• ตอนทำงานร้านซูชิ ในตลาด
    แถวรังสิตคลอง 4
    มีพม่า ลาว เขมร เยอะมาก
    (แต่พม่าเยอะสุด
    ที่รู้เพราะชาติอื่นมันคงไม่นุ่ง
    โสร่งเดินตอนค่ำๆ
    ช่วงก่อนเราปิดร้าน)

    ใกล้ๆ กันก็จะมีตึกที่ติดป้าย
    รับต่อ รับทำใบอนุญาตทำงาน
    เส้นนั้นมีตำรวจตระเวนบ่อย
    จับคนต่างด้าวอยู่เรื่อย
    แต่ก็ยังมีมาอยู่เรื่อย

    ก็น่าสงสัยว่า หรือมันมาจับ
    แต่พอเป็นพิธี หรือ
    มันมีบางคนที่จ่ายหนักพอ
    จะออกบัตรจริงมาได้
    หลังจากหนีมาทำงาน

    เพราะงั้น ถึงจะมาคอนเฟิร์มว่า
    "ลูกค้า ลูกจ้าง มีบัตรจริง"
    ก็ขออนุญาตไม่เชื่อละกัน
    เพราะเคยเจอชุมชนพวกนี้มาจริงๆ
    และมันมีพิรุธมากเหลือเกิน



    #แบน #พม่า #ต่างด้าว
    #ต่อต้าน #พรรคประชาชนพม่า
    ตอนทำงานร้านซูชิ ในตลาด แถวรังสิตคลอง 4 มีพม่า ลาว เขมร เยอะมาก (แต่พม่าเยอะสุด ที่รู้เพราะชาติอื่นมันคงไม่นุ่ง โสร่งเดินตอนค่ำๆ ช่วงก่อนเราปิดร้าน) ใกล้ๆ กันก็จะมีตึกที่ติดป้าย รับต่อ รับทำใบอนุญาตทำงาน เส้นนั้นมีตำรวจตระเวนบ่อย จับคนต่างด้าวอยู่เรื่อย แต่ก็ยังมีมาอยู่เรื่อย ก็น่าสงสัยว่า หรือมันมาจับ แต่พอเป็นพิธี หรือ มันมีบางคนที่จ่ายหนักพอ จะออกบัตรจริงมาได้ หลังจากหนีมาทำงาน เพราะงั้น ถึงจะมาคอนเฟิร์มว่า "ลูกค้า ลูกจ้าง มีบัตรจริง" ก็ขออนุญาตไม่เชื่อละกัน เพราะเคยเจอชุมชนพวกนี้มาจริงๆ และมันมีพิรุธมากเหลือเกิน 🤔🤔🤔🤔🤔🤔 #แบน #พม่า #ต่างด้าว #ต่อต้าน #พรรคประชาชนพม่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮิซบุลเลาะห์ยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้านี้

    ตามรายงานเบื้องต้น, ยานเกราะของกองทัพอิสราเอลอย่างน้อย ๔ คัน รวมถึงรถถังเมอร์คาวา, ถูกยิงโดยตรง, และมีผู้เสียชีวิตเป็นชาวอิสราเอล ๒ ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

    นักรบของฮิซบุลเลาะห์ยังคงอยู่ในตำแหน่งการรบ
    .
    Hezbollah has been firing anti-tank missiles continuously since this morning

    According to initial reports, at least 4 IDF vehicles, including a Merkava tank, were directly hit, and there are two confirmed Israeli fatalities, as well as numerous injuries.

    Hezbollah fighters remain in their battle positions
    .
    5:35 PM · Sep 19, 2024 · 90.6K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1836715751803077002
    🚨 ฮิซบุลเลาะห์ยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้านี้ ตามรายงานเบื้องต้น, ยานเกราะของกองทัพอิสราเอลอย่างน้อย ๔ คัน รวมถึงรถถังเมอร์คาวา, ถูกยิงโดยตรง, และมีผู้เสียชีวิตเป็นชาวอิสราเอล ๒ ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก นักรบของฮิซบุลเลาะห์ยังคงอยู่ในตำแหน่งการรบ . 🚨 Hezbollah has been firing anti-tank missiles continuously since this morning According to initial reports, at least 4 IDF vehicles, including a Merkava tank, were directly hit, and there are two confirmed Israeli fatalities, as well as numerous injuries. Hezbollah fighters remain in their battle positions . 5:35 PM · Sep 19, 2024 · 90.6K Views https://x.com/IranObserver0/status/1836715751803077002
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารอิสราเอล ๕ นาย ถูกขีปนาวุธต่อต้านรถถังที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยิงใส่โดยตรง

    มีรายงานการยิงปืนด้วย
    .
    ⚡️BREAKING

    5 Israeli soldiers are directly hit by an anti-tank missile fired by Hezbollah

    Gunfire is also being reported
    .
    1:11 PM · Sep 19, 2024 · 76.4K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1836649255085236436
    ทหารอิสราเอล ๕ นาย ถูกขีปนาวุธต่อต้านรถถังที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยิงใส่โดยตรง มีรายงานการยิงปืนด้วย . ⚡️BREAKING 5 Israeli soldiers are directly hit by an anti-tank missile fired by Hezbollah Gunfire is also being reported . 1:11 PM · Sep 19, 2024 · 76.4K Views https://x.com/IranObserver0/status/1836649255085236436
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • สันดานยิวไซออนิสต์ออกลาย:

    คราวก่อน มาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กออกมาแสดงความเสียใจที่เขาได้เซ็นเซอร์ข้อมูลอันตรายจากวัคซีนไวรัส โควิด ๑๙ ตามคำสั่งของรัฐบาล เขาบอกว่าเขาไม่น่าทำตามคำสั่งรัฐบาลเลย เขาน่าจะต่อต้านด้วยซ้ำ

    ทำให้บทความผมหลายเรื่องที่อยู่บน FB พลอยโดนแบนไปด้วย

    ที่จริง มาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กสมควรถูกจับเข้าคุกเสียด้วยซ้ำเพราะการเซ็นเซอร์ของเขานี้ทำให้คนทั่วโลกไม่ตระหนักถึงอันตรายจากวัคซีนไวรัส โควิด ๑๙ และเสียชีวิตไปจำนวนมาก

    มาคราวนี้ รัฐบาลอเมริกายุคโจ ไบเดนบีบให้สื่อโซเชียลมิเดียต่างๆ ทุกแขนงแบนสำนักข่าว RT และ Sputnik รวมทั้งสื่ออื่นๆ จากรัสเซีย เพราะแฉอาชญากรรมของรัฐบาลอเมริกาที่ทำกับประเทศต่างๆ ทำให้การสร้างภาพของรัฐบาลอเมริกาตามสื่อกระแสหลักของตนว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มีคนเชื่อถือน้อยลง

    พอรัฐบาลส่งสัญญาณมา บักมาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กก็รีบแบนข่าวจากสำนักข่าว RT และ Sputnik จากแพล็ตฟอร์ม FB และอินสตาแกรมของตนทันที ไม่มีจิตสำนีกในเสรีภาพการนำเสนอข่าวแม้แต่น้อย

    ขณะนี้ กูเกิลก็แบนด้วย อเมริกาต้องการจะปิดหูปิดตาชาวโลก ไม่ให้เห็นความชั่วของตน อ้างเหตุผลว่าสื่อรัสเซียก้าวก่ายการเลือกตั้งและทำลายประชาธิปไตยในอเมริกา

    แต่ไหนแต่ไรมา รัฐบาลอเมริกาไม่เคยเป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำ


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    สันดานยิวไซออนิสต์ออกลาย: คราวก่อน มาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กออกมาแสดงความเสียใจที่เขาได้เซ็นเซอร์ข้อมูลอันตรายจากวัคซีนไวรัส โควิด ๑๙ ตามคำสั่งของรัฐบาล เขาบอกว่าเขาไม่น่าทำตามคำสั่งรัฐบาลเลย เขาน่าจะต่อต้านด้วยซ้ำ ทำให้บทความผมหลายเรื่องที่อยู่บน FB พลอยโดนแบนไปด้วย ที่จริง มาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กสมควรถูกจับเข้าคุกเสียด้วยซ้ำเพราะการเซ็นเซอร์ของเขานี้ทำให้คนทั่วโลกไม่ตระหนักถึงอันตรายจากวัคซีนไวรัส โควิด ๑๙ และเสียชีวิตไปจำนวนมาก มาคราวนี้ รัฐบาลอเมริกายุคโจ ไบเดนบีบให้สื่อโซเชียลมิเดียต่างๆ ทุกแขนงแบนสำนักข่าว RT และ Sputnik รวมทั้งสื่ออื่นๆ จากรัสเซีย เพราะแฉอาชญากรรมของรัฐบาลอเมริกาที่ทำกับประเทศต่างๆ ทำให้การสร้างภาพของรัฐบาลอเมริกาตามสื่อกระแสหลักของตนว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มีคนเชื่อถือน้อยลง พอรัฐบาลส่งสัญญาณมา บักมาร์กซ์ ซักเกอร์เบิร์กก็รีบแบนข่าวจากสำนักข่าว RT และ Sputnik จากแพล็ตฟอร์ม FB และอินสตาแกรมของตนทันที ไม่มีจิตสำนีกในเสรีภาพการนำเสนอข่าวแม้แต่น้อย ขณะนี้ กูเกิลก็แบนด้วย อเมริกาต้องการจะปิดหูปิดตาชาวโลก ไม่ให้เห็นความชั่วของตน อ้างเหตุผลว่าสื่อรัสเซียก้าวก่ายการเลือกตั้งและทำลายประชาธิปไตยในอเมริกา แต่ไหนแต่ไรมา รัฐบาลอเมริกาไม่เคยเป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    Love
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพดราม่า: ทหารรัสเซียขับไล่การโจมตีของกามิกาเซ่ที่อันตรายถึงชีวิต
    ในท้ายที่สุด นักรบของเราก็ทำลายโดรน FPV ได้ด้วยการขว้างปืนกลไปที่มัน
    “โชคดี” พวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลของยูเครนที่เผยแพร่วิดีโอ ซึ่งหมายความว่าพวกเรารอดพ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้
    ❗️เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพขาดอาวุธต่อต้านโดรน รวมถึงปืนลูกซองธรรมดาอย่างไร
    ภาพดราม่า: ทหารรัสเซียขับไล่การโจมตีของกามิกาเซ่ที่อันตรายถึงชีวิต ▪️ในท้ายที่สุด นักรบของเราก็ทำลายโดรน FPV ได้ด้วยการขว้างปืนกลไปที่มัน ➖ “โชคดี” พวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลของยูเครนที่เผยแพร่วิดีโอ ซึ่งหมายความว่าพวกเรารอดพ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้ ❗️เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพขาดอาวุธต่อต้านโดรน รวมถึงปืนลูกซองธรรมดาอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 176 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 616 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ

    #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

    สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564
    เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ
    แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
    หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ

    เรื่องย่อ

    ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1

    โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่

    จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก

    แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่

    เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม

    ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก

    ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้

    ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง

    ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน

    หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร

    ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา

    หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #จิตวิทยา
    #โตขึ้นจะเป็นอะไร
    #ร้านหนังสือ
    #รักการอ่าน
    #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง
    #หนังสือดีที่ควรอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #การพัฒนาตนเอง
    ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564 เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ เรื่องย่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1 โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่ จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย . . . . . . . . เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #จิตวิทยา #โตขึ้นจะเป็นอะไร #ร้านหนังสือ #รักการอ่าน #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง #หนังสือดีที่ควรอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #การพัฒนาตนเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮูตีได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่ศูนย์กลางของเทลอาวีฟเมื่อวานนี้ - หลบเลี่ยงการต่อต้านของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล (เห็นได้ชัด)

    ขีปนาวุธดังกล่าวบินได้ไกล ๑,๓๐๐ ไมล์ในเวลาไม่ถึง ๑๒ นาที

    นี่คือขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบใช้พื้นดิน/อากาศ - เข้าใกล้ความเร็วมัค ๙

    ไม่มีการป้องกันการโจมตีครั้งนี้ - ไม่มีเลย จากนั้น, รัสเซียมีรายงานว่ายังมี MIRV ซึ่งเป็นจรวดที่บรรทุกจรวดนำวิถีกลับเข้าชั้นบรรยากาศอิสระที่ติดตั้งบนยานร่อนความเร็วเหนือเสียง (HGV) ที่มีความเร็วถึงมัค ๒๕ (แพลตฟอร์ม Avangard)

    ในขณะเดียวกัน, ประธานาธิบดีต้องการทุ่มเงินมากขึ้นกับโครงสร้างกองกำลังแบบเดิม ในขณะที่เราควรทิ้งส่วนใหญ่ไปและเริ่มส่งกองกำลังใหม่

    ในตอนนี้ กระทรวงกลาโหมคือ DMV (กรมยานพาหนะทางทหาร) พวกเขาเก่งในการเคลื่อนย้ายฮาร์ดแวร์และบุคลากร แต่ไม่ได้เก่งอะไรอย่างอื่น

    พวกเขายังคงติดอยู่กับกรอบแนวคิดสงครามโลกครั้งที่ ๒/สงครามเย็น ถึงเวลาที่จะถอยทัพและสร้างอนาคตใหม่

    การยุติความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาและมิตรสหายของเรา

    Douglas Macgregor
    .
    Houthis fired a hypersonic missile into the Centre of Tel Aviv yesterday - evading Saudi and Israeli AD (obviously).

    The missile covered 1,300 Miles in less than 12 min.

    These are ground/air-based hypersonics - approaching Mach 9.

    There is no defense against this attack - none. Then, the Russians reportedly also have space based MIRV multiple independent reentry rocket payload mounted on hypersonic glide vehicles (HGV) hitting speeds of Mach 25. (Avangard Platform)

    Meanwhile, President wants to waste more money on the old force structure when we should scrap much of it and begin fielding a new force.

    At this point the DOD is the DMV (department of military vehicles) They are great at moving hardware and Personnel around but not at much else.

    They remain stuck in the WW2/Cold War paradigm. It’s time to retrench and build for the future.

    Ending the conflicts in Ukraine and the ME is vital for the US and our friends.
    .
    9:45 PM · Sep 15, 2024 · 34.4K Views
    https://x.com/DougAMacgregor/status/1835329040640545224
    ฮูตีได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่ศูนย์กลางของเทลอาวีฟเมื่อวานนี้ - หลบเลี่ยงการต่อต้านของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล (เห็นได้ชัด) ขีปนาวุธดังกล่าวบินได้ไกล ๑,๓๐๐ ไมล์ในเวลาไม่ถึง ๑๒ นาที นี่คือขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบใช้พื้นดิน/อากาศ - เข้าใกล้ความเร็วมัค ๙ ไม่มีการป้องกันการโจมตีครั้งนี้ - ไม่มีเลย จากนั้น, รัสเซียมีรายงานว่ายังมี MIRV ซึ่งเป็นจรวดที่บรรทุกจรวดนำวิถีกลับเข้าชั้นบรรยากาศอิสระที่ติดตั้งบนยานร่อนความเร็วเหนือเสียง (HGV) ที่มีความเร็วถึงมัค ๒๕ (แพลตฟอร์ม Avangard) 🤣ในขณะเดียวกัน, ประธานาธิบดีต้องการทุ่มเงินมากขึ้นกับโครงสร้างกองกำลังแบบเดิม ในขณะที่เราควรทิ้งส่วนใหญ่ไปและเริ่มส่งกองกำลังใหม่🤣 🤣ในตอนนี้ กระทรวงกลาโหมคือ DMV (กรมยานพาหนะทางทหาร) พวกเขาเก่งในการเคลื่อนย้ายฮาร์ดแวร์และบุคลากร แต่ไม่ได้เก่งอะไรอย่างอื่น🤣 🤣พวกเขายังคงติดอยู่กับกรอบแนวคิดสงครามโลกครั้งที่ ๒/สงครามเย็น ถึงเวลาที่จะถอยทัพและสร้างอนาคตใหม่🤣 🤣การยุติความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาและมิตรสหายของเรา🤣 Douglas Macgregor . Houthis fired a hypersonic missile into the Centre of Tel Aviv yesterday - evading Saudi and Israeli AD (obviously). The missile covered 1,300 Miles in less than 12 min. These are ground/air-based hypersonics - approaching Mach 9. There is no defense against this attack - none. Then, the Russians reportedly also have space based MIRV multiple independent reentry rocket payload mounted on hypersonic glide vehicles (HGV) hitting speeds of Mach 25. (Avangard Platform) Meanwhile, President wants to waste more money on the old force structure when we should scrap much of it and begin fielding a new force. At this point the DOD is the DMV (department of military vehicles) They are great at moving hardware and Personnel around but not at much else. They remain stuck in the WW2/Cold War paradigm. It’s time to retrench and build for the future. Ending the conflicts in Ukraine and the ME is vital for the US and our friends. . 9:45 PM · Sep 15, 2024 · 34.4K Views https://x.com/DougAMacgregor/status/1835329040640545224
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!!

    ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!!

    เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย
    ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว
    จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย
    ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา
    ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย
    ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง
    ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต
    รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย
    คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
    ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก
    ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน……

    ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา
    ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง
    ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง
    แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า
    “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…”
    คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า
    “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล”

    ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush
    เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ
    เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา
    การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า
    “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน”
    หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย
    เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……”

    เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี)
    นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี
    อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา
    แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่
    ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน
    และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก……

    ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน
    ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย
    แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น

    เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์
    และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร…
    แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี
    ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น
    คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง
    จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง
    ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน

    วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด
    ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย
    ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน
    แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB
    และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก
    ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์
    อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน
    แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย

    ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน
    เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที…
    เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

    เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม
    อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov

    เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา……

    ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์
    อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ
    ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน
    ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย……

    ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี
    ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย
    ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน
    แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา……
    ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?”
    สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..”
    ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?”
    สื่อ……”#%&฿$€€”

    หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป
    อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute
    คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ
    และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน……
    แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน
    จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี
    มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่

    ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี
    เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น
    แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้
    การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด
    ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน……
    ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน)
    หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน
    คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า
    “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น”

    ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!”

    **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน

    ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ
    อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย
    ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้
    และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน

    หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน
    เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง

    Wiwanda W. Vichit
    พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!! ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!! เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน…… ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…” คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล” ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน” หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……” เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี) นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่ ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก…… ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร… แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์ อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที… เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา…… ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์ อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย…… ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา…… ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?” สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..” ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?” สื่อ……”#%&฿$€€” หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน…… แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่ ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้ การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน…… ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน) หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น” ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!” **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้ และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • พูดถึงการเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้รถถังเพิ่มเติมจากปืนกลหนัก 12.7 มิลลิเมตรด้านบนป้อมปืน มีกรณีศึกษาน่าสนใจคือกรณีของเกาหลีเหนือที่มีการติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่าหรือ MANPADS บนป้อมปืนรถถังมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการใช้โดรนแพร่หลายเสียอีก เหตุผลไม่ใช่เพราะเกาหลีเหนือมองการณ์ไกล แต่มาจากดุลทางทหารที่เกาหลีเหนือมีกำลังทางอากาศด้อยกว่าเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มาก กองทัพอากาศเกาหลีเหนือมีเครื่องบินขับไล่ที่พอไปวัดไปวาได้คือ MiG-29 ประมาณ 35 ลำเท่านั้น เครื่องบินรบนอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็น MiG-21 และ MiG-23 เทียบไม่ได้เลยกับกองทัพอากาศเกาหลีใต้และสหรัฐฯ กองทัพบกเกาหลีเหนือจึงต้องเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวทั้งติด MANPADS ให้ยานเกราะทั่วไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหวังพึ่งการคุ้มกันทางอากาศจากเครื่องบินขับไล่ได้

    ทีนี้การติด MANPADS บนป้อมปืนรถถัง ข้อดีก็คือช่วยเพิ่มระยะยิงอาวุธต่อสู้อากาศยานของรถถัง จากที่ปกติปืนกลขนาด 12.7 มิลลิเมตรมีระยะยิงหวังผลประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นเป็นระยะยิงของ MANPADS ประมาณ 5 กิโลเมตร นำวิถีด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสียของ MANPADS คือพลยิงหรือในกรณีนี้คือพลประจำรถถัง ต้องค้นหาเป้าหมายด้วยสายตา และทัศนวิสัยด้านในของรถถังค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงที่การรบชุลมุน ผบ. รถถังไม่สามารถเปิดฝาป้อมออกมาได้ ก็ยิ่งมีข้อจำกัดมาก ดังนั้นต่อให้รถถังมีอาวุธต่อสู้อากาศยานเพิ่มคือ MANPADS แต่ถ้ามองไม่เห็นเป้าหมาย ก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ

    ในกรณีของโดรน FPV ความจริงโดรนประเภทนี้โดยตัวมันเองไม่ได้แข็งแกร่งทนทานอะไร ใช้แค่ปืนลูกซองก็สามารถสอยลงมาได้ จุดที่ยากคือการหาโดรนให้พบต่างหาก ต้องไม่ลืมว่าภัยคุกคามในสนามรบไม่ได้มีแค่โดรน มีทั้งทหารราบและยานเกราะฝ่ายตรงข้าม ปืนใหญ่ เป็นต้น ส่งผลให้ไม่สามารถแหงนหน้ามองหาโดรนอย่างเดียวได้ ดังนั้นถ้าในอนาคตจะมีการปรับปรุงความสามารถในการต่อต้านโดรนของยานเกราะ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ระบบอาวุธคือระบบตรวจจับครับ จะทำอย่างไรจึงจะให้พลประจำรถที่มีทัศนวิสัยจำกัด สามารถมองเห็นโดรนก่อนที่โดรนจะเข้าโจมตีได้ อย่างที่ผมบอกไปว่าการสอยโดรน FPV ทำได้ไม่ยาก แค่ปืนลูกซองก็สอยลงมาได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญเลยคือต้องเห็นโดรนก่อน

    สวัสดี

    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    14.09.2024
    พูดถึงการเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้รถถังเพิ่มเติมจากปืนกลหนัก 12.7 มิลลิเมตรด้านบนป้อมปืน มีกรณีศึกษาน่าสนใจคือกรณีของเกาหลีเหนือที่มีการติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่าหรือ MANPADS บนป้อมปืนรถถังมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการใช้โดรนแพร่หลายเสียอีก เหตุผลไม่ใช่เพราะเกาหลีเหนือมองการณ์ไกล แต่มาจากดุลทางทหารที่เกาหลีเหนือมีกำลังทางอากาศด้อยกว่าเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มาก กองทัพอากาศเกาหลีเหนือมีเครื่องบินขับไล่ที่พอไปวัดไปวาได้คือ MiG-29 ประมาณ 35 ลำเท่านั้น เครื่องบินรบนอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็น MiG-21 และ MiG-23 เทียบไม่ได้เลยกับกองทัพอากาศเกาหลีใต้และสหรัฐฯ กองทัพบกเกาหลีเหนือจึงต้องเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวทั้งติด MANPADS ให้ยานเกราะทั่วไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหวังพึ่งการคุ้มกันทางอากาศจากเครื่องบินขับไล่ได้ ทีนี้การติด MANPADS บนป้อมปืนรถถัง ข้อดีก็คือช่วยเพิ่มระยะยิงอาวุธต่อสู้อากาศยานของรถถัง จากที่ปกติปืนกลขนาด 12.7 มิลลิเมตรมีระยะยิงหวังผลประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นเป็นระยะยิงของ MANPADS ประมาณ 5 กิโลเมตร นำวิถีด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสียของ MANPADS คือพลยิงหรือในกรณีนี้คือพลประจำรถถัง ต้องค้นหาเป้าหมายด้วยสายตา และทัศนวิสัยด้านในของรถถังค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงที่การรบชุลมุน ผบ. รถถังไม่สามารถเปิดฝาป้อมออกมาได้ ก็ยิ่งมีข้อจำกัดมาก ดังนั้นต่อให้รถถังมีอาวุธต่อสู้อากาศยานเพิ่มคือ MANPADS แต่ถ้ามองไม่เห็นเป้าหมาย ก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ ในกรณีของโดรน FPV ความจริงโดรนประเภทนี้โดยตัวมันเองไม่ได้แข็งแกร่งทนทานอะไร ใช้แค่ปืนลูกซองก็สามารถสอยลงมาได้ จุดที่ยากคือการหาโดรนให้พบต่างหาก ต้องไม่ลืมว่าภัยคุกคามในสนามรบไม่ได้มีแค่โดรน มีทั้งทหารราบและยานเกราะฝ่ายตรงข้าม ปืนใหญ่ เป็นต้น ส่งผลให้ไม่สามารถแหงนหน้ามองหาโดรนอย่างเดียวได้ ดังนั้นถ้าในอนาคตจะมีการปรับปรุงความสามารถในการต่อต้านโดรนของยานเกราะ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ระบบอาวุธคือระบบตรวจจับครับ จะทำอย่างไรจึงจะให้พลประจำรถที่มีทัศนวิสัยจำกัด สามารถมองเห็นโดรนก่อนที่โดรนจะเข้าโจมตีได้ อย่างที่ผมบอกไปว่าการสอยโดรน FPV ทำได้ไม่ยาก แค่ปืนลูกซองก็สอยลงมาได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญเลยคือต้องเห็นโดรนก่อน สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 14.09.2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๗ ตุลาคม: ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย‘ ปลอมๆ ล้มเหลว

    เป็นเวลาหลายปี, ที่สหรัฐฯดำเนินโครงการก่อความไม่สงบในภูมิภาคของอิสราเอลโดยใช้ผู้ก่อการร้ายปลอม เป็นข้ออ้างในการทำ ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย‘ แต่ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๐๒๓ โครงการสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดของวอชิงตันก็ถูกล้มล้าง - เพียงแค่พลิกสวิตช์, ศัตรูของสหรัฐฯได้เปลี่ยนมาทำ ‘สงครามระยะยาว‘ กับอิสราเอลแล้ว
    .
    From 11 September to 7 October: The fake ‘War on Terror’ collapses

    For years, the US executed Israel’s regional destabilization program using phantom terrorists as justification for the ‘War on Terror.’ But 7 October 2023 killed Washington’s never-ending war project – with a flip of the switch, US adversaries have now turned the ‘Long War’ on Israel.

    @RealPepeEscobar

    https://thecradle.co/articles-id/26847
    .
    12:17 AM · Sep 14, 2024 · 12.4K Views
    https://x.com/TheCradleMedia/status/1834642449295122721
    ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๗ ตุลาคม: ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย‘ ปลอมๆ ล้มเหลว เป็นเวลาหลายปี, ที่สหรัฐฯดำเนินโครงการก่อความไม่สงบในภูมิภาคของอิสราเอลโดยใช้ผู้ก่อการร้ายปลอม เป็นข้ออ้างในการทำ ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย‘ แต่ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๐๒๓ โครงการสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดของวอชิงตันก็ถูกล้มล้าง - เพียงแค่พลิกสวิตช์, ศัตรูของสหรัฐฯได้เปลี่ยนมาทำ ‘สงครามระยะยาว‘ กับอิสราเอลแล้ว . From 11 September to 7 October: The fake ‘War on Terror’ collapses For years, the US executed Israel’s regional destabilization program using phantom terrorists as justification for the ‘War on Terror.’ But 7 October 2023 killed Washington’s never-ending war project – with a flip of the switch, US adversaries have now turned the ‘Long War’ on Israel. @RealPepeEscobar https://thecradle.co/articles-id/26847 . 12:17 AM · Sep 14, 2024 · 12.4K Views https://x.com/TheCradleMedia/status/1834642449295122721
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงสัยมั้ยครับ เหตุใดรัฐบาลอเมริกาจึงออกมารณรงค์ปิดสื่อมากขึ้นในช่วงนี้?

    เพราะวิญญูชนทั่วโลกได้ใช้บัญชีสื่อโซเชียลมิเดียกระจายข่าวอาชญากรรมของกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกาหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะวิญญูชนอเมริกัน น่าสรรเสริญมาก หลายคนแม้จะโดนข่มขู่คุกคามก็สู้ไม่ถอย เพื่อปลุกชาวอเมริกันให้ตื่น

    ต้นๆ อาทิตย์นี้ ข่าวที่สรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 แพร่หลายไปทั่วโลกสื่อโซเชียลมิเดีย ที่ VK เยอะมาก ที่ X ก็หลายพันบัญชีที่ลงข่าว

    ในช่วงเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมกำลังเรียนปริญญาเอก เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมต้องเอาเวลาพักผ่อนจากเรียนหนังสือมาอ่านข่าวจริงๆ จังๆ เมื่ออ่านค้นข้อเท็จจริง ก็เป็นอย่างที่คาด ผมสรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลัง บิน ลาเดนทำงานให้ซีไอเอ ถูกกำหนดให้ตายทางสื่อ แต่ตัวจริง ไม่ได้ตาย เขาทำศัลยกรรมใบหน้า เปลี่ยนชื่อแซ่ตนเองและอยู่กับภรรยาหลายคนบนเกาะแห่งหนึ่งในขณะนี้

    อเมริกาต้องรีบหาทางปิดปากสื่อในตอนนี้ ทั้งสื่อรัสเซีย เช่น RT และสื่อตนเอง หาไม่แล้ว คนอเมริกันที่รู้ข่าวจริงมากขึ้นอาจต่อต้านยิวไซออนิสต์กันมากขึ้นตามมา


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    สงสัยมั้ยครับ เหตุใดรัฐบาลอเมริกาจึงออกมารณรงค์ปิดสื่อมากขึ้นในช่วงนี้? เพราะวิญญูชนทั่วโลกได้ใช้บัญชีสื่อโซเชียลมิเดียกระจายข่าวอาชญากรรมของกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกาหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะวิญญูชนอเมริกัน น่าสรรเสริญมาก หลายคนแม้จะโดนข่มขู่คุกคามก็สู้ไม่ถอย เพื่อปลุกชาวอเมริกันให้ตื่น ต้นๆ อาทิตย์นี้ ข่าวที่สรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 แพร่หลายไปทั่วโลกสื่อโซเชียลมิเดีย ที่ VK เยอะมาก ที่ X ก็หลายพันบัญชีที่ลงข่าว ในช่วงเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมกำลังเรียนปริญญาเอก เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมต้องเอาเวลาพักผ่อนจากเรียนหนังสือมาอ่านข่าวจริงๆ จังๆ เมื่ออ่านค้นข้อเท็จจริง ก็เป็นอย่างที่คาด ผมสรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลัง บิน ลาเดนทำงานให้ซีไอเอ ถูกกำหนดให้ตายทางสื่อ แต่ตัวจริง ไม่ได้ตาย เขาทำศัลยกรรมใบหน้า เปลี่ยนชื่อแซ่ตนเองและอยู่กับภรรยาหลายคนบนเกาะแห่งหนึ่งในขณะนี้ อเมริกาต้องรีบหาทางปิดปากสื่อในตอนนี้ ทั้งสื่อรัสเซีย เช่น RT และสื่อตนเอง หาไม่แล้ว คนอเมริกันที่รู้ข่าวจริงมากขึ้นอาจต่อต้านยิวไซออนิสต์กันมากขึ้นตามมา ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริง

    เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่มีต่อ RT, รูฮอลลาห์ โมดาบเบอร์, นักวิทยาศาสตร์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับสปุตนิกว่า สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียโดยเฉพาะ RT และสปุตนิก, มีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริงและต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อเท็จของตะวันตก

    “ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาหาความจริงจากสื่อรัสเซีย RT และ สปุตนิกดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก แหล่งข้อมูลของตะวันตกล้มเหลวในเวลาเดียวกับที่พยายามแสดงความจริงอีกประการหนึ่งผ่านการเซ็นเซอร์ สื่อรัสเซียได้เอาชนะอำนาจเหนือของสหรัฐฯ และยุโรปในพื้นที่ข้อมูลอีกครั้ง”, โมดาบเบอร์ กล่าว

    สหรัฐฯต้องการที่จะ "เซ็นเซอร์" ข้อมูลต่อต้านรัสเซีย เพราะสหรัฐฯ "ล้มเหลว" ในยูเครน, อิงกริด อูร์เกลเลส, นักรัฐศาสตร์ชาวชิลี กล่าวกับสปุตนิก โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่วอชิงตันแนะนำมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อสื่อรัสเซีย

    นี่เป็นอีกความพยายามหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มที่เผยแพร่มุมมองที่แตกต่างจากวาระจักรวรรดินิยมที่พวกเขาสนับสนุน ในกรณีนี้, คือความขัดแย้งในยูเครน, และเนื่องจากสหรัฐฯพ่ายแพ้, สหรัฐฯจึงสูญเสียการสนับสนุนจากทั่วโลกด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้มาตรการพิเศษดังกล่าว เพื่อโยนความผิดให้สื่อ, ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ, เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ RT เท่านั้น, แต่ยังเกี่ยวกับรูปแบบที่ผู้คนรับข้อมูลด้วย,” Urgelles กล่าว

    สหรัฐฯจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเต็มรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการกับ RT, ซึ่งเป็นสื่อของรัสเซีย เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ , กล่าวเมื่อวันศุกร์
    .
    US recognizes Russian media play important role in reporting truth

    Commenting on the US accusations against RT, political scientist and international relations expert Ruhollah Modabber told Sputnik that the US recognizes that Russian media, especially RT and Sputnik, play an important role in reporting the truth and countering false Western propaganda.

    "People around the world turn to Russian media for the truth. RT and Sputnik have attracted a large audience. Western information sources fail at the same time as they try to show another reality through censorship. The Russian media have once again defeated the hegemony of the US and Europe in the information space", Modabber said.

    The US wants to achieve information "censorship" against Russia because it has "failed" in Ukraine, Chilean political scientist Ingrid Urgelles, PhD told Sputnik, commenting on Washington's introduction of new sanctions against Russian media.

    "This is another of the many attempts by the US to censor platforms that broadcast a point of view that differs from the imperialist agenda they promote. In this case, it is the conflict in Ukraine, and because the US lost, it also lost [global] support. That is why they are resorting to such extraordinary measures to blame the media, which is quite absurd, because it is not just about RT, but about the form in which people receive information," Urgelles stated.

    The US will impose full blocking financial sanctions as part of its actions against the Russian media outlet RT, James Rubin, the director of the State Department's Global Engagement Center, said on Friday.
    .
    2:41 PM · Sep 14, 2024 · 1,178 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834859959227503046
    📌สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริง📌 เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่มีต่อ RT, รูฮอลลาห์ โมดาบเบอร์, นักวิทยาศาสตร์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับสปุตนิกว่า สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียโดยเฉพาะ RT และสปุตนิก, มีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริงและต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อเท็จของตะวันตก “ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาหาความจริงจากสื่อรัสเซีย RT และ สปุตนิกดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก แหล่งข้อมูลของตะวันตกล้มเหลวในเวลาเดียวกับที่พยายามแสดงความจริงอีกประการหนึ่งผ่านการเซ็นเซอร์ สื่อรัสเซียได้เอาชนะอำนาจเหนือของสหรัฐฯ และยุโรปในพื้นที่ข้อมูลอีกครั้ง”, โมดาบเบอร์ กล่าว สหรัฐฯต้องการที่จะ "เซ็นเซอร์" ข้อมูลต่อต้านรัสเซีย เพราะสหรัฐฯ "ล้มเหลว" ในยูเครน, อิงกริด อูร์เกลเลส, นักรัฐศาสตร์ชาวชิลี กล่าวกับสปุตนิก โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่วอชิงตันแนะนำมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อสื่อรัสเซีย “🤣นี่เป็นอีกความพยายามหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มที่เผยแพร่มุมมองที่แตกต่างจากวาระจักรวรรดินิยมที่พวกเขาสนับสนุน ในกรณีนี้, คือความขัดแย้งในยูเครน, และเนื่องจากสหรัฐฯพ่ายแพ้, สหรัฐฯจึงสูญเสียการสนับสนุนจากทั่วโลกด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้มาตรการพิเศษดังกล่าว เพื่อโยนความผิดให้สื่อ, ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ🤣, เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ RT เท่านั้น, แต่ยังเกี่ยวกับรูปแบบที่ผู้คนรับข้อมูลด้วย,” Urgelles กล่าว 🤣 สหรัฐฯจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเต็มรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการกับ RT, ซึ่งเป็นสื่อของรัสเซีย เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ 🤣, กล่าวเมื่อวันศุกร์ . US recognizes Russian media play important role in reporting truth Commenting on the US accusations against RT, political scientist and international relations expert Ruhollah Modabber told Sputnik that the US recognizes that Russian media, especially RT and Sputnik, play an important role in reporting the truth and countering false Western propaganda. "People around the world turn to Russian media for the truth. RT and Sputnik have attracted a large audience. Western information sources fail at the same time as they try to show another reality through censorship. The Russian media have once again defeated the hegemony of the US and Europe in the information space", Modabber said. The US wants to achieve information "censorship" against Russia because it has "failed" in Ukraine, Chilean political scientist Ingrid Urgelles, PhD told Sputnik, commenting on Washington's introduction of new sanctions against Russian media. "This is another of the many attempts by the US to censor platforms that broadcast a point of view that differs from the imperialist agenda they promote. In this case, it is the conflict in Ukraine, and because the US lost, it also lost [global] support. That is why they are resorting to such extraordinary measures to blame the media, which is quite absurd, because it is not just about RT, but about the form in which people receive information," Urgelles stated. The US will impose full blocking financial sanctions as part of its actions against the Russian media outlet RT, James Rubin, the director of the State Department's Global Engagement Center, said on Friday. . 2:41 PM · Sep 14, 2024 · 1,178 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834859959227503046
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิคุ้มกันความทุกข์

    ตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงวันอุปสมบท ผู้เขียนเห็นลุงแดงเดิน อยู่ริมถนนพหลโยธิน

    ไม่มีใครสนใจว่าแกเป็นใคร มาจากไหน

    ในช่วงกลางวัน แม้ฝนจะตก แดดจะออกอย่างไร ดูแกจะไม่

    สนใจ เดินไป คุยไป หัวเราะไป กับใครก็ไม่รู้ เพราะแกเดินคนเดียว

    เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เพราะไม่เคยผ่านการซักฟอกร่างกาย ไม่ได้เจอสบู่ยาสระผมมานานปีแล้ว


    ตกลุงแดงจะเข้าไปอาศัยนอนในวัด โดยที่ไม่สนใจมุ่งหมอน เสื่อ แต่มีเพียงพื้นปูนเรียบๆ แกก็นอนได้อย่างเป็นสุข โดยมียุงและ หมาวัดฝูงใหญ่เป็นเพื่อน
    ส่วนเรื่องอาหาร มีพระท่านเมตตาเก็บไว้ให้ ตอนเช้าหลังจากกินข้าวก้นบาตรพระ แกก็ออกไปทำหน้าที่สำรวจถนนต่อไปและ หลายครั้งกว่าจะเย็นค่ำ อาหารที่พระท่านเก็บไว้ให้ก็พูดเสียแล้ว แ ดูแกจะไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด รับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย ทุกครั้ง

    ใช่แล้ว แกเป็นคนบ้า คนบ้าที่มีความสุข แกไม่มีอะไรเป็น สมบัติส่วนตัว นอกจากเสื้อผ้าที่แกสวมใส่ จนเมื่อผู้เขียนมองย้อน กลับมาสำรวจตนเองที่มีนั่น โน่น นี่มากมาย แต่ไม่เคยพอใจสักครั้ง ทุกข์กับความมีความเป็นของตนเองอยู่บ่อยๆ หลายครั้งก็ชักสับสน ตงิดๆ ว่า

    “ลุงแดงกับเรานี่ ใครบ้ากว่ากันหว่า”

    และที่ สงสัยมานานก็คือ ทำไมคนบ้าส่วนมากไม่ค่อยเจ็บป่วย หรือเขาก็ป่วยเป็นแต่ไม่บอก หรือเขาป่วยแต่ไม่ทุกข์?

    จนเมื่อเติบโตขึ้นมา ถูกฉีดวัคซีน ปลูกฝีอยู่หลายครั้งจึงได้รู้ว่า เขาทำเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน เพราะวัคซีน หรือการปลูกฝีนั้น เขาเอาเชื้อ โรคนั่นแหละมากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน


    ภูมิคุ้มกันโรค (Immunity) หมายถึง ร่างกายมีความต้านทาน เกิดจากมีกลไกป้องกันหรือต่อต้านโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ

    ภูมิคุ้มกันโรคโดยทั่วไปท่านแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด

    ภูมิคุ้มกันโรคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ (Natural Immunity) เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด โดยแม่จะถ่ายทอด

    ผ่านทางรถมาสู่ลูกในครรภ์ ดังนั้น ทารกที่เกิดใหม่จะมีภูมิคุ้มกัน โรค บางชนิด เช่น โรคคอตีบ โรคหัด และไข้ทรพิษได้เองตาม ธรรมชาติ แต่ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้คงอยู่ได้ประมาณ ๓ เดือน หลังคลอด ต่อจากนั้น ทารกจะมีภูมิคุ้มกันโรคลดลง

    แม้แต่นมแม่ซึ่งไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ หรือสเตอริไลซ์ มา จากไหน เมื่อทารกดื่มก็ช่วยกระตุ้นลำไส้ของลูกน้อยให้รู้ว่า แบคทีเรีย ชนิดใดมีประโยชน์ นั่นคือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง

    และร่างกายของคนเราโดยทั่วไปยังมีผิวหนัง เยื่อเมือกต่างๆ เช่น เยื่อตาและเยื่อจมูก น้ำย่อยอาหาร และเม็ดเลือดขาวไว้สำหรับ คุ้มกันโรคตามธรรมชาติอีกด้วย

    ๒. ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Immu nity) จะเกิดขึ้นภายหลังจากหายป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่นไข้ทรพิษ หัด อีสุกอีใส คางทูม เป็นต้น เพราะเมื่อเป็นโรคเหล่านี้แล้วร่างกายจะ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง หรือเกิดได้โดยการปลูกฝี ฉีดวัคซีน ฉีดเซรุ่ม เพื่อช่วยให้ร่างกายมีหรือสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้นมา

    เชื่อได้ว่า หากจับลุงแดงไปเจาะเลือด ตรวจหาเชื้อโรคแล้ว ให้แพทย์วินิจฉัย แกคงเป็นสารพัดโรค แต่ที่แกไม่ป่วยเพราะแกมี ภูมิคุ้มกัน

    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95/
    ภูมิคุ้มกันความทุกข์ ตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงวันอุปสมบท ผู้เขียนเห็นลุงแดงเดิน อยู่ริมถนนพหลโยธิน ไม่มีใครสนใจว่าแกเป็นใคร มาจากไหน ในช่วงกลางวัน แม้ฝนจะตก แดดจะออกอย่างไร ดูแกจะไม่ สนใจ เดินไป คุยไป หัวเราะไป กับใครก็ไม่รู้ เพราะแกเดินคนเดียว เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เพราะไม่เคยผ่านการซักฟอกร่างกาย ไม่ได้เจอสบู่ยาสระผมมานานปีแล้ว ตกลุงแดงจะเข้าไปอาศัยนอนในวัด โดยที่ไม่สนใจมุ่งหมอน เสื่อ แต่มีเพียงพื้นปูนเรียบๆ แกก็นอนได้อย่างเป็นสุข โดยมียุงและ หมาวัดฝูงใหญ่เป็นเพื่อน ส่วนเรื่องอาหาร มีพระท่านเมตตาเก็บไว้ให้ ตอนเช้าหลังจากกินข้าวก้นบาตรพระ แกก็ออกไปทำหน้าที่สำรวจถนนต่อไปและ หลายครั้งกว่าจะเย็นค่ำ อาหารที่พระท่านเก็บไว้ให้ก็พูดเสียแล้ว แ ดูแกจะไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด รับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย ทุกครั้ง ใช่แล้ว แกเป็นคนบ้า คนบ้าที่มีความสุข แกไม่มีอะไรเป็น สมบัติส่วนตัว นอกจากเสื้อผ้าที่แกสวมใส่ จนเมื่อผู้เขียนมองย้อน กลับมาสำรวจตนเองที่มีนั่น โน่น นี่มากมาย แต่ไม่เคยพอใจสักครั้ง ทุกข์กับความมีความเป็นของตนเองอยู่บ่อยๆ หลายครั้งก็ชักสับสน ตงิดๆ ว่า “ลุงแดงกับเรานี่ ใครบ้ากว่ากันหว่า” และที่ สงสัยมานานก็คือ ทำไมคนบ้าส่วนมากไม่ค่อยเจ็บป่วย หรือเขาก็ป่วยเป็นแต่ไม่บอก หรือเขาป่วยแต่ไม่ทุกข์? จนเมื่อเติบโตขึ้นมา ถูกฉีดวัคซีน ปลูกฝีอยู่หลายครั้งจึงได้รู้ว่า เขาทำเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน เพราะวัคซีน หรือการปลูกฝีนั้น เขาเอาเชื้อ โรคนั่นแหละมากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันโรค (Immunity) หมายถึง ร่างกายมีความต้านทาน เกิดจากมีกลไกป้องกันหรือต่อต้านโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ ภูมิคุ้มกันโรคโดยทั่วไปท่านแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ภูมิคุ้มกันโรคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ (Natural Immunity) เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด โดยแม่จะถ่ายทอด ผ่านทางรถมาสู่ลูกในครรภ์ ดังนั้น ทารกที่เกิดใหม่จะมีภูมิคุ้มกัน โรค บางชนิด เช่น โรคคอตีบ โรคหัด และไข้ทรพิษได้เองตาม ธรรมชาติ แต่ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้คงอยู่ได้ประมาณ ๓ เดือน หลังคลอด ต่อจากนั้น ทารกจะมีภูมิคุ้มกันโรคลดลง แม้แต่นมแม่ซึ่งไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ หรือสเตอริไลซ์ มา จากไหน เมื่อทารกดื่มก็ช่วยกระตุ้นลำไส้ของลูกน้อยให้รู้ว่า แบคทีเรีย ชนิดใดมีประโยชน์ นั่นคือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง และร่างกายของคนเราโดยทั่วไปยังมีผิวหนัง เยื่อเมือกต่างๆ เช่น เยื่อตาและเยื่อจมูก น้ำย่อยอาหาร และเม็ดเลือดขาวไว้สำหรับ คุ้มกันโรคตามธรรมชาติอีกด้วย ๒. ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Immu nity) จะเกิดขึ้นภายหลังจากหายป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่นไข้ทรพิษ หัด อีสุกอีใส คางทูม เป็นต้น เพราะเมื่อเป็นโรคเหล่านี้แล้วร่างกายจะ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง หรือเกิดได้โดยการปลูกฝี ฉีดวัคซีน ฉีดเซรุ่ม เพื่อช่วยให้ร่างกายมีหรือสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้นมา เชื่อได้ว่า หากจับลุงแดงไปเจาะเลือด ตรวจหาเชื้อโรคแล้ว ให้แพทย์วินิจฉัย แกคงเป็นสารพัดโรค แต่ที่แกไม่ป่วยเพราะแกมี ภูมิคุ้มกัน สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อรอยเตอร์ Reuters สหรัฐตีข่าว การทุจริตในเมืองไทย
    หลังจากบริษัท Deere บริษัทสัญชาติอเมริกัน
    ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร รายใหญ่
    ได้ยอมเสียค่าปรับให้กับ ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC
    เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท

    ในกรณีที่ ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานบริษัท
    Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เมืองไทย
    ได้ติดสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เมืองไทย
    เพื่อให้ได้งาน ซึ่งในคำให้การมีหลายหน่วยงาน
    เช่น กองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง เป็นต้น

    โดย Deere & company บริษัทแม่ของ
    Wirtgen Thailand ได้ให้คำให้การต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ
    ถึงขึ้นตอนการจะได้งานที่เมืองไทยจากภาครัฐ
    ต้องทำดังนี้

    1. ติดสินบน จ่ายเป็นเงินสด ตั้งแต่ปี 2560-2563
    2. จ่ายในรูปแบบค่าที่ปรึกษา ค่าอาหาร
    3. จ่ายในรูปแบบการท่องเที่ยว แต่ระบุ "เยี่ยมชมโรงงาน"
    ในสวิตเซอร์แลนด์ และ ประเทศต่างๆในยุโรป
    4. จ่ายในรูปแบบความบันเทิง โดยการพาเจ้าหน้าที่รัฐ
    ไปนวดในสถานบริการ อาบ อบ นวด

    ซึ่งการกระทำดังกล่าว ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC กล่าวว่า
    การกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชีและบันทึก
    รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน
    ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง
    หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ
    และเกิดการปรับเงินเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์
    สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท


    โดย Deere & Company ดำเนินธุรกิจในชื่อ John Deere
    เป็นบริษัทอเมริกันที่ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร
    เครื่องจักรกลหนัก เครื่องจักรป่าไม้ เครื่องยนต์ดีเซล
    ระบบขับเคลื่อนที่ใช้ในเครื่องจักรกลหนัก และอุปกรณ์
    ดูแลสนามหญ้า

    ที่มา : Reuters
    https://www.reuters.com/legal/deere-pay-993-mln-settle-us-sec-bribery-probe-2024-09-10/

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥สื่อรอยเตอร์ Reuters สหรัฐตีข่าว การทุจริตในเมืองไทย หลังจากบริษัท Deere บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร รายใหญ่ ได้ยอมเสียค่าปรับให้กับ ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท 🚩ในกรณีที่ ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานบริษัท Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เมืองไทย ได้ติดสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เมืองไทย เพื่อให้ได้งาน ซึ่งในคำให้การมีหลายหน่วยงาน เช่น กองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง เป็นต้น 🚩โดย Deere & company บริษัทแม่ของ Wirtgen Thailand ได้ให้คำให้การต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ ถึงขึ้นตอนการจะได้งานที่เมืองไทยจากภาครัฐ ต้องทำดังนี้ 🚩1. ติดสินบน จ่ายเป็นเงินสด ตั้งแต่ปี 2560-2563 🚩2. จ่ายในรูปแบบค่าที่ปรึกษา ค่าอาหาร 🚩3. จ่ายในรูปแบบการท่องเที่ยว แต่ระบุ "เยี่ยมชมโรงงาน" ในสวิตเซอร์แลนด์ และ ประเทศต่างๆในยุโรป 🚩4. จ่ายในรูปแบบความบันเทิง โดยการพาเจ้าหน้าที่รัฐ ไปนวดในสถานบริการ อาบ อบ นวด 🚩ซึ่งการกระทำดังกล่าว ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC กล่าวว่า การกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชีและบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ และเกิดการปรับเงินเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท 🚩โดย Deere & Company ดำเนินธุรกิจในชื่อ John Deere เป็นบริษัทอเมริกันที่ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกลหนัก เครื่องจักรป่าไม้ เครื่องยนต์ดีเซล ระบบขับเคลื่อนที่ใช้ในเครื่องจักรกลหนัก และอุปกรณ์ ดูแลสนามหญ้า ที่มา : Reuters https://www.reuters.com/legal/deere-pay-993-mln-settle-us-sec-bribery-probe-2024-09-10/ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 828 มุมมอง 0 รีวิว

  • “กราฟีนออกไซด์ในสมอง” : https://www.materialstoday.com/.../graphene-oxide-on-the...
    “ความเป็นพิษของกราฟีนทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” (การอักเสบของหัวใจ) : https://www.sciencedirect.com/.../pii/S2352940718302853
    “ZEN Graphene Solutions ประกาศสิทธิแต่เพียงผู้เดียวทั่วโลกในการจำหน่ายเทคโนโลยีการทดสอบแอนติเจน COVID-19 ที่ใช้น้ำลายอย่างรวดเร็ว” : https://www.zengraphene.com/zen-graphene-solutions... -เทคโนโลยีการทดสอบแอนติเจนจากน้ำลายที่ใช้เชื้อโควิด-19/
    “Health Canada ออกคำแนะนำสำหรับมาสก์หน้าที่มีกราฟีน” : https://www.ctvnews.ca/.../health-canada-issues-advisory...
    สิทธิบัตร: “ท่อนาโนคาร์บอนไลโอฟิไลซ์/ตัวกรองบุหรี่แบบดัดแปลงกราฟีนออกไซด์…” – https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S1385894715007937
    สิทธิบัตร: “เครื่องกรองควันบุหรี่จากกราฟีน…” – https://patents.google.com/patent/WO2017187453A1/en
    “วัคซีนไฟเซอร์ 'ประกอบด้วยกราฟีนออกไซด์ 99% หลังการวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน” : https://stateofthenation.co/?p=71587
    “กราฟีนออกไซด์ในบรรจุภัณฑ์อาหาร” – https://www.go-graphene.com/.../graphene-oxide-in-food...
    “ความเป็นพิษของอนุภาคนาโนในตระกูลกราฟีน: การทบทวนแหล่งกำเนิดและกลไกทั่วไป” : https://particleandfibretoxicology.biomedcentral.com/... ( สำเนาในเครื่อง )
    “คุณลักษณะความถี่วิทยุของกราฟีนออกไซด์” – https://www.researchgate.net/.../234845171_Radio...
    “โปรตีน 'Magneto' ที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมควบคุมสมองและพฤติกรรมจากระยะไกล” – https://www.theguardian.com/.../magneto-remotely-controls...
    “แผ่นนาโนกราฟีนที่พบในน้ำฝน” – https://zerogeoengineering.com/.../graphene-nanosheets.../
    “รายงานโรงพยาบาล Barbastro” – https://nobulart.com/.../09/Hospital-de-Barbastro-Huesca.pdf ( สำเนาท้องถิ่น ) ( อังกฤษ )
    “ประสิทธิภาพทางชีวภาพของกราฟีนออกไซด์ทั้งภายในและภายนอกร่างกายและผลกระทบของสารลดแรงตึงผิวที่มีต่อความเข้ากันได้ทางชีวภาพของกราฟีนออกไซด์” – https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S1001074212602526
    “การกำจัดสารกำจัดวัชพืช 2,4-D, ไกลโฟเสต, ไตรฟลูราลิน และบิวทาคลอร์ออกจากน้ำโดยเยื่อโพลีซัลโฟนที่ผสมด้วยแกรฟีนออกไซด์/TiO2 นาโนคอมโพสิต: การศึกษาการกรองและการดูดซับเป็นชุด” – https://www.ncbi.nlm.nih.gov /pmc/articles/PMC6582012/
    “นาโนเทคโนโลยี: เครื่องมือใหม่สำหรับชีววิทยาและการแพทย์” – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3841729/
    “กราฟีนออกไซด์สัมผัสเลือด: ปฏิสัมพันธ์ในร่างกายของวัสดุ 2 มิติชีวภาพที่มีโคโรนา” – https://pubs.rsc.org/.../articlehtml/2019/nh/c8nh00318a
    “ความเป็นพิษของอนุภาคนาโนกราฟีนออกไซด์ปริมาณต่ำในแบบจำลอง Caenorhabditis elegans ในร่างกาย” – https://aaqr.org/articles/aaqr-20-09-oa-0559
    “วัคซีนรีคอมบิแนนท์นาโนไวรัสโคโรนาที่ใช้กราฟีนออกไซด์เป็นพาหะ” – https://patents.google.com/patent/CN112220919A/th
    “วิธีที่ INBRAIN Neuroelectronics พัฒนาประสาทเทียมที่ใช้กราฟีน” – https://www.medicaldevice-network.com/.../inbrain.../
    “วัคซีน COVID-19 ของสหรัฐฯ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดี จากข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่สำคัญซึ่งวิเคราะห์โดยใช้จุดสิ้นสุดทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม ล้วนก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง” – https://www.scivisionpub.com/pdfs/us-covid19-vaccines- พิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีตามผลการทดลองทางคลินิกข้อมูลวิเคราะห์โดยใช้วิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม 1811.pdf
    “Moderna กล่าวว่าวัคซีน COVID ที่ส่งไปยังญี่ปุ่นมีอนุภาคเหล็กกล้าไร้สนิม” – https://japantoday.com/.../moderna-says-tainted-covid...
    “ HCG ที่พบในวัคซีนบาดทะยักของ WHO ในเคนยาทำให้เกิดความกังวลในประเทศกำลังพัฒนา ” – https://www.scirp.org/journal/paperinformation.aspx...
    “วัคซีนบาดทะยักอาจผสมยาต้านการเจริญพันธุ์” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12346214/
    “วัคซีนต่อต้านการเจริญพันธุ์” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/2665354/
    “อุทยานเทคโนโลยีชีวภาพ: จีนสู่อนาคตหน้า” (2554) – https://www.asiabiotech.com/15/1503/0034_0039.pdf
    “กรณีหายากของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเชื่อมโยงกับวัคซีน Pfizer, Moderna Covid-19 หรือไม่” – https://www.forbes.com/.../are-rare-cases-of-myocarditis.../
    “Trypanosoma Cruzi Experimental Infections และ COVID-19:ที่คล้ายกันกับโรคหลอดเลือดหัวใจ?” – https://biomedgrid.com/pdf/AJBSR.MS.ID.001832.pdf
    “เราได้ยินมาว่าการรักษาไม่ได้ช่วยอะไร แล้วทำไมเราต้องรักษาด้วยล่ะ? มุมมองวิธีการแบบผสมผสานเกี่ยวกับความรู้เรื่องโรค Chagas ทัศนคติ การป้องกัน และพฤติกรรมการรักษาในชาโคโบลิเวีย” – https://journals.plos.org/plosntds/article?id=10.1371/journal.pntd.0008752
    “ผลของยา ivermectin ต่อเชื้อ Trypanosoma brucei ในหนูทดลองที่ติดเชื้อ” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23135008/
    “ [DARPA] DEFUSE PROJECT Documents” – https://drasticresearch.org/.../the-defuse-project.../
    “ภาวะลิ่มเลือดอุดตันและภาวะเกล็ดเลือดต่ำหลังการฉีดวัคซีน ChAdOx1 nCoV-19” – https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2104882
    “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่เกิดขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้ mRNA” – https://jamanetwork.com/.../jamacardi.../fullarticle/2781600
    “รายงานผู้ป่วยในสหรัฐฯ ของการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำในสมองด้วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำหลังการฉีดวัคซีน Ad26.COV2.S” – https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2779731
    “ฉันขอเตือนผู้ที่เป็นโรค vaxxed ให้หลีกเลี่ยงการสแกน MRI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามสัปดาห์แรก เนื่องจากบางคนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้น กรณีที่ร้ายแรงที่สุดส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ไม่มีใครรายงานไปยัง VAERS” – https://twitter.com/DRAFZALNIAZ2/status/1440775597123248135
    “พบกราฟีนออกไซด์ในขวดวัคซีน Vaxigrip Tetra” – https://www.orwell.city/.../graphene-oxide-found-in...
    “การตรวจสอบควบคุมคุณภาพวัคซีนแบบใหม่: การปนเปื้อนไมโครและนาโน” – https://medcraveonline.com/IJVV/new-quality-control-investigations-on-vaccines-micro–and-nanocontamination.html
    “อนุภาคโลหะในวัคซีนหลายชนิด แต่ไม่ต้องกังวล เข้าแถวและถ่ายภาพของคุณเหมือนหุ่นยนต์ตัวน้อยที่มีความสุข” เรียงแถวและถ่ายภาพของคุณ/
    “การตรวจพบกราฟีนในวัคซีน COVID19” – https://www.researchgate.net/.../355979001_DETECTION_OF...
    “100% ของการเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19 เกิดจากการผลิตเพียง 5% ตามข้อมูลของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ” – https://theexpose.uk/2021/10/31/100-percent-of-covid-19- วัคซีน-สาเหตุ-ตาย-เพียง 5 เปอร์เซ็นต์-ของ-แบทช์-ผลิต
    “เอ่อ นั่นไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด – 5% ของล็อตการผลิตวัคซีนทำให้วัคซีนเสียชีวิต 100%” – https://vulms.org/uh-thats-not-a-conspiracy-theory-5-of... -จำนวนมาก-สาเหตุ-100-ของ-วัคซีน-ตาย/
    “รอยประทับของภูมิคุ้มกัน ความกว้างของการรับรู้ตัวแปร และการตอบสนองของศูนย์กลางเชื้อโรคในการติดเชื้อ SARS-CoV-2 และการฉีดวัคซีนของมนุษย์” – https://www.cell.com/cell/fulltext/S0092-8674(22)00076-9
    “UK Lab พบกราฟีนในวัคซีน C19” – https://www.notonthebeeb.co.uk/.../uk-lab-finds-graphene...
    “ความคืบหน้าล่าสุดของกราฟีนออกไซด์ในฐานะผู้ให้บริการวัคซีนที่มีศักยภาพและยาเสริม” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32531395/
    “รอยประทับของภูมิคุ้มกัน ความกว้างของการจดจำตัวแปร และการตอบสนองของศูนย์กลางเชื้อโรคในการติดเชื้อ SARS-CoV-2 และการฉีดวัคซีนของมนุษย์” – https://www.cell.com/cell/fulltext/S0092-8674(22)00076-9
    “กราฟีนออกไซด์ในสมอง” : https://www.materialstoday.com/.../graphene-oxide-on-the... “ความเป็นพิษของกราฟีนทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” (การอักเสบของหัวใจ) : https://www.sciencedirect.com/.../pii/S2352940718302853 “ZEN Graphene Solutions ประกาศสิทธิแต่เพียงผู้เดียวทั่วโลกในการจำหน่ายเทคโนโลยีการทดสอบแอนติเจน COVID-19 ที่ใช้น้ำลายอย่างรวดเร็ว” : https://www.zengraphene.com/zen-graphene-solutions... -เทคโนโลยีการทดสอบแอนติเจนจากน้ำลายที่ใช้เชื้อโควิด-19/ “Health Canada ออกคำแนะนำสำหรับมาสก์หน้าที่มีกราฟีน” : https://www.ctvnews.ca/.../health-canada-issues-advisory... สิทธิบัตร: “ท่อนาโนคาร์บอนไลโอฟิไลซ์/ตัวกรองบุหรี่แบบดัดแปลงกราฟีนออกไซด์…” – https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S1385894715007937 สิทธิบัตร: “เครื่องกรองควันบุหรี่จากกราฟีน…” – https://patents.google.com/patent/WO2017187453A1/en “วัคซีนไฟเซอร์ 'ประกอบด้วยกราฟีนออกไซด์ 99% หลังการวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน” : https://stateofthenation.co/?p=71587 “กราฟีนออกไซด์ในบรรจุภัณฑ์อาหาร” – https://www.go-graphene.com/.../graphene-oxide-in-food... “ความเป็นพิษของอนุภาคนาโนในตระกูลกราฟีน: การทบทวนแหล่งกำเนิดและกลไกทั่วไป” : https://particleandfibretoxicology.biomedcentral.com/... ( สำเนาในเครื่อง ) “คุณลักษณะความถี่วิทยุของกราฟีนออกไซด์” – https://www.researchgate.net/.../234845171_Radio... “โปรตีน 'Magneto' ที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมควบคุมสมองและพฤติกรรมจากระยะไกล” – https://www.theguardian.com/.../magneto-remotely-controls... “แผ่นนาโนกราฟีนที่พบในน้ำฝน” – https://zerogeoengineering.com/.../graphene-nanosheets.../ “รายงานโรงพยาบาล Barbastro” – https://nobulart.com/.../09/Hospital-de-Barbastro-Huesca.pdf ( สำเนาท้องถิ่น ) ( อังกฤษ ) “ประสิทธิภาพทางชีวภาพของกราฟีนออกไซด์ทั้งภายในและภายนอกร่างกายและผลกระทบของสารลดแรงตึงผิวที่มีต่อความเข้ากันได้ทางชีวภาพของกราฟีนออกไซด์” – https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S1001074212602526 “การกำจัดสารกำจัดวัชพืช 2,4-D, ไกลโฟเสต, ไตรฟลูราลิน และบิวทาคลอร์ออกจากน้ำโดยเยื่อโพลีซัลโฟนที่ผสมด้วยแกรฟีนออกไซด์/TiO2 นาโนคอมโพสิต: การศึกษาการกรองและการดูดซับเป็นชุด” – https://www.ncbi.nlm.nih.gov /pmc/articles/PMC6582012/ “นาโนเทคโนโลยี: เครื่องมือใหม่สำหรับชีววิทยาและการแพทย์” – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3841729/ “กราฟีนออกไซด์สัมผัสเลือด: ปฏิสัมพันธ์ในร่างกายของวัสดุ 2 มิติชีวภาพที่มีโคโรนา” – https://pubs.rsc.org/.../articlehtml/2019/nh/c8nh00318a “ความเป็นพิษของอนุภาคนาโนกราฟีนออกไซด์ปริมาณต่ำในแบบจำลอง Caenorhabditis elegans ในร่างกาย” – https://aaqr.org/articles/aaqr-20-09-oa-0559 “วัคซีนรีคอมบิแนนท์นาโนไวรัสโคโรนาที่ใช้กราฟีนออกไซด์เป็นพาหะ” – https://patents.google.com/patent/CN112220919A/th “วิธีที่ INBRAIN Neuroelectronics พัฒนาประสาทเทียมที่ใช้กราฟีน” – https://www.medicaldevice-network.com/.../inbrain.../ “วัคซีน COVID-19 ของสหรัฐฯ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดี จากข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่สำคัญซึ่งวิเคราะห์โดยใช้จุดสิ้นสุดทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม ล้วนก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง” – https://www.scivisionpub.com/pdfs/us-covid19-vaccines- พิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีตามผลการทดลองทางคลินิกข้อมูลวิเคราะห์โดยใช้วิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม 1811.pdf “Moderna กล่าวว่าวัคซีน COVID ที่ส่งไปยังญี่ปุ่นมีอนุภาคเหล็กกล้าไร้สนิม” – https://japantoday.com/.../moderna-says-tainted-covid... “ HCG ที่พบในวัคซีนบาดทะยักของ WHO ในเคนยาทำให้เกิดความกังวลในประเทศกำลังพัฒนา ” – https://www.scirp.org/journal/paperinformation.aspx... “วัคซีนบาดทะยักอาจผสมยาต้านการเจริญพันธุ์” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12346214/ “วัคซีนต่อต้านการเจริญพันธุ์” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/2665354/ “อุทยานเทคโนโลยีชีวภาพ: จีนสู่อนาคตหน้า” (2554) – https://www.asiabiotech.com/15/1503/0034_0039.pdf “กรณีหายากของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเชื่อมโยงกับวัคซีน Pfizer, Moderna Covid-19 หรือไม่” – https://www.forbes.com/.../are-rare-cases-of-myocarditis.../ “Trypanosoma Cruzi Experimental Infections และ COVID-19:ที่คล้ายกันกับโรคหลอดเลือดหัวใจ?” – https://biomedgrid.com/pdf/AJBSR.MS.ID.001832.pdf “เราได้ยินมาว่าการรักษาไม่ได้ช่วยอะไร แล้วทำไมเราต้องรักษาด้วยล่ะ? มุมมองวิธีการแบบผสมผสานเกี่ยวกับความรู้เรื่องโรค Chagas ทัศนคติ การป้องกัน และพฤติกรรมการรักษาในชาโคโบลิเวีย” – https://journals.plos.org/plosntds/article?id=10.1371/journal.pntd.0008752 “ผลของยา ivermectin ต่อเชื้อ Trypanosoma brucei ในหนูทดลองที่ติดเชื้อ” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23135008/ “ [DARPA] DEFUSE PROJECT Documents” – https://drasticresearch.org/.../the-defuse-project.../ “ภาวะลิ่มเลือดอุดตันและภาวะเกล็ดเลือดต่ำหลังการฉีดวัคซีน ChAdOx1 nCoV-19” – https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2104882 “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่เกิดขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้ mRNA” – https://jamanetwork.com/.../jamacardi.../fullarticle/2781600 “รายงานผู้ป่วยในสหรัฐฯ ของการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำในสมองด้วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำหลังการฉีดวัคซีน Ad26.COV2.S” – https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2779731 “ฉันขอเตือนผู้ที่เป็นโรค vaxxed ให้หลีกเลี่ยงการสแกน MRI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามสัปดาห์แรก เนื่องจากบางคนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้น กรณีที่ร้ายแรงที่สุดส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ไม่มีใครรายงานไปยัง VAERS” – https://twitter.com/DRAFZALNIAZ2/status/1440775597123248135 “พบกราฟีนออกไซด์ในขวดวัคซีน Vaxigrip Tetra” – https://www.orwell.city/.../graphene-oxide-found-in... “การตรวจสอบควบคุมคุณภาพวัคซีนแบบใหม่: การปนเปื้อนไมโครและนาโน” – https://medcraveonline.com/IJVV/new-quality-control-investigations-on-vaccines-micro–and-nanocontamination.html “อนุภาคโลหะในวัคซีนหลายชนิด แต่ไม่ต้องกังวล เข้าแถวและถ่ายภาพของคุณเหมือนหุ่นยนต์ตัวน้อยที่มีความสุข” เรียงแถวและถ่ายภาพของคุณ/ “การตรวจพบกราฟีนในวัคซีน COVID19” – https://www.researchgate.net/.../355979001_DETECTION_OF... “100% ของการเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19 เกิดจากการผลิตเพียง 5% ตามข้อมูลของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ” – https://theexpose.uk/2021/10/31/100-percent-of-covid-19- วัคซีน-สาเหตุ-ตาย-เพียง 5 เปอร์เซ็นต์-ของ-แบทช์-ผลิต “เอ่อ นั่นไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด – 5% ของล็อตการผลิตวัคซีนทำให้วัคซีนเสียชีวิต 100%” – https://vulms.org/uh-thats-not-a-conspiracy-theory-5-of... -จำนวนมาก-สาเหตุ-100-ของ-วัคซีน-ตาย/ “รอยประทับของภูมิคุ้มกัน ความกว้างของการรับรู้ตัวแปร และการตอบสนองของศูนย์กลางเชื้อโรคในการติดเชื้อ SARS-CoV-2 และการฉีดวัคซีนของมนุษย์” – https://www.cell.com/cell/fulltext/S0092-8674(22)00076-9 “UK Lab พบกราฟีนในวัคซีน C19” – https://www.notonthebeeb.co.uk/.../uk-lab-finds-graphene... “ความคืบหน้าล่าสุดของกราฟีนออกไซด์ในฐานะผู้ให้บริการวัคซีนที่มีศักยภาพและยาเสริม” – https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32531395/ “รอยประทับของภูมิคุ้มกัน ความกว้างของการจดจำตัวแปร และการตอบสนองของศูนย์กลางเชื้อโรคในการติดเชื้อ SARS-CoV-2 และการฉีดวัคซีนของมนุษย์” – https://www.cell.com/cell/fulltext/S0092-8674(22)00076-9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • งามหน้า ข่าวติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ
    ของไทยเพื่อให้ได้งาน!!!
    Deere ยุติการสอบสวนกรณีสินบนร้านนวด
    และของขวัญอื่นๆ ในประเทศไทยต่อ SEC ของสหรัฐฯ

    เดียร์ Deere ตกลงจ่ายเงิน 9.93 ล้านเหรียญสหรัฐ
    เพื่อยุติข้อกล่าวหาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า
    บริษัทลูกในประเทศไทยเสนอบริการร้านนวด และของขวัญ
    ที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ธุรกิจจากรัฐบาล
    และมีส่วนร่วมในการติดสินบนเชิงพาณิชย์

    ข้อตกลงวันอังคารแก้ไขข้อกล่าวหา ผู้บริหารระดับสูง
    และพนักงานของบริษัท Wirtgen Thailand
    ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรและ
    เครื่องจักรกลหนัก ได้จ่ายเงินโดยไม่เหมาะสม
    แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงกองทัพอากาศไทย
    และกรมทางหลวงของประเทศไทย

    ก.ล.ต. กล่าวว่ามีการชำระเงินแม้ว่าจรรยาบรรณของหน่วยงาน
    จะห้ามไม่ให้ให้ "สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น" เพื่อมีอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
    อย่างไม่เหมาะสม

    การจ่ายเงินที่ทำตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 จนถึงปี 2563
    นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ในรูปแบบเงินสด ค่าอาหาร ค่าที่ปรึกษาปลอม
    ค่าท่องเที่ยวที่ปลอมตัวมาเป็น "การเยี่ยมชมโรงงาน"
    ในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศอื่นๆ ในยุโรป และค่า
    "ความบันเทิง" ในร้านนวด

    ก.ล.ต. กล่าวว่าการกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชี
    และบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน
    ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง
    หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ

    การชำระเงินของ Deere ประกอบด้วยค่าปรับทางแพ่ง
    4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ การคืนผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม
    4.34 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ย 1.09 ล้านเหรียญสหรัฐ

    นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของบริษัท Deere
    ซึ่งตั้งอยู่ในโมลีน รัฐอิลลินอยส์ ในการสอบสวน
    การเลิกจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติมิชอบ
    และการปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    และการฝึกอบรมต่อต้านการติดสินบน

    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    งามหน้า ข่าวติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ของไทยเพื่อให้ได้งาน!!! Deere ยุติการสอบสวนกรณีสินบนร้านนวด และของขวัญอื่นๆ ในประเทศไทยต่อ SEC ของสหรัฐฯ เดียร์ Deere ตกลงจ่ายเงิน 9.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยุติข้อกล่าวหาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า บริษัทลูกในประเทศไทยเสนอบริการร้านนวด และของขวัญ ที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ธุรกิจจากรัฐบาล และมีส่วนร่วมในการติดสินบนเชิงพาณิชย์ ข้อตกลงวันอังคารแก้ไขข้อกล่าวหา ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานของบริษัท Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรและ เครื่องจักรกลหนัก ได้จ่ายเงินโดยไม่เหมาะสม แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงกองทัพอากาศไทย และกรมทางหลวงของประเทศไทย ก.ล.ต. กล่าวว่ามีการชำระเงินแม้ว่าจรรยาบรรณของหน่วยงาน จะห้ามไม่ให้ให้ "สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น" เพื่อมีอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไม่เหมาะสม การจ่ายเงินที่ทำตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 จนถึงปี 2563 นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ในรูปแบบเงินสด ค่าอาหาร ค่าที่ปรึกษาปลอม ค่าท่องเที่ยวที่ปลอมตัวมาเป็น "การเยี่ยมชมโรงงาน" ในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศอื่นๆ ในยุโรป และค่า "ความบันเทิง" ในร้านนวด ก.ล.ต. กล่าวว่าการกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชี และบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ การชำระเงินของ Deere ประกอบด้วยค่าปรับทางแพ่ง 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ การคืนผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม 4.34 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ย 1.09 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของบริษัท Deere ซึ่งตั้งอยู่ในโมลีน รัฐอิลลินอยส์ ในการสอบสวน การเลิกจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติมิชอบ และการปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการฝึกอบรมต่อต้านการติดสินบน ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 766 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”

    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • CIA, MI6เตือนว่าจีนรัสเซียเป็นภัยต่อระเบียบโลก 9/9/2024

    หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของอเมริกาและอังกฤษอย่าง CIA และ MI6 กล่าวอ้างในบทบรรณาธิการร่วมที่ตีพิมพ์โดย Financial Times เมื่อวันเสาร์ว่า ระเบียบโลกกำลังถูกคุกคามจากรัฐต่างๆ

    ในบทความดังกล่าว บิล เบิร์นส์ และ ริชาร์ด มัวร์ ให้คำมั่นว่า วอชิงตันและลอนดอนจะทำงานควบคู่กันเพื่อรักษาสถานะเดิมในโลกที่เทคโนโลยีได้เร่งให้แนวโน้มทางภูมิรัฐศาสตร์เร่งตัวขึ้นอย่างมาก

    หลังจากความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และความสัมพันธ์ที่ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วกับตะวันตก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย รวมถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะความเป็นจ้าวโลกของสหรัฐฯได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่การระบอบมหาอำนาจหลายขั้ว

    ในบทบรรณาธิการ เบิร์นส์และมัวร์ตั้งข้อสังเกตว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระเบียบโลกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นระบบที่สมดุลซึ่งนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพในระดับหนึ่ง และเสริมสร้างมาตรฐานการครองชีพ โอกาส และความเจริญรุ่งเรืองที่สูงขึ้นตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามเย็น"

    “วันนี้ เราร่วมมือกันในระบบระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันกัน ซึ่งทั้งสองประเทศของเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” หัวหน้าสายลับระดับสูงทั้งสองเขียนไว้

    บทความดังกล่าวเน้นย้ำถึง “รัสเซียที่กล้าแสดงออก” ในบริบทของความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งทั้ง CIA และ MI6 “มองเห็น… ว่ากำลังจะเกิดขึ้น” หัวหน้าหน่วยงานข่าวกรองระบุว่าการสู้รบได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไร้คนควบคุมและการลาดตระเวนผ่านดาวเทียม

    นอกจากนี้ เบิร์นส์และมัวร์ยังกล่าวหาว่ามอสโกว่า “มีแคมเปญที่จะบ่อนทำลายทั่วทั้งยุโรป” ตลอดจนเผยแพร่ “คำโกหกและข้อมูลบิดเบือนที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างเรา”

    อย่างไรก็ตาม ตามบทบรรณาธิการ ในสายตาของ CIA และ MI6 “ความท้าทายด้านข่าวกรองและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21” คือ “การเติบโตของจีน” หน่วยงานทั้งสองได้ปรับกระบวนการของตนใหม่เพื่อ “สะท้อนถึงลำดับความสำคัญนั้น” แล้ว

    โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา กล่าวที่การประชุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (SPIEF) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนว่า “เรากำลังพูดถึงแนวคิดพหุศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานเดิม และเราเห็นการต่อต้านอย่างสิ้นหวังของชาติตะวันตกโดยรวม... พวกเขาเห็นบรรทัดฐานนี้แตกต่างออกไป โดยมองว่าเป็นอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นของพวกเขาเอง เป็นระเบียบโลกที่มีพื้นฐานอยู่บนกฎเดียว พวกเขาต้องครอบงำเหมือนเช่นก่อน และทุกคนต้องทำเฉพาะสิ่งที่มหาอำนาจที่มีอำนาจเหนือกว่าอนุญาตให้พวกเขาทำได้”

    นักการทูตคนดังกล่าวยืนกรานว่าวาทะกรรมของชาติตะวันตกไม่ได้เป็นที่ยอมรับโดยประเทศใหญ่ในโลก ซึ่งน้อมรับแนวคิดของอำนาจหลายขั้ว
    ซาคาโรวาเน้นย้ำในขณะนั้นว่า “เราไม่ควรลืมว่าชาติตะวันตกโดยรวมเป็นชนกลุ่มน้อย”


    CIA, MI6เตือนว่าจีนรัสเซียเป็นภัยต่อระเบียบโลก 9/9/2024 หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของอเมริกาและอังกฤษอย่าง CIA และ MI6 กล่าวอ้างในบทบรรณาธิการร่วมที่ตีพิมพ์โดย Financial Times เมื่อวันเสาร์ว่า ระเบียบโลกกำลังถูกคุกคามจากรัฐต่างๆ ในบทความดังกล่าว บิล เบิร์นส์ และ ริชาร์ด มัวร์ ให้คำมั่นว่า วอชิงตันและลอนดอนจะทำงานควบคู่กันเพื่อรักษาสถานะเดิมในโลกที่เทคโนโลยีได้เร่งให้แนวโน้มทางภูมิรัฐศาสตร์เร่งตัวขึ้นอย่างมาก หลังจากความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และความสัมพันธ์ที่ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วกับตะวันตก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย รวมถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะความเป็นจ้าวโลกของสหรัฐฯได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่การระบอบมหาอำนาจหลายขั้ว ในบทบรรณาธิการ เบิร์นส์และมัวร์ตั้งข้อสังเกตว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระเบียบโลกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นระบบที่สมดุลซึ่งนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพในระดับหนึ่ง และเสริมสร้างมาตรฐานการครองชีพ โอกาส และความเจริญรุ่งเรืองที่สูงขึ้นตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามเย็น" “วันนี้ เราร่วมมือกันในระบบระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันกัน ซึ่งทั้งสองประเทศของเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” หัวหน้าสายลับระดับสูงทั้งสองเขียนไว้ บทความดังกล่าวเน้นย้ำถึง “รัสเซียที่กล้าแสดงออก” ในบริบทของความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งทั้ง CIA และ MI6 “มองเห็น… ว่ากำลังจะเกิดขึ้น” หัวหน้าหน่วยงานข่าวกรองระบุว่าการสู้รบได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไร้คนควบคุมและการลาดตระเวนผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ เบิร์นส์และมัวร์ยังกล่าวหาว่ามอสโกว่า “มีแคมเปญที่จะบ่อนทำลายทั่วทั้งยุโรป” ตลอดจนเผยแพร่ “คำโกหกและข้อมูลบิดเบือนที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างเรา” อย่างไรก็ตาม ตามบทบรรณาธิการ ในสายตาของ CIA และ MI6 “ความท้าทายด้านข่าวกรองและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21” คือ “การเติบโตของจีน” หน่วยงานทั้งสองได้ปรับกระบวนการของตนใหม่เพื่อ “สะท้อนถึงลำดับความสำคัญนั้น” แล้ว โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา กล่าวที่การประชุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (SPIEF) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนว่า “เรากำลังพูดถึงแนวคิดพหุศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานเดิม และเราเห็นการต่อต้านอย่างสิ้นหวังของชาติตะวันตกโดยรวม... พวกเขาเห็นบรรทัดฐานนี้แตกต่างออกไป โดยมองว่าเป็นอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นของพวกเขาเอง เป็นระเบียบโลกที่มีพื้นฐานอยู่บนกฎเดียว พวกเขาต้องครอบงำเหมือนเช่นก่อน และทุกคนต้องทำเฉพาะสิ่งที่มหาอำนาจที่มีอำนาจเหนือกว่าอนุญาตให้พวกเขาทำได้” นักการทูตคนดังกล่าวยืนกรานว่าวาทะกรรมของชาติตะวันตกไม่ได้เป็นที่ยอมรับโดยประเทศใหญ่ในโลก ซึ่งน้อมรับแนวคิดของอำนาจหลายขั้ว ซาคาโรวาเน้นย้ำในขณะนั้นว่า “เราไม่ควรลืมว่าชาติตะวันตกโดยรวมเป็นชนกลุ่มน้อย”
    Like
    Haha
    29
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1103 มุมมอง 0 รีวิว
  • การบ้านการเมือง.……ที่รุ่นย่ายายของน้องฟ้าต้องส่งเสียงมั่ง!!!

    พ้นวันโกหกแห่งโลกไปได้ ค่อยโล่งใจหน่อย เพราะจะได้กลับมาอ่านข่าวอย่างมนุษย์มะนากะเขาได้บ้าง...
    โดยเฉพาะประเด็นฮ็อทฮิตของวีรกรรมอาจารย์ล้มล้างที่ได้รับทุนมหิดลไปเพื่อกลับมา”สนองคุณ”ให้กับประเทศที่ครอบครัวโคตรเง่าได้เข้ามาพึ่งในพระบารมี พระบรมโพธิสมภาร...จนรอดพ้นไปจากความอดอยากและแร้นแค้นในดินแดนไกลโพ้น
    การที่จะเป็นคนสอนหนังสือ...โดยใช้วิชาการที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความชิงชัง…… เอาสิ่งที่ตั้งอยู่มาวิจารณ์ว่าควรจะเป็นอย่างนั้นมีข้อเสียอย่างนี้...ไม่ต้องไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเลย ไปถามลูกอีช่างติที่ไหนก็ได้...

    ทุกประเทศมีปัญหาในการปกครองแทบทั้งสิ้น มากน้อยมีระดับต่างกัน
    ประชาชนถูกปิดหูปิดตา หรือ ถูกกั๊กข้อมูล แม้แต่ในประเทศที่ว่ากันว่ามีประชาธิปไตยสูงสุด....สหรัฐอเมริกา!!
    เอาง่ายๆ...คดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ (1963) ที่ถูกถูไถให้จบลงด้วย“แพะ” สองคน แถมด้วยน้องชาย โรเบิร์ต เคนเนดี้ ที่ต้องมาตายไปตามกัน
    ข้อมูลหลักฐาน ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ประธานาธิบดีก็ยังไม่มีใครกล้าแตะต้อง เอกสารยังผนึกแน่นเป็นความลับมานานกว่าห้าสิบปี
    ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นฝีมือของซีไอเอ...
    แต่...ไม่ล้วงลึก
    หลายคนที่พยายามจะล้วง...หากแต่ข้อมูลที่ได้นั้น ช่างสับสน และเป็นการให้ข้อมูลแบบวนในอ่าง รวมถึงรายชื่อผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ผสมกับเส้นสายสัมพันธ์ทางการการเมืองที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นที่มีมากมาย......ต่อให้เทวดามาช่วยสางก็ยังหาทางออกและสาวถึงต้นตอไม่ได้
    เริ่มจาก

    David Rockefeller อภิมหาเศรษฐีที่ควบคุม Council on Foreign Relations หรือ CFR หรือ องค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ทีการทำงานเป็นเงาซ้อนชั้นบนของหน่วยงานซีไอเอ และเป็นผู้ก่อตั้ง
    ตึก World Trade รวมทั้งเป็นผู้ช่วยกำหนดนโยบายของ New World Order

    Allen Dulles (ผู้อำนวยการซีไอเอที่เคนเนดี้ให้ลงจากตำแหน่ง),

    John Foster Dulles (พี่ชายของ Allen Dulles ที่มีตำแหน่งเป็นรมต. ต่างประเทศ และเป็นเขยในตระกูลร๊อคกี้เฟลเล่อร์ โดยการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเดวิด),

    Prescott Bush (บิดาของ George H.W. Bush) ที่มีกลุ่มหัวกระโหลกกระดูกไขว้จาก Yale ร่วมประสานงาน

    Clarence Douglas Dillon รัฐมนตรีคลัง (ลูกอภิมหาเศรษฐี และเป็นอดีตทูตอเมริกาประจำฝรั่งเศส ที่สนับสนุนเหล่ากบฏอัลจีเรียในการโค่นปธน. เดอ โกลด์)

    และยังมีอีกมากมายที่อยู่ในขบวนการต่อต้าน ปธน. เคนเนดี้ ที่มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มนายทุนน้ำมันเท็กซัส, กลุ่มหนุนหลังคิวบา และยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกนับร้อย
    ถ้าไม่ใช่”ขบวนการที่ใหญ่จริง” ใหญ่จนเหนืออำนาจรัฐไม่มีทางสาวได้
    นั้นหมายถึง...อเมริกาหาใด้มีเอกเทศในทางปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างที่หน้าฉากได้วาดไว้ไม่....!!

    ข่าวดีคือ...จากนี้ไปเราจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเรื่อยไปเพราะทรัมป์ได้ลงนาม(2018) ในการที่จะเปิดเผยเอกสารลับทั้งหลายให้ปรากฏตามชาวโลก……มาช้าดีกว่าไม่มา...
    และเหล่านักเขียนก็คงไม่ต้องยั้งมือ หรือ อ้อมแอ้มกันอีกแล้วเพราะกุญแจดอกที่ใหญ่ที่สุด ได้เพิ่งสิ้นชีพไปเมื่อ 2017...David Rockefeller
    ที่มีอายุสิริรวม 101 ปี
    ประชาชนอเมริกันจะได้รู้เสียทีว่า...กลไกของบ้านเมืองตัวเองนั้น มันเป็นสายใยแมงมุม ที่ประธานาธิบดีเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ทำงานไปตามระบบทุน...ถ้าไม่อยู่ในอาณัติหรือหัวแข็งเกินไปคุมไม่อยู่...ก็ต้องเก็บกวาดให้พ้นเส้นทาง

    หรือฝรั่งเศส...ที่เสื้อกั๊กเหลืองออกมาอาละวาด จนกลายพันธ์ุไปเป็นก่อวินาศกรรมอาทิตย์ละวันนั้น เพราะเริ่มจากประธานาธิบดีมาครงได้ออกตัวชัดเจนว่ารับใช้กลุ่มทุน และมีข้อตุกติกกับการทำไซด์ไลน์ในธุรกิจบางประการผ่านทางองครักษ์ส่วนตัว นาย อเล็กซองดร์ เบอนัลลา
    ที่ฝ่ายค้านในรัฐบาลพยายามจี้คดีเพื่อค้นหาความกระจ่าง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรค En Marche ของมาครง เช่น ขอเอกสารการจ้าง
    เอกสารเกี่ยวกับนายเบอนัลลา และ ประวัติ...รวมทั้งอื่นๆ
    แต่.……ทุกอย่างเงียบ...
    ประธานาธิบดีไม่มีคำตอบให้ แถมยังปากดี..บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น
    ไม่ว่าจะเป็น การลากผู้ประท้วงออกมาซ้อม,พกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต,
    มีพาสปอร์ตระดับทูตมากกว่าหนึ่งเล่ม และได้รับสินบนมาจากมหาเศรษฐีรัสเซีย นั้น.....เป็นเรื่องจิ๊บจ้อยเหมือนกับคลื่นในถ้วยชาเท่านั้นเอง

    ทีนี้มาดูว่า ประชาชนจะรู้สึกยังไง หรือจริงๆแล้วเขาอยู่ในการปกครองแบบไหน ทุกคนออกจะสับสน ทั้งๆที่เลือกนายมาครงมานี้ เขาเป็นตัวเลือกที่น่าจะมีตำหนิน้อยสุด (ความจริงแล้ว คือ รู้จักเบื้องหลังน้อยสุด)
    ตัวเก็งที่มาแรงแต่ทีแรกนั้นคือ ฟรังซัวส์ ฟียง (François Fillon)
    ที่เป็นคนเก่งมีประวัติการทำงานมาอย่างโชกโชน แต่โดนขุดคุ้ยในเรื่องการรับสินบน และเมียตัวเองมีชื่อในสภารับเดือนมานานถึงสิบห้าปี เป็นเงินนับล้าน
    เท่านั้นไม่พอยังมีชื่อลูกสาวทั้งสองมารับเงินเดือนในฐานะผู้ช่วยงานอีก
    งานนี้ เรียกได้ว่า แหกโค้ง พลิกคว่ำไปมาช่วงสุดท้าย
    เลยเหลือตัวเลือกเพียง มาครงและ มารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคขวาจัดแต่ไม่ค่อยปราชญ์เปรื่องนัก อีกทั้งบิดาของเธอ Jean-Marie Le Pen คือหนึ่งในกบฏอัลจีเรียที่ต่อต้านปธน. เดอ โกลล์ (ตั้งแต่ยังดำรงยศนายพล)
    ลูกสาวเลยยังเป็นที่กังขาของประชาชน...

    หรือบรูไน...ที่กำลังจะประกาศเป็นกฏหมายที่ถือชัดเจนตามหลักของอิสลาม เรื่องผิดลูกผิดเมียผิดผัวของชาวบ้าน, เป็นเพศที่ผิดไปจากการกำเนิด ที่มีโทษรุนแรงถึงปาหินประหารชีวิต
    ที่ดูเหมือนเหล่า HRW จะออกมาต่อต้านแบบอ่อยๆ ไม่มีการกำหนดการของ sanctions หรือ boycotts ใดๆให้รำคาญใจพระราชาธิบดี เพราะสินค้าขาออกของประเทศมีอยู่เพียงสองอย่าง คือ น้ำมันกับก๊าซ ที่ทำให้ประชากรห้าแสนของพระองค์มีรายได้ต่อคน/ต่อปี $82,000 ...น้ำไฟฟรี สวัสดีการทุกอย่างฟรี

    ก็มีที่ส่งเสียงหน่อยก็คือ นาย จอร์จ คลูนี่ ที่ได้ชัดชวนให้เหล่าเซเลป
    เลิกใช้บริการโรงแรมห้าดาวต่างๆที่เจ้าของคือพระราชาธิบดีแห่งบรูไน
    ซึ่ง....เชื่อว่า...ท่านคงไม่สน โนแคร์ กับเศรษฐีดาราพวกนั้นเท่าไหร่นัก เรื่องของบ้านเมือง พระบัญญัติตามศาสนาที่พระองค์จะต้องดำรงไว้

    สรุปว่า....การเมืองบ้านใครบ้านมัน อย่าเห็นว่าสวนบ้านอื่นนั้นเขียวกว่าของเรา อย่าทำตัวเป็นกบเลือกนาย
    ที่สำคัญ...อย่าด่าบ้านเมืองตัวเองให้คนอื่นฟัง หรือ สาระแนคิดแก้ไขนั่นนี่ หากยังไม่มีผลงานที่สร้างบารมีมากพอ
    แล้วพอถูกจี้...ถูกกระแสตีกลับ กลับหน้าด้านบอกว่า……ไม่ได้พูดถึงเมืองไทย...

    อ้าว...เรียกอาจารย์ล้มล้างอย่างเดียวคงไม่โก้แล้วละ ต้องเรียกว่า
    แถมให้อีกด้วย...ว่า...หน้าตัวเม.……เอ๊ยยยย....หน้าอิสตรี!!!

    Wiwanda W. Vichit
    การบ้านการเมือง.……ที่รุ่นย่ายายของน้องฟ้าต้องส่งเสียงมั่ง!!! พ้นวันโกหกแห่งโลกไปได้ ค่อยโล่งใจหน่อย เพราะจะได้กลับมาอ่านข่าวอย่างมนุษย์มะนากะเขาได้บ้าง... โดยเฉพาะประเด็นฮ็อทฮิตของวีรกรรมอาจารย์ล้มล้างที่ได้รับทุนมหิดลไปเพื่อกลับมา”สนองคุณ”ให้กับประเทศที่ครอบครัวโคตรเง่าได้เข้ามาพึ่งในพระบารมี พระบรมโพธิสมภาร...จนรอดพ้นไปจากความอดอยากและแร้นแค้นในดินแดนไกลโพ้น การที่จะเป็นคนสอนหนังสือ...โดยใช้วิชาการที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความชิงชัง…… เอาสิ่งที่ตั้งอยู่มาวิจารณ์ว่าควรจะเป็นอย่างนั้นมีข้อเสียอย่างนี้...ไม่ต้องไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเลย ไปถามลูกอีช่างติที่ไหนก็ได้... ทุกประเทศมีปัญหาในการปกครองแทบทั้งสิ้น มากน้อยมีระดับต่างกัน ประชาชนถูกปิดหูปิดตา หรือ ถูกกั๊กข้อมูล แม้แต่ในประเทศที่ว่ากันว่ามีประชาธิปไตยสูงสุด....สหรัฐอเมริกา!! เอาง่ายๆ...คดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ (1963) ที่ถูกถูไถให้จบลงด้วย“แพะ” สองคน แถมด้วยน้องชาย โรเบิร์ต เคนเนดี้ ที่ต้องมาตายไปตามกัน ข้อมูลหลักฐาน ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ประธานาธิบดีก็ยังไม่มีใครกล้าแตะต้อง เอกสารยังผนึกแน่นเป็นความลับมานานกว่าห้าสิบปี ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นฝีมือของซีไอเอ... แต่...ไม่ล้วงลึก หลายคนที่พยายามจะล้วง...หากแต่ข้อมูลที่ได้นั้น ช่างสับสน และเป็นการให้ข้อมูลแบบวนในอ่าง รวมถึงรายชื่อผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ผสมกับเส้นสายสัมพันธ์ทางการการเมืองที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นที่มีมากมาย......ต่อให้เทวดามาช่วยสางก็ยังหาทางออกและสาวถึงต้นตอไม่ได้ เริ่มจาก David Rockefeller อภิมหาเศรษฐีที่ควบคุม Council on Foreign Relations หรือ CFR หรือ องค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ทีการทำงานเป็นเงาซ้อนชั้นบนของหน่วยงานซีไอเอ และเป็นผู้ก่อตั้ง ตึก World Trade รวมทั้งเป็นผู้ช่วยกำหนดนโยบายของ New World Order Allen Dulles (ผู้อำนวยการซีไอเอที่เคนเนดี้ให้ลงจากตำแหน่ง), John Foster Dulles (พี่ชายของ Allen Dulles ที่มีตำแหน่งเป็นรมต. ต่างประเทศ และเป็นเขยในตระกูลร๊อคกี้เฟลเล่อร์ โดยการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเดวิด), Prescott Bush (บิดาของ George H.W. Bush) ที่มีกลุ่มหัวกระโหลกกระดูกไขว้จาก Yale ร่วมประสานงาน Clarence Douglas Dillon รัฐมนตรีคลัง (ลูกอภิมหาเศรษฐี และเป็นอดีตทูตอเมริกาประจำฝรั่งเศส ที่สนับสนุนเหล่ากบฏอัลจีเรียในการโค่นปธน. เดอ โกลด์) และยังมีอีกมากมายที่อยู่ในขบวนการต่อต้าน ปธน. เคนเนดี้ ที่มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มนายทุนน้ำมันเท็กซัส, กลุ่มหนุนหลังคิวบา และยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกนับร้อย ถ้าไม่ใช่”ขบวนการที่ใหญ่จริง” ใหญ่จนเหนืออำนาจรัฐไม่มีทางสาวได้ นั้นหมายถึง...อเมริกาหาใด้มีเอกเทศในทางปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างที่หน้าฉากได้วาดไว้ไม่....!! ข่าวดีคือ...จากนี้ไปเราจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเรื่อยไปเพราะทรัมป์ได้ลงนาม(2018) ในการที่จะเปิดเผยเอกสารลับทั้งหลายให้ปรากฏตามชาวโลก……มาช้าดีกว่าไม่มา... และเหล่านักเขียนก็คงไม่ต้องยั้งมือ หรือ อ้อมแอ้มกันอีกแล้วเพราะกุญแจดอกที่ใหญ่ที่สุด ได้เพิ่งสิ้นชีพไปเมื่อ 2017...David Rockefeller ที่มีอายุสิริรวม 101 ปี ประชาชนอเมริกันจะได้รู้เสียทีว่า...กลไกของบ้านเมืองตัวเองนั้น มันเป็นสายใยแมงมุม ที่ประธานาธิบดีเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ทำงานไปตามระบบทุน...ถ้าไม่อยู่ในอาณัติหรือหัวแข็งเกินไปคุมไม่อยู่...ก็ต้องเก็บกวาดให้พ้นเส้นทาง หรือฝรั่งเศส...ที่เสื้อกั๊กเหลืองออกมาอาละวาด จนกลายพันธ์ุไปเป็นก่อวินาศกรรมอาทิตย์ละวันนั้น เพราะเริ่มจากประธานาธิบดีมาครงได้ออกตัวชัดเจนว่ารับใช้กลุ่มทุน และมีข้อตุกติกกับการทำไซด์ไลน์ในธุรกิจบางประการผ่านทางองครักษ์ส่วนตัว นาย อเล็กซองดร์ เบอนัลลา ที่ฝ่ายค้านในรัฐบาลพยายามจี้คดีเพื่อค้นหาความกระจ่าง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรค En Marche ของมาครง เช่น ขอเอกสารการจ้าง เอกสารเกี่ยวกับนายเบอนัลลา และ ประวัติ...รวมทั้งอื่นๆ แต่.……ทุกอย่างเงียบ... ประธานาธิบดีไม่มีคำตอบให้ แถมยังปากดี..บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าจะเป็น การลากผู้ประท้วงออกมาซ้อม,พกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต, มีพาสปอร์ตระดับทูตมากกว่าหนึ่งเล่ม และได้รับสินบนมาจากมหาเศรษฐีรัสเซีย นั้น.....เป็นเรื่องจิ๊บจ้อยเหมือนกับคลื่นในถ้วยชาเท่านั้นเอง ทีนี้มาดูว่า ประชาชนจะรู้สึกยังไง หรือจริงๆแล้วเขาอยู่ในการปกครองแบบไหน ทุกคนออกจะสับสน ทั้งๆที่เลือกนายมาครงมานี้ เขาเป็นตัวเลือกที่น่าจะมีตำหนิน้อยสุด (ความจริงแล้ว คือ รู้จักเบื้องหลังน้อยสุด) ตัวเก็งที่มาแรงแต่ทีแรกนั้นคือ ฟรังซัวส์ ฟียง (François Fillon) ที่เป็นคนเก่งมีประวัติการทำงานมาอย่างโชกโชน แต่โดนขุดคุ้ยในเรื่องการรับสินบน และเมียตัวเองมีชื่อในสภารับเดือนมานานถึงสิบห้าปี เป็นเงินนับล้าน เท่านั้นไม่พอยังมีชื่อลูกสาวทั้งสองมารับเงินเดือนในฐานะผู้ช่วยงานอีก งานนี้ เรียกได้ว่า แหกโค้ง พลิกคว่ำไปมาช่วงสุดท้าย เลยเหลือตัวเลือกเพียง มาครงและ มารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคขวาจัดแต่ไม่ค่อยปราชญ์เปรื่องนัก อีกทั้งบิดาของเธอ Jean-Marie Le Pen คือหนึ่งในกบฏอัลจีเรียที่ต่อต้านปธน. เดอ โกลล์ (ตั้งแต่ยังดำรงยศนายพล) ลูกสาวเลยยังเป็นที่กังขาของประชาชน... หรือบรูไน...ที่กำลังจะประกาศเป็นกฏหมายที่ถือชัดเจนตามหลักของอิสลาม เรื่องผิดลูกผิดเมียผิดผัวของชาวบ้าน, เป็นเพศที่ผิดไปจากการกำเนิด ที่มีโทษรุนแรงถึงปาหินประหารชีวิต ที่ดูเหมือนเหล่า HRW จะออกมาต่อต้านแบบอ่อยๆ ไม่มีการกำหนดการของ sanctions หรือ boycotts ใดๆให้รำคาญใจพระราชาธิบดี เพราะสินค้าขาออกของประเทศมีอยู่เพียงสองอย่าง คือ น้ำมันกับก๊าซ ที่ทำให้ประชากรห้าแสนของพระองค์มีรายได้ต่อคน/ต่อปี $82,000 ...น้ำไฟฟรี สวัสดีการทุกอย่างฟรี ก็มีที่ส่งเสียงหน่อยก็คือ นาย จอร์จ คลูนี่ ที่ได้ชัดชวนให้เหล่าเซเลป เลิกใช้บริการโรงแรมห้าดาวต่างๆที่เจ้าของคือพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ซึ่ง....เชื่อว่า...ท่านคงไม่สน โนแคร์ กับเศรษฐีดาราพวกนั้นเท่าไหร่นัก เรื่องของบ้านเมือง พระบัญญัติตามศาสนาที่พระองค์จะต้องดำรงไว้ สรุปว่า....การเมืองบ้านใครบ้านมัน อย่าเห็นว่าสวนบ้านอื่นนั้นเขียวกว่าของเรา อย่าทำตัวเป็นกบเลือกนาย ที่สำคัญ...อย่าด่าบ้านเมืองตัวเองให้คนอื่นฟัง หรือ สาระแนคิดแก้ไขนั่นนี่ หากยังไม่มีผลงานที่สร้างบารมีมากพอ แล้วพอถูกจี้...ถูกกระแสตีกลับ กลับหน้าด้านบอกว่า……ไม่ได้พูดถึงเมืองไทย... อ้าว...เรียกอาจารย์ล้มล้างอย่างเดียวคงไม่โก้แล้วละ ต้องเรียกว่า แถมให้อีกด้วย...ว่า...หน้าตัวเม.……เอ๊ยยยย....หน้าอิสตรี!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 แสนล้านบาท/ปี
    คือตัวเลขเม็ดเงิน นอกจีดีพี หรือนอกเศรษฐกิจไทย
    ที่ประชาชน ชาวบ้าน ห้างร้าน ธุรกิจ การค้า บริษัทต่างๆ
    ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ติดสินบน เดินเรื่องเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ
    วิ่งเต้นตำแหน่ง ให้กับข้าราชการประจำ

    คำถามคือ แล้วข้าราชการการเมือง ตัวเลขเม็ดเงินนอกจีดีพี
    จะขนาดไหน?
    ที่มา : องค์การต่อต้านคอรัปชั่น(แห่งประเทศไทย)

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #คอร์รัปชัน #thaitimes
    🔥🔥3 แสนล้านบาท/ปี คือตัวเลขเม็ดเงิน นอกจีดีพี หรือนอกเศรษฐกิจไทย ที่ประชาชน ชาวบ้าน ห้างร้าน ธุรกิจ การค้า บริษัทต่างๆ ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ติดสินบน เดินเรื่องเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ วิ่งเต้นตำแหน่ง ให้กับข้าราชการประจำ 🔥คำถามคือ แล้วข้าราชการการเมือง ตัวเลขเม็ดเงินนอกจีดีพี จะขนาดไหน? ที่มา : องค์การต่อต้านคอรัปชั่น(แห่งประเทศไทย) #หุ้นติดดอย #การลงทุน #คอร์รัปชัน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประชาธิปไตยใต้ร่มเงาของคณาธิปไตย………!!!

    ดิฉันไม่ค่อยได้เขียนเรื่องการเมืองของประเทศไทยมากนัก เพราะไม่อยากอยู่ในสภาพของ”ลิง” ที่คิดหาญอยากจะแก้แห
    แต่ต้องเอาซะหน่อย เพราะมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้อง”ประชาธิปไตย” ให้กับบ้านเมือง
    เพราะเรามีรัฐบาลทหารที่กำลังอยู่ในภาวะจัดระเบียบให้แบบเอากฏหมายมาเป็นตัวตั้ง ที่เหมือนจะกำลังตบให้เข้ารูปเข้ารอย โดยการเพิ่มโทษเอาผิดและกางกั้น อุดรอยรั่วตรงนั้นตรงนี้
    ทำไปทำมา……คนในรัฐบาลก็ดันมีพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใส แถมคนที่เป็นหัวหน้ากลับอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ได้ นอกจากเรียกร้องให้สื่อเพลาการให้ข่าวทางด้านลบของพวกตัวเองลงไป
    สรุปว่า……แหนั้นมันยุ่งเหยิงเกิน……ขนาดชั้นหนุมานทหารเอกยังแก้ไม่ไหว……!!

    แล้วดิฉัน……ลิง……เอ๊ย……มนุษย์อาวุโสตัวน้อยๆ จะไปบังอาจได้อย่างไร……ใช่ม๊ะ???

    แต่อยากจะเล่าถึงเรื่องอื่นๆที่เนื้อเรื่องมันช่างโดนใจไทยแท้เป็นอย่างมาก……
    นั่นคือเรื่องกรณีพิพาทระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย ที่บาดหมางถึงขนาดอัปเปหิคณะทูตออกจากประเทศกันแบบชิ้วๆ ให้เก็บของภายในสามวันเจ็ดวันนั่นเชียว

    ถ้าจะให้เล่าต้องอ่านอย่างตั้งใจนิดนึง เพราะเรื่องนี้มีตัวละครหลายตัว ที่เกี่ยวพันโยงใยกันไปหมด เอาเรื่องหลักๆแบบกระชับที่สุดแล้วกันนะคะ

    ขอย้อนเรื่องไปเมื่อครั้ง ปี 2000 ที่ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ร่ำรวยคนหนึ่ง นามว่า Boris Berezovsky ที่มีฐานะร่ำรวยติดอันดับต้นๆของรัสเซีย และเป็นผู้สนับสนุนหลักของพรรค Unity ที่ผลักด้นจนปูตินได้มาเป็นประธานาธิบดีในปีนั้น
    แต่ปูติน……ไม่ได้เห็นนายทุนพรรคสำคัญไปกว่าอุดมการณ์ เขาตลบย้อนหลังด้วยนโยบายกวาดล้างมาเฟียและผู้สนับสนุนท่อน้ำเลี้ยงทั้งหมด ซึ่งมันกระทบกับหลายเครือข่ายของกลุ่มต่างๆ แม้แต่กลุ่มอภิมหาเศรษฐีอย่าง BB (ใช้ชื่อย่อแล้วกันนะคะ) ที่มีธุรกิจมากมายรวมไปถึง
    หลักๆคือ สื่อโทรทัศน์และพลังงานน้ำมัน
    การขัดแย้งเกิดขึ้น มีการแจ้งหาหลายข้อ จน BB ต้องหาเรื่องไป”ทำธุระที่อังกฤษ” แล้วก็ไม่หวนกลับมาขึ้นศาล
    ทางอังกฤษก็อ้าแขนรับ เพราะเงินจำนวนพันๆล้านยูโรที่เขามีอยู่นั้น ได้เปลี่ยนสถานะให้เขาเป็น Oligarch อันหมายถึง ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งต่างกับคำว่า Fugitive อันหมายถึงพวกที่หนีคดีแบบหัวซุกหัวซุน
    ที่ต้องมาขยายในความแตกต่างระหว่างสองคำนั้น เพราะเห็นสื่อต่างๆใช้กันเกร่อ และอ่านแล้วขัดใจทุกทีไป เพราะความหมายผิดไปอย่างสุดโต่ง
    โอลิการ์ช นั้น ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปไหนเลย แถมยังมีหน้ามีตาอยู่ในสังคมชั้นสูงในประเทศอื่นๆได้ เพราะมีเงินนับพันล้านหมื่นล้าน ไปที่ไหนใครก็ต้อนรับ
    (จะอธิบายถึงระบบการปกครองในแบบต่างๆต่อไป)

    เช่นเดียวกับ BB เมื่อไม่อยากกลับรัสเซียก็ซื้อคฤหาสน์อยู่ที่อังกฤษ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง แต่……ก็พกความแค้นเอาไว้ คอยเล่นงานรัฐบาลปูตินในทุกโอกาสที่มีเขาได้ผู้ช่วยที่ดี คือ Alexander Litvinenko อดีต KGB ที่สนิทสนมกัน จนสามารถซื้อใจและนำตัวออกมาจากรัสเซียมาอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ และได้สนับสนุนให้ อเล็กซานเดอร์ ไปทำงานขายความลับของชาติให้กับ MI 6 หน่วยสายลับของอังกฤษ
    เท่านั้นไม่พอ……ทั้ง Alexander Litvinenko และ เพื่อนที่เป็นนักเขียน อเมริกัน-รัสเชี่ยน
    Yuri Felshtinsky ได้ออกหนังสือในชื่อว่า
    Blowing up Russia: The secret to bring back KGB power (2004)** (มีภาพประกอบ)

    ที่ติดอันดับหนังสือขายดีเพียงแค่ข้ามคืน โดยได้รับทุนรอนสนับสนุนจาก BB
    เนื้อความในหนังสือเป็นเรื่องภายในของหน่วยสืบราชการลับของรัสเซีย และการขยายสาขายิบย่อยออกไปหลายแขนงในชื่อย่อต่างๆกัน รวมทั้งงานต่างๆที่แยกออกไปตามถนัด
    นอกจากนั้น BB ยังให้การสนับสนุนการก่อความไม่สงบทั้งในประเทศและนอกประเทศ อย่างกรณีของสงคราม Chechen ให้ก่อหวอดขึ้นมา เลยเถิดไปถึงการสนับสนุนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครนเมื่อปี 2004 และ 2010 ที่มีอยู่เพียงสองพรรคการเมือง พรรคที่ต่อต้านรัสเซีย กับพรรคที่สนับสนุนรัสเซีย
    งานนี้เขาทุ่มทุนกับพรรคที่ต่อต้านเต็มที่หมดไปหลายสิบล้านยูโร (แต่ก็แพ้การเลือกตั้ง)
    คือว่าทำทุกอย่างที่โค่นรัฐบาลของปูตินให้ได้……โดยใช้ผืนดินอังกฤษเป็นราก……

    ถามว่ารัฐบาลของปูตินและปูตินรู้สึกอย่างไร……?
    คำตอบคือ……เงียบ แต่เงียบแบบคลื่นใต้น้ำ โดยการ”กำจัด” ออกไปทีละคน เหมือนอย่างกับที่ทำกับสายลับนอกคอกคนอื่นๆ ที่มีเหตุต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันสมควร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก……เฉพาะในอังกฤษที่ชอบฟูมฟักสายลับและโอลิการ์ช จากรัสเซียนั้น
    โดนเก็บไปสิบสี่คนแล้ว โดยที่หน่วยสายลับและตำรวจต่างก็หาสาเหตุไม่ค่อยจะได้ หรืออาจจะได้แต่ไม่ออกสื่อ………

    ราย Alexander Litvinenko (จะเรียกเขาว่า Alex) นั้นมาแบบแปลกและทิ้งความตื่นตระหนกไว้ทั่วบริเตน นั่นคือ โดยยาพิษที่มาในรูปของกัมมันตภาพรังสี ในนามว่า Polonium 210 ที่เคลือบไว้กับกาน้ำชาที่เขาไปทานอาหารในร้านซูชิ เพราะได้นัดเจอกับเพื่อนที่เป็นอดีต KGB ที่มาเยี่ยมเยือนจากรัสเซีย ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2006
    หลังจากที่ได้แยกจากกัน เขาก็ล้มป่วย เกิดอาการขั้นวิกฤติจนต้องส่งโรงพยาบาลด่วนฉุกเฉิน อาการที่แพทย์ต้องวิ่งหาสาเหตุกันจ้าละหวั่น คือ อวัยวะในร่างกายของเขา
    ต่างพากันอ่อนแรง หมดสมรรถภาพไปทีละอย่าง นับจากตับ ไต หัวใจ
    เขาทนได้ถึง 28 วัน จึงเสียชีวิต และทางแพทย์เพิ่งจะรู้คำตอบว่า มันคือ ยาพิษกัมมันตภาพรังสี
    จึงได้เข้าไปตรวจร่องรอยของเส้นทางหลังจากที่เขาและเพื่อนสองคน พบว่า มีร่องรอยของ
    Polonium 210ในทุกที่ ตั้งแต่โรงแรม ห้องพัก ห้องน้ำ และในร้านอาหาร
    เพื่อนสองคนนั้น คือ Andrei Lugovoi และ Dmitry Kovtun ที่บินกลับไปรัสเซียแล้ว

    ทีนี้ถึงคิวของ BB อภิมหาเศรษฐีที่เหมือนว่าใครจะทำอะไรเขาไม่ได้……แต่……มีอีกคนหนึ่งที่”เหนือเมฆ”กว่า นั่นคือ Roman Abramovich
    คนคนนี้ที่ต้องเรียกว่าเหนือเมฆหรือยอดมนุษย์ก็ไม่ผิดความจริงเท่าไหร่ เพราะ
    เขาจบการศึกษาแค่ชั้นมัธยมปลาย และออกมาทำมาหากินโดยการขายของเล่นเด็ก และ
    ขายยางรถยนตร์เก่า จนอายุย่างเข้าสามสิบปี (1996) เขาเริ่มเป็นปึกแผ่น ร่ำรวย
    จนสามารถเข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นที่ไว้ใจของปธน. Yeltsin จนเขาได้ก้าวขึ้นไปเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Chukotka (1999) ที่แสนยากจน……ที่นั่น Roman ได้ควักกระเป๋า เอาเงินส่วนตัวกว่า ร้อยล้านยูโร บริจาคสร้างสาธารณูปโภคให้ใหม่ทั้งเมือง สร้างงานให้ประชาชน
    เมื่อปี 1992 คือปีที่เขาหันมาจับธุรกิจบ่อน้ำมันและได้รู้จักกับ BB และกลุ่มอภิมหาเศรษฐีคนอื่นๆในฐานะผู้ร่วมทุน ในนามของกลุ่มที่มีชื่อว่า Sibneft ที่แยกย่อยออกไปอีกหลายเครือข่ายเช่นการทำกระดาษอลูมินั่ม และเครื่องจักรกล
    ที่สร้างเม็ดเงินให้อย่างมหาศาล จนคนทั้งคู่ (และหุ้นส่วนคนอื่น) รวยจนติดอันดับ Forbes
    แต่เส้นทางต่อมา……คนทั้งสองเดินคนละเส้นทาง แต่ไปอยู่ในที่เดียวกัน คือ อังกฤษ

    Roman ไปในฐานะนักลงทุนข้ามชาติ เพราะไปทำธุรกิจที่จะขยายเม็ดเงิน ร่ำรวยมหาศาลและไปซื้อทีมฟุตบอล Chelsea………!!!
    นอกเหนือจากการเป็นมิตรสหายคนสนิทคนหนึ่งของปูติน
    ส่วน BB นั้น อยู่ในฐานะนักลี้ภัยที่สนับสนุนการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่ยังไม่เลิกละลดต่อความพยาบาท

    Roman ได้ขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอังกฤษในปี 2011 ที่ถูก BB โกงเงินจำนวนหลายร้อยล้านปอนด์จากธุรกิจที่เคยทำร่วมกัน รวมทั้งยื่นบัญชีที่ได้ออกเงินช่วย BB ในเรื่องของการหลบหนีมาตั้งหลักปักฐานที่อังกฤษ
    ศาลรับฟ้อง……และว่ากันไปตามหลักฐาน ที่ทางฝ่าย Roman มีมาพร้อมมูล
    ซึ่งต่อมา ศาลได้ตัดสินให้เขาเป็นฝ่ายชนะ (ปี 2012)ที่จะได้รับเงินค่าเสียหายชดใช้จาก BB
    เป็นจำนวน สามพันล้านปอนด์ บวกค่าทนายของทั้งสองฝ่ายอีกร้อยล้านปอนด์

    BB เดินออกจากศาลทั้งน้ำตา เขาบอกกับคนสนิทว่า
    “ฉันควรจะกระโดดตึกหรือเชือดข้อมือ อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนที่ยากจนที่สุดในโลกแล้ว……”

    แต่ BB ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานต่อความยากจนนานนัก เพราะ เขาถูกพบว่าเป็นศพภายในคฤหาสน์ของเขาเองในปีต่อมา 2013 ในสภาพว่า ผูกคอตายในห้องน้ำ……?!!
    ทางฝ่ายนิติเวชได้ออกมาให้ข่าวว่า สภาพศพนั้นผิดไปจากการฆ่าตัวตายธรรมดา เพราะศรีษะมีรอยถูกตี และมีรอยหักที่ซี่โครง

    เหมือนจะเป็นการบอกให้รู้ว่า……เมริงต้องหมดตัวเสียก่อน แล้วค่อยตาย……!!!

    นี่คือเรื่องราวย่อๆที่เกิดขึ้นให้ทราบเค้าโครงเรื่องรอยบาดหมางระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย
    คือ ไม่ว่าใครจะไปลี้ภัยอะไรยังไง อังกฤษอ้าแขนรับหมด ขอให้หอบเงินเข้ามาเถอะ การอำนวยความสะดวกจัดให้เต็มที่
    โดยเฉพาะเหล่าอภิมหาเศรษฐีและเหล่าสายลับนอกคอกจากรัสเซีย
    ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ตายไม่สวย……ยังมีอีกสองราย เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง
    คือ Sergei Skripal (อดีตสายลับ) และ Badri Patarkatsishvili (อภิมหาเศรษฐี) ที่มัจจุราชจากรัสเซียมาเยือนถึงเกาะอังกฤษ นอกเหนือไปจากรายยิบย่อย
    ที่อังกฤษจับมือใครดมไม่ได้ ………ได้แต่โกรธแค้นรัสเซียที่อาจหาญทำการอุกอาจข้ามประเทศ
    จนมาถึงเรื่องซีเรีย………ที่นับว่าคือจุดของการแตกหัก

    อังกฤษทุกวันนี้ก็นั่งไม่ติด เพราะไม่รู้ว่าจะสู้กับอะไร ศึกจะมาเป็นแบบไหนในบ้านเมือง
    จะมาในรูปของก่อการร้าย หรือ ยาพิษกัมมันตภาพรังสีที่ยังหาทางรักษาไม่ได้
    นี่คือเหตุผลที่ต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายสำหรับการรักษาความปลอดภัยในการจัดงานอภิเษกของเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ประชาชนต่างไม่พอใจกับการใช้งบประมาณมากมายมหาศาลในส่วนของภาษีที่เขาจ่าย
    รัฐบาลก็ได้แต่อ้อมแอ้ม……ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพื่อไม่ให้กลายเป็นการชี้โพรง………

    ทีนี้มาเล่าถึงเรื่องการปกครองระบอบต่างๆในโลกที่แบ่งออกเป็นได้อยู่ 5 ชนิด
    คือ
    1. ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ที่ประชาชนเลือกผู้นำและรัฐบาลผ่านการลงคะแนนเสียง
    2. ระบอบคณาธิปไตย (Oligarchy) คือรัฐบาลที่มาโดยกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง
    3. ระบอบเผด็จการ (Autocracy) คือ รัฐบาลที่มีผู้นำคนเดียวที่เป็นผู้ชี้ชะตาประเทศและประชาชน อย่าง ซาอุ
    4. ระบอบกษัตริย์ (Monarchy) คือมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อย่างประเทศไทย คือ constitutional monarchy หมายถึง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
    5. ระบอบคอมมิวนิสต์ (Communism) คือ ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล ประชาชนทุกคนจะมีส่วนแบ่งเท่าๆกันภายใต้การจัดสรรที่เสมอภาค

    ประเทศไทยของเราลักหลั่นมากในเรื่องนี้ เพราะ คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยู่ในระบอบไหนกันแน่ เพราะนอกจากคอมมิวนิสต์กับเผด็จการแล้ว เราเป็นหมด………
    ประชาธิปไตย……มีมั่ง ไม่มีมั่ง คอยลุ้นเอา สนุกดี
    คณาธิปไตย………แน่นอน มีตลอด ตราบใดที่กลุ่มเจ้าสัวยังขยายกิจการอย่างไม่หยุดยั้ง
    แม้แต่รถกับข้าวก็ไม่เหลือให้ชนชั้นล่างได้เข้ามามีโอกาส
    ระบอบกษัตริย์ หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น คือหัวใจที่หล่อเลี้ยงประเทศให้
    เต้นไปตามจังหวะอยู่ในทุกวันนี้

    ประชาชนจะต้องรู้ให้เท่าทันว่า ประเทศของเราอยู่ก้ำกึ่งในสามระบอบนี้ จะได้ทำตัวให้ถูก
    รู้จักการถ่วงดุลย์ รู้จักว่าอย่าให้มันโน้มเอียงไปทางลบ
    อย่ามัวแต่เรียกร้องประชาธิปไตย รอเลือกตั้งจนตัวสั่น เพราะ อย่างไรเสียเราก็สลัดไม่หลุดไปจากกลุ่มคณาธิปไตยที่ไล่แจกนาฬิกาแพงๆให้กับคนในรัฐบาลอย่างที่เห็นๆอยู่

    เคยคุยกับคนอังกฤษ(แก่ๆ) เรื่องพระราชวงค์ของเขา ว่า……ไม่ค่อยเห็นคนออกมาแสดงความไม่พอใจ หรือเรียกร้องจนทำให้พระราชินีต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ……
    เขาตอบว่า เพราะพระราชวงค์ทรงเป็นเลือดนักสู้……เป็นผู้นำที่เคียงคู่มากับพวกเขาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามไหนๆ กษัตริย์อังกฤษไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว………

    นี่คือผลพวงจากการศึกษาจริงๆค่ะ คนอังกฤษทุกคนรู้เรื่องประวัติศาสตร์บ้านเมืองของตัวเองเป็นอย่างดี จึงมีความรักชาติที่ฝังลึกสลักแน่นในสายเลือด
    แต่เราก็เขยิบขึ้นมาแล้ว เราก้าวมาเกือบถูกทางแล้ว เพราะออเจ้าได้ทำให้เด็กไทยทั้งประเทศตื่นตัวในการรักชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์ในอดีต……บูชาความเป็นไทย
    ถึงขนาดทิ้งบัตรประชาชนเก่าๆ จัดแจงแต่งชุดไทยไปถ่ายใบใหม่
    ประกาศให้โลกรู้ว่า……
    เรารุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนะ…ออเจ้าฝรั่งฟรังคีทั้งหลาย !!!

    แหม………จะว่าไปนะ……อีผิน เอ๊ย……ดิฉันก็นึกทึ่งตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่เขียนเรื่องรัสเซีย เรื่องอังกฤษอยู่ดีดี๊………มาจบลงด้วยเรื่องของออเจ้าอย่างหน้าตาเฉย
    อย่างนี้ชิมิคะ……ที่เขาเรียกว่า”โหนกระแส” น่ะ………555555?!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ประชาธิปไตยใต้ร่มเงาของคณาธิปไตย………!!! ดิฉันไม่ค่อยได้เขียนเรื่องการเมืองของประเทศไทยมากนัก เพราะไม่อยากอยู่ในสภาพของ”ลิง” ที่คิดหาญอยากจะแก้แห แต่ต้องเอาซะหน่อย เพราะมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้อง”ประชาธิปไตย” ให้กับบ้านเมือง เพราะเรามีรัฐบาลทหารที่กำลังอยู่ในภาวะจัดระเบียบให้แบบเอากฏหมายมาเป็นตัวตั้ง ที่เหมือนจะกำลังตบให้เข้ารูปเข้ารอย โดยการเพิ่มโทษเอาผิดและกางกั้น อุดรอยรั่วตรงนั้นตรงนี้ ทำไปทำมา……คนในรัฐบาลก็ดันมีพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใส แถมคนที่เป็นหัวหน้ากลับอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ได้ นอกจากเรียกร้องให้สื่อเพลาการให้ข่าวทางด้านลบของพวกตัวเองลงไป สรุปว่า……แหนั้นมันยุ่งเหยิงเกิน……ขนาดชั้นหนุมานทหารเอกยังแก้ไม่ไหว……!! แล้วดิฉัน……ลิง……เอ๊ย……มนุษย์อาวุโสตัวน้อยๆ จะไปบังอาจได้อย่างไร……ใช่ม๊ะ??? แต่อยากจะเล่าถึงเรื่องอื่นๆที่เนื้อเรื่องมันช่างโดนใจไทยแท้เป็นอย่างมาก…… นั่นคือเรื่องกรณีพิพาทระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย ที่บาดหมางถึงขนาดอัปเปหิคณะทูตออกจากประเทศกันแบบชิ้วๆ ให้เก็บของภายในสามวันเจ็ดวันนั่นเชียว ถ้าจะให้เล่าต้องอ่านอย่างตั้งใจนิดนึง เพราะเรื่องนี้มีตัวละครหลายตัว ที่เกี่ยวพันโยงใยกันไปหมด เอาเรื่องหลักๆแบบกระชับที่สุดแล้วกันนะคะ ขอย้อนเรื่องไปเมื่อครั้ง ปี 2000 ที่ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ร่ำรวยคนหนึ่ง นามว่า Boris Berezovsky ที่มีฐานะร่ำรวยติดอันดับต้นๆของรัสเซีย และเป็นผู้สนับสนุนหลักของพรรค Unity ที่ผลักด้นจนปูตินได้มาเป็นประธานาธิบดีในปีนั้น แต่ปูติน……ไม่ได้เห็นนายทุนพรรคสำคัญไปกว่าอุดมการณ์ เขาตลบย้อนหลังด้วยนโยบายกวาดล้างมาเฟียและผู้สนับสนุนท่อน้ำเลี้ยงทั้งหมด ซึ่งมันกระทบกับหลายเครือข่ายของกลุ่มต่างๆ แม้แต่กลุ่มอภิมหาเศรษฐีอย่าง BB (ใช้ชื่อย่อแล้วกันนะคะ) ที่มีธุรกิจมากมายรวมไปถึง หลักๆคือ สื่อโทรทัศน์และพลังงานน้ำมัน การขัดแย้งเกิดขึ้น มีการแจ้งหาหลายข้อ จน BB ต้องหาเรื่องไป”ทำธุระที่อังกฤษ” แล้วก็ไม่หวนกลับมาขึ้นศาล ทางอังกฤษก็อ้าแขนรับ เพราะเงินจำนวนพันๆล้านยูโรที่เขามีอยู่นั้น ได้เปลี่ยนสถานะให้เขาเป็น Oligarch อันหมายถึง ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งต่างกับคำว่า Fugitive อันหมายถึงพวกที่หนีคดีแบบหัวซุกหัวซุน ที่ต้องมาขยายในความแตกต่างระหว่างสองคำนั้น เพราะเห็นสื่อต่างๆใช้กันเกร่อ และอ่านแล้วขัดใจทุกทีไป เพราะความหมายผิดไปอย่างสุดโต่ง โอลิการ์ช นั้น ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปไหนเลย แถมยังมีหน้ามีตาอยู่ในสังคมชั้นสูงในประเทศอื่นๆได้ เพราะมีเงินนับพันล้านหมื่นล้าน ไปที่ไหนใครก็ต้อนรับ (จะอธิบายถึงระบบการปกครองในแบบต่างๆต่อไป) เช่นเดียวกับ BB เมื่อไม่อยากกลับรัสเซียก็ซื้อคฤหาสน์อยู่ที่อังกฤษ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง แต่……ก็พกความแค้นเอาไว้ คอยเล่นงานรัฐบาลปูตินในทุกโอกาสที่มีเขาได้ผู้ช่วยที่ดี คือ Alexander Litvinenko อดีต KGB ที่สนิทสนมกัน จนสามารถซื้อใจและนำตัวออกมาจากรัสเซียมาอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ และได้สนับสนุนให้ อเล็กซานเดอร์ ไปทำงานขายความลับของชาติให้กับ MI 6 หน่วยสายลับของอังกฤษ เท่านั้นไม่พอ……ทั้ง Alexander Litvinenko และ เพื่อนที่เป็นนักเขียน อเมริกัน-รัสเชี่ยน Yuri Felshtinsky ได้ออกหนังสือในชื่อว่า Blowing up Russia: The secret to bring back KGB power (2004)** (มีภาพประกอบ) ที่ติดอันดับหนังสือขายดีเพียงแค่ข้ามคืน โดยได้รับทุนรอนสนับสนุนจาก BB เนื้อความในหนังสือเป็นเรื่องภายในของหน่วยสืบราชการลับของรัสเซีย และการขยายสาขายิบย่อยออกไปหลายแขนงในชื่อย่อต่างๆกัน รวมทั้งงานต่างๆที่แยกออกไปตามถนัด นอกจากนั้น BB ยังให้การสนับสนุนการก่อความไม่สงบทั้งในประเทศและนอกประเทศ อย่างกรณีของสงคราม Chechen ให้ก่อหวอดขึ้นมา เลยเถิดไปถึงการสนับสนุนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครนเมื่อปี 2004 และ 2010 ที่มีอยู่เพียงสองพรรคการเมือง พรรคที่ต่อต้านรัสเซีย กับพรรคที่สนับสนุนรัสเซีย งานนี้เขาทุ่มทุนกับพรรคที่ต่อต้านเต็มที่หมดไปหลายสิบล้านยูโร (แต่ก็แพ้การเลือกตั้ง) คือว่าทำทุกอย่างที่โค่นรัฐบาลของปูตินให้ได้……โดยใช้ผืนดินอังกฤษเป็นราก…… ถามว่ารัฐบาลของปูตินและปูตินรู้สึกอย่างไร……? คำตอบคือ……เงียบ แต่เงียบแบบคลื่นใต้น้ำ โดยการ”กำจัด” ออกไปทีละคน เหมือนอย่างกับที่ทำกับสายลับนอกคอกคนอื่นๆ ที่มีเหตุต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันสมควร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก……เฉพาะในอังกฤษที่ชอบฟูมฟักสายลับและโอลิการ์ช จากรัสเซียนั้น โดนเก็บไปสิบสี่คนแล้ว โดยที่หน่วยสายลับและตำรวจต่างก็หาสาเหตุไม่ค่อยจะได้ หรืออาจจะได้แต่ไม่ออกสื่อ……… ราย Alexander Litvinenko (จะเรียกเขาว่า Alex) นั้นมาแบบแปลกและทิ้งความตื่นตระหนกไว้ทั่วบริเตน นั่นคือ โดยยาพิษที่มาในรูปของกัมมันตภาพรังสี ในนามว่า Polonium 210 ที่เคลือบไว้กับกาน้ำชาที่เขาไปทานอาหารในร้านซูชิ เพราะได้นัดเจอกับเพื่อนที่เป็นอดีต KGB ที่มาเยี่ยมเยือนจากรัสเซีย ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2006 หลังจากที่ได้แยกจากกัน เขาก็ล้มป่วย เกิดอาการขั้นวิกฤติจนต้องส่งโรงพยาบาลด่วนฉุกเฉิน อาการที่แพทย์ต้องวิ่งหาสาเหตุกันจ้าละหวั่น คือ อวัยวะในร่างกายของเขา ต่างพากันอ่อนแรง หมดสมรรถภาพไปทีละอย่าง นับจากตับ ไต หัวใจ เขาทนได้ถึง 28 วัน จึงเสียชีวิต และทางแพทย์เพิ่งจะรู้คำตอบว่า มันคือ ยาพิษกัมมันตภาพรังสี จึงได้เข้าไปตรวจร่องรอยของเส้นทางหลังจากที่เขาและเพื่อนสองคน พบว่า มีร่องรอยของ Polonium 210ในทุกที่ ตั้งแต่โรงแรม ห้องพัก ห้องน้ำ และในร้านอาหาร เพื่อนสองคนนั้น คือ Andrei Lugovoi และ Dmitry Kovtun ที่บินกลับไปรัสเซียแล้ว ทีนี้ถึงคิวของ BB อภิมหาเศรษฐีที่เหมือนว่าใครจะทำอะไรเขาไม่ได้……แต่……มีอีกคนหนึ่งที่”เหนือเมฆ”กว่า นั่นคือ Roman Abramovich คนคนนี้ที่ต้องเรียกว่าเหนือเมฆหรือยอดมนุษย์ก็ไม่ผิดความจริงเท่าไหร่ เพราะ เขาจบการศึกษาแค่ชั้นมัธยมปลาย และออกมาทำมาหากินโดยการขายของเล่นเด็ก และ ขายยางรถยนตร์เก่า จนอายุย่างเข้าสามสิบปี (1996) เขาเริ่มเป็นปึกแผ่น ร่ำรวย จนสามารถเข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นที่ไว้ใจของปธน. Yeltsin จนเขาได้ก้าวขึ้นไปเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Chukotka (1999) ที่แสนยากจน……ที่นั่น Roman ได้ควักกระเป๋า เอาเงินส่วนตัวกว่า ร้อยล้านยูโร บริจาคสร้างสาธารณูปโภคให้ใหม่ทั้งเมือง สร้างงานให้ประชาชน เมื่อปี 1992 คือปีที่เขาหันมาจับธุรกิจบ่อน้ำมันและได้รู้จักกับ BB และกลุ่มอภิมหาเศรษฐีคนอื่นๆในฐานะผู้ร่วมทุน ในนามของกลุ่มที่มีชื่อว่า Sibneft ที่แยกย่อยออกไปอีกหลายเครือข่ายเช่นการทำกระดาษอลูมินั่ม และเครื่องจักรกล ที่สร้างเม็ดเงินให้อย่างมหาศาล จนคนทั้งคู่ (และหุ้นส่วนคนอื่น) รวยจนติดอันดับ Forbes แต่เส้นทางต่อมา……คนทั้งสองเดินคนละเส้นทาง แต่ไปอยู่ในที่เดียวกัน คือ อังกฤษ Roman ไปในฐานะนักลงทุนข้ามชาติ เพราะไปทำธุรกิจที่จะขยายเม็ดเงิน ร่ำรวยมหาศาลและไปซื้อทีมฟุตบอล Chelsea………!!! นอกเหนือจากการเป็นมิตรสหายคนสนิทคนหนึ่งของปูติน ส่วน BB นั้น อยู่ในฐานะนักลี้ภัยที่สนับสนุนการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่ยังไม่เลิกละลดต่อความพยาบาท Roman ได้ขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอังกฤษในปี 2011 ที่ถูก BB โกงเงินจำนวนหลายร้อยล้านปอนด์จากธุรกิจที่เคยทำร่วมกัน รวมทั้งยื่นบัญชีที่ได้ออกเงินช่วย BB ในเรื่องของการหลบหนีมาตั้งหลักปักฐานที่อังกฤษ ศาลรับฟ้อง……และว่ากันไปตามหลักฐาน ที่ทางฝ่าย Roman มีมาพร้อมมูล ซึ่งต่อมา ศาลได้ตัดสินให้เขาเป็นฝ่ายชนะ (ปี 2012)ที่จะได้รับเงินค่าเสียหายชดใช้จาก BB เป็นจำนวน สามพันล้านปอนด์ บวกค่าทนายของทั้งสองฝ่ายอีกร้อยล้านปอนด์ BB เดินออกจากศาลทั้งน้ำตา เขาบอกกับคนสนิทว่า “ฉันควรจะกระโดดตึกหรือเชือดข้อมือ อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนที่ยากจนที่สุดในโลกแล้ว……” แต่ BB ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานต่อความยากจนนานนัก เพราะ เขาถูกพบว่าเป็นศพภายในคฤหาสน์ของเขาเองในปีต่อมา 2013 ในสภาพว่า ผูกคอตายในห้องน้ำ……?!! ทางฝ่ายนิติเวชได้ออกมาให้ข่าวว่า สภาพศพนั้นผิดไปจากการฆ่าตัวตายธรรมดา เพราะศรีษะมีรอยถูกตี และมีรอยหักที่ซี่โครง เหมือนจะเป็นการบอกให้รู้ว่า……เมริงต้องหมดตัวเสียก่อน แล้วค่อยตาย……!!! นี่คือเรื่องราวย่อๆที่เกิดขึ้นให้ทราบเค้าโครงเรื่องรอยบาดหมางระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย คือ ไม่ว่าใครจะไปลี้ภัยอะไรยังไง อังกฤษอ้าแขนรับหมด ขอให้หอบเงินเข้ามาเถอะ การอำนวยความสะดวกจัดให้เต็มที่ โดยเฉพาะเหล่าอภิมหาเศรษฐีและเหล่าสายลับนอกคอกจากรัสเซีย ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ตายไม่สวย……ยังมีอีกสองราย เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง คือ Sergei Skripal (อดีตสายลับ) และ Badri Patarkatsishvili (อภิมหาเศรษฐี) ที่มัจจุราชจากรัสเซียมาเยือนถึงเกาะอังกฤษ นอกเหนือไปจากรายยิบย่อย ที่อังกฤษจับมือใครดมไม่ได้ ………ได้แต่โกรธแค้นรัสเซียที่อาจหาญทำการอุกอาจข้ามประเทศ จนมาถึงเรื่องซีเรีย………ที่นับว่าคือจุดของการแตกหัก อังกฤษทุกวันนี้ก็นั่งไม่ติด เพราะไม่รู้ว่าจะสู้กับอะไร ศึกจะมาเป็นแบบไหนในบ้านเมือง จะมาในรูปของก่อการร้าย หรือ ยาพิษกัมมันตภาพรังสีที่ยังหาทางรักษาไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายสำหรับการรักษาความปลอดภัยในการจัดงานอภิเษกของเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ประชาชนต่างไม่พอใจกับการใช้งบประมาณมากมายมหาศาลในส่วนของภาษีที่เขาจ่าย รัฐบาลก็ได้แต่อ้อมแอ้ม……ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพื่อไม่ให้กลายเป็นการชี้โพรง……… ทีนี้มาเล่าถึงเรื่องการปกครองระบอบต่างๆในโลกที่แบ่งออกเป็นได้อยู่ 5 ชนิด คือ 1. ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ที่ประชาชนเลือกผู้นำและรัฐบาลผ่านการลงคะแนนเสียง 2. ระบอบคณาธิปไตย (Oligarchy) คือรัฐบาลที่มาโดยกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง 3. ระบอบเผด็จการ (Autocracy) คือ รัฐบาลที่มีผู้นำคนเดียวที่เป็นผู้ชี้ชะตาประเทศและประชาชน อย่าง ซาอุ 4. ระบอบกษัตริย์ (Monarchy) คือมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อย่างประเทศไทย คือ constitutional monarchy หมายถึง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 5. ระบอบคอมมิวนิสต์ (Communism) คือ ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล ประชาชนทุกคนจะมีส่วนแบ่งเท่าๆกันภายใต้การจัดสรรที่เสมอภาค ประเทศไทยของเราลักหลั่นมากในเรื่องนี้ เพราะ คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยู่ในระบอบไหนกันแน่ เพราะนอกจากคอมมิวนิสต์กับเผด็จการแล้ว เราเป็นหมด……… ประชาธิปไตย……มีมั่ง ไม่มีมั่ง คอยลุ้นเอา สนุกดี คณาธิปไตย………แน่นอน มีตลอด ตราบใดที่กลุ่มเจ้าสัวยังขยายกิจการอย่างไม่หยุดยั้ง แม้แต่รถกับข้าวก็ไม่เหลือให้ชนชั้นล่างได้เข้ามามีโอกาส ระบอบกษัตริย์ หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น คือหัวใจที่หล่อเลี้ยงประเทศให้ เต้นไปตามจังหวะอยู่ในทุกวันนี้ ประชาชนจะต้องรู้ให้เท่าทันว่า ประเทศของเราอยู่ก้ำกึ่งในสามระบอบนี้ จะได้ทำตัวให้ถูก รู้จักการถ่วงดุลย์ รู้จักว่าอย่าให้มันโน้มเอียงไปทางลบ อย่ามัวแต่เรียกร้องประชาธิปไตย รอเลือกตั้งจนตัวสั่น เพราะ อย่างไรเสียเราก็สลัดไม่หลุดไปจากกลุ่มคณาธิปไตยที่ไล่แจกนาฬิกาแพงๆให้กับคนในรัฐบาลอย่างที่เห็นๆอยู่ เคยคุยกับคนอังกฤษ(แก่ๆ) เรื่องพระราชวงค์ของเขา ว่า……ไม่ค่อยเห็นคนออกมาแสดงความไม่พอใจ หรือเรียกร้องจนทำให้พระราชินีต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ…… เขาตอบว่า เพราะพระราชวงค์ทรงเป็นเลือดนักสู้……เป็นผู้นำที่เคียงคู่มากับพวกเขาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามไหนๆ กษัตริย์อังกฤษไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว……… นี่คือผลพวงจากการศึกษาจริงๆค่ะ คนอังกฤษทุกคนรู้เรื่องประวัติศาสตร์บ้านเมืองของตัวเองเป็นอย่างดี จึงมีความรักชาติที่ฝังลึกสลักแน่นในสายเลือด แต่เราก็เขยิบขึ้นมาแล้ว เราก้าวมาเกือบถูกทางแล้ว เพราะออเจ้าได้ทำให้เด็กไทยทั้งประเทศตื่นตัวในการรักชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์ในอดีต……บูชาความเป็นไทย ถึงขนาดทิ้งบัตรประชาชนเก่าๆ จัดแจงแต่งชุดไทยไปถ่ายใบใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า…… เรารุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนะ…ออเจ้าฝรั่งฟรังคีทั้งหลาย !!! แหม………จะว่าไปนะ……อีผิน เอ๊ย……ดิฉันก็นึกทึ่งตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่เขียนเรื่องรัสเซีย เรื่องอังกฤษอยู่ดีดี๊………มาจบลงด้วยเรื่องของออเจ้าอย่างหน้าตาเฉย อย่างนี้ชิมิคะ……ที่เขาเรียกว่า”โหนกระแส” น่ะ………555555?!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์การต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย)
    เผยข้อมูลน่าตกใจ เมื่อประชาชน บริษัท ห้างร้าน
    ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องติดต่อราชการไทย
    ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ติดสินบน ให้กับการคอร์รัปชัน ต่างๆ
    นอกระบบจีดีพี กว่า 3 แสนล้านบาท/ปี

    เยาวชนคนรุ่นใหม่สิ้นหวัง ได้โปรดอย่าส่งต่อวัฒนธรรมที่เสื่อม
    แบบนี้ให้พวกเค้าเลย

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การคอร์รัปชันในไทย #thaitimes
    🔥🔥องค์การต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) เผยข้อมูลน่าตกใจ เมื่อประชาชน บริษัท ห้างร้าน ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องติดต่อราชการไทย ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ติดสินบน ให้กับการคอร์รัปชัน ต่างๆ นอกระบบจีดีพี กว่า 3 แสนล้านบาท/ปี เยาวชนคนรุ่นใหม่สิ้นหวัง ได้โปรดอย่าส่งต่อวัฒนธรรมที่เสื่อม แบบนี้ให้พวกเค้าเลย ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การคอร์รัปชันในไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 619 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!!

    ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง

    แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น
    ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย
    ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ
    ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง
    ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม
    คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน
    คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า”
    อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่”
    ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค

    คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว
    ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน

    เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
    เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป
    ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
    เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย

    ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต
    เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง
    ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน”

    ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง”
    ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย
    แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน
    เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน
    ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise)
    เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก
    นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด

    แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน

    วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011
    ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ
    จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป
    ผสมพันธ์ที่อื่น...
    ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง
    เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย
    CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ
    ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ

    CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย
    จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ

    ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ
    นั่นหมายถึงการล่มสลาย...
    ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม...
    วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ
    ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น...
    CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย...

    ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต
    แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก
    ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน....

    จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี
    ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร
    ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น
    นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก....
    อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน
    จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน
    แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง
    แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม
    โซรอสออกไปให้พ้นๆ
    มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล
    ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน...

    แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น
    เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้...
    ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น
    ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป
    จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป...

    ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017
    เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม...
    เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย
    ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น
    ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ……

    ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน

    นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน
    แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา...

    อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล....
    แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง....

    ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!! ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า” อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่” ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน” ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง” ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise) เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011 ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป ผสมพันธ์ที่อื่น... ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ นั่นหมายถึงการล่มสลาย... ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม... วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น... CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย... ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน.... จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก.... อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม โซรอสออกไปให้พ้นๆ มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน... แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้... ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป... ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017 เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม... เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ…… ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา... อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล.... แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง.... ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!!

    หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม
    ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน..

    การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน
    ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า
    แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง
    บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง

    ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่
    ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

    ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น
    เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ……
    สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค...
    รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ...
    ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว
    ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู

    คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง...
    ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้
    ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ...
    มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า
    “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?”

    แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย
    ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน...
    เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ...
    เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร
    สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร”
    ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ
    ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น

    คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว
    แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก
    ไม่เห็นจะยาก....

    แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!!

    นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์
    แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ...

    ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...”
    ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ
    นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย
    ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี
    แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ..
    หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย
    Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี
    2010 จนถึงปัจจุบัน

    โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก
    Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน...

    งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน
    เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า
    ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ
    ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี
    ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน...
    แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน...
    ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch
    ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา”

    วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า
    “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?”

    เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ..
    แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้
    แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู...
    อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น
    ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง
    และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย

    ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ

    เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส

    ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส

    ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!!

    ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ
    พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน
    นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018
    ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น
    งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ
    ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน
    เลวก็คือเลว...!!!
    และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ

    ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!! หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน.. การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่ ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ…… สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค... รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ... ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง... ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ... มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?” แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน... เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ... เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร” ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก ไม่เห็นจะยาก.... แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!! นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์ แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ... ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...” ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ.. หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี 2010 จนถึงปัจจุบัน โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน... งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน... แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน... ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา” วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?” เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ.. แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้ แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู... อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!! ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน เลวก็คือเลว...!!! และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • 6 กันยายน 2567
    "วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ"
    กับความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย
    ในการยกระดับ การปราบปราม การต่อต้าน
    การทุจริต คอรัปชั่น การต่อต้านโกง ในทุกรูปแบบ
    เพื่อยกระดับมาตรฐาน สร้างความโปร่งใส
    และภาพลักษณ์ที่ดีในการลงทุน
    ของในประเทศ และต่างประเทศ

    โดยสำนักงาน คณะกรรมการการป้องกัน
    และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
    ได้เผยแพร่ข้อมูล ดัชนีการรับรู้การทุจริต
    (Corruption Perception Index : CPI)
    ประจำปี 2565 จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสแห่งชาติ
    (Transparency International : TI)
    จากประเทศที่ถูกจัดอันดับทั่วโลกทั้งสิ้น 180 ประเทศ
    พบประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก
    ได้คะแนน 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
    และเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน รองจาก สิงคโปร์,
    มาเลเซีย, ติมอร์เลสเต และ เวียดนาม
    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ
    #thaitimes
    🔥🔥 6 กันยายน 2567 "วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ" กับความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย ในการยกระดับ การปราบปราม การต่อต้าน การทุจริต คอรัปชั่น การต่อต้านโกง ในทุกรูปแบบ เพื่อยกระดับมาตรฐาน สร้างความโปร่งใส และภาพลักษณ์ที่ดีในการลงทุน ของในประเทศ และต่างประเทศ 🚩โดยสำนักงาน คณะกรรมการการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข้อมูล ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) ประจำปี 2565 จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสแห่งชาติ (Transparency International : TI) จากประเทศที่ถูกจัดอันดับทั่วโลกทั้งสิ้น 180 ประเทศ พบประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก ได้คะแนน 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน รองจาก สิงคโปร์, มาเลเซีย, ติมอร์เลสเต และ เวียดนาม ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ #thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคนี้.....กัญชามาแรงแซงโค้ง....!!!

    คือเมื่อคืนนะคะ ดิฉันดูละครโทรทัศน์ เรื่อง ทองเอก หมอยา
    ทุ่งโฉลง เพราะได้ดูตัวอย่างนิดนึงแล้วติดใจ อยากติดตาม เพราะเป็นของใหม่ที่จะให้การศึกษากับคนไทยแบบเนียนด้วยการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพร..

    อันว่าดิฉันเนี่ยยย เป็นคนที่ค่อนข้างต่อต้านยาฝรั่ง คือพยายามใช้ให้น้อยที่สุด เช่น เฉพาะไมเกรนเจ้าประจำ กับฉีดวัคซีนต่างๆ
    แต่ไม่พยายามพร่ำเพรื่อ อย่างที่น้องมาแวะเยี่ยม ก็ได้ขอให้ติด”ยาน้ำระดมพล” มาให้ด้วย ขอบคุณน้องหลายๆเด้อ
    เพราะสรรพคุณของยาน้ำนี้ คือการ”รุ” เพื่อระบบไฟธาตุในร่างกายได้ทำงานสะดวก (ตามคำของผู้ใหญ่ที่สั่งสอนมา)
    ดิฉันก็ถือมาเป็นวิถีปฏิบัติมาสามสิบปีนี่แล้วค่ะ อาทิตย์ละจอก..
    ที่เห็นๆคือ ไมเกรนห่างหายไปมาก และ สบายตัว

    เลยเถิดไปได้ยังไงเนี่ยยย ว่าจะพูดถึงกัญชา...!!!

    เอาว่าเริ่มจากกัญชาฝรั่งก่อนนะคะ กัญชาไทย หรือ Thai stick เราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นสุดยอด....ที่ฝรั่งหลงไหลถึงขนาดจับเครื่องบินมาเพื่อเชยชม ดูดดมเจ้า...
    ตอนนี้ “กัญชา” เป็นที่หอมหวนในวงการธุรกิจ เพราะมันหมายถึงเงินจำนวนแสนล้าน...
    ในปี 2014 อุรุกวัย เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวใช้กัญชาได้
    ตามกฏหมายกำหนด
    ตามด้วย แคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2018
    ตั้งแต่อุรุกวัย เปิดเสรีเรื่องกัญชาขึ้นมา พลอยสร้างกระแสแรงกระเพื่อมในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนเหล่านิยมกัญชา เขาคือ กลุ่ม AUMA (Adult Use of Marijuana Act)
    พากันเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณากฏหมายผ่อนปรนด้วยเรื่องสารเสพติด โดยมีการวิจัยออกมาว่า กัญชามีโทษต่อร่างกายน้อยมาก
    น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ และยารักษาโรคอื่นๆ
    อีกทั้งช่วยรักษาได้อีกสารพัดโรค

    ในความจริงคือ ตั้งแต่ปี 2003 บริษัท Bayer AG ได้แอบทุ่มทุนร่วมกับ GW Pharmaceuticals ในการทำวิจัยเรื่องกัญชาในการรักษาโรคมาแล้ว

    ปี 2007 Bayer เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ประเทศเยอรมัน ได้ร่วมมือร่วมทุนกันกับ Monsanto (อเมริกา) เป็นบริษัทที่ทุกคนรู้ๆกันว่า ยิ่งใหญ่มากทางด้านเคมีเกษตร และผันตัวมาทำเรื่อง GMO ในพืชทุกชนิด รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ผัก ผลไม้ จากในอดีตที่เคยเป็นผู้ผลิต “ฝนเหลือง” ที่คร่าชีวิตชาวเวียดนามไปมากมาย...และผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ George Soros

    แต่ในขณะเดียวกันนั้น ประชาชนผู้บริโภคได้ตื่นตัวต่อวิธีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมในพืชผักของมอนซานโตที่มีข้อเสียซ่อนไว้มากมาย
    และเริ่มมีการต่อต้านกันไปอย่างแพร่หลาย
    มอนซานโตมาถึงจุดตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ได้ถูกฟ้องร้องว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
    รายที่ฟ้องได้ค่าเสียหายมากสุด คือ 289 ล้านยูเอส ในเดือนสิงหาคม 2018
    คือคนสวน Dewayne Johnson อายุ 46 ปี ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าหญ้าของมอนซานโตในชื่อว่า Roundup

    แต่คนอย่าง โซรอส เขามีทางออกที่สวยสุด คือ รีบเทขาย Monsanto ให้กับ Bayer อย่างว่องไว เพราะไหนๆก็ร่วมมือกันทำวิจัยเรื่อง “กัญชา” มาตั้งแต่ 2007 แล้ว ด้วยจำนวนเงิน หกหมื่นล้านยูเอส
    เท่ากับเป็นการล้างชื่อ มอนซานโต ออกไปจากตำแหน่งของบริษัทที่ชั่วช้าที่สุดในโลกไปได้...

    จากนี้ไป เราไม่มีมอนซานโตก็จริง แต่...ใครจะรู้ว่าจะอวตารขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ เพราะสูตรเคมีล้างโลก และ พันธุ์พืชที่ได้แต่งเปลี่ยนนั้น
    อยู่ที่ไหน...?

    และ ที่ Bayer ซื้ออะไรไปด้วยเงินจำนวนขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นสัญญาซื้อขาย ไม่มีสื่อไหนกล้าหาข้อมูลมาตีแผ่
    เพราะในอดีตของ Bayer ก็ถือว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่ามอนซานโตเลย

    Bayer ก็เคยเปลี่ยนชื่อเพราะความฉาวโฉ่มาแล้ว จากชื่อเก่า คือ
    IG Farben เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ผลิตยาให้กับนาซี ตั้งแต่แอสไพรินจนถึงไซยาไนด์
    รวมทั้ง Zyklon B คือแก๊สที่ใช้รมเชลยยิวในค่ายนรก ซึ่งบริษัทนี้ได้เกณฑ์แรงงานยิวมาใช้ตั้งแต่ต้นสงครามจนถึงวันสุดท้ายที่ปราชัย
    พอสงครามเลิก IG Farben ก็ยุบไป และเจ้าหน้าที่ พนักงาน ได้ถูกเป็นจำเลยในศาลกันพร้อมหน้า ติดคุกกันไม่กี่ปีก็ออกมาเดินปร๋อ
    และต่อมาได้มีอวตารบริษัทเกิดขึ้นใหม่ ในนาม Bayer ที่ผู้บริหารตัวบิ๊กๆนั้น มาจาก IG Farben ทั้งแผง

    ในปี 1995 Bayer ได้ออกมาขอโทษกับชาวยิวที่มีส่วนในการผลิตแก๊สทำลายล้างเผ่าพันธุ์

    ส่วน จอร์จ โซรอส นั้น เกิดในฮังการีในปี 1930 และเติบโตมาในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นาซีได้แผ่เข้ามาในฮังการี และได้ฆ่ายิวไปกว่าห้าแสนคน
    ครอบครัวของเขาต้องอยู่ในสถานะปลอมๆ ต้องแอ๊บเป็นอารยัน
    แถมได้ทำงานในออฟฟิศให้กับหน่วยงานของนาซี หน้าที่ของเขาคือ
    นำคนไปตามจับและยึดทรัพย์ชาวยิว...จนถึงสงครามเลิก

    แต่ฮังการี...ต้องไปสู่เขตการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
    ครอบครัวเขาจึงอพยพมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน เขาได้เข้าเรียนระดับวิทยาลัย ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 1947
    จากนั้น เขาจึงไปเริ่มชีวิตใหม่ที่อเมริกา ในปี 1956 โดยเริ่มจากเซลส์แมนกิ๊กก๊อก นักเก็งกำไรหุ้น ค้าอสังหาฯ
    และเพียง สิบกว่าปี เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี...

    เรื่องที่เขาขายมอนซานโตออกไปอย่างไม่เสียดมเสียดายเพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่า และจะเป็นที่รักใคร่ของประชาชนนั้นคือ
    “กัญชา”
    เขาทุ่มเงินสนับสนุนโอบามา จนได้เป็นประธานาธิบดี เพื่อสนองนโยบายได้เร็วทันใจ เพราะ กัญชาได้เปลี่ยนมาเป็นสารเสพติดร้ายแรงประเภทที่หนึ่ง มาเป็นประเภทที่สอง คือ สารเสพติดที่ใช้ทางการแพทย์
    จากนั้นก็คือหน้าที่ของกลุ่ม AUMA ในรัฐต่างๆที่จะเคลื่อนไหวกันเอง...
    ส่วนโซรอส (ในนามของมอนซานโต) ได้เข้าไปยึดครองการเพาะปลูกกัญชาในอุรุกวัย อันว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกต่อเกษตรกรรมกัญชา ตั้งแต่ 2003 และเขาคือแรงผลักดันให้อุรุกวัยประกาศตนเป็นประเทศที่กัญชาค้าขายได้ถูกกฎหมาย
    รวมทั้งการครอบคลุมเมล็ดพันธุ์

    และที่สำคัญสุดคือ จอร์จ โซรอส ได้มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดของ DPA (Drug Policy Alliance) สำนักงานตั้งอยู่ในนิวยอร์ค
    ประมาณว่า เป็นกลุ่มดูแลนโยบายสิ่งเสพติดในการรักษาโรค
    ที่มีข้อปฎิบัติละเอียดยิบย่อย
    และ DPA นี้ ไม่ใช่ครอบคลุมในเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
    เขาได้กระจายไปในอุรุกวัยและประเทศอื่นในแถบลาตินด้วย

    นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะมีสมาชิกใหม่ในกลุ่ม ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเขา ปลูกได้ตามที่เขาสั่ง ขายได้ในราคาตามที่เขากำหนด ใช้ได้ตามจำนวนที่เขาจะพิจารณา
    และ ถ้าไม่เป็นสมาชิก...แต่จะมาค้าขายกัญชาตามใจชอบ
    ก็อาจจะมี “สงครามกัญชา”เกิดขึ้น

    เงินไม่เข้าใครออกใคร...
    ถ้าจำนวนมหาศาลพอ ...ยิวกับนาซี ยังจูบปากกันได้เลย...!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ยุคนี้.....กัญชามาแรงแซงโค้ง....!!! คือเมื่อคืนนะคะ ดิฉันดูละครโทรทัศน์ เรื่อง ทองเอก หมอยา ทุ่งโฉลง เพราะได้ดูตัวอย่างนิดนึงแล้วติดใจ อยากติดตาม เพราะเป็นของใหม่ที่จะให้การศึกษากับคนไทยแบบเนียนด้วยการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพร.. อันว่าดิฉันเนี่ยยย เป็นคนที่ค่อนข้างต่อต้านยาฝรั่ง คือพยายามใช้ให้น้อยที่สุด เช่น เฉพาะไมเกรนเจ้าประจำ กับฉีดวัคซีนต่างๆ แต่ไม่พยายามพร่ำเพรื่อ อย่างที่น้องมาแวะเยี่ยม ก็ได้ขอให้ติด”ยาน้ำระดมพล” มาให้ด้วย ขอบคุณน้องหลายๆเด้อ เพราะสรรพคุณของยาน้ำนี้ คือการ”รุ” เพื่อระบบไฟธาตุในร่างกายได้ทำงานสะดวก (ตามคำของผู้ใหญ่ที่สั่งสอนมา) ดิฉันก็ถือมาเป็นวิถีปฏิบัติมาสามสิบปีนี่แล้วค่ะ อาทิตย์ละจอก.. ที่เห็นๆคือ ไมเกรนห่างหายไปมาก และ สบายตัว เลยเถิดไปได้ยังไงเนี่ยยย ว่าจะพูดถึงกัญชา...!!! เอาว่าเริ่มจากกัญชาฝรั่งก่อนนะคะ กัญชาไทย หรือ Thai stick เราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นสุดยอด....ที่ฝรั่งหลงไหลถึงขนาดจับเครื่องบินมาเพื่อเชยชม ดูดดมเจ้า... ตอนนี้ “กัญชา” เป็นที่หอมหวนในวงการธุรกิจ เพราะมันหมายถึงเงินจำนวนแสนล้าน... ในปี 2014 อุรุกวัย เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวใช้กัญชาได้ ตามกฏหมายกำหนด ตามด้วย แคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ตั้งแต่อุรุกวัย เปิดเสรีเรื่องกัญชาขึ้นมา พลอยสร้างกระแสแรงกระเพื่อมในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนเหล่านิยมกัญชา เขาคือ กลุ่ม AUMA (Adult Use of Marijuana Act) พากันเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณากฏหมายผ่อนปรนด้วยเรื่องสารเสพติด โดยมีการวิจัยออกมาว่า กัญชามีโทษต่อร่างกายน้อยมาก น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ และยารักษาโรคอื่นๆ อีกทั้งช่วยรักษาได้อีกสารพัดโรค ในความจริงคือ ตั้งแต่ปี 2003 บริษัท Bayer AG ได้แอบทุ่มทุนร่วมกับ GW Pharmaceuticals ในการทำวิจัยเรื่องกัญชาในการรักษาโรคมาแล้ว ปี 2007 Bayer เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ประเทศเยอรมัน ได้ร่วมมือร่วมทุนกันกับ Monsanto (อเมริกา) เป็นบริษัทที่ทุกคนรู้ๆกันว่า ยิ่งใหญ่มากทางด้านเคมีเกษตร และผันตัวมาทำเรื่อง GMO ในพืชทุกชนิด รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ผัก ผลไม้ จากในอดีตที่เคยเป็นผู้ผลิต “ฝนเหลือง” ที่คร่าชีวิตชาวเวียดนามไปมากมาย...และผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ George Soros แต่ในขณะเดียวกันนั้น ประชาชนผู้บริโภคได้ตื่นตัวต่อวิธีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมในพืชผักของมอนซานโตที่มีข้อเสียซ่อนไว้มากมาย และเริ่มมีการต่อต้านกันไปอย่างแพร่หลาย มอนซานโตมาถึงจุดตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ได้ถูกฟ้องร้องว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง รายที่ฟ้องได้ค่าเสียหายมากสุด คือ 289 ล้านยูเอส ในเดือนสิงหาคม 2018 คือคนสวน Dewayne Johnson อายุ 46 ปี ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าหญ้าของมอนซานโตในชื่อว่า Roundup แต่คนอย่าง โซรอส เขามีทางออกที่สวยสุด คือ รีบเทขาย Monsanto ให้กับ Bayer อย่างว่องไว เพราะไหนๆก็ร่วมมือกันทำวิจัยเรื่อง “กัญชา” มาตั้งแต่ 2007 แล้ว ด้วยจำนวนเงิน หกหมื่นล้านยูเอส เท่ากับเป็นการล้างชื่อ มอนซานโต ออกไปจากตำแหน่งของบริษัทที่ชั่วช้าที่สุดในโลกไปได้... จากนี้ไป เราไม่มีมอนซานโตก็จริง แต่...ใครจะรู้ว่าจะอวตารขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ เพราะสูตรเคมีล้างโลก และ พันธุ์พืชที่ได้แต่งเปลี่ยนนั้น อยู่ที่ไหน...? และ ที่ Bayer ซื้ออะไรไปด้วยเงินจำนวนขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นสัญญาซื้อขาย ไม่มีสื่อไหนกล้าหาข้อมูลมาตีแผ่ เพราะในอดีตของ Bayer ก็ถือว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่ามอนซานโตเลย Bayer ก็เคยเปลี่ยนชื่อเพราะความฉาวโฉ่มาแล้ว จากชื่อเก่า คือ IG Farben เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ผลิตยาให้กับนาซี ตั้งแต่แอสไพรินจนถึงไซยาไนด์ รวมทั้ง Zyklon B คือแก๊สที่ใช้รมเชลยยิวในค่ายนรก ซึ่งบริษัทนี้ได้เกณฑ์แรงงานยิวมาใช้ตั้งแต่ต้นสงครามจนถึงวันสุดท้ายที่ปราชัย พอสงครามเลิก IG Farben ก็ยุบไป และเจ้าหน้าที่ พนักงาน ได้ถูกเป็นจำเลยในศาลกันพร้อมหน้า ติดคุกกันไม่กี่ปีก็ออกมาเดินปร๋อ และต่อมาได้มีอวตารบริษัทเกิดขึ้นใหม่ ในนาม Bayer ที่ผู้บริหารตัวบิ๊กๆนั้น มาจาก IG Farben ทั้งแผง ในปี 1995 Bayer ได้ออกมาขอโทษกับชาวยิวที่มีส่วนในการผลิตแก๊สทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ส่วน จอร์จ โซรอส นั้น เกิดในฮังการีในปี 1930 และเติบโตมาในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นาซีได้แผ่เข้ามาในฮังการี และได้ฆ่ายิวไปกว่าห้าแสนคน ครอบครัวของเขาต้องอยู่ในสถานะปลอมๆ ต้องแอ๊บเป็นอารยัน แถมได้ทำงานในออฟฟิศให้กับหน่วยงานของนาซี หน้าที่ของเขาคือ นำคนไปตามจับและยึดทรัพย์ชาวยิว...จนถึงสงครามเลิก แต่ฮังการี...ต้องไปสู่เขตการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ครอบครัวเขาจึงอพยพมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน เขาได้เข้าเรียนระดับวิทยาลัย ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 1947 จากนั้น เขาจึงไปเริ่มชีวิตใหม่ที่อเมริกา ในปี 1956 โดยเริ่มจากเซลส์แมนกิ๊กก๊อก นักเก็งกำไรหุ้น ค้าอสังหาฯ และเพียง สิบกว่าปี เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี... เรื่องที่เขาขายมอนซานโตออกไปอย่างไม่เสียดมเสียดายเพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่า และจะเป็นที่รักใคร่ของประชาชนนั้นคือ “กัญชา” เขาทุ่มเงินสนับสนุนโอบามา จนได้เป็นประธานาธิบดี เพื่อสนองนโยบายได้เร็วทันใจ เพราะ กัญชาได้เปลี่ยนมาเป็นสารเสพติดร้ายแรงประเภทที่หนึ่ง มาเป็นประเภทที่สอง คือ สารเสพติดที่ใช้ทางการแพทย์ จากนั้นก็คือหน้าที่ของกลุ่ม AUMA ในรัฐต่างๆที่จะเคลื่อนไหวกันเอง... ส่วนโซรอส (ในนามของมอนซานโต) ได้เข้าไปยึดครองการเพาะปลูกกัญชาในอุรุกวัย อันว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกต่อเกษตรกรรมกัญชา ตั้งแต่ 2003 และเขาคือแรงผลักดันให้อุรุกวัยประกาศตนเป็นประเทศที่กัญชาค้าขายได้ถูกกฎหมาย รวมทั้งการครอบคลุมเมล็ดพันธุ์ และที่สำคัญสุดคือ จอร์จ โซรอส ได้มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดของ DPA (Drug Policy Alliance) สำนักงานตั้งอยู่ในนิวยอร์ค ประมาณว่า เป็นกลุ่มดูแลนโยบายสิ่งเสพติดในการรักษาโรค ที่มีข้อปฎิบัติละเอียดยิบย่อย และ DPA นี้ ไม่ใช่ครอบคลุมในเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เขาได้กระจายไปในอุรุกวัยและประเทศอื่นในแถบลาตินด้วย นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะมีสมาชิกใหม่ในกลุ่ม ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเขา ปลูกได้ตามที่เขาสั่ง ขายได้ในราคาตามที่เขากำหนด ใช้ได้ตามจำนวนที่เขาจะพิจารณา และ ถ้าไม่เป็นสมาชิก...แต่จะมาค้าขายกัญชาตามใจชอบ ก็อาจจะมี “สงครามกัญชา”เกิดขึ้น เงินไม่เข้าใครออกใคร... ถ้าจำนวนมหาศาลพอ ...ยิวกับนาซี ยังจูบปากกันได้เลย...!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน

    เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ

    จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน

    และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ

    ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี

    วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
    .
    .
    .
    นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น

    ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน

    อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ

    วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า

    พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป

    โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว

    เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก

    แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง

    ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด

    แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย)

    แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า

    เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon"

    เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
    .
    .
    .
    ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที

    ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล

    และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา

    ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)

    แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย

    นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย

    แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน

    และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    .
    .
    .
    พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู

    ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา

    ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด

    โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“

    จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม

    ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด

    พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน

    ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง

    โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
    .
    .
    .
    บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย

    เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่

    พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่

    ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า

    เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้

    พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน

    ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง

    ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว

    รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“

    รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ

    จะเอาไม่เอาก็บอกมา

    ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป

    ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย

    แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ

    ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน

    แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่

    ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี

    ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
    .
    .
    .
    ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย

    อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ

    ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้

    มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย

    อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย.....

    ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ

    https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA
    https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS
    https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ . . . นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย) แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon" เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง . . . ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร . . . พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“ จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน . . . บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่ พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่ ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้ พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“ รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ จะเอาไม่เอาก็บอกมา ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่ ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย . . . ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้ มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย..... ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX นัทแนะ
    6 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1341 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลัทธิ...สาวก..องค์กรลับ...เงินหนุน...ไม่ใช่มีแต่ในนิยาย..!!!

    เคยบอกกับท่านผู้ที่สนใจอ่านไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินที่ทรงอิทธิพลของโลก..
    แต่เรื่องของเขานั้น ไม่ใช่แค่บอกว่าเขาเป็นใคร หรือประวัติมาจากไหน..
    หากินอะไร...แล้วท่านๆจะเข้าใจ....
    ไม่ใช่ค่ะ...

    ดิฉันอยากจะเล่าย้อนไปถึงระบบความคิด ความเชื่อ อุดมคติอันเป็นที่มาของการขยายปีกทุนออกไปได้อย่างไม่เสียดมเสียดาย เพื่อที่จะให้อุดมการณ์นั้นประสบความสำเร็จ
    อุดมการณ์...คือ การเข้าครอบงำโลก ทุกประเทศ ทุกรัฐบาล ให้เดินไปตามนโยบายของกลุ่มทุนที่อยู่บนยอดปิรามิด...ที่เขาใช้สโลแกนว่า
    “เพื่อมนุษยชาติ ความเท่าเทียม เสรีทางความคิดเห็นต่อการปกครอง”
    ที่มาในคำจำกัดความสั้นๆคือ... The New World Order หรรือย่อๆว่า...NWO

    แต่ก่อนที่จะพูดถึงโซรอส ดิฉันก็อยากจะเล่าถึงบรรบุรุษทางความคิดของ NWO ก่อนว่าเขามาจากไหน และ เป็นมาอย่างไร...
    โปรดอย่าคิดว่าเยิ่นเย้อ ยืดยาว...เพราะถ้าไม่เข้าใจในส่วนนี้แล้ว
    ก็ไม่มีวันเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

    บรรพบุรุษทางความคิดของ NWO คือ ขบวนการองค์กรลับ ที่มีเรียกว่า
    Bavarian Illuminati (บาวาเรียน อิลลูมินาติ)
    Bavaria คือสถานที่ที่ก่อตั้ง รัฐบาวาเรีย ในเยอรมันนี
    Illuminati มาจากภาษาละติน แปลว่า ผู้ตื่นรู้, ปราชญ์

    ผู้ที่เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้คนแรก คือ ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมาย Adam Weishaupt (1748-1830) สอนใน University of Ingolstadt

    อดัม ไวซอปท์ เป็นชาวยิวที่เปลี่ยนมาเป็นคริสต์ (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยศตวรรษที่ 18 เพราะกระแสต่อต้านยิวที่กระจายในทั่วยุโรป)
    เขาเป็นลูกกำพร้า ที่อยู่ในการอุปถัมภ์ของปู่ผู้ซึ่งเป็นคนมีความรู้ และได้บ่มเพาะเขาให้เป็นหนอนหนังสือ เคร่งเรียน จนได้มาเป็นศาตราจารย์
    ที่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า ภายใต้คราบของศาสตราจารย์นั้น เขาคือผู้ที่มีความคิดสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ที่เต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนาย
    และความไม่เท่าเทียม มีช่องว่าทางสถานะภาพ และอาชีพ
    คนมีความรู้...ถ้าไม่ใช่สมาชิกในสกุลใหญ่โต ก็ไม่มีทางเกิด
    รวมทั้งความคิดที่ ระบบศาสนา พระ และ กิจกรรมของศาสนาที่มามีส่วน”ล้ำเส้น” จนเกินไปในสังคม ที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติในกฏเกณฑ์

    เขาจึงคิดวางระบบขึ้นมาใหม่ จัดตั้งเป็นองค์กร (ลับ) สำหรับกลุ่มที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน และพยายาม(แอบ) สอน ชี้ทางให้กับพวกนักศึกษาเป็นการชักจูง เพื่อให้เกิดการ “ตื่นรู้” หรือ Illumination

    ซึ่งขบวนการแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เขาจะคิดแล้ว มีนโยบายคล้ายๆกันในนามว่า
    The Freemasonry หรือองค์กร Freemason ที่กระจายไปทั่วยุโรป ที่รวบรวมแต่พวกที่มีความคิดเหมือนกัน ใครก็ได้ ต่างสาขาอาชีพ
    อดัม ยังคิดว่ามันไม่ใช่เหมือนแนวความคิดของเขาเลยทีเดียว เขาต้องการ”กลุ่มชั้นมันสมองที่คัดกรองแล้ว” ที่มีความสามารถเผยแพร่ ชักจูงปัญญาชนอื่นๆให้คล้อยตามได้ เพื่อที่จะได้เข้าถึงจุดประสงค์คือ
    “เสรีภาพทางด้านความคิดและการแสดงออกที่เท่าเทียม ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าเจ้าหรือเศรษฐี”

    วันที่ 1 เมษายน 1776 คือการชุมนุมพบปะกันในป่า ภายใต้แสงจากคบไฟใกล้เมือง เอิงกอลสตัดท์ ที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพียงชายห้าคน...
    ที่เข้ามาร่วมมือกันวางหลักการ และวางแผนเส้นทางปฏิบัติ
    รวมทั้งเผยแพร่นโยบายไปสู่กลุ่มเป้าหมาย...
    ที่ใช้เวลาไม่นานเลย เพราะในปี 1782 องค์กรได้มีสมาชิกถึง 600 คน
    ที่ได้แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ

    Novices คือ กลุ่มน้องใหม่

    Minervals คือ กลุ่มเจ้าปัญญา

    Illuminated minervals คือ กลุ่มปราชญ์ผู้ตื่นรู้

    ในปี 1784 ได้มีสมาชิกเพิ่มถึงสามพันคน และในนั้นรวมไปด้วยกลุ่มสติปัญญาเป็นเลิศ ทั้งนักการเมือง เช่น แพทย์ และนักเขียนดังอย่างเช่น
    เกอเธ่ ( Johann Wolfgang von Goethe) หรือชาวไฮโซ อย่าง
    Baron Adolph von Knigge ที่เป็นหัวหอกในการหาสมาชิกที่จะเข้ามาตามเป้า
    และที่สำคัญ...คือ องค์กรลับนี้ ได้นายทุนใหญ่เข้ามาเป็นสมาชิกและให้ความสนับสนุนทุกด้าน เขาคือ....
    นายธนาคารใหญ่ Mayer Amschel Rothschild

    ตัว Baron von Knigge ได้มีหน้าที่เหมือนกับพ่อหัวเรือใหญ่ในด้านกิจกรรม เขาเคยเป็นสมาชิกขององค์กร ฟรีเมสันมาก่อน ดังนั้นจึงมีการลอกเบียนแบบกันมาบ้าง เช่น มีการตั้งชื่อลับเป็นโค้ดเรียกกันในกลุ่ม อย่าง ศาสตราจารย์ ไวซอปท์ จะมีชื่อว่า “Spartacus”
    และตัวบารอน ฟอน นิกก์ เอง ชื่อว่า “Philo”
    การแบ่งชั้น วรรณะ เริ่มแตกย่อยออกไปหลายอันดับ ราวกับพวกดาว์นไลน์ ขายตรง....

    ต่อมา..เริ่มมีการขัดแย้งระหว่าง ศ. ไวซอปท์ กับ บารอน ฟอน นิกก์
    ทำให้ฝ่ายหลังตบเท้าออกไปจากองค์กร...
    จากนั้น องค์กรอิลลุมินาติ ที่ว่า “ลับ” ก็เริ่มจะไม่ลับแล้วเพราะมีคนได้เขียนจดหมายไปหา Duke of Bavaria พร้อมเล่าพฤติการณ์ขององค์กรให้เป็นที่รับรู้
    ซึ่งได้ผลทันที เพราะท่านดยุคที่ได้ข่าวระแคะระคายอยู่บ้าง จึง
    ออกกฏ ในเดือน มิถุนายน 1784 ที่ห้ามไม่ให้มีการตั้งสมาคม
    หรือองค์กรใดๆที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับอนุญาต
    จากทางการ..

    ซึ่งทาง องค์กร อิลลุมินาติ ไม่ได้ใส่ใจเพราะถือว่า ไม่ได้อยู่ในการเพ่งเล็งเพราะ กลุ่มของเขา คือ องค์กรลับ
    แต่..ที่ไหนได้..ในเดือน มีนาคม 1785 ตำรวจเริ่มทำการเข้าจับกุมสมาชิกและยึดเอกสารขององค์กรไปเป็นจำนวนที่พอเอาผิดได้
    เช่น สนับสนุนให้มีการทำแท้ง, ต่อต้านศาสนา
    ในเดือน สิงหาคม 1787 ดยุค แห่ง บาวาเรีย เริ่มเล่นแรง
    กล่าวคือ ให้ข้อหาว่าเป็นกบฏที่มีโทษถึงประหารชีวิต กับกลุ่มสมาชิกองค์กรลับ

    เป็นอันว่า..องค์กรอิลลุมินาติ ต้องแตกสานซ่านเซ็น ตัว ศ. ไวซอปท์
    ต้องหลุดออกจากเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย Ingolstadt
    ต้องย้ายเมือง ไปสอนวิชาปรัชญาที่ University of Göttingen
    ทางการในรัฐบาวาเรีย ก็เข้าใจและสบายใจว่า
    กลุ่มองค์กรลับ อัลลุมินาตินั้นได้ย่อยสลาย กลายสภาพไปเป็นธุบีดินไปแล้ว

    แต่...

    แกนปรัชญาและรากย่อยของอิลลุมินาตินั้น ได้หยั่งลึกและเป็นที่ยอมรับลงไปในกลุ่มคนต่างสาขาอาชีพกันมากมาย และได้เข้าผนวกไปกับกลุ่ม Freemasonry จนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน

    จาก Illuminati ....ในยุคของศตวรรษที่สิบแปด ได้กลายมาเป็น
    New World Order ของกลุ่มทุน Rothschild ซึ่งไม่ต้องมาเป็นองค์กรลับกันอีกต่อไป...ว่ากันเปิดเผยถึงนโยบายในการโอบอุ้มคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในบทบัญญัติของคำว่า Democracy
    ซึ่งกลุ่ม NWO นี้ ทำตัวเป็นรัฐบาลโลก คือ คุมทุกประเทศ..
    เป็น เงาแฝงมาในกลุ่มทุนธนาคาร, พลังงาน, อาหาร, เวชภัณฑ์, เกษตร และ อาวุธ

    และจาก New World Order ก็จะมีสาขาลูกรองรับ..คือ
    The Open Society Foundations ของ George Soros คือ นโยบายเหมือนกัน คือ เทิดทูนประชาธิปไตย, สนับสนุนกลุ่ม NGO, สนับสนุนทุนต่างในมหาวิทยาลัยทั่วโลก, อัดฉีดพรรคการเมือง (เช่น โอบามา และ ฮิลลารี่ คลินตัน), สนับสนุนเกย์ เลสเบี้ยน,และ กว้านซื้อสื่อต่างๆ
    นั่นคือแบบเปิดเผย...
    ส่วนที่แทรกมากับรายการกิจกรรมที่กล่าวมา...ที่ไม่เปิดเผย คือการเข้ามาแทรกแซงในทุกระบบของประเทศที่รับทุน

    มูลนิธิ OSFโดย โซรอสนั้น แตกย่อยกระจายทุนในนามของบริษัท และ มูลนิธิต่างๆอีกร่วมสี่พันประเภท ในชื่อต่างๆกัน แต่สานเป็นรากไม้เหมือนกับตาข่ายใยแก้วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
    ในปี 2017 โซรอสได้ทำการโอนเงินส่วนตัว เข้าไปใน มูลนิธิ OSF
    เป็นจำนวนเงินถึง พันแปดร้อยล้านยูเอส...สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์

    วันนี้ หอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนค่ะ คราวหน้าเราค่อยมาคุยกันถึงประวัติคุณพี่เขา...!!

    ป.ล. เรื่องน้องน้ำใสที่โดนกระหน่ำจนเธอออกมาร้องไห้ขอโทษนั่น...
    ก็น่าสงสาร เพราะเด็กก็คือเด็ก ส่วนที่ดิฉันแปลกใจอย่างที่สุด ว่า
    เด็กเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะไร้ “เดียงสา” กับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญขนาดนั้นหรือ?
    และคนที่อยู่รายล้อมเธอที่มีจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีการศึกษา
    แต่...ไม่มีใครทักท้วง หรือ ให้คำอธิบายเลยหรือ?
    เราได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นการเดินขบวนพาเหรดใช้ธีมนาซี...สื่อก็ประโคม สถานทูตอิสราเอลก็ส่งจดหมายติงเช่นกัน

    กรุณาอย่าว่า อิสราเอลไม่ใช่พ่อ...!!

    แต่เรากำลังพูดถึงการกดขี่ เหยียดชาติพันธุ์ และ ผู้ที่ต้องถูกทารุณกรรมจนถึงแก่ชีวิตจำนวนหกล้านคน...ครอบครัวพลัดพรากไปอยู่คนละมุมโลก...
    เจ้าชายแฮร์รี่ เคยพลาดอย่างนี้เช่นกัน ใส่เสื้อที่มีปลอกแขนสวัสดิกะไปเที่ยวงานปาร์ตี้...ทั้งที่ในอดีต ลอนดอนแทบจะกลายเป็นหน้ากลองจาก The Battle of Britain ที่ฮิตเล่อร์ส่งเครื่องบินมาถล่มแทบไม่เว้นให้หายใจ
    แม้จะขอโทษแล้ว...แต่อิสราเอลได้ส่งเทียบเชิญให้ไปที่อิสราเอล ไปเยี่ยมชม Holocaust Museum (Yad Vashem) ให้ไปเห็นกับพระเนตรด้วยองค์เอง ว่า มันโหดร้ายแค่ไหน...??
    งานนี้ เจ้าชายแฮร์รี่ปัดไปว่าติดภารกิจฝึกทหาร (คงไม่กล้าสู้หน้า) เจ้าชายวิลเลียมต้องทรงเสด็จเอง เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ
    ที่พระอนุชารู้เท่าไม่ถึงการณ์...

    จากนี้ไป...น้องน้ำใสจะต้องเปิดหู เปิดตา กับเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์โลกให้มากเลยนะลูก...


    Wiwanda W. Vichit









    ลัทธิ...สาวก..องค์กรลับ...เงินหนุน...ไม่ใช่มีแต่ในนิยาย..!!! เคยบอกกับท่านผู้ที่สนใจอ่านไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินที่ทรงอิทธิพลของโลก.. แต่เรื่องของเขานั้น ไม่ใช่แค่บอกว่าเขาเป็นใคร หรือประวัติมาจากไหน.. หากินอะไร...แล้วท่านๆจะเข้าใจ.... ไม่ใช่ค่ะ... ดิฉันอยากจะเล่าย้อนไปถึงระบบความคิด ความเชื่อ อุดมคติอันเป็นที่มาของการขยายปีกทุนออกไปได้อย่างไม่เสียดมเสียดาย เพื่อที่จะให้อุดมการณ์นั้นประสบความสำเร็จ อุดมการณ์...คือ การเข้าครอบงำโลก ทุกประเทศ ทุกรัฐบาล ให้เดินไปตามนโยบายของกลุ่มทุนที่อยู่บนยอดปิรามิด...ที่เขาใช้สโลแกนว่า “เพื่อมนุษยชาติ ความเท่าเทียม เสรีทางความคิดเห็นต่อการปกครอง” ที่มาในคำจำกัดความสั้นๆคือ... The New World Order หรรือย่อๆว่า...NWO แต่ก่อนที่จะพูดถึงโซรอส ดิฉันก็อยากจะเล่าถึงบรรบุรุษทางความคิดของ NWO ก่อนว่าเขามาจากไหน และ เป็นมาอย่างไร... โปรดอย่าคิดว่าเยิ่นเย้อ ยืดยาว...เพราะถ้าไม่เข้าใจในส่วนนี้แล้ว ก็ไม่มีวันเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน บรรพบุรุษทางความคิดของ NWO คือ ขบวนการองค์กรลับ ที่มีเรียกว่า Bavarian Illuminati (บาวาเรียน อิลลูมินาติ) Bavaria คือสถานที่ที่ก่อตั้ง รัฐบาวาเรีย ในเยอรมันนี Illuminati มาจากภาษาละติน แปลว่า ผู้ตื่นรู้, ปราชญ์ ผู้ที่เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้คนแรก คือ ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมาย Adam Weishaupt (1748-1830) สอนใน University of Ingolstadt อดัม ไวซอปท์ เป็นชาวยิวที่เปลี่ยนมาเป็นคริสต์ (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยศตวรรษที่ 18 เพราะกระแสต่อต้านยิวที่กระจายในทั่วยุโรป) เขาเป็นลูกกำพร้า ที่อยู่ในการอุปถัมภ์ของปู่ผู้ซึ่งเป็นคนมีความรู้ และได้บ่มเพาะเขาให้เป็นหนอนหนังสือ เคร่งเรียน จนได้มาเป็นศาตราจารย์ ที่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า ภายใต้คราบของศาสตราจารย์นั้น เขาคือผู้ที่มีความคิดสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ที่เต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนาย และความไม่เท่าเทียม มีช่องว่าทางสถานะภาพ และอาชีพ คนมีความรู้...ถ้าไม่ใช่สมาชิกในสกุลใหญ่โต ก็ไม่มีทางเกิด รวมทั้งความคิดที่ ระบบศาสนา พระ และ กิจกรรมของศาสนาที่มามีส่วน”ล้ำเส้น” จนเกินไปในสังคม ที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติในกฏเกณฑ์ เขาจึงคิดวางระบบขึ้นมาใหม่ จัดตั้งเป็นองค์กร (ลับ) สำหรับกลุ่มที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน และพยายาม(แอบ) สอน ชี้ทางให้กับพวกนักศึกษาเป็นการชักจูง เพื่อให้เกิดการ “ตื่นรู้” หรือ Illumination ซึ่งขบวนการแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เขาจะคิดแล้ว มีนโยบายคล้ายๆกันในนามว่า The Freemasonry หรือองค์กร Freemason ที่กระจายไปทั่วยุโรป ที่รวบรวมแต่พวกที่มีความคิดเหมือนกัน ใครก็ได้ ต่างสาขาอาชีพ อดัม ยังคิดว่ามันไม่ใช่เหมือนแนวความคิดของเขาเลยทีเดียว เขาต้องการ”กลุ่มชั้นมันสมองที่คัดกรองแล้ว” ที่มีความสามารถเผยแพร่ ชักจูงปัญญาชนอื่นๆให้คล้อยตามได้ เพื่อที่จะได้เข้าถึงจุดประสงค์คือ “เสรีภาพทางด้านความคิดและการแสดงออกที่เท่าเทียม ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าเจ้าหรือเศรษฐี” วันที่ 1 เมษายน 1776 คือการชุมนุมพบปะกันในป่า ภายใต้แสงจากคบไฟใกล้เมือง เอิงกอลสตัดท์ ที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพียงชายห้าคน... ที่เข้ามาร่วมมือกันวางหลักการ และวางแผนเส้นทางปฏิบัติ รวมทั้งเผยแพร่นโยบายไปสู่กลุ่มเป้าหมาย... ที่ใช้เวลาไม่นานเลย เพราะในปี 1782 องค์กรได้มีสมาชิกถึง 600 คน ที่ได้แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ Novices คือ กลุ่มน้องใหม่ Minervals คือ กลุ่มเจ้าปัญญา Illuminated minervals คือ กลุ่มปราชญ์ผู้ตื่นรู้ ในปี 1784 ได้มีสมาชิกเพิ่มถึงสามพันคน และในนั้นรวมไปด้วยกลุ่มสติปัญญาเป็นเลิศ ทั้งนักการเมือง เช่น แพทย์ และนักเขียนดังอย่างเช่น เกอเธ่ ( Johann Wolfgang von Goethe) หรือชาวไฮโซ อย่าง Baron Adolph von Knigge ที่เป็นหัวหอกในการหาสมาชิกที่จะเข้ามาตามเป้า และที่สำคัญ...คือ องค์กรลับนี้ ได้นายทุนใหญ่เข้ามาเป็นสมาชิกและให้ความสนับสนุนทุกด้าน เขาคือ.... นายธนาคารใหญ่ Mayer Amschel Rothschild ตัว Baron von Knigge ได้มีหน้าที่เหมือนกับพ่อหัวเรือใหญ่ในด้านกิจกรรม เขาเคยเป็นสมาชิกขององค์กร ฟรีเมสันมาก่อน ดังนั้นจึงมีการลอกเบียนแบบกันมาบ้าง เช่น มีการตั้งชื่อลับเป็นโค้ดเรียกกันในกลุ่ม อย่าง ศาสตราจารย์ ไวซอปท์ จะมีชื่อว่า “Spartacus” และตัวบารอน ฟอน นิกก์ เอง ชื่อว่า “Philo” การแบ่งชั้น วรรณะ เริ่มแตกย่อยออกไปหลายอันดับ ราวกับพวกดาว์นไลน์ ขายตรง.... ต่อมา..เริ่มมีการขัดแย้งระหว่าง ศ. ไวซอปท์ กับ บารอน ฟอน นิกก์ ทำให้ฝ่ายหลังตบเท้าออกไปจากองค์กร... จากนั้น องค์กรอิลลุมินาติ ที่ว่า “ลับ” ก็เริ่มจะไม่ลับแล้วเพราะมีคนได้เขียนจดหมายไปหา Duke of Bavaria พร้อมเล่าพฤติการณ์ขององค์กรให้เป็นที่รับรู้ ซึ่งได้ผลทันที เพราะท่านดยุคที่ได้ข่าวระแคะระคายอยู่บ้าง จึง ออกกฏ ในเดือน มิถุนายน 1784 ที่ห้ามไม่ให้มีการตั้งสมาคม หรือองค์กรใดๆที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับอนุญาต จากทางการ.. ซึ่งทาง องค์กร อิลลุมินาติ ไม่ได้ใส่ใจเพราะถือว่า ไม่ได้อยู่ในการเพ่งเล็งเพราะ กลุ่มของเขา คือ องค์กรลับ แต่..ที่ไหนได้..ในเดือน มีนาคม 1785 ตำรวจเริ่มทำการเข้าจับกุมสมาชิกและยึดเอกสารขององค์กรไปเป็นจำนวนที่พอเอาผิดได้ เช่น สนับสนุนให้มีการทำแท้ง, ต่อต้านศาสนา ในเดือน สิงหาคม 1787 ดยุค แห่ง บาวาเรีย เริ่มเล่นแรง กล่าวคือ ให้ข้อหาว่าเป็นกบฏที่มีโทษถึงประหารชีวิต กับกลุ่มสมาชิกองค์กรลับ เป็นอันว่า..องค์กรอิลลุมินาติ ต้องแตกสานซ่านเซ็น ตัว ศ. ไวซอปท์ ต้องหลุดออกจากเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย Ingolstadt ต้องย้ายเมือง ไปสอนวิชาปรัชญาที่ University of Göttingen ทางการในรัฐบาวาเรีย ก็เข้าใจและสบายใจว่า กลุ่มองค์กรลับ อัลลุมินาตินั้นได้ย่อยสลาย กลายสภาพไปเป็นธุบีดินไปแล้ว แต่... แกนปรัชญาและรากย่อยของอิลลุมินาตินั้น ได้หยั่งลึกและเป็นที่ยอมรับลงไปในกลุ่มคนต่างสาขาอาชีพกันมากมาย และได้เข้าผนวกไปกับกลุ่ม Freemasonry จนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จาก Illuminati ....ในยุคของศตวรรษที่สิบแปด ได้กลายมาเป็น New World Order ของกลุ่มทุน Rothschild ซึ่งไม่ต้องมาเป็นองค์กรลับกันอีกต่อไป...ว่ากันเปิดเผยถึงนโยบายในการโอบอุ้มคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในบทบัญญัติของคำว่า Democracy ซึ่งกลุ่ม NWO นี้ ทำตัวเป็นรัฐบาลโลก คือ คุมทุกประเทศ.. เป็น เงาแฝงมาในกลุ่มทุนธนาคาร, พลังงาน, อาหาร, เวชภัณฑ์, เกษตร และ อาวุธ และจาก New World Order ก็จะมีสาขาลูกรองรับ..คือ The Open Society Foundations ของ George Soros คือ นโยบายเหมือนกัน คือ เทิดทูนประชาธิปไตย, สนับสนุนกลุ่ม NGO, สนับสนุนทุนต่างในมหาวิทยาลัยทั่วโลก, อัดฉีดพรรคการเมือง (เช่น โอบามา และ ฮิลลารี่ คลินตัน), สนับสนุนเกย์ เลสเบี้ยน,และ กว้านซื้อสื่อต่างๆ นั่นคือแบบเปิดเผย... ส่วนที่แทรกมากับรายการกิจกรรมที่กล่าวมา...ที่ไม่เปิดเผย คือการเข้ามาแทรกแซงในทุกระบบของประเทศที่รับทุน มูลนิธิ OSFโดย โซรอสนั้น แตกย่อยกระจายทุนในนามของบริษัท และ มูลนิธิต่างๆอีกร่วมสี่พันประเภท ในชื่อต่างๆกัน แต่สานเป็นรากไม้เหมือนกับตาข่ายใยแก้วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ในปี 2017 โซรอสได้ทำการโอนเงินส่วนตัว เข้าไปใน มูลนิธิ OSF เป็นจำนวนเงินถึง พันแปดร้อยล้านยูเอส...สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ วันนี้ หอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนค่ะ คราวหน้าเราค่อยมาคุยกันถึงประวัติคุณพี่เขา...!! ป.ล. เรื่องน้องน้ำใสที่โดนกระหน่ำจนเธอออกมาร้องไห้ขอโทษนั่น... ก็น่าสงสาร เพราะเด็กก็คือเด็ก ส่วนที่ดิฉันแปลกใจอย่างที่สุด ว่า เด็กเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะไร้ “เดียงสา” กับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญขนาดนั้นหรือ? และคนที่อยู่รายล้อมเธอที่มีจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีการศึกษา แต่...ไม่มีใครทักท้วง หรือ ให้คำอธิบายเลยหรือ? เราได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นการเดินขบวนพาเหรดใช้ธีมนาซี...สื่อก็ประโคม สถานทูตอิสราเอลก็ส่งจดหมายติงเช่นกัน กรุณาอย่าว่า อิสราเอลไม่ใช่พ่อ...!! แต่เรากำลังพูดถึงการกดขี่ เหยียดชาติพันธุ์ และ ผู้ที่ต้องถูกทารุณกรรมจนถึงแก่ชีวิตจำนวนหกล้านคน...ครอบครัวพลัดพรากไปอยู่คนละมุมโลก... เจ้าชายแฮร์รี่ เคยพลาดอย่างนี้เช่นกัน ใส่เสื้อที่มีปลอกแขนสวัสดิกะไปเที่ยวงานปาร์ตี้...ทั้งที่ในอดีต ลอนดอนแทบจะกลายเป็นหน้ากลองจาก The Battle of Britain ที่ฮิตเล่อร์ส่งเครื่องบินมาถล่มแทบไม่เว้นให้หายใจ แม้จะขอโทษแล้ว...แต่อิสราเอลได้ส่งเทียบเชิญให้ไปที่อิสราเอล ไปเยี่ยมชม Holocaust Museum (Yad Vashem) ให้ไปเห็นกับพระเนตรด้วยองค์เอง ว่า มันโหดร้ายแค่ไหน...?? งานนี้ เจ้าชายแฮร์รี่ปัดไปว่าติดภารกิจฝึกทหาร (คงไม่กล้าสู้หน้า) เจ้าชายวิลเลียมต้องทรงเสด็จเอง เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ที่พระอนุชารู้เท่าไม่ถึงการณ์... จากนี้ไป...น้องน้ำใสจะต้องเปิดหู เปิดตา กับเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์โลกให้มากเลยนะลูก... Wiwanda W. Vichit         
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล
    ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ
    1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้
    2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน
    3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น
    4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง
    5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568
    6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท
    7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง
    ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน
    ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน
    นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง
    เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา
    คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่
    แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
    ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ 1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้ 2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน 3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น 4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง 5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568 6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท 7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่ แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 6 (ตอนจบ)
    ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว
    แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้
    รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย
    นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น
    ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว
    ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย
    เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต !
    เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย
    เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น
    นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
    และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก
    มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน
    อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง
    ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร
    ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้ รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต ! เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยาฆ่าพยาธิ ฤทธิ์ ต้านไวรัส และ ร่วมต้านมะเร็ง และร่วมรักษาพาร์กินสัน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug

    และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก

    ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา

    แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี

    เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ

    ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด

    ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น

    กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ

    จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น
    มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen
    การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง

    ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี

    และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway

    นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria

    ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่

    มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin
    นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น

    มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
    เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง
    อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร

    มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

    ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น
    วารสาร Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5
    วารสารNature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0
    และวารสารอื่นๆhttps://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837
    การศึกษาในสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งเป็นมะเร็งที่ไม่มีตัวรับใดๆทั้งสิ้น และเมื่อได้รับ Ivermectin ทำให้ตัวมะเร็งนั้นแสดงตัวให้เห็นและยาฆ่ามะเร็ง immune check point inhibitor แสดงฤทธิ์ได้เต็มที่
    Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer
    https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5

    https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full

    ในอีกบริบทหนึ่งปรากฏว่ายังสามารถช่วยให้การรักษา พาร์กินสัน มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นในห้อง ปฏิบัติการ อีกดังรายงานในปี 2024 และเนื่องจากความปลอดภัยแม้ว่าจะใช้ในขณะสูงเป็นเวลาหลายเดือนยังมีทางเป็นไปได้ในการรักษาเยียวยาในมนุษย์

    https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr=

    IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals.

    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น กลายเป็น ที่เราเรียกว่า repurpose drug

    และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรไทย และรวม กันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน

    ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย
    เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน

    ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่
    ยาฆ่าพยาธิ ฤทธิ์ ต้านไวรัส และ ร่วมต้านมะเร็ง และร่วมรักษาพาร์กินสัน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆhttps://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 การศึกษาในสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งเป็นมะเร็งที่ไม่มีตัวรับใดๆทั้งสิ้น และเมื่อได้รับ Ivermectin ทำให้ตัวมะเร็งนั้นแสดงตัวให้เห็นและยาฆ่ามะเร็ง immune check point inhibitor แสดงฤทธิ์ได้เต็มที่ Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full ในอีกบริบทหนึ่งปรากฏว่ายังสามารถช่วยให้การรักษา พาร์กินสัน มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นในห้อง ปฏิบัติการ อีกดังรายงานในปี 2024 และเนื่องจากความปลอดภัยแม้ว่าจะใช้ในขณะสูงเป็นเวลาหลายเดือนยังมีทางเป็นไปได้ในการรักษาเยียวยาในมนุษย์ https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr= IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/ เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น กลายเป็น ที่เราเรียกว่า repurpose drug และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรไทย และรวม กันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่แปลกหรอกถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย:

    ๑.ผมสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ทำรัฐประหาร เพราะช่วงนั้น คุณทักษิณ ชินวัตรโกงชาติโกงแผ่นดินมากมายแล้วกฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้

    คุณทักษิณคุมทหาร คุมตำรวจ คุมอัยการ คุมกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เมื่อกฎหมายเอาผิดคุณทักษิณไม่ได้ ประชาชนก็ออกถนน กลายเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง พอเห็นเสื้อเหลืองออกถนน คุณทักษิณก็สร้างมวลชนเสื้อแดงมาต่อต้าน ถึงขั้นเผาศาลากลางจังหวัดด้วย

    เมื่อประชาธิปไตยเดินหน้าไม่ได้ ทหารก็จำเป็นต้องทำรัฐประหาร ผมมองว่าการทำรัฐประหารเป็นการผ่าทางตันและนำหลักนิติธรรมนิติรัฐกลับมา

    ถ้าพรรคประชาชนหรือนักการเมืองพรรคนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็เป็นเรื่องของท่าน อเมริกาทำรัฐประหารในประเทศอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดตนเองเป็นประจำ เช่น ที่ปากีสถาน บังกลาเทศ ตอนนี้ กำลังหาทางทำที่บราซิลและเวเนซุเอล่า ทำไมคนไทยจะทำไม่ได้บ้างละครับ เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคงกลับคืนมา?

    รัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ก็ทำโครงการดีๆ หลายเรื่อง เอาคนเก่งมาทำงาน สร้างถนนหนทางในต่างจังหวัดดีขึ้นจนผิดหูผิดตา เศรษฐกิจไม่ดี ท่านก็มีเป๋าตังค์หรือโครงการคนละครึ่งช่วยเหลือประชาชน

    ข้อสำคัญ ไม่มีใครสงสัยในความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของท่าน และอีกข้อคือท่านไม่มีประเด็นด่างพร้อยเรื่องทุจริต อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาผิดท่านได้

    จึงไม่แปลกหรอกที่ประชาชนไทยจำนวนมากจะคิดถึงท่านพลเอกประยุทธ์ แม้ท่านจะหมดอำนาจจากรัฐบาลไปแล้ว

    ๒.ปัญหาก็คือพอทำรัฐประหารได้อำนาจมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตั้งใจหาทางแก้กฎหมายด้านความมั่นคงหลายๆ ด้านให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น

    ไม่ออกกฎหมายกวาดล้าง NGOs ที่แทรกแซงการเมืองภายในประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการคนที่ไลฟ์สดคุยกับนักโทษที่หลบหนีไปต่างประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการสื่อโซเชียลมิเดียที่หมิ่นประมาทต่อสถาบันกษัตริย์เหมือนรัฐบาลประเทศอื่นๆ หลายปรเทศ ไม่ออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมิเดียที่โฆษณาบ่อนพนันเป็นอาจิณ ฯลฯ คุณทักษิณจึงไลฟ์สดเข้าประเทศไทย หาเสียงได้อย่างสบายๆ ต่างชาติก็ยังใช้ NGOs ปลุกระดมประชาชนช่วยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิม

    ในขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์หันไปเน้นสร้างถนนและรถไฟฟ้ามากมายหลายเส้นสายแทน

    ผมเคยวิจารณ์ว่าแค่สร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็พอแล้ว หันไปเน้นขุดคลองส่งน้ำในชนบทภาคอีสานและภาคอื่นๆ อย่างทั่วถึงจะดีกว่า ประชาชนจะได้อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้นเพราะรายได้ประชาชนยังมีไม่มาก ถ้าสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นสายแล้วประชาชนไม่มีเงินนั่ง จะเจ๊งเอาได้

    ตอนนี้ก็มีข่าวว่าเริ่มเป็นปัญหาคือรถไฟฟ้าหลายเส้นทางก่อหนี้สิ้นมากขึ้นแล้ว เพราะค่ารถไฟฟ้าแพง คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังจะไปนั่ง

    แถมรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ยังเปิดทาง ปล่อยคุณยิ่งลักษณ์ให้หลบหนีไปต่างประเทศอย่างสะดวกสบายอีกด้วย

    ๓.ต่อมา พอมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคท่านพลเอกประยุทธ์พ่ายแพ้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ก็มีดีลพาคุณทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน มีการเสนออภัยโทษคุณทักษิณ ชินวัตร โดยพลเอกประยุทธ์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชการโองการ มีวุฒิสมาชิกสายพลเอกประยุทธ์โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายก

    แล้วคุณทักษิณ ชินวัตรก็กลับประเทศไทย และทำผิดกติกา ไม่ยอมเข้าคุกแม้แต่วันเดียว เป็นการทำลายระบบนิติธรรมนิติรัฐ คุณทักษิณกลายเป็นผู้กว้างขวางนอกรัฐธรรมนูญหรืออภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยขึ้นมา

    ตอนนี้ คุณทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล เป็นผู้นัดพบนักการเมืองพรรคต่างๆ ไปพบ แล้วเอาลูกตัวเองเป็นนายิการัฐมนตรี

    จะแปลกอะไรถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย?


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ไม่แปลกหรอกถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย: ๑.ผมสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ทำรัฐประหาร เพราะช่วงนั้น คุณทักษิณ ชินวัตรโกงชาติโกงแผ่นดินมากมายแล้วกฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้ คุณทักษิณคุมทหาร คุมตำรวจ คุมอัยการ คุมกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เมื่อกฎหมายเอาผิดคุณทักษิณไม่ได้ ประชาชนก็ออกถนน กลายเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง พอเห็นเสื้อเหลืองออกถนน คุณทักษิณก็สร้างมวลชนเสื้อแดงมาต่อต้าน ถึงขั้นเผาศาลากลางจังหวัดด้วย เมื่อประชาธิปไตยเดินหน้าไม่ได้ ทหารก็จำเป็นต้องทำรัฐประหาร ผมมองว่าการทำรัฐประหารเป็นการผ่าทางตันและนำหลักนิติธรรมนิติรัฐกลับมา ถ้าพรรคประชาชนหรือนักการเมืองพรรคนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็เป็นเรื่องของท่าน อเมริกาทำรัฐประหารในประเทศอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดตนเองเป็นประจำ เช่น ที่ปากีสถาน บังกลาเทศ ตอนนี้ กำลังหาทางทำที่บราซิลและเวเนซุเอล่า ทำไมคนไทยจะทำไม่ได้บ้างละครับ เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคงกลับคืนมา? รัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ก็ทำโครงการดีๆ หลายเรื่อง เอาคนเก่งมาทำงาน สร้างถนนหนทางในต่างจังหวัดดีขึ้นจนผิดหูผิดตา เศรษฐกิจไม่ดี ท่านก็มีเป๋าตังค์หรือโครงการคนละครึ่งช่วยเหลือประชาชน ข้อสำคัญ ไม่มีใครสงสัยในความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของท่าน และอีกข้อคือท่านไม่มีประเด็นด่างพร้อยเรื่องทุจริต อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาผิดท่านได้ จึงไม่แปลกหรอกที่ประชาชนไทยจำนวนมากจะคิดถึงท่านพลเอกประยุทธ์ แม้ท่านจะหมดอำนาจจากรัฐบาลไปแล้ว ๒.ปัญหาก็คือพอทำรัฐประหารได้อำนาจมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตั้งใจหาทางแก้กฎหมายด้านความมั่นคงหลายๆ ด้านให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น ไม่ออกกฎหมายกวาดล้าง NGOs ที่แทรกแซงการเมืองภายในประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการคนที่ไลฟ์สดคุยกับนักโทษที่หลบหนีไปต่างประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการสื่อโซเชียลมิเดียที่หมิ่นประมาทต่อสถาบันกษัตริย์เหมือนรัฐบาลประเทศอื่นๆ หลายปรเทศ ไม่ออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมิเดียที่โฆษณาบ่อนพนันเป็นอาจิณ ฯลฯ คุณทักษิณจึงไลฟ์สดเข้าประเทศไทย หาเสียงได้อย่างสบายๆ ต่างชาติก็ยังใช้ NGOs ปลุกระดมประชาชนช่วยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิม ในขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์หันไปเน้นสร้างถนนและรถไฟฟ้ามากมายหลายเส้นสายแทน ผมเคยวิจารณ์ว่าแค่สร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็พอแล้ว หันไปเน้นขุดคลองส่งน้ำในชนบทภาคอีสานและภาคอื่นๆ อย่างทั่วถึงจะดีกว่า ประชาชนจะได้อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้นเพราะรายได้ประชาชนยังมีไม่มาก ถ้าสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นสายแล้วประชาชนไม่มีเงินนั่ง จะเจ๊งเอาได้ ตอนนี้ก็มีข่าวว่าเริ่มเป็นปัญหาคือรถไฟฟ้าหลายเส้นทางก่อหนี้สิ้นมากขึ้นแล้ว เพราะค่ารถไฟฟ้าแพง คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังจะไปนั่ง แถมรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ยังเปิดทาง ปล่อยคุณยิ่งลักษณ์ให้หลบหนีไปต่างประเทศอย่างสะดวกสบายอีกด้วย ๓.ต่อมา พอมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคท่านพลเอกประยุทธ์พ่ายแพ้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ก็มีดีลพาคุณทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน มีการเสนออภัยโทษคุณทักษิณ ชินวัตร โดยพลเอกประยุทธ์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชการโองการ มีวุฒิสมาชิกสายพลเอกประยุทธ์โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายก แล้วคุณทักษิณ ชินวัตรก็กลับประเทศไทย และทำผิดกติกา ไม่ยอมเข้าคุกแม้แต่วันเดียว เป็นการทำลายระบบนิติธรรมนิติรัฐ คุณทักษิณกลายเป็นผู้กว้างขวางนอกรัฐธรรมนูญหรืออภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยขึ้นมา ตอนนี้ คุณทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล เป็นผู้นัดพบนักการเมืองพรรคต่างๆ ไปพบ แล้วเอาลูกตัวเองเป็นนายิการัฐมนตรี จะแปลกอะไรถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย? ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 3
    เมื่อ Stevens และ Nathan Tek ขึ้นบกที่ Benghazi ในเดือนเมษายน 2011 เขาได้รับการต้อนรับโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งอยู่ฝ่ายกบฏ ทุกวันในช่วงหลายเดือนนั้น ทั้ง 2 คน ไปพบบุคคลที่เขาสามารถจะขอพบได้ เช่น หัวหน้าของ Transitional National Council (รัฐบาลฝ่ายกบฏ) เจ้าของร้านขายของ ครู หมอ ทหาร ที่อยู่ตามแนวรบ พวกเขาพูดเหมือนตามบทที่เขียนให้ Tek บอก เขาพูดกับเราว่า “เขาต้องการประเทศลิเบียใหม่ ที่เป็นอย่างที่ประชาชนต้องการ” ในความรู้สึกของเขา (คนอเมริกัน) ดูเหมือนมันจะเป็นการปฏิวัติที่ได้รับการนิยมชมชอบอย่างมาก
    มันเป็นข้อความที่สำคัญมากสำหรับ Stevens ที่จะถ่ายทอดไปถึงเจ้านายของเขา งานของ Stevens ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ฑูตทุกคนจะต้องทำ คือให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วให้แก่วอซิงตันเพื่อวางนโยบาย แม้ว่าอเมริกาจะได้เลือกข้างแล้ว โดยเลือกข้างที่ทำการปฏิวัติ แต่การจะเป็นปฏิปักษ์ต่อ Qaddafi ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะมองผ่านไปอย่างง่ายๆ ( Qaddafi แม้จะเป็นคนระห่ำสุดแสบ แต่ก็เคยมีส่วนช่วยอเมริกาในการต่อต้านผู้ก่อการร้าย และที่สำคัญลิเบียมีน้ำมันและก๊าซที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่ามีปริมาณมากที่สุดในอาฟริกา !) ถ้าฝ่ายกบฏน่าเชื่อถือน้อยกว่าที่ประเมิน เช่น นำเอาประเทศเข้าไปสู่การต่อสู้แบบนองเลือดเป็นเวลาหลาย ๆ ปี สูตรการคิดคำนวณ (นโยบาย) คงจะต้องเปลี่ยนอย่างมาก
    ความเห็นของ Chris จึงมีความหมายอย่างยิ่ง Jeffery D. Feltman ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีด้าน Near Eastern บอกว่า ไม่ใช่ว่าจะมีความเห็นของ Chris คนเดียว และไม่ใช่ว่าเราจะทำตามที่เขาบอกทั้งหมดแต่ความเห็นของเขาคนนี้แหละ เป็นความเห็นที่สำคัญที่สุด
    อะไรทำให้ Stevens ทำงานของเขาได้ดีและทำให้ผู้คนเชื่อถือเขา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเสแสร้งกันได้ มันเป็นไปได้ที่คุณจะทำให้คนเชื่อใจคุณบ้างในบางครั้ง แต่ไม่ใช่เสมอไปและตลอดไป โดยเฉพาะในต่างแดน Tek บอกว่า Stevens แสดงออกถึงความเข้าใจอย่างจริงใจ เขาเกลียดรูปแบบนักการฑูตอเมริกันที่แสดงออกแบบยะโสโอหังและความไม่ตระหนักรู้ (ซื่อบื้อ) Stevens เป็นคนตรงไปตรงมาและมีความเป็นมนุษย์
    Tek บอกสำหรับผม Stevens เป็นตัวอย่างของการเป็นนักการฑูตที่ผมอยากจะเป็น เขามองว่าอเมริกาควรมีอิทธิพลจากการที่คนอื่นให้ความนับถือ ไม่ใช่จากการที่อเมริกาเหยียดหยามและทำกร่างใส่
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 3 เมื่อ Stevens และ Nathan Tek ขึ้นบกที่ Benghazi ในเดือนเมษายน 2011 เขาได้รับการต้อนรับโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งอยู่ฝ่ายกบฏ ทุกวันในช่วงหลายเดือนนั้น ทั้ง 2 คน ไปพบบุคคลที่เขาสามารถจะขอพบได้ เช่น หัวหน้าของ Transitional National Council (รัฐบาลฝ่ายกบฏ) เจ้าของร้านขายของ ครู หมอ ทหาร ที่อยู่ตามแนวรบ พวกเขาพูดเหมือนตามบทที่เขียนให้ Tek บอก เขาพูดกับเราว่า “เขาต้องการประเทศลิเบียใหม่ ที่เป็นอย่างที่ประชาชนต้องการ” ในความรู้สึกของเขา (คนอเมริกัน) ดูเหมือนมันจะเป็นการปฏิวัติที่ได้รับการนิยมชมชอบอย่างมาก มันเป็นข้อความที่สำคัญมากสำหรับ Stevens ที่จะถ่ายทอดไปถึงเจ้านายของเขา งานของ Stevens ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ฑูตทุกคนจะต้องทำ คือให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วให้แก่วอซิงตันเพื่อวางนโยบาย แม้ว่าอเมริกาจะได้เลือกข้างแล้ว โดยเลือกข้างที่ทำการปฏิวัติ แต่การจะเป็นปฏิปักษ์ต่อ Qaddafi ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะมองผ่านไปอย่างง่ายๆ ( Qaddafi แม้จะเป็นคนระห่ำสุดแสบ แต่ก็เคยมีส่วนช่วยอเมริกาในการต่อต้านผู้ก่อการร้าย และที่สำคัญลิเบียมีน้ำมันและก๊าซที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่ามีปริมาณมากที่สุดในอาฟริกา !) ถ้าฝ่ายกบฏน่าเชื่อถือน้อยกว่าที่ประเมิน เช่น นำเอาประเทศเข้าไปสู่การต่อสู้แบบนองเลือดเป็นเวลาหลาย ๆ ปี สูตรการคิดคำนวณ (นโยบาย) คงจะต้องเปลี่ยนอย่างมาก ความเห็นของ Chris จึงมีความหมายอย่างยิ่ง Jeffery D. Feltman ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีด้าน Near Eastern บอกว่า ไม่ใช่ว่าจะมีความเห็นของ Chris คนเดียว และไม่ใช่ว่าเราจะทำตามที่เขาบอกทั้งหมดแต่ความเห็นของเขาคนนี้แหละ เป็นความเห็นที่สำคัญที่สุด อะไรทำให้ Stevens ทำงานของเขาได้ดีและทำให้ผู้คนเชื่อถือเขา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเสแสร้งกันได้ มันเป็นไปได้ที่คุณจะทำให้คนเชื่อใจคุณบ้างในบางครั้ง แต่ไม่ใช่เสมอไปและตลอดไป โดยเฉพาะในต่างแดน Tek บอกว่า Stevens แสดงออกถึงความเข้าใจอย่างจริงใจ เขาเกลียดรูปแบบนักการฑูตอเมริกันที่แสดงออกแบบยะโสโอหังและความไม่ตระหนักรู้ (ซื่อบื้อ) Stevens เป็นคนตรงไปตรงมาและมีความเป็นมนุษย์ Tek บอกสำหรับผม Stevens เป็นตัวอย่างของการเป็นนักการฑูตที่ผมอยากจะเป็น เขามองว่าอเมริกาควรมีอิทธิพลจากการที่คนอื่นให้ความนับถือ ไม่ใช่จากการที่อเมริกาเหยียดหยามและทำกร่างใส่ คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวหน้าหน่วยงานUNRWAของสหประชาชาติกล่าวหาอิสราเอลว่าซื้อโฆษณาบน Google เพื่อบล็อกการบริจาคเงินให้กับหน่วยงานและรัฐบาลอิสราเอลได้ดำเนินการรณรงค์ใส่ร้ายต่อหน่วยงานของ UN

    2 กันยายน 2567- รายงานข่าวอัลจาชีราระบุว่า นายฟิลิป ลาซซารินี กรรมาธิการใหญ่ของ UNRWA หน่วยงานช่วยผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ขององค์การสหประชาชาติกล่าวในโพสต์บน X ว่าความพยายามของอิสราเอลในการใส่ร้ายหน่วยงานนั้นทั้งทำลายชื่อเสียงของหน่วยงานและเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่

    “ความพยายามจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้ควรหยุด + สอบสวน” ลาซซารินีเขียนเมื่อวันเสาร์ โดยเรียกร้องให้มีกฎระเบียบเพิ่มเติมสำหรับบริษัทต่างๆ รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อต่อสู้กับข้อมูลเท็จและถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง

    “การแพร่กระจายข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนยังคงถูกใช้เป็นอาวุธในสงครามในฉนวนกาซา” เขากล่าว

    อิสราเอลได้รณรงค์ต่อต้าน UNRWA มานานหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์ในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และให้บริการแก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ปี 1949 โดยอ้างว่าองค์กรนี้มีความเชื่อมโยงกับ “ผู้ก่อการร้าย” และล็อบบี้ให้ปิดองค์กรนี้

    เมื่อเดือนที่แล้ว UN ได้ประณามโฆษกของรัฐบาลอิสราเอล หลังจากที่เขากล่าวถึงลาซซารินีว่าเป็น “ผู้เห็นอกเห็นใจผู้ก่อการร้าย”

    ที่มา : สำนักข่าวอัลจาชีรา
    https://www.aljazeera.com/news/2024/8/31/unrwa-head-accuses-israel-of-buying-google-ads-to-block-donations-to-agency

    #Thaitimes
    หัวหน้าหน่วยงานUNRWAของสหประชาชาติกล่าวหาอิสราเอลว่าซื้อโฆษณาบน Google เพื่อบล็อกการบริจาคเงินให้กับหน่วยงานและรัฐบาลอิสราเอลได้ดำเนินการรณรงค์ใส่ร้ายต่อหน่วยงานของ UN 2 กันยายน 2567- รายงานข่าวอัลจาชีราระบุว่า นายฟิลิป ลาซซารินี กรรมาธิการใหญ่ของ UNRWA หน่วยงานช่วยผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ขององค์การสหประชาชาติกล่าวในโพสต์บน X ว่าความพยายามของอิสราเอลในการใส่ร้ายหน่วยงานนั้นทั้งทำลายชื่อเสียงของหน่วยงานและเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ “ความพยายามจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้ควรหยุด + สอบสวน” ลาซซารินีเขียนเมื่อวันเสาร์ โดยเรียกร้องให้มีกฎระเบียบเพิ่มเติมสำหรับบริษัทต่างๆ รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อต่อสู้กับข้อมูลเท็จและถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง “การแพร่กระจายข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนยังคงถูกใช้เป็นอาวุธในสงครามในฉนวนกาซา” เขากล่าว อิสราเอลได้รณรงค์ต่อต้าน UNRWA มานานหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์ในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และให้บริการแก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ปี 1949 โดยอ้างว่าองค์กรนี้มีความเชื่อมโยงกับ “ผู้ก่อการร้าย” และล็อบบี้ให้ปิดองค์กรนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว UN ได้ประณามโฆษกของรัฐบาลอิสราเอล หลังจากที่เขากล่าวถึงลาซซารินีว่าเป็น “ผู้เห็นอกเห็นใจผู้ก่อการร้าย” ที่มา : สำนักข่าวอัลจาชีรา https://www.aljazeera.com/news/2024/8/31/unrwa-head-accuses-israel-of-buying-google-ads-to-block-donations-to-agency #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร ซาบีน ฮาซาน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อและเขียนแผนรูปแบบในการศึกษาวิจัยยาให้บริษัทยาหลาย 100 ชิ้น ในช่วง30 ปีโดยได้ศึกษาเป็นพิเศษในเรื่องของไมโครไบโอม หรือจุลชีพ ในลำไส้ ในช่วงโควิด ได้พบไวรัสโควิดในอุจจาระและผลกระทบต่างๆ รวมทั้งได้เสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ ยา ไฮดร็อกซี่คลอโรควิน (hydroxychloroquine) และ Ivermectin ยาฆ่าพยาธิ สังกะสีและวิตามิน ซี และดี ในการรักษาโควิด แต่ได้ถูกตีตก ถูกเซ็นเซอร์และถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาและการใช้ในแพทย์ ที่ดูคนไข้จริงได้ผล
    และเมื่อไม่นานมานี้ได้ให้การต่อสภาคองเกรสของสหรัฐ ในเรื่องการแทรกแซงทางวิทยาศาสตร์ เสรีภาพในการแสดงความเห็น และการเปิดเผยข้อมูล โดยเฉพาะที่เกิดจากบริษัทยา
    ประการ สำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ต้องการคือความเป็นจริงรอบด้านไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูลส่วนเดียวเพื่อประโยชน์ของทางธุรกิจ
    และความจริงของทางด้านวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น และต้องไม่มีการเซ็นเซอร์ข่าวสารข้อมูลบิดเบือนและป้ายร้าย



    "Keeping it Real with Jillian Michaels" https://podcasts.apple...

    https://youtu.be/jwqLlwXl-RQ?si=6PmFUkd6ioWXXUjr
    ดร ซาบีน ฮาซาน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อและเขียนแผนรูปแบบในการศึกษาวิจัยยาให้บริษัทยาหลาย 100 ชิ้น ในช่วง30 ปีโดยได้ศึกษาเป็นพิเศษในเรื่องของไมโครไบโอม หรือจุลชีพ ในลำไส้ ในช่วงโควิด ได้พบไวรัสโควิดในอุจจาระและผลกระทบต่างๆ รวมทั้งได้เสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ ยา ไฮดร็อกซี่คลอโรควิน (hydroxychloroquine) และ Ivermectin ยาฆ่าพยาธิ สังกะสีและวิตามิน ซี และดี ในการรักษาโควิด แต่ได้ถูกตีตก ถูกเซ็นเซอร์และถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาและการใช้ในแพทย์ ที่ดูคนไข้จริงได้ผล และเมื่อไม่นานมานี้ได้ให้การต่อสภาคองเกรสของสหรัฐ ในเรื่องการแทรกแซงทางวิทยาศาสตร์ เสรีภาพในการแสดงความเห็น และการเปิดเผยข้อมูล โดยเฉพาะที่เกิดจากบริษัทยา ประการ สำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ต้องการคือความเป็นจริงรอบด้านไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูลส่วนเดียวเพื่อประโยชน์ของทางธุรกิจ และความจริงของทางด้านวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น และต้องไม่มีการเซ็นเซอร์ข่าวสารข้อมูลบิดเบือนและป้ายร้าย "Keeping it Real with Jillian Michaels" https://podcasts.apple... https://youtu.be/jwqLlwXl-RQ?si=6PmFUkd6ioWXXUjr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 1
    เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา
    เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi
    นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ
    Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย
    Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน
    Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด
    ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ
    Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น
    Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป
    Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน
    ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า
    Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 1 เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก็มุกเก่าแบบโทนี่ ค-ดีก็ยังเดินเร็วมาก
    ปูจะใช้เอ็นเปื่อยยุ่ยซ้ำ คงไม่ได้
    พี่คิงส์ฯของแนะนำ กลับมาต้องทรงนี้
    รับรองไม่มีใครต่อต้านแน่นอน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ก็มุกเก่าแบบโทนี่ ค-ดีก็ยังเดินเร็วมาก ปูจะใช้เอ็นเปื่อยยุ่ยซ้ำ คงไม่ได้ พี่คิงส์ฯของแนะนำ กลับมาต้องทรงนี้ รับรองไม่มีใครต่อต้านแน่นอน #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง จ้องแก้ไข ยกเลิกอำนาจศาลรธน. และแก้นิยามจริยธรรม เพื่อให้เข้าทางพวกตัวเอง
    #7ดอกจิก
    #ไอติม
    ♣ ต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง จ้องแก้ไข ยกเลิกอำนาจศาลรธน. และแก้นิยามจริยธรรม เพื่อให้เข้าทางพวกตัวเอง #7ดอกจิก #ไอติม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี

    25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก

    ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา

    แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว

    Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat

    ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป

    หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

    รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้
    การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ

    แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน

    “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก

    พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม

    กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม

    Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ

    เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่

    #Thaitimes
    Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี 25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้ การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวปาเลสที่หลบหนีบอกว่าความมรณาเมตตากว่าสิ่งที่พวกเค้าต้องเผชิญ
    ชาวปาเลสหลายพันคนกำลังอพยพอีกครั้ง หลังจากที่กองกำลังเอลออกคำสั่งอพยพใหม่สำหรับเดียร์เอลบาลาห์และข่านยูนิส
    “ความมรณามีเมตตาต่อประเทศนี้มากกว่า เราถูกขับไล่ถึง 20 ครั้ง ฉันสาบานต่อพระเจ้า บ้านเรือนและเต็นท์ของเราถูกโจมตี พวกเขาไม่ต้องการให้เรามีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ต้องการให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยซ้ำ”
    “ผู้คนกำลังถูกดับชีพและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้คนไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน แม้แต่อัลมาวาซีก็ไม่ปลอดภัย เราไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน”
    “สิทธิมนุษยชนอยู่ที่ไหน ประชาชนอยู่ที่ไหน โลกที่เฝ้าจับตาดูเราอยู่ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวอาหรับโดยเรียกชื่อหรืออย่างไร ชาวอาหรับอยู่ที่ไหน ทั้งสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกต่อต้านเราเพราะเราเป็นชาวอาหรับ เราอยากจะมรณาซะเดี๋ยวนี้”
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    ชาวปาเลสที่หลบหนีบอกว่าความมรณาเมตตากว่าสิ่งที่พวกเค้าต้องเผชิญ ชาวปาเลสหลายพันคนกำลังอพยพอีกครั้ง หลังจากที่กองกำลังเอลออกคำสั่งอพยพใหม่สำหรับเดียร์เอลบาลาห์และข่านยูนิส “ความมรณามีเมตตาต่อประเทศนี้มากกว่า เราถูกขับไล่ถึง 20 ครั้ง ฉันสาบานต่อพระเจ้า บ้านเรือนและเต็นท์ของเราถูกโจมตี พวกเขาไม่ต้องการให้เรามีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ต้องการให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยซ้ำ” “ผู้คนกำลังถูกดับชีพและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้คนไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน แม้แต่อัลมาวาซีก็ไม่ปลอดภัย เราไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน” “สิทธิมนุษยชนอยู่ที่ไหน ประชาชนอยู่ที่ไหน โลกที่เฝ้าจับตาดูเราอยู่ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวอาหรับโดยเรียกชื่อหรืออย่างไร ชาวอาหรับอยู่ที่ไหน ทั้งสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกต่อต้านเราเพราะเราเป็นชาวอาหรับ เราอยากจะมรณาซะเดี๋ยวนี้” . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายัณห์ รุจิรโมรา

    Resource Talks
    $20,000 Gold Revaluation. Radiculous Or Reality?

    การปรับค่าทองคำ เรื่องตลกหรือเรื่องจริง

    Andy Schectman Aug 16, 2024

    24:35.....Resource Talks.....
    คอนเซ็ปท์เรื่องการปรับมูลค่าทองคำเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เงื่อนไขมันต้องเป็นยังไงหรือ..ธนาคารกลางถึงจะต้องมีการปรับค่ากัน สำหรับผมมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากไปหน่อยนะ

    Andy.....
    รุนแรงยังไง.. มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปธน.รูสเวลท์ปรับค่าทองคำถึง 40% หลังจากที่ออกกฎหมายยึดทองคำจากประชาชนเมื่อปี 1933 ....ดังนั้นเมื่อเราเห็นธนาคารกลางทั่วโลกพากันเก็บสะสมทองคำในหกเดือนที่ผ่านมา มากกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ จีนมีการเพิ่มพรีเมี่ยมซึ่งเป็นการขึ้นราคาทองคำและซิลเวอร์ เพื่อจูงใจให้มีการย้ายทองคำจากตะวันตกเข้ามายังตะวันออกมากขึ้น

    ถ้าสมมติในทันที ..จีนมีการปรับค่าให้ทองคำมีราคา $10,000 ต่อออนซ์ จะเกิดอะไรขึ้น ....ใน balance sheet ของเกือบทุกธนาคารกลางที่มีการขาดทุนมหาศาลทางบัญชี ก็จะออฟเซ็ท..หายจากการขาดทุนในงบดุลทันที

    เรารู้ว่า Fed มีทางเลือกสองทางในการแก้ปัญหา หนึ่งคือเพิ่มเงินไปเรื่อย ๆ สองคือชักดาบหนี้ ซึ่ง Fed ก็เลือกทางพิมพ์เงินเพิ่มมาตลอด ...ทางเลือกที่สามคือ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แล้วหาผู้ร้ายมาเป็นเป็นแพะ ในกรณีนี้คือรัสเซียและก็หาเรื่องแซงค์ชั่นพวกเขา ยึดทรัพย์ที่ฝากเราเอาไว้ซะ ....แต่วิธีนี้เราได้ชาติที่ต่อต้าน ยืนตรงข้ามเรามากมายเลย พวกเขารวมกันเป็นกลุ่มที่ต่อต้านดอลลาร์ เพราะรู้ว่าอาจต้องเป็นเหยื่อของอาวุธดอลลาร์ซักวันหนึ่ง จากการที่ต้องเก็บดอลลาร์ไว้เป็นรีเสิร์ฟมากว่า 50 ปี เพื่อใช้ซื้อน้ำมันจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

    แต่ตอนนี้กลุ่ม BRICS ก็โตขึ้นทุกวัน ...และแม้แต่ซาอุดิ อราเบียและกลุ่ม OPEC ก็เข้าไปอยู่กับ Belt Road Initiatives แล้ว ....เมื่อตอนที่มีการประชุม G7 ที่อิตาลี มีการเชิญมกุฎราชกุมารซาอุดิ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าร่วม แต่กลับส่งรัฐมนตรีคลังเข้าร่วมการประชุม BRICS ที่มีการประกาศหลักการของเรื่องเงิน UNIT ซึ่งมีการหนุนด้วยทองคำและใช้ mBridge ที่ซาอุดิฯ ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้พัฒนาด้วย

    ประเทศเหล่านี้กำลังทิ้งพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งในที่สุดแล้ว ก็จะเกิดเงินเฟ้อที่เกิดจากดอลลาร์เหล่านั้นที่ไหลกลับประเทศ มีแต่อัตราดอกเบี้ยสูงเท่านั้นที่พอจะสู้กับอำนาจซื้อที่หายไปได้ แต่ดอกเบี้ย 5% จะไปสู้อะไรได้กับเงินเฟ้อ 30% ...และนั่นก็จะถึงเวลาของ Klaus Schwab ที่จะบอกว่า You will own nothing and be happy.

    ทั้งหมดนั้นเป็นสามทางเลือก ...Fed ยังมีทางเลือกที่สี่ คือการปรับมูลค่าของทองคำที่..ถ้ายังมีอยู่ ....ราคาที่ปรับจะต้องสูงมาก ๆ เพราะถ้าแค่ $4,000 ต่อออนซ์ จากทั้งหมดที่มี 261 ล้านออนซ์ (8,300 ตัน) มันก็ได้มาแค่ $1 trillion เท่านั้น แต่ถ้าถึงออนซ์ละ $120,000 ก็น่าจะพอใช้หนี้ของประเทศได้หมด

    แล้วก็เริ่มเงิน CBDC ใหม่ที่อิงกับทองคำไปได้เลย เพราะ IMF ก็รับรองไปแล้วว่าทองคำนี่แหละเป็น ทรัพย์สินชั้น tier1

    ทองคำเป็นทรัพย์สินที่ยอมรับกันทั้งในตะวันตกและทุกส่วนของโลก ไม่ใช่แค่นักลงทุนเท่านั้น แต่กับทุกคน

    30:48.....Resource Talks....
    เรื่องนี้จะเกิดได้ชั่วข้ามคืนเลยหรือเปล่า หรือจะต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น?

    Andy.....
    ตอนนี้ แม้แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นางเจเน็ต เยลเลน ก็ยังเร่ง Fed ให้มีการ revalue ทองคำเลย ถึงแม้จะไม่พูดผ่านทางสภา

    เรื่องทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นแบบที่ละน้อยก่อน แต่แล้วก็จะเกิดขึ้นทันทีทันใดเลย ...Little by litle and then suddenly .....ดอลลาร์ค่อย ๆ เสื่อมสลายทีละนิดมานานนับสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึง all at once moment แล้ว

    มีเรื่องของ Operation Sandman ที่ 150 ประเทศรวมตัวกันเตรียมทิ้งพันธบัตรสหรัฐที่มีอยู่พร้อมกัน เรียกว่าเป็นการเปิดสวิทช์ทีเดียวให้จบไปเลย เรื่องนี้อาจเป็นทฤษฎี แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก

    หลายปีมานี้ ทำไมธนาคารกลางทั้งหลายถึงมีการสะสมทองคำกันมากขนาดที่เห็น ...และยังอีกกว่า 40 ประเทศมีการทวงคืนทองคำที่ฝากไว้ที่ลอนดอนและนิวยอร์ค แต่จะยังอยู่หรือเปล่า ในเมื่อผู้รับฝากมีการขายทองคำไปเพื่อทุบราคามาตลอดทั้งที่ Comex และ LBMA

    ใน White Paper ของ UNIT มีการพูดถึงทองคำที่จะมาหนุนค่านั้น เป็นทองคำที่อยู่ในมือของประชาชนที่เก็บอยู่ในประเทศสมาชิก โดยมีการ audit เป็นอิสระอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการส่งทองคำไปเก็บยังศูนย์กลาง โดยแต่ละประเทศมีบัญชี Escrow ระหว่างคู่สัญญา (ระบบการทำธุรกรรมที่มีการคุ้มครองทั้งสองฝ่าย)

    และทั้งหมดนี้ mBridge จะเป็นสื่อชำระเงินแทนการใช้ SWIFT ที่เราคุ้นกันมานาน

    BIS หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็นผู้สนับสนุนให้ทองคำเป็นทรัพย์สิน tier1 มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ...และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา mBridge อีกด้วย นับว่าเป็นผู้ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อทองคำกันมากมายขนาดนี้

    นี่จะเป็นการตายของดอลลาร์ ....โลกกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ trustless ไปสู่ระบบที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
    สายัณห์ รุจิรโมรา Resource Talks $20,000 Gold Revaluation. Radiculous Or Reality? การปรับค่าทองคำ เรื่องตลกหรือเรื่องจริง Andy Schectman Aug 16, 2024 24:35.....Resource Talks..... คอนเซ็ปท์เรื่องการปรับมูลค่าทองคำเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เงื่อนไขมันต้องเป็นยังไงหรือ..ธนาคารกลางถึงจะต้องมีการปรับค่ากัน สำหรับผมมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากไปหน่อยนะ Andy..... รุนแรงยังไง.. มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปธน.รูสเวลท์ปรับค่าทองคำถึง 40% หลังจากที่ออกกฎหมายยึดทองคำจากประชาชนเมื่อปี 1933 ....ดังนั้นเมื่อเราเห็นธนาคารกลางทั่วโลกพากันเก็บสะสมทองคำในหกเดือนที่ผ่านมา มากกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ จีนมีการเพิ่มพรีเมี่ยมซึ่งเป็นการขึ้นราคาทองคำและซิลเวอร์ เพื่อจูงใจให้มีการย้ายทองคำจากตะวันตกเข้ามายังตะวันออกมากขึ้น ถ้าสมมติในทันที ..จีนมีการปรับค่าให้ทองคำมีราคา $10,000 ต่อออนซ์ จะเกิดอะไรขึ้น ....ใน balance sheet ของเกือบทุกธนาคารกลางที่มีการขาดทุนมหาศาลทางบัญชี ก็จะออฟเซ็ท..หายจากการขาดทุนในงบดุลทันที เรารู้ว่า Fed มีทางเลือกสองทางในการแก้ปัญหา หนึ่งคือเพิ่มเงินไปเรื่อย ๆ สองคือชักดาบหนี้ ซึ่ง Fed ก็เลือกทางพิมพ์เงินเพิ่มมาตลอด ...ทางเลือกที่สามคือ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แล้วหาผู้ร้ายมาเป็นเป็นแพะ ในกรณีนี้คือรัสเซียและก็หาเรื่องแซงค์ชั่นพวกเขา ยึดทรัพย์ที่ฝากเราเอาไว้ซะ ....แต่วิธีนี้เราได้ชาติที่ต่อต้าน ยืนตรงข้ามเรามากมายเลย พวกเขารวมกันเป็นกลุ่มที่ต่อต้านดอลลาร์ เพราะรู้ว่าอาจต้องเป็นเหยื่อของอาวุธดอลลาร์ซักวันหนึ่ง จากการที่ต้องเก็บดอลลาร์ไว้เป็นรีเสิร์ฟมากว่า 50 ปี เพื่อใช้ซื้อน้ำมันจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แต่ตอนนี้กลุ่ม BRICS ก็โตขึ้นทุกวัน ...และแม้แต่ซาอุดิ อราเบียและกลุ่ม OPEC ก็เข้าไปอยู่กับ Belt Road Initiatives แล้ว ....เมื่อตอนที่มีการประชุม G7 ที่อิตาลี มีการเชิญมกุฎราชกุมารซาอุดิ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าร่วม แต่กลับส่งรัฐมนตรีคลังเข้าร่วมการประชุม BRICS ที่มีการประกาศหลักการของเรื่องเงิน UNIT ซึ่งมีการหนุนด้วยทองคำและใช้ mBridge ที่ซาอุดิฯ ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้พัฒนาด้วย ประเทศเหล่านี้กำลังทิ้งพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งในที่สุดแล้ว ก็จะเกิดเงินเฟ้อที่เกิดจากดอลลาร์เหล่านั้นที่ไหลกลับประเทศ มีแต่อัตราดอกเบี้ยสูงเท่านั้นที่พอจะสู้กับอำนาจซื้อที่หายไปได้ แต่ดอกเบี้ย 5% จะไปสู้อะไรได้กับเงินเฟ้อ 30% ...และนั่นก็จะถึงเวลาของ Klaus Schwab ที่จะบอกว่า You will own nothing and be happy. ทั้งหมดนั้นเป็นสามทางเลือก ...Fed ยังมีทางเลือกที่สี่ คือการปรับมูลค่าของทองคำที่..ถ้ายังมีอยู่ ....ราคาที่ปรับจะต้องสูงมาก ๆ เพราะถ้าแค่ $4,000 ต่อออนซ์ จากทั้งหมดที่มี 261 ล้านออนซ์ (8,300 ตัน) มันก็ได้มาแค่ $1 trillion เท่านั้น แต่ถ้าถึงออนซ์ละ $120,000 ก็น่าจะพอใช้หนี้ของประเทศได้หมด แล้วก็เริ่มเงิน CBDC ใหม่ที่อิงกับทองคำไปได้เลย เพราะ IMF ก็รับรองไปแล้วว่าทองคำนี่แหละเป็น ทรัพย์สินชั้น tier1 ทองคำเป็นทรัพย์สินที่ยอมรับกันทั้งในตะวันตกและทุกส่วนของโลก ไม่ใช่แค่นักลงทุนเท่านั้น แต่กับทุกคน 30:48.....Resource Talks.... เรื่องนี้จะเกิดได้ชั่วข้ามคืนเลยหรือเปล่า หรือจะต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น? Andy..... ตอนนี้ แม้แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นางเจเน็ต เยลเลน ก็ยังเร่ง Fed ให้มีการ revalue ทองคำเลย ถึงแม้จะไม่พูดผ่านทางสภา เรื่องทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นแบบที่ละน้อยก่อน แต่แล้วก็จะเกิดขึ้นทันทีทันใดเลย ...Little by litle and then suddenly .....ดอลลาร์ค่อย ๆ เสื่อมสลายทีละนิดมานานนับสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึง all at once moment แล้ว มีเรื่องของ Operation Sandman ที่ 150 ประเทศรวมตัวกันเตรียมทิ้งพันธบัตรสหรัฐที่มีอยู่พร้อมกัน เรียกว่าเป็นการเปิดสวิทช์ทีเดียวให้จบไปเลย เรื่องนี้อาจเป็นทฤษฎี แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก หลายปีมานี้ ทำไมธนาคารกลางทั้งหลายถึงมีการสะสมทองคำกันมากขนาดที่เห็น ...และยังอีกกว่า 40 ประเทศมีการทวงคืนทองคำที่ฝากไว้ที่ลอนดอนและนิวยอร์ค แต่จะยังอยู่หรือเปล่า ในเมื่อผู้รับฝากมีการขายทองคำไปเพื่อทุบราคามาตลอดทั้งที่ Comex และ LBMA ใน White Paper ของ UNIT มีการพูดถึงทองคำที่จะมาหนุนค่านั้น เป็นทองคำที่อยู่ในมือของประชาชนที่เก็บอยู่ในประเทศสมาชิก โดยมีการ audit เป็นอิสระอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการส่งทองคำไปเก็บยังศูนย์กลาง โดยแต่ละประเทศมีบัญชี Escrow ระหว่างคู่สัญญา (ระบบการทำธุรกรรมที่มีการคุ้มครองทั้งสองฝ่าย) และทั้งหมดนี้ mBridge จะเป็นสื่อชำระเงินแทนการใช้ SWIFT ที่เราคุ้นกันมานาน BIS หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็นผู้สนับสนุนให้ทองคำเป็นทรัพย์สิน tier1 มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ...และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา mBridge อีกด้วย นับว่าเป็นผู้ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อทองคำกันมากมายขนาดนี้ นี่จะเป็นการตายของดอลลาร์ ....โลกกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ trustless ไปสู่ระบบที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออสเตรเลีย=รัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ?
    โดย นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย

    ผมได้ยินชื่อของพอล คีทติ้ง บ่อย เพราะแกเป็นอดีตหัวหน้าพรรคแรงงานของออสเตรเลีย

    สมัยก่อนตอนโน้น เคยมีผู้สมัคร สส.ของพรรคแรงงานมาพักที่บ้านเราที่กรุงเทพฯ และเล่าเรื่องของนายคีทติ้งให้พวกเราฟังบ่อย

    ช่วงที่พ่อของผมเรียนอยู่ที่ St. Arnaud High School รัฐวิคตอเรีย ตอนนั้นนายคีทติ้งดังมาก แกเป็น สส.มาตั้งแต่ ค.ศ.1969 จนถึง 1996 เปิดทีวีดูหรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็จะเจอเรื่องราวของ สส.คีทติ้ง

    ต่อมาคีทติ้งเป็นรัฐมนตรีคลัง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของออสเตรเลีย

    ครอบครัวผมตามการทำงานของนายคีทติ้งมานานกว่า 45 ปี ทำให้เราทราบว่านายคีทติ้งมองโลกอย่างคนที่ตกผลึกมีประสบการณ์ที่ชั่วเคยมีดีเคยผ่านมาก่อน

    ออสเตรเลียเป็นประเทศของพวกฝรั่งมังค่าผิวขาวที่มาลงหลักปักฐานในซีกโลกใต้ อยู่ใกล้กับจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกหลายแห่ง

    ดูเหมือนนายคีทติ้งมองว่าออสเตรเลียควรรักษาความสัมพันธ์กับประเทศใกล้บ้านไว้เพื่อความสุขสงบในปัจจุบันและในภายภาคหน้า

    นโยบายของสหรัฐฯคือต้องยับยั้งการเจริญเติบโตของจีนให้ได้ สหรัฐฯจึงสร้างกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านจีน ที่น่าสนใจคือ AUKUS หรือออคัส ซึ่งเป็นอักษรย่อจากชื่อของออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

    เป็นกติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคี ภายใต้กติกาออคัส สหรัฐฯและอังกฤษจะช่วยออสเตรเลียพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์สำหรับการเพิ่มบทบาททางการทหารของชาติตะวันตกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

    ในการประกาศร่วมของนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน (ออสเตรเลีย) นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน (อังกฤษ) และประธานาธิบดีไบเดน (สหรัฐฯ) แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าตั้งกลุ่มออคัสขึ้นมาเพื่อจะต่อต้านอิทธิพลของใครในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

    แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า 3 ประเทศตะวันตกมีเป้าหมายที่จะเหยียบจีน ทั้ง 3 ประเทศรอจังหวะความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันเพื่อจะใช้สร้างความชอบธรรมในการลุยกับจีน

    ออคัสยังครอบคลุมอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ สมรรถนะใต้น้ำ สมรรถนะในการโจมตีระยะไกล ฯลฯ

    สหรัฐฯเข้ามาสร้างกลุ่มหลายกลุ่มในภูมิภาคนี้เพื่อเตรียมลุยกับจีน ไม่ว่าจะเป็นกติกาสัญญาแอนซัส (สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ไฟฟ์อายส์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตร แบ่งปันข่าวกรองระหว่างสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย

    มีนาคม 2023 ออสเตรเลียประกาศจะซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯจำนวน 5 ลำ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสมัยนั้นคือ นายอัลบาเนซี ประกาศว่า ‘นี่คือการยกระดับการทหารครั้งใหญ่สุดของประเทศ’ ส่วนประธานาธิบดีไบเดนโม้ว่า ‘นี่จะทำให้ภูมิภาคแปซิฟิกมีความเปิดกว้างและเสรี’

    ขณะที่นักการเมืองออสเตรเลียจำนวนหนึ่งเอาเรื่องเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่จะซื้อจากสหรัฐฯไปโม้กับประชาชน ผู้ที่อยู่กับการเมืองมายาวนานกว่า 55 ปี เป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลานานถึง 21 ปี อย่างนายคีทติ้งกลับบอกว่า “นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่”

    “ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่มองว่านี่เป็นความหายนะ” นายคีทติ้งพูดต่อว่า “หลายคนบอกว่าจีนต้องการครอบครองซิดนีย์และเมลเบิร์น ผมขอถามว่าเพื่ออะไร เพื่อการทหารอย่างนั้นหรือ” “นี่เป็นการเดินทางที่อันตรายและไม่จำเป็น และจะนำผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา เมื่อประเทศถูกนำไปพัวพันกับความขัดแย้งในอนาคต”

    8 สิงหาคม 2024 นายคีทติ้งให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ว่า ข้อตกลงออคัสจะทำให้สหรัฐฯเข้ามาประจำการแทนที่ทหารของเรา (ออสเตรเลีย) และล้อมประเทศของเราด้วยฐานทัพ

    แคนเบอร์รา (ออสเตรเลีย) ต้องสละสิทธิ์ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศและกลาโหมของตนเอง ออสเตรเลียจะสูญเสียความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง

    “นี่คือการควบคุมออสเตรเลียทางด้านการทหาร” และ “เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนออสเตรเลียให้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ”

    ผู้นำที่จัดเจนโลกอย่างคีทติ้งพยายามทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่น (อย่างเช่นจีน) เบาลง

    แต่สหรัฐฯจะไม่มีวันยอม.

    ที่มา : เฟซบุ๊ก นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย
    https://www.facebook.com/share/p/pssHLmKwqPJRatV4/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ออสเตรเลีย=รัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ? โดย นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย ผมได้ยินชื่อของพอล คีทติ้ง บ่อย เพราะแกเป็นอดีตหัวหน้าพรรคแรงงานของออสเตรเลีย สมัยก่อนตอนโน้น เคยมีผู้สมัคร สส.ของพรรคแรงงานมาพักที่บ้านเราที่กรุงเทพฯ และเล่าเรื่องของนายคีทติ้งให้พวกเราฟังบ่อย ช่วงที่พ่อของผมเรียนอยู่ที่ St. Arnaud High School รัฐวิคตอเรีย ตอนนั้นนายคีทติ้งดังมาก แกเป็น สส.มาตั้งแต่ ค.ศ.1969 จนถึง 1996 เปิดทีวีดูหรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็จะเจอเรื่องราวของ สส.คีทติ้ง ต่อมาคีทติ้งเป็นรัฐมนตรีคลัง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของออสเตรเลีย ครอบครัวผมตามการทำงานของนายคีทติ้งมานานกว่า 45 ปี ทำให้เราทราบว่านายคีทติ้งมองโลกอย่างคนที่ตกผลึกมีประสบการณ์ที่ชั่วเคยมีดีเคยผ่านมาก่อน ออสเตรเลียเป็นประเทศของพวกฝรั่งมังค่าผิวขาวที่มาลงหลักปักฐานในซีกโลกใต้ อยู่ใกล้กับจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกหลายแห่ง ดูเหมือนนายคีทติ้งมองว่าออสเตรเลียควรรักษาความสัมพันธ์กับประเทศใกล้บ้านไว้เพื่อความสุขสงบในปัจจุบันและในภายภาคหน้า นโยบายของสหรัฐฯคือต้องยับยั้งการเจริญเติบโตของจีนให้ได้ สหรัฐฯจึงสร้างกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านจีน ที่น่าสนใจคือ AUKUS หรือออคัส ซึ่งเป็นอักษรย่อจากชื่อของออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นกติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคี ภายใต้กติกาออคัส สหรัฐฯและอังกฤษจะช่วยออสเตรเลียพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์สำหรับการเพิ่มบทบาททางการทหารของชาติตะวันตกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในการประกาศร่วมของนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน (ออสเตรเลีย) นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน (อังกฤษ) และประธานาธิบดีไบเดน (สหรัฐฯ) แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าตั้งกลุ่มออคัสขึ้นมาเพื่อจะต่อต้านอิทธิพลของใครในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า 3 ประเทศตะวันตกมีเป้าหมายที่จะเหยียบจีน ทั้ง 3 ประเทศรอจังหวะความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันเพื่อจะใช้สร้างความชอบธรรมในการลุยกับจีน ออคัสยังครอบคลุมอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ สมรรถนะใต้น้ำ สมรรถนะในการโจมตีระยะไกล ฯลฯ สหรัฐฯเข้ามาสร้างกลุ่มหลายกลุ่มในภูมิภาคนี้เพื่อเตรียมลุยกับจีน ไม่ว่าจะเป็นกติกาสัญญาแอนซัส (สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ไฟฟ์อายส์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตร แบ่งปันข่าวกรองระหว่างสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย มีนาคม 2023 ออสเตรเลียประกาศจะซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯจำนวน 5 ลำ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสมัยนั้นคือ นายอัลบาเนซี ประกาศว่า ‘นี่คือการยกระดับการทหารครั้งใหญ่สุดของประเทศ’ ส่วนประธานาธิบดีไบเดนโม้ว่า ‘นี่จะทำให้ภูมิภาคแปซิฟิกมีความเปิดกว้างและเสรี’ ขณะที่นักการเมืองออสเตรเลียจำนวนหนึ่งเอาเรื่องเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่จะซื้อจากสหรัฐฯไปโม้กับประชาชน ผู้ที่อยู่กับการเมืองมายาวนานกว่า 55 ปี เป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลานานถึง 21 ปี อย่างนายคีทติ้งกลับบอกว่า “นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่” “ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่มองว่านี่เป็นความหายนะ” นายคีทติ้งพูดต่อว่า “หลายคนบอกว่าจีนต้องการครอบครองซิดนีย์และเมลเบิร์น ผมขอถามว่าเพื่ออะไร เพื่อการทหารอย่างนั้นหรือ” “นี่เป็นการเดินทางที่อันตรายและไม่จำเป็น และจะนำผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา เมื่อประเทศถูกนำไปพัวพันกับความขัดแย้งในอนาคต” 8 สิงหาคม 2024 นายคีทติ้งให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ว่า ข้อตกลงออคัสจะทำให้สหรัฐฯเข้ามาประจำการแทนที่ทหารของเรา (ออสเตรเลีย) และล้อมประเทศของเราด้วยฐานทัพ แคนเบอร์รา (ออสเตรเลีย) ต้องสละสิทธิ์ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศและกลาโหมของตนเอง ออสเตรเลียจะสูญเสียความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง “นี่คือการควบคุมออสเตรเลียทางด้านการทหาร” และ “เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนออสเตรเลียให้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ” ผู้นำที่จัดเจนโลกอย่างคีทติ้งพยายามทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่น (อย่างเช่นจีน) เบาลง แต่สหรัฐฯจะไม่มีวันยอม. ที่มา : เฟซบุ๊ก นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย https://www.facebook.com/share/p/pssHLmKwqPJRatV4/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 610 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจAround the world 13 ส.ค.2567

    โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เปิดใจให้สัมภาษณ์สดกับ อีลอน มัสก์ ผ่านทางแพลตฟอร์ม X เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ ขณะที่การตั้งวงคุยระหว่าง 2 มหาเศรษฐีคนดังต้องเผชิญอุปสรรคทางเทคนิคจนทำให้ล่าช้าไปกว่า 40 นาที
    .
    มัสก์ ซึ่งเป็นเจ้าของเทสลา สเปซเอ็กซ์ รวมถึง X ออกมาโทษเหตุขัดข้องว่าเกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์แบบ denial-of-service attack หรือ DoS ซึ่งหมายถึงการระดมส่งคำขอเข้าถึงข้อมูลหรือ traffic จำนวนมหาศาลเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มใช้การไม่ได้ ทว่าคำกล่าวอ้างนี้ก็ยังไม่ได้การพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
    .
    ทางด้านของ ทรัมป์ พยายามมองปัญหาในเชิงบวกด้วยการกล่าวแสดงความยินดีกับ มัสก์ ว่ามีแฟนคลับแห่เข้ามาฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม โดยในบางช่วงนั้นพบว่ามีผู้เข้าร่วมรับฟังการสนทนามากถึง 1.3 ล้านคน
    .
    ทรัมป์ และ มัสก์ ต่างป้อนคำสรรเสริญเยินยอกันไปมาหลายครั้ง โดยเจ้าของเทสลาได้กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารมาหมาดๆ เมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ ทรัมป์ ก็ชม มัสก์ ว่าเป็นนายจ้างใจเด็ดที่กล้าไล่ออกพวกพนักงานซึ่งออกมาเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่าเดิม
    .
    “คุณเป็นนักตัดที่ยอดเยี่ยมที่สุด (the greatest cutter)” ทรัมป์ กล่าว “ผมหมายความว่า ผมเห็นสิ่งที่คุณทำ คุณเดินเข้าไปแล้วก็บอกว่า อยากลาออกเหรอ? คนพวกนั้นนัดหยุดงานประท้วง ผมไม่ขอพูดนะว่าบริษัทไหน แต่เอาเป็นว่าพวกเขานัดหยุดงาน แล้วคุณก็บอกว่า โอเค พวกคุณออกไปให้หมดเลย”
    .
    มัสก์ ออกมาประกาศสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในการชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ทันที หลังเกิดความพยายามลอบสังหารผู้แทนรีพับลิกันรายนี้ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. แม้ว่า ทรัมป์ จะมีจุดยืนคัดค้านมาตรการอุดหนุนผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลาก็ตามที
    .
    มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกผู้นี้เคยสนับสนุนประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งปี 2020 ก่อนจะค่อยๆ โน้มเอียงมาสู่ขั้วการเมืองฝ่ายขวา
    .
    “ผมคิดว่าเรากำลังเดินมาถึงทางแยกแห่งโชคชะตา ทางแยกแห่งอารยธรรม และผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งเส้นทางที่ถูกต้องนั้นก็คือคุณ” มัสก์ กล่าวสรุปในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์
    .
    การสนทนากับ มัสก์ ในครั้งนี้เป็นโอกาสให้ ทรัมป์ ได้ระบายความไม่พอใจ การใส่ไคล้โจมตีบุคคล รวมถึงกระพือข้อมูลเท็จต่างๆ ที่เขามักหยิบยกมาอ้างอยู่เป็นประจำ
    .
    มัสก์ เปิดพื้นที่ให้ ทรัมป์ เป็นผู้นำในการพูดคุยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายคำพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่นเมื่อ ทรัมป์ อ้างว่าประเทศอื่นๆ “ส่งอาชญากร” จากในเรือนจำของพวกเขาเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนทางใต้ รวมถึงเรื่องราคาเบคอนที่แพงขึ้น 4-5 เท่า เป็นต้น
    .
    ผลการศึกษาพบว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ รวมถึงพวกที่หลบหนีเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้มีสถิติก่ออาชญากรรมสูงกว่าคนอเมริกันโดยกำเนิด
    .
    การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ยังเป็นความพยายามล่าสุดของ ทรัมป์ ที่จะดึงความสนใจมาจากรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ซึ่งสร้างโมเมนตัมให้พรรคเดโมแครตกลับมาทำคะแนนนิยมตีตื้นและระดมเงินบริจาคได้อย่างมหาศาลทันที หลังจากที่ประกาศรับตำแหน่งผู้แทนพรรคต่อจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งถอนตัวจากศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 ก.ค.
    .
    ทรัมป์ เอ่ยโจมตี แฮร์ริส อยู่หลายครั้ง โดยเรียกเธอว่าเป็นพวก “ชั้นเลว” (third rate) “ไร้ศักยภาพ” (incompetent) และ “พวกคลั่งฝ่ายซ้ายสุดโต่ง” (radical left lunatic) ก่อนที่จู่ๆ จะหันมาชมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายว่าดูสวยคล้ายกับ เมลาเนีย ทรัมป์
    .
    “เธอดูเหมือนนักแสดงที่สวยที่สุด” ทรัมป์ เอ่ยถึงภาพวาด แฮร์ริส ซึ่งถูกนำไปลงปกนิตยสารไทม์ส
    .
    “มันเป็นภาพวาด และเอาจริงๆ นะผมว่าเธอดูคล้ายกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่... เมลาเนีย”
    .
    ทรัมป์ ยังแสดงความไม่พอใจที่พรรคเดโมแครตตัดสินใจเปลี่ยนเอา แฮร์ริส ขึ้นมาเป็นผู้แทนพรรคแทนที่ ไบเดน
    .
    “เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่แผนต้มตุ๋นนี้เริ่มขึ้น” ทรัมป์ กล่าว พร้อมอ้างว่าการที่ ไบเดน ถอนตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นการถูก “รัฐประหาร” (coup) จากคนในพรรคต่างหาก
    .
    ทรัมป์ เคยมีคะแนนนิยมนำ ไบเดน ในรัฐสมรภูมิสำคัญๆ ที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. ทว่าเวลานี้กลับถูก แฮร์ริส ทำคะแนนแซงหน้าได้แล้วในบางรัฐ
    .
    อดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเคยแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอดเริ่มปรับท่าทีใหม่หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจาก มัสก์ โดยเขากล่าวเมื่อวานนี้ (12) ว่า รถอีวีที่ผลิตโดยเทสลานั้น “ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ”
    .
    ทรัมป์ ยังเอ่ยชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าบรรดาผู้นำชาติปรปักษ์ของสหรัฐฯ เหล่านี้ “กำลังทำผลงานได้ดีเยี่ยม” (at the top of their game)
    .
    อีลอน มัสก์ ได้ปลดล็อคบัญชี X หรืออดีตทวิตเตอร์ให้กับ ทรัมป์ เพียง 1 เดือนหลังจากที่เข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์เมื่อปี 2022 โดยก่อนหน้านั้นทวิตเตอร์ได้ระงับบัญชีของ ทรัมป์ แบบถาวรตามหลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 เนื่องจากเกรงว่าอดีตผู้นำรายนี้จะใช้มันเป็นเครื่องมือปลุกปั่นความรุนแรงอีก
    .
    ที่มา: รอยเตอร์

    https://www.youtube.com/live/RphoakH6Dm0?si=AivfkUG18lfrEvth

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจAround the world 13 ส.ค.2567 โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เปิดใจให้สัมภาษณ์สดกับ อีลอน มัสก์ ผ่านทางแพลตฟอร์ม X เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ ขณะที่การตั้งวงคุยระหว่าง 2 มหาเศรษฐีคนดังต้องเผชิญอุปสรรคทางเทคนิคจนทำให้ล่าช้าไปกว่า 40 นาที . มัสก์ ซึ่งเป็นเจ้าของเทสลา สเปซเอ็กซ์ รวมถึง X ออกมาโทษเหตุขัดข้องว่าเกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์แบบ denial-of-service attack หรือ DoS ซึ่งหมายถึงการระดมส่งคำขอเข้าถึงข้อมูลหรือ traffic จำนวนมหาศาลเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มใช้การไม่ได้ ทว่าคำกล่าวอ้างนี้ก็ยังไม่ได้การพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ . ทางด้านของ ทรัมป์ พยายามมองปัญหาในเชิงบวกด้วยการกล่าวแสดงความยินดีกับ มัสก์ ว่ามีแฟนคลับแห่เข้ามาฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม โดยในบางช่วงนั้นพบว่ามีผู้เข้าร่วมรับฟังการสนทนามากถึง 1.3 ล้านคน . ทรัมป์ และ มัสก์ ต่างป้อนคำสรรเสริญเยินยอกันไปมาหลายครั้ง โดยเจ้าของเทสลาได้กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารมาหมาดๆ เมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ ทรัมป์ ก็ชม มัสก์ ว่าเป็นนายจ้างใจเด็ดที่กล้าไล่ออกพวกพนักงานซึ่งออกมาเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่าเดิม . “คุณเป็นนักตัดที่ยอดเยี่ยมที่สุด (the greatest cutter)” ทรัมป์ กล่าว “ผมหมายความว่า ผมเห็นสิ่งที่คุณทำ คุณเดินเข้าไปแล้วก็บอกว่า อยากลาออกเหรอ? คนพวกนั้นนัดหยุดงานประท้วง ผมไม่ขอพูดนะว่าบริษัทไหน แต่เอาเป็นว่าพวกเขานัดหยุดงาน แล้วคุณก็บอกว่า โอเค พวกคุณออกไปให้หมดเลย” . มัสก์ ออกมาประกาศสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในการชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ทันที หลังเกิดความพยายามลอบสังหารผู้แทนรีพับลิกันรายนี้ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. แม้ว่า ทรัมป์ จะมีจุดยืนคัดค้านมาตรการอุดหนุนผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลาก็ตามที . มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกผู้นี้เคยสนับสนุนประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งปี 2020 ก่อนจะค่อยๆ โน้มเอียงมาสู่ขั้วการเมืองฝ่ายขวา . “ผมคิดว่าเรากำลังเดินมาถึงทางแยกแห่งโชคชะตา ทางแยกแห่งอารยธรรม และผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งเส้นทางที่ถูกต้องนั้นก็คือคุณ” มัสก์ กล่าวสรุปในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ . การสนทนากับ มัสก์ ในครั้งนี้เป็นโอกาสให้ ทรัมป์ ได้ระบายความไม่พอใจ การใส่ไคล้โจมตีบุคคล รวมถึงกระพือข้อมูลเท็จต่างๆ ที่เขามักหยิบยกมาอ้างอยู่เป็นประจำ . มัสก์ เปิดพื้นที่ให้ ทรัมป์ เป็นผู้นำในการพูดคุยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายคำพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่นเมื่อ ทรัมป์ อ้างว่าประเทศอื่นๆ “ส่งอาชญากร” จากในเรือนจำของพวกเขาเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนทางใต้ รวมถึงเรื่องราคาเบคอนที่แพงขึ้น 4-5 เท่า เป็นต้น . ผลการศึกษาพบว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ รวมถึงพวกที่หลบหนีเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้มีสถิติก่ออาชญากรรมสูงกว่าคนอเมริกันโดยกำเนิด . การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ยังเป็นความพยายามล่าสุดของ ทรัมป์ ที่จะดึงความสนใจมาจากรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ซึ่งสร้างโมเมนตัมให้พรรคเดโมแครตกลับมาทำคะแนนนิยมตีตื้นและระดมเงินบริจาคได้อย่างมหาศาลทันที หลังจากที่ประกาศรับตำแหน่งผู้แทนพรรคต่อจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งถอนตัวจากศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 ก.ค. . ทรัมป์ เอ่ยโจมตี แฮร์ริส อยู่หลายครั้ง โดยเรียกเธอว่าเป็นพวก “ชั้นเลว” (third rate) “ไร้ศักยภาพ” (incompetent) และ “พวกคลั่งฝ่ายซ้ายสุดโต่ง” (radical left lunatic) ก่อนที่จู่ๆ จะหันมาชมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายว่าดูสวยคล้ายกับ เมลาเนีย ทรัมป์ . “เธอดูเหมือนนักแสดงที่สวยที่สุด” ทรัมป์ เอ่ยถึงภาพวาด แฮร์ริส ซึ่งถูกนำไปลงปกนิตยสารไทม์ส . “มันเป็นภาพวาด และเอาจริงๆ นะผมว่าเธอดูคล้ายกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่... เมลาเนีย” . ทรัมป์ ยังแสดงความไม่พอใจที่พรรคเดโมแครตตัดสินใจเปลี่ยนเอา แฮร์ริส ขึ้นมาเป็นผู้แทนพรรคแทนที่ ไบเดน . “เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่แผนต้มตุ๋นนี้เริ่มขึ้น” ทรัมป์ กล่าว พร้อมอ้างว่าการที่ ไบเดน ถอนตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นการถูก “รัฐประหาร” (coup) จากคนในพรรคต่างหาก . ทรัมป์ เคยมีคะแนนนิยมนำ ไบเดน ในรัฐสมรภูมิสำคัญๆ ที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. ทว่าเวลานี้กลับถูก แฮร์ริส ทำคะแนนแซงหน้าได้แล้วในบางรัฐ . อดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเคยแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอดเริ่มปรับท่าทีใหม่หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจาก มัสก์ โดยเขากล่าวเมื่อวานนี้ (12) ว่า รถอีวีที่ผลิตโดยเทสลานั้น “ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ” . ทรัมป์ ยังเอ่ยชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าบรรดาผู้นำชาติปรปักษ์ของสหรัฐฯ เหล่านี้ “กำลังทำผลงานได้ดีเยี่ยม” (at the top of their game) . อีลอน มัสก์ ได้ปลดล็อคบัญชี X หรืออดีตทวิตเตอร์ให้กับ ทรัมป์ เพียง 1 เดือนหลังจากที่เข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์เมื่อปี 2022 โดยก่อนหน้านั้นทวิตเตอร์ได้ระงับบัญชีของ ทรัมป์ แบบถาวรตามหลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 เนื่องจากเกรงว่าอดีตผู้นำรายนี้จะใช้มันเป็นเครื่องมือปลุกปั่นความรุนแรงอีก . ที่มา: รอยเตอร์ https://www.youtube.com/live/RphoakH6Dm0?si=AivfkUG18lfrEvth #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 569 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่

    พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม

    ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง

    แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้

    รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
    ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000

    1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์

    2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

    3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ”

    4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี

    5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก

    6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล”

    7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001

    8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน

    9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้

    10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.”

    11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี

    12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ

    13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน”

    14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่”

    15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999

    16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ"

    17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล

    18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope"

    19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี

    20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์

    21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง

    22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23.
    Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม

    24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี

    25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์

    26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต

    28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน

    29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย"

    30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่

    31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน"

    32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน

    33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก

    34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน”

    35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ”

    36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น”

    37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง”

    38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ

    39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา”

    40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree

    41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น”

    42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม

    43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น”

    44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980

    45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ

    46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี

    47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน

    48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน

    49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ”

    50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว

    51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016

    52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา”

    53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว

    54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022

    55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี”

    ที่มา : Politico.com

    #Thaitimes
    พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่ พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้ รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์ 2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย” 3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ” 4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี 5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก 6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล” 7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001 8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน 9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้ 10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.” 11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี 12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ 13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน” 14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่” 15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999 16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ" 17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล 18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope" 19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี 20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์ 21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง 22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23. Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม 24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี 25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต 28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน 29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย" 30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่ 31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน" 32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน 33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก 34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน” 35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ” 36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น” 37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง” 38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ 39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา” 40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree 41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” 42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม 43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น” 44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980 45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ 46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี 47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน 48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน 49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ” 50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว 51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016 52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา” 53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว 54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022 55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี” ที่มา : Politico.com #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 870 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮามาสแต่งตั้งยาห์ยา ซินวาร์ ผู้วางแผนการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ให้เป็นผู้นำคนใหม่ หลังจากฮาร์นิเยห์อดีตผู้นำฮามาสถูกลอบสังหารขณะอยู่ในอิหร่าน

    7 สิงหาคม 2567- รายงานวิกิพีเดียระบุประวัติซินวาร์เกิดในค่ายผู้ลี้ภัยข่านยูนิสในฉนวนกาซาที่ปกครองโดยอียิปต์เมื่อปีพ.ศ. 2505 ในครอบครัวที่ถูกขับไล่หรือหลบหนีจากอัชเคลอนในช่วงสงครามปาเลสไตน์ในปีพ.ศ. 2491เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งฉนวนกาซาซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีสาขาอาหรับศึกษา

    สำหรับกรณีลักพาตัวและสังหารทหารอิสราเอล 2 นายและชาวปาเลสไตน์ 4 นายซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้ร่วมมือในปี 1989 ซินวาร์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตสี่ครั้งโดยอิสราเอล ต้องรับโทษ 22 ปีจนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวพร้อมผู้ต้องขังอีก 1,026 คนในการแลกเปลี่ยนนักโทษกับกิลาด ชาลิตทหาร อิสราเอลในปี 2011 ซินวาร์เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของกลุ่มฮามาสในปี 2017 เขาได้รับเลือกเป็นผู้นำของกลุ่มฮามาสและอ้างว่าจะแสวงหา "การต่อต้านอย่างสันติและเป็นที่นิยม" ต่อการยึดครองของอิสราเอลในปีถัดมา
    เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำของกลุ่มฮามาสอีกครั้งในปี 2021 และตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารโดยอิสราเอลในปีนั้น ซินวาร์ถูกมองว่าเป็นผู้วางแผนเบื้องหลังการโจมตีอิสราเอลที่นำโดยกลุ่มฮามาสในปี 2023เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023

    ในเดือนกันยายน 2015 ซินวาร์ถูกหมายหัวเป็นผู้ก่อการร้ายโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และฮามาสและกองกำลัง Izz ad-Din al-Qassamได้รับการกำหนดให้เป็นองค์กรก่อการร้ายโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2024 คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศยื่นขอหมายจับซินวาร์ในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนของ ICC ในปาเลสไตน

    ซินวาร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นที่สุดของฮามาส

    รายงานข่าวPolitico ระบุว่า ซินวาร์ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาตั้งแต่ปี 2560 แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะเลย แต่ยังคงควบคุมอำนาจของกลุ่มฮามาสในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองกำลังเดฟและกองกำลังคัสซัมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางทหารของกลุ่ม

    ในการปรากฏตัวไม่กี่ครั้ง ซินวาร์ได้จบการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะในฉนวนกาซาด้วยการเชิญชวนอิสราเอลให้ลอบสังหารเขา โดยประกาศว่า “ฉันจะเดินกลับบ้านหลังการประชุมครั้งนี้” จากนั้นเขาก็ทำเช่นนั้น โดยจับมือและถ่ายเซลฟี่กับผู้คนบนท้องถนน

    เขาซ่อนตัวอยู่ใต้ดินตั้งแต่การโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นชนวนให้อิสราเอลโจมตีและโจมตีเพื่อทำลายกลุ่มฮามาส ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตเกือบ 40,000 คน ประชากร 2.3 ล้านคนส่วนใหญ่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือน และพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองต่างๆ ในฉนวนกาซาถูกทำลาย ในเดือนพฤษภาคม อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศได้ขอหมายจับซินวาร์ในข้อหาอาชญากรรมสงครามจากการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลและรัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลในข้อหาอาชญากรรมสงคราม

    ฮิวจ์ โลวัต ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์จากสภายุโรปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่าการปลดผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ ออกไปช่วยเปิดทางให้ซินวาร์ “เมื่อสองสัปดาห์ก่อน แทบไม่มีใครคาดคิดว่าซินวาร์จะเป็นผู้นำคนต่อไปของกลุ่ม แม้ว่าเขาจะมีอิทธิพลอย่างมากจากฉนวนกาซาก็ตาม” เขากล่าว

    การสังหารฮานิเยห์ ซึ่งค่อนข้างเป็นคนสายกลาง “ไม่เพียงแต่เปิดทางให้ซินวาร์อ้างสิทธิ์ในการควบคุมฮามาสได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังดูเหมือนจะทำให้กลุ่มนี้มุ่งไปสู่แนวทางที่แข็งกร้าวมากขึ้นด้วย” เขากล่าว

    #Thaitimes
    ฮามาสแต่งตั้งยาห์ยา ซินวาร์ ผู้วางแผนการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ให้เป็นผู้นำคนใหม่ หลังจากฮาร์นิเยห์อดีตผู้นำฮามาสถูกลอบสังหารขณะอยู่ในอิหร่าน 7 สิงหาคม 2567- รายงานวิกิพีเดียระบุประวัติซินวาร์เกิดในค่ายผู้ลี้ภัยข่านยูนิสในฉนวนกาซาที่ปกครองโดยอียิปต์เมื่อปีพ.ศ. 2505 ในครอบครัวที่ถูกขับไล่หรือหลบหนีจากอัชเคลอนในช่วงสงครามปาเลสไตน์ในปีพ.ศ. 2491เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งฉนวนกาซาซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีสาขาอาหรับศึกษา สำหรับกรณีลักพาตัวและสังหารทหารอิสราเอล 2 นายและชาวปาเลสไตน์ 4 นายซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้ร่วมมือในปี 1989 ซินวาร์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตสี่ครั้งโดยอิสราเอล ต้องรับโทษ 22 ปีจนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวพร้อมผู้ต้องขังอีก 1,026 คนในการแลกเปลี่ยนนักโทษกับกิลาด ชาลิตทหาร อิสราเอลในปี 2011 ซินวาร์เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของกลุ่มฮามาสในปี 2017 เขาได้รับเลือกเป็นผู้นำของกลุ่มฮามาสและอ้างว่าจะแสวงหา "การต่อต้านอย่างสันติและเป็นที่นิยม" ต่อการยึดครองของอิสราเอลในปีถัดมา เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำของกลุ่มฮามาสอีกครั้งในปี 2021 และตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารโดยอิสราเอลในปีนั้น ซินวาร์ถูกมองว่าเป็นผู้วางแผนเบื้องหลังการโจมตีอิสราเอลที่นำโดยกลุ่มฮามาสในปี 2023เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ในเดือนกันยายน 2015 ซินวาร์ถูกหมายหัวเป็นผู้ก่อการร้ายโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และฮามาสและกองกำลัง Izz ad-Din al-Qassamได้รับการกำหนดให้เป็นองค์กรก่อการร้ายโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2024 คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศยื่นขอหมายจับซินวาร์ในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนของ ICC ในปาเลสไตน ซินวาร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นที่สุดของฮามาส รายงานข่าวPolitico ระบุว่า ซินวาร์ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาตั้งแต่ปี 2560 แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะเลย แต่ยังคงควบคุมอำนาจของกลุ่มฮามาสในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองกำลังเดฟและกองกำลังคัสซัมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางทหารของกลุ่ม ในการปรากฏตัวไม่กี่ครั้ง ซินวาร์ได้จบการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะในฉนวนกาซาด้วยการเชิญชวนอิสราเอลให้ลอบสังหารเขา โดยประกาศว่า “ฉันจะเดินกลับบ้านหลังการประชุมครั้งนี้” จากนั้นเขาก็ทำเช่นนั้น โดยจับมือและถ่ายเซลฟี่กับผู้คนบนท้องถนน เขาซ่อนตัวอยู่ใต้ดินตั้งแต่การโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นชนวนให้อิสราเอลโจมตีและโจมตีเพื่อทำลายกลุ่มฮามาส ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตเกือบ 40,000 คน ประชากร 2.3 ล้านคนส่วนใหญ่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือน และพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองต่างๆ ในฉนวนกาซาถูกทำลาย ในเดือนพฤษภาคม อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศได้ขอหมายจับซินวาร์ในข้อหาอาชญากรรมสงครามจากการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลและรัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลในข้อหาอาชญากรรมสงคราม ฮิวจ์ โลวัต ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์จากสภายุโรปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่าการปลดผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ ออกไปช่วยเปิดทางให้ซินวาร์ “เมื่อสองสัปดาห์ก่อน แทบไม่มีใครคาดคิดว่าซินวาร์จะเป็นผู้นำคนต่อไปของกลุ่ม แม้ว่าเขาจะมีอิทธิพลอย่างมากจากฉนวนกาซาก็ตาม” เขากล่าว การสังหารฮานิเยห์ ซึ่งค่อนข้างเป็นคนสายกลาง “ไม่เพียงแต่เปิดทางให้ซินวาร์อ้างสิทธิ์ในการควบคุมฮามาสได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังดูเหมือนจะทำให้กลุ่มนี้มุ่งไปสู่แนวทางที่แข็งกร้าวมากขึ้นด้วย” เขากล่าว #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เจี๊ยบ ก้าวไกล ปลุกระดมมวลชน ชุมนุมต่อต้านคำสั่งยุบพรรคในหลายจังหวัด ยังไงก็วางดอกไม้จันทน์แล้วเผาเสร็จค่อยประท้วง
    #7ดอกจิก
    #เจี๊ยบอมรัตน์
    ♣ เจี๊ยบ ก้าวไกล ปลุกระดมมวลชน ชุมนุมต่อต้านคำสั่งยุบพรรคในหลายจังหวัด ยังไงก็วางดอกไม้จันทน์แล้วเผาเสร็จค่อยประท้วง #7ดอกจิก #เจี๊ยบอมรัตน์
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ก่อแก้ว พิกุลทอง”อดีตแกนนำ นปช. ได้เลื่อนขึ้นมาป็น สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังจาก“สุดาวรรณ” ยื่นขอลาออกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์มุ่งทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเดียว

    3 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่องให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง เลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง

    ตามที่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลงวันที่ 19 มิ.ย.ประกาศให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 21 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น บัดนี้ น.ส.สุดาวรรณ ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ น.ส.สุดาวรรณ สิ้นสุดลง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 36 เลื่อนขึ้นมาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน คือ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ประกาศ ณ วันที่ 1 ส.ค. ลงนามโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ

    สำหรับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องลาออกจากการเป็นสส.บัญชีรายชื่อให้นายก่อแก้ว ที่ได้เลื่อนเป็นสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายก่อแก้วเคยมีบทบาทเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอดีตรักษาการผู้อำนวยการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ. )

    #Thaitimes
    “ก่อแก้ว พิกุลทอง”อดีตแกนนำ นปช. ได้เลื่อนขึ้นมาป็น สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังจาก“สุดาวรรณ” ยื่นขอลาออกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์มุ่งทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเดียว 3 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่องให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง เลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลงวันที่ 19 มิ.ย.ประกาศให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 21 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น บัดนี้ น.ส.สุดาวรรณ ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ น.ส.สุดาวรรณ สิ้นสุดลง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 36 เลื่อนขึ้นมาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน คือ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ประกาศ ณ วันที่ 1 ส.ค. ลงนามโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สำหรับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องลาออกจากการเป็นสส.บัญชีรายชื่อให้นายก่อแก้ว ที่ได้เลื่อนเป็นสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายก่อแก้วเคยมีบทบาทเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอดีตรักษาการผู้อำนวยการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ. ) #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts