• เตือนใจ พลเมืองสัญชาติไทย ช่วยกันหาพลเมืองมาช่วยๆ กัน ขับไล่ศัตรูของแผ่นดิน..

    https://youtu.be/_ca-vbaAtPE?si=a3q-rPoym4fvCpV2
    เตือนใจ พลเมืองสัญชาติไทย ช่วยกันหาพลเมืองมาช่วยๆ กัน ขับไล่ศัตรูของแผ่นดิน.. https://youtu.be/_ca-vbaAtPE?si=a3q-rPoym4fvCpV2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเจริญอสุภกรรมฐาน

    นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

    1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ)

    แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ

    จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง

    ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น

    2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง

    มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย

    มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก

    3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ

    ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย

    ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว

    4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ

    เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น

    ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน

    5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ

    หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา

    แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ

    6. การใช้สติรู้ทัน

    เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต"

    อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป

    หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน

    ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ

    ข้อควรระวัง

    การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี

    ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ

    สรุป:
    อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    การเจริญอสุภกรรมฐาน นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ) แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น 2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก 3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว 4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน 5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ 6. การใช้สติรู้ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต" อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ ข้อควรระวัง การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ สรุป: อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/1/68

    นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้งบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) เล่าเรื่องการปั่นจักรยานออกกำลังกายนานเกินไป 2 ชั่วโมงกว่าต่อเนื่อง จน ‘น้ำตาล’ หมด วูบเจ็บหนักกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก ชี้ ใจไปเกินสังขาร ตอนออกกำลังกายสนุก คิดว่าร่างกายเราไหว

    “เมื่อราว 2 เดือนที่ผ่านมา ผมประสบอุบัติเหตุ วูบจากการปั่นจักรยานครับ สาเหตุคือ ออกกำลังกายมากและนานเกินไป ปั่นไปต่อเนื่องร่วม 2 ชั่วโมงเศษ

    ระหว่างปั่นก็ดื่มน้ำโดยตลอด ไม่ได้ขาดน้ำครับ แต่คุณหมอสันนิษฐาน​ว่า วูบจากการใช้น้ำตาลจนหมด ไม่พอไปเลี้ยงสมอง..

    วูบครั้งนี้ ถึงขั้นเจ็บหนักครับ ต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืน เพราะกระโหลกหน้าแตก ฟันหักไป 3 ซี่ กรามหัก และต้องเย็บเพดานปากด้านในอีก 16 เข็ม

    ต้องกินแต่อาหารเหลวอยู่เดือนครึ่ง ผ่านหลอดดูด เพราะต้องยึดฟันบนกับล่างให้ติดกันด้วยลวดเหล็กจนพูดไม่ถนัด อ้าปากไม่ได้จนถึงวันนี้
    ทำให้ต้องงดงานบรรยาย และนัดหมายอื่นๆทั้งหมดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต้นกุมภานี้น่าจะหายดีครับ

    ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ เพราะอยากจะให้เป็นข้อเตือนใจครับ ว่าคนที่อายุมากแล้ว (ผมปีนี้60)​ เวลาออกกำลังกายต้องระมัดระวัง อย่าคิดว่าร่างกายเรามันจะเหมือนตอนอายุน้อยๆ แข็งแรงเหมือนก่อน

    อย่างเคสผมคือ ใจมันไปเกินสังขาร เพราะตอนออกกำลังกายก็สนุก และคิดว่าร่างกายเราไหว

    ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ด้วยครับ คิดแต่ว่าเราไหว และไม่ได้ขาดน้ำ แต่สำหรับคนปั่นจักรยานนานๆ ไกลๆ จะต้องมีน้ำเกลือแร่ หรือน้ำหวานคอยจิบเป็นระยะๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาลหรือเกลือแร่จากการออกกำลังกายเป็นเวลานานๆ

    บทเรียนครั้งนี้ ทำให้ต้องระมัดระวังให้มาก เมื่อจะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง เพราะเจ็บหนักรอบนี้ ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือนเลยทีเดียว และโชคดีที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้

    สำหรับท่านที่ติดต่อมา ในช่วง2เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ไม่สามารถพบปะ และการบรรยายก็ต้องงดไปด้วย 2-3 งาน เพราะอุบัติเหตุครั้งที่ผ่านมานี้

    มาตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็คงจะทานอาหารได้เป็นปกติ ไม่ต้องคอยดูด ensure แบบที่ผ่านมา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน จะได้ระมัดระวังกันไว้ครับ โดยเฉพาะท่านที่อายุมากแล้วในการออกกำลังกายครับ 🙏🙏🙏”
    10/1/68 นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้งบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) เล่าเรื่องการปั่นจักรยานออกกำลังกายนานเกินไป 2 ชั่วโมงกว่าต่อเนื่อง จน ‘น้ำตาล’ หมด วูบเจ็บหนักกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก ชี้ ใจไปเกินสังขาร ตอนออกกำลังกายสนุก คิดว่าร่างกายเราไหว “เมื่อราว 2 เดือนที่ผ่านมา ผมประสบอุบัติเหตุ วูบจากการปั่นจักรยานครับ สาเหตุคือ ออกกำลังกายมากและนานเกินไป ปั่นไปต่อเนื่องร่วม 2 ชั่วโมงเศษ ระหว่างปั่นก็ดื่มน้ำโดยตลอด ไม่ได้ขาดน้ำครับ แต่คุณหมอสันนิษฐาน​ว่า วูบจากการใช้น้ำตาลจนหมด ไม่พอไปเลี้ยงสมอง.. วูบครั้งนี้ ถึงขั้นเจ็บหนักครับ ต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืน เพราะกระโหลกหน้าแตก ฟันหักไป 3 ซี่ กรามหัก และต้องเย็บเพดานปากด้านในอีก 16 เข็ม ต้องกินแต่อาหารเหลวอยู่เดือนครึ่ง ผ่านหลอดดูด เพราะต้องยึดฟันบนกับล่างให้ติดกันด้วยลวดเหล็กจนพูดไม่ถนัด อ้าปากไม่ได้จนถึงวันนี้ ทำให้ต้องงดงานบรรยาย และนัดหมายอื่นๆทั้งหมดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต้นกุมภานี้น่าจะหายดีครับ ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ เพราะอยากจะให้เป็นข้อเตือนใจครับ ว่าคนที่อายุมากแล้ว (ผมปีนี้60)​ เวลาออกกำลังกายต้องระมัดระวัง อย่าคิดว่าร่างกายเรามันจะเหมือนตอนอายุน้อยๆ แข็งแรงเหมือนก่อน อย่างเคสผมคือ ใจมันไปเกินสังขาร เพราะตอนออกกำลังกายก็สนุก และคิดว่าร่างกายเราไหว ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ด้วยครับ คิดแต่ว่าเราไหว และไม่ได้ขาดน้ำ แต่สำหรับคนปั่นจักรยานนานๆ ไกลๆ จะต้องมีน้ำเกลือแร่ หรือน้ำหวานคอยจิบเป็นระยะๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาลหรือเกลือแร่จากการออกกำลังกายเป็นเวลานานๆ บทเรียนครั้งนี้ ทำให้ต้องระมัดระวังให้มาก เมื่อจะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง เพราะเจ็บหนักรอบนี้ ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือนเลยทีเดียว และโชคดีที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ สำหรับท่านที่ติดต่อมา ในช่วง2เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ไม่สามารถพบปะ และการบรรยายก็ต้องงดไปด้วย 2-3 งาน เพราะอุบัติเหตุครั้งที่ผ่านมานี้ มาตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็คงจะทานอาหารได้เป็นปกติ ไม่ต้องคอยดูด ensure แบบที่ผ่านมา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน จะได้ระมัดระวังกันไว้ครับ โดยเฉพาะท่านที่อายุมากแล้วในการออกกำลังกายครับ 🙏🙏🙏”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า...

    "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

    ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน

    ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี

    ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน

    ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"

    #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า... "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน" #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า...

    "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

    ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน

    ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี

    ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน

    ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"

    #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า... "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน" #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า...

    "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

    ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน

    ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี

    ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน

    ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"

    #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า... "ในโอกาสที่จะเริ่มต้นปีพุทธศักราช 2568 ข้าพเจ้าขออำนวยพรปีใหม่แก่ท่านทั้งหลาย โดยทั่วกัน ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่ท่านทั้งหลายมีน้ำใจไมตรีร่วมกันจัดกิจกรรมและงานฉลองวันเกิดครบ 6 รอบให้ข้าพเจ้าอย่างงดงามในปีพุทธศักราช 2567 ที่ผ่านมา งานที่จัดให้นั้่นมีมากมายหลายสิ่งหลายส่วน ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างดำเนินการในส่วนของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบใจทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ ในปีที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหลายอย่าง เริ่มที่ควรแก่การชื่นชมเป็นพิเศษคือความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกอันเป็นกีฬานัดสำคัญที่สุดของโลก แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยซึ่งทำให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ผ่านเข้ามาเสมอ แต่ถ้าเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะสามารถกระทำได้แล้ว ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ และดำเนินชีวิตได้ด้วยความผาสุกสวัสดี ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างใดในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอรปด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริง และยั่งยืน ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ คุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน" #ในหลวงรัชกาลที่10 #ปีใหม่2568
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ในหลวง" มีพระราชดำรัสในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2568 ทรงขอให้คนไทยอยู่ในความไม่ประมาท ทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จผล และมีศรัทธาในความดี เพื่อความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืน โดยมีเหตุอุทกภัยในหลายจังหวัดเป็นเครื่องเตือนใจ

    อ่านต่อ:
    https://sites.google.com/view/weerapat-articles/homepage/news-corner/royal/2024-12-31
    "ในหลวง" มีพระราชดำรัสในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2568 ทรงขอให้คนไทยอยู่ในความไม่ประมาท ทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จผล และมีศรัทธาในความดี เพื่อความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืน โดยมีเหตุอุทกภัยในหลายจังหวัดเป็นเครื่องเตือนใจ อ่านต่อ: https://sites.google.com/view/weerapat-articles/homepage/news-corner/royal/2024-12-31
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนวนจีนจาก <หาญท้าฯ 2>สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับสำนวนจีนจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วอาจจำได้ว่าฮ่องเต้จัดงานชมบุปผาบนเขาและต่อมามีคนลอบปลงพระชนม์จนทำให้ฟ่านเสียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงตอนเตรียมงานนั้น แม่ทัพเย่มาขอให้ฟ่านเสียนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขาจะต้องรับความผิดและลูกน้องจะซวยหนักกว่า ในเวอร์ชั่นซับไทยตอนที่แม่ทัพเย่ให้เหตุผลนี้ เขาอ้ำอึ้งใช้ประโยคว่า “หญ้า... อะไรแหลกๆ… ลมพัดแรงมักพัดถึงพวกตำแหน่งล่าง” ซึ่งฟ่านเสียนเลยต่อให้จบว่า “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ... ประโยคนี้ไม่ได้ใช้อย่างนี้” เพื่อนเพจที่ดูซับหรือพากย์ไทยอาจไม่สะดุดตาสะดุดหู แต่จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นภาษาจีนใช้อีกประโยคหนึ่ง ซึ่งสะดุดหู Storyฯ ไม่น้อยประโยคที่กล่าวถึงนี้ ในภาษาจีนก็คือ ‘เฟิงฉี่ชิงผิงจือม่อ’ (风起青萍之末) Storyฯ ขอแปลว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ซึ่งเป็นสำนวนจีน เป็นวรรคต้นของประโยคที่ว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ (风起于青萍之末,止于草莽之间) ฟังดูไพเราะ แต่มันแปลว่าอะไร?ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงที่มาว่า สำนวนนี้ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์โบราณสมัยจ้านกั๋วชื่อว่า ‘เฟิงฟู่’ (风赋 / บทประพันธ์แห่งสายลม)ของกวีนามว่าซ่งอวี้ (宋玉 ประมาณปี 290 – 222 ก่อนคริสตกาล) จากแคว้นฉู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดบทประพันธ์ชนิด ‘ฟู่’ ของจีนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด โดย ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่มีภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆเฟิงฟู่ ใช้สายลมเป็นตัวดำเนินเรื่อง กล่าวถึงอ๋องฉู่เซียงไปชมวิวบนหอสูง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) รู้สึกชื่นมื่นกับลมเย็นสบายและคิดว่านี่เป็นความเย็นสบายที่ชาวบ้านสามารถร่วมสัมผัสได้เหมือนกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือความร่ำรวยแต่ซ่งอวี้ที่ติดตามไปด้วยกลับบอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส ย่อมไม่เหมือนกับลมที่ชาวประชาสัมผัส นั่นเป็นเพราะว่า แม้ลมเป็นอากาศที่ไหลเวียนไปได้หลายพื้นที่ แต่เพราะภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่าง แรงลมที่สัมผัสได้ในแต่ละพื้นที่ย่อมแตกต่างกันซ่งอวี้บอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส สร้างตัวจากคลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหน ค่อยๆ ขยายไปยังหุบเขา ก่อเกิดเป็นลมแรงพัดผ่านภูเขา โถมกระหน่ำเข้าใส่หินผาและป่าไม้ จนผ่านพ้นถึงทุ่งหญ้าแล้วจึงสงบลงกลายเป็นสายลมที่สร้างความเย็นใจ และสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ นี้จึงเป็นการนำข้อความท่อนนี้มากลั่นย่อลงเป็นสำนวนสั้นๆ ซ่งอวี้ยังบอกต่ออีกว่า ลมที่ชาวบ้านทั่วไปสัมผัสนั้นเกิดจากตรอกเล็กซอกซอย เมื่อก่อตัวแรงขึ้นก็พัดพาเอาฝุ่นทรายและของสกปรกคลุ้งกระจายเข้าสู่บ้านเรือน ลมนั้นเมื่อชาวบ้านได้สัมผัสย่อมไม่ทำให้รู้สึกสบายตัวและอาจทำให้ล้มป่วยลงได้บทประพันธ์เฟิงฟู่นี้ไพเราะสวยงามด้วยคำบรรยายถึงลักษณะของสายลมภายใต้สภาวะต่างๆ และแฝงไว้ซึ่งข้อคิดเตือนสติ เฟิงฟู่ใช้สายลมเป็นตัวเปรียบเทียบระหว่างความเกรียงไกรของกษัตริย์และความแร้นแค้นของชาวบ้านธรรมดา สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางสังคมและความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเตือนใจต่ออ๋องฉู่เซียงว่าอย่าได้นิ่งนอนใจกับความสบายที่ได้รับเพราะในขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านที่ลำบากอยู่ต่อมาสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ถูกใช้เป็นการอุปมาอุปไมยว่า คลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นลมแรงที่กวาดไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ ก่อเกิดผลกระทบได้มากมาย และแน่นอนว่าสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ถ้าผู้มีอำนาจล้มแล้วคนที่อยู่เบื้องล่างจะซวยได้อย่างที่แม่ทัพเย่ในซีรีส์ต้องการหมายถึง และ Storyฯ คิดว่าความหมายก็เปรียบไม่ได้กับ ‘ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ’ เพราะจริงๆ แล้วความหมายของสำนวนนี้พูดสั้นๆ ก็คือ Butterfly Effect --- สิ่งเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงตามมาได้มากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.mp.oeeee.com/a/BAAFRD000020240519954909.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/风起于青萍之末/5876137 https://www.sohu.com/a/395149302_120482984 https://baike.baidu.com/item/风赋/2482215 https://zhsc.org/work/work-58b83fd9570c350062072623.htm #หาญท้าชะตาฟ้า #บทประพันธ์จีน #ButterflyEffect #เฟิงฟู่
    สำนวนจีนจาก <หาญท้าฯ 2>สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับสำนวนจีนจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วอาจจำได้ว่าฮ่องเต้จัดงานชมบุปผาบนเขาและต่อมามีคนลอบปลงพระชนม์จนทำให้ฟ่านเสียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงตอนเตรียมงานนั้น แม่ทัพเย่มาขอให้ฟ่านเสียนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขาจะต้องรับความผิดและลูกน้องจะซวยหนักกว่า ในเวอร์ชั่นซับไทยตอนที่แม่ทัพเย่ให้เหตุผลนี้ เขาอ้ำอึ้งใช้ประโยคว่า “หญ้า... อะไรแหลกๆ… ลมพัดแรงมักพัดถึงพวกตำแหน่งล่าง” ซึ่งฟ่านเสียนเลยต่อให้จบว่า “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ... ประโยคนี้ไม่ได้ใช้อย่างนี้” เพื่อนเพจที่ดูซับหรือพากย์ไทยอาจไม่สะดุดตาสะดุดหู แต่จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นภาษาจีนใช้อีกประโยคหนึ่ง ซึ่งสะดุดหู Storyฯ ไม่น้อยประโยคที่กล่าวถึงนี้ ในภาษาจีนก็คือ ‘เฟิงฉี่ชิงผิงจือม่อ’ (风起青萍之末) Storyฯ ขอแปลว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ซึ่งเป็นสำนวนจีน เป็นวรรคต้นของประโยคที่ว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ (风起于青萍之末,止于草莽之间) ฟังดูไพเราะ แต่มันแปลว่าอะไร?ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงที่มาว่า สำนวนนี้ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์โบราณสมัยจ้านกั๋วชื่อว่า ‘เฟิงฟู่’ (风赋 / บทประพันธ์แห่งสายลม)ของกวีนามว่าซ่งอวี้ (宋玉 ประมาณปี 290 – 222 ก่อนคริสตกาล) จากแคว้นฉู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดบทประพันธ์ชนิด ‘ฟู่’ ของจีนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด โดย ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่มีภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆเฟิงฟู่ ใช้สายลมเป็นตัวดำเนินเรื่อง กล่าวถึงอ๋องฉู่เซียงไปชมวิวบนหอสูง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) รู้สึกชื่นมื่นกับลมเย็นสบายและคิดว่านี่เป็นความเย็นสบายที่ชาวบ้านสามารถร่วมสัมผัสได้เหมือนกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือความร่ำรวยแต่ซ่งอวี้ที่ติดตามไปด้วยกลับบอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส ย่อมไม่เหมือนกับลมที่ชาวประชาสัมผัส นั่นเป็นเพราะว่า แม้ลมเป็นอากาศที่ไหลเวียนไปได้หลายพื้นที่ แต่เพราะภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่าง แรงลมที่สัมผัสได้ในแต่ละพื้นที่ย่อมแตกต่างกันซ่งอวี้บอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส สร้างตัวจากคลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหน ค่อยๆ ขยายไปยังหุบเขา ก่อเกิดเป็นลมแรงพัดผ่านภูเขา โถมกระหน่ำเข้าใส่หินผาและป่าไม้ จนผ่านพ้นถึงทุ่งหญ้าแล้วจึงสงบลงกลายเป็นสายลมที่สร้างความเย็นใจ และสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ นี้จึงเป็นการนำข้อความท่อนนี้มากลั่นย่อลงเป็นสำนวนสั้นๆ ซ่งอวี้ยังบอกต่ออีกว่า ลมที่ชาวบ้านทั่วไปสัมผัสนั้นเกิดจากตรอกเล็กซอกซอย เมื่อก่อตัวแรงขึ้นก็พัดพาเอาฝุ่นทรายและของสกปรกคลุ้งกระจายเข้าสู่บ้านเรือน ลมนั้นเมื่อชาวบ้านได้สัมผัสย่อมไม่ทำให้รู้สึกสบายตัวและอาจทำให้ล้มป่วยลงได้บทประพันธ์เฟิงฟู่นี้ไพเราะสวยงามด้วยคำบรรยายถึงลักษณะของสายลมภายใต้สภาวะต่างๆ และแฝงไว้ซึ่งข้อคิดเตือนสติ เฟิงฟู่ใช้สายลมเป็นตัวเปรียบเทียบระหว่างความเกรียงไกรของกษัตริย์และความแร้นแค้นของชาวบ้านธรรมดา สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางสังคมและความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเตือนใจต่ออ๋องฉู่เซียงว่าอย่าได้นิ่งนอนใจกับความสบายที่ได้รับเพราะในขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านที่ลำบากอยู่ต่อมาสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ถูกใช้เป็นการอุปมาอุปไมยว่า คลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นลมแรงที่กวาดไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ ก่อเกิดผลกระทบได้มากมาย และแน่นอนว่าสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ถ้าผู้มีอำนาจล้มแล้วคนที่อยู่เบื้องล่างจะซวยได้อย่างที่แม่ทัพเย่ในซีรีส์ต้องการหมายถึง และ Storyฯ คิดว่าความหมายก็เปรียบไม่ได้กับ ‘ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ’ เพราะจริงๆ แล้วความหมายของสำนวนนี้พูดสั้นๆ ก็คือ Butterfly Effect --- สิ่งเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงตามมาได้มากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.mp.oeeee.com/a/BAAFRD000020240519954909.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/风起于青萍之末/5876137 https://www.sohu.com/a/395149302_120482984 https://baike.baidu.com/item/风赋/2482215 https://zhsc.org/work/work-58b83fd9570c350062072623.htm #หาญท้าชะตาฟ้า #บทประพันธ์จีน #ButterflyEffect #เฟิงฟู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • : “มันส์เขาล่ะ“ โดย เตือนใจ บุญพระรักษา เนื้อร้อง-ทำนอง ชาญชัย บัวบังศร No.TJ-101 แผ่นเสียง 7 นิ้ว สปีด 45 ห้างเมโทรแผ่นเสียง พระนคร late 60s #vinylrecords #vinyl #gogobeats #bkk #thailand #siamfunko listen!
    : “มันส์เขาล่ะ“ โดย เตือนใจ บุญพระรักษา เนื้อร้อง-ทำนอง ชาญชัย บัวบังศร No.TJ-101 แผ่นเสียง 7 นิ้ว สปีด 45 ห้างเมโทรแผ่นเสียง พระนคร late 60s #vinylrecords #vinyl #gogobeats #bkk #thailand #siamfunko listen!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้

    #thaitimes
    #ข้อคิด
    #เตือนใจ
    ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้ #thaitimes #ข้อคิด #เตือนใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 725 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง

    เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร

    ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม
    จึงมีเหยื่อมากมายนัก
    ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

    🌻

    นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น

    เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้

    ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย

    สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้
    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด
    ของ storyteller อย่างชัดๆ

    🌻

    “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา

    บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“

    เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^

    🌻

    เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ

    เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"

    ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว

    ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
    ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
    เหมือนกบหูหนวก

    🌻

    คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา

    แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”

    “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“

    คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์
    ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี
    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ
    หรือชวนเอ๊ะเลย

    ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู

    ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง

    อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้

    ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้

    ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป

    ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง

    ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด
    ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้
    เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

    🌻

    เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย

    เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้

    สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง

    เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )

    พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง

    ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

    แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน

    ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม
    และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

    🌻

    นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin

    One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น

    รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
    เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่

    บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่

    วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

    🌻

    ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง

    เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน

    นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ

    ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้

    One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI

    ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้

    🌻

    จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย

    คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

    🌻

    ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย

    เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

    🌻

    "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"

    เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

    🌻

    "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"

    เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

    🌻

    นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด

    นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

    บางครั้งนิทานเหล่านี้
    มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
    ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย
    อาจใช้เพื่อกดดัน
    ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร

    การยอมรับความจริง
    เลิกทนและถอยออกมา
    ก็อาจเป็นการตัดสินใจ
    ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

    🌻

    “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”

    ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)

    ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”

    ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล

    ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ

    ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”

    ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง

    เพื่อรักษาสมดุล
    ระหว่างอารมณ์และเหตุผล
    ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
    มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

    🌻

    จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง

    เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

    นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์

    เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด

    Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ

    ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว

    เรื่องเล่าเหล่านี้
    มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน
    และความหวังของผู้คน
    ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
    ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

    🌻

    นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

    ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ
    คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
    และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง
    เพื่อแยกแยะให้ออก
    ระหว่างการใช้ Storytelling
    ในทางที่สร้างสรรค์
    หรือการใช้เพื่อหลอกลวง

    🌻

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม จึงมีเหยื่อมากมายนัก ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้ 🌻 นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้ ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้ มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด ของ storyteller อย่างชัดๆ 🌻 “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“ เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^ 🌻 เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!" ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย เหมือนกบหูหนวก 🌻 คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต” “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“ คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์ ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้ ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้ ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน 🌻 เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้ สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ ) พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี 🌻 นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน 🌻 ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้ One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้ 🌻 จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency 🌻 ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา 🌻 "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก" เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น 🌻 "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน" เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา" 🌻 นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดัน ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน 🌻 “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)” ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี) ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์” ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น” ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​ 🌻 จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์ เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว เรื่องเล่าเหล่านี้ มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน และความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง 🌻 นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง เพื่อแยกแยะให้ออก ระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์ หรือการใช้เพื่อหลอกลวง 🌻 ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7 #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1209 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันอังคาร ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เสด็จไปมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ทรงเป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่ ๑๓๑ และพิธีทอดผ้าป่าเพื่อนำปัจจัยโดยเสด็จพระกุศลสมทบทุนการศึกษาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วาสนมหาเถร) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ตามที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงตั้งไว้ในมหาวิทยาลัย สำหรับประทานแก่พระภิกษุสามเณรนักศึกษา

    การนี้ โปรดประทานรางวัลแก่ผู้มีอุปการคุณต่อมหาวิทยาลัย แก่บุคลากรดีเด่น ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร และของที่ระลึกแก่ผู้ร่วมโดยเสด็จพระกุศล

    โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า

    “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนามหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยมีเจ้าพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นปฐมบูรพาจารย์ ด้วยทุก ๆ พระองค์ล้วนทรงมุ่งหมายให้พระพุทธศาสนา สถาพรอยู่คู่โลกนี้ และเป็นหลักชัยของบ้านเมืองไทยอยู่ตราบกาลนาน

    การที่พระพุทธศาสนาจะดำรงคงมั่น จำเป็นต้องสร้างสรรค์พุทธบริษัทให้รู้ลึกและรู้รอบในวิชชา ตามกระบวนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมที่ถูกต้อง หากการศึกษาพระปริยัติธรรมอ่อนแอผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือรวนเรไปตามอัตโนมติแล้ว ย่อมปฏิบัติผิดและสอนผิด ทำให้ไม่อาจเข้าถึงปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรมได้

    ปริยัติธรรมอันควรศึกษาโดยรอบ ย่อมหมายถึง พระพุทธพจน์ หรือพระไตรปิฎก รวมทั้งอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคำอธิบายต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจในหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

    การศึกษาปริยัติธรรมอาจจำแนกได้เป็น ๓ ระดับ กล่าวคือ

    ๑. อลคัททูปริยัติ การศึกษาแบบจับงูพิษที่หางคือ ศึกษาเพื่อลาภสักการะ เพื่อคำสรรเสริญหรือเพื่อยกตนข่มผู้อื่นย่อมเป็นโทษ เหมือนการจับงูพิษที่หาง งูย่อมแว้งขบกัดเอาได้

    ๒. นิสสรณัตถปริยัติ การศึกษาเพื่อประโยชน์แก่การออกไปจากทุกข์ คือ เพื่ออบรมปัญญาเป็นการศึกษาของผู้ที่เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร

    และ ๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาแบบขุนคลัง คือเพื่อทรงพระศาสนาไว้ไม่ให้เสื่อมสูญเป็นการศึกษาของผู้จบกิจในการอบรมปัญญา เพื่อละกิเลสแล้วแต่ยังมีฉันทะในการศึกษา เพื่อถ่ายทอดพระธรรมคำสอนให้แก่ชนรุ่นหลัง

    ณ โอกาสอันเป็นมงคลนี้ จึงขอเตือนใจให้ทุกท่านอย่าได้คิดศึกษาแบบอลคัททูปริยัติ แต่ขอเป็นกำลังใจสนับสนุนให้ท่านจงเป็นผู้องอาจ และเข้มแข็งในอันที่จะศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อความออกจากทุกข์ และเพื่อรักษาพระสัทธรรม ไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สมตามเจตนารมณ์ของบูรพาจารย์ ขออย่าให้อคติทั้ง ๔ เข้ามาบดบัง และบิดเบือน จนกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปได้เป็นอันขาด

    อาตมภาพขออนุโมทนากุศลจริยาที่ทุกท่านช่วยกันสนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัย และขอแสดงมุทิตาจิตต่อผู้ได้รับตำแหน่ง ทุน และรางวัลต่าง ๆ กับทั้งขออำนวยพรให้ทุกท่าน จงเจริญรุ่งเรืองในพระบวรพุทธศาสนา ยิ่ง ๆ ขึ้นสืบไปเทอญ“

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/x6nCcePgoJRmbCxT/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    วันอังคาร ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เสด็จไปมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ทรงเป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่ ๑๓๑ และพิธีทอดผ้าป่าเพื่อนำปัจจัยโดยเสด็จพระกุศลสมทบทุนการศึกษาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วาสนมหาเถร) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ตามที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงตั้งไว้ในมหาวิทยาลัย สำหรับประทานแก่พระภิกษุสามเณรนักศึกษา การนี้ โปรดประทานรางวัลแก่ผู้มีอุปการคุณต่อมหาวิทยาลัย แก่บุคลากรดีเด่น ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร และของที่ระลึกแก่ผู้ร่วมโดยเสด็จพระกุศล โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนามหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยมีเจ้าพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นปฐมบูรพาจารย์ ด้วยทุก ๆ พระองค์ล้วนทรงมุ่งหมายให้พระพุทธศาสนา สถาพรอยู่คู่โลกนี้ และเป็นหลักชัยของบ้านเมืองไทยอยู่ตราบกาลนาน การที่พระพุทธศาสนาจะดำรงคงมั่น จำเป็นต้องสร้างสรรค์พุทธบริษัทให้รู้ลึกและรู้รอบในวิชชา ตามกระบวนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมที่ถูกต้อง หากการศึกษาพระปริยัติธรรมอ่อนแอผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือรวนเรไปตามอัตโนมติแล้ว ย่อมปฏิบัติผิดและสอนผิด ทำให้ไม่อาจเข้าถึงปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรมได้ ปริยัติธรรมอันควรศึกษาโดยรอบ ย่อมหมายถึง พระพุทธพจน์ หรือพระไตรปิฎก รวมทั้งอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคำอธิบายต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจในหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย การศึกษาปริยัติธรรมอาจจำแนกได้เป็น ๓ ระดับ กล่าวคือ ๑. อลคัททูปริยัติ การศึกษาแบบจับงูพิษที่หางคือ ศึกษาเพื่อลาภสักการะ เพื่อคำสรรเสริญหรือเพื่อยกตนข่มผู้อื่นย่อมเป็นโทษ เหมือนการจับงูพิษที่หาง งูย่อมแว้งขบกัดเอาได้ ๒. นิสสรณัตถปริยัติ การศึกษาเพื่อประโยชน์แก่การออกไปจากทุกข์ คือ เพื่ออบรมปัญญาเป็นการศึกษาของผู้ที่เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร และ ๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาแบบขุนคลัง คือเพื่อทรงพระศาสนาไว้ไม่ให้เสื่อมสูญเป็นการศึกษาของผู้จบกิจในการอบรมปัญญา เพื่อละกิเลสแล้วแต่ยังมีฉันทะในการศึกษา เพื่อถ่ายทอดพระธรรมคำสอนให้แก่ชนรุ่นหลัง ณ โอกาสอันเป็นมงคลนี้ จึงขอเตือนใจให้ทุกท่านอย่าได้คิดศึกษาแบบอลคัททูปริยัติ แต่ขอเป็นกำลังใจสนับสนุนให้ท่านจงเป็นผู้องอาจ และเข้มแข็งในอันที่จะศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อความออกจากทุกข์ และเพื่อรักษาพระสัทธรรม ไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สมตามเจตนารมณ์ของบูรพาจารย์ ขออย่าให้อคติทั้ง ๔ เข้ามาบดบัง และบิดเบือน จนกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปได้เป็นอันขาด อาตมภาพขออนุโมทนากุศลจริยาที่ทุกท่านช่วยกันสนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัย และขอแสดงมุทิตาจิตต่อผู้ได้รับตำแหน่ง ทุน และรางวัลต่าง ๆ กับทั้งขออำนวยพรให้ทุกท่าน จงเจริญรุ่งเรืองในพระบวรพุทธศาสนา ยิ่ง ๆ ขึ้นสืบไปเทอญ“ ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/x6nCcePgoJRmbCxT/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ยังคงเป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่ยังคงทันสมัยและใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจได้ตลอด โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทนง พิทยะ
    เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาอนุกรรมการพิจารณาแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัทฯ เป็นจำเลยที่ 1 และนายกวีพันธ์ เรืองผกา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงินและการบัญชี ฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัทฯ และอนุกรรมการพิจารณาแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัทฯ จำเลยที่ 2

    ในคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินจากบริษัท โรลส์รอยซ์ ผู้นำเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน Boeing 777-200ER ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือคดีสินบนโรลส์รอยซ์ ครั้งที่ 3 ระหว่างปี 2547-2548

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000092330

    #Thaitimes
    "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ยังคงเป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่ยังคงทันสมัยและใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจได้ตลอด โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทนง พิทยะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาอนุกรรมการพิจารณาแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัทฯ เป็นจำเลยที่ 1 และนายกวีพันธ์ เรืองผกา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงินและการบัญชี ฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัทฯ และอนุกรรมการพิจารณาแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัทฯ จำเลยที่ 2 ในคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินจากบริษัท โรลส์รอยซ์ ผู้นำเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน Boeing 777-200ER ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือคดีสินบนโรลส์รอยซ์ ครั้งที่ 3 ระหว่างปี 2547-2548 https://mgronline.com/crime/detail/9670000092330 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ถอนหมุดข่าว : ปลายทางชีวิต 'ทนง พิทยะ' คดีทุจริตซื้อเครืองบิน ปูพรมสู่ 'เรือนจำ'
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ยังคงเป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่ยังคงทันสมัยและใช้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจได้ตลอด โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทนง พิทยะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่
    Like
    Love
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 804 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแก้บนด้วยม้าลายเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในสังคมไทย โดยมีที่มาและเหตุผลหลายประการ ดังนี้
    1. #ความเชื่อเรื่องม้าลายช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรค
    * ลายของม้าลาย: เชื่อว่าลายขาวดำของม้าลายเปรียบเสมือนการขจัดสิ่งไม่ดีออกไป และนำพาสิ่งดีๆ เข้ามา ช่วยให้ผู้บนประสบความสำเร็จและราบรื่นในสิ่งที่หวังไว้
    * ความว่องไวของม้าลาย: ม้าลายเป็นสัตว์ที่ว่องไวและแข็งแรง เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้บนผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ไปได้อย่างรวดเร็ว
    2. #ความเชื่อเรื่องม้าลายนำโชคลาภ
    * เสียงร้องของม้าลาย: บางคนเชื่อว่าเสียงร้องของม้าลายคล้ายกับเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและโชคลาภ
    * ความหายากของม้าลาย: ม้าลายไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองของไทย ทำให้มีความแปลกและหายาก เชื่อว่าการนำม้าลายมาถวายแก้บนจะทำให้คำขอเป็นที่สะดุดตาและได้รับการตอบสนองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    3. #ความเชื่อเรื่องม้าลายช่วยเตือนสติ
    * ลายขาวดำของม้าลาย: เชื่อว่าลายขาวดำของม้าลายเป็นเครื่องเตือนใจให้ระมัดระวังและไม่ประมาท ช่วยให้ผู้บนมีสติและไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ
    * การอยู่รวมกันเป็นฝูงของม้าลาย: ม้าลายเป็นสัตว์สังคมที่อยู่รวมกันเป็นฝูง เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    4. #การบอกเล่าและสืบทอด
    ความเชื่อเรื่องการแก้บนด้วยม้าลายถูกบอกเล่าและสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทย
    5. #ความสบายใจและกำลังใจ
    แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน แต่การแก้บนด้วยม้าลายก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บนรู้สึกสบายใจและมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ

    #สรุป การแก้บนด้วยม้าลายเป็นความเชื่อที่มีรากฐานมาจากหลายปัจจัย ทั้งความเชื่อเรื่องการขจัดปัดเป่าอุปสรรค การนำโชคลาภ การเตือนสติ และการบอกเล่าสืบทอด แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บนรู้สึกสบายใจและมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต
    การแก้บนด้วยม้าลายเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในสังคมไทย โดยมีที่มาและเหตุผลหลายประการ ดังนี้ 1. #ความเชื่อเรื่องม้าลายช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรค * ลายของม้าลาย: เชื่อว่าลายขาวดำของม้าลายเปรียบเสมือนการขจัดสิ่งไม่ดีออกไป และนำพาสิ่งดีๆ เข้ามา ช่วยให้ผู้บนประสบความสำเร็จและราบรื่นในสิ่งที่หวังไว้ * ความว่องไวของม้าลาย: ม้าลายเป็นสัตว์ที่ว่องไวและแข็งแรง เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้บนผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ไปได้อย่างรวดเร็ว 2. #ความเชื่อเรื่องม้าลายนำโชคลาภ * เสียงร้องของม้าลาย: บางคนเชื่อว่าเสียงร้องของม้าลายคล้ายกับเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและโชคลาภ * ความหายากของม้าลาย: ม้าลายไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองของไทย ทำให้มีความแปลกและหายาก เชื่อว่าการนำม้าลายมาถวายแก้บนจะทำให้คำขอเป็นที่สะดุดตาและได้รับการตอบสนองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3. #ความเชื่อเรื่องม้าลายช่วยเตือนสติ * ลายขาวดำของม้าลาย: เชื่อว่าลายขาวดำของม้าลายเป็นเครื่องเตือนใจให้ระมัดระวังและไม่ประมาท ช่วยให้ผู้บนมีสติและไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ * การอยู่รวมกันเป็นฝูงของม้าลาย: ม้าลายเป็นสัตว์สังคมที่อยู่รวมกันเป็นฝูง เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 4. #การบอกเล่าและสืบทอด ความเชื่อเรื่องการแก้บนด้วยม้าลายถูกบอกเล่าและสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทย 5. #ความสบายใจและกำลังใจ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน แต่การแก้บนด้วยม้าลายก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บนรู้สึกสบายใจและมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ #สรุป การแก้บนด้วยม้าลายเป็นความเชื่อที่มีรากฐานมาจากหลายปัจจัย ทั้งความเชื่อเรื่องการขจัดปัดเป่าอุปสรรค การนำโชคลาภ การเตือนสติ และการบอกเล่าสืบทอด แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บนรู้สึกสบายใจและมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่แหละอเมริกา! Angel Reese นักบาสหญิงผิวสีดาวเด่นของสหรัฐประกาศทิ้งอเมริกาอย่างถาวรเพราะ“ ที่นี่ไม่มีความเคารพให้เกียรติตัวเธอ(“No Respect Here”)

    19 กันยายน 2567 -รายงานข่าวสื่อออนไลน์ระบุว่าแองเจิล รีส หนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในวงการบาสเกตบอลหญิง ได้ประกาศการตัดสินใจออกจากสหรัฐอเมริกาอย่างถาวร ประเทศประชาธิปไตย ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกกีฬา รีสซึ่งครองความยิ่งใหญ่ทั้งในสนามและนอกสนามจนทำให้แฟนๆ ต่างชื่นชอบเธอ ได้อ้างถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เธอออกจากทีมเนื่องจากขาดความเคารพและชื่นชมในความสามารถและความพยายามของเธอ

    ประวัติ แองเจิล รีสเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2002 เป็นนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพชาวอเมริกันของทีม Chicago Skyในสมาคมบาสเก็ตบอลหญิงแห่งชาติ (WNBA) มีชื่อเล่นว่า " Bayou-Barbie " และ " Chi-Barbie "

    เส้นทางสู่การเป็นดาราของรีสนั้นน่าทึ่งมาก ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เธอครองความสำเร็จในสนามบาสเกตบอลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไปจนถึงผลงานอันโดดเด่นของเธอที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ เธอได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าเธอมีความสามารถที่โดดเด่น การผสมผสานระหว่างขนาด ทักษะ และความแข็งแกร่งของเธอทำให้เธอเป็นกำลังสำคัญที่ต้องจับตามองในสนาม และเธอก็กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นบาสเกตบอลหญิงระดับวิทยาลัยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว

    การเปลี่ยนแปลงของรีสสู่ระดับมืออาชีพนั้นราบรื่นมาก เธอถูกดราฟต์เข้าสู่ สมาคมบาสเก็ตบอลหญิงแห่งชาติ WNBA และสร้างผลงานในทันที โดยแสดงความสามารถของเธอและได้รับคำชื่นชมจากแฟนๆ และนักวิเคราะห์ แม้จะประสบความสำเร็จในสนาม แต่รีสก็มักจะพูดถึงความท้าทายที่เธอต้องเผชิญนอกสนามอยู่เสมอ รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับและความเคารพที่เธอรู้สึกว่าเธอสมควรได้รับ

    ในขณะที่แองเจิล รีสเตรียมตัวเริ่มต้นบทต่อไปในชีวิตและอาชีพการงาน เธอทิ้งมรดกแห่งความเป็นเลิศและความยืดหยุ่นเอาไว้ การตัดสินใจออกจากสหรัฐอเมริกาของเธอเป็นการแสดงออกที่ทรงพลังเกี่ยวกับความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงและความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่นักกีฬาทุกคนรู้สึกได้รับการเคารพและมีคุณค่า รีสยังไม่ได้ประกาศว่าเธอวางแผนที่จะดำเนินอาชีพต่อไปที่ใด แต่ไม่มีข้อสงสัยว่าเธอจะยังคงประสบความสำเร็จต่อไปไม่ว่าจะไปที่ใด

    การตัดสินใจของแองเจิล รีสที่จะออกจากสหรัฐอเมริกาอย่างถาวรเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในโลกกีฬา ซึ่งเน้นย้ำถึงความท้าทายที่นักกีฬา โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีต้องเผชิญในการได้รับความเคารพและการยอมรับที่สมควรได้รับ การจากไปของเธอเป็นการสูญเสียสำหรับชุมชนบาสเก็ตบอล แต่ยังเป็นการแสดงออกที่ทรงพลังเกี่ยวกับความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ในขณะที่รีสก้าวไปข้างหน้าในอาชีพการงานของเธอ เรื่องราวของเธอจะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและท้าทายผู้ที่ยังอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป เป็นการเตือนใจว่าความสามารถและความทุ่มเทสมควรได้รับการเคารพและการชื่นชม และการทำงานเพื่อสร้างวัฒนธรรมกีฬาที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้นยังคงดำเนินต่อไป

    #Thaitimes
    นี่แหละอเมริกา! Angel Reese นักบาสหญิงผิวสีดาวเด่นของสหรัฐประกาศทิ้งอเมริกาอย่างถาวรเพราะ“ ที่นี่ไม่มีความเคารพให้เกียรติตัวเธอ(“No Respect Here”) 19 กันยายน 2567 -รายงานข่าวสื่อออนไลน์ระบุว่าแองเจิล รีส หนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในวงการบาสเกตบอลหญิง ได้ประกาศการตัดสินใจออกจากสหรัฐอเมริกาอย่างถาวร ประเทศประชาธิปไตย ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกกีฬา รีสซึ่งครองความยิ่งใหญ่ทั้งในสนามและนอกสนามจนทำให้แฟนๆ ต่างชื่นชอบเธอ ได้อ้างถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เธอออกจากทีมเนื่องจากขาดความเคารพและชื่นชมในความสามารถและความพยายามของเธอ ประวัติ แองเจิล รีสเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2002 เป็นนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพชาวอเมริกันของทีม Chicago Skyในสมาคมบาสเก็ตบอลหญิงแห่งชาติ (WNBA) มีชื่อเล่นว่า " Bayou-Barbie " และ " Chi-Barbie " เส้นทางสู่การเป็นดาราของรีสนั้นน่าทึ่งมาก ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เธอครองความสำเร็จในสนามบาสเกตบอลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไปจนถึงผลงานอันโดดเด่นของเธอที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ เธอได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าเธอมีความสามารถที่โดดเด่น การผสมผสานระหว่างขนาด ทักษะ และความแข็งแกร่งของเธอทำให้เธอเป็นกำลังสำคัญที่ต้องจับตามองในสนาม และเธอก็กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นบาสเกตบอลหญิงระดับวิทยาลัยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงของรีสสู่ระดับมืออาชีพนั้นราบรื่นมาก เธอถูกดราฟต์เข้าสู่ สมาคมบาสเก็ตบอลหญิงแห่งชาติ WNBA และสร้างผลงานในทันที โดยแสดงความสามารถของเธอและได้รับคำชื่นชมจากแฟนๆ และนักวิเคราะห์ แม้จะประสบความสำเร็จในสนาม แต่รีสก็มักจะพูดถึงความท้าทายที่เธอต้องเผชิญนอกสนามอยู่เสมอ รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับและความเคารพที่เธอรู้สึกว่าเธอสมควรได้รับ ในขณะที่แองเจิล รีสเตรียมตัวเริ่มต้นบทต่อไปในชีวิตและอาชีพการงาน เธอทิ้งมรดกแห่งความเป็นเลิศและความยืดหยุ่นเอาไว้ การตัดสินใจออกจากสหรัฐอเมริกาของเธอเป็นการแสดงออกที่ทรงพลังเกี่ยวกับความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงและความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่นักกีฬาทุกคนรู้สึกได้รับการเคารพและมีคุณค่า รีสยังไม่ได้ประกาศว่าเธอวางแผนที่จะดำเนินอาชีพต่อไปที่ใด แต่ไม่มีข้อสงสัยว่าเธอจะยังคงประสบความสำเร็จต่อไปไม่ว่าจะไปที่ใด การตัดสินใจของแองเจิล รีสที่จะออกจากสหรัฐอเมริกาอย่างถาวรเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในโลกกีฬา ซึ่งเน้นย้ำถึงความท้าทายที่นักกีฬา โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีต้องเผชิญในการได้รับความเคารพและการยอมรับที่สมควรได้รับ การจากไปของเธอเป็นการสูญเสียสำหรับชุมชนบาสเก็ตบอล แต่ยังเป็นการแสดงออกที่ทรงพลังเกี่ยวกับความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ในขณะที่รีสก้าวไปข้างหน้าในอาชีพการงานของเธอ เรื่องราวของเธอจะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและท้าทายผู้ที่ยังอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป เป็นการเตือนใจว่าความสามารถและความทุ่มเทสมควรได้รับการเคารพและการชื่นชม และการทำงานเพื่อสร้างวัฒนธรรมกีฬาที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้นยังคงดำเนินต่อไป #Thaitimes
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1686 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่เราจะตาย มันคงคล้ายนี้หรือหนักกว่าอีกมาก แค่ที่เจอเมื่อวานรู้เลยว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เรายังครองสติไม่ได้แน่ อาการปวดหัวรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นในชีวิต อาเจียนตลอดทางไปห้อง ER อาการอย่างกับเมารถคลื่นไส้แบบทวีคูณ เอาน้ำแข็งประคบที่ศรีษะไว้ตลอด กลัวมากๆ ว่าถ้าเป็นเส้นเลือดสมองแตก ตายไปก่อนพ่อก่อนแม่ แล้วใครจะดูแลท่าน ตอนที่นอนอยู่ในเตียงปฐมพยาบาลห้องฉุกเฉิน อาการทุเลาแล้ว อาเจียนไปตั้ง 12 ครั้ง ปวดหัวเริ่มสงบลง ถูกแทงสายน้ำเกลือเข้าหลังมือ ไม่เจ็บเท่าไร แต่ที่มันคาอยู่อย่างนั้น แล้วนอนอยู่ในเตียงแคบๆ มันอึดอัดรำคาญขยับทางไหนไม่ได้ คิดถึงว่าถ้านอนอยู่ในโลงศพก็คงแบบนี้ ได้แต่มองหยดน้ำเกลือไหลวูบๆ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ยังปวดหัวอยู่บ้าง นอนราบลงตอนแรกก็พอสบาย ไม่คลื่นไส้มากแล้ว แต่นานไปก็ไม่ค่อยสบายนัก กระสับกระส่าย ผะอืดผะอม เพราะก็ไม่รู้ตัวเองเป็นอะไร คุณหมอพยาบาล ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม ให้แค่รอดูอาการ เวลานั้นปกติถ้าอยู่บ้านจะต้องเป็นคนเตรียมอาหารให้น้องหมาทั้งสามตัว ก่อนออกมาเทอาหารเม็ดไว้ให้หน่อยเดียว คงจะไม่พออิ่มแน่ ดูอาการตัวเองที่คิดกังวล คิดห่วงหมา คิดห่วงคน พยายามพุทโธ แล้วร่างกายก็ส่งสัญญาณอยากขับถ่ายขึ้นมาอีก อาการที่ประดังเข้ามานี่คือเราไม่ได้เตรียมพร้อมเลย ถ้าความตายมาถึงเราจะรับมือกับความพะวักพะวนอย่างนี้ได้ยังไง นี่แค่ทุกขเวทนาระดับกลาง บวกความกังวล ความคิดที่ไม่นิ่ง มันอยากจะลุกออกจากเตียงไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ เวลาประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่มันช่างยาวนาน ยกมือเร่งขอบอกคุณหมอพยาบาลว่า รู้สึกดีขึ้นแล้วไปได้รึยังคะ ทำท่าสดชื่นเพื่อให้ออกไปได้เร็วๆ แต่ก็ยังต้องรอ พอรับยากลับบ้าน ระหว่างทางก็อาเจียนออกมาอีก แต่ตอนนั้นรู้แล้วว่าหมดแล้ว กลับถึงบ้านอาบน้ำก็เข้าพัก หลับสนิทไปเลย เช้าวันนี้ตื่นมาไม่เหลือร่องรอยความทุรนทุรายแล้ว ยังวิงเวียนเล็กน้อย แต่กำลังวังชาดีทำงานได้ ไม่มีไข้ ไม่เจ็บปวดอะไร คิดว่าโชคดีมากแล้ว ที่วันนี้ยังมีชีวิตรอด และมีเครื่องเตือนใจให้เรารำลึกถึงความตาย ที่อาจมาถึงในวันใดวันหนึ่งที่เราจะไม่ได้มีการเตรียมการใดได้ทันเลย ถ้าเรายังประมาทอยู่
    ตอนที่เราจะตาย มันคงคล้ายนี้หรือหนักกว่าอีกมาก แค่ที่เจอเมื่อวานรู้เลยว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เรายังครองสติไม่ได้แน่ อาการปวดหัวรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นในชีวิต อาเจียนตลอดทางไปห้อง ER อาการอย่างกับเมารถคลื่นไส้แบบทวีคูณ เอาน้ำแข็งประคบที่ศรีษะไว้ตลอด กลัวมากๆ ว่าถ้าเป็นเส้นเลือดสมองแตก ตายไปก่อนพ่อก่อนแม่ แล้วใครจะดูแลท่าน ตอนที่นอนอยู่ในเตียงปฐมพยาบาลห้องฉุกเฉิน อาการทุเลาแล้ว อาเจียนไปตั้ง 12 ครั้ง ปวดหัวเริ่มสงบลง ถูกแทงสายน้ำเกลือเข้าหลังมือ ไม่เจ็บเท่าไร แต่ที่มันคาอยู่อย่างนั้น แล้วนอนอยู่ในเตียงแคบๆ มันอึดอัดรำคาญขยับทางไหนไม่ได้ คิดถึงว่าถ้านอนอยู่ในโลงศพก็คงแบบนี้ ได้แต่มองหยดน้ำเกลือไหลวูบๆ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ยังปวดหัวอยู่บ้าง นอนราบลงตอนแรกก็พอสบาย ไม่คลื่นไส้มากแล้ว แต่นานไปก็ไม่ค่อยสบายนัก กระสับกระส่าย ผะอืดผะอม เพราะก็ไม่รู้ตัวเองเป็นอะไร คุณหมอพยาบาล ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม ให้แค่รอดูอาการ เวลานั้นปกติถ้าอยู่บ้านจะต้องเป็นคนเตรียมอาหารให้น้องหมาทั้งสามตัว ก่อนออกมาเทอาหารเม็ดไว้ให้หน่อยเดียว คงจะไม่พออิ่มแน่ ดูอาการตัวเองที่คิดกังวล คิดห่วงหมา คิดห่วงคน พยายามพุทโธ แล้วร่างกายก็ส่งสัญญาณอยากขับถ่ายขึ้นมาอีก อาการที่ประดังเข้ามานี่คือเราไม่ได้เตรียมพร้อมเลย ถ้าความตายมาถึงเราจะรับมือกับความพะวักพะวนอย่างนี้ได้ยังไง นี่แค่ทุกขเวทนาระดับกลาง บวกความกังวล ความคิดที่ไม่นิ่ง มันอยากจะลุกออกจากเตียงไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ เวลาประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่มันช่างยาวนาน ยกมือเร่งขอบอกคุณหมอพยาบาลว่า รู้สึกดีขึ้นแล้วไปได้รึยังคะ ทำท่าสดชื่นเพื่อให้ออกไปได้เร็วๆ แต่ก็ยังต้องรอ พอรับยากลับบ้าน ระหว่างทางก็อาเจียนออกมาอีก แต่ตอนนั้นรู้แล้วว่าหมดแล้ว กลับถึงบ้านอาบน้ำก็เข้าพัก หลับสนิทไปเลย เช้าวันนี้ตื่นมาไม่เหลือร่องรอยความทุรนทุรายแล้ว ยังวิงเวียนเล็กน้อย แต่กำลังวังชาดีทำงานได้ ไม่มีไข้ ไม่เจ็บปวดอะไร คิดว่าโชคดีมากแล้ว ที่วันนี้ยังมีชีวิตรอด และมีเครื่องเตือนใจให้เรารำลึกถึงความตาย ที่อาจมาถึงในวันใดวันหนึ่งที่เราจะไม่ได้มีการเตรียมการใดได้ทันเลย ถ้าเรายังประมาทอยู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทำไมเพื่อไทยชาวใต้ไม่เลือก
    #เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้แต่พี่คิงส์จะเหลาให้อ่านกันเพลินๆ
    จะเห็นว่าเพื่อไทยเป็นเหมือนพรรคต้องห้ามสำหรับชาวปักษ์ใต้
    ไม่ใช่ด้วยอคติหรืออุปทาน แต่มันคือความจริงที่โทนี่
    ได้สร้างบาดแผลในใจให้คนใต้ด้วยมือของโทนี่เอง
    มีทั้งใต้ตอนบน และใต้ตอนล่าง
    ในยุคที่โทนี่มีอำนาจเบร็ดเสร็จด้วยเสียงข้างมากที่สุด
    ลุงชวนเคยไปคุยกับชัชชาติซึ่งณเวลานั้นดูแลกระทรวงคมนาคม
    โดยลุงชวนขอให้ชัชชาติได้ทำการซ่อมแซมถนนสายใต้
    เพื่อให้ชาวบ้านภาคใต้มีความสะดวกในการเดินทาง
    ตอนแรกชัชชาติก็รับปากว่าจะดำเนินการให้
    แต่ตอนหลังก็ต้องแจ้งกับลุงชวนว่า
    ขออภัยจริงๆครับ นายหมายถึงโทนี่ ไม่อนุมัติ
    และโทนี่ก็ประกาศออกสื่อด้วยว่า
    จังหวัดไหนที่ไม่เลือกพรรคตัวเองเรื่องการพัฒนาเอาไว้ทีหลัง
    ซึ่งลุงชวนที่เป็นตัวแทนของเสียงคนใต้ก็ต้องเจ็บปวดกับคำตอบ
    และที่วันนี้ถนนหนทางได้เดินทางสะดวก ก็เกิดขึ้นในยุคปชป และยุคลุงตู่ที่ลุยซ่อมสร้างถนนทางใต้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
    ในส่วนของภาคใต้ตอนล่าง
    ไม่อยากบรรยายเยอะ ให้ไปสืบค้นข้อมูล เรื่อง กรือเซะ ตากใบ
    ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดหญิงหม้าย และกำพร้ามากที่สุด
    โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์
    สร้างโรงเรียนราชประชาณุเคราะห์ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้
    เพื่อรองรับดูแลให้เด็กกำพร้าในพื้นที่จากเหตุการเศร้าดังกล่าว
    ได้มีการศึกษาและมีชีวิตและโอกาสที่ก้าวต่อไปข้างหน้าได้
    ดังนั้นนี่คือเหตุผลหลักๆ
    ที่เพื่อไทยจะไม่มีวันเข้าไปครองใจคนใต้ได้
    ก็เพื่อสันดรของโทนี่ ที่สร้างไว
    แผลเป็นยังคงอยู่เพื่อย้ำเตือนใจคนใต้ทุกคน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ทำไมเพื่อไทยชาวใต้ไม่เลือก #เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้แต่พี่คิงส์จะเหลาให้อ่านกันเพลินๆ จะเห็นว่าเพื่อไทยเป็นเหมือนพรรคต้องห้ามสำหรับชาวปักษ์ใต้ ไม่ใช่ด้วยอคติหรืออุปทาน แต่มันคือความจริงที่โทนี่ ได้สร้างบาดแผลในใจให้คนใต้ด้วยมือของโทนี่เอง มีทั้งใต้ตอนบน และใต้ตอนล่าง ในยุคที่โทนี่มีอำนาจเบร็ดเสร็จด้วยเสียงข้างมากที่สุด ลุงชวนเคยไปคุยกับชัชชาติซึ่งณเวลานั้นดูแลกระทรวงคมนาคม โดยลุงชวนขอให้ชัชชาติได้ทำการซ่อมแซมถนนสายใต้ เพื่อให้ชาวบ้านภาคใต้มีความสะดวกในการเดินทาง ตอนแรกชัชชาติก็รับปากว่าจะดำเนินการให้ แต่ตอนหลังก็ต้องแจ้งกับลุงชวนว่า ขออภัยจริงๆครับ นายหมายถึงโทนี่ ไม่อนุมัติ และโทนี่ก็ประกาศออกสื่อด้วยว่า จังหวัดไหนที่ไม่เลือกพรรคตัวเองเรื่องการพัฒนาเอาไว้ทีหลัง ซึ่งลุงชวนที่เป็นตัวแทนของเสียงคนใต้ก็ต้องเจ็บปวดกับคำตอบ และที่วันนี้ถนนหนทางได้เดินทางสะดวก ก็เกิดขึ้นในยุคปชป และยุคลุงตู่ที่ลุยซ่อมสร้างถนนทางใต้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ในส่วนของภาคใต้ตอนล่าง ไม่อยากบรรยายเยอะ ให้ไปสืบค้นข้อมูล เรื่อง กรือเซะ ตากใบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดหญิงหม้าย และกำพร้ามากที่สุด โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์ สร้างโรงเรียนราชประชาณุเคราะห์ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ เพื่อรองรับดูแลให้เด็กกำพร้าในพื้นที่จากเหตุการเศร้าดังกล่าว ได้มีการศึกษาและมีชีวิตและโอกาสที่ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ดังนั้นนี่คือเหตุผลหลักๆ ที่เพื่อไทยจะไม่มีวันเข้าไปครองใจคนใต้ได้ ก็เพื่อสันดรของโทนี่ ที่สร้างไว แผลเป็นยังคงอยู่เพื่อย้ำเตือนใจคนใต้ทุกคน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยจากโทรศัพท์มือถือ
    ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป มารู้จักวิธีป้องกันไว้ดีกว่า

    ไม่โทรศัพท์ขณะขับรถ หากจำเป็นควรจอดรถเข้าข้างทางเสียก่อน ในเมื่อธุระของคุณมีมากเป็นกระบุงโกย แม้ขณะขับรถก็ไม่สามารถหยุดทำธุระได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหาที่ปลอดภัยแล้วนำรถเข้าจอดข้างทางซะ เพื่อความปลอดภัยของคุณและเพื่อนร่วมถนน

    จำกัดการใช้โทรศัพท์ในแต่ละเดือน
    การจดรายจ่ายค่าโทรศัพท์ในแต่ละเดือน จะช่วยให้คุณจำกัด และจัดเวลาที่จะใช้โทรศัพท์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญวิธีนี้มีประโยชน์มากต่อการใช้จ่ายส่วนตัว

    พูดคุยกันถึงเรื่องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
    ไม่ไช่ให้คุณแช่งตัวเอง แต่นึกถึงหรือคาดการณ์ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี เช่น จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณใช้มือถือขณะขับรถ บาดเจ็บ หรือตาย จะได้ไม่ประมาท

    แลกเปลี่ยนความเห็นของคุณที่มีต่อโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน
    โดยอาจจะตั้งประเด็นขึ้นมา เช่น ควรใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาหรือไม่ หรือ ถ้าวันใดถ้าหากมีการออกฏห้ามใช้โทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะด้วยกรณีใด คุณจะทำอย่างไร เป็นต้น แล้วคุณจะได้ความเห็นที่ต่างกันออกไป ประโยชน์ของงานนี้ นอกจากจะไม่เกิดความประมาทขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้นด้วย

    เคล็ดลับการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างฉลาด
    ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
    ใช้วอยซ์เมล์รับสายแทนขณะที่คุณกำลังขับรถ
    ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรี

    ข้อเตือนใจ
    โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน โดยผู้ใช้สามารถโทรขอความช่วงเหลือหรือแจ้งตำรวจเมื่อประสบอุบัติเหตุได้ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากกังวลถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ เชื่อกันว่า 50 % ของอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การหันไปปรับคลื่นวิทยุ การใช้โทรศัพท์ การสูบบุหรี่ การปรับกระจก ฯลฯ

    ความหวังดีจาก นายTechTips จ้า เราจะได้มีควมปลอดภัยและอยู่ติดตามเทคโนโลยีไปกันได้อีกนาวๆเลยจ้า
    #TechTips
    ภัยจากโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป มารู้จักวิธีป้องกันไว้ดีกว่า ไม่โทรศัพท์ขณะขับรถ หากจำเป็นควรจอดรถเข้าข้างทางเสียก่อน ในเมื่อธุระของคุณมีมากเป็นกระบุงโกย แม้ขณะขับรถก็ไม่สามารถหยุดทำธุระได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหาที่ปลอดภัยแล้วนำรถเข้าจอดข้างทางซะ เพื่อความปลอดภัยของคุณและเพื่อนร่วมถนน จำกัดการใช้โทรศัพท์ในแต่ละเดือน การจดรายจ่ายค่าโทรศัพท์ในแต่ละเดือน จะช่วยให้คุณจำกัด และจัดเวลาที่จะใช้โทรศัพท์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญวิธีนี้มีประโยชน์มากต่อการใช้จ่ายส่วนตัว พูดคุยกันถึงเรื่องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ไช่ให้คุณแช่งตัวเอง แต่นึกถึงหรือคาดการณ์ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี เช่น จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณใช้มือถือขณะขับรถ บาดเจ็บ หรือตาย จะได้ไม่ประมาท แลกเปลี่ยนความเห็นของคุณที่มีต่อโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน โดยอาจจะตั้งประเด็นขึ้นมา เช่น ควรใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาหรือไม่ หรือ ถ้าวันใดถ้าหากมีการออกฏห้ามใช้โทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะด้วยกรณีใด คุณจะทำอย่างไร เป็นต้น แล้วคุณจะได้ความเห็นที่ต่างกันออกไป ประโยชน์ของงานนี้ นอกจากจะไม่เกิดความประมาทขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้นด้วย เคล็ดลับการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างฉลาด ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ใช้วอยซ์เมล์รับสายแทนขณะที่คุณกำลังขับรถ ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรี ข้อเตือนใจ โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน โดยผู้ใช้สามารถโทรขอความช่วงเหลือหรือแจ้งตำรวจเมื่อประสบอุบัติเหตุได้ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากกังวลถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ เชื่อกันว่า 50 % ของอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การหันไปปรับคลื่นวิทยุ การใช้โทรศัพท์ การสูบบุหรี่ การปรับกระจก ฯลฯ ความหวังดีจาก นายTechTips จ้า เราจะได้มีควมปลอดภัยและอยู่ติดตามเทคโนโลยีไปกันได้อีกนาวๆเลยจ้า #TechTips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเสาร์ ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ความว่า

    “ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่สาธุชนจักได้น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ครบถ้วนพร้อมเป็น “พระรัตนตรัย” ซึ่งเป็นสรณะนำทางชีวิตของพุทธบริษัท ให้มุ่งหน้าดำเนินไปสู่หนทางดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

    ปฐมเทศนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทรงประกาศวิถีทางดับทุกข์ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยมิจฉาชีพ มีการฉ้อโกง หลอกลวง ประทุษร้ายกัน ประกอบกับเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มิจฉาชีพจึงสบช่องทำอันตรายต่อผู้คนในสังคมทุกระดับอย่างอย่างรวดเร็วและร้ายแรงมากขึ้น ท่านทั้งหลายควรเร่งหันมาศึกษาพิจารณาธรรมะหมวด “อริยมรรค” โดยดำเนินไปบนหนทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุประการหนึ่ง กล่าวคือ การปลูกฝังสั่งสมให้สมาชิกในสังคม มีค่านิยมในการครอง “สัมมาอาชีวะ” ซึ่งหมายถึง “การเลี้ยงชีพชอบ” ไว้ให้ได้อย่างมั่นคง ขอให้ช่วยกันเชิดชูสุจริตชนผู้แสวงหาปัจจัยมาบริโภคโดยชอบ ขอให้งดเว้นการคิดคดโกง หลอกลวง ประจบสอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ และต่อลาภด้วยลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร ไม่อาศัยกำลังกายและกำลังปัญญาของตน ขอให้หยุดและเลิกการกระทำบนพื้นฐานของความโลภที่เกินประมาณ ถึงขั้นทำลายวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีงาม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสวัสดิภาพของส่วนรวม อันจัดเข้าข่ายว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งสิ้น

    วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังอาจเตือนใจให้ทุกท่าน ตระหนักแน่วแน่ในอริยมรรคข้อ “สัมมาอาชีวะ” เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข จงหมั่นเพียรศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมะ มีน้ำใจกล้าหาญที่จะละทิ้งความเป็นมิจฉาชีพ แล้วสู้อุตสาหะประกอบสัมมาชีพด้วยกันทุกคน เพื่อให้ทุกครอบครัว และทุกชุมชน เป็นสถานที่ปลอดจากทุจริตชน นับเป็นการเกื้อกูลตนเอง และสรรพชีวิตทั่วหน้า ให้สามารถพ้นจากภยันตราย ได้สมตามความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแท้จริง อนึ่ง ขอความเจริญงอกงามในพระสัทธรรม จงพลันบังเกิดมีแด่สาธุชนผู้เลี้ยงชีพชอบ โดยทั่วหน้ากัน เทอญ.”

    #thaitimes
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเสาร์ ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ความว่า “ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่สาธุชนจักได้น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ครบถ้วนพร้อมเป็น “พระรัตนตรัย” ซึ่งเป็นสรณะนำทางชีวิตของพุทธบริษัท ให้มุ่งหน้าดำเนินไปสู่หนทางดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ปฐมเทศนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทรงประกาศวิถีทางดับทุกข์ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยมิจฉาชีพ มีการฉ้อโกง หลอกลวง ประทุษร้ายกัน ประกอบกับเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มิจฉาชีพจึงสบช่องทำอันตรายต่อผู้คนในสังคมทุกระดับอย่างอย่างรวดเร็วและร้ายแรงมากขึ้น ท่านทั้งหลายควรเร่งหันมาศึกษาพิจารณาธรรมะหมวด “อริยมรรค” โดยดำเนินไปบนหนทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุประการหนึ่ง กล่าวคือ การปลูกฝังสั่งสมให้สมาชิกในสังคม มีค่านิยมในการครอง “สัมมาอาชีวะ” ซึ่งหมายถึง “การเลี้ยงชีพชอบ” ไว้ให้ได้อย่างมั่นคง ขอให้ช่วยกันเชิดชูสุจริตชนผู้แสวงหาปัจจัยมาบริโภคโดยชอบ ขอให้งดเว้นการคิดคดโกง หลอกลวง ประจบสอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ และต่อลาภด้วยลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร ไม่อาศัยกำลังกายและกำลังปัญญาของตน ขอให้หยุดและเลิกการกระทำบนพื้นฐานของความโลภที่เกินประมาณ ถึงขั้นทำลายวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีงาม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสวัสดิภาพของส่วนรวม อันจัดเข้าข่ายว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งสิ้น วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังอาจเตือนใจให้ทุกท่าน ตระหนักแน่วแน่ในอริยมรรคข้อ “สัมมาอาชีวะ” เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข จงหมั่นเพียรศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมะ มีน้ำใจกล้าหาญที่จะละทิ้งความเป็นมิจฉาชีพ แล้วสู้อุตสาหะประกอบสัมมาชีพด้วยกันทุกคน เพื่อให้ทุกครอบครัว และทุกชุมชน เป็นสถานที่ปลอดจากทุจริตชน นับเป็นการเกื้อกูลตนเอง และสรรพชีวิตทั่วหน้า ให้สามารถพ้นจากภยันตราย ได้สมตามความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแท้จริง อนึ่ง ขอความเจริญงอกงามในพระสัทธรรม จงพลันบังเกิดมีแด่สาธุชนผู้เลี้ยงชีพชอบ โดยทั่วหน้ากัน เทอญ.” #thaitimes
    Love
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 681 มุมมอง 0 รีวิว