• 🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿


    ---

    🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่)

    📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก
    ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้
    ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้
    ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา
    ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก

    💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า"
    🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง
    🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่
    🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น


    ---

    🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต)

    📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่
    ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน
    ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง

    💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่"
    🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ
    🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
    🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา


    ---

    🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่

    📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า
    👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา
    👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว

    📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่
    👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน
    👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้

    💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า"


    ---

    🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด)

    📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว
    ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ
    ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง
    ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง"

    💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย"
    🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย
    🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์
    🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน


    ---

    🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน

    📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด"
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร"

    💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด"
    💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้"

    👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น
    👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น
    👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้

    ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨

    🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿 --- 🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่) 📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้ ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้ ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก 💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า" 🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง 🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่ 🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น --- 🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต) 📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่ ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง 💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่" 🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ 🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง" 🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา --- 🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่ 📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า 👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา 👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว 📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่ 👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน 👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร 👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้ 💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า" --- 🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด) 📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง" 💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย" 🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย 🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์ 🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน --- 🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน 📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร 📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด" 📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร" 💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด" 💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้" 👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น 👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น 👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้ ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร

    ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

    ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้

    ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร)

    ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 )

    จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน

    มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง

    โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง

    โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ)

    ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง

    สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย

    จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม

    สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ

    หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html
    http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้ ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร) ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 ) จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ) ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • 54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย

    ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ

    📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย

    "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า

    เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน

    📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ
    👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา

    จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู

    🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า
    ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท"

    ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน"

    🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย
    🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน

    ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง
    ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน
    ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ

    แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?"

    🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง
    🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์"
    รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ

    🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล"
    ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน

    ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม
    22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

    หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย"

    🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ
    ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514
    ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม
    ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่

    🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร?
    👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์?
    👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น?
    👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน?

    แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้...

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568

    #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ 📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน 📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ 👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู 🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท" ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน" 🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย 🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?" 🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง 🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์" รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ 🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล" ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม 22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย" 🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514 ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่ 🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร? 👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์? 👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น? 👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน? แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568 #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ่อยครั้งที่เห็นเพื่อนสมาชิกโพสต์ตามหาหนังสือ ที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกหลังสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักมาใหม่ ๆ ให้ไม่เศร้าจนเกินไป ผมคิดว่าพบเล่มที่ทุกคนหาแล้วล่ะ

    ปกติไม่ค่อยอ่านแนวนี้ แต่พอดีระหว่างรอคิวอ่านเล่มที่สนใจ เห็นปกเล่มนี้เข้าซึ่งภาพวาดน่ารักดี สีพาสเทลที่สบายตา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เลยอยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นอย่างไร อีกทั้งไม่มีคนยืมด้วยก็เลยกดยืมและเข้าไปอ่านแบบอีบุ๊กดูครับ

    🐈‍⬛🐕🐈🐠

    #โอบกอดหัวใจในวันที่น้องกลับดาว
    สนพ. บลูม พับลิชชิ่ง เครือนานมีบุ๊กส์ พิมพ์ครั้งแรก มี.ค2567 (ต้นฉบับพิมพ์ปี 2565)
    สัตวแพทย์ ชิมยงฮี เขียน
    กนกพร เรืองสา แปล
    ออกแบบปกและภาพประกอบ little night
    295 บาท 217 หน้า

    ......

    เป็นหนังสืออ่านง่าย เนื้อหาในแต่ละหน้ามีการจัดวางที่ทำให้รู้สึกสบายตา ไม่หนาแน่นจนเกินไป สีพื้นหลังสวย ๆ ที่มาโทนอ่อนไม่เข้มบาดตา บวกกับภาพประกอบน่ารักสดใส เชื่อว่าจะช่วยเยียวยาจิตใจใครที่กำลังเกิดอาการเหงา เศร้า หดหู่ อันเนื่องมาจากการเพิ่งสูญเสียและจากลาสัตว์ที่ตนรักไปได้พอสมควรครับ

    🐕

    ถึงแม้จะไม่ใช่การรักษาที่ต้นตอของปัญหา ซึ่งนั่นต้องอาศัยการเรียนรู้ความจริงกับหลักธรรมในศาสนาพุทธ มาปรับใช้กับตนเอง แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่อยากจะสนใจธรรมะในตอนนี้ และเลือกจะหาวิธีในรูปแบบอื่นก่อน ดังนั้นจากที่ได้อ่านจบแล้ว จึงขอแนะนำว่าเล่มนี้น่าจะช่วยได้

    🐈

    ผู้เขียนเป็นสัตวแพทย์ ที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างหมาตัวหนึ่ง ซึ่งเขารักมากและได้ตายจากไปเช่นกัน จึงมีประสบการณ์ความรู้สึกผูกพันและเจ็บปวด นอกจากนี้ในฐานะที่ทำงานในรพ.สัตว์อยู่นานถึง 11 ปี จึงมีเคสมากมายที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องรักษาสัตว์ป่วยและบาดเจ็บ พบเห็นความสูญเสียและการพลัดพรากอันน่าเศร้า ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่คือหมาและแมว เขาจบปริญญาโทมาทางให้คำปรึกษาด้านการมรณะโดยเฉพาะด้วย จึงสนทนากับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย บันทึกข้อมูล แล้วนำมาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยสอดแทรกแนวความรู้ที่ตนมีอยู่ในการช่วยปรับสภาพจิตใจให้กับเจ้าของสัตว์ที่กำลังป่วยทางใจได้อย่างดี ด้วยสำนวนภาษาที่ทำให้คนอ่านรู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย เหมือนได้เพื่อนคุยที่เข้าใจหัวอกคนกลุ่มเดียวกัน

    🐕

    เนื้อหามีทั้งส่วนที่เป็นแบบทดสอบเพื่อวัดระดับ ประเมินความเศร้า แบบทดสอบอื่น ๆ ภาควิเคราะห์ และภาคที่เยียวยาในเชิงให้คำปรึกษาแนะนำ ฟื้นฟูและโอบอุ้มด้วยคำพูดที่เลือกมาแล้วอย่างคนเข้าใจปัญหา ไม่ต่อว่าไม่กดดันให้รู้สึกผิด แต่ให้กำลังใจ ให้ความหวัง ให้วิตามินเสริมเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้กลับคืนมาสู่เจ้าของสัตว์ทั้งหลาย ให้สามารถกลับมาเป็นคนสดใสดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข

    🐈

    ช่วงหลังจะเป็นเคสตัวอย่างของผู้ที่เคยสูญเสียหลายกรณี มีทั้งหมา แมวคละกัน บอกเล่าเรื่องราวของแต่ละครอบครัวในวันที่ได้พบกันครั้งแรกจนวันที่ต้องจากลา ด้วยวิธีเล่าแบบเขียนในมุมมองของสัตว์ ที่เผยความในใจที่มีต่อเจ้าของ ขอให้นึกถึงแนวอย่างนวนิยายเรื่อง นิกกับพิม นั่นแหละคล้ายกัน

    🐕

    ระหว่างทางของการรักษาเยียวยาใจให้ผู้ที่กำลังอ่านนั้น ก็มีคั่นด้วยความในใจของเหล่าสัตว์ ที่เป็นกรอบเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปรากฏเป็นช่วง ๆ เพื่อปลอบประโลมดวงใจของมนุษย์ที่ยังอยู่ และต้องแบกรับกับความเจ็บปวดและรู้สึกผิด ความในใจเหล่านั้นคงจะอ่อนโยนราวกับผ้าเช็ดหน้าจากผ้าชั้นดีผืนบาง ที่ช่วยซึมซับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จักหยุดของเจ้าของ ให้เหือดแห้งลงได้ในอนาคตอันใกล้

    🐈

    และถ้าเป็นไปได้ ที่ผมอยากเสนอความเห็นเป็นทางเลือกไว้ให้ลองพิจารณา หลังจากคุณเข้มแข็งขึ้นแล้วคือ การไม่เลี้ยงสัตว์ตัวใหม่เพิ่มอีก น่าจะดีที่สุดที่จะหยุดปัญหาที่จะตามมาในอนาคตครับ

    #รีวิวหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #เรื่องแปล
    #จิตวิทยา
    #การสูญเสีย
    #สัตว์เลี้ยง
    #thaitimes
    #สัตวแพทย์
    #รพ.สัตว์
    #นานมีบุ๊กส์
    บ่อยครั้งที่เห็นเพื่อนสมาชิกโพสต์ตามหาหนังสือ ที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกหลังสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักมาใหม่ ๆ ให้ไม่เศร้าจนเกินไป ผมคิดว่าพบเล่มที่ทุกคนหาแล้วล่ะ ปกติไม่ค่อยอ่านแนวนี้ แต่พอดีระหว่างรอคิวอ่านเล่มที่สนใจ เห็นปกเล่มนี้เข้าซึ่งภาพวาดน่ารักดี สีพาสเทลที่สบายตา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เลยอยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นอย่างไร อีกทั้งไม่มีคนยืมด้วยก็เลยกดยืมและเข้าไปอ่านแบบอีบุ๊กดูครับ 🐈‍⬛🐕🐈🐠 #โอบกอดหัวใจในวันที่น้องกลับดาว สนพ. บลูม พับลิชชิ่ง เครือนานมีบุ๊กส์ พิมพ์ครั้งแรก มี.ค2567 (ต้นฉบับพิมพ์ปี 2565) สัตวแพทย์ ชิมยงฮี เขียน กนกพร เรืองสา แปล ออกแบบปกและภาพประกอบ little night 295 บาท 217 หน้า ...... เป็นหนังสืออ่านง่าย เนื้อหาในแต่ละหน้ามีการจัดวางที่ทำให้รู้สึกสบายตา ไม่หนาแน่นจนเกินไป สีพื้นหลังสวย ๆ ที่มาโทนอ่อนไม่เข้มบาดตา บวกกับภาพประกอบน่ารักสดใส เชื่อว่าจะช่วยเยียวยาจิตใจใครที่กำลังเกิดอาการเหงา เศร้า หดหู่ อันเนื่องมาจากการเพิ่งสูญเสียและจากลาสัตว์ที่ตนรักไปได้พอสมควรครับ 🐕 ถึงแม้จะไม่ใช่การรักษาที่ต้นตอของปัญหา ซึ่งนั่นต้องอาศัยการเรียนรู้ความจริงกับหลักธรรมในศาสนาพุทธ มาปรับใช้กับตนเอง แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่อยากจะสนใจธรรมะในตอนนี้ และเลือกจะหาวิธีในรูปแบบอื่นก่อน ดังนั้นจากที่ได้อ่านจบแล้ว จึงขอแนะนำว่าเล่มนี้น่าจะช่วยได้ 🐈 ผู้เขียนเป็นสัตวแพทย์ ที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างหมาตัวหนึ่ง ซึ่งเขารักมากและได้ตายจากไปเช่นกัน จึงมีประสบการณ์ความรู้สึกผูกพันและเจ็บปวด นอกจากนี้ในฐานะที่ทำงานในรพ.สัตว์อยู่นานถึง 11 ปี จึงมีเคสมากมายที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องรักษาสัตว์ป่วยและบาดเจ็บ พบเห็นความสูญเสียและการพลัดพรากอันน่าเศร้า ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่คือหมาและแมว เขาจบปริญญาโทมาทางให้คำปรึกษาด้านการมรณะโดยเฉพาะด้วย จึงสนทนากับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย บันทึกข้อมูล แล้วนำมาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยสอดแทรกแนวความรู้ที่ตนมีอยู่ในการช่วยปรับสภาพจิตใจให้กับเจ้าของสัตว์ที่กำลังป่วยทางใจได้อย่างดี ด้วยสำนวนภาษาที่ทำให้คนอ่านรู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย เหมือนได้เพื่อนคุยที่เข้าใจหัวอกคนกลุ่มเดียวกัน 🐕 เนื้อหามีทั้งส่วนที่เป็นแบบทดสอบเพื่อวัดระดับ ประเมินความเศร้า แบบทดสอบอื่น ๆ ภาควิเคราะห์ และภาคที่เยียวยาในเชิงให้คำปรึกษาแนะนำ ฟื้นฟูและโอบอุ้มด้วยคำพูดที่เลือกมาแล้วอย่างคนเข้าใจปัญหา ไม่ต่อว่าไม่กดดันให้รู้สึกผิด แต่ให้กำลังใจ ให้ความหวัง ให้วิตามินเสริมเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้กลับคืนมาสู่เจ้าของสัตว์ทั้งหลาย ให้สามารถกลับมาเป็นคนสดใสดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข 🐈 ช่วงหลังจะเป็นเคสตัวอย่างของผู้ที่เคยสูญเสียหลายกรณี มีทั้งหมา แมวคละกัน บอกเล่าเรื่องราวของแต่ละครอบครัวในวันที่ได้พบกันครั้งแรกจนวันที่ต้องจากลา ด้วยวิธีเล่าแบบเขียนในมุมมองของสัตว์ ที่เผยความในใจที่มีต่อเจ้าของ ขอให้นึกถึงแนวอย่างนวนิยายเรื่อง นิกกับพิม นั่นแหละคล้ายกัน 🐕 ระหว่างทางของการรักษาเยียวยาใจให้ผู้ที่กำลังอ่านนั้น ก็มีคั่นด้วยความในใจของเหล่าสัตว์ ที่เป็นกรอบเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปรากฏเป็นช่วง ๆ เพื่อปลอบประโลมดวงใจของมนุษย์ที่ยังอยู่ และต้องแบกรับกับความเจ็บปวดและรู้สึกผิด ความในใจเหล่านั้นคงจะอ่อนโยนราวกับผ้าเช็ดหน้าจากผ้าชั้นดีผืนบาง ที่ช่วยซึมซับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จักหยุดของเจ้าของ ให้เหือดแห้งลงได้ในอนาคตอันใกล้ 🐈 และถ้าเป็นไปได้ ที่ผมอยากเสนอความเห็นเป็นทางเลือกไว้ให้ลองพิจารณา หลังจากคุณเข้มแข็งขึ้นแล้วคือ การไม่เลี้ยงสัตว์ตัวใหม่เพิ่มอีก น่าจะดีที่สุดที่จะหยุดปัญหาที่จะตามมาในอนาคตครับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #เรื่องแปล #จิตวิทยา #การสูญเสีย #สัตว์เลี้ยง #thaitimes #สัตวแพทย์ #รพ.สัตว์ #นานมีบุ๊กส์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วัดธาตุทอง
    #กรุงเทพมหานครฯ

    วัดธาตุ​ทอง​ -​ ผมว่าหลาย​ ๆ​ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า​ BTS.​ เป็น​ประจำ​ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย​ มองไปจะเห็นเจดีย์​สีทองอร่าม​ ประดิษฐาน​ อยู่​ไกล​ๆ​ สวยงามมาก ที่สำคัญ​ดู​ contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้า​ที่ตั้งตรงข้ามราวกับ​ โลกในอดีตกับปัจจุบัน​ประจันหน้ากันแบบ​ ไม่เกรงใจ

    ส่วนตัว​ จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว​ แต่ตอนนั้น​ พระมหาเจดีย์​กำลัง​บูรณะ​ วันนี้ขอแก้ตัว​ นำภาพสวย​ ๆ​ และเรื่องราววัดในเมือง​ ของชาวสุขุมวิท​แห่งนี้กลับมาอีกครั้ง​ มาฟังกันครับ​ วัดธาตุทอง

    พื้นที่แห่งนี้​ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481

    ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน

    สิ่งที่ห้ามพลาด​ ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน​ ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม

    ถัดจากนั้น​เดินไปด้านหลัง​ ไปสักการะ​ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ​

    เป็น​ไงครับ​ แค่ลงรถไฟฟ้า​ สถานีเอกมัย​ มาไม่กี่ก้าว​ ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่​ ความงาม​ และ​ความสงบ​ วัดธาตุ​ทอง​ ใกล้แค่นี้เอง

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #วัดธาตุทอง #กรุงเทพมหานครฯ วัดธาตุ​ทอง​ -​ ผมว่าหลาย​ ๆ​ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า​ BTS.​ เป็น​ประจำ​ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย​ มองไปจะเห็นเจดีย์​สีทองอร่าม​ ประดิษฐาน​ อยู่​ไกล​ๆ​ สวยงามมาก ที่สำคัญ​ดู​ contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้า​ที่ตั้งตรงข้ามราวกับ​ โลกในอดีตกับปัจจุบัน​ประจันหน้ากันแบบ​ ไม่เกรงใจ ส่วนตัว​ จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว​ แต่ตอนนั้น​ พระมหาเจดีย์​กำลัง​บูรณะ​ วันนี้ขอแก้ตัว​ นำภาพสวย​ ๆ​ และเรื่องราววัดในเมือง​ ของชาวสุขุมวิท​แห่งนี้กลับมาอีกครั้ง​ มาฟังกันครับ​ วัดธาตุทอง พื้นที่แห่งนี้​ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481 ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ห้ามพลาด​ ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน​ ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม ถัดจากนั้น​เดินไปด้านหลัง​ ไปสักการะ​ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ​ เป็น​ไงครับ​ แค่ลงรถไฟฟ้า​ สถานีเอกมัย​ มาไม่กี่ก้าว​ ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่​ ความงาม​ และ​ความสงบ​ วัดธาตุ​ทอง​ ใกล้แค่นี้เอง #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน

    ข้อดีของคาสิโน

    1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว


    2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น


    3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน


    4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์


    5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า



    ข้อเสียของคาสิโน

    1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน


    2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน


    3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย


    4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ


    5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน



    คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน

    แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน ข้อดีของคาสิโน 1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว 2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น 3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน 4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์ 5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า ข้อเสียของคาสิโน 1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน 2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน 3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย 4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ 5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครอบครัวไทก้า ไทก้าแมวจรที่สุภาพน่ารัก อ่อนโยน นักล่า ขี้เหงา ถูกแมวเหลืองแก่ไล่กัด ยึดพื้นที่
    ครอบครัวไทก้า ไทก้าแมวจรที่สุภาพน่ารัก อ่อนโยน นักล่า ขี้เหงา ถูกแมวเหลืองแก่ไล่กัด ยึดพื้นที่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นารา เครปกะเทย" ถูกศาลตัดสินจำคุก 28 ปี 7 เดือน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ กรณีฉ้อโกงกล่องสุ่มทองที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ก่อนรับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท

    วันนี้ (20 ก.พ.) มีรายงานว่า นารา เครปกะเทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า

    "อีก5นาทีก่อนตัดสิน ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงท่านศาลจะเมตรตาไหม สิ่งเดียวที่นารารู้ คือนาราจะสู้ให้ถึงที่สุด❤️ ตั้งแต่วันแรกออกมาจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนที่นาราไม่มีวันใช้หนี้เที่ยวบ้างผักผ่อนบ้างเพราะเจอการกดดันอะไรหลายอย่างแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่าให้ใครฟังเจอหลายล้านพันอารมณ์นาราก็ทนทำทุกอย่างที่ได้เงินโดนดูถูก โดนด่า โดนชม ดิฉันได้รองรชชาติมาหมดแล้วงานมีบ้างไม่มีบ้างสุดท้ายเด็กคนนี้ไม่เคยท้อคิดทุกอย่างกูจะทำไงใช้หนี้หมดคิดทุกอย่างทำไงให้มีเงินจะได้ใช้ชีวิตให้สบายบ้างตื่นมาทุกครั้งไม่มีครั้งไหนที่นอนสบายใจตื่นมาคิดทุกวันวันนี้จะทำไรดีอยากกลับไปหาครอบครัวหาไปเที่ยวบ้างก็ทำไม่ได้ทำไปก็โดนด่าขอให้ผ่านไปได้นะ ถ้าผ่านไม่ได้ก็ช่างมันเจออะไรมาหมดแล้ว คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วละรักทุกคน ออกไปได้ฉันจะตั้งใจขายไฟเบอร์นาราให้หมดดีที่สุด รอนะคะทุกคน❤️ อย่าลืมกัน"

    ก่อนที่สุดท้ายแล้วศาลจะมีคำตัดสินว่าจำคุก นารา เครปกะเทย 28 ปี 7 เดือนปรับ 7 หมื่น ข้อหาฉ้อโกงประชาชน-พรบ.คอมพ์

    อย่างไรก็ตาม หลังมีคำตัดสินออกมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับนาราออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

    “ขอให้นาราประกันอุทธรณ์ออกมาได้ด้วยเถอะ ศาลตัดสินมา 28 ปี 7 เดือน รับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017029

    #MGROnline #นาราเครปกะเทย
    "นารา เครปกะเทย" ถูกศาลตัดสินจำคุก 28 ปี 7 เดือน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ กรณีฉ้อโกงกล่องสุ่มทองที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ก่อนรับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท • วันนี้ (20 ก.พ.) มีรายงานว่า นารา เครปกะเทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า • "อีก5นาทีก่อนตัดสิน ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงท่านศาลจะเมตรตาไหม สิ่งเดียวที่นารารู้ คือนาราจะสู้ให้ถึงที่สุด❤️ ตั้งแต่วันแรกออกมาจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนที่นาราไม่มีวันใช้หนี้เที่ยวบ้างผักผ่อนบ้างเพราะเจอการกดดันอะไรหลายอย่างแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่าให้ใครฟังเจอหลายล้านพันอารมณ์นาราก็ทนทำทุกอย่างที่ได้เงินโดนดูถูก โดนด่า โดนชม ดิฉันได้รองรชชาติมาหมดแล้วงานมีบ้างไม่มีบ้างสุดท้ายเด็กคนนี้ไม่เคยท้อคิดทุกอย่างกูจะทำไงใช้หนี้หมดคิดทุกอย่างทำไงให้มีเงินจะได้ใช้ชีวิตให้สบายบ้างตื่นมาทุกครั้งไม่มีครั้งไหนที่นอนสบายใจตื่นมาคิดทุกวันวันนี้จะทำไรดีอยากกลับไปหาครอบครัวหาไปเที่ยวบ้างก็ทำไม่ได้ทำไปก็โดนด่าขอให้ผ่านไปได้นะ ถ้าผ่านไม่ได้ก็ช่างมันเจออะไรมาหมดแล้ว คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วละรักทุกคน ออกไปได้ฉันจะตั้งใจขายไฟเบอร์นาราให้หมดดีที่สุด รอนะคะทุกคน❤️ อย่าลืมกัน" • ก่อนที่สุดท้ายแล้วศาลจะมีคำตัดสินว่าจำคุก นารา เครปกะเทย 28 ปี 7 เดือนปรับ 7 หมื่น ข้อหาฉ้อโกงประชาชน-พรบ.คอมพ์ • อย่างไรก็ตาม หลังมีคำตัดสินออกมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับนาราออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า • “ขอให้นาราประกันอุทธรณ์ออกมาได้ด้วยเถอะ ศาลตัดสินมา 28 ปี 7 เดือน รับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017029 • #MGROnline #นาราเครปกะเทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อลิส" นำโทรศัพท์ไอโฟน 11 มอบดีเอสไอ พิสูจน์ข้อเท็จจริง ยืนยันเป็นคนถ่ายคลิปเองในซอยจรัญฯ 92 แต่ถูกบังแจ็คอ้างกู้มาได้ในมือถือ "แตงโม" จนได้รับผลกระทบ

    วันนี้ (20 ก.พ.) เวลาประมาณ 11.00 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายนิวัฒน์ เกิดพุ่มนาค หรือ "อลิส" นำหลักฐานเป็นโทรศัพท์มือถือ iphone 11 (ไอโฟน 11) เดินทางเข้ามาให้ข้อมูลกับ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อยืนยันถ่ายคลิปวิดีโอ 3 คลิป ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 เป็นของตัวเองถ่ายไว้จริง เมื่อ 3 ปีก่อน หลังคลิปดังกล่าวได้ไปอยู่ในมือถือแตงโม จนมีผลกระทบต่อครอบครัว

    นายนิวัฒน์ กล่าวว่า ตนติดต่อดีเอสไอมาเองเพราะอยากให้ข้อมูล โดยนำคลิปต้นฉบับทั้งหมดและแชทที่เคยคุยกับบังแจ็คมามอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ยืนยันต้นฉบับเป็นของตนล้านเปอร์เซ็นต์และเคยลงในสตอรี่ IG ของตัวเองก่อนที่จะเริ่มคุยกับบังแจ็ค

    นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ตนเริ่มถ่ายคลิปส่งให้บังแจ็คในตอนนั้นเพราะทราบจากข่าวว่าคุณแม่ส่ง มือถือแตงโมให้บังแจ็คแล้วที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตนจึงทักข้อความหาบังแจ็ค 6 มิ.ย.65 ในเพจชื่อ "Bung Jack FC V2" และมีการขอไอดีไลน์เพื่อพูดคุยกัน ตนบอกว่าอาศัยอยู่แถวซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ซึ่งมีอู่เรือที่เจอร่างแตงโมคนแรก จึงช่วยถ่ายคลิปเพื่อหาความเชื่อมโยงในรูปคดี ยืนยันมีเจตนาดี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016895

    #MGROnline #อลิส #ดีเอสไอ #มือถือ #แตงโม
    "อลิส" นำโทรศัพท์ไอโฟน 11 มอบดีเอสไอ พิสูจน์ข้อเท็จจริง ยืนยันเป็นคนถ่ายคลิปเองในซอยจรัญฯ 92 แต่ถูกบังแจ็คอ้างกู้มาได้ในมือถือ "แตงโม" จนได้รับผลกระทบ • วันนี้ (20 ก.พ.) เวลาประมาณ 11.00 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายนิวัฒน์ เกิดพุ่มนาค หรือ "อลิส" นำหลักฐานเป็นโทรศัพท์มือถือ iphone 11 (ไอโฟน 11) เดินทางเข้ามาให้ข้อมูลกับ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อยืนยันถ่ายคลิปวิดีโอ 3 คลิป ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 เป็นของตัวเองถ่ายไว้จริง เมื่อ 3 ปีก่อน หลังคลิปดังกล่าวได้ไปอยู่ในมือถือแตงโม จนมีผลกระทบต่อครอบครัว • นายนิวัฒน์ กล่าวว่า ตนติดต่อดีเอสไอมาเองเพราะอยากให้ข้อมูล โดยนำคลิปต้นฉบับทั้งหมดและแชทที่เคยคุยกับบังแจ็คมามอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ยืนยันต้นฉบับเป็นของตนล้านเปอร์เซ็นต์และเคยลงในสตอรี่ IG ของตัวเองก่อนที่จะเริ่มคุยกับบังแจ็ค • นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ตนเริ่มถ่ายคลิปส่งให้บังแจ็คในตอนนั้นเพราะทราบจากข่าวว่าคุณแม่ส่ง มือถือแตงโมให้บังแจ็คแล้วที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตนจึงทักข้อความหาบังแจ็ค 6 มิ.ย.65 ในเพจชื่อ "Bung Jack FC V2" และมีการขอไอดีไลน์เพื่อพูดคุยกัน ตนบอกว่าอาศัยอยู่แถวซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ซึ่งมีอู่เรือที่เจอร่างแตงโมคนแรก จึงช่วยถ่ายคลิปเพื่อหาความเชื่อมโยงในรูปคดี ยืนยันมีเจตนาดี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016895 • #MGROnline #อลิส #ดีเอสไอ #มือถือ #แตงโม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • มานอนเป็นเจ้าที่แบบนี้ ครอบครัวไทก้าจักทำอย่างไร
    มานอนเป็นเจ้าที่แบบนี้ ครอบครัวไทก้าจักทำอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • มานอนเป็นเจ้าที่แบบนี้ ครอบครัวไทก้าจักทำอย่างไร
    มานอนเป็นเจ้าที่แบบนี้ ครอบครัวไทก้าจักทำอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • แมวแก่เหลืองยึดครองฉี่ใส่ล้อรถ สงสารนะแต่จักมาถาวรไม่ได้ทำให้ไทก้าครอบครัวไร้ที่พัก
    แมวแก่เหลืองยึดครองฉี่ใส่ล้อรถ สงสารนะแต่จักมาถาวรไม่ได้ทำให้ไทก้าครอบครัวไร้ที่พัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยิวเยอรมันอพยพมาปาเลสไตน์หลังสงครามโลก เขียนข้อความบนฝืนผ้ายักษ์ขอความเห็นใจว่า เยอรมันทำลายครอบครัว และบ้านเรือนของเรา อย่าทำลายความหวังของเรา
    ยิวเยอรมันอพยพมาปาเลสไตน์หลังสงครามโลก เขียนข้อความบนฝืนผ้ายักษ์ขอความเห็นใจว่า เยอรมันทำลายครอบครัว และบ้านเรือนของเรา อย่าทำลายความหวังของเรา
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณีของ บ่อนคาสิโน ไม่ว่าจะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ยากที่จะบอกได้ว่าประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์และโทษอย่างถ่องแท้หรือไม่ หากอายุเราพอๆกัน จะจำได้ว่า “เอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” (แปลง่ายๆว่าจะให้คนมาประมูลเปิดบ่อนดึงเงินเข้าประเทศ) นั้นถูกเสนอมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2544-2545 แต่กระแสก็แผ่ว ตอนนั้น มีพ่อของ รัฐมนตรีท่องเที่ยว บอกว่าจะให้เอาโรงแรมแอมบาสเดอร์พัทยานั่นแหละเป็นพื้นที่นำร่องเพราะตรงตามความต้องการดี และ ไม่นานกระแสก็แผ่วเพราะภาคประชาสังคมต่อต้านอย่างมาก ปีนี้ปี พ.ศ. 2568 พ่อนายก ก็ยังขุดของเก่ามาขายอีกมั้งๆที่น่าจะมีกรณีศึกษามาแล้วพอสมควรแก่การละ และ วาง

    การที่ประเทศไทย ไม่มีคาสิโนถูกกฎหมายในทุกวันนี้ กอรป กับการที่ ตำรวจกลายเป็นหน่วยงานที่ถูกระบุว่ามีการคอร์รัปชั่นสูงสุด ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ในตอนที่เขียนไว้ข้างต้น ตัรายงานการสำรวจจาก รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะทำงาน ระบุว่าส่วยตำรวจจากบ่อนการพนันทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2544 น่าจะอยู่ระหว่าง 6 พัน 6 ร้อยล้าน ถึง 1 หมื่น 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับการคอรัปชั่นในรูปแบบอื่นๆอีก ก็เพราะเงินจำนวนมหาศาล นี้เอง ที่ทำให้การฉ้อราษฏร์บังหลวง มันหอมหวานมาก คำถามในเวลานั้นคือถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหานี้จะแก้ได้หรือไม่? นี่ยังคงเป็นคำถามเดียวกันที่เราต้องถามในปัจจุบัน ไม่ใช่ ว่าจะลดบ่อนเถื่อนได้หรือไม่ !

    และก็มีไอ้ประเภทชอบอ้างถึง มาเก๊า สิงค์โปร์ ลาสเวกัส (แต่ไม่ยักอ้างถึงฟิลิปปินส์หรือญี่ปุ่น) …ในเรื่องการเปิดเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์ (บ่อน) - ฟิลิปปินส์ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลบอกว่าภาคอุตสาหกรรมเกมมิ่ง (การพนัน) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำดีมาก แต่ ..ประชาชนติดการพนันทั้งประเทศ .. ญี่ปุ่นมีกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ ค.ศ. 2016 แต่ถึงปัจจุบันก็ยังมองจากการศึกษาถอดบทเรียนว่าได้ไม่คุ้มเสีย …จีน บอกแล้วประชาชนออกไปเล่นนอกประเทศ มีความเสี่ยง มีค่าใช้จ่าย เป็นกำแพง แต่กลับมาในประเทศห้ามมีเด็ดขาดเพราะการที่ประชาชนติดการพนันสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีคุณภาพ …สิงค์โปร์ กฏหมายต่อต้านคอรัปชั่นรุนแรง กำแพงการเข้าถึงสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวใกล้ชิดห้ามข้องแวะโดยเด็ดขาด…มาเก๊าประเทศมีอะไรนอกจากเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์? …ลาสเวกัสและการพนันเสรีในสหรัฐ..ดูประเทศเขาตอนนี้สิ รัฐเนวาดาของสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของลาสเวกัส เมืองบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าอัตราการฆ่า ตัวตายของรัฐฯ สูงที่สุดในอเมริกา อัตราการล้มละลายสูงถึงร้อยละ 50 หรือที่เมืองเดดวูด รัฐดาโกตา หลังจากให้เปิดคาสิโนเพียง 2 ปี พบการทารุณกรรมเด็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 อัตราการฆ่าตัวตายของสามี-ภรรยาที่เล่นพนันสม่ำยิ่งน่าตกใจ มันมากกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศถึง 150 เท่า!!

    ถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ของประเทศไทย ที่ทุกวันนี้ มีแต่ข่าว ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก ผัวฆ่าเมีย แม่ฆ่ายกครัว เจ้าหนี้โหดทวงหนี้ฆ่ายกบ้าน จะเพิ่มขึ้นหรือไม่? (หรือทุกวันนี้ มันก็มีแฝงกับบ่อนเถื่อนต่างๆ อยู่แล้ว?)

    ปัจจุบันนี้ เรามีรัฐบาลแบบนี้ เรามีฝ่ายค้านแบบนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้ว่าไหม?
    กรณีของ บ่อนคาสิโน ไม่ว่าจะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ยากที่จะบอกได้ว่าประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์และโทษอย่างถ่องแท้หรือไม่ หากอายุเราพอๆกัน จะจำได้ว่า “เอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” (แปลง่ายๆว่าจะให้คนมาประมูลเปิดบ่อนดึงเงินเข้าประเทศ) นั้นถูกเสนอมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2544-2545 แต่กระแสก็แผ่ว ตอนนั้น มีพ่อของ รัฐมนตรีท่องเที่ยว บอกว่าจะให้เอาโรงแรมแอมบาสเดอร์พัทยานั่นแหละเป็นพื้นที่นำร่องเพราะตรงตามความต้องการดี และ ไม่นานกระแสก็แผ่วเพราะภาคประชาสังคมต่อต้านอย่างมาก ปีนี้ปี พ.ศ. 2568 พ่อนายก ก็ยังขุดของเก่ามาขายอีกมั้งๆที่น่าจะมีกรณีศึกษามาแล้วพอสมควรแก่การละ และ วาง การที่ประเทศไทย ไม่มีคาสิโนถูกกฎหมายในทุกวันนี้ กอรป กับการที่ ตำรวจกลายเป็นหน่วยงานที่ถูกระบุว่ามีการคอร์รัปชั่นสูงสุด ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ในตอนที่เขียนไว้ข้างต้น ตัรายงานการสำรวจจาก รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะทำงาน ระบุว่าส่วยตำรวจจากบ่อนการพนันทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2544 น่าจะอยู่ระหว่าง 6 พัน 6 ร้อยล้าน ถึง 1 หมื่น 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับการคอรัปชั่นในรูปแบบอื่นๆอีก ก็เพราะเงินจำนวนมหาศาล นี้เอง ที่ทำให้การฉ้อราษฏร์บังหลวง มันหอมหวานมาก คำถามในเวลานั้นคือถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหานี้จะแก้ได้หรือไม่? นี่ยังคงเป็นคำถามเดียวกันที่เราต้องถามในปัจจุบัน ไม่ใช่ ว่าจะลดบ่อนเถื่อนได้หรือไม่ ! และก็มีไอ้ประเภทชอบอ้างถึง มาเก๊า สิงค์โปร์ ลาสเวกัส (แต่ไม่ยักอ้างถึงฟิลิปปินส์หรือญี่ปุ่น) …ในเรื่องการเปิดเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์ (บ่อน) - ฟิลิปปินส์ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลบอกว่าภาคอุตสาหกรรมเกมมิ่ง (การพนัน) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำดีมาก แต่ ..ประชาชนติดการพนันทั้งประเทศ .. ญี่ปุ่นมีกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ ค.ศ. 2016 แต่ถึงปัจจุบันก็ยังมองจากการศึกษาถอดบทเรียนว่าได้ไม่คุ้มเสีย …จีน บอกแล้วประชาชนออกไปเล่นนอกประเทศ มีความเสี่ยง มีค่าใช้จ่าย เป็นกำแพง แต่กลับมาในประเทศห้ามมีเด็ดขาดเพราะการที่ประชาชนติดการพนันสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีคุณภาพ …สิงค์โปร์ กฏหมายต่อต้านคอรัปชั่นรุนแรง กำแพงการเข้าถึงสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวใกล้ชิดห้ามข้องแวะโดยเด็ดขาด…มาเก๊าประเทศมีอะไรนอกจากเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์? …ลาสเวกัสและการพนันเสรีในสหรัฐ..ดูประเทศเขาตอนนี้สิ รัฐเนวาดาของสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของลาสเวกัส เมืองบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าอัตราการฆ่า ตัวตายของรัฐฯ สูงที่สุดในอเมริกา อัตราการล้มละลายสูงถึงร้อยละ 50 หรือที่เมืองเดดวูด รัฐดาโกตา หลังจากให้เปิดคาสิโนเพียง 2 ปี พบการทารุณกรรมเด็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 อัตราการฆ่าตัวตายของสามี-ภรรยาที่เล่นพนันสม่ำยิ่งน่าตกใจ มันมากกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศถึง 150 เท่า!! ถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ของประเทศไทย ที่ทุกวันนี้ มีแต่ข่าว ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก ผัวฆ่าเมีย แม่ฆ่ายกครัว เจ้าหนี้โหดทวงหนี้ฆ่ายกบ้าน จะเพิ่มขึ้นหรือไม่? (หรือทุกวันนี้ มันก็มีแฝงกับบ่อนเถื่อนต่างๆ อยู่แล้ว?) ปัจจุบันนี้ เรามีรัฐบาลแบบนี้ เรามีฝ่ายค้านแบบนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้ว่าไหม?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่ตกหล่นตรงลืมตั้งค่า เลยรู้สึกเหมือนโดนวางยางานให้งานมีปัญหา จนกลายเป็นว่า ผมคิดว่าจะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น ความคืบหน้าถดถอยลง จนผมอยากจะ Cancel งานนี้อยู่แล้ว ทำงานฟรีแลนซ์เหมือนไม่ใช้งานฟรีแลนซ์ ทำงานให้เขาฟรีๆ เงินกว่าจะได้ก็อีกนานไม่ก็ชาติหน้า ไม่มีเวลาโปรโมทงานฟรีแลนซ์เลย เงินเลยช็อตไว แต่วันนี้ผมคงลองงดอาหารแบบที่นักมวยทำกัน วันนี้กินกาแฟแทนข้าว แต่การทำงานของผมจะไม่มีวันล้มง่ายๆ และเกือบจะ Burnout เพราะงานเกือบไม่เทสไม่ผ่าน ลูกค้ารอนานมามากแล้ว แต่ผมเห็นใจลูกค้าและฝีมือของผมดูเชื่องช้าในช่วงที่ผ่านๆมา แต่ช่วงหลังๆมานี้ผมเริ่มแอคทีฟกับงานเพื่อเงินที่มากกว่านั้นและได้วางแผนหาโอกาสใหม่ๆที่ดีกว่านี้ จังหวะดีกว่านี้ เท่านั้นเอง งานดีเลย์เพราะความกดดัน ความคาดหวังไว้สูง ความคาดคั้นของคนในครอบครัวส่วนใหญ่ แต่ผมจะไม่พูดถึงวัน กตัญญูก็ยาก แต่ทำไมต้องจำกัดทางเลือกให้แค่รับราชการอย่างเดียวเท่านั้นละ ไม่มีทางเลือกดีกว่านี้เหรอ หรือทางเลือกของผมมันหมดหวังสำหรับเขา แต่ผมพยายามและหวังกับเส้นทาง ยังไงมันก็ต้องได้ลูกค้าใหม่ ได้เงิน ที่ผ่านมาผมกินอะไรมาเยอะแล้ว มาอดอาหารสักวัน 2 วัน ก็นานๆทีทำได้ แต่อย่าอดติดต่อกัน 3-7 วัน
    วันนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่ตกหล่นตรงลืมตั้งค่า เลยรู้สึกเหมือนโดนวางยางานให้งานมีปัญหา จนกลายเป็นว่า ผมคิดว่าจะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น ความคืบหน้าถดถอยลง จนผมอยากจะ Cancel งานนี้อยู่แล้ว ทำงานฟรีแลนซ์เหมือนไม่ใช้งานฟรีแลนซ์ ทำงานให้เขาฟรีๆ เงินกว่าจะได้ก็อีกนานไม่ก็ชาติหน้า ไม่มีเวลาโปรโมทงานฟรีแลนซ์เลย เงินเลยช็อตไว แต่วันนี้ผมคงลองงดอาหารแบบที่นักมวยทำกัน วันนี้กินกาแฟแทนข้าว แต่การทำงานของผมจะไม่มีวันล้มง่ายๆ และเกือบจะ Burnout เพราะงานเกือบไม่เทสไม่ผ่าน ลูกค้ารอนานมามากแล้ว แต่ผมเห็นใจลูกค้าและฝีมือของผมดูเชื่องช้าในช่วงที่ผ่านๆมา แต่ช่วงหลังๆมานี้ผมเริ่มแอคทีฟกับงานเพื่อเงินที่มากกว่านั้นและได้วางแผนหาโอกาสใหม่ๆที่ดีกว่านี้ จังหวะดีกว่านี้ เท่านั้นเอง งานดีเลย์เพราะความกดดัน ความคาดหวังไว้สูง ความคาดคั้นของคนในครอบครัวส่วนใหญ่ แต่ผมจะไม่พูดถึงวัน กตัญญูก็ยาก แต่ทำไมต้องจำกัดทางเลือกให้แค่รับราชการอย่างเดียวเท่านั้นละ ไม่มีทางเลือกดีกว่านี้เหรอ หรือทางเลือกของผมมันหมดหวังสำหรับเขา แต่ผมพยายามและหวังกับเส้นทาง ยังไงมันก็ต้องได้ลูกค้าใหม่ ได้เงิน ที่ผ่านมาผมกินอะไรมาเยอะแล้ว มาอดอาหารสักวัน 2 วัน ก็นานๆทีทำได้ แต่อย่าอดติดต่อกัน 3-7 วัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛡️ **หมดห่วงทุกค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ**
    - ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายสูงสุดตามแผน
    - ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง อุบัติเหตุ และการรักษาทั่วไป
    - ไม่ต้องสำรองจ่าย โรงพยาบาลในเครือข่ายทั่วประเทศ

    ✨ **ยืดหยุ่น เลือกได้ตามความต้องการของคุณ**
    - วงเงินคุ้มครองสูงสุดที่ปรับได้ตามไลฟ์สไตล์
    - แผนที่เหมาะกับทุกวัย ทั้งคนโสด ครอบครัว หรือผู้สูงอายุ

    💡 **จุดเด่นที่ทำให้คุณอุ่นใจ**
    - บริการรวดเร็ว เคลมง่าย ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก
    - เบี้ยประกันเริ่มต้นในราคาที่เข้าถึงได้

    💬 **ให้คำปรึกษาฟรี!** คลิกเพื่อหาแผนที่ใช่สำหรับคุณ
    🌐 FB Page: Fiamony
    📩 Line ID: @fiamony
    📩 แชทได้เลย: https://lin.ee/lXOjzTj
    ☎️ โทร 081-323-8168

    **เพราะสุขภาพดีต้องมาพร้อมความคุ้มครองที่ดี
    ให้เราเป็นตัวช่วยในทุกจังหวะชีวิตของคุณ**

    #fiamony | #AllianzAyudhya | #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต
    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์
    #ประกันออนไลน์ | #ประกันชีวิต | #ประกันสุขภาพ
    #ประกันสุขภาพเด็ก | #ซื้อประกันสุขภาพ #เหมาจ่าย
    🛡️ **หมดห่วงทุกค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ** - ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายสูงสุดตามแผน - ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง อุบัติเหตุ และการรักษาทั่วไป - ไม่ต้องสำรองจ่าย โรงพยาบาลในเครือข่ายทั่วประเทศ ✨ **ยืดหยุ่น เลือกได้ตามความต้องการของคุณ** - วงเงินคุ้มครองสูงสุดที่ปรับได้ตามไลฟ์สไตล์ - แผนที่เหมาะกับทุกวัย ทั้งคนโสด ครอบครัว หรือผู้สูงอายุ 💡 **จุดเด่นที่ทำให้คุณอุ่นใจ** - บริการรวดเร็ว เคลมง่าย ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก - เบี้ยประกันเริ่มต้นในราคาที่เข้าถึงได้ 💬 **ให้คำปรึกษาฟรี!** คลิกเพื่อหาแผนที่ใช่สำหรับคุณ 🌐 FB Page: Fiamony 📩 Line ID: @fiamony 📩 แชทได้เลย: https://lin.ee/lXOjzTj ☎️ โทร 081-323-8168 **เพราะสุขภาพดีต้องมาพร้อมความคุ้มครองที่ดี ให้เราเป็นตัวช่วยในทุกจังหวะชีวิตของคุณ** #fiamony | #AllianzAyudhya | #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์ #ประกันออนไลน์ | #ประกันชีวิต | #ประกันสุขภาพ #ประกันสุขภาพเด็ก | #ซื้อประกันสุขภาพ #เหมาจ่าย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่?

    ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้:


    ---

    1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้)

    ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้
    ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด
    ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา

    🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า

    เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา)

    เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน

    เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง

    เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี)

    บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้


    👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น

    ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร

    ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว

    เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน



    ---

    2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน)

    ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง
    ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้
    ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน

    🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่

    ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู

    ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง

    เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น

    ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด

    ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น


    👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น

    แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้

    แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้

    แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้



    ---

    🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่

    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า
    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่

    💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้
    💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
    💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน


    ---

    🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด

    ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม
    ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง
    ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้

    📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน?
    ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ
    🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ

    ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!

    🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่? ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้: --- 1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้) ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา 🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา) เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี) บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ 👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน --- 2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน) ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน 🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่ ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น 👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้ แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้ แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ --- 🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่ 💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้ 💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ 💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน --- 🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้ 📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน? ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ 🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดคลิปชายชุดส้ม ตบหน้าพยาบาล ไม่พอใจที่เมียโดนเตือนไม่ให้พาลูกเล็กเยี่ยมผู้ป่วยเชื้อลงปอด

    https://web.facebook.com/share/v/1Behj2P63d/
    .
    Timeline คร่าว ๆ จากเพจหมอ "Sarikahappymen"
    https://web.facebook.com/share/p/165xxKwLEF/
    ยายป่วยไข้หวัดใหญ่รุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจ อาหารหนัก นอน ICU
    ครอบครัวพาหลานที่เป็นเด็กเล็ก เข้ามาเยี่ยมใน ICU
    พยาบาลเข้าไปเตือน ให้เข้าเยี่ยมได้แต่ผู้ใหญ่ ห้ามนำเด็กเข้ามา เนื่องจากเสี่ยงติดเชื้อสูง
    ลูกสาวไม่เชื่อ พาหลานเข้าไป พยาบาลเตือนซ้ำ
    หลานออกไปฟ้องพ่องงว่าพยาบาลตะคอกใส่ สะเทือนใจรุนแรง
    พ่องงเข้าไปตบพยาบาลในห้อง ICU 2 ทีเบา ๆ แบบหน้าหันตัวเซ
    ผู้บริหารให้ยอมความ จนเกิด tag saveพยาบาล ครับ
    เปิดคลิปชายชุดส้ม ตบหน้าพยาบาล ไม่พอใจที่เมียโดนเตือนไม่ให้พาลูกเล็กเยี่ยมผู้ป่วยเชื้อลงปอด https://web.facebook.com/share/v/1Behj2P63d/ . Timeline คร่าว ๆ จากเพจหมอ "Sarikahappymen" https://web.facebook.com/share/p/165xxKwLEF/ ยายป่วยไข้หวัดใหญ่รุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจ อาหารหนัก นอน ICU ครอบครัวพาหลานที่เป็นเด็กเล็ก เข้ามาเยี่ยมใน ICU พยาบาลเข้าไปเตือน ให้เข้าเยี่ยมได้แต่ผู้ใหญ่ ห้ามนำเด็กเข้ามา เนื่องจากเสี่ยงติดเชื้อสูง ลูกสาวไม่เชื่อ พาหลานเข้าไป พยาบาลเตือนซ้ำ หลานออกไปฟ้องพ่องงว่าพยาบาลตะคอกใส่ สะเทือนใจรุนแรง พ่องงเข้าไปตบพยาบาลในห้อง ICU 2 ทีเบา ๆ แบบหน้าหันตัวเซ ผู้บริหารให้ยอมความ จนเกิด tag saveพยาบาล ครับ
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • 📌.เมื่อชีวิตเลยหลักสี่📌..อยากจะบอกว่า
    👉มี "เงิน" อย่าใช้หมด ต้องคอย "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาเกิดวิกฤตคนมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย ทุกข์ต่างกันมากมาย
    👉 มี "งาน" ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงอีกแล้ว ต้องเป็นพนักงานที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ
    👉 มี "คนที่รัก" ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก ต้องสร้าง "สัมพันธ์" กันให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้ เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก
    👉มี "เวลา" ต้องใช้ให้ดี อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะที่เคยคิดกันว่าทุกคนมีเวลาอย่างน้อย 70-80 ปี ต่อจากนี้จะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว
    👉มี "ร่างกาย" ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น "ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี
    👉 มี "จิตใจ" ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่ทุกข์ ไม่กังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
    👉 มี "ชีวิต" ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ❤️ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต"❤️ ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง 📌เพราะสุดท้ายแล้ว มันจะมีเพียงตัวเราเท่านั้น
    📌.เมื่อชีวิตเลยหลักสี่📌..อยากจะบอกว่า 👉มี "เงิน" อย่าใช้หมด ต้องคอย "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาเกิดวิกฤตคนมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย ทุกข์ต่างกันมากมาย 👉 มี "งาน" ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงอีกแล้ว ต้องเป็นพนักงานที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ 👉 มี "คนที่รัก" ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก ต้องสร้าง "สัมพันธ์" กันให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้ เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก 👉มี "เวลา" ต้องใช้ให้ดี อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะที่เคยคิดกันว่าทุกคนมีเวลาอย่างน้อย 70-80 ปี ต่อจากนี้จะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว 👉มี "ร่างกาย" ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น "ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี 👉 มี "จิตใจ" ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่ทุกข์ ไม่กังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง 👉 มี "ชีวิต" ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ❤️ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต"❤️ ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง 📌เพราะสุดท้ายแล้ว มันจะมีเพียงตัวเราเท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก

    ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน

    แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก

    ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม

    ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม

    แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย

    โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

    ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

    หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว

    โดย Sirarom Techasriamornrat

    Source: Brandinside
    https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว โดย Sirarom Techasriamornrat Source: Brandinside https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    BRANDINSIDE.ASIA
    ไทยมี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
    รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญเทพเจ้ากวนอู ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข
    เหรียญเทพเจ้ากวนอู เนื้อกะไหล่ทอง ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข //เทพเจ้ากวนอู หรือ กวนกง หนึ่งในเทพจีนที่ผู้คนนิยมบูชา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ การค้าขาย ปกป้องไม่ให้ผี...วิญญาณชั่วร้ายเข้าบ้าน การเดินทางปลอดภัย มีความซื่อสัตย์ต่อกันก็จักช่วยบรรเทาการทรยศ หักหลัง หรือโดนโกงได้ ส่งผลดีในด้านการงาน การแข่งขันด้านธุรกิจ ทำให้มีอำนาจเหนือศัตรูของผู้บูชาในทุก ๆด้าน ความเชื่อด้านสุขภาพ โชคลาภเงินทอง ครอบครัว ความปลอดภัยและความสำเร็จ >>

    ** “เทพเจ้ากวนอู” ถือเป็นเทพเจ้าศาสนาเต๋า ทั้งยังเป็นเทพที่มีลักษณ์พิเศษเพราะเทพเจ้ากวนอูยังเป็นเทพเจ้าในศาสนาพุทธอีก เนื่องจากในสมัยสามก๊ก กวนอูเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีความกล้าหาญและเก่งในการทำสงคราม คนจีนจึงยกกวนอูเป็นเทพเจ้าหลังจากเสียชีวิตไป ผู้ศรัทธาคิดว่าเทพเจ้ากวนอูสามารถคุ้มครองชีวิตประชาชนในหลายๆด้าน เช่น การค้าขาย ปกป้องไม่ให้ผี...วิญญาณชั่วร้ายเข้าบ้าน การเดินทางปลอดภัย รวมถึงให้สุขภาพแข็งแรง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญเทพเจ้ากวนอู ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข เหรียญเทพเจ้ากวนอู เนื้อกะไหล่ทอง ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข //เทพเจ้ากวนอู หรือ กวนกง หนึ่งในเทพจีนที่ผู้คนนิยมบูชา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ การค้าขาย ปกป้องไม่ให้ผี...วิญญาณชั่วร้ายเข้าบ้าน การเดินทางปลอดภัย มีความซื่อสัตย์ต่อกันก็จักช่วยบรรเทาการทรยศ หักหลัง หรือโดนโกงได้ ส่งผลดีในด้านการงาน การแข่งขันด้านธุรกิจ ทำให้มีอำนาจเหนือศัตรูของผู้บูชาในทุก ๆด้าน ความเชื่อด้านสุขภาพ โชคลาภเงินทอง ครอบครัว ความปลอดภัยและความสำเร็จ >> ** “เทพเจ้ากวนอู” ถือเป็นเทพเจ้าศาสนาเต๋า ทั้งยังเป็นเทพที่มีลักษณ์พิเศษเพราะเทพเจ้ากวนอูยังเป็นเทพเจ้าในศาสนาพุทธอีก เนื่องจากในสมัยสามก๊ก กวนอูเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีความกล้าหาญและเก่งในการทำสงคราม คนจีนจึงยกกวนอูเป็นเทพเจ้าหลังจากเสียชีวิตไป ผู้ศรัทธาคิดว่าเทพเจ้ากวนอูสามารถคุ้มครองชีวิตประชาชนในหลายๆด้าน เช่น การค้าขาย ปกป้องไม่ให้ผี...วิญญาณชั่วร้ายเข้าบ้าน การเดินทางปลอดภัย รวมถึงให้สุขภาพแข็งแรง >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊

    1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ
    2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก
    3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม
    4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้
    5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข
    6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ
    7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน
    8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ
    9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง
    10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง
    📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!

    📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊 1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ 2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก 3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม 4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้ 5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข 6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ 7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน 8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ 9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง 10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง 📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts