• #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ไต้หวัน #ไทจง จากคุณบุญสมนะคะ เมื่อวันที่ 25-28 ก.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ

    ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ
    ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ
    แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า

    Travel License: 11/11450
    โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น

    #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395
    💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ไต้หวัน #ไทจง จากคุณบุญสมนะคะ😍 เมื่อวันที่ 25-28 ก.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 📸 ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ 🌈✨ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า 💼✈️ ✔️Travel License: 11/11450 ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง 💙 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ไต้หวัน #ไทจง จากคุณบุญสมนะคะ เมื่อวันที่ 25-28 ก.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ

    ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ
    ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ
    แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า

    Travel License: 11/11450
    โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น

    #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ไต้หวัน #ไทจง จากคุณบุญสมนะคะ😍 เมื่อวันที่ 25-28 ก.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 📸 ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ 🌈✨ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า 💼✈️ ✔️Travel License: 11/11450 ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง 💙 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน

    Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance)

    จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป

    หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว

    แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน

    Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ
    ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง
    รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา

    หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน
    ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ
    ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง

    ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที
    ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง
    เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว

    แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
    เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน
    ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

    รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น

    แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง
    น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์
    พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่

    https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance) จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน ✅ Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ ➡️ ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง ➡️ รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา ✅ หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน ➡️ ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ ➡️ ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ✅ ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง ➡️ เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว ✅ แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ➡️ เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน ➡️ ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ✅ รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น ✅ แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง ➡️ น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์ ➡️ พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “SQL Server 2025” กับการปฏิวัติการจัดการข้อมูลเวกเตอร์

    ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป Microsoft จึงเดินหน้าอัปเดตไดรเวอร์ .NET และ JDBC ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ เพื่อให้ SQL Server 2025 และ Azure SQL Database ทำงานกับข้อมูลเวกเตอร์ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ในฝั่ง .NET มีการเพิ่มคลาสใหม่ชื่อ SqlVector ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลเวกเตอร์ได้โดยตรง แทนการใช้ JSON array แบบเดิมที่ช้าและกินหน่วยความจำมาก โดยผลการทดสอบพบว่า:

    - อ่านข้อมูลเร็วขึ้นถึง 50 เท่า
    - เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า
    - ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า

    ในฝั่ง JDBC ก็มีการเพิ่ม VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ซึ่งสามารถใช้ในคำสั่ง insert, select, stored procedure และ bulk copy ได้โดยตรง—เหมาะกับแอปพลิเคชัน Java ที่ใช้ AI และ semantic search

    การปรับปรุงนี้รองรับ SQL Server 2025 Preview, Azure SQL Database, Azure SQL Managed Instance และ Microsoft Fabric Preview โดยต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป

    Microsoft อัปเดต .NET และ JDBC drivers ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ
    .NET ใช้ SqlVector class ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0
    JDBC ใช้ VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0

    ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ JSON array
    อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 50 เท่า
    เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า
    ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า

    ลดการใช้หน่วยความจำ เพราะไม่ต้อง serialize JSON อีกต่อไป
    ใช้ binary format สำหรับจัดเก็บเวกเตอร์
    รองรับ float 32-bit และสามารถขยายไปยัง numeric type อื่นในอนาคต

    รองรับการใช้งานใน SQL Server 2025, Azure SQL Database, Managed Instance และ Microsoft Fabric
    ต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป
    ถ้าใช้เวอร์ชันเก่าจะยังคงใช้ varchar(max) และ JSON array

    เหมาะกับงาน AI เช่น semantic search, recommendation, NLP และ fraud detection
    ใช้เวกเตอร์แทนข้อมูล เช่น embeddings จากข้อความหรือภาพ
    รองรับการค้นหาแบบ k-NN และการวัดระยะห่างด้วย cosine, Euclidean, dot product

    https://www.neowin.net/news/net-and-jdbc-drivers-get-native-vector-data-support-enabling-up-to-50x-faster-reads/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “SQL Server 2025” กับการปฏิวัติการจัดการข้อมูลเวกเตอร์ ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป Microsoft จึงเดินหน้าอัปเดตไดรเวอร์ .NET และ JDBC ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ เพื่อให้ SQL Server 2025 และ Azure SQL Database ทำงานกับข้อมูลเวกเตอร์ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในฝั่ง .NET มีการเพิ่มคลาสใหม่ชื่อ SqlVector ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลเวกเตอร์ได้โดยตรง แทนการใช้ JSON array แบบเดิมที่ช้าและกินหน่วยความจำมาก โดยผลการทดสอบพบว่า: - อ่านข้อมูลเร็วขึ้นถึง 50 เท่า - เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า - ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า ในฝั่ง JDBC ก็มีการเพิ่ม VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ซึ่งสามารถใช้ในคำสั่ง insert, select, stored procedure และ bulk copy ได้โดยตรง—เหมาะกับแอปพลิเคชัน Java ที่ใช้ AI และ semantic search การปรับปรุงนี้รองรับ SQL Server 2025 Preview, Azure SQL Database, Azure SQL Managed Instance และ Microsoft Fabric Preview โดยต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป ✅ Microsoft อัปเดต .NET และ JDBC drivers ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ ➡️ .NET ใช้ SqlVector class ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ➡️ JDBC ใช้ VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ✅ ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ JSON array ➡️ อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 50 เท่า ➡️ เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า ➡️ ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า ✅ ลดการใช้หน่วยความจำ เพราะไม่ต้อง serialize JSON อีกต่อไป ➡️ ใช้ binary format สำหรับจัดเก็บเวกเตอร์ ➡️ รองรับ float 32-bit และสามารถขยายไปยัง numeric type อื่นในอนาคต ✅ รองรับการใช้งานใน SQL Server 2025, Azure SQL Database, Managed Instance และ Microsoft Fabric ➡️ ต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป ➡️ ถ้าใช้เวอร์ชันเก่าจะยังคงใช้ varchar(max) และ JSON array ✅ เหมาะกับงาน AI เช่น semantic search, recommendation, NLP และ fraud detection ➡️ ใช้เวกเตอร์แทนข้อมูล เช่น embeddings จากข้อความหรือภาพ ➡️ รองรับการค้นหาแบบ k-NN และการวัดระยะห่างด้วย cosine, Euclidean, dot product https://www.neowin.net/news/net-and-jdbc-drivers-get-native-vector-data-support-enabling-up-to-50x-faster-reads/
    WWW.NEOWIN.NET
    .NET and JDBC drivers get native vector data support, enabling up to 50x faster reads
    Microsoft has introduced native support for vectors in .NET and JDBC drivers, enabling up to 50x read speed improvements and 3.3x for write operations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามทดสอบ: เมื่อ AI Red Teams ทำหน้าที่ “เจาะก่อนเจ็บ”

    เมื่อ “AI Red Teams” กลายเป็นด่านหน้าในการค้นหาช่องโหว่ของระบบปัญญาประดิษฐ์ ก่อนที่แฮกเกอร์ตัวจริงจะลงมือ โดยใช้เทคนิคตั้งแต่ prompt injection ไปจนถึง privilege escalation เพื่อทดสอบความปลอดภัยและความปลอดภัยของโมเดล AI ที่กำลังถูกนำไปใช้ในธุรกิจทั่วโลก

    ในยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยตัดสินใจในองค์กร การรักษาความปลอดภัยของระบบ AI จึงไม่ใช่เรื่องรองอีกต่อไป ทีม Red Team ที่เชี่ยวชาญด้าน AI ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ในการเจาะระบบ เช่น:
    - การหลอกให้โมเดลละเมิดข้อจำกัดด้วย prompt ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย
    - การใช้ emotional manipulation เช่น “คุณเข้าใจผิด” หรือ “ช่วยฉันเถอะ ฉุกเฉินมาก”
    - การเจาะ backend โดยตรงผ่าน creative injection และ endpoint targeting
    - การใช้โมเดลในฐานะตัวแทนผู้ใช้เพื่อขยายสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต (access pivoting)

    เป้าหมายไม่ใช่แค่ “ทำให้โมเดลพัง” แต่เพื่อค้นหาว่าโมเดลจะตอบสนองอย่างไรเมื่อถูกโจมตีจริง และจะสามารถป้องกันได้หรือไม่

    AI Red Teams คือทีมที่ใช้เทคนิคเจาะระบบเพื่อค้นหาช่องโหว่ในโมเดล AI ก่อนที่แฮกเกอร์จะพบ
    ใช้เทคนิค prompt injection, privilege escalation, emotional manipulation
    ทดสอบทั้งด้าน security (ป้องกัน AI จากโลกภายนอก) และ safety (ป้องกันโลกจาก AI)

    โมเดล AI มีลักษณะไม่แน่นอน (non-deterministic) ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแม้ใช้ input เดิม
    ทำให้การทดสอบต้องใช้หลายรอบและหลากหลายบริบท
    การเจาะระบบต้องอาศัยทั้งเทคนิคและความเข้าใจเชิงพฤติกรรม

    ตัวอย่างเทคนิคที่ใช้ในการ red teaming
    Prompt extraction: ดึงคำสั่งระบบที่ซ่อนอยู่
    Endpoint targeting: เจาะ backend โดยตรง
    Creative injection: หลอกให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันอันตราย
    Access pivoting: ใช้สิทธิ์ของ AI agent เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์

    Red Teams พบช่องโหว่ในระบบจริง เช่น context window failure และ fallback behavior ที่ไม่ปลอดภัย
    โมเดลลืมคำสั่งเดิมเมื่อบทสนทนายาวเกินไป
    ตอบคำถามด้วยข้อมูลผิดหรือไม่ชัดเจนเมื่อไม่สามารถดึงข้อมูลได้

    พบปัญหา privilege creep และการเข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ผ่าน AI interfaces
    ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถเข้าถึงข้อมูลระดับผู้บริหารได้
    โมเดลไม่ตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสมเมื่อเรียกข้อมูล

    Prompt injection สามารถทำให้โมเดลละเมิดข้อจำกัดและให้ข้อมูลอันตรายได้
    เช่น การเปลี่ยนคำถามเป็น “แค่เรื่องแต่ง” เพื่อให้โมเดลตอบคำถามผิดกฎหมาย
    อาจนำไปสู่การสร้างเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือผิดจรรยาบรรณ

    ระบบ AI ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือภายนอก เช่น API หรือฐานข้อมูล เสี่ยงต่อการ privilege escalation
    โมเดลอาจเรียกใช้ฟังก์ชันที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์
    ส่งผลให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ

    การไม่ตรวจสอบ context และ scope อย่างเข้มงวดอาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาด
    เช่น ลืมว่าอยู่ในโหมด onboarding แล้วไปดึงข้อมูล performance review
    ทำให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวในระบบที่มีความไวสูง

    ระบบ prompt ที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของโมเดลอาจรั่วไหลได้ผ่าน prompt extraction
    อาจเผยให้เห็น API key หรือคำสั่งภายในที่ควบคุมโมเดล
    เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้โจมตีที่ต้องการเข้าใจตรรกะของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4029862/how-ai-red-teams-find-hidden-flaws-before-attackers-do.html
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามทดสอบ: เมื่อ AI Red Teams ทำหน้าที่ “เจาะก่อนเจ็บ” เมื่อ “AI Red Teams” กลายเป็นด่านหน้าในการค้นหาช่องโหว่ของระบบปัญญาประดิษฐ์ ก่อนที่แฮกเกอร์ตัวจริงจะลงมือ โดยใช้เทคนิคตั้งแต่ prompt injection ไปจนถึง privilege escalation เพื่อทดสอบความปลอดภัยและความปลอดภัยของโมเดล AI ที่กำลังถูกนำไปใช้ในธุรกิจทั่วโลก ในยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยตัดสินใจในองค์กร การรักษาความปลอดภัยของระบบ AI จึงไม่ใช่เรื่องรองอีกต่อไป ทีม Red Team ที่เชี่ยวชาญด้าน AI ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ในการเจาะระบบ เช่น: - การหลอกให้โมเดลละเมิดข้อจำกัดด้วย prompt ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย - การใช้ emotional manipulation เช่น “คุณเข้าใจผิด” หรือ “ช่วยฉันเถอะ ฉุกเฉินมาก” - การเจาะ backend โดยตรงผ่าน creative injection และ endpoint targeting - การใช้โมเดลในฐานะตัวแทนผู้ใช้เพื่อขยายสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต (access pivoting) เป้าหมายไม่ใช่แค่ “ทำให้โมเดลพัง” แต่เพื่อค้นหาว่าโมเดลจะตอบสนองอย่างไรเมื่อถูกโจมตีจริง และจะสามารถป้องกันได้หรือไม่ ✅ AI Red Teams คือทีมที่ใช้เทคนิคเจาะระบบเพื่อค้นหาช่องโหว่ในโมเดล AI ก่อนที่แฮกเกอร์จะพบ ➡️ ใช้เทคนิค prompt injection, privilege escalation, emotional manipulation ➡️ ทดสอบทั้งด้าน security (ป้องกัน AI จากโลกภายนอก) และ safety (ป้องกันโลกจาก AI) ✅ โมเดล AI มีลักษณะไม่แน่นอน (non-deterministic) ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแม้ใช้ input เดิม ➡️ ทำให้การทดสอบต้องใช้หลายรอบและหลากหลายบริบท ➡️ การเจาะระบบต้องอาศัยทั้งเทคนิคและความเข้าใจเชิงพฤติกรรม ✅ ตัวอย่างเทคนิคที่ใช้ในการ red teaming ➡️ Prompt extraction: ดึงคำสั่งระบบที่ซ่อนอยู่ ➡️ Endpoint targeting: เจาะ backend โดยตรง ➡️ Creative injection: หลอกให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันอันตราย ➡️ Access pivoting: ใช้สิทธิ์ของ AI agent เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ ✅ Red Teams พบช่องโหว่ในระบบจริง เช่น context window failure และ fallback behavior ที่ไม่ปลอดภัย ➡️ โมเดลลืมคำสั่งเดิมเมื่อบทสนทนายาวเกินไป ➡️ ตอบคำถามด้วยข้อมูลผิดหรือไม่ชัดเจนเมื่อไม่สามารถดึงข้อมูลได้ ✅ พบปัญหา privilege creep และการเข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ผ่าน AI interfaces ➡️ ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถเข้าถึงข้อมูลระดับผู้บริหารได้ ➡️ โมเดลไม่ตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสมเมื่อเรียกข้อมูล ‼️ Prompt injection สามารถทำให้โมเดลละเมิดข้อจำกัดและให้ข้อมูลอันตรายได้ ⛔ เช่น การเปลี่ยนคำถามเป็น “แค่เรื่องแต่ง” เพื่อให้โมเดลตอบคำถามผิดกฎหมาย ⛔ อาจนำไปสู่การสร้างเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือผิดจรรยาบรรณ ‼️ ระบบ AI ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือภายนอก เช่น API หรือฐานข้อมูล เสี่ยงต่อการ privilege escalation ⛔ โมเดลอาจเรียกใช้ฟังก์ชันที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ ⛔ ส่งผลให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ ‼️ การไม่ตรวจสอบ context และ scope อย่างเข้มงวดอาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาด ⛔ เช่น ลืมว่าอยู่ในโหมด onboarding แล้วไปดึงข้อมูล performance review ⛔ ทำให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวในระบบที่มีความไวสูง ‼️ ระบบ prompt ที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของโมเดลอาจรั่วไหลได้ผ่าน prompt extraction ⛔ อาจเผยให้เห็น API key หรือคำสั่งภายในที่ควบคุมโมเดล ⛔ เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้โจมตีที่ต้องการเข้าใจตรรกะของระบบ https://www.csoonline.com/article/4029862/how-ai-red-teams-find-hidden-flaws-before-attackers-do.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How AI red teams find hidden flaws before attackers do
    As generative AI transforms business, security experts are adapting hacking techniques to discover vulnerabilities in intelligent systems — from prompt injection to privilege escalation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เฟซบุ๊กเพจ "SMART Soldiers Strong ARMY" แจงเพจดัง “ตุ๊ดส์ review” ถามงบกลาโหมไปไหน หลังเห็นมีบริจาคอยู่เรื่อย เผยส่วนใหญ่กว่า 50–60% ถูกใช้เป็นเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ส่วนความห่วงใยของประชาชนเป็นคนละเรื่องกัน ทหารไม่เคยร้องขอเกินจำเป็น แต่พร้อมรับสิ่งที่ประชาชนมอบให้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071156

    #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    เฟซบุ๊กเพจ "SMART Soldiers Strong ARMY" แจงเพจดัง “ตุ๊ดส์ review” ถามงบกลาโหมไปไหน หลังเห็นมีบริจาคอยู่เรื่อย เผยส่วนใหญ่กว่า 50–60% ถูกใช้เป็นเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ส่วนความห่วงใยของประชาชนเป็นคนละเรื่องกัน ทหารไม่เคยร้องขอเกินจำเป็น แต่พร้อมรับสิ่งที่ประชาชนมอบให้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071156 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 618 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย

    Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น:

    - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน
    - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง
    - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด

    จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ

    แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น:
    - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end
    - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์
    - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน

    Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก

    Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI
    เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

    โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding
    สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม

    ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation
    ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป

    เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ
    เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้

    โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding
    เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google

    Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน
    เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic

    ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท
    หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ

    การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ
    ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย

    โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์
    ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ

    ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน
    อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang

    การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น: - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น: - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์ - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก ✅ Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI ➡️ เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ✅ โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding ➡️ สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม ✅ ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป ✅ เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ ➡️ เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ✅ โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding ➡️ เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google ✅ Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน ➡️ เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic ‼️ ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท ⛔ หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ ⛔ ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย ‼️ โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์ ⛔ ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ ‼️ ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน ⛔ อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang ‼️ การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba launches open-source AI coding model, touted as its most advanced to date
    BEIJING (Reuters) -Alibaba has launched an open-source artificial intelligence coding model, called Qwen3-Coder, it said in a statement on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USB: ถ้าโลกล่มสลาย จะพก LLM หรือ Wikipedia ไว้ช่วยชีวิต?

    ผู้เขียนเริ่มต้นจากบทความของ MIT Tech Review ที่พูดถึงการใช้ LLM บนอุปกรณ์ของตนเองในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีคนกล่าวว่า LLM ก็เหมือน "Wikipedia แบบบีบอัดและผิด ๆ หน่อย ๆ" บน USB

    เขาจึงทดลองเปรียบเทียบ “ขนาดไฟล์” ของโมเดล LLM จากห้องสมุด Ollama ที่สามารถใช้บนเครื่องทั่วไป กับ “Wikipedia ออฟไลน์” จาก Kiwix ซึ่งไม่มีภาพ เพื่อให้เปรียบเทียบได้ใกล้เคียงขึ้น

    ผลลัพธ์พบว่า:
    - Wikipedia เวอร์ชัน 50K บทความยอดนิยม (Best of Wikipedia) มีขนาด 1.93 GB
    - ขณะที่โมเดล Llama 3.2 ขนาด 3B มีขนาด 2.0 GB — แทบเท่ากัน!
    - Wikipedia ฉบับเต็มมีขนาด 57.18 GB ซึ่งใหญ่กว่าโมเดล LLM ขนาด 32B (ประมาณ 20 GB) ไปมาก

    ผู้เขียนชี้ว่าการเปรียบเทียบนี้ไม่แม่นยำนัก เพราะทั้งสองใช้คนละเทคโนโลยี คนละวัตถุประสงค์ — แต่ก็ชวนคิดว่า "แหล่งความรู้แบบไหน" ที่เราควรเลือกเก็บไว้ในโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต

    นอกจากนี้ยังเตือนว่า:
    - LLM ต้องใช้ RAM และ CPU มากกว่า Wikipedia ออฟไลน์
    - Wikipedia อาจรันบนโน้ตบุ๊กรุ่นเก่าได้ง่ายกว่า
    - ความสามารถของ LLM ขึ้นกับว่าเราเลือก “ขนาด” และ “การเทรน” ที่เหมาะแค่ไหน

    สุดท้ายผู้เขียนสรุปว่า บางทีควรโหลดไว้ทั้งคู่เลยก็ได้

    https://evanhahn.com/local-llms-versus-offline-wikipedia/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USB: ถ้าโลกล่มสลาย จะพก LLM หรือ Wikipedia ไว้ช่วยชีวิต? ผู้เขียนเริ่มต้นจากบทความของ MIT Tech Review ที่พูดถึงการใช้ LLM บนอุปกรณ์ของตนเองในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีคนกล่าวว่า LLM ก็เหมือน "Wikipedia แบบบีบอัดและผิด ๆ หน่อย ๆ" บน USB เขาจึงทดลองเปรียบเทียบ “ขนาดไฟล์” ของโมเดล LLM จากห้องสมุด Ollama ที่สามารถใช้บนเครื่องทั่วไป กับ “Wikipedia ออฟไลน์” จาก Kiwix ซึ่งไม่มีภาพ เพื่อให้เปรียบเทียบได้ใกล้เคียงขึ้น 📊 ผลลัพธ์พบว่า: - Wikipedia เวอร์ชัน 50K บทความยอดนิยม (Best of Wikipedia) มีขนาด 1.93 GB - ขณะที่โมเดล Llama 3.2 ขนาด 3B มีขนาด 2.0 GB — แทบเท่ากัน! - Wikipedia ฉบับเต็มมีขนาด 57.18 GB ซึ่งใหญ่กว่าโมเดล LLM ขนาด 32B (ประมาณ 20 GB) ไปมาก ผู้เขียนชี้ว่าการเปรียบเทียบนี้ไม่แม่นยำนัก เพราะทั้งสองใช้คนละเทคโนโลยี คนละวัตถุประสงค์ — แต่ก็ชวนคิดว่า "แหล่งความรู้แบบไหน" ที่เราควรเลือกเก็บไว้ในโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเตือนว่า: - LLM ต้องใช้ RAM และ CPU มากกว่า Wikipedia ออฟไลน์ - Wikipedia อาจรันบนโน้ตบุ๊กรุ่นเก่าได้ง่ายกว่า - ความสามารถของ LLM ขึ้นกับว่าเราเลือก “ขนาด” และ “การเทรน” ที่เหมาะแค่ไหน สุดท้ายผู้เขียนสรุปว่า บางทีควรโหลดไว้ทั้งคู่เลยก็ได้ 😊 https://evanhahn.com/local-llms-versus-offline-wikipedia/
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Use “Lay” vs. “Lie” Correctly Every Time

    The difference between the verbs lay and lie is one of English’s most confusing questions. Both words involve something or someone in a horizontal position, but where the two words differ has to do with who or what is horizontal—the subject of the verb (the one doing the action) or the direct object (the person or thing being acted upon).

    In this article, we’ll break down the difference between lay and lie, including the past tense forms and the phrases lay down, lie down, and laid down.

    Quick summary

    Lay means to place or put (Lay that here). The word lay is also the past tense form of the sense of lie that means to recline, as in I lay in bed yesterday. Lay down can mean to place down (Lay down your bags), but it can also be the past tense of lie down, as in I lay down for a few hours. A nonstandard but common use of lay is to mean the same thing as the present tense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes or I laid down for a few hours. It’s best to avoid this use (and the confusion it can cause) in formal contexts.

    Is it lay or lie?

    Lay commonly means to put or place someone or something down, as in Lay the bags on the table or I’m going to lay the baby in the crib. It’s a transitive verb, meaning it requires a direct object (I lay the quilt on the couch; I lay the book on the table).

    The sense of lie that’s often confused with lay means to be in or get into a reclining position—to recline, as in I just want to lie in bed for a few more minutes. Lie is an intransitive verb, meaning it does not take a direct object (Don’t just lie there).

    Lay is typically used with an object, meaning someone or something is getting laid down by someone. In contrast, lie is something you do yourself without any other recipients of the action.

    If you’re the one lying comfortably on your back, you want the verb lie, but if you can replace the verb with place or put (Please place the book on the table), then use the verb lay (Please lay the book on the table).

    Though this use is considered nonstandard, lay is commonly used to mean the same thing as this sense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes. Although lay and lie are often used interchangeably in casual communication, it’s best to use them in the standard way in more formal contexts.

    lay vs. lie in the past tense

    The confusion between the two words is largely due to the fact that lay is also the irregular past tense form of this sense of lie, as in I lay in bed yesterday morning wishing I could go back to sleep. (In contrast, when lie is used as a verb meaning to tell an untruth, its past tense is simply lied.) The past tense of lay as in “put or place down” is laid, as in I laid the bags on the table.

    The past participle forms of lay and lie (formed with the helping verb have) are also distinct: lay maintains its past form laid, but lie becomes lain, as in I have lain in bed for the past three hours.

    The continuous tense (-ing form) of this sense of lie is the same as the untruth sense: lying, as in I am lying in bed right now.

    Review all the different verb tenses right here!

    lay down or lie down

    The “recline” sense of lie is commonly used in the verb phrase lie down, as in I was feeling tired so I decided to lie down. Using the phrase lay down to mean the same thing is considered nonstandard, but it’s also very common.

    Lay down is also used as a verb phrase meaning about the same thing as lay, as in You can lay down your bags on the table (or You can lay your bags down on the table).

    How to use lay and lie in a sentence

    A good way to remember which one to use is to think about whether you could replace the word with put or recline. If you can replace it with put, you want to use lay, as in Please lay (put) the bags on the table. If you could replace the word with recline, you want to use lie, as in I just want to lie (recline) in bed for a few more minutes.

    Here are several examples of how to correctly use lay and lie in a sentence, including examples with the past tense of both words and both used in the same sentence.

    - I feel like I need to lie down.
    - Please lay the groceries on the table.
    - I laid all of the ingredients on the kitchen counter last night.
    - Last night, I lay awake for hours, unable to sleep.
    - I had just lain down to go to sleep when I heard a noise.
    - I’m looking for the book that you had laid on the bedside table.
    - He said he was just going to lay the blanket on the grass and lie on it for a few minutes, but he lied. After he laid the blanket down, he lay on it for two hours!

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    How To Use “Lay” vs. “Lie” Correctly Every Time The difference between the verbs lay and lie is one of English’s most confusing questions. Both words involve something or someone in a horizontal position, but where the two words differ has to do with who or what is horizontal—the subject of the verb (the one doing the action) or the direct object (the person or thing being acted upon). In this article, we’ll break down the difference between lay and lie, including the past tense forms and the phrases lay down, lie down, and laid down. Quick summary Lay means to place or put (Lay that here). The word lay is also the past tense form of the sense of lie that means to recline, as in I lay in bed yesterday. Lay down can mean to place down (Lay down your bags), but it can also be the past tense of lie down, as in I lay down for a few hours. A nonstandard but common use of lay is to mean the same thing as the present tense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes or I laid down for a few hours. It’s best to avoid this use (and the confusion it can cause) in formal contexts. Is it lay or lie? Lay commonly means to put or place someone or something down, as in Lay the bags on the table or I’m going to lay the baby in the crib. It’s a transitive verb, meaning it requires a direct object (I lay the quilt on the couch; I lay the book on the table). The sense of lie that’s often confused with lay means to be in or get into a reclining position—to recline, as in I just want to lie in bed for a few more minutes. Lie is an intransitive verb, meaning it does not take a direct object (Don’t just lie there). Lay is typically used with an object, meaning someone or something is getting laid down by someone. In contrast, lie is something you do yourself without any other recipients of the action. If you’re the one lying comfortably on your back, you want the verb lie, but if you can replace the verb with place or put (Please place the book on the table), then use the verb lay (Please lay the book on the table). Though this use is considered nonstandard, lay is commonly used to mean the same thing as this sense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes. Although lay and lie are often used interchangeably in casual communication, it’s best to use them in the standard way in more formal contexts. lay vs. lie in the past tense The confusion between the two words is largely due to the fact that lay is also the irregular past tense form of this sense of lie, as in I lay in bed yesterday morning wishing I could go back to sleep. (In contrast, when lie is used as a verb meaning to tell an untruth, its past tense is simply lied.) The past tense of lay as in “put or place down” is laid, as in I laid the bags on the table. The past participle forms of lay and lie (formed with the helping verb have) are also distinct: lay maintains its past form laid, but lie becomes lain, as in I have lain in bed for the past three hours. The continuous tense (-ing form) of this sense of lie is the same as the untruth sense: lying, as in I am lying in bed right now. Review all the different verb tenses right here! lay down or lie down The “recline” sense of lie is commonly used in the verb phrase lie down, as in I was feeling tired so I decided to lie down. Using the phrase lay down to mean the same thing is considered nonstandard, but it’s also very common. Lay down is also used as a verb phrase meaning about the same thing as lay, as in You can lay down your bags on the table (or You can lay your bags down on the table). How to use lay and lie in a sentence A good way to remember which one to use is to think about whether you could replace the word with put or recline. If you can replace it with put, you want to use lay, as in Please lay (put) the bags on the table. If you could replace the word with recline, you want to use lie, as in I just want to lie (recline) in bed for a few more minutes. Here are several examples of how to correctly use lay and lie in a sentence, including examples with the past tense of both words and both used in the same sentence. - I feel like I need to lie down. - Please lay the groceries on the table. - I laid all of the ingredients on the kitchen counter last night. - Last night, I lay awake for hours, unable to sleep. - I had just lain down to go to sleep when I heard a noise. - I’m looking for the book that you had laid on the bedside table. - He said he was just going to lay the blanket on the grass and lie on it for a few minutes, but he lied. After he laid the blanket down, he lay on it for two hours! © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Radeon: 5 ปีของ GPU สายกลางจาก AMD ที่ขาดแรงกระตุ้น

    TechSpot ทดสอบ GPU จาก 4 รุ่นในกลุ่ม “60-class” ของ AMD ได้แก่:
    - RX 5600 XT (2020)
    - RX 6600 (2021)
    - RX 7600 (2023)
    - RX 9060 XT 8GB (2025)

    เพื่อดูว่าที่ผ่านมา AMD พัฒนาอะไรบ้างในตลาด GPU ราคา $300 ซึ่งเคยมีความหมายสำคัญต่อกลุ่มผู้เล่นเกมระดับกลาง

    ผลทดสอบจาก 7 เกม ได้แก่ Rainbow Six Siege, Horizon Zero Dawn Remastered, Cyberpunk 2077: Phantom Liberty, Warhammer 40K: Space Marine II, Tomb Raider, Call of Duty: Black Ops 6 และ Kingdom Come: Deliverance II พบว่า:

    RX 6600 ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5600 XT (เฉลี่ยเพียง 11–20%)
    RX 7600 ค่อยยังชั่ว เพิ่มจาก 6600 ได้ประมาณ 30%
    RX 9060 XT 8GB คือจุดเปลี่ยนที่น่าประทับใจด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพจาก RX 7600 สูงถึง 40–50% ขึ้นอยู่กับเกมและคุณภาพกราฟิกที่ใช้

    แต่ถึง RX 9060 XT จะเร็วจริง ก็ยังมีข้อจำกัดเช่น VRAM เพียง 8GB และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจาก Nvidia ในปี 2025 ยังคงต้องพิจารณา

    https://www.techspot.com/review/3016-amd-radeon-60-gpu-class/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Radeon: 5 ปีของ GPU สายกลางจาก AMD ที่ขาดแรงกระตุ้น TechSpot ทดสอบ GPU จาก 4 รุ่นในกลุ่ม “60-class” ของ AMD ได้แก่: - RX 5600 XT (2020) - RX 6600 (2021) - RX 7600 (2023) - RX 9060 XT 8GB (2025) เพื่อดูว่าที่ผ่านมา AMD พัฒนาอะไรบ้างในตลาด GPU ราคา $300 ซึ่งเคยมีความหมายสำคัญต่อกลุ่มผู้เล่นเกมระดับกลาง 📊 ผลทดสอบจาก 7 เกม ได้แก่ Rainbow Six Siege, Horizon Zero Dawn Remastered, Cyberpunk 2077: Phantom Liberty, Warhammer 40K: Space Marine II, Tomb Raider, Call of Duty: Black Ops 6 และ Kingdom Come: Deliverance II พบว่า: ➡️ RX 6600 ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5600 XT (เฉลี่ยเพียง 11–20%) ➡️ RX 7600 ค่อยยังชั่ว เพิ่มจาก 6600 ได้ประมาณ 30% ➡️ RX 9060 XT 8GB คือจุดเปลี่ยนที่น่าประทับใจด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพจาก RX 7600 สูงถึง 40–50% ขึ้นอยู่กับเกมและคุณภาพกราฟิกที่ใช้ แต่ถึง RX 9060 XT จะเร็วจริง ก็ยังมีข้อจำกัดเช่น VRAM เพียง 8GB และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจาก Nvidia ในปี 2025 ยังคงต้องพิจารณา https://www.techspot.com/review/3016-amd-radeon-60-gpu-class/
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Stagnation: Five Years of Mainstream Radeon GPUs Tested
    Let's put four generations of AMD Radeon GPUs to the test to see how the $300 segment has evolved over the past five years. From the 5600...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกรีโทรเกม: รีวิวเครื่องเกมพกพาอาจพาเข้าคุก?

    Francesco Salicini เจ้าของช่อง YouTube “Once Were Nerd” ที่มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน ถูกหน่วยอาชญากรรมเศรษฐกิจของตำรวจอิตาลีบุกค้นบ้านเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2025 และยึดเครื่องเกมพกพา 30 เครื่องจากแบรนด์ TrimUI, Powkiddy และ Anbernic ซึ่งมาพร้อม microSD ที่มี ROM เกมละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งไว้

    ตำรวจยังยึดโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไปด้วย (และคืนในเดือนมิถุนายน) โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดมาตรา 171 ของกฎหมายอิตาลี ซึ่งห้ามการส่งเสริมเนื้อหาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเกมจาก Sony และ Nintendo

    แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Sony หรือ Nintendo เป็นผู้ร้องเรียนโดยตรงหรือไม่ แต่ในอิตาลี ตำรวจสามารถดำเนินคดีโดยไม่ต้องเปิดเผยผู้กล่าวหา

    Salicini ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้โปรโมตหรือขายเครื่องเหล่านี้ และไม่ได้รับสปอนเซอร์หรือใส่ลิงก์พันธมิตรในวิดีโอ เขาได้ว่าจ้างทนายความและเปิดแคมเปญ GoFundMe เพื่อขอรับบริจาคช่วยค่าดำเนินคดี

    https://www.techspot.com/news/108709-youtuber-raided-italian-police-reviewing-handhelds-preloaded-roms.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกรีโทรเกม: รีวิวเครื่องเกมพกพาอาจพาเข้าคุก? Francesco Salicini เจ้าของช่อง YouTube “Once Were Nerd” ที่มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน ถูกหน่วยอาชญากรรมเศรษฐกิจของตำรวจอิตาลีบุกค้นบ้านเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2025 และยึดเครื่องเกมพกพา 30 เครื่องจากแบรนด์ TrimUI, Powkiddy และ Anbernic ซึ่งมาพร้อม microSD ที่มี ROM เกมละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งไว้ ตำรวจยังยึดโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไปด้วย (และคืนในเดือนมิถุนายน) โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดมาตรา 171 ของกฎหมายอิตาลี ซึ่งห้ามการส่งเสริมเนื้อหาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเกมจาก Sony และ Nintendo แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Sony หรือ Nintendo เป็นผู้ร้องเรียนโดยตรงหรือไม่ แต่ในอิตาลี ตำรวจสามารถดำเนินคดีโดยไม่ต้องเปิดเผยผู้กล่าวหา Salicini ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้โปรโมตหรือขายเครื่องเหล่านี้ และไม่ได้รับสปอนเซอร์หรือใส่ลิงก์พันธมิตรในวิดีโอ เขาได้ว่าจ้างทนายความและเปิดแคมเปญ GoFundMe เพื่อขอรับบริจาคช่วยค่าดำเนินคดี https://www.techspot.com/news/108709-youtuber-raided-italian-police-reviewing-handhelds-preloaded-roms.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    YouTuber raided by Italian police for reviewing handhelds with preloaded ROMs
    In a video titled "They Reported Me," Salicini alleges that the Economic and Financial Crimes unit of the Italian police raided his home on April 15 and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากรางรถไฟ: ช่องโหว่ที่ถูกละเลยในระบบสื่อสารรถไฟสหรัฐฯ

    ย้อนกลับไปปี 2012 นักวิจัยอิสระ Neil Smith ค้นพบช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ (Head-of-Train และ End-of-Train Remote Linking Protocol) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น คำสั่งเบรก

    Smith พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เครื่องมือราคาถูก เช่น โมเด็มแบบ frequency shift keying และอุปกรณ์พกพาเล็ก ๆ เพื่อดักฟังและส่งคำสั่งปลอมไปยังระบบรถไฟได้ หากอยู่ในระยะไม่กี่ร้อยฟุต หรือแม้แต่จากเครื่องบินที่บินสูงก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 150 ไมล์

    แม้จะมีการแจ้งเตือนต่อสมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) แต่กลับถูกเพิกเฉย โดยอ้างว่า “ต้องมีการพิสูจน์ในสถานการณ์จริง” จึงจะยอมรับว่าเป็นช่องโหว่

    จนกระทั่งปี 2016 ที่บทความใน Boston Review ทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง แต่ AAR ก็ยังลดทอนความรุนแรงของปัญหา และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีแผนแก้ไขที่ชัดเจน

    หน่วยงาน CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้ “เป็นที่เข้าใจและถูกติดตามมานาน” แต่มองว่าการโจมตีต้องใช้ความรู้เฉพาะและการเข้าถึงทางกายภาพ จึงไม่น่าจะเกิดการโจมตีในวงกว้างได้ง่าย

    อย่างไรก็ตาม Smith โต้แย้งว่า ช่องโหว่นี้มี “ความซับซ้อนต่ำ” และ AI ก็สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต เขายังวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมรถไฟใช้แนวทาง “delay, deny, defend” เหมือนบริษัทประกันภัยในการรับมือกับปัญหาความปลอดภัย

    ช่องโหว่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 2012 โดย Neil Smith
    เป็นช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ

    ใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ
    เช่น คำสั่งเบรกและข้อมูลการทำงาน

    สามารถโจมตีได้ด้วยอุปกรณ์ราคาถูกและความรู้พื้นฐาน
    เช่น โมเด็ม FSK และการดักฟังสัญญาณในระยะไม่กี่ร้อยฟุต

    สมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) ปฏิเสธที่จะยอมรับช่องโหว่
    อ้างว่าต้องพิสูจน์ในสถานการณ์จริงก่อน

    CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงการมานาน
    กำลังร่วมมือกับอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงโปรโตคอล

    Smith ระบุว่า AI สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่
    ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์

    ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
    AAR ไม่ได้ให้ timeline สำหรับการอัปเดตระบบ

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากระยะไกลด้วยอุปกรณ์พลังสูง
    เช่น จากเครื่องบินที่บินสูงถึง 30,000 ฟุต

    การเพิกเฉยต่อปัญหาความปลอดภัยอาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง
    โดยเฉพาะในระบบขนส่งที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก

    การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการเข้ารหัสเป็นความเสี่ยง
    ระบบนี้ถูกออกแบบตั้งแต่ยุค 1980 และยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

    https://www.techspot.com/news/108675-us-rail-industry-exposed-decade-old-hacking-threat.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากรางรถไฟ: ช่องโหว่ที่ถูกละเลยในระบบสื่อสารรถไฟสหรัฐฯ ย้อนกลับไปปี 2012 นักวิจัยอิสระ Neil Smith ค้นพบช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ (Head-of-Train และ End-of-Train Remote Linking Protocol) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น คำสั่งเบรก Smith พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เครื่องมือราคาถูก เช่น โมเด็มแบบ frequency shift keying และอุปกรณ์พกพาเล็ก ๆ เพื่อดักฟังและส่งคำสั่งปลอมไปยังระบบรถไฟได้ หากอยู่ในระยะไม่กี่ร้อยฟุต หรือแม้แต่จากเครื่องบินที่บินสูงก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 150 ไมล์ แม้จะมีการแจ้งเตือนต่อสมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) แต่กลับถูกเพิกเฉย โดยอ้างว่า “ต้องมีการพิสูจน์ในสถานการณ์จริง” จึงจะยอมรับว่าเป็นช่องโหว่ จนกระทั่งปี 2016 ที่บทความใน Boston Review ทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง แต่ AAR ก็ยังลดทอนความรุนแรงของปัญหา และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีแผนแก้ไขที่ชัดเจน หน่วยงาน CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้ “เป็นที่เข้าใจและถูกติดตามมานาน” แต่มองว่าการโจมตีต้องใช้ความรู้เฉพาะและการเข้าถึงทางกายภาพ จึงไม่น่าจะเกิดการโจมตีในวงกว้างได้ง่าย อย่างไรก็ตาม Smith โต้แย้งว่า ช่องโหว่นี้มี “ความซับซ้อนต่ำ” และ AI ก็สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต เขายังวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมรถไฟใช้แนวทาง “delay, deny, defend” เหมือนบริษัทประกันภัยในการรับมือกับปัญหาความปลอดภัย ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 2012 โดย Neil Smith ➡️ เป็นช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ ✅ ใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ เช่น คำสั่งเบรกและข้อมูลการทำงาน ✅ สามารถโจมตีได้ด้วยอุปกรณ์ราคาถูกและความรู้พื้นฐาน ➡️ เช่น โมเด็ม FSK และการดักฟังสัญญาณในระยะไม่กี่ร้อยฟุต ✅ สมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) ปฏิเสธที่จะยอมรับช่องโหว่ ➡️ อ้างว่าต้องพิสูจน์ในสถานการณ์จริงก่อน ✅ CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงการมานาน ➡️ กำลังร่วมมือกับอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงโปรโตคอล ✅ Smith ระบุว่า AI สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่ ➡️ ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์ ‼️ ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ⛔ AAR ไม่ได้ให้ timeline สำหรับการอัปเดตระบบ ‼️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากระยะไกลด้วยอุปกรณ์พลังสูง ⛔ เช่น จากเครื่องบินที่บินสูงถึง 30,000 ฟุต ‼️ การเพิกเฉยต่อปัญหาความปลอดภัยอาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง ⛔ โดยเฉพาะในระบบขนส่งที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ‼️ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการเข้ารหัสเป็นความเสี่ยง ⛔ ระบบนี้ถูกออกแบบตั้งแต่ยุค 1980 และยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน https://www.techspot.com/news/108675-us-rail-industry-exposed-decade-old-hacking-threat.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US rail industry still exposed to decade-old hacking threat, experts warn
    The vulnerability was discovered in 2012 by independent researcher Neil Smith, who found that the communication protocol linking the front and rear of freight trains – technically...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review D ซึ่งเสนอแนวคิดว่า “จุดกำเนิดของจักรวาล” อาจไม่ใช่ Big Bang อย่างที่เราเคยเชื่อกัน แต่เป็นการ “ดีดตัวกลับ” (bounce) จากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ—เป็นการพลิกมุมมองต่อจักรวาลอย่างสิ้นเชิง

    นักฟิสิกส์จาก The Conversation และสถาบันวิจัยต่าง ๆ เสนอโมเดลใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลของเราอาจเกิดจากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ ไม่ใช่จากการระเบิดของจุดเอกฐาน (singularity) แบบ Big Bang ที่เราเคยเชื่อ

    แนวคิดนี้ใช้หลักฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะ “หลักการกีดกันของเฟอร์มิออน” (quantum exclusion principle) ซึ่งระบุว่าอนุภาคที่เหมือนกันไม่สามารถอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ ทำให้การยุบตัวของมวลไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ และเกิดการ “ดีดตัวกลับ” หรือ bounce

    หลังจาก bounce จักรวาลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงดันภายในทำหน้าที่คล้ายกับพลังงานมืดและการขยายตัวในยุค inflation ตามทฤษฎีดั้งเดิม

    โมเดลนี้ยังทำนายว่า:
    - จักรวาลมีความโค้งเล็กน้อย (Ωₖ ≈ −0.07 ± 0.02)
    - การดีดตัวเกิดภายในรัศมีความโน้มถ่วง r_S = 2GM ซึ่งทำหน้าที่คล้ายค่าคงที่จักรวาล (Λ)
    - ภายนอกยังดูเหมือนหลุมดำ Schwarzschild ปกติ

    ภารกิจในอนาคต เช่น Euclid และ Arrakihs อาจช่วยตรวจสอบความโค้งของจักรวาลและโครงสร้างที่หลงเหลือจากการดีดตัว เช่น เฮโลของดาวฤกษ์และกาแล็กซีบริวาร

    https://www.neowin.net/news/our-universes-origin-is-indeed-a-black-hole-and-not-the-big-bang-reckons-this-new-study/
    ข่าวนี้พูดถึงงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review D ซึ่งเสนอแนวคิดว่า “จุดกำเนิดของจักรวาล” อาจไม่ใช่ Big Bang อย่างที่เราเคยเชื่อกัน แต่เป็นการ “ดีดตัวกลับ” (bounce) จากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ—เป็นการพลิกมุมมองต่อจักรวาลอย่างสิ้นเชิง 🕳️🌌 นักฟิสิกส์จาก The Conversation และสถาบันวิจัยต่าง ๆ เสนอโมเดลใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลของเราอาจเกิดจากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ ไม่ใช่จากการระเบิดของจุดเอกฐาน (singularity) แบบ Big Bang ที่เราเคยเชื่อ แนวคิดนี้ใช้หลักฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะ “หลักการกีดกันของเฟอร์มิออน” (quantum exclusion principle) ซึ่งระบุว่าอนุภาคที่เหมือนกันไม่สามารถอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ ทำให้การยุบตัวของมวลไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ และเกิดการ “ดีดตัวกลับ” หรือ bounce หลังจาก bounce จักรวาลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงดันภายในทำหน้าที่คล้ายกับพลังงานมืดและการขยายตัวในยุค inflation ตามทฤษฎีดั้งเดิม โมเดลนี้ยังทำนายว่า: - จักรวาลมีความโค้งเล็กน้อย (Ωₖ ≈ −0.07 ± 0.02) - การดีดตัวเกิดภายในรัศมีความโน้มถ่วง r_S = 2GM ซึ่งทำหน้าที่คล้ายค่าคงที่จักรวาล (Λ) - ภายนอกยังดูเหมือนหลุมดำ Schwarzschild ปกติ ภารกิจในอนาคต เช่น Euclid และ Arrakihs อาจช่วยตรวจสอบความโค้งของจักรวาลและโครงสร้างที่หลงเหลือจากการดีดตัว เช่น เฮโลของดาวฤกษ์และกาแล็กซีบริวาร https://www.neowin.net/news/our-universes-origin-is-indeed-a-black-hole-and-not-the-big-bang-reckons-this-new-study/
    WWW.NEOWIN.NET
    Our Universe's origin is indeed a Black Hole and not the Big Bang, reckons this new study
    The Big Bang may not be the beginning—new research suggests our universe could have bounced from a collapsing black hole.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⭕️โอเคมากๆเลยค่า อยากไปอีกๆ ⭕️

    #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ฮ่องกง #วัดหวังต้าเซียน จากคุณอาทิตยานะคะ เมื่อวันที่ 2-4 ก.ค. 68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    ⭕️โอเคมากๆเลยค่า อยากไปอีกๆ ⭕️ 💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #ฮ่องกง #วัดหวังต้าเซียน จากคุณอาทิตยานะคะ💜 เมื่อวันที่ 2-4 ก.ค. 68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเคยใช้ Excel เพื่อดึงข้อมูลจาก database หรือไฟล์นอก เช่น SQL, JSON, Web API ฯลฯ คุณจะรู้ว่า…เมนู Get Data เดิม “ซ้อนลึก–คลิกเยอะ–งงนิดๆ”

    ตอนนี้ Microsoft แก้ให้แล้ว! → ด้วยหน้าต่างใหม่ของ “Get Data (Preview)” ที่เปลี่ยนหน้าตาให้เหมือน Portal สมัยใหม่ → มีหน้าหลักแนะนำแหล่งข้อมูลยอดนิยม → มีปุ่ม “New” ให้คลิกดูรายการทั้งหมดในแถบด้านซ้าย → มีปุ่ม “OneLake” เพื่อเข้าถึงข้อมูลบนแพลตฟอร์ม Fabric โดยตรง (รองรับ Lakehouse & Warehouse แล้ว) → และที่เด็ดสุด: มี ช่องค้นหา แหล่งข้อมูล! ไม่ต้องไถเมนูยิก ๆ อีกต่อไป

    ทั้งหมดนี้มีใน Beta Channel Version 2505 (Build 18829.20000) เป็นต้นไป → หมายความว่าคนที่ลง Excel Preview แบบ Beta จะเห็นก่อน


    https://www.neowin.net/news/excel-for-windows-is-making-it-much-easier-to-fetch-data-from-external-sources/
    ถ้าคุณเคยใช้ Excel เพื่อดึงข้อมูลจาก database หรือไฟล์นอก เช่น SQL, JSON, Web API ฯลฯ คุณจะรู้ว่า…เมนู Get Data เดิม “ซ้อนลึก–คลิกเยอะ–งงนิดๆ” ตอนนี้ Microsoft แก้ให้แล้ว! → ด้วยหน้าต่างใหม่ของ “Get Data (Preview)” ที่เปลี่ยนหน้าตาให้เหมือน Portal สมัยใหม่ → มีหน้าหลักแนะนำแหล่งข้อมูลยอดนิยม → มีปุ่ม “New” ให้คลิกดูรายการทั้งหมดในแถบด้านซ้าย → มีปุ่ม “OneLake” เพื่อเข้าถึงข้อมูลบนแพลตฟอร์ม Fabric โดยตรง (รองรับ Lakehouse & Warehouse แล้ว) → และที่เด็ดสุด: มี ช่องค้นหา แหล่งข้อมูล! ไม่ต้องไถเมนูยิก ๆ อีกต่อไป ทั้งหมดนี้มีใน Beta Channel Version 2505 (Build 18829.20000) เป็นต้นไป → หมายความว่าคนที่ลง Excel Preview แบบ Beta จะเห็นก่อน https://www.neowin.net/news/excel-for-windows-is-making-it-much-easier-to-fetch-data-from-external-sources/
    WWW.NEOWIN.NET
    Excel for Windows is making it much easier to fetch data from external sources
    Microsoft is working on a revamped Get Data dialog box, enabling customers to find the external data source that they need much quicker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว

    ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก

    ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย!

    GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250  
    • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า  
    • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ

    สเปกหลักของ RTX 5050:  
    • 8GB GDDR6 @ 20Gbps  
    • บัส 128 บิต, 320 GB/s  
    • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)  
    • 130W TDP, PCIe 5.0 x8  
    • รองรับ DLSS 4

    ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)  
    • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%  
    • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370

    ข้อดี:  
    • ประหยัดพลังงาน  
    • รองรับ DLSS4  
    • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม)

    #ลุงฟันธง
    1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย
    2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า
    3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ

    https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย! ✅ GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250   • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า   • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ ✅ สเปกหลักของ RTX 5050:   • 8GB GDDR6 @ 20Gbps   • บัส 128 บิต, 320 GB/s   • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)   • 130W TDP, PCIe 5.0 x8   • รองรับ DLSS 4 ✅ ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)   • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%   • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370 ✅ ข้อดี:   • ประหยัดพลังงาน   • รองรับ DLSS4   • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม) #ลุงฟันธง 1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย 2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า 3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia GeForce RTX 5050 Review
    Nvidia's RTX 5050 launched with no reviews, no benchmarks, and barely any availability. It's their latest GPU release–and once again, you're expected to buy blind. But we've...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเวลาเข้าไปที่หน้า Settings หรือเปิดหน้า Split Screen ใน Microsoft Edge แล้วมันช้า ๆ หน่วง ๆ นิด ๆ ตอนนี้แหละคือจุดเปลี่ยนใหญ่แล้วครับ → เพราะ Microsoft พัฒนาเบื้องหลังของเบราว์เซอร์ใหม่เรียกว่า WebUI 2.0 → ใช้เทคนิคโหลดหน้าจอแบบเบา–รวดเร็ว ทำให้ “First Contentful Paint (FCP)” หรือความเร็วที่ UI ปรากฏครั้งแรก เร็วขึ้นเหลือต่ำกว่า 300 มิลลิวินาที

    แปลว่าผู้ใช้แทบไม่รู้สึกว่า “รอ” อยู่เลยในหลาย ๆ เมนู → และจากการวัดผลโดย Microsoft เอง ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Edge เช่น Split Screen, Workspaces, Read Aloud และ Settings ก็โหลดเร็วขึ้น เฉลี่ย 40%

    นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวยงาม เพราะ Microsoft ยังโชว์วิดีโอเปรียบเทียบให้ดูว่า → หน้า Settings ตอนนี้ “โผล่มาแทบจะทันที” → และประกาศว่าอีกหลายส่วนของเบราว์เซอร์ อย่าง Print Preview และ Extensions กำลังจะย้ายมาใช้ WebUI 2.0 ต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    สิ่งนี้สะท้อนว่า Microsoft กำลัง “ฟังเสียงผู้ใช้” และไม่ใช่แค่ใส่ฟีเจอร์ที่น่ารำคาญอย่างโฆษณาหรือป๊อปอัปอีกต่อไป

    Microsoft Edge โหลด UI ได้เร็วขึ้นแบบรู้สึกได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ WebUI 2.0  
    • FCP ต่ำกว่า 300ms → ประสบการณ์ใช้งานลื่นขึ้นชัดเจน  
    • ตามมาตรฐาน “ความเร็วสมัยใหม่” เทียบชั้นเบราว์เซอร์คู่แข่ง

    หลังอัปเดต WebUI 2.0 ไปยัง 13 ฟีเจอร์ พบว่าโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 40%  
    • เช่น Settings, Read Aloud, Split Screen, Workspaces

    Microsoft เผยแผนจะขยาย WebUI 2.0 ไปยังส่วนอื่น เช่น Print Preview และ Extensions  
    • คาดว่าจะมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    การตัด “bloat” ใน Edge ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นโดยรวม  
    • Microsoft เน้นว่าไม่ได้แค่เพิ่มความเร็ว แต่ยังลดการรบกวนผู้ใช้ (โฆษณา, ป๊อปอัป ฯลฯ)


    https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-now-significantly-faster-than-before/
    ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเวลาเข้าไปที่หน้า Settings หรือเปิดหน้า Split Screen ใน Microsoft Edge แล้วมันช้า ๆ หน่วง ๆ นิด ๆ ตอนนี้แหละคือจุดเปลี่ยนใหญ่แล้วครับ → เพราะ Microsoft พัฒนาเบื้องหลังของเบราว์เซอร์ใหม่เรียกว่า WebUI 2.0 → ใช้เทคนิคโหลดหน้าจอแบบเบา–รวดเร็ว ทำให้ “First Contentful Paint (FCP)” หรือความเร็วที่ UI ปรากฏครั้งแรก เร็วขึ้นเหลือต่ำกว่า 300 มิลลิวินาที แปลว่าผู้ใช้แทบไม่รู้สึกว่า “รอ” อยู่เลยในหลาย ๆ เมนู → และจากการวัดผลโดย Microsoft เอง ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Edge เช่น Split Screen, Workspaces, Read Aloud และ Settings ก็โหลดเร็วขึ้น เฉลี่ย 40% นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวยงาม เพราะ Microsoft ยังโชว์วิดีโอเปรียบเทียบให้ดูว่า → หน้า Settings ตอนนี้ “โผล่มาแทบจะทันที” → และประกาศว่าอีกหลายส่วนของเบราว์เซอร์ อย่าง Print Preview และ Extensions กำลังจะย้ายมาใช้ WebUI 2.0 ต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สิ่งนี้สะท้อนว่า Microsoft กำลัง “ฟังเสียงผู้ใช้” และไม่ใช่แค่ใส่ฟีเจอร์ที่น่ารำคาญอย่างโฆษณาหรือป๊อปอัปอีกต่อไป ✅ Microsoft Edge โหลด UI ได้เร็วขึ้นแบบรู้สึกได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ WebUI 2.0   • FCP ต่ำกว่า 300ms → ประสบการณ์ใช้งานลื่นขึ้นชัดเจน   • ตามมาตรฐาน “ความเร็วสมัยใหม่” เทียบชั้นเบราว์เซอร์คู่แข่ง ✅ หลังอัปเดต WebUI 2.0 ไปยัง 13 ฟีเจอร์ พบว่าโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 40%   • เช่น Settings, Read Aloud, Split Screen, Workspaces ✅ Microsoft เผยแผนจะขยาย WebUI 2.0 ไปยังส่วนอื่น เช่น Print Preview และ Extensions   • คาดว่าจะมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ การตัด “bloat” ใน Edge ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นโดยรวม   • Microsoft เน้นว่าไม่ได้แค่เพิ่มความเร็ว แต่ยังลดการรบกวนผู้ใช้ (โฆษณา, ป๊อปอัป ฯลฯ) https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-now-significantly-faster-than-before/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Edge is now significantly faster than before
    Recent changes in Microsoft Edge have made the browser significantly faster, giving users a valid reason to stay away from other browsers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อนถ้ามีคนส่งลิงก์ไฟล์แบบ view-only มาให้เรา แล้วเราอยากแก้ไขด้วย → เราต้อง “โหลดไฟล์นั้นลงเครื่อง” แล้ว “แก้ไขแบบ copy” แล้ว “อัปโหลดใหม่หรือแชร์กลับ” → หรือไม่ก็ต้อง “ทักหาเจ้าของไฟล์โดยตรง” เพื่อขอให้เปิดสิทธิ์

    บอกตามตรง...ยุ่งและเสียเวลา

    แต่ตอนนี้ Microsoft จัดให้แล้วครับ! → ถ้าเปิดเอกสาร Word, Excel หรือ PowerPoint ผ่านเว็บ (ที่เก็บใน OneDrive หรือ SharePoint) → ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Request more access” แล้วเลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review” ได้ทันที → ใส่ข้อความแนบบอกเหตุผลก็ยังได้ (เช่น “อยากช่วยเติมข้อมูลสไลด์หน้านี้ครับ”) → เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลเพื่อกดอนุมัติหรือปฏิเสธได้จากในอีเมลเลย → ถ้าอนุมัติ เราก็กดรีเฟรชแล้วแก้ไขไฟล์ต่อได้เลย

    Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ “ขอสิทธิ์แก้ไข” เอกสาร Word, Excel, PowerPoint ผ่านเว็บ  
    • ใช้ได้ในไฟล์ที่เปิดแบบ view-only  
    • ไม่ต้องโหลดไฟล์หรือทักหาเจ้าของโดยตรง

    วิธีขอสิทธิ์แก้ไข:  
    • คลิกไอคอน "Viewing" ด้านขวาบน  
    • เลือก “Request more access”  
    • เลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review”  
    • เขียนโน้ต (ถ้าต้องการ) → กดส่ง
    • เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลพร้อมตัวเลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ”

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เมื่อ:  
    • คุณใช้ Microsoft 365 (Enterprise)  
    • มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต  
    • ไฟล์อยู่ใน OneDrive หรือ SharePoint

    มีผลใน Word, Excel, PowerPoint เวอร์ชันเว็บ (modern view)  
    • ไม่รองรับบน “Classic View” ของ Word

    การให้สิทธิ์แก้ไขในไฟล์ที่มีหลายผู้เขียน หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจใช้เวลาสักพักในการ propagate (เผยแพร่สิทธิ์)
    • ผู้ได้รับสิทธิ์อาจต้อง refresh หลายรอบ

    หากไฟล์อยู่ใน Classic Word View (โฉมเก่า) ฟีเจอร์นี้จะไม่แสดง  
    • ควรใช้เวอร์ชัน modern view เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้ครบ

    แม้เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลคำขอ แต่ถ้าไม่ตอบ → ผู้ขอก็จะยังไม่มีสิทธิ์อะไรเลย  
    • จำเป็นต้อง follow up แบบ manual หากเป็นเรื่องเร่งด่วน

    ต้องระวังการให้สิทธิ์แก้ไขกับคนที่ไม่รู้จักดี → ควรตรวจสอบโน้ตประกอบและความเหมาะสมก่อนอนุมัติ

    https://www.neowin.net/news/excel-word-and-powerpoint-on-the-web-grab-welcome-new-feature/
    เมื่อก่อนถ้ามีคนส่งลิงก์ไฟล์แบบ view-only มาให้เรา แล้วเราอยากแก้ไขด้วย → เราต้อง “โหลดไฟล์นั้นลงเครื่อง” แล้ว “แก้ไขแบบ copy” แล้ว “อัปโหลดใหม่หรือแชร์กลับ” → หรือไม่ก็ต้อง “ทักหาเจ้าของไฟล์โดยตรง” เพื่อขอให้เปิดสิทธิ์ บอกตามตรง...ยุ่งและเสียเวลา 😩 แต่ตอนนี้ Microsoft จัดให้แล้วครับ! → ถ้าเปิดเอกสาร Word, Excel หรือ PowerPoint ผ่านเว็บ (ที่เก็บใน OneDrive หรือ SharePoint) → ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Request more access” แล้วเลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review” ได้ทันที → ใส่ข้อความแนบบอกเหตุผลก็ยังได้ (เช่น “อยากช่วยเติมข้อมูลสไลด์หน้านี้ครับ”) → เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลเพื่อกดอนุมัติหรือปฏิเสธได้จากในอีเมลเลย → ถ้าอนุมัติ เราก็กดรีเฟรชแล้วแก้ไขไฟล์ต่อได้เลย 🎉 ✅ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ “ขอสิทธิ์แก้ไข” เอกสาร Word, Excel, PowerPoint ผ่านเว็บ   • ใช้ได้ในไฟล์ที่เปิดแบบ view-only   • ไม่ต้องโหลดไฟล์หรือทักหาเจ้าของโดยตรง ✅ วิธีขอสิทธิ์แก้ไข:   • คลิกไอคอน "Viewing" ด้านขวาบน   • เลือก “Request more access”   • เลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review”   • เขียนโน้ต (ถ้าต้องการ) → กดส่ง • เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลพร้อมตัวเลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เมื่อ:   • คุณใช้ Microsoft 365 (Enterprise)   • มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต   • ไฟล์อยู่ใน OneDrive หรือ SharePoint ✅ มีผลใน Word, Excel, PowerPoint เวอร์ชันเว็บ (modern view)   • ไม่รองรับบน “Classic View” ของ Word ‼️ การให้สิทธิ์แก้ไขในไฟล์ที่มีหลายผู้เขียน หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจใช้เวลาสักพักในการ propagate (เผยแพร่สิทธิ์) • ผู้ได้รับสิทธิ์อาจต้อง refresh หลายรอบ ‼️ หากไฟล์อยู่ใน Classic Word View (โฉมเก่า) ฟีเจอร์นี้จะไม่แสดง   • ควรใช้เวอร์ชัน modern view เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้ครบ ‼️ แม้เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลคำขอ แต่ถ้าไม่ตอบ → ผู้ขอก็จะยังไม่มีสิทธิ์อะไรเลย   • จำเป็นต้อง follow up แบบ manual หากเป็นเรื่องเร่งด่วน ‼️ ต้องระวังการให้สิทธิ์แก้ไขกับคนที่ไม่รู้จักดี → ควรตรวจสอบโน้ตประกอบและความเหมาะสมก่อนอนุมัติ https://www.neowin.net/news/excel-word-and-powerpoint-on-the-web-grab-welcome-new-feature/
    WWW.NEOWIN.NET
    Excel, Word, and PowerPoint on the web grab welcome new feature
    Microsoft has finally streamlined a process that previously required manual, cumbersome workarounds in its Microsoft 365 web apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้ไหมครับว่า PowerShell 2.0 คือเวอร์ชันดั้งเดิมที่อยู่คู่ Windows มาตั้งแต่ยุค Windows 7? แต่มันก็เก่ามากแล้วและ ไม่ปลอดภัยสำหรับยุคใหม่ → Microsoft เลยถอดออกจาก Build ล่าสุดของ Windows 11 → นี่คือสัญญาณชัดว่า ผู้ใช้และองค์กรควรเปลี่ยนไปใช้ PowerShell 5.x หรือ PowerShell Core/7 ขึ้นไป แทนโดยด่วน

    ใน Build 27891 ยังมีการปรับปรุง Store เวอร์ชันใหม่ (22406) ที่ให้คุณ กดติดตั้งแอปจากหน้าแรกได้เลยโดยไม่ต้องเปิดหน้ารายละเอียด → เป็นแนวทางที่ชัดว่า Microsoft กำลังเน้นลด friction ใน user journey

    ส่วนอีกหลายจุดที่ได้รับการแก้บั๊ก เช่น:
    - การรีเซ็ตเครื่องไม่ได้ในเวอร์ชันก่อน
    - Taskbar ไม่แสดงความโปร่งใส (acrylic)
    - Task Manager อ่านภาษากลุ่มอักขระ non-A–Z ไม่ถูกต้อง
    - ปัญหาเสียง system sound หายหมด แม้เสียงอื่นจะยังปกติ
    - ตัวอย่างคำผิดที่มี: space แสดงเป็นเลข 2 ในภาษาไทย, จุดในภาษาฮีบรูแสดงเป็นเลข 3 (!)

    PowerShell 2.0 ถูกถอดออกจาก Windows 11 Build 27891 แล้ว (Canary Channel)  
    • Microsoft เคยประกาศ deprecate ไปตั้งแต่ Windows 10 v1709  
    • เป็นเวอร์ชันที่เก่ากว่า PowerShell 5.1 และ PowerShell 7  
    • เสี่ยงช่องโหว่ – ไม่รองรับคำสั่งใหม่ – ไม่ปลอดภัย

    Microsoft Store เวอร์ชัน 22406 เพิ่มฟีเจอร์ “ติดตั้งได้ทันทีจากหน้าแรก”  
    • ไม่ต้องคลิกเข้าไปดูหน้ารายละเอียดก่อน  
    • ใช้ได้กับ Canary และ Dev Channel

    มีการแก้ไขบั๊กทั่วไปในหลายจุด:  
    • Reset This PC  
    • การแสดงผล taskbar  
    • ตัวอักษรภาษาต่าง ๆ (ไทย, ฮีบรู, เวียดนาม ฯลฯ)  
    • Animation ต่าง ๆ  
    • Task Manager (เช่น ค่า CPU utility กับ System Idle Process)

    แก้ปัญหาเสียงหาย ทั้งเสียง system เช่น notification, click slider ฯลฯ

    แก้ปัญหา Settings crash เมื่อตั้งค่าบลูทูธ / ไมโครโฟน ในบางภาษา

    แก้การแสดงผลผิดใน Print Preview, Media Player, LDAP queries และฟอนต์ในเมนูของแอปบางตัว

    https://www.neowin.net/news/microsoft-removes-powershell-20-from-windows-11-in-build-27891/
    รู้ไหมครับว่า PowerShell 2.0 คือเวอร์ชันดั้งเดิมที่อยู่คู่ Windows มาตั้งแต่ยุค Windows 7? แต่มันก็เก่ามากแล้วและ ไม่ปลอดภัยสำหรับยุคใหม่ → Microsoft เลยถอดออกจาก Build ล่าสุดของ Windows 11 → นี่คือสัญญาณชัดว่า ผู้ใช้และองค์กรควรเปลี่ยนไปใช้ PowerShell 5.x หรือ PowerShell Core/7 ขึ้นไป แทนโดยด่วน ใน Build 27891 ยังมีการปรับปรุง Store เวอร์ชันใหม่ (22406) ที่ให้คุณ กดติดตั้งแอปจากหน้าแรกได้เลยโดยไม่ต้องเปิดหน้ารายละเอียด → เป็นแนวทางที่ชัดว่า Microsoft กำลังเน้นลด friction ใน user journey ส่วนอีกหลายจุดที่ได้รับการแก้บั๊ก เช่น: - การรีเซ็ตเครื่องไม่ได้ในเวอร์ชันก่อน - Taskbar ไม่แสดงความโปร่งใส (acrylic) - Task Manager อ่านภาษากลุ่มอักขระ non-A–Z ไม่ถูกต้อง - ปัญหาเสียง system sound หายหมด แม้เสียงอื่นจะยังปกติ - ตัวอย่างคำผิดที่มี: space แสดงเป็นเลข 2 ในภาษาไทย, จุดในภาษาฮีบรูแสดงเป็นเลข 3 (!) ✅ PowerShell 2.0 ถูกถอดออกจาก Windows 11 Build 27891 แล้ว (Canary Channel)   • Microsoft เคยประกาศ deprecate ไปตั้งแต่ Windows 10 v1709   • เป็นเวอร์ชันที่เก่ากว่า PowerShell 5.1 และ PowerShell 7   • เสี่ยงช่องโหว่ – ไม่รองรับคำสั่งใหม่ – ไม่ปลอดภัย ✅ Microsoft Store เวอร์ชัน 22406 เพิ่มฟีเจอร์ “ติดตั้งได้ทันทีจากหน้าแรก”   • ไม่ต้องคลิกเข้าไปดูหน้ารายละเอียดก่อน   • ใช้ได้กับ Canary และ Dev Channel ✅ มีการแก้ไขบั๊กทั่วไปในหลายจุด:   • Reset This PC   • การแสดงผล taskbar   • ตัวอักษรภาษาต่าง ๆ (ไทย, ฮีบรู, เวียดนาม ฯลฯ)   • Animation ต่าง ๆ   • Task Manager (เช่น ค่า CPU utility กับ System Idle Process) ✅ แก้ปัญหาเสียงหาย ทั้งเสียง system เช่น notification, click slider ฯลฯ ✅ แก้ปัญหา Settings crash เมื่อตั้งค่าบลูทูธ / ไมโครโฟน ในบางภาษา ✅ แก้การแสดงผลผิดใน Print Preview, Media Player, LDAP queries และฟอนต์ในเมนูของแอปบางตัว https://www.neowin.net/news/microsoft-removes-powershell-20-from-windows-11-in-build-27891/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft removes PowerShell 2.0 from Windows 11 in build 27891
    Microsoft has released a new Windows 11 build with some fixes, a new feature for the Microsoft Store, and PowerShell changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา

    เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ:
    - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง
    - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที
    - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์

    แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้!

    ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น:
    - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking)
    - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ
    - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ
    - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน

    ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า:
    - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย
    - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์
    - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว

    นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต

    สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ: - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้! ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น: - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking) - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า: - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์ - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How do you teach computer science in the AI era?
    Universities across the United States are scrambling to understand the implications of generative AI's transformation of technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ

    Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time

    จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา)

    และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย!

    Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล  
    • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email  
    • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา

    สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)  
    • รายงาน progress, milestones, risk, next step  
    • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน

    รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา  
    • เหมือนกับ Copilot 365  
    • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้

    สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)  
    • ทำใน Grid View ได้  
    • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม  
    • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว

    Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้

    https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time 📨 จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย 📊 เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม 🌍 รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา) และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย! ✅ Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล   • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email   • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา ✅ สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)   • รายงาน progress, milestones, risk, next step   • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน ✅ รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา   • เหมือนกับ Copilot 365   • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้ ✅ สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)   • ทำใน Grid View ได้   • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม   • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว ✅ Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้ https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Planner gets bulk editing feature and three improvements for Project Manager agent
    Microsoft has announced four new updates for Microsoft Planner. One of the changes is a bulk editing feature while the rest improve the Project Manager agent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครเคยเบื่อกับการจำรหัสผ่านยาว ๆ หรือรำคาญเวลาต้องเปลี่ยนรหัสใหม่ทุก 90 วันบ้างครับ? ตอนนี้ Microsoft กำลังจะทำให้เรื่องพวกนั้นกลายเป็นอดีต เพราะ Windows 11 เริ่มรองรับการใช้ Passkey แบบเต็มรูปแบบผ่านแอป 1Password แล้ว

    ก่อนหน้านี้ แม้เราจะได้ยินเรื่อง passkey จาก Google, Apple, หรือ FIDO2 มาสักพัก แต่ในฝั่ง Windows กลับยังใช้ยาก ต้องอาศัยการตั้งค่าผ่านแอปอื่นหรือใช้กับเว็บไซต์บางเจ้าเท่านั้น

    ล่าสุด Microsoft เปิดให้ทดสอบฟีเจอร์นี้ในเวอร์ชัน Insider Preview โดย:
    - ผู้ใช้สามารถเก็บและใช้ passkey ที่ผูกกับบัญชี Windows ได้เลย
    - รองรับการยืนยันตัวตนด้วย Windows Hello (เช่น สแกนลายนิ้วมือ, ใบหน้า, หรือ PIN)
    - ปลดล็อกให้ 1Password มาเป็น “ตัวจัดการ passkey” แทนรหัสผ่านปกติได้โดยตรง

    นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบ login แบบไร้รหัสผ่าน (passwordless) ที่ปลอดภัยและลื่นไหลที่สุดตั้งแต่มี Windows มาเลยครับ

    Windows 11 รองรับ Passkey แบบเต็มตัวผ่านการร่วมมือกับ 1Password  
    • ผู้ใช้สามารถเก็บ–ใช้ passkey จาก 1Password ได้ในระบบ Windows โดยตรง  
    • ทำงานร่วมกับ Windows Hello เพื่อยืนยันตัวตน

    Microsoft ปล่อยฟีเจอร์ใน Windows 11 Insider Build 26200.5670 (KB5060838)  
    • ต้องเปิดใช้ผ่าน Settings > Passkeys > Advanced > Credential Manager Plugin  
    • จากนั้นเปิดใช้งานและยืนยันตนผ่าน Windows Hello

    มี Credential Manager API ใหม่สำหรับให้ password manager รายอื่นพัฒนา integration กับ Windows ได้ในอนาคต

    Microsoft กำลังทยอยเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมดเป็น “passkey-first”  
    • เริ่มจาก Microsoft Authenticator ที่จะลบการเก็บรหัสผ่านในเดือนสิงหาคม 2025  
    • สร้างบัญชี Microsoft ใหม่จะไม่ให้ใช้ password แต่ใช้ passkey แทน

    https://www.techradar.com/pro/security/its-about-time-microsoft-finally-rolls-out-better-passkey-integration-in-windows
    ใครเคยเบื่อกับการจำรหัสผ่านยาว ๆ หรือรำคาญเวลาต้องเปลี่ยนรหัสใหม่ทุก 90 วันบ้างครับ? ตอนนี้ Microsoft กำลังจะทำให้เรื่องพวกนั้นกลายเป็นอดีต เพราะ Windows 11 เริ่มรองรับการใช้ Passkey แบบเต็มรูปแบบผ่านแอป 1Password แล้ว ก่อนหน้านี้ แม้เราจะได้ยินเรื่อง passkey จาก Google, Apple, หรือ FIDO2 มาสักพัก แต่ในฝั่ง Windows กลับยังใช้ยาก ต้องอาศัยการตั้งค่าผ่านแอปอื่นหรือใช้กับเว็บไซต์บางเจ้าเท่านั้น ล่าสุด Microsoft เปิดให้ทดสอบฟีเจอร์นี้ในเวอร์ชัน Insider Preview โดย: - ผู้ใช้สามารถเก็บและใช้ passkey ที่ผูกกับบัญชี Windows ได้เลย - รองรับการยืนยันตัวตนด้วย Windows Hello (เช่น สแกนลายนิ้วมือ, ใบหน้า, หรือ PIN) - ปลดล็อกให้ 1Password มาเป็น “ตัวจัดการ passkey” แทนรหัสผ่านปกติได้โดยตรง นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบ login แบบไร้รหัสผ่าน (passwordless) ที่ปลอดภัยและลื่นไหลที่สุดตั้งแต่มี Windows มาเลยครับ ✅ Windows 11 รองรับ Passkey แบบเต็มตัวผ่านการร่วมมือกับ 1Password   • ผู้ใช้สามารถเก็บ–ใช้ passkey จาก 1Password ได้ในระบบ Windows โดยตรง   • ทำงานร่วมกับ Windows Hello เพื่อยืนยันตัวตน ✅ Microsoft ปล่อยฟีเจอร์ใน Windows 11 Insider Build 26200.5670 (KB5060838)   • ต้องเปิดใช้ผ่าน Settings > Passkeys > Advanced > Credential Manager Plugin   • จากนั้นเปิดใช้งานและยืนยันตนผ่าน Windows Hello ✅ มี Credential Manager API ใหม่สำหรับให้ password manager รายอื่นพัฒนา integration กับ Windows ได้ในอนาคต ✅ Microsoft กำลังทยอยเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมดเป็น “passkey-first”   • เริ่มจาก Microsoft Authenticator ที่จะลบการเก็บรหัสผ่านในเดือนสิงหาคม 2025   • สร้างบัญชี Microsoft ใหม่จะไม่ให้ใช้ password แต่ใช้ passkey แทน https://www.techradar.com/pro/security/its-about-time-microsoft-finally-rolls-out-better-passkey-integration-in-windows
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง

    แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง

    แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน

    นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น

    เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/
    https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html
    https://www.gaohaipeng.com/1868.html
    https://m.sohu.com/n/469737945/
    https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/ https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html https://www.gaohaipeng.com/1868.html https://m.sohu.com/n/469737945/ https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    DRAMASLOT.COM
    Love And Redemption Review - Best Drama For 2020?
    Love And Redemption has plenty of fans and many have compared it to Ashes Of Love and other epic dramas. Is it really that good? Read review here.
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป

    แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน:

    1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender

    2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร

    3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด

    นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve)

    Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows  
    • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender  
    • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด

    เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode  
    • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม  
    • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย

    Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”  
    • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย

    Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:  
    • Quick Machine Recovery  
    • Crash screen ที่เรียบง่าย  
    • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth  
    • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย  
    • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน: 1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender 2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร 3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve) ✅ Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows   • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender   • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด ✅ เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode   • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม   • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย ✅ Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”   • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย ✅ Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:   • Quick Machine Recovery   • Crash screen ที่เรียบง่าย   • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth   • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย   • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้ https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก

    “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า

    เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花)

    ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า?

    เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ

    แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html
    http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/
    https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/
    https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html
    https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html
    https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花) ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า? เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/ https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/ https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html Credit ข้อมูลจาก: https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts