• "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน

    “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่

    - นครราชสีมา
    - ชัยภูมิ
    - บุรีรัมย์
    - สุรินทร์
    - ศรีสะเกษ
    - อุบลราชธานี
    - อำนาจเจริญ
    - ยโสธร

    กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน

    ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร?
    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

    1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง
    เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย”

    2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย
    หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
    การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่

    ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน

    สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง

    ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ

    ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน

    ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย

    แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ
    เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

    📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

    📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร

    📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

    🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน
    🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
    🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

    ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้
    🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน
    ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้

    🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช
    เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568

    #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ - นครราชสีมา - ชัยภูมิ - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ - ยโสธร กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร? ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย” 2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" 📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง 📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร 📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่ 🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน 🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ 🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้ 🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้ 🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568 #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเอสไอพบหลักฐานเด็ด! ขบวนการ “ฮั้วเลือก ส.ว.” 🚨 อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน โพยลับทำที่อยุธยา-ปทุมธานี-นครนายก

    📌 ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พบหลักฐานโยงข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน จัดทำโพยลับที่อยุธยา ปทุมธานี นครนายก พร้อมแฉพฤติกรรมการกระทำที่ซับซ้อน มีหลักฐานชัดเจน!

    🔎 เปิดโปงขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. DSI ส่งเอกสารลับถึง กกต. กลายเป็นคดีใหญ่สะเทือนวงการเมือง เมื่อมีเอกสารลับระดับ "ด่วนที่สุด" หลุดออกมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ส่งถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเอกสารดังกล่าว ระบุถึงผลการพิจารณาสืบสวน ตามคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกรณีฮั้วเลือก ส.ว.

    จากการสอบสวน DSI พบว่ามีมูลความผิดตามข้อกล่าวหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน โดยเป็นการกระทำเป็นขบวนการ วางแผนล่วงหน้า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก

    📌 สาระสำคัญของเอกสารลับ ดีเอสไอขอให้ กกต. พิจารณาว่า จะรับดำเนินคดีเองในส่วนใดบ้าง และให้ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 2568

    แต่จนถึงปัจจุบัน กกต. ยังไม่มีการตอบกลับ

    🚨 เผยขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. อั้งยี่ระดับชาติ วางแผนล่วงหน้า จากผลสอบสวน DSI มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่จะเชื่อได้ว่า ขบวนการอั้งยี่นี้มีอยู่จริง และมีการฟอกเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการ โดยพบว่า มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เป็นจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดประกอบไปด้วย 7 คน

    📌 โพยฮั้วเลือก ส.ว. มีอะไรบ้าง?
    สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีรายชื่ออยู่ในโพย อีก 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการวางแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติโดยมิชอบ

    📌 ความผิดที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย
    - พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3)
    - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่)
    - พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

    💰 เป้าหมายของขบวนการนี้
    ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ การแทรกแซงการเลือก ส.ว. เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. เริ่มต้น

    🔥 วิธีการดำเนินงาน ซับซ้อนแ ละเป็นองค์กรอาชญากรรม
    จากการสอบสวน DSI พบว่าขบวนการนี้ ดำเนินงานเป็นระบบ และมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน

    🕵️‍♂️ ลักษณะการดำเนินงานของขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    ✅ มีโครงสร้างแบบองค์กรอาชญากรรม มีลำดับชั้น และการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ
    ✅ ฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณคะแนน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ของการลงคะแนน ให้เป็นไปตามแผน
    ✅ จัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ที่จะได้รับเลือกตามแผน
    ✅ เตรียมบุคคลที่เรียกว่า "พลีชีพ" ทำหน้าที่ลงคะแนนให้ตรงตามโพย
    ✅ วางแผนซับซ้อนและอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
    ✅ เชื่อมโยงกับบุคคล ที่ยังไม่สามารถระบุตัวได้ทั้งหมด

    📌 สถานที่จัดทำโพยฮั้ว
    ดีเอสไอพบว่า ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. จัดทำโพยใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่
    - พระนครศรีอยุธยา
    - ปทุมธานี
    - นครนายก

    💰 ค่าตอบแทน เงินหมุนเวียนในขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    ดีเอสไอพบว่าขบวนการนี้ มีการ จ่ายค่าตอบแทน ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ

    📌 อัตราค่าตอบแทน:
    🏛️ ระดับอำเภอ 5,000 บาท
    🏛️ ระดับจังหวัด 10,000 บาท
    🏛️ ระดับประเทศ 40,000 - 100,000 บาท

    📌 โบนัสพิเศษ:
    💰 100,000 บาท หากสามารถทำให้ผู้สมัคร ได้รับเลือกเกิน 120 คน
    💰 มัดจำล่วงหน้า 20,000 บาท และจ่ายส่วนที่เหลือหลัง กกต. รับรองผล

    🔎 DSI พบหลักฐานเด็ด! ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    📌 หลักฐานสำคัญที่พบ
    ✔️ ผลการเลือก ส.ว. ตรงกับโพยฮั้ว 100%
    ✔️ สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีชื่ออยู่ในโพย
    ✔️ 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง รวมทั้งหมด 140 คน ตรงตามโพย
    ✔️ พบ การแจกเสื้อสีเหลือง และการจัดรถตู้ไปรวมตัวที่เมืองทองธานี

    📢 DSI พร้อมเดินหน้าคดีพิเศษ
    📌 คดีฮั้วเลือก ส.ว. ครั้งนี้ถือเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ซับซ้อน มีขบวนการวางแผนที่ชัดเจน และมีบุคคลเกี่ยวข้องจำนวนมาก

    📌 ดีเอสไอได้ขอให้ กกต. ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 68 ว่าจะดำเนินการในส่วนใดบ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับคำตอบ

    ⚖️ ความคืบหน้าของคดีนี้จะเป็นอย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลัง? และสุดท้ายจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องหรือไม่? ติดตามต่อไป! 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252327 ก.พ. 2568

    #ฮั้วเลือกสว #DSI #อั้งยี่ #ซ่องโจร #ฟอกเงิน #เลือกตั้ง #การเมืองไทย #คดีพิเศษ #ข่าวด่วน #ข่าวใหญ่
    ดีเอสไอพบหลักฐานเด็ด! ขบวนการ “ฮั้วเลือก ส.ว.” 🚨 อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน โพยลับทำที่อยุธยา-ปทุมธานี-นครนายก 📌 ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พบหลักฐานโยงข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน จัดทำโพยลับที่อยุธยา ปทุมธานี นครนายก พร้อมแฉพฤติกรรมการกระทำที่ซับซ้อน มีหลักฐานชัดเจน! 🔎 เปิดโปงขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. DSI ส่งเอกสารลับถึง กกต. กลายเป็นคดีใหญ่สะเทือนวงการเมือง เมื่อมีเอกสารลับระดับ "ด่วนที่สุด" หลุดออกมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ส่งถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเอกสารดังกล่าว ระบุถึงผลการพิจารณาสืบสวน ตามคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกรณีฮั้วเลือก ส.ว. จากการสอบสวน DSI พบว่ามีมูลความผิดตามข้อกล่าวหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน โดยเป็นการกระทำเป็นขบวนการ วางแผนล่วงหน้า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก 📌 สาระสำคัญของเอกสารลับ ดีเอสไอขอให้ กกต. พิจารณาว่า จะรับดำเนินคดีเองในส่วนใดบ้าง และให้ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 2568 แต่จนถึงปัจจุบัน กกต. ยังไม่มีการตอบกลับ 🚨 เผยขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. อั้งยี่ระดับชาติ วางแผนล่วงหน้า จากผลสอบสวน DSI มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่จะเชื่อได้ว่า ขบวนการอั้งยี่นี้มีอยู่จริง และมีการฟอกเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการ โดยพบว่า มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เป็นจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดประกอบไปด้วย 7 คน 📌 โพยฮั้วเลือก ส.ว. มีอะไรบ้าง? สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีรายชื่ออยู่ในโพย อีก 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการวางแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติโดยมิชอบ 📌 ความผิดที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย - พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3) - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) - พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 💰 เป้าหมายของขบวนการนี้ ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ การแทรกแซงการเลือก ส.ว. เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. เริ่มต้น 🔥 วิธีการดำเนินงาน ซับซ้อนแ ละเป็นองค์กรอาชญากรรม จากการสอบสวน DSI พบว่าขบวนการนี้ ดำเนินงานเป็นระบบ และมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน 🕵️‍♂️ ลักษณะการดำเนินงานของขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. ✅ มีโครงสร้างแบบองค์กรอาชญากรรม มีลำดับชั้น และการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ ✅ ฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณคะแนน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ของการลงคะแนน ให้เป็นไปตามแผน ✅ จัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ที่จะได้รับเลือกตามแผน ✅ เตรียมบุคคลที่เรียกว่า "พลีชีพ" ทำหน้าที่ลงคะแนนให้ตรงตามโพย ✅ วางแผนซับซ้อนและอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ✅ เชื่อมโยงกับบุคคล ที่ยังไม่สามารถระบุตัวได้ทั้งหมด 📌 สถานที่จัดทำโพยฮั้ว ดีเอสไอพบว่า ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. จัดทำโพยใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ - พระนครศรีอยุธยา - ปทุมธานี - นครนายก 💰 ค่าตอบแทน เงินหมุนเวียนในขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. ดีเอสไอพบว่าขบวนการนี้ มีการ จ่ายค่าตอบแทน ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ 📌 อัตราค่าตอบแทน: 🏛️ ระดับอำเภอ 5,000 บาท 🏛️ ระดับจังหวัด 10,000 บาท 🏛️ ระดับประเทศ 40,000 - 100,000 บาท 📌 โบนัสพิเศษ: 💰 100,000 บาท หากสามารถทำให้ผู้สมัคร ได้รับเลือกเกิน 120 คน 💰 มัดจำล่วงหน้า 20,000 บาท และจ่ายส่วนที่เหลือหลัง กกต. รับรองผล 🔎 DSI พบหลักฐานเด็ด! ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. 📌 หลักฐานสำคัญที่พบ ✔️ ผลการเลือก ส.ว. ตรงกับโพยฮั้ว 100% ✔️ สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีชื่ออยู่ในโพย ✔️ 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง รวมทั้งหมด 140 คน ตรงตามโพย ✔️ พบ การแจกเสื้อสีเหลือง และการจัดรถตู้ไปรวมตัวที่เมืองทองธานี 📢 DSI พร้อมเดินหน้าคดีพิเศษ 📌 คดีฮั้วเลือก ส.ว. ครั้งนี้ถือเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ซับซ้อน มีขบวนการวางแผนที่ชัดเจน และมีบุคคลเกี่ยวข้องจำนวนมาก 📌 ดีเอสไอได้ขอให้ กกต. ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 68 ว่าจะดำเนินการในส่วนใดบ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับคำตอบ ⚖️ ความคืบหน้าของคดีนี้จะเป็นอย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลัง? และสุดท้ายจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องหรือไม่? ติดตามต่อไป! 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252327 ก.พ. 2568 #ฮั้วเลือกสว #DSI #อั้งยี่ #ซ่องโจร #ฟอกเงิน #เลือกตั้ง #การเมืองไทย #คดีพิเศษ #ข่าวด่วน #ข่าวใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่

    หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯
    สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ...

    1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️

    ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ

    2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️

    หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต

    3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻

    เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง

    4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉

    การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน

    5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈

    หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น

    ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก

    ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568

    ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่...
    แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล

    ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568

    ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย

    📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง
    เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น

    เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ

    1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย
    2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย
    3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
    4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼
    5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง

    จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ

    อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY

    ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์
    ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th
    ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th
    🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี!
    📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨

    ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน)

    https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024
    https://www.ttbbank.com/th/analytics
    https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876
    www.dailynews.co.th/articles/899255
    https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่ หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯 สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ... 1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️ ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ 2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️ หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต 3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻 เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง 4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉 การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน 5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈 หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568 ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่... แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568 ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย 📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ 1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย 2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย 3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก 4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼 5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th 🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี! 📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨ ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน) https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024 https://www.ttbbank.com/th/analytics https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876 www.dailynews.co.th/articles/899255 https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

    🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา

    🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534
    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
    วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย

    🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์
    1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท
    2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช
    3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา
    4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ
    5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์
    6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์
    7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง
    8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ
    9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร
    🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย

    💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

    🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์
    📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ

    🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ”

    🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง”

    ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
    🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช.

    📌 เหตุการณ์สำคัญ:
    เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี
    17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง
    พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก

    🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536
    📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

    ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า
    ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา

    📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน

    🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย
    📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
    1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม

    2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง

    3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง

    📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย
    📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ
    📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
    📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568

    🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์ 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ 🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา 🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534 📅 เหตุการณ์สำคัญ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย 🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์ 1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท 2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช 3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา 4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ 5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ 6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์ 7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง 8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ 9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร 🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย 💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก 🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์ 📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ 🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ” 🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช. 📌 เหตุการณ์สำคัญ: เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี 17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก 🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536 📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา 📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน 🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย 📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ 1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม 2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง 3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง 📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย 📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ 📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน 📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568 🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม ซึ่ง SpaceX ของ Elon Musk ด้วยโครงการ Starlink กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งจากจีนอย่าง SpaceSail รวมถึง Project Kuiper ของ Amazon

    ปัจจุบัน SpaceX ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชีย โดยมีฐานลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง นอกจากนี้ Amazon ยังมีแผนจะเริ่มให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    ที่น่าสนใจคือ SpaceSail ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐของจีน กำลังเร่งขยายตลาดต่างประเทศโดยมีเป้าหมายจะติดตั้งดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวน 648 ดวงภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030 มีแผนที่จะให้บริการในประเทศบราซิลและคาซัคสถาน รวมถึงกำลังเจรจากับกว่า 30 ประเทศอื่นๆ

    การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ SpaceSail ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลและการเซ็นเซอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลตะวันตกเคยมีความกังวลต่อ Huawei ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน TikTok ก็เคยเผชิญกับการตรวจสอบเนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีนเช่นกัน

    การแข่งขันในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่ความเร็วและความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองด้วย การขยายบริการของดาวเทียมอินเทอร์เน็ตจากจีนอาจทำให้เกิดการตรวจสอบเพิ่มเติมจากรัฐบาลตะวันตก

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/chinas-rival-to-elon-musks-starlink-has-the-potential-to-challenge-its-reach-by-2030-says-report
    มีรายงานถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม ซึ่ง SpaceX ของ Elon Musk ด้วยโครงการ Starlink กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งจากจีนอย่าง SpaceSail รวมถึง Project Kuiper ของ Amazon ปัจจุบัน SpaceX ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชีย โดยมีฐานลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง นอกจากนี้ Amazon ยังมีแผนจะเริ่มให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าสนใจคือ SpaceSail ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐของจีน กำลังเร่งขยายตลาดต่างประเทศโดยมีเป้าหมายจะติดตั้งดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวน 648 ดวงภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030 มีแผนที่จะให้บริการในประเทศบราซิลและคาซัคสถาน รวมถึงกำลังเจรจากับกว่า 30 ประเทศอื่นๆ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ SpaceSail ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลและการเซ็นเซอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลตะวันตกเคยมีความกังวลต่อ Huawei ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน TikTok ก็เคยเผชิญกับการตรวจสอบเนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีนเช่นกัน การแข่งขันในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่ความเร็วและความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองด้วย การขยายบริการของดาวเทียมอินเทอร์เน็ตจากจีนอาจทำให้เกิดการตรวจสอบเพิ่มเติมจากรัฐบาลตะวันตก https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/chinas-rival-to-elon-musks-starlink-has-the-potential-to-challenge-its-reach-by-2030-says-report
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's rival to Elon Musk’s Starlink has the potential to challenge its reach by 2030, says report
    Deployment of the Chinese SpaceSail network will raise internet security and censorship concerns around the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการประท้วงทั่วประเทศที่มุ่งโจมตี Elon Musk และบริษัท Tesla ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว การเคลื่อนไหวนี้เน้นที่การส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Tesla และเพื่อตอบโต้มุมมองทางการเมืองของ Musk ที่ออกมาต่อต้านหลายสิ่ง

    เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2025 การประท้วงในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ได้รวมกลุ่มผู้ชุมนุมหลายร้อยคนที่ชุมนุมกันที่ทางเข้าห้างสรรพสินค้า University Village รวมถึงหน้าร้านโชว์รูมของ Tesla เป้าหมายของการเคลื่อนไหวนี้คือการเรียกร้องให้คนขายรถ Tesla และขายหุ้น Tesla เพื่อกดดันให้ราคาหุ้นตก

    หนึ่งในผู้จัดงานคือ Alex Winter นักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่า "การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อเตือนผู้ถือหุ้นและประชาชนว่า Tesla เป็นส่วนสำคัญในมูลค่าของ Musk และการประท้วงนี้อาจส่งผลให้ราคาหุ้นของ Tesla ตกลง"

    Tesla ซึ่ง Musk ดำรงตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2008 มีมูลค่าตลาดกว่า 1.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Musk ถือหุ้นประมาณ 13% ของบริษัท ที่มูลค่าประมาณ 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การประท้วงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อบริษัทและทำให้มูลค่าหุ้นลดลง ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของ Musk

    แม้ว่าราคาหุ้น Tesla จะลดลงถึง 15% ในเดือนที่ผ่านมา แต่หุ้น Tesla ยังมีสุขภาพดีในระยะยาว ในปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้น 87% และปัจจุบันอยู่ที่ 360 ดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาด ในยุโรป ยอดขายของ Tesla ลดลง 59% ในเยอรมนี และ 63% ในฝรั่งเศสเมื่อเทียบปีต่อปี

    รายได้สุทธิของ Tesla ในไตรมาสที่สี่ของปี 2024 ลดลง 71% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงจาก 7.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 2.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การเคลื่อนไหวประท้วงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความไม่พอใจต่อบริษัทขนาดใหญ่ เช่น การประท้วง Bud-Light ในปี 2023 และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Target ที่เกิดจากแรงกดดันจากผู้บริโภค

    เป้าหมายของการประท้วงนี้คือการกดดันให้ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการบริหารของ Tesla พิจารณาถึงความเสี่ยงและผลกระทบจากการเป็นผู้นำของ Musk

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/the-tesla-takedown-has-begun-a-national-protest-movement-seeks-to-strike-a-blow-to-elon-musks-net-worth
    มีการประท้วงทั่วประเทศที่มุ่งโจมตี Elon Musk และบริษัท Tesla ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว การเคลื่อนไหวนี้เน้นที่การส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Tesla และเพื่อตอบโต้มุมมองทางการเมืองของ Musk ที่ออกมาต่อต้านหลายสิ่ง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2025 การประท้วงในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ได้รวมกลุ่มผู้ชุมนุมหลายร้อยคนที่ชุมนุมกันที่ทางเข้าห้างสรรพสินค้า University Village รวมถึงหน้าร้านโชว์รูมของ Tesla เป้าหมายของการเคลื่อนไหวนี้คือการเรียกร้องให้คนขายรถ Tesla และขายหุ้น Tesla เพื่อกดดันให้ราคาหุ้นตก หนึ่งในผู้จัดงานคือ Alex Winter นักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่า "การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อเตือนผู้ถือหุ้นและประชาชนว่า Tesla เป็นส่วนสำคัญในมูลค่าของ Musk และการประท้วงนี้อาจส่งผลให้ราคาหุ้นของ Tesla ตกลง" Tesla ซึ่ง Musk ดำรงตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2008 มีมูลค่าตลาดกว่า 1.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Musk ถือหุ้นประมาณ 13% ของบริษัท ที่มูลค่าประมาณ 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การประท้วงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อบริษัทและทำให้มูลค่าหุ้นลดลง ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของ Musk แม้ว่าราคาหุ้น Tesla จะลดลงถึง 15% ในเดือนที่ผ่านมา แต่หุ้น Tesla ยังมีสุขภาพดีในระยะยาว ในปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้น 87% และปัจจุบันอยู่ที่ 360 ดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาด ในยุโรป ยอดขายของ Tesla ลดลง 59% ในเยอรมนี และ 63% ในฝรั่งเศสเมื่อเทียบปีต่อปี รายได้สุทธิของ Tesla ในไตรมาสที่สี่ของปี 2024 ลดลง 71% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงจาก 7.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 2.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเคลื่อนไหวประท้วงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความไม่พอใจต่อบริษัทขนาดใหญ่ เช่น การประท้วง Bud-Light ในปี 2023 และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Target ที่เกิดจากแรงกดดันจากผู้บริโภค เป้าหมายของการประท้วงนี้คือการกดดันให้ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการบริหารของ Tesla พิจารณาถึงความเสี่ยงและผลกระทบจากการเป็นผู้นำของ Musk https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/the-tesla-takedown-has-begun-a-national-protest-movement-seeks-to-strike-a-blow-to-elon-musks-net-worth
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The Tesla takedown has begun. A national protest movement seeks to strike a blow to Elon Musk’s net worth
    As DOGE barrels through D.C., Americans on the ground are starting to mobilize outside Tesla dealerships.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเดินหน้าในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตร (2nm) อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2025 และอาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วยหากไม่พบอุปสรรคในการผลิตใด ๆ

    จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ใน Economic Daily News TSMC ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการทดลองผลิตโดยมีอัตราการผลิตที่สำเร็จ (yield) สูงถึง 60% ซึ่งทำให้ TSMC สามารถเปลี่ยนมาสู่การผลิตเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชิปรุ่นใหม่ในหลากหลายแอปพลิเคชัน

    มีโรงงานสองแห่งในไต้หวันที่เน้นการผลิตชิปรุ่น 2nm ได้แก่ โรงงานใน Baoshan และ Kaohsiung ในระยะการทดลองผลิต TSMC มีเป้าหมายในการผลิตเวเฟอร์ที่ 5,000 หน่วยที่โรงงานใน Kaohsiung และ Baoshan แต่จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า TSMC มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ และหากไม่มีอุปสรรคในการผลิต จำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วย

    โรงงานใน Baoshan มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 25,000 หน่วยต่อเดือน และอีก 25,000 หน่วยจะถูกผลิตโดยโรงงานใน Kaohsiung ความต้องการชิปรุ่น 2nm คาดว่าจะสูงกว่ารุ่น 3nm ซึ่งทำให้ TSMC ต้องเร่งการผลิตเพื่อให้ได้จำนวนที่ต้องการ

    ในขณะที่ TSMC กำลังทำได้ดีกว่า Samsung ที่มีอัตราการผลิตสำเร็จเพียง 30% ในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2nm GAA ของ Exynos 2600 การที่ TSMC สามารถเพิ่มการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้

    https://wccftech.com/tsmc-2nm-output-could-reach-up-to-80000-monthly-wafers-in-2025/
    TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเดินหน้าในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตร (2nm) อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2025 และอาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วยหากไม่พบอุปสรรคในการผลิตใด ๆ จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ใน Economic Daily News TSMC ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการทดลองผลิตโดยมีอัตราการผลิตที่สำเร็จ (yield) สูงถึง 60% ซึ่งทำให้ TSMC สามารถเปลี่ยนมาสู่การผลิตเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชิปรุ่นใหม่ในหลากหลายแอปพลิเคชัน มีโรงงานสองแห่งในไต้หวันที่เน้นการผลิตชิปรุ่น 2nm ได้แก่ โรงงานใน Baoshan และ Kaohsiung ในระยะการทดลองผลิต TSMC มีเป้าหมายในการผลิตเวเฟอร์ที่ 5,000 หน่วยที่โรงงานใน Kaohsiung และ Baoshan แต่จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า TSMC มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ และหากไม่มีอุปสรรคในการผลิต จำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วย โรงงานใน Baoshan มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 25,000 หน่วยต่อเดือน และอีก 25,000 หน่วยจะถูกผลิตโดยโรงงานใน Kaohsiung ความต้องการชิปรุ่น 2nm คาดว่าจะสูงกว่ารุ่น 3nm ซึ่งทำให้ TSMC ต้องเร่งการผลิตเพื่อให้ได้จำนวนที่ต้องการ ในขณะที่ TSMC กำลังทำได้ดีกว่า Samsung ที่มีอัตราการผลิตสำเร็จเพียง 30% ในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2nm GAA ของ Exynos 2600 การที่ TSMC สามารถเพิ่มการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ https://wccftech.com/tsmc-2nm-output-could-reach-up-to-80000-monthly-wafers-in-2025/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s Efforts In 2nm Production Could See The Company Reaching 50,000 Monthly Wafers In 2025; With Both Facilities Operational, Output Could Reach 80,000 Units
    Two 2nm facilities belonging to TSMC have the potential to produce 80,000 monthly wafers as demand for next-generation chips continues to rise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้วนมีที่มา เป้าหมายหลัก
    กายธาตุปกคุมรุมล้อมด้วยไฟ
    ล้วนมีที่มา เป้าหมายหลัก กายธาตุปกคุมรุมล้อมด้วยไฟ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ศาลฎีกาจีนเผยแพร่ผลการพิจารณาคดีสำคัญ 7 คดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงผ่านระบบโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดมีการตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 ผู้ต้องหาคนสำคัญจากกลุ่มอาชญากรรมที่ก่อเหตุฉ้อโกงข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในคดีประเภท "โรแมนซ์สแกม"

    รายงานของศาลฎีการะบุว่า ในช่วงต้นปี 2563 ผู้ต้องหาชาวจีนได้จัดตั้งกลุ่มฉ้อโกงที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ในพื้นที่ที่เรียกว่า "สวนไฉเสิน อินเตอร์เนชั่นแนล" (Caishen International Park) โดยพวกเขาจ้างสมาชิกอีกหลายคนมาเป็นทีมงานเพื่อดำเนินการหลอกลวงประชาชนจีนผ่านโลกออนไลน์ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นผู้หญิงที่เป็นนักธุรกิจหรือผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี

    วิธีการของกลุ่มนี้คือใช้แอปพลิเคชั่นแชทและโซเชียลมีเดียต่างชาติในการเข้าหาเหยื่อ ปลอมตัวเป็นผู้ชายที่มีฐานะดีหน้าตาดี ทำทีตีสนิท พูดคุยจนเหยื่อเชื่อใจ จากนั้นหลอกล่อให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันลงทุนออนไลน์หรือพนันออนไลน์ปลอมชื่อ "จินเทียนลี่" และแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งกลุ่มสามารถควบคุมและจัดการผลลัพธ์ให้เหยื่อหลงเชื่อได้ เมื่อเหยื่อลงทุนด้วยจำนวนเงินมากแล้ว กลุ่มจะตัดช่องทางถอนเงินออก และตัดการติดต่อกับเหยื่อในทันที

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000018150

    #MGROnline #โรแมนซ์สแกม
    ศาลฎีกาจีนเผยแพร่ผลการพิจารณาคดีสำคัญ 7 คดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงผ่านระบบโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดมีการตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 ผู้ต้องหาคนสำคัญจากกลุ่มอาชญากรรมที่ก่อเหตุฉ้อโกงข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในคดีประเภท "โรแมนซ์สแกม" • รายงานของศาลฎีการะบุว่า ในช่วงต้นปี 2563 ผู้ต้องหาชาวจีนได้จัดตั้งกลุ่มฉ้อโกงที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ในพื้นที่ที่เรียกว่า "สวนไฉเสิน อินเตอร์เนชั่นแนล" (Caishen International Park) โดยพวกเขาจ้างสมาชิกอีกหลายคนมาเป็นทีมงานเพื่อดำเนินการหลอกลวงประชาชนจีนผ่านโลกออนไลน์ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นผู้หญิงที่เป็นนักธุรกิจหรือผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี • วิธีการของกลุ่มนี้คือใช้แอปพลิเคชั่นแชทและโซเชียลมีเดียต่างชาติในการเข้าหาเหยื่อ ปลอมตัวเป็นผู้ชายที่มีฐานะดีหน้าตาดี ทำทีตีสนิท พูดคุยจนเหยื่อเชื่อใจ จากนั้นหลอกล่อให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันลงทุนออนไลน์หรือพนันออนไลน์ปลอมชื่อ "จินเทียนลี่" และแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งกลุ่มสามารถควบคุมและจัดการผลลัพธ์ให้เหยื่อหลงเชื่อได้ เมื่อเหยื่อลงทุนด้วยจำนวนเงินมากแล้ว กลุ่มจะตัดช่องทางถอนเงินออก และตัดการติดต่อกับเหยื่อในทันที • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000018150 • #MGROnline #โรแมนซ์สแกม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • อังเดร เยอร์มัค หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดียูเครน กล่าวบนเวทีเดียวกับเซเลนสกีว่า ไม่มีการประนีประนอมใดๆ เกี่ยวกับเอกราชบนดินแดน และอำนาจอธิปไตยของยูเครน:

    “ทั้งตัวประธานาธิบดี และทีมงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย นั่นคือจะไม่มีการประนีประนอมใดๆ เกี่ยวกับเอกราชบนดินแดน และอำนาจอธิปไตยของยูเครน หากมีการรับประกันความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและไม่มีดินแดนใดตกเป็นของรัสเซีย มันจะทำให้ยูเครนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสงครามอีกครั้ง”
    อังเดร เยอร์มัค หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดียูเครน กล่าวบนเวทีเดียวกับเซเลนสกีว่า ไม่มีการประนีประนอมใดๆ เกี่ยวกับเอกราชบนดินแดน และอำนาจอธิปไตยของยูเครน: “ทั้งตัวประธานาธิบดี และทีมงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย นั่นคือจะไม่มีการประนีประนอมใดๆ เกี่ยวกับเอกราชบนดินแดน และอำนาจอธิปไตยของยูเครน หากมีการรับประกันความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและไม่มีดินแดนใดตกเป็นของรัสเซีย มันจะทำให้ยูเครนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสงครามอีกครั้ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่อาจจะเป็นที่มาของกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก

    ในยุคของไบเดน สหรัฐอเมริกาใช้แรงกดดันทางการทูตอย่างหนัก เพื่อบังคับให้ไทย กรีซ ลิคเทนสไตน์ และประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมสิทธิพิเศษให้กับบุคคลที่ระบุตัวตนว่าเป็น LGBTQIA+ โดยใช้ USAID ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อในการ "สนับสนุน" อย่างแข็งขัน

    ฝ่ายเสรีนิยมของอเมริกามีการวางแผนสนับสนุนคนข้ามเพศมาอย่างยาวนาน เช่น โครงการ "Being LGBT in Asia" ของ USAID ที่นำเงินไปลงทุนในองค์กรพัฒนาเอกชน "LGBT" ในเอเชีย ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมสิทธิพื้นฐานของกลุ่ม LGBT ทั่วทั้งทวีปและในประเทศเป้าหมายเฉพาะ เช่น ไทย จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

    นอกจากนี้ในปี 2014 สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนในกรุงเทพฯ ร่วมมือกับ USAID เพื่อยกระดับองค์กรในการแก้ไขปัญหาสิทธิของกลุ่ม LGBT
    นี่อาจจะเป็นที่มาของกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก ในยุคของไบเดน สหรัฐอเมริกาใช้แรงกดดันทางการทูตอย่างหนัก เพื่อบังคับให้ไทย กรีซ ลิคเทนสไตน์ และประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมสิทธิพิเศษให้กับบุคคลที่ระบุตัวตนว่าเป็น LGBTQIA+ โดยใช้ USAID ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อในการ "สนับสนุน" อย่างแข็งขัน ฝ่ายเสรีนิยมของอเมริกามีการวางแผนสนับสนุนคนข้ามเพศมาอย่างยาวนาน เช่น โครงการ "Being LGBT in Asia" ของ USAID ที่นำเงินไปลงทุนในองค์กรพัฒนาเอกชน "LGBT" ในเอเชีย ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมสิทธิพื้นฐานของกลุ่ม LGBT ทั่วทั้งทวีปและในประเทศเป้าหมายเฉพาะ เช่น ไทย จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ในปี 2014 สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนในกรุงเทพฯ ร่วมมือกับ USAID เพื่อยกระดับองค์กรในการแก้ไขปัญหาสิทธิของกลุ่ม LGBT
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้กล่าวถึงการซื้อกิจการของบริษัท Seagate ที่มีเป้าหมายจะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) การซื้อกิจการนี้มีความสำคัญเพราะ HAMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำฮาร์ดดิสก์ให้มีความจุสูงถึง 100TB หรือมากกว่าในอนาคต

    Seagate ประกาศการซื้อ Intevac ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ขนาด 36TB และประกาศว่าจะมีรุ่น 60TB ตามมาในไม่ช้า ด้วยการเข้าซื้อ Intevac ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตระบบ sputtering สำหรับการเคลือบวัสดุบาง ๆ เช่น โลหะผสมเหล็ก-แพลทินัม (FePt) ลงบนแผ่นฮาร์ดดิสก์ จะช่วยให้ Seagate สามารถผลิตชั้นแม่เหล็กที่มีความสม่ำเสมอสูง มีอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนที่ดีขึ้น และมีข้อบกพร่องน้อยลง ส่งผลให้การเก็บข้อมูลมีความหนาแน่นมากขึ้น

    เทคโนโลยี HAMR ใช้ความร้อนในการลดความต้านทานแม่เหล็ก ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเป็นหน่วยที่เล็กและเสถียรกว่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดดิสก์

    การซื้อกิจการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของ Intevac แล้ว โดยมีข้อตกลงให้ Seagate ซื้อ Intevac ด้วยเงินสดในราคาหุ้นละ $4 การซื้อขายนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน 2025

    อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการนี้อาจถูกคัดค้านจากคู่แข่งอย่าง Western Digital และ Resonac ซึ่งเป็นลูกค้าของ Toshiba เนื่องจากกังวลว่าการซื้อกิจการจะทำให้การแข่งขันลดลงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ของพวกเขา

    Seagate คาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ได้หลังจากการซื้อกิจการนี้ แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ Western Digital และ Toshiba ต้องซื้อเครื่องมือ sputtering จาก Seagate ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ

    https://www.techradar.com/pro/race-to-100tb-hdd-heats-up-as-seagate-pulls-rug-under-western-digital-toshiba-feet-by-acquiring-hamr-specialist
    ข่าวนี้กล่าวถึงการซื้อกิจการของบริษัท Seagate ที่มีเป้าหมายจะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) การซื้อกิจการนี้มีความสำคัญเพราะ HAMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำฮาร์ดดิสก์ให้มีความจุสูงถึง 100TB หรือมากกว่าในอนาคต Seagate ประกาศการซื้อ Intevac ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ขนาด 36TB และประกาศว่าจะมีรุ่น 60TB ตามมาในไม่ช้า ด้วยการเข้าซื้อ Intevac ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตระบบ sputtering สำหรับการเคลือบวัสดุบาง ๆ เช่น โลหะผสมเหล็ก-แพลทินัม (FePt) ลงบนแผ่นฮาร์ดดิสก์ จะช่วยให้ Seagate สามารถผลิตชั้นแม่เหล็กที่มีความสม่ำเสมอสูง มีอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนที่ดีขึ้น และมีข้อบกพร่องน้อยลง ส่งผลให้การเก็บข้อมูลมีความหนาแน่นมากขึ้น เทคโนโลยี HAMR ใช้ความร้อนในการลดความต้านทานแม่เหล็ก ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเป็นหน่วยที่เล็กและเสถียรกว่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดดิสก์ การซื้อกิจการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของ Intevac แล้ว โดยมีข้อตกลงให้ Seagate ซื้อ Intevac ด้วยเงินสดในราคาหุ้นละ $4 การซื้อขายนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน 2025 อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการนี้อาจถูกคัดค้านจากคู่แข่งอย่าง Western Digital และ Resonac ซึ่งเป็นลูกค้าของ Toshiba เนื่องจากกังวลว่าการซื้อกิจการจะทำให้การแข่งขันลดลงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ของพวกเขา Seagate คาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ได้หลังจากการซื้อกิจการนี้ แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ Western Digital และ Toshiba ต้องซื้อเครื่องมือ sputtering จาก Seagate ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ https://www.techradar.com/pro/race-to-100tb-hdd-heats-up-as-seagate-pulls-rug-under-western-digital-toshiba-feet-by-acquiring-hamr-specialist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌟 **3 เหตุผลที่ควรมีเป้าหมายในชีวิต** 🌟

    1. **แรงบันดาลใจ** 🚀
    2. **ความชัดเจน** 🎯
    3. **สุขภาพจิตดีขึ้น** 😊

    💡 **จงตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้ทุกวันมีความหมาย!** 💪✨
    🌟 **3 เหตุผลที่ควรมีเป้าหมายในชีวิต** 🌟 1. **แรงบันดาลใจ** 🚀 2. **ความชัดเจน** 🎯 3. **สุขภาพจิตดีขึ้น** 😊 💡 **จงตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้ทุกวันมีความหมาย!** 💪✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท ASE Technology กำลังทุ่มทุน $200 ล้านเพื่อทดสอบวิธีการบรรจุชิปรูปแบบใหม่ที่ใช้แผ่นซับสเตรต (substrate) ทรงสี่เหลี่ยมแทนแผ่นเวเฟอร์ (wafers) ทรงกลมแบบเดิม โดยวิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตแพ็กเกจชิปขั้นสูงของบริษัท

    ในระยะแรก บริษัทมีแผนจะตั้งสายการผลิตทดลองขนาดเล็กที่เมืองเกาสง ประเทศไต้หวัน โดยจะติดตั้งเครื่องจักรทดลองที่สามารถจัดการกับแผ่นซับสเตรตขนาด 600 มม. x 600 มม. แทนที่แผ่นเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ทรงกลม การใช้แผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมนี้อาจเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ถึง 5 เท่าของแผ่นเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ทำให้สามารถประกอบโปรเซสเซอร์แบบ multi-chiplet AI ได้มากขึ้นบนแผ่นซับสเตรตเดียว

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีเครื่องจักรที่พร้อมใช้สำหรับการผลิตแผ่นซับสเตรตขนาดใหญ่นี้ที่ตรงตามมาตรฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน ดังนั้น ASE จึงต้องร่วมมือกับผู้จัดหาเครื่องจักรเพื่อพัฒนาเครื่องมือที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นไปได้

    การใช้แผ่นซับสเตรตขนาดใหญ่ยังเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับการเปลี่ยนไปใช้แผ่นซับสเตรตที่ทำจากแก้ว ซึ่งมีคุณสมบัติดีขึ้นในด้านความเรียบ ความเสถียรทางความร้อนและกลไก รวมถึงการเชื่อมต่อที่หนาแน่นยิ่งขึ้น

    นี่เป็นการลงทุนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ASE โดยบริษัทคาดว่าการใช้แผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมจะช่วยให้สามารถแข่งขันได้เหนือคู่แข่งในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

    นอกจากนี้ ASE ยังวางแผนที่จะส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ประกอบบนแผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมให้กับลูกค้าภายในปีหน้า การลงทุน $200 ล้านนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายทุนในปี 2025 ของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเกิน $1.9 พันล้าน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ase-testing-using-square-packaging-substrates-instead-of-round-wafers
    บริษัท ASE Technology กำลังทุ่มทุน $200 ล้านเพื่อทดสอบวิธีการบรรจุชิปรูปแบบใหม่ที่ใช้แผ่นซับสเตรต (substrate) ทรงสี่เหลี่ยมแทนแผ่นเวเฟอร์ (wafers) ทรงกลมแบบเดิม โดยวิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตแพ็กเกจชิปขั้นสูงของบริษัท ในระยะแรก บริษัทมีแผนจะตั้งสายการผลิตทดลองขนาดเล็กที่เมืองเกาสง ประเทศไต้หวัน โดยจะติดตั้งเครื่องจักรทดลองที่สามารถจัดการกับแผ่นซับสเตรตขนาด 600 มม. x 600 มม. แทนที่แผ่นเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ทรงกลม การใช้แผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมนี้อาจเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ถึง 5 เท่าของแผ่นเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ทำให้สามารถประกอบโปรเซสเซอร์แบบ multi-chiplet AI ได้มากขึ้นบนแผ่นซับสเตรตเดียว อย่างไรก็ตาม ไม่มีเครื่องจักรที่พร้อมใช้สำหรับการผลิตแผ่นซับสเตรตขนาดใหญ่นี้ที่ตรงตามมาตรฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน ดังนั้น ASE จึงต้องร่วมมือกับผู้จัดหาเครื่องจักรเพื่อพัฒนาเครื่องมือที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นไปได้ การใช้แผ่นซับสเตรตขนาดใหญ่ยังเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับการเปลี่ยนไปใช้แผ่นซับสเตรตที่ทำจากแก้ว ซึ่งมีคุณสมบัติดีขึ้นในด้านความเรียบ ความเสถียรทางความร้อนและกลไก รวมถึงการเชื่อมต่อที่หนาแน่นยิ่งขึ้น นี่เป็นการลงทุนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ASE โดยบริษัทคาดว่าการใช้แผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมจะช่วยให้สามารถแข่งขันได้เหนือคู่แข่งในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี นอกจากนี้ ASE ยังวางแผนที่จะส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ประกอบบนแผ่นซับสเตรตทรงสี่เหลี่ยมให้กับลูกค้าภายในปีหน้า การลงทุน $200 ล้านนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายทุนในปี 2025 ของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเกิน $1.9 พันล้าน https://www.tomshardware.com/tech-industry/ase-testing-using-square-packaging-substrates-instead-of-round-wafers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ Threads ได้ประกาศว่าจะยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีเป้าหมายในการลบข้อมูลผิดพลาดด้านการแพทย์และเนื้อหาเท็จออกจากออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่านี่เป็นความพยายามของ Mark Zuckerberg CEO ของ Meta ที่จะทำให้ประธานาธิบดี Donald Trump พอใจ หลังจากที่ปีที่แล้ว Trump ขู่ว่าจะจับกุม Zuckerberg นอกจากนี้ เว็บไซต์ Twitter (ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X โดย Elon Musk) ก็ได้ยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเช่นกัน

    นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการแพร่กระจายข้อมูลผิดพลาดบนโซเชียลมีเดียจะเพิ่มขึ้น และโซเชียลมีเดียยังคงเป็นแหล่งที่มาสำคัญในการรับข่าวสารของคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา David Greene จาก Electronic Frontier Foundation กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราควรกังวลว่าเราจะมีข้อมูลที่ไม่ดีบนเว็บไซต์เหล่านี้ แต่ก็ควรตั้งคำถามด้วยว่าเว็บไซต์เหล่านี้เคยเป็นแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพที่ดีหรือไม่”

    นอกจากนี้ Laurel Bristow นักวิจัยโรคติดเชื้อจาก Emory’s Rollins School of Public Health กล่าวว่าข้อมูลสุขภาพบนโซเชียลมีเดียจำนวนมากออกแบบมาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ การตรวจสอบโปรไฟล์ที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีผลประโยชน์ในขายของจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้

    จากการสำรวจของ Pew Research Center พบว่า 78% ของคนรุ่น Gen Z ได้รับข่าวสารจากโซเชียลมีเดียบ้างเป็นบางครั้ง และ 37% กล่าวว่าพวกเขามักได้รับข่าวจาก influencers บนโซเชียลมีเดีย Bristow หวังว่าเนื้อหาจาก Gen Z จะช่วยในการตรวจสอบและลบล้างความเข้าใจผิดทางออนไลน์

    ศาสตราจารย์ Valerie E. Cadet จาก Philadelphia College of Osteopathic Medicine เห็นด้วยว่าเยาวชนจะต้องช่วยกันแบ่งปันเนื้อหาที่เชื่อถือได้ "ลูก ๆ ของฉันไม่ฟังฉัน แต่พวกเขาฟังเพื่อน ๆ ของพวกเขา" Cadet กล่าว

    ดังนั้น การยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่กระจายมากขึ้น แต่ก็หวังว่า Gen Z จะมีบทบาทสำคัญในการลบล้างความเข้าใจผิดและแบ่งปันข้อมูลที่เชื่อถือได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/as-social-media-moderation-winds-down-gen-z-could-step-in
    Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ Threads ได้ประกาศว่าจะยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีเป้าหมายในการลบข้อมูลผิดพลาดด้านการแพทย์และเนื้อหาเท็จออกจากออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่านี่เป็นความพยายามของ Mark Zuckerberg CEO ของ Meta ที่จะทำให้ประธานาธิบดี Donald Trump พอใจ หลังจากที่ปีที่แล้ว Trump ขู่ว่าจะจับกุม Zuckerberg นอกจากนี้ เว็บไซต์ Twitter (ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X โดย Elon Musk) ก็ได้ยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเช่นกัน นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการแพร่กระจายข้อมูลผิดพลาดบนโซเชียลมีเดียจะเพิ่มขึ้น และโซเชียลมีเดียยังคงเป็นแหล่งที่มาสำคัญในการรับข่าวสารของคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา David Greene จาก Electronic Frontier Foundation กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราควรกังวลว่าเราจะมีข้อมูลที่ไม่ดีบนเว็บไซต์เหล่านี้ แต่ก็ควรตั้งคำถามด้วยว่าเว็บไซต์เหล่านี้เคยเป็นแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพที่ดีหรือไม่” นอกจากนี้ Laurel Bristow นักวิจัยโรคติดเชื้อจาก Emory’s Rollins School of Public Health กล่าวว่าข้อมูลสุขภาพบนโซเชียลมีเดียจำนวนมากออกแบบมาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ การตรวจสอบโปรไฟล์ที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีผลประโยชน์ในขายของจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ จากการสำรวจของ Pew Research Center พบว่า 78% ของคนรุ่น Gen Z ได้รับข่าวสารจากโซเชียลมีเดียบ้างเป็นบางครั้ง และ 37% กล่าวว่าพวกเขามักได้รับข่าวจาก influencers บนโซเชียลมีเดีย Bristow หวังว่าเนื้อหาจาก Gen Z จะช่วยในการตรวจสอบและลบล้างความเข้าใจผิดทางออนไลน์ ศาสตราจารย์ Valerie E. Cadet จาก Philadelphia College of Osteopathic Medicine เห็นด้วยว่าเยาวชนจะต้องช่วยกันแบ่งปันเนื้อหาที่เชื่อถือได้ "ลูก ๆ ของฉันไม่ฟังฉัน แต่พวกเขาฟังเพื่อน ๆ ของพวกเขา" Cadet กล่าว ดังนั้น การยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่กระจายมากขึ้น แต่ก็หวังว่า Gen Z จะมีบทบาทสำคัญในการลบล้างความเข้าใจผิดและแบ่งปันข้อมูลที่เชื่อถือได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/as-social-media-moderation-winds-down-gen-z-could-step-in
    WWW.THESTAR.COM.MY
    As social media moderation winds down, Gen Z could step in
    Experts say the spread of misinformation on social media is going to increase.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิภาคโอเดสซา ของยูเครน เมื่อคืนถูกโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้งจากรัสเซีย และยังมุ่งเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

    ในพื้นที่ Bolshaya Dolina, Akkarzha และ Velikodolinskoye มีการรายงานการโจมตีมากกว่า 10 ครั้ง บนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานการระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรม

    ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานความเสียหายแก่สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) จนเกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างอีกครั้ง
    ภูมิภาคโอเดสซา ของยูเครน เมื่อคืนถูกโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้งจากรัสเซีย และยังมุ่งเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ในพื้นที่ Bolshaya Dolina, Akkarzha และ Velikodolinskoye มีการรายงานการโจมตีมากกว่า 10 ครั้ง บนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีรายงานการระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานความเสียหายแก่สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) จนเกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างอีกครั้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿


    ---

    🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่)

    📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก
    ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้
    ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้
    ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา
    ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก

    💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า"
    🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง
    🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่
    🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น


    ---

    🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต)

    📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่
    ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน
    ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง

    💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่"
    🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ
    🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
    🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา


    ---

    🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่

    📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า
    👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา
    👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว

    📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่
    👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน
    👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้

    💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า"


    ---

    🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด)

    📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว
    ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ
    ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง
    ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง"

    💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย"
    🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย
    🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์
    🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน


    ---

    🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน

    📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด"
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร"

    💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด"
    💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้"

    👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น
    👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น
    👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้

    ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨

    🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿 --- 🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่) 📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้ ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้ ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก 💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า" 🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง 🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่ 🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น --- 🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต) 📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่ ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง 💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่" 🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ 🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง" 🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา --- 🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่ 📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า 👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา 👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว 📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่ 👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน 👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร 👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้ 💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า" --- 🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด) 📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง" 💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย" 🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย 🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์ 🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน --- 🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน 📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร 📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด" 📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร" 💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด" 💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้" 👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น 👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น 👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้ ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ

    ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ

    ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้

    นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม

    Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

    Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้

    https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้ นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้ https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists spent 10 years on a superbug mystery - Google's AI solved it in 48 hours
    Professor José R Penadés told the BBC that Google's tool reached the same hypothesis that his team had – that superbugs can create a tail that allows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • แน่นอน! นโยบายเศรษฐกิจที่ไทยยังบกพร่องและควรได้รับการปรับปรุงมีหลายด้าน เช่น

    1. นโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

    ปัญหา: ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงมาก กลุ่มคนมีรายได้สูงถือครองทรัพยากรส่วนใหญ่ ขณะที่ประชาชนทั่วไปมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ

    แนวทางแก้ไข: ปฏิรูประบบภาษีให้เป็นธรรมขึ้น เช่น ภาษีที่ดินและทรัพย์สินที่มีอัตราก้าวหน้า ลดช่องโหว่ของกฎหมายภาษีเพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีจากกลุ่มทุน


    2. นโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ทอัพ

    ปัญหา: SMEs ไทยเผชิญข้อจำกัดด้านเงินทุน การแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ และการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

    แนวทางแก้ไข: ปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจ ลดขั้นตอนการขอสินเชื่อ เพิ่มการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการตลาด


    3. นโยบายแรงงานและทักษะในอนาคต

    ปัญหา: ระบบการศึกษาไทยยังผลิตแรงงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล

    แนวทางแก้ไข: ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว เช่น AI, Data Science และพลังงานสะอาด พร้อมสนับสนุนการพัฒนาทักษะตลอดชีวิต


    4. นโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)

    ปัญหา: ไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามและอินโดนีเซียในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เนื่องจากกฎระเบียบที่ยุ่งยากและต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น

    แนวทางแก้ไข: ปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ลดขั้นตอนการอนุมัติและเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย


    5. นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด

    ปัญหา: ไทยยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก และมีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ชัดเจน

    แนวทางแก้ไข: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแรงจูงใจทางภาษีให้กับบริษัทที่ลงทุนในพลังงานสะอาด


    แน่นอน! นโยบายเศรษฐกิจที่ไทยยังบกพร่องและควรได้รับการปรับปรุงมีหลายด้าน เช่น 1. นโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหา: ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงมาก กลุ่มคนมีรายได้สูงถือครองทรัพยากรส่วนใหญ่ ขณะที่ประชาชนทั่วไปมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ แนวทางแก้ไข: ปฏิรูประบบภาษีให้เป็นธรรมขึ้น เช่น ภาษีที่ดินและทรัพย์สินที่มีอัตราก้าวหน้า ลดช่องโหว่ของกฎหมายภาษีเพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีจากกลุ่มทุน 2. นโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ทอัพ ปัญหา: SMEs ไทยเผชิญข้อจำกัดด้านเงินทุน การแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ และการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ แนวทางแก้ไข: ปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจ ลดขั้นตอนการขอสินเชื่อ เพิ่มการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการตลาด 3. นโยบายแรงงานและทักษะในอนาคต ปัญหา: ระบบการศึกษาไทยยังผลิตแรงงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล แนวทางแก้ไข: ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว เช่น AI, Data Science และพลังงานสะอาด พร้อมสนับสนุนการพัฒนาทักษะตลอดชีวิต 4. นโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ปัญหา: ไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามและอินโดนีเซียในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เนื่องจากกฎระเบียบที่ยุ่งยากและต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แนวทางแก้ไข: ปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ลดขั้นตอนการอนุมัติและเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5. นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด ปัญหา: ไทยยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก และมีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ชัดเจน แนวทางแก้ไข: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแรงจูงใจทางภาษีให้กับบริษัทที่ลงทุนในพลังงานสะอาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้

    1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

    รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI)

    2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

    กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

    บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน


    สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

    เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ


    ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

    พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง



    3. มาตรการเชิงรุก

    โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government

    ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

    ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์)


    การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection)

    มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต



    4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ

    ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC)

    มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International


    5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน

    โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ

    การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต

    การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ


    ผลลัพธ์และความท้าทาย

    แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ

    หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย
    นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI) 2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง 3. มาตรการเชิงรุก โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์) การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต 4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International 5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ ผลลัพธ์และความท้าทาย แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้

    1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

    รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI)

    2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

    กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

    บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน


    สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

    เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ


    ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

    พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง



    3. มาตรการเชิงรุก

    โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government

    ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

    ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์)


    การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection)

    มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต



    4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ

    ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC)

    มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International


    5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน

    โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ

    การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต

    การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ


    ผลลัพธ์และความท้าทาย

    แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ

    หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย ผมสามารถค้นหาข้อมูลใหม่ให้ได้นะ

    นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นแนวทางสำคัญของรัฐบาลไทยในการลดปัญหาทุจริตและสร้างความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน โดยมีแนวทางหลักดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะยาว ซึ่งล่าสุดคือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2565) และขยายต่อเนื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพิ่มดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทย (Corruption Perceptions Index - CPI) 2. กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เน้นการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง 3. มาตรการเชิงรุก โครงการ "ไทยโปร่งใส" และ E-Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งเสริมระบบ e-Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์) การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) มีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต 4. การเข้าร่วมองค์กรสากลและมาตรการนานาชาติ ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) มีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เช่น Transparency International 5. บทลงโทษและมาตรการป้องกัน โทษจำคุกและปรับสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบนหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ การริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต การแบนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกจากโครงการของรัฐ ผลลัพธ์และความท้าทาย แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันในหลายระดับ โดยดัชนี CPI ของไทยในช่วงปีหลังยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันในไทย ผมสามารถค้นหาข้อมูลใหม่ให้ได้นะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปแรงงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

    วิสัยทัศน์

    "สร้างแรงงานคุณภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ"

    เป้าหมายหลัก

    1. พัฒนาทักษะแรงงานให้ทันยุคดิจิทัล


    2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสในการทำงาน


    3. ปรับปรุงสวัสดิการแรงงานให้เหมาะสมกับสังคมยุคใหม่


    4. สร้างระบบแรงงานที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม




    ---

    มาตรการหลัก

    1. การพัฒนาทักษะแรงงาน (Upskilling & Reskilling)

    ตั้งกองทุนพัฒนาทักษะดิจิทัลและ AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย

    ให้สิทธิ์แรงงานเรียนคอร์สพัฒนาทักษะฟรีปีละ 2 หลักสูตร

    สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับเอกชนและมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม


    2. ส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรม

    ปรับโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำให้สะท้อนค่าครองชีพและเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ

    ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ โดยให้สิทธิประโยชน์แก่บริษัทที่จ้างงานกลุ่มเปราะบาง

    ออกกฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศและอายุในที่ทำงาน


    3. ปรับปรุงสวัสดิการแรงงาน

    ขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน และให้สิทธิ์ลาคู่สมรสเพิ่มขึ้น

    ปรับประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานฟรีแลนซ์และแพลตฟอร์ม

    จัดสรรที่พักอาศัยราคาถูกสำหรับแรงงานในเมืองใหญ่


    4. แรงงานยุคใหม่กับรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น

    ออกนโยบายสนับสนุน Work from Home และ Hybrid Work

    กำหนดมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการสำหรับ gig workers

    ปรับแก้กฎหมายแรงงานให้รองรับการทำงานแบบพาร์ทไทม์



    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    ✅ แรงงานไทยมีทักษะสูงขึ้น แข่งขันในตลาดโลกได้
    ✅ รายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น
    ✅ แรงงานทุกกลุ่มมีโอกาสทำงานที่เหมาะสมกับศักยภาพ
    ✅ เศรษฐกิจเติบโตจากการมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพ


    ---

    "แรงงานมีคุณภาพ ประเทศก้าวไกล ประชาชนอยู่ดีมีสุข"

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปแรงงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิสัยทัศน์ "สร้างแรงงานคุณภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" เป้าหมายหลัก 1. พัฒนาทักษะแรงงานให้ทันยุคดิจิทัล 2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสในการทำงาน 3. ปรับปรุงสวัสดิการแรงงานให้เหมาะสมกับสังคมยุคใหม่ 4. สร้างระบบแรงงานที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม --- มาตรการหลัก 1. การพัฒนาทักษะแรงงาน (Upskilling & Reskilling) ตั้งกองทุนพัฒนาทักษะดิจิทัลและ AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย ให้สิทธิ์แรงงานเรียนคอร์สพัฒนาทักษะฟรีปีละ 2 หลักสูตร สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับเอกชนและมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม 2. ส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรม ปรับโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำให้สะท้อนค่าครองชีพและเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ โดยให้สิทธิประโยชน์แก่บริษัทที่จ้างงานกลุ่มเปราะบาง ออกกฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศและอายุในที่ทำงาน 3. ปรับปรุงสวัสดิการแรงงาน ขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน และให้สิทธิ์ลาคู่สมรสเพิ่มขึ้น ปรับประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานฟรีแลนซ์และแพลตฟอร์ม จัดสรรที่พักอาศัยราคาถูกสำหรับแรงงานในเมืองใหญ่ 4. แรงงานยุคใหม่กับรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ออกนโยบายสนับสนุน Work from Home และ Hybrid Work กำหนดมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการสำหรับ gig workers ปรับแก้กฎหมายแรงงานให้รองรับการทำงานแบบพาร์ทไทม์ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ แรงงานไทยมีทักษะสูงขึ้น แข่งขันในตลาดโลกได้ ✅ รายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ✅ แรงงานทุกกลุ่มมีโอกาสทำงานที่เหมาะสมกับศักยภาพ ✅ เศรษฐกิจเติบโตจากการมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพ --- "แรงงานมีคุณภาพ ประเทศก้าวไกล ประชาชนอยู่ดีมีสุข"
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Majorana 1 ซึ่งเป็น Quantum Processor ตัวแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ที่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Fault-Tolerant Quantum Computing โดยโปรเซสเซอร์นี้ใช้ Tetron Qubits ที่สร้างขึ้นจาก Majorana Zero Modes (MZMs) เพื่อให้มีความเสถียรและสามารถขยายขนาดได้ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้ถึง Million Qubits เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางอุตสาหกรรม เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกและวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้

    ใจกลางของ Majorana 1 คือโครงสร้างเฮเทอโรภาคของซุปเปอร์คอนดักเตอร์-เซมิคอนดักเตอร์ที่รวม Indium Arsenide และ Aluminium ซึ่งทำให้สามารถควบคุม MZMs ได้อย่างแม่นยำ MZMs เป็นอนุภาคควอนตัมที่เข้ารหัสข้อมูลในลักษณะที่ต้านทานเสียงและข้อผิดพลาด โดยการจัดเรียง MZMs ในสายยาวรูปตัว H จะสร้าง Tetron ที่สามารถลดข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ใช้ Digital Voltage Pulses แทนการปรับแต่งแบบแอนะล็อก ทำให้สามารถขยายขนาดได้ง่าย ชิปนี้มี Tetron ทั้งหมดแปดหน่วยและรองรับโปรโตคอลการตรวจจับข้อผิดพลาดเชิงควอนตัม เช่น Hastings-Haah Floquet Codes และ Ladder Codes ซึ่งใช้การวัด Pauli แบบหนึ่งและสองคิวบิตในการตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด

    โครงการ US2QC ของ DARPA ได้ยืนยันว่า กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีทอพอโลยีของไมโครซอฟท์นั้นช่วยลดภาระงาน ทำให้ระบบควอนตัมในอนาคตที่มีล้านคิวบิตสามารถใส่ในศูนย์ข้อมูล Azure ได้

    ในด้านการใช้งาน ชิปนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบ Catalyst เพื่อลดมลพิษ ปรับปรุง Enzymes สำหรับการเกษตร และจำลองวัสดุใหม่ ๆ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะรวมควอนตัม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูงเข้าไว้ใน Azure เพื่อเร่งการค้นพบที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอีกหลายทศวรรษ

    เห็นได้ชัดว่า Majorana 1 เป็นการพิสูจน์ว่าคิวบิตทอพอโลยี ซึ่งเคยเป็นการวางเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้กลายเป็นรากฐานของระบบควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้อย่างแท้จริง

    https://www.techpowerup.com/332790/microsoft-presents-majorana-1-first-quantum-processor-to-pave-the-way-to-million-qubit-systems
    ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Majorana 1 ซึ่งเป็น Quantum Processor ตัวแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ที่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Fault-Tolerant Quantum Computing โดยโปรเซสเซอร์นี้ใช้ Tetron Qubits ที่สร้างขึ้นจาก Majorana Zero Modes (MZMs) เพื่อให้มีความเสถียรและสามารถขยายขนาดได้ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้ถึง Million Qubits เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางอุตสาหกรรม เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกและวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ใจกลางของ Majorana 1 คือโครงสร้างเฮเทอโรภาคของซุปเปอร์คอนดักเตอร์-เซมิคอนดักเตอร์ที่รวม Indium Arsenide และ Aluminium ซึ่งทำให้สามารถควบคุม MZMs ได้อย่างแม่นยำ MZMs เป็นอนุภาคควอนตัมที่เข้ารหัสข้อมูลในลักษณะที่ต้านทานเสียงและข้อผิดพลาด โดยการจัดเรียง MZMs ในสายยาวรูปตัว H จะสร้าง Tetron ที่สามารถลดข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ใช้ Digital Voltage Pulses แทนการปรับแต่งแบบแอนะล็อก ทำให้สามารถขยายขนาดได้ง่าย ชิปนี้มี Tetron ทั้งหมดแปดหน่วยและรองรับโปรโตคอลการตรวจจับข้อผิดพลาดเชิงควอนตัม เช่น Hastings-Haah Floquet Codes และ Ladder Codes ซึ่งใช้การวัด Pauli แบบหนึ่งและสองคิวบิตในการตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด โครงการ US2QC ของ DARPA ได้ยืนยันว่า กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีทอพอโลยีของไมโครซอฟท์นั้นช่วยลดภาระงาน ทำให้ระบบควอนตัมในอนาคตที่มีล้านคิวบิตสามารถใส่ในศูนย์ข้อมูล Azure ได้ ในด้านการใช้งาน ชิปนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบ Catalyst เพื่อลดมลพิษ ปรับปรุง Enzymes สำหรับการเกษตร และจำลองวัสดุใหม่ ๆ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะรวมควอนตัม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูงเข้าไว้ใน Azure เพื่อเร่งการค้นพบที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอีกหลายทศวรรษ เห็นได้ชัดว่า Majorana 1 เป็นการพิสูจน์ว่าคิวบิตทอพอโลยี ซึ่งเคยเป็นการวางเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้กลายเป็นรากฐานของระบบควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้อย่างแท้จริง https://www.techpowerup.com/332790/microsoft-presents-majorana-1-first-quantum-processor-to-pave-the-way-to-million-qubit-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft Presents Majorana 1: First Quantum Processor to Pave the Way to Million-Qubit Systems
    Microsoft has launched Majorana 1, the world's first quantum processor powered by a Topological Core architecture, marking a significant step toward fault-tolerant, utility-scale quantum computing. The chip leverages tetron qubits—topological qubits built on Majorana zero modes (MZMs)—to achieve sta...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌10 เทคนิควางแผนการเงินเพื่อชีวิตวัยเกษียณสำหรับ Generation X
    1. กำหนดเป้าหมายเกษียณ – คำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องการและระยะเวลาการออม

    2. สร้างกองทุนฉุกเฉิน – มีเงินสำรอง 6-12 เดือนเผื่อค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด

    3. ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ – กันเงินเก็บทุกเดือน สร้างนิสัยออมก่อนใช้

    4. ลงทุนเพื่ออนาคต – กระจายความเสี่ยงในหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์

    5. ลดหนี้สินก่อนเกษียณ – จัดการหนี้ให้หมดเร็ว ลดภาระดอกเบี้ย

    6. วางแผนประกันสุขภาพ – เลือกประกันคุ้มครองระยะยาวลดภาระค่ารักษาพยาบาล

    7. ศึกษาสิทธิ์ประกันสังคม – ตรวจสอบเงินบำนาญและสวัสดิการที่ได้รับ

    8. หารายได้เสริม – ลงทุนหรือทำธุรกิจขนาดเล็กสร้างรายได้ต่อเนื่อง

    9. ควบคุมค่าใช้จ่าย – ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือย บริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ

    10. วางแผนมรดก – จัดการพินัยกรรมเพื่อป้องกันปัญหาทรัพย์สินในอนาคต

    เตรียมตัวดี มีเงินใช้ เกษียณอย่างมั่นคง!

    📌10 เทคนิควางแผนการเงินเพื่อชีวิตวัยเกษียณสำหรับ Generation X 1. กำหนดเป้าหมายเกษียณ – คำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องการและระยะเวลาการออม 2. สร้างกองทุนฉุกเฉิน – มีเงินสำรอง 6-12 เดือนเผื่อค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด 3. ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ – กันเงินเก็บทุกเดือน สร้างนิสัยออมก่อนใช้ 4. ลงทุนเพื่ออนาคต – กระจายความเสี่ยงในหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ 5. ลดหนี้สินก่อนเกษียณ – จัดการหนี้ให้หมดเร็ว ลดภาระดอกเบี้ย 6. วางแผนประกันสุขภาพ – เลือกประกันคุ้มครองระยะยาวลดภาระค่ารักษาพยาบาล 7. ศึกษาสิทธิ์ประกันสังคม – ตรวจสอบเงินบำนาญและสวัสดิการที่ได้รับ 8. หารายได้เสริม – ลงทุนหรือทำธุรกิจขนาดเล็กสร้างรายได้ต่อเนื่อง 9. ควบคุมค่าใช้จ่าย – ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือย บริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ 10. วางแผนมรดก – จัดการพินัยกรรมเพื่อป้องกันปัญหาทรัพย์สินในอนาคต เตรียมตัวดี มีเงินใช้ เกษียณอย่างมั่นคง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    โอเดสซา โดนโจมตีอย่างหนักเป็นวันที่สองติดต่อกัน เป้าหมายหลักคือแหล่งพลังงานทั่วเมือง

    ภาพวิดีโอเผยให้เห็นโดรน "Geranium-2" ของรัสเซียกำลังโจมตีเมืองโอเดสซา และกองกำลังยูเครนทำได้เพียงใช้อาวุธเบาในการยิงสะกัดกั้น

    มีรายงานว่าโดรนเหล่านี้มีเป้าหมายคือสถานีไฟฟ้าย่อย ทำให้เกือบทั้งเมืองอยู่ในความมืดสนิท!

    นอกจากนี้แหล่งพลังงานจะถูกโดรนโจมตีแล้ว ยังมีขีปนาวุธที่โจมตีเข้าใส่โรงงานผลิตโดรนของกองทัพยูเครนที่ตั้งอยู่ในโอเดสซาอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าเมืองนี้ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตโดรนที่สำคัญของยูเครนในช่วงหลัง
    2/ โอเดสซา โดนโจมตีอย่างหนักเป็นวันที่สองติดต่อกัน เป้าหมายหลักคือแหล่งพลังงานทั่วเมือง ภาพวิดีโอเผยให้เห็นโดรน "Geranium-2" ของรัสเซียกำลังโจมตีเมืองโอเดสซา และกองกำลังยูเครนทำได้เพียงใช้อาวุธเบาในการยิงสะกัดกั้น มีรายงานว่าโดรนเหล่านี้มีเป้าหมายคือสถานีไฟฟ้าย่อย ทำให้เกือบทั้งเมืองอยู่ในความมืดสนิท! นอกจากนี้แหล่งพลังงานจะถูกโดรนโจมตีแล้ว ยังมีขีปนาวุธที่โจมตีเข้าใส่โรงงานผลิตโดรนของกองทัพยูเครนที่ตั้งอยู่ในโอเดสซาอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าเมืองนี้ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตโดรนที่สำคัญของยูเครนในช่วงหลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 14 0 รีวิว
Pages Boosts