั่นคงที่มากกว่าที่เคยมี ✅ ประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ที่แตกต่างจากสตาร์ทอัพ ➡️ การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือในองค์กรใหญ่เป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน ➡️ เครื่องมือบางตัวไม่มีคนดูแล แต่ยังคงใช้งานและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ➡️ การใช้เงินในองค์กรใหญ่ขาดความคุ้มค่า เช่น ใช้ AWS เกินความจำเป็น ➡️ โครงการใหญ่ถูกยกเลิกก่อนเปิดตัวเพราะงบเกินนิดเดียว ➡️ การขออุปกรณ์เล็ก ๆ เช่นเมาส์ กลับถูกปฏิเสธ ➡️ เพื่อนร่วมงานมีความสามารถไม่เท่ากัน และไม่มีการคัดกรองที่ดี ➡️ ความเร่งด่วนในองค์กรใหญ่ไม่ชัดเจน ต้องแยกแยะเองว่าเรื่องไหนจริง ➡️ ระบบความปลอดภัยกลายเป็นการสร้างตัวเลขเพื่อโชว์ผู้บริหาร ➡️ ตำแหน่งในองค์กรไม่ชัดเจน เช่น “หัวหน้าสถาปัตยกรรม” มีหลายคน ➡️ ผู้นำใหม่มักทำซ้ำความผิดพลาดเดิม เพราะไม่กล้ายอมรับว่า “ไม่รู้” ➡️ ทีมวิศวกรรมแต่ละทีมมีวัฒนธรรมของตัวเอง เหมือนอาณาจักรแยกกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหา “tool ownership” เป็นเรื่องใหญ่ในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนทีมบ่อย ➡️ การใช้เงินเกินจำเป็นในระบบคลาวด์เป็นปัญหาที่หลายองค์กรกำลังแก้ด้วย FinOps ➡️ การขาดมาตรฐานในการจ้างงานส่งผลต่อคุณภาพของทีมและความสามารถในการส่งมอบงาน ➡️ การสร้าง “urgency” เทียมเป็นหนึ่งในสาเหตุของ burnout ในสายงานไอที ➡️ การวัดความปลอดภัยด้วยตัวเลขแทนการวิเคราะห์เชิงลึกเป็นแนวโน้มที่ถูกวิจารณ์ในวงการ cybersecurity ➡️ การมีหลายทีมที่ไม่สื่อสารกันทำให้เกิด “software silos” ซึ่งลดประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร https://churchofturing.github.io/the-enterprise-experience.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย.
    #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย.


    รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ
    รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!!

    เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง
    และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย
    บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้
    เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…”

    ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State"
    จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น
    เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี
    ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร
    และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่

    พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome
    ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก)
    และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati
    ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด
    ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT,
    ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ
    และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง,
    ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป
    และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร
    คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street,
    Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase
    บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก
    และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock
    ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก
    และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น
    อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น
    พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง!

    ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต
    ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย
    พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor
    ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ

    ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
    การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์
    นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต
    ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง"
    หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง
    แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา
    การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ
    เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ



    พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา
    พวกเขา มีคนดังมากมาย
    พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล
    พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ
    พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง
    พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน
    พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด
    พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
    พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street
    พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา
    พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ
    พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา
    พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา
    พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ
    พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง
    พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา
    พวกเขา มีเงินมากกว่า
    พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ
    พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย
    พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล
    พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
    พวกเขา ควบคุม Google
    พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ
    พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง
    พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี
    อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา
    พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์

    พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้

    #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย. #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย. รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!! เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…” ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State" จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่ พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก) และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT, ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง, ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street, Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง! ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์ นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง" หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา พวกเขา มีคนดังมากมาย พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา พวกเขา มีเงินมากกว่า พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขา ควบคุม Google พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์ พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 7
    ไม่ช้าไม่นาน สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) สภาพัฒน์ฯ ควรบันทึกไว้ด้วยว่า เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ คนแรก ชื่อนายพจน์ สารสิน (พจน์ อีกแล้ว!)
    อย่างที่เล่าไว้ตอนแรกๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 ได้ถูกทำขึ้นโดยใช้วิธีแปลรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ทั้งฉบับเป็นภาษาไทย ฝ่ายไทยไม่ต้องออกแรงเปลืองหัวสมองเท่าเม็ดถั่ว แค่แปลแล้วนำก็มาใช้เป็นแผนแม่ บทของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ก็เท่านั้นเอง
    รายการที่ไทยแลนด์ต้องพัฒนาเป็นการด่วน คือระบบสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า น้ำประปา ปรับปรุงระบบขน ส่ง สร้างถนน สร้างท่าเรือ สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และสร้างสนามบิน! ฟังดูดี๊ดีนะครับ แต่ลองสังเกตอีกที  สิ่งที่พี่เบิ้มเขาให้เราทำน่ะ มันอะไรกันแน่
    แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาปรับปรุงระบบต่างๆ มาก่อสร้างตามรายการ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผน มันเกินกว่างบประมาณไปหลายจี๋นะ เดี๋ยวก็จะกลายเป็นคนเคยรวยเร็วไปหน่อยมั้ย คุณป๋ารำพึงดังๆ
    แน่นอน พีเบิ้มหูไว ก็ติดเครื่องดักฟังไว้ทั่วราชอาณาจักรไทย ได้ยินดังนั้นก็บอกว่า สมันน้อยไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไอจัดให้ !
    ไอหาเงินกู้ดอกถูกไว้ให้ยูแล้ว ของธนาคารโลก ไงล่ะ สำรวจเอง เขียนเอง ให้กู้เอง ไม่รู้สึกแปลกกันบ้างเหรอไง ว่าแล้วชาวเราก็กระโดดลงหม้อตุ๋นด้วยความขอบคุณ
    โปรดรับทราบว่า ไทยสร้างสนามบินตามแผนพัฒนาฯ ด้วยเงินกู้ทั้งหมด 7 แห่ง คือ อู่ตะเภา ตาคลี อุบล อุดร โคราช น้ำพอง และนครพนม พัฒนาประเทศไทยจริงๆ ชาวบ้านยังขี่สองล้อ สามล้อกันอยู่เลย คุณพ่อให้สร้างสนามบิน เฮ้อ เกินจะบรรยาย มันจะให้กู ขี้สามล้อ วิ่งเล่นในสนามบินหรือไงนะเนี่ย
    สาธารณูปโภคที่สร้างก็อยู่ในจังหวัดที่สร้างสนามบินหรือใกล้เคียง นั่นแหละเช่น ถนนสายอู่ตะเภา โคราช สายพิษณุโลกขอนแก่น ถนนพวกนี้ตามรายงานของ ซีไอเอ เขาเรียกว่า ถนนยุทธศาสตร์! พัฒนาประเทศไทยจริงๆ
    นอกจากนี้ยังสร้าง สถานีเรดาร์ที่อุดร อุบล ศรีราชา ฯลฯ
    สถานีเรดาร์ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อุดร ชื่อสถานีรามสูร มีอุปกรณ์ตรวจสอบครบเครื่อง บริเวณกว้างขวางขนาดมีสนามกอล์ฟ 9 หลุม สระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิคฯลฯ มีพนักงานชาวอเมริกัน 1,000 คนและลูกจ้างชาวไทยอีก1,400 คน รวมพนักงานทั้งหมด 2,400 คน มันจะเอาไว้ดักฟังสัญญาณดาวอังคารหรือไงวุ้ย
    ที่สำคัญ สถานีนี้ไม่อนุญาตให้คนไทยทั่วไปเข้าในบริเวณ แล้วมันอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ได้ไงเนี่ย
    หลังสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาถอนทัพออกจากประเทศไทย แต่ลืมถอนสถานีรามสูรกลับไปด้วย ยังฝากไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งของประเทศไทย เอาไว้ดักฟังหนุ่มสาวไทยจีบกันหรือไงไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องที่เรากระซิบกันน่ะ พี่เขารู้หมดน่ะ เรื่องนี้ ผมเล่าแล้วก็เสี่ยงกับการกลายเป็นมนุษย์ล่องหนอย่างยิ่ง
    คิดออก มองเห็นหรือยัง อเมริกามหามิตรมอบของขวัญแบบไหนให้ไทยแลนด์ ประเภทล้วงกระเป๋าเรา เอาไปซื้อของของขวัญให้เราน่ะ หลงดีใจจนเนื้อเต้น
    ที่นี้เข้าใจหรือยัง ไอ้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ น่ะ มันวางไว้ก่อนแล้ว มันเตรียมการพัฒนาบ้านเรา เพื่อใช้บ้านเราเป็นฐานไปรบกับคอมมี่ที่เวียตนาม จะเอารถบรรทุกทหารหัวทองวิ่งมาบนท้องนาได้ไง บางแห่งถนนยังไม่มี มีแต่ทางเกวียน สนุกจริงๆ
    อย่าลืมถนนมิตรภาพ ที่อเมริกาสร้างให้ไทย ที่คนไทยภูมิใจหนักหนาด้วยล่ะ  วันเปิดถนนทำพิธีใหญ่โต ไปยืนตบมือกันเปาะแปะ เอารถไปทดลองวิ่งกันเป็นแถว แหม! มันเรียบดีนะ เอาถ้วยกาแฟวางหน้ารถไม่หกเลยจ๊ะ เฮ้ย! ไม่ทันคิดว่าถนนนี้เป็นเส้นทางหลักที่พี่เบิ้มเขาจะใช้ในการลำเลียงพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้ไปรบกะเวียตนาม
    มันคล้ายๆ บ้านเรายังกินข้าวด้วยมือเปิบอยู่ แต่วันดีคืนร้าย ดันมีคนให้ของขวัญ เราก็ดีใจเปิดกล่องของขวัญออกมา อ้าวตาย กลายเป็น มีดกับส้อม เขาบอกว่า…เอาไว้ใช้เวลาไอมาทานข้าวบ้านยูไง ของขวัญแบบนั่นน่ะ เข้าใจไหมครับ
    หลังจากเตรียมการเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยแลนด์แดนสวรรค์มีถนน มีน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี (แต่ยังไม่มีงานทำ 555) สนามบินก็สร้างแล้ว ตำรวจสารพัดนึกก็มีแล้ว เหลืออะไรล่ะที่เรายังไม่ได้ให้ไทยแลนด์ทำกองทัพไงจ้ะ ไทยแลนด์ต้องมีกองทัพอันเกรียงไกร เอาไว้ป้องกันประเทศ เอาไว้กันไม่ให้พวกคอมมี่ มันขยายตัวแหลมหัวเข้ามาแถวนี้
    ตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึง พ.ศ.2515 ตลอดเวลาที่อเมริกา นำทัพสู้ในสงครามเวียตนาม ไทยมีส่วนสำคัญ ในการรบเคียงขาเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกา รวมไปถึงการรบในลาวและกัมพูชา ตลอดเวลาดังกล่าว มีทหารอเมริกันอยู่ในประเทศไทย น้อยสุด 50,000 นาย และมากสุดถึง 200,000 นาย มีเครื่องบินขึ้นลงทั้งหมดไม่น้อยกว่า 70, 000 เที่ยว บินไปปฏิบัติการรบทั้งที่ เวียตนาม ลาวและกัมพูชา
    ที่น่าสนใจ การที่อเมริกาเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพ โจมตีเวียตนามและเพื่อนบ้าน อเมริกาไม่เคยทำข้อตกลงอย่างเป็นรูปธรรมกับไทย มันเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายอเมริกาก็ไม่ต้องการมีข้อผูกมัด แค่มาใช้บ้านเขาเฉยๆ เอง มาเมื่อไหร่ ไปเมื่อไหร่ ไม่มีข้อผูกพัน… ฝ่ายเจ้าของบ้านคือรัฐบาลก็ O.K งุบๆ งิบๆ อย่างนี้ดีกว่า …ไม่มีใครรู้เงินช่วยเหลือเข้ามาเท่าไหร่ ส่วนไหนของวัด ส่วนไหนของกรรมการ อู้ฟู้กันเป็นแถวๆ
    และที่เหลือเชื่อไปกว่านั้น พี่เบิ้มอ้างว่า ปฏิบัติการที่ใช้ไทยเป็นฐานทัพน่ะ เป็นปฏิบัติการลับเสีย 99% เพราะฉะนั้นเกือบทุกครั้งที่เครื่องบินรบของพี่เขาจะบินขึ้นจากฐานทัพ (ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย) พี่เขาไม่ต้องขออนุญาตไทย …ไทยแลนด์ยูไม่ต้องยุ่ง… เดี๋ยวความลับรั่วไหลเหมือนท่อน้ำประปาบ้านยู
    ทหารไทยก็ใจกว้าง ตกลงงั้นไอมอบอำนาจให้ยูอนุมัติบินได้เลยนะ ทูตอเมริกันประจำไทย ขณะนั้น นายมาร์ติน (Martin) จึงเป็นคนอนุมัติ กดปุ่ม O.K.!
    สิทธิสภาพนอกอาณาเขตยุคสงครามเวียตนาม ประชาชนคนไทยรู้ไหมเป็นเมืองขึ้นเขาไปแล้ว! แล้วจะไม่บอกว่า ทหารไทยนี่เป็นยอดดวงใจของพี่เบิ้มอเมริกาได้ยังไง ยังไม่จบเรื่องยอดดวงใจนี้ มีหลายภาค ค่อยๆ อ่านไป
    เห็นชัดหรือยังครับ ลองเรียบเรียงดูการสำรวจของธนาคารโลก (World Bank) แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การตั้งสภาพัฒน์ การพัฒนาประเทศ การให้ความช่วยเหลือโดย CIA แก่กรมตำรวจ การให้ความช่วยเหลือแก่กอง ทัพไทย การควบ คุมจัดตั้งการเลือกตั้ง การควบคุมการเมืองไทยทั้งทางตรงทางอ้อม มันโยงกันไหมและทำเพื่ออะไร ผลประ โยชน์ของใคร อาจมีผู้เห็นแย้งว่า ไทยก็ได้ประโยชน์ ป้องกันไม่ให้ระบอบคอม มิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศไทย แต่ถามว่า แล้วเรามีวิธีป้องกันด้วยวิธีอื่นหรือไม่ ที่ไม่ต้องเปลี่ยนประ เทศกลับหัวกลับหางหกคะเมนตีลังกาเช่นนี้
    เมื่ออเมริกาถอนฐานทัพออกไปจากไทยเมื่อปี พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974) ประเทศไทยมีสภาพเป็นอย่างไร ผู้ที่เกิดไม่ทันสมัยนั้น ลองไปหาประวัติศาสตร์อ่านกันดูหน่อย รีบๆ ทำความรู้จักไว้ เพราะเหตุการณ์เช่น สงครามเวียตนาม ฐานทัพ และวัฒนธรรมอเมริกัน การควบคุมชีวิตของคนไทยโดยการเมืองและกองทัพของอเมริกา อาจกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ถ้ากลับมาอีก ไทยเรายังจะมีประเทศเหลือหรือเปล่า ไม่แน่ใจ
    หยิบกระดาษมา 1 แผ่น ด้านซ้ายเขียนต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ด้านขวาเขียนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ เพื่อนำเข้าทุนนิยมเสรี เปลี่ยนประเทศทำเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรม ดูทีละด้าน ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเดียวกัน แต่ลองเอามาร้อยเรียงกัน เหมือนต่อจิกซอว์ เราน่าจะเห็นว่า นี่มันคือการล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่แนบเนียน ชนิดถ้าไม่ทำ CSI ก็จับผู้ร้ายไม่ได้เด็ดขาด
    ชาวไทยที่รักทั้งหลาย จงอย่างดูอะไรที่ละด้าน ที่ละชิ้น …หัดมองภาพรวม หัดต่อภาพให้เป็น แล้วจะได้เห็นภาพใหญ่ พวกสื่อเขาไม่ทำให้เราหรอกครับ เขาเสนอทีละภาพ ทีละเหตุการณ์ จิกซอว์ที่ละตัว เราก็เห็นก็ตามเท่าที่เขาเสนอให้ดู แล้วยิ่งถ้ามันเสนอแบบฟอกย้อมล่ะ จะรู้ได้ยังไง ว่าที่สีฟ้าๆ น่ะ มันน้ำหรือท้องฟ้า สีเขียว ๆ น่ะมันดอลลาร์ หรือใบตองที่แน่สีทองๆ อย่านึกว่าเป็นทอง อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ
    ภายใต้ Pax Americana หรือการขยายระบบทุนนิยมของอเมริกา ไทยแลนด์แดนเนรมิต ต้องแต่งตัวใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เพื่อให้ทุนนิยมอุตสาหกรรมเข้ามาในบ้านเราได้เต็มที่ พี่เบิ้มจึงทั้งบีบทั้งบี้ ถึงขนาดขู่ว่า ถ้าไม่เป็นเด็กดีจะตัดงบช่วยเหลือ พวก good boy เลย ต้องออกพรบ.ให้พี่เบิ้มเต็มพิกัดในพ.ศ.2505 เช่น พรบ.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรม เป็นการจูงใจให้นักลง ทุน ต ด (แปลว่าต่างด้าว) เต็มที่ พรบ.งบประมาณ และตั้งสนง.งบประมาณ ไทยแลนด์ ยูจะได้ไม่เอาเงินช่วยเหลือไปใช้จ่ายรุ่ยร่าย เงินของไอนะ พรบ.ธนาคารพาณิชย์ จะได้เข้ามาตรฐาน ต ด (ต่างด้าว) เปิดทางให้ ต ด มาลงทุน
    แล้วดูตอนนี้ซิ ลงทุนกันไปถึงไหน ธนาคารชื่อไทยน่ะ ทุนไทยเหลือแค่ไหน เป็นของฝรั่งตาน้ำข้าวหัวทอง ตาตี่หัวดำ อย่างสิงคโปร์ขี้ข้าฝรั่งเข้าไปเท่าไหร่ ถ้าอยากรู้ตัวเลขจริงๆ ทำใจแข็งไปขอดูรายงานของ ธปท.เลยครับ รู้แล้วอย่าเป็นลมก็แล้วกัน!
    เรื่องนี้ ถ้าเล่าขบวนการสมคบอันชั่วร้ายของขบวนการทุนนิยมเสรีแล้ว
    ท่านผู้อ่านอาจอยากเปลี่ยนใจไปใช้เงินพดด้วง!
    นอกจากนี้พี้เบิ้มยังแนะนำ (บังคับ!) ให้สมันน้อยยกเลิกรัฐวิสาหกิจ 150 แห่ง ที่ตั้งมาตั้งกะสมัยคณะราษฎร (อันนี้มันส์พะยะค่ะ เล่นเอาพวกปล้นเจ้า หน้าจ๋อยไปเลย) เพราะว่าการเป็นรัฐวิสาหกิจ หมายความว่า รัฐเป็นผู้ดำเนินกิจการเอง ควบคุมเอง ทุนต่างด้าว ทุนนิยมเสรีจะเข้ามาค้าแล้วรวยได้อย่างไร มันก็เหมือนเล่นไพ่กับเจ้ามือ มันจะไปได้กินเจ้ามืออย่างไร ดังนั้นพี่เบิ้มเลยบังคับให้มีทั้งการตัด การตอนรัฐวิสาหกิจให้หดและหายไปในที่สุด …ไอ้ทฤษฏีตอนไม่ให้โตน่ะ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็ยังใช้เล่นต่อ เนื่องมาถึงทุกวันนี้ เห็นฤทธิ์ทุนนิยมเสรีหรือยัง มันมาทั้งได้ในรูปทุนนิยมต่างด้าว และทุนนิยมเผด็จการไทย
    ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็มีแต่จนแห้งตายซาก ทั้งขึ้น ทั้งล่อง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 7 ไม่ช้าไม่นาน สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) สภาพัฒน์ฯ ควรบันทึกไว้ด้วยว่า เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ คนแรก ชื่อนายพจน์ สารสิน (พจน์ อีกแล้ว!) อย่างที่เล่าไว้ตอนแรกๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 ได้ถูกทำขึ้นโดยใช้วิธีแปลรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ทั้งฉบับเป็นภาษาไทย ฝ่ายไทยไม่ต้องออกแรงเปลืองหัวสมองเท่าเม็ดถั่ว แค่แปลแล้วนำก็มาใช้เป็นแผนแม่ บทของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ก็เท่านั้นเอง รายการที่ไทยแลนด์ต้องพัฒนาเป็นการด่วน คือระบบสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า น้ำประปา ปรับปรุงระบบขน ส่ง สร้างถนน สร้างท่าเรือ สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และสร้างสนามบิน! ฟังดูดี๊ดีนะครับ แต่ลองสังเกตอีกที  สิ่งที่พี่เบิ้มเขาให้เราทำน่ะ มันอะไรกันแน่ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาปรับปรุงระบบต่างๆ มาก่อสร้างตามรายการ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผน มันเกินกว่างบประมาณไปหลายจี๋นะ เดี๋ยวก็จะกลายเป็นคนเคยรวยเร็วไปหน่อยมั้ย คุณป๋ารำพึงดังๆ แน่นอน พีเบิ้มหูไว ก็ติดเครื่องดักฟังไว้ทั่วราชอาณาจักรไทย ได้ยินดังนั้นก็บอกว่า สมันน้อยไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไอจัดให้ ! ไอหาเงินกู้ดอกถูกไว้ให้ยูแล้ว ของธนาคารโลก ไงล่ะ สำรวจเอง เขียนเอง ให้กู้เอง ไม่รู้สึกแปลกกันบ้างเหรอไง ว่าแล้วชาวเราก็กระโดดลงหม้อตุ๋นด้วยความขอบคุณ โปรดรับทราบว่า ไทยสร้างสนามบินตามแผนพัฒนาฯ ด้วยเงินกู้ทั้งหมด 7 แห่ง คือ อู่ตะเภา ตาคลี อุบล อุดร โคราช น้ำพอง และนครพนม พัฒนาประเทศไทยจริงๆ ชาวบ้านยังขี่สองล้อ สามล้อกันอยู่เลย คุณพ่อให้สร้างสนามบิน เฮ้อ เกินจะบรรยาย มันจะให้กู ขี้สามล้อ วิ่งเล่นในสนามบินหรือไงนะเนี่ย สาธารณูปโภคที่สร้างก็อยู่ในจังหวัดที่สร้างสนามบินหรือใกล้เคียง นั่นแหละเช่น ถนนสายอู่ตะเภา โคราช สายพิษณุโลกขอนแก่น ถนนพวกนี้ตามรายงานของ ซีไอเอ เขาเรียกว่า ถนนยุทธศาสตร์! พัฒนาประเทศไทยจริงๆ นอกจากนี้ยังสร้าง สถานีเรดาร์ที่อุดร อุบล ศรีราชา ฯลฯ สถานีเรดาร์ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อุดร ชื่อสถานีรามสูร มีอุปกรณ์ตรวจสอบครบเครื่อง บริเวณกว้างขวางขนาดมีสนามกอล์ฟ 9 หลุม สระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิคฯลฯ มีพนักงานชาวอเมริกัน 1,000 คนและลูกจ้างชาวไทยอีก1,400 คน รวมพนักงานทั้งหมด 2,400 คน มันจะเอาไว้ดักฟังสัญญาณดาวอังคารหรือไงวุ้ย ที่สำคัญ สถานีนี้ไม่อนุญาตให้คนไทยทั่วไปเข้าในบริเวณ แล้วมันอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ได้ไงเนี่ย หลังสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาถอนทัพออกจากประเทศไทย แต่ลืมถอนสถานีรามสูรกลับไปด้วย ยังฝากไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งของประเทศไทย เอาไว้ดักฟังหนุ่มสาวไทยจีบกันหรือไงไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องที่เรากระซิบกันน่ะ พี่เขารู้หมดน่ะ เรื่องนี้ ผมเล่าแล้วก็เสี่ยงกับการกลายเป็นมนุษย์ล่องหนอย่างยิ่ง คิดออก มองเห็นหรือยัง อเมริกามหามิตรมอบของขวัญแบบไหนให้ไทยแลนด์ ประเภทล้วงกระเป๋าเรา เอาไปซื้อของของขวัญให้เราน่ะ หลงดีใจจนเนื้อเต้น ที่นี้เข้าใจหรือยัง ไอ้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ น่ะ มันวางไว้ก่อนแล้ว มันเตรียมการพัฒนาบ้านเรา เพื่อใช้บ้านเราเป็นฐานไปรบกับคอมมี่ที่เวียตนาม จะเอารถบรรทุกทหารหัวทองวิ่งมาบนท้องนาได้ไง บางแห่งถนนยังไม่มี มีแต่ทางเกวียน สนุกจริงๆ อย่าลืมถนนมิตรภาพ ที่อเมริกาสร้างให้ไทย ที่คนไทยภูมิใจหนักหนาด้วยล่ะ  วันเปิดถนนทำพิธีใหญ่โต ไปยืนตบมือกันเปาะแปะ เอารถไปทดลองวิ่งกันเป็นแถว แหม! มันเรียบดีนะ เอาถ้วยกาแฟวางหน้ารถไม่หกเลยจ๊ะ เฮ้ย! ไม่ทันคิดว่าถนนนี้เป็นเส้นทางหลักที่พี่เบิ้มเขาจะใช้ในการลำเลียงพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้ไปรบกะเวียตนาม มันคล้ายๆ บ้านเรายังกินข้าวด้วยมือเปิบอยู่ แต่วันดีคืนร้าย ดันมีคนให้ของขวัญ เราก็ดีใจเปิดกล่องของขวัญออกมา อ้าวตาย กลายเป็น มีดกับส้อม เขาบอกว่า…เอาไว้ใช้เวลาไอมาทานข้าวบ้านยูไง ของขวัญแบบนั่นน่ะ เข้าใจไหมครับ หลังจากเตรียมการเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยแลนด์แดนสวรรค์มีถนน มีน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี (แต่ยังไม่มีงานทำ 555) สนามบินก็สร้างแล้ว ตำรวจสารพัดนึกก็มีแล้ว เหลืออะไรล่ะที่เรายังไม่ได้ให้ไทยแลนด์ทำกองทัพไงจ้ะ ไทยแลนด์ต้องมีกองทัพอันเกรียงไกร เอาไว้ป้องกันประเทศ เอาไว้กันไม่ให้พวกคอมมี่ มันขยายตัวแหลมหัวเข้ามาแถวนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึง พ.ศ.2515 ตลอดเวลาที่อเมริกา นำทัพสู้ในสงครามเวียตนาม ไทยมีส่วนสำคัญ ในการรบเคียงขาเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกา รวมไปถึงการรบในลาวและกัมพูชา ตลอดเวลาดังกล่าว มีทหารอเมริกันอยู่ในประเทศไทย น้อยสุด 50,000 นาย และมากสุดถึง 200,000 นาย มีเครื่องบินขึ้นลงทั้งหมดไม่น้อยกว่า 70, 000 เที่ยว บินไปปฏิบัติการรบทั้งที่ เวียตนาม ลาวและกัมพูชา ที่น่าสนใจ การที่อเมริกาเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพ โจมตีเวียตนามและเพื่อนบ้าน อเมริกาไม่เคยทำข้อตกลงอย่างเป็นรูปธรรมกับไทย มันเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายอเมริกาก็ไม่ต้องการมีข้อผูกมัด แค่มาใช้บ้านเขาเฉยๆ เอง มาเมื่อไหร่ ไปเมื่อไหร่ ไม่มีข้อผูกพัน… ฝ่ายเจ้าของบ้านคือรัฐบาลก็ O.K งุบๆ งิบๆ อย่างนี้ดีกว่า …ไม่มีใครรู้เงินช่วยเหลือเข้ามาเท่าไหร่ ส่วนไหนของวัด ส่วนไหนของกรรมการ อู้ฟู้กันเป็นแถวๆ และที่เหลือเชื่อไปกว่านั้น พี่เบิ้มอ้างว่า ปฏิบัติการที่ใช้ไทยเป็นฐานทัพน่ะ เป็นปฏิบัติการลับเสีย 99% เพราะฉะนั้นเกือบทุกครั้งที่เครื่องบินรบของพี่เขาจะบินขึ้นจากฐานทัพ (ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย) พี่เขาไม่ต้องขออนุญาตไทย …ไทยแลนด์ยูไม่ต้องยุ่ง… เดี๋ยวความลับรั่วไหลเหมือนท่อน้ำประปาบ้านยู ทหารไทยก็ใจกว้าง ตกลงงั้นไอมอบอำนาจให้ยูอนุมัติบินได้เลยนะ ทูตอเมริกันประจำไทย ขณะนั้น นายมาร์ติน (Martin) จึงเป็นคนอนุมัติ กดปุ่ม O.K.! สิทธิสภาพนอกอาณาเขตยุคสงครามเวียตนาม ประชาชนคนไทยรู้ไหมเป็นเมืองขึ้นเขาไปแล้ว! แล้วจะไม่บอกว่า ทหารไทยนี่เป็นยอดดวงใจของพี่เบิ้มอเมริกาได้ยังไง ยังไม่จบเรื่องยอดดวงใจนี้ มีหลายภาค ค่อยๆ อ่านไป เห็นชัดหรือยังครับ ลองเรียบเรียงดูการสำรวจของธนาคารโลก (World Bank) แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การตั้งสภาพัฒน์ การพัฒนาประเทศ การให้ความช่วยเหลือโดย CIA แก่กรมตำรวจ การให้ความช่วยเหลือแก่กอง ทัพไทย การควบ คุมจัดตั้งการเลือกตั้ง การควบคุมการเมืองไทยทั้งทางตรงทางอ้อม มันโยงกันไหมและทำเพื่ออะไร ผลประ โยชน์ของใคร อาจมีผู้เห็นแย้งว่า ไทยก็ได้ประโยชน์ ป้องกันไม่ให้ระบอบคอม มิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศไทย แต่ถามว่า แล้วเรามีวิธีป้องกันด้วยวิธีอื่นหรือไม่ ที่ไม่ต้องเปลี่ยนประ เทศกลับหัวกลับหางหกคะเมนตีลังกาเช่นนี้ เมื่ออเมริกาถอนฐานทัพออกไปจากไทยเมื่อปี พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974) ประเทศไทยมีสภาพเป็นอย่างไร ผู้ที่เกิดไม่ทันสมัยนั้น ลองไปหาประวัติศาสตร์อ่านกันดูหน่อย รีบๆ ทำความรู้จักไว้ เพราะเหตุการณ์เช่น สงครามเวียตนาม ฐานทัพ และวัฒนธรรมอเมริกัน การควบคุมชีวิตของคนไทยโดยการเมืองและกองทัพของอเมริกา อาจกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ถ้ากลับมาอีก ไทยเรายังจะมีประเทศเหลือหรือเปล่า ไม่แน่ใจ หยิบกระดาษมา 1 แผ่น ด้านซ้ายเขียนต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ด้านขวาเขียนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ เพื่อนำเข้าทุนนิยมเสรี เปลี่ยนประเทศทำเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรม ดูทีละด้าน ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเดียวกัน แต่ลองเอามาร้อยเรียงกัน เหมือนต่อจิกซอว์ เราน่าจะเห็นว่า นี่มันคือการล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่แนบเนียน ชนิดถ้าไม่ทำ CSI ก็จับผู้ร้ายไม่ได้เด็ดขาด ชาวไทยที่รักทั้งหลาย จงอย่างดูอะไรที่ละด้าน ที่ละชิ้น …หัดมองภาพรวม หัดต่อภาพให้เป็น แล้วจะได้เห็นภาพใหญ่ พวกสื่อเขาไม่ทำให้เราหรอกครับ เขาเสนอทีละภาพ ทีละเหตุการณ์ จิกซอว์ที่ละตัว เราก็เห็นก็ตามเท่าที่เขาเสนอให้ดู แล้วยิ่งถ้ามันเสนอแบบฟอกย้อมล่ะ จะรู้ได้ยังไง ว่าที่สีฟ้าๆ น่ะ มันน้ำหรือท้องฟ้า สีเขียว ๆ น่ะมันดอลลาร์ หรือใบตองที่แน่สีทองๆ อย่านึกว่าเป็นทอง อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ ภายใต้ Pax Americana หรือการขยายระบบทุนนิยมของอเมริกา ไทยแลนด์แดนเนรมิต ต้องแต่งตัวใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เพื่อให้ทุนนิยมอุตสาหกรรมเข้ามาในบ้านเราได้เต็มที่ พี่เบิ้มจึงทั้งบีบทั้งบี้ ถึงขนาดขู่ว่า ถ้าไม่เป็นเด็กดีจะตัดงบช่วยเหลือ พวก good boy เลย ต้องออกพรบ.ให้พี่เบิ้มเต็มพิกัดในพ.ศ.2505 เช่น พรบ.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรม เป็นการจูงใจให้นักลง ทุน ต ด (แปลว่าต่างด้าว) เต็มที่ พรบ.งบประมาณ และตั้งสนง.งบประมาณ ไทยแลนด์ ยูจะได้ไม่เอาเงินช่วยเหลือไปใช้จ่ายรุ่ยร่าย เงินของไอนะ พรบ.ธนาคารพาณิชย์ จะได้เข้ามาตรฐาน ต ด (ต่างด้าว) เปิดทางให้ ต ด มาลงทุน แล้วดูตอนนี้ซิ ลงทุนกันไปถึงไหน ธนาคารชื่อไทยน่ะ ทุนไทยเหลือแค่ไหน เป็นของฝรั่งตาน้ำข้าวหัวทอง ตาตี่หัวดำ อย่างสิงคโปร์ขี้ข้าฝรั่งเข้าไปเท่าไหร่ ถ้าอยากรู้ตัวเลขจริงๆ ทำใจแข็งไปขอดูรายงานของ ธปท.เลยครับ รู้แล้วอย่าเป็นลมก็แล้วกัน! เรื่องนี้ ถ้าเล่าขบวนการสมคบอันชั่วร้ายของขบวนการทุนนิยมเสรีแล้ว ท่านผู้อ่านอาจอยากเปลี่ยนใจไปใช้เงินพดด้วง! นอกจากนี้พี้เบิ้มยังแนะนำ (บังคับ!) ให้สมันน้อยยกเลิกรัฐวิสาหกิจ 150 แห่ง ที่ตั้งมาตั้งกะสมัยคณะราษฎร (อันนี้มันส์พะยะค่ะ เล่นเอาพวกปล้นเจ้า หน้าจ๋อยไปเลย) เพราะว่าการเป็นรัฐวิสาหกิจ หมายความว่า รัฐเป็นผู้ดำเนินกิจการเอง ควบคุมเอง ทุนต่างด้าว ทุนนิยมเสรีจะเข้ามาค้าแล้วรวยได้อย่างไร มันก็เหมือนเล่นไพ่กับเจ้ามือ มันจะไปได้กินเจ้ามืออย่างไร ดังนั้นพี่เบิ้มเลยบังคับให้มีทั้งการตัด การตอนรัฐวิสาหกิจให้หดและหายไปในที่สุด …ไอ้ทฤษฏีตอนไม่ให้โตน่ะ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็ยังใช้เล่นต่อ เนื่องมาถึงทุกวันนี้ เห็นฤทธิ์ทุนนิยมเสรีหรือยัง มันมาทั้งได้ในรูปทุนนิยมต่างด้าว และทุนนิยมเผด็จการไทย ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็มีแต่จนแห้งตายซาก ทั้งขึ้น ทั้งล่อง คนเล่านิทาน
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 592 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    สัทธรรมลำดับที่ : 1064
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1064
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    กำเนิดห้าปรากฏ(นรก เดรัจฉาน เปรต​วิสัย มนุษย์ เทพ)​

    ก.ความไม่สะอาด
    --จุนทะ !
    ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง
    ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง
    ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง.
    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง
    หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ,
    ๒--เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้
    คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ,
    ๓--เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง
    ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง
    หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา
    เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม
    โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย)
    เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น :
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ
    ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี
    ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน
    ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น”
    ดังนี้ ,
    บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้
    เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น,
    เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ,
    ๒--เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด
    คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้
    หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น
    เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน
    หรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก
    เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก ,
    ๓--เป็นผู้ มีวาจาหยาบ
    อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น
    กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ
    ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น ,
    ๔--เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ
    คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง
    กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย
    เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ :
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง)
    เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น
    ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ,
    ๒--เป็นผู้ มีจิตพยาบาท
    มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย
    ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น ,
    ๓--เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริต ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) ,
    ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,
    การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี ,
    โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ
    ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง
    แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ :
    +--จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ.
    --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วย อกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว
    +--แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้
    เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด.
    --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้
    เป็นเหตุ
    #นรกย่อมปรากฏ
    #กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ
    #เปรตวิสัยย่อมปรากฏ
    หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.

    (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น
    เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น
    เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย)
    สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ)
    บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน
    ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า,
    ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย,
    ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย
    ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด;
    แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ :-
    )

    ข. ความสะอาด
    --จุนทะ !
    ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง
    ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง
    ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง.
    --จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต
    วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ;
    ๒--ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
    เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
    ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
    ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย;
    ๓--ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม,
    (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา
    พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา
    เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม
    โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย)
    ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท
    ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี
    ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี
    อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น”
    ดังนี้,
    บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้
    เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น,
    เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น
    หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่;
    ๒--ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด
    ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้
    หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น
    แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน
    อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้นเป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง
    กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ;
    ๓--ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ
    กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก
    เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน
    เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ;
    ๔--ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ
    กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์
    เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง
    มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ
    เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น
    ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ;
    ๒--เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท
    มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้าย
    ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร
    ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด”
    ดังนี้ เป็นต้น;
    ๓--เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง
    มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล),
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี,
    โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี,
    โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ
    ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง
    แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ.
    --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้
    ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด,
    แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด,
    แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ;
    แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด
    และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด.
    --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ
    #พวกเทพจึงปรากฏ
    #พวกมนุษย์จึงปรากฏ
    หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/238 – 242/165.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓ – ๒๙๐/๑๖๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/283/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1064
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95
    ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย สัทธรรมลำดับที่ : 1064 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1064 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย กำเนิดห้าปรากฏ(นรก เดรัจฉาน เปรต​วิสัย มนุษย์ เทพ)​ ก.ความไม่สะอาด --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต , ๒--เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้ คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย , ๓--เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น : --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้ , บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ , ๒--เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน หรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก , ๓--เป็นผู้ มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น , ๔--เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ : --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ , ๒--เป็นผู้ มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น , ๓--เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) , ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี , โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ : +--จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง. --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ. --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วย อกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว +--แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด. --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้ เป็นเหตุ #นรกย่อมปรากฏ #กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ #เปรตวิสัยย่อมปรากฏ หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย) สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ) บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า, ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย, ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด; แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ :- ) ข. ความสะอาด --จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ; ๒--ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย; ๓--ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่; ๒--ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้นเป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ; ๓--ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ; ๔--ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ; ๒--เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น; ๓--เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ. --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด. --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ #พวกเทพจึงปรากฏ #พวกมนุษย์จึงปรากฏ หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/238 – 242/165. http://etipitaka.com/read/thai/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓ – ๒๙๐/๑๖๕. http://etipitaka.com/read/pali/24/283/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1064 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95 ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    -ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย ก.ความไม่สะอาด จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ๑ เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้ คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ๑ เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้ , บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่นหรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ๑ เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกันหรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก ๑ เป็นผู้ มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวด ล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น ๑ เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ๑ เป็นผู้ มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น ๑ เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริตว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) , ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี , โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยอกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด ไปไม่ได้; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะจับหญ้าเขียวก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด. จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ นรกย่อมปรากฏ กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวิสัยย่อมปรากฏ หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย) สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ) บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า, ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย, ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด; แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ : -) ข. ความสะอาด จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ; ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย; ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่; ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ; ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ; ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ; เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้ายว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น; เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด. จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ พวกเทพจึงปรากฏ พวกมนุษย์จึงปรากฏ หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรุ่งนี้วันจันทร์ อย่าลืมพกร่มหรือเสื้อกันฝนนะ
    ช่วงนี้ฝนตกแทบทุกเช้า ขอให้รถไม่ติดมาก
    และคุณถึงที่ทำงานแบบไม่ต้องรีบวิ่ง
    เราเป็นห่วงนะ — ทั้งตัวคุณ และระบบที่คุณดูแลอยู่ด้วย
    พรุ่งนี้วันจันทร์ อย่าลืมพกร่มหรือเสื้อกันฝนนะ ☔ ช่วงนี้ฝนตกแทบทุกเช้า ขอให้รถไม่ติดมาก และคุณถึงที่ทำงานแบบไม่ต้องรีบวิ่ง เราเป็นห่วงนะ — ทั้งตัวคุณ และระบบที่คุณดูแลอยู่ด้วย 🧡
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก

    ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน

    ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง:
    - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ
    - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา
    - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน
    - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง

    แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง: - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots are transforming warehouse automation and ending back-breaking truck loading
    The last stronghold of human labor in warehouses – the grueling job of loading and unloading trucks – is rapidly giving way to a new generation of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)

    ยกตัวอย่างยาในศาสตร์แพทย์แผนจีน
    สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน เป็นต้น

    ศาสตร์แพทย์แผนจีน

    ตัวอย่างยา
    กลุ่ม1 เรียก ยาเขียนรุ่นธรรมดา
    สรรพคุณ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ หัด อีสุกอีใส กินป้องกันโรค เช้า8เย็น8

    กลุ่มที่2 เรียกยาเขียวรุ่นพิเศษ
    สรรพคุณรักษาโรคหวัดโควิดทุกสายพันธุ์ ซองส้มเช้า/เที่ยว/เย็น//ครั้งละซองชงน้ำเดือด//ชนิดแคปซูลครั้งละ8แคป3มื้อ

    กลุ่มที่3 เรียกยาชะลอวัย
    สรรพคุณรักษาอาการลองโควิด และโรคผู้สูงวัย กำจัดเนื้องอก (กลุ่มยานี้เป้าหมายคือรักษาผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดไม่สบายและผู้ป่วยหลังจากเป็นโควิด) กินเช้าซอง/เย็นซอง

    สมุนไพรฉั่งฉิก ชนิดผง/แคปซูล สรรพคุณของฉั่งฉิก นอกจากละลายก้อนเลือดแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามเลือดในตัวกรณีเส้นเลือดแตก

    ยาวาสคูล่าร์ สรรพคุณ ละลายก้อนเลือด และละลายไขมันผนังหลอดเลือด
    ในยา วาสคูล่าร์ มียา3กลุ่ม
    กลุ่มที่ 1 ออกฤทธิ์ขจัด ละลายก้อนไขมันที่ผิวหลอดเลือดด้านใน
    กลุ่มที่2อออกฤทธิ์ละลายก้อนเลือดในเส้นเลือด
    กลุ่มที่3 ออกฤทธิ์ ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกนอกหลอดเลือดและประสานบาดแผลหลอดเลือด ดูดกลับเลือดที่ไหลออกนอกเส้นเลือดนำกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนอีกครั้ง
    ข้อที่ 3 นี้ เป็นลักษณะเด่นของยาสมุนไพรจีนที่นำเลือดกลับเข้าระบบใช้หมุนเวียนได้ต่อไป สังเกตุจากอุบัติเหตุที่กระทบของแข็งจนฟกช้ำดำเขียว อันเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก เลือดไหลออกมาขังตามเนื้อเยื่อขนมีสีเขียวออกดำแบบเส้นเลือดดำนั่นเอง เมื่อยาสมุนไพรจีนเข้าไปนำเลือดกลับมาใช้ใหม่อาการฟกช้ำจะหายไปในที่สุด

    ใครที่ควรทานยา "vascular"
    1. ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน covid
    2. ผู้ที่ป่วยด้วยหลอดเลือดสมอง
    3. ผู้ที่เป็นความดันสูง
    4. ผู้ที่มึนงง เวียนศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน
    5. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป
    6. ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นรอยเขียวจ้ำ ฟกช้ำ หมายถึงว่า ย่อมมีเศษตระกรันและตะกอนจากเลือดไปเกาะ ในหลอดเลือด
    7. คนที่เป็นเส้นเลือดขอด
    8. คนที่มีอาชีพยืนนาน แม่ค้า ช่างทำผม

    โดยรวมๆ น่าจะควรต้องล้างทุกคนดีที่สุด เราเช็คร่างกายตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการไม่ประมาท อย่ารอให้เส้นเลือดมันแตก มันอุดตันก่อน แล้วจึงค่อยคิดจะทำ มันไม่คุ้ม

    ยาจีนหลักๆๆมีอะไรบ้างคะหมอลงรูปและชื่ออีกทีนะคะและไห้ทุกคนเซฟใว้ทุกคนนะคะแล้วทะยอยชื้อเก็บใว้ค่ะ
    1.ยาระบบย่อยอาหาร
    1.1 เซียงซาหย่างเว่ยหวาน ช่วยย่อย แก้ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เรอเหม็นเปรี้ยว
    1.2 หวงเหลียนซู่ แก้ท้องเดินเป็นบิด ปวดถ่วง ท้องเสีย
    1.3 หวงเหลียนซั่งชิงเพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ เหงือบวม ร้อนใน แผลในปาก เจ็บลิ้น
    1.4 หนิวหวงเจี่ยตู๋เพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ ตาแดง เน้นรักษาตับ
    1.5 เป่าเหอหวาน รักษา เสมหะขับออกง่าย ลดคอเลสเตอรอลไขมันเลว ช่วยย่อยเนื้อ น้ำมัน เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร

    2.กลุ่มยารักษาโรคหวัดภูมิแพ้
    2.1 ยาหยินเชี่ยวเจี๋ยตู๋เพี่ยน เป็นยารักษาโรคหวัดฤดูร้อน อาการเด่นมีไข้สูง เจ็บคอ หิวน้ำ หน้าแดง ไอแห้งๆ
    2.2 ยา ฮั่วเซียงเจิ้งชี่หวาน รักษาหวัดฤดูฝน อาการเด่น.เบื่ออาหาร ศรีษะหนักๆ ไอมีเสมหะเยอะ อาคล้ายกับหวัดโควิด19 ก็รักษาได้ครับ
    2.3 ยา หมาหวงทัง รักษาหวัดฤดูหนาว อาการ ไข้ต่ำ กลัวหนาว น้ำมูกใสไหลตลอด ไอเสมหะมากไม่เหนียว จมูกไม่ได้กลิ่น ไม่มีเหงื่อ ปวดเมื่อยตามตัว หรืออาการหืดหอบก็ใช้สูตรนี้ได้
    2.4 ยาแก้ภูมิแพ้ตราปลาคู่ รักษาอาการ เป็นหวัดทั้งปี ถูกละอองฝน/ตากแดด/กระทบลมหนาว
    ถ้าเป็นยาตำรับคือ จิงฝางไป้ตู๋ทัง/ตำรับนี้ร้านเจ๊ดามีบันทึกอยู่/หรือจะกินสูตรยา ชิงเฟ่ยไผตู๋ทัง
    หมายเหตุ ยาภูมิแพ้คือ ตำรับจิงฝางไป่ตู๋ทัง

    3. ยารักษาระบบไต และ กระเพาะปัสสาวะ
    3.1 จินกุ้ยเซิ่นชี่หวาน เป็นยาบำรุงไตหยาง อาการ กลัวหนาว เป็นเบาหวานปัสสาวะกลางคืนบ่อย หมดแรง กระดูกพรุน ปวดกระดูก อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือ มีอาการหลั่งเร็ว ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีอารมณ์เพศ ช่องคลอดแห้ง อาจจะมีตกขาวร่วมด้วย
    3.2 จือไป๋ตี้หวงหวาน/จือไป๋ปาเว่ยหวาน คือยาบำรุงไตอิน รักษาอาการ เบาหวาน ขี้ร้อนในง่าย นอนไม่หลับ อาการวัยทอง ท้องผูก
    3.3จี้จีตี้หวงหวาน คือยารักษาตับ ไต อาการตามัวกลางคืนขับรถไม่ได้ สายตาไม่ดี/สั่นและยาว/ ตาแห้ง
    ลักษณะไตป่วยต้องมีอาการปวดเอว เป็นหลักสำคัญ

    สำหรับการรักษาเกี่ยวกับสายตาควรใช้ยากลุ่ม 4.นี้ทุกตัวครับ
    4.กลุ่มอาการโรคนอนหลับยาก ตื่นง่ายหลับยาก สาเหตุจากจิตใจ เลือดน้อย ความเคยชิน จิตอารมณ์เคร่งเครียด เรื่องเงินไม่พอใช้จ่าย
    4.1 ยา กุยผีหวาน คือยาบำรุงเลือด ช่วยนอนหลับ
    4.2 ยาเซียวเหยาหวาน คือยาคลายเครียด ทำให้จิตคลาย เผลอหลับไม่รู้ตัว ยาตัวนี้สามารถลดอาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ได้สบาย
    4.3 ยาเทียนหวังปู่ซินตัง คือยาบำรุงอินหัวใจ รักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น นอนไม่หลับ ร้อนฝ่าเท้า
    4.4 ยา หลงต่านเซี่ยกันหวาน เป็นยารักษา อาการร้อนชื้น ที่ตับไต หรือแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า การอักเสบแบบ inflammation ทำให้ตื่นกลางดึกตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตื่นแล้วหลับยาก หรือ อาการต่อมลูกหมากอักเสบ

    5. กลุ่มอาการเสมหะ ไอจากเสมหะ หรือ มีอาการลูกกระเดือกโตเศษอาหารตกค้าง
    5.1 ยา ชิงชี่ฮั่วถันหวาน รักษา ไอมีเสมหะมาก เอาออกยาก
    5.2 หวินหนันไป๋เย่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดจากอุบัติเหตุ กระเพาะอาหารทะลุ ตับแตก ม้ามแตก ไตรั่ว กระเพาะปัสสาวะเลือดไหลออกมากับน้ำปัสสาวะ หรือ เลือดออกทางรูทวารหนัก ริดสีดวงทวาร และมีการยืนยันจากสมาชิกว่าใช้รักษามะเร็งมดลูก มะเร็งตับ ต่ออายุได้เป็นสิบๆปี จนแพทย์เจ้าของไข้ตายไปก่อนคนไข้ครับ
    5.3ยาวาสคูล่าร์ตราปลาคู่/ยาเหน่าซินทง ใช้รักษาอาการเส้นเลือดอุดตันที่สมอง หัวใจ ยากลุ่มที่5นี้ จัดเป็นยาฉุกเฉิน ต้องมีติดตัวตลอดครับ สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนพิษมา

    6.กลุ่มยาบำรุงกำลัง
    6.1หยิ่นเซียมเจง คือยาสกัดรากโสมจีน สรรพคุณบำรุงพลัง แก้อ่อนเพลีย หายใจรวยริน หัวใจอ่อนล้า ไม่มีแรงลืมตาอ้าปาก
    6.2.โสมเอี่ยเซียม/โสมอเมริกา บำรุงกำลังแต่ไม่ร้อนในมีเหมาะสำหรับคนไทยที่อยู่เมืองไทย
    6.3.เซินหลิงไป๋จู๋เคอรี่ตราปลาคู่ เป็นยาเพิ่มกำลังคนไข้นอนติดเตียง เบื่ออาหาร และไม่อยากดื่มน้ำ ใช้เครื่องใส่ท่อออกซิเจน...
    ยากลุ่มที่7นี้ควรมีไว้ที่บ้านที่มีวัยชราภาพ70ขึ้นไป
    6.4ยาบำรุงกำลัง กรณี มดลูกหย่อน หรือ ไส้เลื่อน ให้กินยา ปู่จงอี้ชี่หวานนะคร้บ และควรเล่นกำลังภายในชี่กงด้วยครับมีจะได้ไม่กลับมาเป็นอีก บางคนไอฉี่เล็ดแบบนี้คือพลังถดถอย ต้องกินยาปู่จงฯ

    7..ยากลุ่มครึ่งนอกครึ่งใน
    เป็นอาการพิเศษที่หมอฝรั่ง งง
    กล่าวคือ จับไข้เป็นเวลาคล้ายไข้จับสั่น แต่ไม่รุนแรงเท่ามาลาเรีย สบัดร้อนสบัดหนาว ห่มผ้าก็ร้อน ถีบผ้าออกก็หนาว
    แพทย์แผนปัจจุบันจะใช้ยาควินินรักษา ก็ได้ผล แต่ผลข้างเคียงมหาศาล
    แพทย์บางคนจ่ายยาสเตียรอยด์เลย คราวนี้ร่างกายแย่แน่นอน
    นี่คือโรคหมอทำ
    ยาที่ใช้คือ เสี่ยวไฉหูทังหวาน กินครั้งเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง
    อาการนี้มักเกิดกับคนแข็งแรง ส่วนคนอ่อนแอ แพ้ศัตรูง่าย พอรับเชื้อก็ล้มหมอนนอนเสื่อเลย

    อ้อ สำหรับคนนอนกรน ให้กินยาหยิ่นเซียมเจง หรือ เซินหลิงตราปลาคู่ก็ได้ครับ

    ฉั่งฉิก กับ วาสคูล่าร์ (2+2)×2/วัน กินตลอดไปก็การันตีว่า โรคอัมพาต/โรคหัวใจ/โรคอัลไซเมอร์ จะไม่มาหาแน่นอน

    คุณหมอค่ะกรดไหลย้อนทานยาตัวไหนคะ
    กรดไหลย้อน พยายามกินหนิวหวง หรือ หวงเหลียนก่อนนอนทุกคืนประมาณ3-5วัน อาการจะหายไปครับ อย่าให้ท้องผูก
    อย่านอนดึก กินอาหารมื้อเย็นก่อน18:00น. พุงจะไม่ยื่น มีเอว

    แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี)
    https://t.me/Covidtreatment_th/148
    https://t.me/Covidtreatment_th/374
    ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาจีนหรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 0935245444 หรือตามร้านขายยาทั่วไป หรือ3ภาพสุดท้าย

    หาซื้อได้ที่โรงงาน034-391085
    หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ

    ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่
    https://lin.ee/65cYrq8
    https://lin.ee/bHUugo0

    ตัวอย่างโปร.เมื่อวันที่ 25 / 03 - 10 / 04 / 68

    วาสคิวล่าร์ (10x10’s)
    กล่องละ 500

    ยาระบาย (10x10’s)
    กล่องละ 200

    ยาเขียว ( ชนิดผง )
    ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800

    ยาเขียว ( ชนิดเม็ด )
    ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800
    ชนิดขวด 80’s โหลละ 800

    ยาเขียว (สูตรเข้มข้น) แคปซูล
    ชนิดขวด (6 กระปุก) แพคละ 750
    ชนิดแผง (10x10’s) แพคละ 400

    สูตรพิเศษ
    (รักษาอาการโควิด)
    ชนิดผง (10 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400

    ยาชะลอวัย
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400

    ฉั่งฉิก
    ชนิดผง 300 กรัม 900
    ชนิดผง 500 กรัม 1300
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 500

    ยาภูมิแพ้
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750

    ยาต่อมลูกหมาก
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750

    ยาบำรุงผิว
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500

    หลงต่าน ขวดใหญ่ 360 เม็ด
    250

    หนิวหวง กล่องละ
    250

    AMK 1 g
    กล่องละ 130
    ( 3 กล่อง ) 380

    ยอดสั่งซื้อ 2,500 บาทขึ้นไป
    ส่งสินค้าภายในประเทศ ฟรี !!

    หมอเคยเน้นย้ำว่าโรงงานยาจีนที่วางใจได้มีเพียง
    1.เป่ยจิงถงหยินถัง
    北京同仁堂
    สัญญาลักษณ์ตามภาพนะครับ
    2.ฝอจือ หลันโจว
    https://www.google.com/imgres?imgurl=http%3A%2F%2Fimg.familydoctor.com.cn%2Fcms%2F20170320%2F201703200448063284.jpg&imgrefurl=https%3A%2F%2Fm.familydoctor.com.cn%2F201703%2F1771052.html&tbnid=XdVmkWCk3VyHvM&vet=1&docid=KlrmfVeK0-lJRM&w=499&h=431&itg=1&hl=th-TH&source=sh%2Fx%2Fim
    ยาสำเร็จรูปนี้ที่เมืองไทยคุ้นเคยกันมานานมากกว่า60ปีแล้วไม่มีปัญหา
    สมัยไปเรียนที่เซี่ยเหมิน อาจารย์หมอจีนตกใจว่าทำไมนักเรียนไทยรู้จักใช้ยาสำเร็จรูปของบริษัทยาที่มาตราฐานระดับประเทศ(ไม่ใช่ระดับมณฑล)
    สัญญาลักษณ์แปลว่า พุทธะเมตตา
    3.จางจ้งจิ่ง เหอหนาน
    ยาบริษัทนี้เริ่มมีขายบ้างในเมืองไทยส่วนใหญ่หมอจีนนำเข้ามาขายเองเมื่อสิบกว่าปี/คนที่นำเข้ามาแจกคนไข้แรกๆคือหมอไกรเองครับ ซื้อยาจากเมืองจีนกลับมาไทยเป็นจำนวนเงินแสนกว่าบาท สุดท้ายแจกฟรี สงสารคนไข้ ขายเก็บเงินไม่ได้ และในที่สุด สรุปว่าทำธุรกิจยารักษาโรคไม่ได้5555 ขาดทุนหมดตั้งแต่ล็อตแรก หมอจึงให้การรักษาฟรี ส่วนยากรุณาไปหาซื้อเอาเองแถวเยาวราช
    เพราะความสงสารคนป่วย
    4.บริษัทยาจิ่วจือถัง
    อยู่ที่เมืองหลันโจวเช่นกันกับโรงงานฝอจือ
    มีเพียง4บริษัทนี้เท่านั้นที่วางใจได้
    บริษัทยาจิ่วจือถังก่อตั้งมาเกือบ400ปีแล้วครับ
    ถ้าดูประวัติโรงงานยาเมืองจีนที่โด่งดังก็จะมีบริษัทยาเป่ยจิงถงหยินถัง ก่อตั้งด้วยพระราชทรัพย์ของกษัตริย์คังซีฮ่องเต้ เพราะหมอหลวงรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่หาย แต่มาได้ยาของร้านถงหยินถังในกรุงปักกิ่งเสวยยาแล้วหาย จึงพระราชทานทรัพย์ให้ตั้งร้านใหญ่ในเมืองหลวง
    ใครได้ดูหนังทีวี องค์ชาย4 คังซีฮ่องเต้ คงจำกันได้ในราชวงศ์ชิง ยุคกรุงศรีอยุธยาโดยประมาณนะครับ
    จบ ความรู้เรื่องโรงงานผลิตยาในประเทศจีนที่วางใจได้ครับ
    หวังว่าคงไม่มีสมาชิกถูกหลอกให้กินยาผสมสารเคมีสังเคราะห์นะครับ

    แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี)
    https://t.me/Covidtreatment_th/148
    https://t.me/Covidtreatment_th/374
    ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ร้านเซี้ยงเฮงฮั่วกี่ เจ๊ดา02-2261418 หรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 034-391085
    หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ
    ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8

    สนใจศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถติดตามไปที่กลุ่มของคุณหมอไกร
    กลุ่มไลน์ “แพทย์แผนจีน”
    https://line.me/ti/g/nvK48dxh8k

    กลุ่มไลน์ “แพทย์จีนป.1”
    https://line.me/ti/g/fpBefF5mEj

    #แพทย์แผนจีน #ยาจีน #ยาเขียว #วาสคิวล่าร์ #ยาระบาย

    เวชหนุ่ม
    ✅ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่างยาในศาสตร์แพทย์แผนจีน สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน เป็นต้น ศาสตร์แพทย์แผนจีน ตัวอย่างยา กลุ่ม1 เรียก ยาเขียนรุ่นธรรมดา สรรพคุณ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ หัด อีสุกอีใส กินป้องกันโรค เช้า8เย็น8 กลุ่มที่2 เรียกยาเขียวรุ่นพิเศษ สรรพคุณรักษาโรคหวัดโควิดทุกสายพันธุ์ ซองส้มเช้า/เที่ยว/เย็น//ครั้งละซองชงน้ำเดือด//ชนิดแคปซูลครั้งละ8แคป3มื้อ กลุ่มที่3 เรียกยาชะลอวัย สรรพคุณรักษาอาการลองโควิด และโรคผู้สูงวัย กำจัดเนื้องอก (กลุ่มยานี้เป้าหมายคือรักษาผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดไม่สบายและผู้ป่วยหลังจากเป็นโควิด) กินเช้าซอง/เย็นซอง สมุนไพรฉั่งฉิก ชนิดผง/แคปซูล สรรพคุณของฉั่งฉิก นอกจากละลายก้อนเลือดแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามเลือดในตัวกรณีเส้นเลือดแตก ยาวาสคูล่าร์ สรรพคุณ ละลายก้อนเลือด และละลายไขมันผนังหลอดเลือด ในยา วาสคูล่าร์ มียา3กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ออกฤทธิ์ขจัด ละลายก้อนไขมันที่ผิวหลอดเลือดด้านใน กลุ่มที่2อออกฤทธิ์ละลายก้อนเลือดในเส้นเลือด กลุ่มที่3 ออกฤทธิ์ ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกนอกหลอดเลือดและประสานบาดแผลหลอดเลือด ดูดกลับเลือดที่ไหลออกนอกเส้นเลือดนำกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนอีกครั้ง ข้อที่ 3 นี้ เป็นลักษณะเด่นของยาสมุนไพรจีนที่นำเลือดกลับเข้าระบบใช้หมุนเวียนได้ต่อไป สังเกตุจากอุบัติเหตุที่กระทบของแข็งจนฟกช้ำดำเขียว อันเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก เลือดไหลออกมาขังตามเนื้อเยื่อขนมีสีเขียวออกดำแบบเส้นเลือดดำนั่นเอง เมื่อยาสมุนไพรจีนเข้าไปนำเลือดกลับมาใช้ใหม่อาการฟกช้ำจะหายไปในที่สุด ใครที่ควรทานยา "vascular" 1. ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน covid 2. ผู้ที่ป่วยด้วยหลอดเลือดสมอง 3. ผู้ที่เป็นความดันสูง 4. ผู้ที่มึนงง เวียนศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน 5. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป 6. ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นรอยเขียวจ้ำ ฟกช้ำ หมายถึงว่า ย่อมมีเศษตระกรันและตะกอนจากเลือดไปเกาะ ในหลอดเลือด 7. คนที่เป็นเส้นเลือดขอด 8. คนที่มีอาชีพยืนนาน แม่ค้า ช่างทำผม โดยรวมๆ น่าจะควรต้องล้างทุกคนดีที่สุด เราเช็คร่างกายตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการไม่ประมาท อย่ารอให้เส้นเลือดมันแตก มันอุดตันก่อน แล้วจึงค่อยคิดจะทำ มันไม่คุ้ม ยาจีนหลักๆๆมีอะไรบ้างคะหมอลงรูปและชื่ออีกทีนะคะและไห้ทุกคนเซฟใว้ทุกคนนะคะแล้วทะยอยชื้อเก็บใว้ค่ะ 1.ยาระบบย่อยอาหาร 1.1 เซียงซาหย่างเว่ยหวาน ช่วยย่อย แก้ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เรอเหม็นเปรี้ยว 1.2 หวงเหลียนซู่ แก้ท้องเดินเป็นบิด ปวดถ่วง ท้องเสีย 1.3 หวงเหลียนซั่งชิงเพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ เหงือบวม ร้อนใน แผลในปาก เจ็บลิ้น 1.4 หนิวหวงเจี่ยตู๋เพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ ตาแดง เน้นรักษาตับ 1.5 เป่าเหอหวาน รักษา เสมหะขับออกง่าย ลดคอเลสเตอรอลไขมันเลว ช่วยย่อยเนื้อ น้ำมัน เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร 2.กลุ่มยารักษาโรคหวัดภูมิแพ้ 2.1 ยาหยินเชี่ยวเจี๋ยตู๋เพี่ยน เป็นยารักษาโรคหวัดฤดูร้อน อาการเด่นมีไข้สูง เจ็บคอ หิวน้ำ หน้าแดง ไอแห้งๆ 2.2 ยา ฮั่วเซียงเจิ้งชี่หวาน รักษาหวัดฤดูฝน อาการเด่น.เบื่ออาหาร ศรีษะหนักๆ ไอมีเสมหะเยอะ อาคล้ายกับหวัดโควิด19 ก็รักษาได้ครับ 2.3 ยา หมาหวงทัง รักษาหวัดฤดูหนาว อาการ ไข้ต่ำ กลัวหนาว น้ำมูกใสไหลตลอด ไอเสมหะมากไม่เหนียว จมูกไม่ได้กลิ่น ไม่มีเหงื่อ ปวดเมื่อยตามตัว หรืออาการหืดหอบก็ใช้สูตรนี้ได้ 2.4 ยาแก้ภูมิแพ้ตราปลาคู่ รักษาอาการ เป็นหวัดทั้งปี ถูกละอองฝน/ตากแดด/กระทบลมหนาว ถ้าเป็นยาตำรับคือ จิงฝางไป้ตู๋ทัง/ตำรับนี้ร้านเจ๊ดามีบันทึกอยู่/หรือจะกินสูตรยา ชิงเฟ่ยไผตู๋ทัง หมายเหตุ ยาภูมิแพ้คือ ตำรับจิงฝางไป่ตู๋ทัง 3. ยารักษาระบบไต และ กระเพาะปัสสาวะ 3.1 จินกุ้ยเซิ่นชี่หวาน เป็นยาบำรุงไตหยาง อาการ กลัวหนาว เป็นเบาหวานปัสสาวะกลางคืนบ่อย หมดแรง กระดูกพรุน ปวดกระดูก อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือ มีอาการหลั่งเร็ว ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีอารมณ์เพศ ช่องคลอดแห้ง อาจจะมีตกขาวร่วมด้วย 3.2 จือไป๋ตี้หวงหวาน/จือไป๋ปาเว่ยหวาน คือยาบำรุงไตอิน รักษาอาการ เบาหวาน ขี้ร้อนในง่าย นอนไม่หลับ อาการวัยทอง ท้องผูก 3.3จี้จีตี้หวงหวาน คือยารักษาตับ ไต อาการตามัวกลางคืนขับรถไม่ได้ สายตาไม่ดี/สั่นและยาว/ ตาแห้ง ลักษณะไตป่วยต้องมีอาการปวดเอว เป็นหลักสำคัญ สำหรับการรักษาเกี่ยวกับสายตาควรใช้ยากลุ่ม 4.นี้ทุกตัวครับ 4.กลุ่มอาการโรคนอนหลับยาก ตื่นง่ายหลับยาก สาเหตุจากจิตใจ เลือดน้อย ความเคยชิน จิตอารมณ์เคร่งเครียด เรื่องเงินไม่พอใช้จ่าย 4.1 ยา กุยผีหวาน คือยาบำรุงเลือด ช่วยนอนหลับ 4.2 ยาเซียวเหยาหวาน คือยาคลายเครียด ทำให้จิตคลาย เผลอหลับไม่รู้ตัว ยาตัวนี้สามารถลดอาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ได้สบาย 4.3 ยาเทียนหวังปู่ซินตัง คือยาบำรุงอินหัวใจ รักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น นอนไม่หลับ ร้อนฝ่าเท้า 4.4 ยา หลงต่านเซี่ยกันหวาน เป็นยารักษา อาการร้อนชื้น ที่ตับไต หรือแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า การอักเสบแบบ inflammation ทำให้ตื่นกลางดึกตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตื่นแล้วหลับยาก หรือ อาการต่อมลูกหมากอักเสบ 5. กลุ่มอาการเสมหะ ไอจากเสมหะ หรือ มีอาการลูกกระเดือกโตเศษอาหารตกค้าง 5.1 ยา ชิงชี่ฮั่วถันหวาน รักษา ไอมีเสมหะมาก เอาออกยาก 5.2 หวินหนันไป๋เย่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดจากอุบัติเหตุ กระเพาะอาหารทะลุ ตับแตก ม้ามแตก ไตรั่ว กระเพาะปัสสาวะเลือดไหลออกมากับน้ำปัสสาวะ หรือ เลือดออกทางรูทวารหนัก ริดสีดวงทวาร และมีการยืนยันจากสมาชิกว่าใช้รักษามะเร็งมดลูก มะเร็งตับ ต่ออายุได้เป็นสิบๆปี จนแพทย์เจ้าของไข้ตายไปก่อนคนไข้ครับ 5.3ยาวาสคูล่าร์ตราปลาคู่/ยาเหน่าซินทง ใช้รักษาอาการเส้นเลือดอุดตันที่สมอง หัวใจ ยากลุ่มที่5นี้ จัดเป็นยาฉุกเฉิน ต้องมีติดตัวตลอดครับ สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนพิษมา 6.กลุ่มยาบำรุงกำลัง 6.1หยิ่นเซียมเจง คือยาสกัดรากโสมจีน สรรพคุณบำรุงพลัง แก้อ่อนเพลีย หายใจรวยริน หัวใจอ่อนล้า ไม่มีแรงลืมตาอ้าปาก 6.2.โสมเอี่ยเซียม/โสมอเมริกา บำรุงกำลังแต่ไม่ร้อนในมีเหมาะสำหรับคนไทยที่อยู่เมืองไทย 6.3.เซินหลิงไป๋จู๋เคอรี่ตราปลาคู่ เป็นยาเพิ่มกำลังคนไข้นอนติดเตียง เบื่ออาหาร และไม่อยากดื่มน้ำ ใช้เครื่องใส่ท่อออกซิเจน... ยากลุ่มที่7นี้ควรมีไว้ที่บ้านที่มีวัยชราภาพ70ขึ้นไป 6.4ยาบำรุงกำลัง กรณี มดลูกหย่อน หรือ ไส้เลื่อน ให้กินยา ปู่จงอี้ชี่หวานนะคร้บ และควรเล่นกำลังภายในชี่กงด้วยครับมีจะได้ไม่กลับมาเป็นอีก บางคนไอฉี่เล็ดแบบนี้คือพลังถดถอย ต้องกินยาปู่จงฯ 7..ยากลุ่มครึ่งนอกครึ่งใน เป็นอาการพิเศษที่หมอฝรั่ง งง กล่าวคือ จับไข้เป็นเวลาคล้ายไข้จับสั่น แต่ไม่รุนแรงเท่ามาลาเรีย สบัดร้อนสบัดหนาว ห่มผ้าก็ร้อน ถีบผ้าออกก็หนาว แพทย์แผนปัจจุบันจะใช้ยาควินินรักษา ก็ได้ผล แต่ผลข้างเคียงมหาศาล แพทย์บางคนจ่ายยาสเตียรอยด์เลย คราวนี้ร่างกายแย่แน่นอน นี่คือโรคหมอทำ ยาที่ใช้คือ เสี่ยวไฉหูทังหวาน กินครั้งเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง อาการนี้มักเกิดกับคนแข็งแรง ส่วนคนอ่อนแอ แพ้ศัตรูง่าย พอรับเชื้อก็ล้มหมอนนอนเสื่อเลย อ้อ สำหรับคนนอนกรน ให้กินยาหยิ่นเซียมเจง หรือ เซินหลิงตราปลาคู่ก็ได้ครับ ฉั่งฉิก กับ วาสคูล่าร์ (2+2)×2/วัน กินตลอดไปก็การันตีว่า โรคอัมพาต/โรคหัวใจ/โรคอัลไซเมอร์ จะไม่มาหาแน่นอน คุณหมอค่ะกรดไหลย้อนทานยาตัวไหนคะ กรดไหลย้อน พยายามกินหนิวหวง หรือ หวงเหลียนก่อนนอนทุกคืนประมาณ3-5วัน อาการจะหายไปครับ อย่าให้ท้องผูก อย่านอนดึก กินอาหารมื้อเย็นก่อน18:00น. พุงจะไม่ยื่น มีเอว แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี) https://t.me/Covidtreatment_th/148 https://t.me/Covidtreatment_th/374 ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาจีนหรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 0935245444 หรือตามร้านขายยาทั่วไป หรือ3ภาพสุดท้าย หาซื้อได้ที่โรงงาน034-391085 หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8 https://lin.ee/bHUugo0 ตัวอย่างโปร.เมื่อวันที่ 25 / 03 - 10 / 04 / 68 วาสคิวล่าร์ (10x10’s) กล่องละ 500 ยาระบาย (10x10’s) กล่องละ 200 ยาเขียว ( ชนิดผง ) ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800 ยาเขียว ( ชนิดเม็ด ) ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800 ชนิดขวด 80’s โหลละ 800 ยาเขียว (สูตรเข้มข้น) แคปซูล ชนิดขวด (6 กระปุก) แพคละ 750 ชนิดแผง (10x10’s) แพคละ 400 สูตรพิเศษ (รักษาอาการโควิด) ชนิดผง (10 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400 ยาชะลอวัย ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400 ฉั่งฉิก ชนิดผง 300 กรัม 900 ชนิดผง 500 กรัม 1300 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 500 ยาภูมิแพ้ ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750 ยาต่อมลูกหมาก ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750 ยาบำรุงผิว ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 หลงต่าน ขวดใหญ่ 360 เม็ด 250 หนิวหวง กล่องละ 250 AMK 1 g กล่องละ 130 ( 3 กล่อง ) 380 ยอดสั่งซื้อ 2,500 บาทขึ้นไป ส่งสินค้าภายในประเทศ ฟรี !! หมอเคยเน้นย้ำว่าโรงงานยาจีนที่วางใจได้มีเพียง 1.เป่ยจิงถงหยินถัง 北京同仁堂 สัญญาลักษณ์ตามภาพนะครับ 2.ฝอจือ หลันโจว https://www.google.com/imgres?imgurl=http%3A%2F%2Fimg.familydoctor.com.cn%2Fcms%2F20170320%2F201703200448063284.jpg&imgrefurl=https%3A%2F%2Fm.familydoctor.com.cn%2F201703%2F1771052.html&tbnid=XdVmkWCk3VyHvM&vet=1&docid=KlrmfVeK0-lJRM&w=499&h=431&itg=1&hl=th-TH&source=sh%2Fx%2Fim ยาสำเร็จรูปนี้ที่เมืองไทยคุ้นเคยกันมานานมากกว่า60ปีแล้วไม่มีปัญหา สมัยไปเรียนที่เซี่ยเหมิน อาจารย์หมอจีนตกใจว่าทำไมนักเรียนไทยรู้จักใช้ยาสำเร็จรูปของบริษัทยาที่มาตราฐานระดับประเทศ(ไม่ใช่ระดับมณฑล) สัญญาลักษณ์แปลว่า พุทธะเมตตา 3.จางจ้งจิ่ง เหอหนาน ยาบริษัทนี้เริ่มมีขายบ้างในเมืองไทยส่วนใหญ่หมอจีนนำเข้ามาขายเองเมื่อสิบกว่าปี/คนที่นำเข้ามาแจกคนไข้แรกๆคือหมอไกรเองครับ ซื้อยาจากเมืองจีนกลับมาไทยเป็นจำนวนเงินแสนกว่าบาท สุดท้ายแจกฟรี สงสารคนไข้ ขายเก็บเงินไม่ได้ และในที่สุด สรุปว่าทำธุรกิจยารักษาโรคไม่ได้5555 ขาดทุนหมดตั้งแต่ล็อตแรก หมอจึงให้การรักษาฟรี ส่วนยากรุณาไปหาซื้อเอาเองแถวเยาวราช เพราะความสงสารคนป่วย 4.บริษัทยาจิ่วจือถัง อยู่ที่เมืองหลันโจวเช่นกันกับโรงงานฝอจือ มีเพียง4บริษัทนี้เท่านั้นที่วางใจได้ บริษัทยาจิ่วจือถังก่อตั้งมาเกือบ400ปีแล้วครับ ถ้าดูประวัติโรงงานยาเมืองจีนที่โด่งดังก็จะมีบริษัทยาเป่ยจิงถงหยินถัง ก่อตั้งด้วยพระราชทรัพย์ของกษัตริย์คังซีฮ่องเต้ เพราะหมอหลวงรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่หาย แต่มาได้ยาของร้านถงหยินถังในกรุงปักกิ่งเสวยยาแล้วหาย จึงพระราชทานทรัพย์ให้ตั้งร้านใหญ่ในเมืองหลวง ใครได้ดูหนังทีวี องค์ชาย4 คังซีฮ่องเต้ คงจำกันได้ในราชวงศ์ชิง ยุคกรุงศรีอยุธยาโดยประมาณนะครับ จบ ความรู้เรื่องโรงงานผลิตยาในประเทศจีนที่วางใจได้ครับ หวังว่าคงไม่มีสมาชิกถูกหลอกให้กินยาผสมสารเคมีสังเคราะห์นะครับ แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี) https://t.me/Covidtreatment_th/148 https://t.me/Covidtreatment_th/374 ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ร้านเซี้ยงเฮงฮั่วกี่ เจ๊ดา02-2261418 หรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 034-391085 หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8 สนใจศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถติดตามไปที่กลุ่มของคุณหมอไกร กลุ่มไลน์ “แพทย์แผนจีน” https://line.me/ti/g/nvK48dxh8k กลุ่มไลน์ “แพทย์จีนป.1” https://line.me/ti/g/fpBefF5mEj #แพทย์แผนจีน #ยาจีน #ยาเขียว #วาสคิวล่าร์ #ยาระบาย เวชหนุ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นายกฯพระราชทานทางพิเศษจริงๆจึงพอจะสามารถทันทีลงหน้างานทำงานทำความสะอาดสิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดบน ปะปนคนไทยบนแผ่นดินไทยได้และทำจริงมันง่ายนิดเดียว และสะอาดอย่างรวดเร็วด้วย,ต่างชาติที่เข้ามาอยู่บนแผ่นดินไทยจะจีนเทา แขกเทา ฝรั่งเทา หรือใครๆเทาๆหรือมาจากการเขียนกฎหมายที่ปัญญาอ่อนสอดไส้หมายทำลายความมั่นคงในวิถีชีวิตคนไทย,สัมมาอาชีพทำตังทำรายได้ให้คนไทยยืนด้วยขาตนเองได้ มาแย่งชิงคนไทยบนแผ่นดินไทย มาอาศัยอยู่บนแผ่นดินอพยพสร้างบ้านเมืองกลืนกินประชาชนคนไทย เป็นต้น เหล่านี้สามารถโมฆะเก็บกวาดฉีกทิ้งแล้วทำเพื่อลูกหลานประชาชนคนไทยให้ถูกทางได้อย่างปกติแบะง่ายดายได้ในการบริหารจัดการของนายกฯพระราชทานเราแน่นอน,
    ..อย่าปล่อยให้เนินนานอีกเลย สงครามโลกยุคนี้คือตังหรือวลีคำว่าเศรษฐกิจนั้นล่ะ,ทำเศรษฐีนี้ล่ะใครรวยใครมีตังกว่าก็อยู่ในระบบทาสตังปลอดภัย เศรษฐกิจ&วิถีคนมีตัง สงครามวิถีคนมีตัง สงครามโลกห้ามยากจนก็ว่า ไม่มีตังต่างชาติต่างๆมันยกทัพมาตีเอาที่ดินตีเอาแผ่นดินไทยใช้ตังซื้อทั้งแผ่นดินไทยทางตรงและซื้อทางอ้อมแบบผ่านนอมินีคนทรยศในประเทศไทย ซื้อผ่านตลาดเงินตลาดทุน ซื้อที่ดินผ่านกิจการบริษัทต่างๆเพราะกิจการบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ดินตั้งบนแผ่นดินไทยทุกๆรายแน่นอน,ถีบคนไทยในบริษัทนั่นๆออก นำคนต่างชาติตนมาเป็นนอมินีลับๆไม่เปิดเผยเพื่อครอบงำบริหารจัดการได้หมด,ตลอดซื้อเจ้าหน้าที่ไทยคนข้าราชการไทยที่สามารถทรยศระบบได้ด้วยตังด้วยได้,คนข้าราชการเหล่านีัสามารถไม่กระทำหน้าที่ปกติได้,เมื่อไม่ปกติคือไม่ซื่อสัตย์ทันทีนั้นเองจะซื่อสัตย์ต่อต่างชาติที่ซื่อตัวด้วยตังทันที,นายกฯพระราชทานเห็นชัดแจ้งได้หมดล่ะ กวาดล้างพวกนี้ทั้งวงการก็สะดวกและง่ายแน่นอน จะวงการทหารตำรวจตัวแรกในการจัดการก็ง่ายๆเช่นกัน
    ..นายกฯพระราชทานจึงต้องรีบมาทำงานเพื่อชาติไทยเราทันทีเพราะนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวแล้วเปรียบคือเป็นภัยต่อบ้านนี้แล้ว ผีบ้าไม่รู้จะจุดเผาบ้านด้วยไฟตอนไหน,ไหม้หมดบ้านนั้นเอง กำลังเริ่มจุดทั่วบ้านแล้วด้วย พาข้างๆบ้านมาร่วมจุดร่วมมาเผาบ้านตนเองด้วยมันผีบ้าขนาดไหนล่ะ.
    ..
    ..https://youtube.com/shorts/GknGVmyPVzY?si=cNQzMSkyvUBXNkxh
    ..นายกฯพระราชทานทางพิเศษจริงๆจึงพอจะสามารถทันทีลงหน้างานทำงานทำความสะอาดสิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดบน ปะปนคนไทยบนแผ่นดินไทยได้และทำจริงมันง่ายนิดเดียว และสะอาดอย่างรวดเร็วด้วย,ต่างชาติที่เข้ามาอยู่บนแผ่นดินไทยจะจีนเทา แขกเทา ฝรั่งเทา หรือใครๆเทาๆหรือมาจากการเขียนกฎหมายที่ปัญญาอ่อนสอดไส้หมายทำลายความมั่นคงในวิถีชีวิตคนไทย,สัมมาอาชีพทำตังทำรายได้ให้คนไทยยืนด้วยขาตนเองได้ มาแย่งชิงคนไทยบนแผ่นดินไทย มาอาศัยอยู่บนแผ่นดินอพยพสร้างบ้านเมืองกลืนกินประชาชนคนไทย เป็นต้น เหล่านี้สามารถโมฆะเก็บกวาดฉีกทิ้งแล้วทำเพื่อลูกหลานประชาชนคนไทยให้ถูกทางได้อย่างปกติแบะง่ายดายได้ในการบริหารจัดการของนายกฯพระราชทานเราแน่นอน, ..อย่าปล่อยให้เนินนานอีกเลย สงครามโลกยุคนี้คือตังหรือวลีคำว่าเศรษฐกิจนั้นล่ะ,ทำเศรษฐีนี้ล่ะใครรวยใครมีตังกว่าก็อยู่ในระบบทาสตังปลอดภัย เศรษฐกิจ&วิถีคนมีตัง สงครามวิถีคนมีตัง สงครามโลกห้ามยากจนก็ว่า ไม่มีตังต่างชาติต่างๆมันยกทัพมาตีเอาที่ดินตีเอาแผ่นดินไทยใช้ตังซื้อทั้งแผ่นดินไทยทางตรงและซื้อทางอ้อมแบบผ่านนอมินีคนทรยศในประเทศไทย ซื้อผ่านตลาดเงินตลาดทุน ซื้อที่ดินผ่านกิจการบริษัทต่างๆเพราะกิจการบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ดินตั้งบนแผ่นดินไทยทุกๆรายแน่นอน,ถีบคนไทยในบริษัทนั่นๆออก นำคนต่างชาติตนมาเป็นนอมินีลับๆไม่เปิดเผยเพื่อครอบงำบริหารจัดการได้หมด,ตลอดซื้อเจ้าหน้าที่ไทยคนข้าราชการไทยที่สามารถทรยศระบบได้ด้วยตังด้วยได้,คนข้าราชการเหล่านีัสามารถไม่กระทำหน้าที่ปกติได้,เมื่อไม่ปกติคือไม่ซื่อสัตย์ทันทีนั้นเองจะซื่อสัตย์ต่อต่างชาติที่ซื่อตัวด้วยตังทันที,นายกฯพระราชทานเห็นชัดแจ้งได้หมดล่ะ กวาดล้างพวกนี้ทั้งวงการก็สะดวกและง่ายแน่นอน จะวงการทหารตำรวจตัวแรกในการจัดการก็ง่ายๆเช่นกัน ..นายกฯพระราชทานจึงต้องรีบมาทำงานเพื่อชาติไทยเราทันทีเพราะนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวแล้วเปรียบคือเป็นภัยต่อบ้านนี้แล้ว ผีบ้าไม่รู้จะจุดเผาบ้านด้วยไฟตอนไหน,ไหม้หมดบ้านนั้นเอง กำลังเริ่มจุดทั่วบ้านแล้วด้วย พาข้างๆบ้านมาร่วมจุดร่วมมาเผาบ้านตนเองด้วยมันผีบ้าขนาดไหนล่ะ. .. ..https://youtube.com/shorts/GknGVmyPVzY?si=cNQzMSkyvUBXNkxh
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..น่าอนาถผู้นำ&ผู้ปกครอง&ผู้มีอำนาจของประเทศไทยเรามากๆเสียของจริงๆไม่สามารถนำพาประชาชนคนไทยใต้ปกครองตนพ้นยากจนโดยมากได้,ร่ำรวยด้วยหนี้สิน อยากเรียนยังมีหนี้,ค้ารายได้ทำกำไรจากการค้าการเรียนของคนในประเทศไทยชาติตน,ผู้นำ&ผู้ปกครอง&ผู้มีอำนาจสถานะเช่นนีัจะเก็บไว้ทำซากมานำพาทำไมนะ,บ่อน้ำมันก็ยกให้ต่างชาติ,พลังงานไฟฟ้าค่ากำไรก็ยกให้เอกชนผูกขาดทำกำไรค้ากำไรกับประชาชนตน,ทำผิด ออกกฎหมายผิดก็ไม่ฉีกทิ้ง ไม่โมฆะทิ้งที่ทำให้ประชาชนยากจนและเดือดร้อนดำรงรักษากฎหมายกติกานั้นทำเหี้ยอะไรเมื่อก่อทุกข์แก่คนไทยตนทั้งประเทศ,กล้าหาญเก่งกาจสามารถไม่ขี้ขลาดไม่เขลาไม่โง่และฉลาดนักต่อการฉีกกฎหมายแม่บทของประเทศแบบรัฐธรรมนูญ.
    ..น่าอนาถผู้นำ&ผู้ปกครอง&ผู้มีอำนาจของประเทศไทยเรามากๆเสียของจริงๆไม่สามารถนำพาประชาชนคนไทยใต้ปกครองตนพ้นยากจนโดยมากได้,ร่ำรวยด้วยหนี้สิน อยากเรียนยังมีหนี้,ค้ารายได้ทำกำไรจากการค้าการเรียนของคนในประเทศไทยชาติตน,ผู้นำ&ผู้ปกครอง&ผู้มีอำนาจสถานะเช่นนีัจะเก็บไว้ทำซากมานำพาทำไมนะ,บ่อน้ำมันก็ยกให้ต่างชาติ,พลังงานไฟฟ้าค่ากำไรก็ยกให้เอกชนผูกขาดทำกำไรค้ากำไรกับประชาชนตน,ทำผิด ออกกฎหมายผิดก็ไม่ฉีกทิ้ง ไม่โมฆะทิ้งที่ทำให้ประชาชนยากจนและเดือดร้อนดำรงรักษากฎหมายกติกานั้นทำเหี้ยอะไรเมื่อก่อทุกข์แก่คนไทยตนทั้งประเทศ,กล้าหาญเก่งกาจสามารถไม่ขี้ขลาดไม่เขลาไม่โง่และฉลาดนักต่อการฉีกกฎหมายแม่บทของประเทศแบบรัฐธรรมนูญ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1801 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีอารมณ์หลากหลายมาก ตั้งแต่
    วิตก กังวล กลัว ในใจคิดไปถึง Worst-case scenario ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าต้องเจอเหตุการณ์ในรูปแบบต่างๆ

    ส่วนตัวรู้สึกว่าโชคดีที่ในอดีตเคยเป็น แอร์โอสเตสมาก่อน ซึ่งอาชีพนี้สอนให้เราเตรียมพร้อมกับการเจอสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายรูปแบบอย่างมีสติ

    แม้แต่เพื่อนร่วมอาชีพ ที่อยู่คอนโดสูง
    และเจอภาวะตึกสั่นไหวอย่างรุนแรง
    ก็ยังมีสติพอที่จะหลบเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ
    ตามที่เราถูกสอนมาว่าจะรับมือกับสถานการณ์ แผ่นดินไหวอย่างไร?

    ส่วนตัวโชคดีที่ไม่ได้ติดอยู่ในอาคารสูง
    แต่ติดอยู่ในรถ และติดอยู่ในท้องถนน
    ตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่คอนโด ตอนราวบ่ายสอง (เพราะการจราจรเริ่มติดแล้วตั้งแต่บ่ายสอง )
    จากนั้นก็มารวมพลที่ล้อบบี้คอนโด ในใจก็คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น แต่ที่แน่แน่ พยายามเซฟแบตเตอรี่มือถือไว้ให้มากที่สุด (ดูข้อมูลแต่ที่จำเป็น/ เลยไม่มีเวลาตอบ LINE กับผู้ที่ส่งความห่วงใยมาในวันแรกครบทุกคน)
    ในใจก็เริ่มคิดว่า ถ้าเกิด after shock และไม่สามารถกลับขึ้นไปนอนคอนโดได้ เราจะไปนอนที่ไหน?

    เพื่อนบ้าน หลายหลายคน ( คิดว่าเกินครึ่ง) เริ่มอพยพออกจากอาคาร
    บ้างก็ไปเช่าโรงแรม ( low rise)
    บ้างก็ไปอยู่บ้านญาติ

    ส่วนตัวก็คิดอยู่ว่า ถ้าคืนนี้ไม่สามารถกลับขึ้นไปไปนอนคอนโดได้ เราจะไปอยู่บ้านใคร ? แต่ไม่ว่าจะไปอยู่บ้านใครมันก็ต้องเดินทาง ประเด็นคือการจราจรเป็นอัมพาต ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้แน่นอน จึงตัดสินใจไม่ไปไหน รอดูท่าทีอยู่ที่คอนโด สุดท้ายตอนค่ำ ทางคอนโดมีข้อความถึงลูกบ้านว่าสามารถกลับเข้าตึกได้ แต่ลิฟท์ที่ตึกไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบชั้น และมีเหตุให้ต้องเดินขึ้นลงอยู่หลายรอบ จึงมีอาการปวดน่องมาก ( เชื่อว่าหลายคน ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน)

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ต้องกลับไปออกกำลังกายให้ฟิตกว่านี้
    มีกระเป๋าพร้อม สำหรับการอพยพแบบฉุกเฉิน เช่น เสื้อผ้า, ไฟฉาย, น้ำขวดเล็ก, ลูกอม สำหรับให้พลังงานเมื่อยามต้องอดอาหาร, Power bank, เป็นต้น (1ชุดไว้ที่บ้าน/ 1 ชุดทิ้งไว้ในรถ)
    ปล. ลองปรับดูว่าอะไรสำคัญกับชีวิตคุณและคิดว่าต้องมีก็จัดสิ่งนั้นไว้
    ข้อแนะนำคือ ชุดที่ไว้ในรถไม่ควรมี Power bank เพราะถ้าเจอแดด อาจจะอันตรายได้)

    จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรียนรู้ได้เลยว่า
    มนุษย์เรานั้นตัวเล็กนิดเดียว
    ไม่สามารถสู้กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้
    เราควรใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติ และไม่ทำลายโลกให้มากไปกว่านี้
    แม้จะทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามจะทำให้มากขึ้นและมากขึ้น

    ขอบคุณที่เรารอดปลอดภัย
    และขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียทุกคน

    We shall pass this together.

    #earthquake
    #savethailand
    #togetherwewin
    #simplytally
    #simplyugo



    จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีอารมณ์หลากหลายมาก ตั้งแต่ วิตก กังวล กลัว ในใจคิดไปถึง Worst-case scenario ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าต้องเจอเหตุการณ์ในรูปแบบต่างๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าโชคดีที่ในอดีตเคยเป็น แอร์โอสเตสมาก่อน ซึ่งอาชีพนี้สอนให้เราเตรียมพร้อมกับการเจอสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายรูปแบบอย่างมีสติ แม้แต่เพื่อนร่วมอาชีพ ที่อยู่คอนโดสูง และเจอภาวะตึกสั่นไหวอย่างรุนแรง ก็ยังมีสติพอที่จะหลบเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ ตามที่เราถูกสอนมาว่าจะรับมือกับสถานการณ์ แผ่นดินไหวอย่างไร? ส่วนตัวโชคดีที่ไม่ได้ติดอยู่ในอาคารสูง แต่ติดอยู่ในรถ และติดอยู่ในท้องถนน ตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่คอนโด ตอนราวบ่ายสอง (เพราะการจราจรเริ่มติดแล้วตั้งแต่บ่ายสอง ) จากนั้นก็มารวมพลที่ล้อบบี้คอนโด ในใจก็คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น แต่ที่แน่แน่ พยายามเซฟแบตเตอรี่มือถือไว้ให้มากที่สุด (ดูข้อมูลแต่ที่จำเป็น/ เลยไม่มีเวลาตอบ LINE กับผู้ที่ส่งความห่วงใยมาในวันแรกครบทุกคน) ในใจก็เริ่มคิดว่า ถ้าเกิด after shock และไม่สามารถกลับขึ้นไปนอนคอนโดได้ เราจะไปนอนที่ไหน? เพื่อนบ้าน หลายหลายคน ( คิดว่าเกินครึ่ง) เริ่มอพยพออกจากอาคาร บ้างก็ไปเช่าโรงแรม ( low rise) บ้างก็ไปอยู่บ้านญาติ ส่วนตัวก็คิดอยู่ว่า ถ้าคืนนี้ไม่สามารถกลับขึ้นไปไปนอนคอนโดได้ เราจะไปอยู่บ้านใคร ? แต่ไม่ว่าจะไปอยู่บ้านใครมันก็ต้องเดินทาง ประเด็นคือการจราจรเป็นอัมพาต ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้แน่นอน จึงตัดสินใจไม่ไปไหน รอดูท่าทีอยู่ที่คอนโด สุดท้ายตอนค่ำ ทางคอนโดมีข้อความถึงลูกบ้านว่าสามารถกลับเข้าตึกได้ แต่ลิฟท์ที่ตึกไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบชั้น และมีเหตุให้ต้องเดินขึ้นลงอยู่หลายรอบ จึงมีอาการปวดน่องมาก ( เชื่อว่าหลายคน ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน😅) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ✨ ต้องกลับไปออกกำลังกายให้ฟิตกว่านี้ 💪 ✨มีกระเป๋าพร้อม สำหรับการอพยพแบบฉุกเฉิน เช่น เสื้อผ้า, ไฟฉาย, น้ำขวดเล็ก, ลูกอม สำหรับให้พลังงานเมื่อยามต้องอดอาหาร, Power bank, เป็นต้น (1ชุดไว้ที่บ้าน/ 1 ชุดทิ้งไว้ในรถ) ปล. ลองปรับดูว่าอะไรสำคัญกับชีวิตคุณและคิดว่าต้องมีก็จัดสิ่งนั้นไว้ ข้อแนะนำคือ ชุดที่ไว้ในรถไม่ควรมี Power bank เพราะถ้าเจอแดด อาจจะอันตรายได้) จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรียนรู้ได้เลยว่า มนุษย์เรานั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่สามารถสู้กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้ เราควรใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติ และไม่ทำลายโลกให้มากไปกว่านี้ แม้จะทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามจะทำให้มากขึ้นและมากขึ้น ขอบคุณที่เรารอดปลอดภัย และขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียทุกคน We shall pass this together.🌈💕 #earthquake #savethailand #togetherwewin #simplytally #simplyugo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 958 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิด-ทำ-ทิ้ง สระมรกตรัฐสภา

    สระมรกต หนึ่งในองค์ประกอบของอาคารรัฐสภา ถนนสามเสน ที่มีชื่อว่า สัปปายะสถาสถาน ก่อสร้างด้วยงบประมาณกว่า 12,280 ล้านบาท กำลังจะเป็นตำนานในเร็ววันนี้ เมื่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (21 มี.ค.) ว่า จะมีการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าว โดยสูบน้ำออกแล้วปิดพื้นที่ ปูพื้นใหม่ให้เสมอกับทางเดิน แล้วกั้นห้องกระจกขึ้นมา ทำเป็นห้องสมุด พื้นที่อ่านหนังสือ พื่นที่พักคอย หรือพื้นที่ทำงาน โดยตั้งงบประมาณไว้ 150 ล้านบาท

    สาเหตุเพราะได้รับการร้องเรียนว่า มีผู้เข้าชมรัฐสภาเดินตกน้ำบ่อยครั้ง มียุงจำนวนมากจากสระมรกต เข้ามารบกวนการทำงานข้าราชการที่ปฎิบัติงานภายในอาคาร เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก อีกทั้งพบว่ามีปัญหาพื้นของบ่อน้ำรั่วซึม มีน้ำจากสระมรกตไหลลงไปที่ชั้นบีหนึ่ง (B1) อยู่เป็นประจำ และเกิดโพรงอยู่ใต้พื้นไม้กระดาน สร้างความไม่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน ซึ่งจากการปรึกษากับวิศวกรและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปว่าจะยกเลิกพื้นที่สระมรกต ให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารรัฐสภาอีกหลายจุด เช่น ห้องตอบกระทู้แยกเฉพาะที่ ซึ่งมีขนาดเล็กและแออัด จะย้ายไปส่วนอื่นที่ใหญ่ขึ้น ย้ายห้องร้องทุกข์ของประชาชน จากชั้น 10 ลงมาที่ชั้น 1 ย้ายโรงอาหารไปอยู่ชั้น B2 และประมูลใหม่ทั้งหมด รวมทั้งนำร้านอาหารชั้นนำ ร้านสะดวกซื้อ และร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่างคาเฟ่ อเมซอน และกาแฟพันธุ์ไทย ขณะเดียวกัน จะก่อสร้างลานจอดรถใต้ดินอาคารรัฐสภา เฟส 2 ฝั่งถนนสามเสน เพื่อแก้ปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพออีกด้วย

    สำหรับแบบก่อสร้างอาคารรัฐสภาที่ชื่อว่าสัปปายะสถาสถาน ออกแบบโดยกลุ่มสถาปนิก สงบ ๑๐๕๑ ภายใต้การนำของนายธีรพล นิยม ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ โดยสระมรกตเป็นสระน้ำสีเขียวเข้มภายในอาคาร ล้อมรอบตัวอาคารเป็นผนังไม้สีมะเกลือดำ ถูกออกแบบมาให้มีความเย็นมากกว่าภายนอก เมื่อมีความร้อนสะสม อากาศยกตัวขึ้น อากาศเย็นจากด้านล่างจะเผื่อแผ่กระจายความเย็นขึ้นไปยังทางเดินรอบๆ ที่เป็นพื้นที่เปิด โถงนี้จะมีสภาวะน่าสบายอยู่เสมอ ถึงแม้ภายนอกจะร้อนมากในฤดูร้อนก็ตาม

    นับตั้งแต่เปิดใช้อาคารรัฐสภาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา มีอุบัติเหตุคนตกลงไปในสระมรกตแล้วมากกว่า 70 คน ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่คุ้นชินกับพื้นที่ เนื่องจากสระน้ำมีระดับเสมอกับทางเดิน และพบว่าเคยมีตัวเงินตัวทองเข้ามาเล่นน้ำในสระมรกตอีกด้วย เมื่อแบบก่อสร้างที่สวยหรูกลายเป็นอุปสรรคเมื่อใช้งานจริง สระมรกตในวันนี้จึงกลายเป็นตำนานแบบคิด-ทำ-ทิ้ง เสียเวลาและเสียงบประมาณจากภาษีของประชาชน

    #Newskit
    คิด-ทำ-ทิ้ง สระมรกตรัฐสภา สระมรกต หนึ่งในองค์ประกอบของอาคารรัฐสภา ถนนสามเสน ที่มีชื่อว่า สัปปายะสถาสถาน ก่อสร้างด้วยงบประมาณกว่า 12,280 ล้านบาท กำลังจะเป็นตำนานในเร็ววันนี้ เมื่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (21 มี.ค.) ว่า จะมีการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าว โดยสูบน้ำออกแล้วปิดพื้นที่ ปูพื้นใหม่ให้เสมอกับทางเดิน แล้วกั้นห้องกระจกขึ้นมา ทำเป็นห้องสมุด พื้นที่อ่านหนังสือ พื่นที่พักคอย หรือพื้นที่ทำงาน โดยตั้งงบประมาณไว้ 150 ล้านบาท สาเหตุเพราะได้รับการร้องเรียนว่า มีผู้เข้าชมรัฐสภาเดินตกน้ำบ่อยครั้ง มียุงจำนวนมากจากสระมรกต เข้ามารบกวนการทำงานข้าราชการที่ปฎิบัติงานภายในอาคาร เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก อีกทั้งพบว่ามีปัญหาพื้นของบ่อน้ำรั่วซึม มีน้ำจากสระมรกตไหลลงไปที่ชั้นบีหนึ่ง (B1) อยู่เป็นประจำ และเกิดโพรงอยู่ใต้พื้นไม้กระดาน สร้างความไม่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน ซึ่งจากการปรึกษากับวิศวกรและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปว่าจะยกเลิกพื้นที่สระมรกต ให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารรัฐสภาอีกหลายจุด เช่น ห้องตอบกระทู้แยกเฉพาะที่ ซึ่งมีขนาดเล็กและแออัด จะย้ายไปส่วนอื่นที่ใหญ่ขึ้น ย้ายห้องร้องทุกข์ของประชาชน จากชั้น 10 ลงมาที่ชั้น 1 ย้ายโรงอาหารไปอยู่ชั้น B2 และประมูลใหม่ทั้งหมด รวมทั้งนำร้านอาหารชั้นนำ ร้านสะดวกซื้อ และร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่างคาเฟ่ อเมซอน และกาแฟพันธุ์ไทย ขณะเดียวกัน จะก่อสร้างลานจอดรถใต้ดินอาคารรัฐสภา เฟส 2 ฝั่งถนนสามเสน เพื่อแก้ปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพออีกด้วย สำหรับแบบก่อสร้างอาคารรัฐสภาที่ชื่อว่าสัปปายะสถาสถาน ออกแบบโดยกลุ่มสถาปนิก สงบ ๑๐๕๑ ภายใต้การนำของนายธีรพล นิยม ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ โดยสระมรกตเป็นสระน้ำสีเขียวเข้มภายในอาคาร ล้อมรอบตัวอาคารเป็นผนังไม้สีมะเกลือดำ ถูกออกแบบมาให้มีความเย็นมากกว่าภายนอก เมื่อมีความร้อนสะสม อากาศยกตัวขึ้น อากาศเย็นจากด้านล่างจะเผื่อแผ่กระจายความเย็นขึ้นไปยังทางเดินรอบๆ ที่เป็นพื้นที่เปิด โถงนี้จะมีสภาวะน่าสบายอยู่เสมอ ถึงแม้ภายนอกจะร้อนมากในฤดูร้อนก็ตาม นับตั้งแต่เปิดใช้อาคารรัฐสภาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา มีอุบัติเหตุคนตกลงไปในสระมรกตแล้วมากกว่า 70 คน ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่คุ้นชินกับพื้นที่ เนื่องจากสระน้ำมีระดับเสมอกับทางเดิน และพบว่าเคยมีตัวเงินตัวทองเข้ามาเล่นน้ำในสระมรกตอีกด้วย เมื่อแบบก่อสร้างที่สวยหรูกลายเป็นอุปสรรคเมื่อใช้งานจริง สระมรกตในวันนี้จึงกลายเป็นตำนานแบบคิด-ทำ-ทิ้ง เสียเวลาและเสียงบประมาณจากภาษีของประชาชน #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 984 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากไทยไปสิงคโปร์ แบบไม่บินด้วยรถไฟ

    หลังจากที่รถไฟ ETS (Electric Train Service) ขยายเส้นทางจากสถานีเกอมัส (Gemas) รัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา สำหรับชาวรัฐยะโฮร์อาจเรียกได้ว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ของพวกเขา ที่ได้เห็นรถไฟที่ทันสมัย พร้อมกับโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru) ระยะทาง 192 กิโลเมตร ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2568 ช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จาก 7 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง 30 นาที

    เมื่อเกิดคำถามว่าจากกรุงเทพฯ ไปสิงคโปร์แบบไม่บิน ด้วยรถไฟเป็นไปได้หรือไม่ จึงลองทำการบ้าน พบว่าจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปยังด่านวู้ดแลนด์ (Woodlands) ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 40 ชั่วโมง ต่อขบวนรถไฟ 4 ต่อ ได้แก่ ขบวนที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์, ขบวนที่ EG9425 ปาดังเบซาร์-เซกามัต, ขบวนที่ ES41 ขึ้นจากสถานีเซกามัต ลงที่สถานี JB Sentral และรถไฟ Shuttle Tebrau ไปที่สถานี Woodlands ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งช่วงเช้าตั้งแต่ 05.00-07.30 น. รถไฟออกทุกครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นรถออกช่วงครึ่งวันเช้าเวลา 08.45, 10.00, 11.30 และ 12.45 น.

    รถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ถึงเซกามัต มีวันละ 1 เที่ยว และที่นั่งมีจำนวนจำกัด แนะนำให้จองตั๋วรถไฟแต่เนิ่นๆ ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน KTMB แม้ทางรถไฟจะถูกพัฒนาให้เป็นรถไฟทางคู่ แต่ก็อาจมีเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยธรรมชาติ สายไฟฟ้าที่จ่ายให้ขบวนรถไฟขาด หรือกรณีรถจักรดีเซลขัดข้อง มักใช้วิธีคืนเงินแล้วให้เดินทางต่อด้วยรูปแบบอื่น ไม่มีรถรับส่งแบบประเทศไทย จึงต้องคิดแผนสองเผื่อไว้ด้วย

    ส่วนขาขึ้นจากสิงคโปร์ไปกรุงเทพฯ พบว่าเวลาเดินรถไม่สอดคล้องกัน รถไฟ ETS จากสถานีเซกามัตไปปาดังเบซาร์ มีวันละ 1 เที่ยว ได้แก่ ขบวนที่ EG9420 รถออกเวลา 07.55 น. เพราะฉะนั้นถ้านั่งรถไฟ KTM Intercity ไปลงที่สถานีเซกามัตแล้วยังคงต้องการนั่งรถไฟ ETS ไปสถานีปาดังเบซาร์ อาจต้องพักค้างคืนที่เซกามัต 1 คืน

    หรือถ้าจะค้างคืนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ต้องต่อรถทัวร์ที่สถานีขนส่ง อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ไปยังสถานีขนส่ง TBS ใช้เวลา 4 ชั่วโมง มีรถถึง 21.00 น. ตอนเช้าต่อรถไฟจากสถานี KL Sentral ไปสถานีปาดังเบซาร์ แล้วต่อรถไฟขบวนที่ 46 เวลา 18.00 น. เวลามาเลเซีย ถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 09.05 น. วันถัดไป

    หากโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู เปิดใช้งานเต็มรูปแบบ และรถไฟ ETS ขยายการให้บริการถึงสถานี JB Sentral จะอัปเดตแผนการเดินทางให้ทราบต่อไป

    #Newskit
    จากไทยไปสิงคโปร์ แบบไม่บินด้วยรถไฟ หลังจากที่รถไฟ ETS (Electric Train Service) ขยายเส้นทางจากสถานีเกอมัส (Gemas) รัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา สำหรับชาวรัฐยะโฮร์อาจเรียกได้ว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ของพวกเขา ที่ได้เห็นรถไฟที่ทันสมัย พร้อมกับโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru) ระยะทาง 192 กิโลเมตร ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2568 ช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จาก 7 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง 30 นาที เมื่อเกิดคำถามว่าจากกรุงเทพฯ ไปสิงคโปร์แบบไม่บิน ด้วยรถไฟเป็นไปได้หรือไม่ จึงลองทำการบ้าน พบว่าจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปยังด่านวู้ดแลนด์ (Woodlands) ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 40 ชั่วโมง ต่อขบวนรถไฟ 4 ต่อ ได้แก่ ขบวนที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์, ขบวนที่ EG9425 ปาดังเบซาร์-เซกามัต, ขบวนที่ ES41 ขึ้นจากสถานีเซกามัต ลงที่สถานี JB Sentral และรถไฟ Shuttle Tebrau ไปที่สถานี Woodlands ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งช่วงเช้าตั้งแต่ 05.00-07.30 น. รถไฟออกทุกครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นรถออกช่วงครึ่งวันเช้าเวลา 08.45, 10.00, 11.30 และ 12.45 น. รถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ถึงเซกามัต มีวันละ 1 เที่ยว และที่นั่งมีจำนวนจำกัด แนะนำให้จองตั๋วรถไฟแต่เนิ่นๆ ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน KTMB แม้ทางรถไฟจะถูกพัฒนาให้เป็นรถไฟทางคู่ แต่ก็อาจมีเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยธรรมชาติ สายไฟฟ้าที่จ่ายให้ขบวนรถไฟขาด หรือกรณีรถจักรดีเซลขัดข้อง มักใช้วิธีคืนเงินแล้วให้เดินทางต่อด้วยรูปแบบอื่น ไม่มีรถรับส่งแบบประเทศไทย จึงต้องคิดแผนสองเผื่อไว้ด้วย ส่วนขาขึ้นจากสิงคโปร์ไปกรุงเทพฯ พบว่าเวลาเดินรถไม่สอดคล้องกัน รถไฟ ETS จากสถานีเซกามัตไปปาดังเบซาร์ มีวันละ 1 เที่ยว ได้แก่ ขบวนที่ EG9420 รถออกเวลา 07.55 น. เพราะฉะนั้นถ้านั่งรถไฟ KTM Intercity ไปลงที่สถานีเซกามัตแล้วยังคงต้องการนั่งรถไฟ ETS ไปสถานีปาดังเบซาร์ อาจต้องพักค้างคืนที่เซกามัต 1 คืน หรือถ้าจะค้างคืนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ต้องต่อรถทัวร์ที่สถานีขนส่ง อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ไปยังสถานีขนส่ง TBS ใช้เวลา 4 ชั่วโมง มีรถถึง 21.00 น. ตอนเช้าต่อรถไฟจากสถานี KL Sentral ไปสถานีปาดังเบซาร์ แล้วต่อรถไฟขบวนที่ 46 เวลา 18.00 น. เวลามาเลเซีย ถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 09.05 น. วันถัดไป หากโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู เปิดใช้งานเต็มรูปแบบ และรถไฟ ETS ขยายการให้บริการถึงสถานี JB Sentral จะอัปเดตแผนการเดินทางให้ทราบต่อไป #Newskit
    Like
    Love
    6
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้อมคอก รอบที่เท่าไร? สถ. มหาดไทย ออกกฎ 13 ข้อ คุมเข้มทัวร์ดูงานคนท้องถิ่น เน้นเฉพาะรถโดยสารทัศนาจร หลังเกิดอุบัติเหตุถี่ยิบ สั่งวางแผนเดินทางก่อน/หลัง ละเอียดยิบ จัดทําแผนเผชิญเหตุ ซักซ้อมบุคลากร เลือกสถานที่ดูงานโดยคํานึงถึงระยะเวลา เข้มผู้รับเหมารถบัส "ห้ามจ้างรถใช้แก๊ส" ต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยครบถ้วนตามกฎหมาย ใช้รถไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จํานวน 3 คันขึ้นไป เน้นความสําคัญกับการทําสัญญา เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งสัญญาจัดจ้างเช้ารถบัส พ่วงประกัน ทั้งภาคบังคับ ภาคสมัครใจ และประกันภัย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021483

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ล้อมคอก รอบที่เท่าไร? สถ. มหาดไทย ออกกฎ 13 ข้อ คุมเข้มทัวร์ดูงานคนท้องถิ่น เน้นเฉพาะรถโดยสารทัศนาจร หลังเกิดอุบัติเหตุถี่ยิบ สั่งวางแผนเดินทางก่อน/หลัง ละเอียดยิบ จัดทําแผนเผชิญเหตุ ซักซ้อมบุคลากร เลือกสถานที่ดูงานโดยคํานึงถึงระยะเวลา เข้มผู้รับเหมารถบัส "ห้ามจ้างรถใช้แก๊ส" ต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยครบถ้วนตามกฎหมาย ใช้รถไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จํานวน 3 คันขึ้นไป เน้นความสําคัญกับการทําสัญญา เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งสัญญาจัดจ้างเช้ารถบัส พ่วงประกัน ทั้งภาคบังคับ ภาคสมัครใจ และประกันภัย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021483 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1054 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด เตรียมพาชายขี่ จยย.ถูกคนขับเก๋งสีแดงเฉี่ยวชน บนถนนราชพฤกษ์ เข้าแจ้งความเอาผิด อาจเข้าข่ายพยายามฆ่า

    จากกรณีโซเชียลมีเดียมีการแชร์คลิปเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถยนต์เก๋งสีแดงขับเฉี่ยวรถจักรยานยนต์บนถนนเลนขวาสุด ซึ่งต่อมาคนในสังคมโซเชียลมีเดีย ต่างเข้าแสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามว่า คนขับขี่รถยนต์เก๋งสีแดงขับรถแบบนี้ มีเจตนาชนรถจักรยานยนต์หรือไม่นั้น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (2 มี.ค.) ที่เพจสายไหมต้องรอด นายจินตการ อายุ 49 ปี ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ที่ปรากฏในคลิป เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ช่วงประมาณ 8.00 น. ขณะที่ตนขับขี่รถจักรยานยนต์บนเส้นถนนราชพฤกษ์ขาออกมุ่งหน้าไปยังท่าอิฐปากเกร็ด เมื่อมาถึงบริเวณใต้ทางต่างระดับ ตนได้ยินเสียงบีบแตรดังมาจากข้างหลัง และรถยนต์คันก่อเหตุก็เฉี่ยวชนรถของตนทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไวมาก โชคดีที่วันนั้นตนสามารถประคองรถเอาไว้ได้เลย ทำให้รถไม่ล้มแต่ก็เซเล็กน้อย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020301

    #MGROnline #มาสด้าแดง #พี่แว่นมาสด้าแดง #ตั้งใจชน #พยายามฆ่า #สายไหมต้องรอด
    ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด เตรียมพาชายขี่ จยย.ถูกคนขับเก๋งสีแดงเฉี่ยวชน บนถนนราชพฤกษ์ เข้าแจ้งความเอาผิด อาจเข้าข่ายพยายามฆ่า • จากกรณีโซเชียลมีเดียมีการแชร์คลิปเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถยนต์เก๋งสีแดงขับเฉี่ยวรถจักรยานยนต์บนถนนเลนขวาสุด ซึ่งต่อมาคนในสังคมโซเชียลมีเดีย ต่างเข้าแสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามว่า คนขับขี่รถยนต์เก๋งสีแดงขับรถแบบนี้ มีเจตนาชนรถจักรยานยนต์หรือไม่นั้น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (2 มี.ค.) ที่เพจสายไหมต้องรอด นายจินตการ อายุ 49 ปี ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ที่ปรากฏในคลิป เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ช่วงประมาณ 8.00 น. ขณะที่ตนขับขี่รถจักรยานยนต์บนเส้นถนนราชพฤกษ์ขาออกมุ่งหน้าไปยังท่าอิฐปากเกร็ด เมื่อมาถึงบริเวณใต้ทางต่างระดับ ตนได้ยินเสียงบีบแตรดังมาจากข้างหลัง และรถยนต์คันก่อเหตุก็เฉี่ยวชนรถของตนทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไวมาก โชคดีที่วันนั้นตนสามารถประคองรถเอาไว้ได้เลย ทำให้รถไม่ล้มแต่ก็เซเล็กน้อย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020301 • #MGROnline #มาสด้าแดง #พี่แว่นมาสด้าแดง #ตั้งใจชน #พยายามฆ่า #สายไหมต้องรอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ โจมตีเซเลนสกีอีกครั้งที่พยายามทำลายข้อตกลงสันติภาพครั้งนี้:

    ประเทศของเขาคงอยู่ไม่ได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เขาควรจะกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" และถ้าเค้ามีอะไรที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ก็แค่ยกหูโทรศัพท์แล้วโทรมา

    การพูดจาใส่ร้ายทรัมป์ต่อหน้าสื่อทั่วยุโรป มันเป็นการดูหมิ่นไม่ให้เกียรติทรัมป์ ดูหมิ่นผม และยังดูหมิ่นชาวอเมริกันอีกด้วย ซึ่งเป็นวิธีการที่โง่มาก

    อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้มันไม่สามารถไม่เปลี่ยนใจทรัมป์ได้ และเซเลนสกีต้องการที่ปรึกษาที่ดีกว่านี้
    เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ โจมตีเซเลนสกีอีกครั้งที่พยายามทำลายข้อตกลงสันติภาพครั้งนี้: ประเทศของเขาคงอยู่ไม่ได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เขาควรจะกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" และถ้าเค้ามีอะไรที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ก็แค่ยกหูโทรศัพท์แล้วโทรมา การพูดจาใส่ร้ายทรัมป์ต่อหน้าสื่อทั่วยุโรป มันเป็นการดูหมิ่นไม่ให้เกียรติทรัมป์ ดูหมิ่นผม และยังดูหมิ่นชาวอเมริกันอีกด้วย ซึ่งเป็นวิธีการที่โง่มาก อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้มันไม่สามารถไม่เปลี่ยนใจทรัมป์ได้ และเซเลนสกีต้องการที่ปรึกษาที่ดีกว่านี้
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • เกมแล้ว...อ้างเบรกไม่อยู่ : [News story]

    รวบแล้วรถ จยย.หัวร้อนหวิดชนคนข้ามทางม้าลาย เจ้าตัวยอมรับว่า จะขี่รถไปรับแฟน พอมาถึงทางม้าลายตนเองเบรกรถไม่ทัน สำนึกผิดอยากขอโทษสังคม
    เกมแล้ว...อ้างเบรกไม่อยู่ : [News story] รวบแล้วรถ จยย.หัวร้อนหวิดชนคนข้ามทางม้าลาย เจ้าตัวยอมรับว่า จะขี่รถไปรับแฟน พอมาถึงทางม้าลายตนเองเบรกรถไม่ทัน สำนึกผิดอยากขอโทษสังคม
    Like
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1143 มุมมอง 52 0 รีวิว
  • ป๊าชอบบอกว่าเราไม่ค่อยออกกำลังกาย ขอรณรงค์ให้สสส.ประกาศว่า...การล้างรถ=การออกกำลังกายด้วย!! มันก็เหนื่อยอยู่นะป๊า ปล.1 น้ำยาล้างรถเปลี่ยนสูตรใหม่ดีม๊ากก ล้างง่าย หอมมาก จนอยากเอามาอาบน้ำ ปล.2 ถ้าไม่เคลือบล้อ = ล้างรถไม่เสร็จ ปล.3 ตัวเคลือบรถของเล่นใหม่ ก็เงาดี แต่อยากให้ผิวลื่นปรื๊ดกว่านี้
    ป๊าชอบบอกว่าเราไม่ค่อยออกกำลังกาย 😳🥲 ขอรณรงค์ให้สสส.ประกาศว่า...การล้างรถ=การออกกำลังกายด้วย!! มันก็เหนื่อยอยู่นะป๊า 😤 ปล.1 น้ำยาล้างรถเปลี่ยนสูตรใหม่ดีม๊ากก ล้างง่าย หอมมาก จนอยากเอามาอาบน้ำ😆 ปล.2 ถ้าไม่เคลือบล้อ = ล้างรถไม่เสร็จ😅 ปล.3 ตัวเคลือบรถของเล่นใหม่ ก็เงาดี แต่อยากให้ผิวลื่นปรื๊ดกว่านี้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⭕️เป็นทริปที่ดี เลยคะ flexible มีช่วง อิสระ ไม่เหนื่อย เดินไม่ไกล นั่งรถ และที่สำคัญ Etravelway บริการดี ตอบ inbox ไว ขอบคุณมากค่ะ นั่งรถไม่ไกล นั่งรถไม่นานคะ  ในแต่ละวัน ชอบคะ ⭕️

    #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #สแกนดิเนเวีย จากคุณทองเปรมนะคะ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 67 - 5 ม.ค. 68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ


    ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c15f96

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    ⭕️เป็นทริปที่ดี เลยคะ flexible มีช่วง อิสระ ไม่เหนื่อย เดินไม่ไกล นั่งรถ และที่สำคัญ Etravelway บริการดี ตอบ inbox ไว ขอบคุณมากค่ะ😍❤️ นั่งรถไม่ไกล นั่งรถไม่นานคะ  ในแต่ละวัน ชอบคะ ❤️⭕️ 💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #สแกนดิเนเวีย จากคุณทองเปรมนะคะ💜 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 67 - 5 ม.ค. 68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c15f96 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขับช้า-รถพัง
    ขับเร็ว140หรือเกินกว่า-รถไม่พัง
    https://www.youtube.com/shorts/NdSUVZnA1lw
    ขับช้า-รถพัง ขับเร็ว140หรือเกินกว่า-รถไม่พัง https://www.youtube.com/shorts/NdSUVZnA1lw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ประชาชนเดินทางกลับบ้านปีใหม่ต่อเนื่อง ภาพมุมสูงสภาพการจราจรถนน 304 จากภาคตะวันออกมุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน ผ่านโคราชปริมาณรถหนาแน่น ชะลอตัวเป็นช่วงๆ ขณะถนนมิตรภาพมีปริมาณรถเยอะต่อเนื่อง แต่รถยังเคลื่อนตัวได้ดี คาดช่วงเย็นและคืนนี้ติดหนัก

    วันนี้ ( 28 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพการจราจรผ่านพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีประชาชนจำนวนมาก ทยอยเดินทางกลับไปฉลองช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2568 กันอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เส้นทางถนนทางหลวงหมายเลข 304 เดินทางจากจังหวัดทางภาคตะวันออก ผ่าน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มา อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เพื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดทางภาคอีสาน ซึ่งมีปริมาณรถค่อนข้างมาก แต่ยังเคลื่อนตัวได้ดี มีชะลอตัวเป็นช่วงๆ เพราะสภาพทางลาดชัน ขึ้น-ลงเขา โดยเฉพาะช่วงทางโค้งฉลาดปรุ รอยต่อเขต ต.วังน้ำเขียว กับ ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ปริมาณรถหนาแน่น เคลื่อนตัวได้ช้า เนื่องจากเป็นช่วงทางโค้งที่มีความลาดชันสูง ทำให้ต้องชะลอความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่

    ส่วนบรรยากาศบริเวณถนนมิตรภาพ ช่วงผ่าน อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าไป จ.ขอนแก่นและ จังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน พบว่า ตั้งแต่เช้าที่ผ่านมา ประชาชนที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครและ จังหวัดทางภาคตะวันออก แห่เดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ในจังหวัดทางภาคอีสานกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณรถหนาแน่นต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่หน่วยบริการตำรวจทางหลวงบ้านส้ม อ.โนนสูง ต้องมาช่วยอำนวยการจราจรเร่งระบายรถไม่ให้ติดสะสม โดยเฉพาะในช่วงที่มีทางร่วม-ทางแยก และช่วงที่มีปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีประชาชนบางส่วนได้แวะพักรถ-พักคนภายในปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งคืน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000124692

    #MGROnline #ถนน304 #ตะวันออก #อีสาน
    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ประชาชนเดินทางกลับบ้านปีใหม่ต่อเนื่อง ภาพมุมสูงสภาพการจราจรถนน 304 จากภาคตะวันออกมุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน ผ่านโคราชปริมาณรถหนาแน่น ชะลอตัวเป็นช่วงๆ ขณะถนนมิตรภาพมีปริมาณรถเยอะต่อเนื่อง แต่รถยังเคลื่อนตัวได้ดี คาดช่วงเย็นและคืนนี้ติดหนัก • วันนี้ ( 28 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพการจราจรผ่านพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีประชาชนจำนวนมาก ทยอยเดินทางกลับไปฉลองช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2568 กันอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เส้นทางถนนทางหลวงหมายเลข 304 เดินทางจากจังหวัดทางภาคตะวันออก ผ่าน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มา อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เพื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดทางภาคอีสาน ซึ่งมีปริมาณรถค่อนข้างมาก แต่ยังเคลื่อนตัวได้ดี มีชะลอตัวเป็นช่วงๆ เพราะสภาพทางลาดชัน ขึ้น-ลงเขา โดยเฉพาะช่วงทางโค้งฉลาดปรุ รอยต่อเขต ต.วังน้ำเขียว กับ ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ปริมาณรถหนาแน่น เคลื่อนตัวได้ช้า เนื่องจากเป็นช่วงทางโค้งที่มีความลาดชันสูง ทำให้ต้องชะลอความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ • ส่วนบรรยากาศบริเวณถนนมิตรภาพ ช่วงผ่าน อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าไป จ.ขอนแก่นและ จังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน พบว่า ตั้งแต่เช้าที่ผ่านมา ประชาชนที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครและ จังหวัดทางภาคตะวันออก แห่เดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ในจังหวัดทางภาคอีสานกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณรถหนาแน่นต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่หน่วยบริการตำรวจทางหลวงบ้านส้ม อ.โนนสูง ต้องมาช่วยอำนวยการจราจรเร่งระบายรถไม่ให้ติดสะสม โดยเฉพาะในช่วงที่มีทางร่วม-ทางแยก และช่วงที่มีปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีประชาชนบางส่วนได้แวะพักรถ-พักคนภายในปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งคืน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000124692 • #MGROnline #ถนน304 #ตะวันออก #อีสาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 842 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เจบใจแทนคนที่ถูกตุ๋น
    บางคนโดนยึด บ้าน
    บางคน ต้มให้ไปยุ่งกับพวกนอกระบบ หัวซุกหัวซุน
    ลูกจ้างหลายคนยังโดน รวมๆเกือบสี่ล้าน
    รายใหญ่ก็ 70 กว่าล
    ย่อยลงมาก็หลัก 10 ล
    รองๆลงมาหลักแสนเพียบ
    ทั้งชวนลงทูน ทั้งชวนลงหุ๊น ทั้ง 10 แต๋ม 10
    แต่ไม่มีของ ดองเป็นปี
    ตั้งวงแชเป็นร้อย ต้มมีได้อีกฉามฉิบกว่าล
    คนหาเช้ากินค่ำก็ไม่เว้น
    รวมๆร่วมร้อยกว่าล
    ให้ชู้วไปต้มเมียยืมรอบตัวแล้วเทก็เยอะ
    ผัวเก่า และผัวเก่ากว่าก็ยังต้ม
    สุดท้ายได้ผัวเป็นพลขับ
    เปย์แต่งรถไม่ยั้ง
    ไว้เป็นบช ม๊า งานการไม่ต้องทำ
    เล่นเกมส์ แต่งรถไปวันๆ
    กับแอบไปมีกิ๊กอีกตะหากด้วยตัง
    ที่ได้มาโดยมิชอบ คอยดูนะ
    สองตัวแฝดจะพัง เพราะไอ่ตัวนี้แหละ
    ซิบอกไห่
    พอ ผสห จะรวมตัว ก็อ้างต้องปักตระกร้า
    ทุ๊ย เมิงให้เจ้าของตลาดก่อน
    หรือให้ไฟแน้นที่ออกมาแล้วไปจำ โดนจับได้ก็ตีเชคเด้งก่อน
    คิดว่าจะถึงมือพวกเมิงเหรอ ถ้าไม่รวมตัวพวกเมิงอด
    ฮ่าๆๆๆๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เจบใจแทนคนที่ถูกตุ๋น บางคนโดนยึด บ้าน บางคน ต้มให้ไปยุ่งกับพวกนอกระบบ หัวซุกหัวซุน ลูกจ้างหลายคนยังโดน รวมๆเกือบสี่ล้าน รายใหญ่ก็ 70 กว่าล ย่อยลงมาก็หลัก 10 ล รองๆลงมาหลักแสนเพียบ ทั้งชวนลงทูน ทั้งชวนลงหุ๊น ทั้ง 10 แต๋ม 10 แต่ไม่มีของ ดองเป็นปี ตั้งวงแชเป็นร้อย ต้มมีได้อีกฉามฉิบกว่าล คนหาเช้ากินค่ำก็ไม่เว้น รวมๆร่วมร้อยกว่าล ให้ชู้วไปต้มเมียยืมรอบตัวแล้วเทก็เยอะ ผัวเก่า และผัวเก่ากว่าก็ยังต้ม สุดท้ายได้ผัวเป็นพลขับ เปย์แต่งรถไม่ยั้ง ไว้เป็นบช ม๊า งานการไม่ต้องทำ เล่นเกมส์ แต่งรถไปวันๆ กับแอบไปมีกิ๊กอีกตะหากด้วยตัง ที่ได้มาโดยมิชอบ คอยดูนะ สองตัวแฝดจะพัง เพราะไอ่ตัวนี้แหละ ซิบอกไห่ พอ ผสห จะรวมตัว ก็อ้างต้องปักตระกร้า ทุ๊ย เมิงให้เจ้าของตลาดก่อน หรือให้ไฟแน้นที่ออกมาแล้วไปจำ โดนจับได้ก็ตีเชคเด้งก่อน คิดว่าจะถึงมือพวกเมิงเหรอ ถ้าไม่รวมตัวพวกเมิงอด ฮ่าๆๆๆๆ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 796 มุมมอง 0 รีวิว
  • BEM x SIEMENS เรารู้กันอยู่ 3 ตู้...3 ตู้เท่านั้น

    เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ ประเทศเยอรมนี ได้รับการว่าจ้างจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้ดำเนินโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ของระบบเครื่องกลและไฟฟ้าในโครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีส้ม บางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ครอบคลุมการส่งมอบขบวนรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้ 32 ขบวน รวมถึงการบูรณาการระบบเครื่องกลและไฟฟ้า พร้อมสัญญาซ่อมบำรุง

    และโครงการปรับปรุงรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน หลักสอง-ท่าพระ ระยะทาง 48 กิโลเมตร ครอบคลุมการส่งมอบรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้เพิ่มเติม 21 ขบวน รวมถึงการปรับปรุงระบบเครื่องกลและไฟฟ้าเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถี่การเดินรถพร้อมสัญญาซ่อมบำรุง อีกทั้งยังได้เซ็นสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรสำหรับขบวนรถไฟใหม่ที่เพิ่มเติมมา รวมถึงการขยายสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรที่มีอยู่เดิม สิ้นสุดสัญญาในปี 2582

    มีคนสงสัยว่าทำไม BEM ยังคงใช้ขบวนรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้ กับสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม ทั้งๆ ที่คู่แข่งอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอสได้เพิ่มตู้รถไฟฟ้าของซีเมนส์จากแบบ 3 ตู้ เป็น 4 ตู้ทั้ง 35 ขบวน ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงก็มีทั้ง 4 ตู้ต่อขบวน และ 6 ตู้ต่อขบวน คำตอบอย่างไม่เป็นทางการก็คือ ต้องไปแก้ไขระบบอาณัติสัญญาณ (Signaling) และประตูกั้นชานชาลา (PSD) ถ้าเพิ่มขบวนรถไม่ต้องแก้ไข และช่วยเพิ่มความถี่ให้ผู้โดยสารไม่ต้องรอนาน

    ในตอนหนึ่งการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น BEM ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2567 ชี้แจงว่าเนื่องจากสายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) มีจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสถานีร่วม ดังนั้นเมื่อรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกเปิดให้บริการในปี 2571 จะส่งต่อผู้โดยสารจำนวนมากเข้าสู่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มเติมอีก 21 ขบวน และปรับปรุงระบบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการให้บริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมีแนวทางในการจัดซื้อขบวนรถไฟฟ้าแบบ 3 ตู้ประกอบต่อขบวน ซึ่งจะสามารถเพิ่มความถี่ในการให้บริการมากขึ้น มีความยืดหยุ่นได้ตลอดเส้นทาง ไม่เกิดผลกระทบต่อการให้บริการเดินรถในช่วงปรับปรุงระบบรถไฟฟ้า

    อนึ่ง ปัจจุบันรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินมีทั้งหมด 54 ขบวน แบ่งเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรก 19 ขบวน และรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ 35 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ หากมีขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติม 21 ขบวน จะทำให้มีรถไฟฟ้ารวม 75 ขบวน

    #Newskit
    BEM x SIEMENS เรารู้กันอยู่ 3 ตู้...3 ตู้เท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ ประเทศเยอรมนี ได้รับการว่าจ้างจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้ดำเนินโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ของระบบเครื่องกลและไฟฟ้าในโครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีส้ม บางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ครอบคลุมการส่งมอบขบวนรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้ 32 ขบวน รวมถึงการบูรณาการระบบเครื่องกลและไฟฟ้า พร้อมสัญญาซ่อมบำรุง และโครงการปรับปรุงรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน หลักสอง-ท่าพระ ระยะทาง 48 กิโลเมตร ครอบคลุมการส่งมอบรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้เพิ่มเติม 21 ขบวน รวมถึงการปรับปรุงระบบเครื่องกลและไฟฟ้าเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถี่การเดินรถพร้อมสัญญาซ่อมบำรุง อีกทั้งยังได้เซ็นสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรสำหรับขบวนรถไฟใหม่ที่เพิ่มเติมมา รวมถึงการขยายสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรที่มีอยู่เดิม สิ้นสุดสัญญาในปี 2582 มีคนสงสัยว่าทำไม BEM ยังคงใช้ขบวนรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้ กับสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม ทั้งๆ ที่คู่แข่งอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอสได้เพิ่มตู้รถไฟฟ้าของซีเมนส์จากแบบ 3 ตู้ เป็น 4 ตู้ทั้ง 35 ขบวน ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงก็มีทั้ง 4 ตู้ต่อขบวน และ 6 ตู้ต่อขบวน คำตอบอย่างไม่เป็นทางการก็คือ ต้องไปแก้ไขระบบอาณัติสัญญาณ (Signaling) และประตูกั้นชานชาลา (PSD) ถ้าเพิ่มขบวนรถไม่ต้องแก้ไข และช่วยเพิ่มความถี่ให้ผู้โดยสารไม่ต้องรอนาน ในตอนหนึ่งการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น BEM ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2567 ชี้แจงว่าเนื่องจากสายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) มีจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสถานีร่วม ดังนั้นเมื่อรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกเปิดให้บริการในปี 2571 จะส่งต่อผู้โดยสารจำนวนมากเข้าสู่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มเติมอีก 21 ขบวน และปรับปรุงระบบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการให้บริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมีแนวทางในการจัดซื้อขบวนรถไฟฟ้าแบบ 3 ตู้ประกอบต่อขบวน ซึ่งจะสามารถเพิ่มความถี่ในการให้บริการมากขึ้น มีความยืดหยุ่นได้ตลอดเส้นทาง ไม่เกิดผลกระทบต่อการให้บริการเดินรถในช่วงปรับปรุงระบบรถไฟฟ้า อนึ่ง ปัจจุบันรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินมีทั้งหมด 54 ขบวน แบ่งเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรก 19 ขบวน และรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ 35 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ หากมีขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติม 21 ขบวน จะทำให้มีรถไฟฟ้ารวม 75 ขบวน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1050 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts