• เพื่อนเพจคงเคยคุ้นกับคำมงคลจีนที่เอามาติดผนังหรือทำการ์ดหรือของชำร่วย บางอักษรที่เคยผ่านตาอาจจะดูซับซ้อนมากจนถึงกับคิดว่าทำไมอักษรจีนมันช่างเขียนยากอย่างนี้ แต่คุณอาจไม่เคยสังเกตหรือทราบมาก่อนว่า บางอักษรเหล่านั้นเป็นอักษรประสมหรือ ‘เหอเฉิงจื้อ’ (合成字 หรือ Compound Chinese Character) หรือ ‘เหอถี่จื้อ’ (合体字)

    อักษรประสมจีนคือการเอาอักษรสองตัวหรือมากกว่ามาเขียนรวมกันจนดูราวกับว่ามันเป็นเพียงอักษรเดียว อย่างเช่นภาพอักษรมงคลคู่ที่เราเห็นบ่อยในงานมงคล (ภาพประกอบ1-ซ้าย) จริงแล้วก็คืออักษร ‘สี่’ ที่แปลว่ามงคลหรือความสุข (喜)มาเขียนติดกันสองตัว

    การใช้อักษรประสมที่นิยมทำกันคือการนำประโยคสุภาษิตจีนมาเขียนเป็นอักษรประสมเพื่อเป็นสัญลักษณ์มงคล เราจะเห็นบ่อยมากในช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างเช่น ‘จาวฉายจิ้งป่าว’ ที่แปลว่า กวักทรัพย์เรียกสมบัติ (ดูภาพประกอบ1-ขวา)

    ว่ากันว่าต้นกำเนิดของการเขียนอักษรประสมมาจากงานพิธีกรรมทางศาสนาโดยมีการนำคำที่มีความหมายมงคลหรือการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีมาเขียนประสมขึ้นบนยันต์ บ้างก็มีการนำชื่อเทพเจ้ามาเขียนเป็นอักษรประสม ต่อมาชาวบ้านจึงนิยมมีไว้ประดับบ้านเรือนเพื่อป้องกันภูตผีปีศาจและโชคร้าย จนกลายมาเป็นการเขียนคำมงคลทั่วไปที่ใช้ในเทศกาลและงานมงคลต่างๆ แบบที่เรายังเห็นมีใช้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ปัจจุบันยังกลายมาเป็นเทรนด์ในการดีไซน์โลโก้ของแบรนด์หรือร้านค้าในจีนด้วยเช่นกัน

    แล้วอักษรประสมอ่านออกเสียงอย่างไร?

    อักษรประสมโดยส่วนใหญ่แทบจะทั้งหมดจะไม่มีเสียงอ่านเฉพาะของมัน แต่จะอ่านครบตามประโยคที่นำมาเขียนรวม เช่น ‘จาวฉายจิ้งป่าว’ ที่เห็นในรูปภาพประกอบ1-ขวา ก็จะอ่านออกมาเต็มๆ สี่อักษร แต่ก็มีบางอักษรประสมที่มีเสียงอ่านเฉพาะ อย่างตัวอย่างอักษรมงคลคู่ (喜喜)จะไม่อ่านว่า ‘สี่สี่’ แต่มีเสียงอ่านเฉพาะตัวว่า ‘สี่’ หรือจะอ่านว่า ‘ซวงสี่’ ก็ได้ (‘ซวง’ แปลว่าคู่)

    อักษรประสมต้องดูซับซ้อนเสมอไปหรือไม่? แน่นอนว่าจำนวนอักษรที่นำมาประสมยิ่งมากก็ยิ่งดูซับซ้อน แต่มีอักษรที่ใช้ประจำวันบางตัวที่จัดเป็นอักษรประสมด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสองอักษร ไม่ซับซ้อนเหมือนอักษรมงคลที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คำว่า ‘ไว้’ ซึ่งแปลว่าเบี้ยวหรือเอียง (歪) ประกอบด้วยอักษร ‘ปู้’ ด้านบนและ ‘เจิ้ง’ด้านล่าง ซึ่ง ‘ปู้เจิ้ง’ แปลรวมว่าไม่ตรง เป็นต้น

    จากที่ไปอ่านเพจของจีนมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ Storyฯ เห็นมีเพจหนึ่งเขาเอารูปถ่ายประตูบ้านของบ้านหลังหนึ่งในเมืองซีอันมาลงให้ดู เลยเอามาให้เพื่อนเพจดูด้วย (ภาพประกอบ 2) ... เห็นแล้วก็อึ้งทึ่งกับความ ‘จัดเต็ม’ ของคำมงคลจีนที่เจ้าของบ้านเอามาแปะไว้ เพราะรวมได้ทั้งหมดสุภาษิต 18 ประโยค เป็นการประสมทั้งหมด 72 อักษรให้เหลือเพียง 18 อักษร เก่งไหมล่ะ?

    อยากชวนเพื่อนเพจลองมองซองอั่งเปาและรูปภาพต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีนนี้ คุณอาจได้เห็นอักษรประสมเท่ๆ ที่ Storyฯ ไม่ได้กล่าวถึง เพื่อนเพจท่านใดเคยผ่านตาอักษรประสมไหนอีก แปะรูปหรือเม้นท์มาคุยให้ฟังกันบ้างนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.marieclaire.com.tw/entertainment/tvshow/60505
    https://baike.baidu.com/item/合体字/2459569
    https://www.163.com/dy/article/DBTJP8OA0524L8US.html#:~:text=合体字:就是由两,表示人倚着树木。
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/合体字/2459569
    https://new.qq.com/rain/a/20210627A08TKO00

    #เหอถี่จื้อ #เหอเฉิงจื้อ #คำมงคลจีน #อักษรประสม #อักษรจีน
    เพื่อนเพจคงเคยคุ้นกับคำมงคลจีนที่เอามาติดผนังหรือทำการ์ดหรือของชำร่วย บางอักษรที่เคยผ่านตาอาจจะดูซับซ้อนมากจนถึงกับคิดว่าทำไมอักษรจีนมันช่างเขียนยากอย่างนี้ แต่คุณอาจไม่เคยสังเกตหรือทราบมาก่อนว่า บางอักษรเหล่านั้นเป็นอักษรประสมหรือ ‘เหอเฉิงจื้อ’ (合成字 หรือ Compound Chinese Character) หรือ ‘เหอถี่จื้อ’ (合体字) อักษรประสมจีนคือการเอาอักษรสองตัวหรือมากกว่ามาเขียนรวมกันจนดูราวกับว่ามันเป็นเพียงอักษรเดียว อย่างเช่นภาพอักษรมงคลคู่ที่เราเห็นบ่อยในงานมงคล (ภาพประกอบ1-ซ้าย) จริงแล้วก็คืออักษร ‘สี่’ ที่แปลว่ามงคลหรือความสุข (喜)มาเขียนติดกันสองตัว การใช้อักษรประสมที่นิยมทำกันคือการนำประโยคสุภาษิตจีนมาเขียนเป็นอักษรประสมเพื่อเป็นสัญลักษณ์มงคล เราจะเห็นบ่อยมากในช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างเช่น ‘จาวฉายจิ้งป่าว’ ที่แปลว่า กวักทรัพย์เรียกสมบัติ (ดูภาพประกอบ1-ขวา) ว่ากันว่าต้นกำเนิดของการเขียนอักษรประสมมาจากงานพิธีกรรมทางศาสนาโดยมีการนำคำที่มีความหมายมงคลหรือการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีมาเขียนประสมขึ้นบนยันต์ บ้างก็มีการนำชื่อเทพเจ้ามาเขียนเป็นอักษรประสม ต่อมาชาวบ้านจึงนิยมมีไว้ประดับบ้านเรือนเพื่อป้องกันภูตผีปีศาจและโชคร้าย จนกลายมาเป็นการเขียนคำมงคลทั่วไปที่ใช้ในเทศกาลและงานมงคลต่างๆ แบบที่เรายังเห็นมีใช้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ปัจจุบันยังกลายมาเป็นเทรนด์ในการดีไซน์โลโก้ของแบรนด์หรือร้านค้าในจีนด้วยเช่นกัน แล้วอักษรประสมอ่านออกเสียงอย่างไร? อักษรประสมโดยส่วนใหญ่แทบจะทั้งหมดจะไม่มีเสียงอ่านเฉพาะของมัน แต่จะอ่านครบตามประโยคที่นำมาเขียนรวม เช่น ‘จาวฉายจิ้งป่าว’ ที่เห็นในรูปภาพประกอบ1-ขวา ก็จะอ่านออกมาเต็มๆ สี่อักษร แต่ก็มีบางอักษรประสมที่มีเสียงอ่านเฉพาะ อย่างตัวอย่างอักษรมงคลคู่ (喜喜)จะไม่อ่านว่า ‘สี่สี่’ แต่มีเสียงอ่านเฉพาะตัวว่า ‘สี่’ หรือจะอ่านว่า ‘ซวงสี่’ ก็ได้ (‘ซวง’ แปลว่าคู่) อักษรประสมต้องดูซับซ้อนเสมอไปหรือไม่? แน่นอนว่าจำนวนอักษรที่นำมาประสมยิ่งมากก็ยิ่งดูซับซ้อน แต่มีอักษรที่ใช้ประจำวันบางตัวที่จัดเป็นอักษรประสมด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสองอักษร ไม่ซับซ้อนเหมือนอักษรมงคลที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คำว่า ‘ไว้’ ซึ่งแปลว่าเบี้ยวหรือเอียง (歪) ประกอบด้วยอักษร ‘ปู้’ ด้านบนและ ‘เจิ้ง’ด้านล่าง ซึ่ง ‘ปู้เจิ้ง’ แปลรวมว่าไม่ตรง เป็นต้น จากที่ไปอ่านเพจของจีนมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ Storyฯ เห็นมีเพจหนึ่งเขาเอารูปถ่ายประตูบ้านของบ้านหลังหนึ่งในเมืองซีอันมาลงให้ดู เลยเอามาให้เพื่อนเพจดูด้วย (ภาพประกอบ 2) ... เห็นแล้วก็อึ้งทึ่งกับความ ‘จัดเต็ม’ ของคำมงคลจีนที่เจ้าของบ้านเอามาแปะไว้ เพราะรวมได้ทั้งหมดสุภาษิต 18 ประโยค เป็นการประสมทั้งหมด 72 อักษรให้เหลือเพียง 18 อักษร เก่งไหมล่ะ? อยากชวนเพื่อนเพจลองมองซองอั่งเปาและรูปภาพต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีนนี้ คุณอาจได้เห็นอักษรประสมเท่ๆ ที่ Storyฯ ไม่ได้กล่าวถึง เพื่อนเพจท่านใดเคยผ่านตาอักษรประสมไหนอีก แปะรูปหรือเม้นท์มาคุยให้ฟังกันบ้างนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.marieclaire.com.tw/entertainment/tvshow/60505 https://baike.baidu.com/item/合体字/2459569 https://www.163.com/dy/article/DBTJP8OA0524L8US.html#:~:text=合体字:就是由两,表示人倚着树木。 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/合体字/2459569 https://new.qq.com/rain/a/20210627A08TKO00 #เหอถี่จื้อ #เหอเฉิงจื้อ #คำมงคลจีน #อักษรประสม #อักษรจีน
    WWW.MARIECLAIRE.COM.TW
    《一生一世》超前大結局!任嘉倫爆打惡人周文川,白鹿從前世跳樓到今生
    絕世大甜劇《一生一世》迎來大結局前,也狠狠虐了觀眾一波,事故和意外不斷,惡人周文川受觀眾的討厭程度,大概和《周生如故》劉子行不相上下。
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชื่อเต็มของรถบีเอ็ม คือ Bayerische Motoren Werke อ่านว่า “บาเยอร์ริสเกอ มอเตอเรน เวอร์เกอ” ซึ่งแปลตรงตัวว่า โรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย.
    ชื่อเต็มของรถบีเอ็ม คือ Bayerische Motoren Werke อ่านว่า “บาเยอร์ริสเกอ มอเตอเรน เวอร์เกอ” ซึ่งแปลตรงตัวว่า โรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกือบ18 ปีแล้ว ผมเคยเขียนเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
    .
    บทความนั้นมีชื่อว่า ‘งักปุกคุ้ง’ แห่งเสียนหลอ (https://mgronline.com/daily/detail/9500000032355 เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550)
    .
    แต่วันนี้ไม่รู้ว่าตัวเองนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยย้อนไปอ่าน แล้วอยากเอามารีไรท์ และนำมาแบ่งปันอีกครั้งนึง
    .
    ต้นปี 2568 นี้ มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายจีนกำลังภายในเรื่องอมตะ เรื่อง “กระบี่เย้ยยุทธจักร” (หรือ ยิ้มเย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา หรือในภาษาจีนคือ 笑傲江湖 ส่วน ชื่ออังกฤษ Invincible Swordsman) ถูกนำมารีเมคใหม่อีกครั้ง โดยตอนนี้ลงจอฉายที่จีนไปแล้ว ในไทยก็กำลังจะเข้าฉายทาง WeTV กับ iQIYI
    .
    กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นนวนิยายกำลังภายในของสุดยอดปรมาจารย์ทางวรรณกรรมจีน “กิมย้ง” หรือจีนกลางอ่านว่า “จินยง (金庸)” ซึ่งท่านเสียชีวิตไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วเมื่อวัน 30 ตุลาคม 2561
    .
    กระบี่เย้ยยุทธจักรถือเป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ของจีนในยุคใด แต่เป็นนวนิยายกำลังภายในแนวการเมืองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง
    .
    เรื่องราวเขียนถึงคนที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม และ วิญญูชนจอมปลอม ได้อย่างลึกซึ้ง และถ่องแท้ที่สุด!
    .
    ตัวละครหลักคือ เหล็งฮู้ชง ตัวเอกของเรื่อง ศิษย์คนโตและศิษย์ทรยศแห่งสำนักฮั้วซัว (หรือหัวซาน ที่เป็นยอดบรรพตในมณฑลส่านซี) สองคือ งักปุกคุ้ง ซือแป๋เจ้าสำนักฮั้วซัว
    .
    งักปุกคุ้ง (แซ่งัก นามปุกคุ้ง) เป็นเจ้าสำนักฮั้วซัว ผู้สืบทอดเพลงกระบี่และลมปราณเมฆม่วงแห่งสำนักฮั้วซัว หนึ่งในห้า ยอดสำนักกระบี่แห่งบู๊ลิ้ม ภาพภายนอกเป็นผู้กล้าที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นเจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักมาตรฐานของยุทธจักร จนได้รับฉายาจากบรรดาจอมยุทธ์ว่า “กระบี่วิญญูชน”
    .
    งักปุกคุ้ง นอกจากจะเป็นเจ้าสำนักของยอดสำนักกระบี่แล้ว ในด้านของชาติพันธุ์ เจ้าตัวยังเชื่อมั่นด้วยว่า ต้นตระกูลงัก (หรือในภาษาจีนกลางคือแซ่เย่ว์ – 岳) ของตนมีวีรบุรุษกู้ชาติอยู่หลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลงักก็คือ ‘งักฮุย (เย่ว์เฟย)’ ยอดขุนพลแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ งักปุกคุ้งเชื่อมั่นใน ‘คุณธรรม’ ของตนจนถึงกับเดินทางรอนแรมพาเหล่าศิษย์ฮั้วซัวไปเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของงักฮุย
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเจ้าสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะ ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็น “กระบี่วิญญูชน” แต่ตลอดทั้งเรื่อง ชื่อเสียงและคำพูดของงักปุกคุ้ง กลับไม่ได้สอดคล้องกับการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะหลบเลี่ยงเมื่อภัยมาถึงตัว
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะวางเฉย เมื่อประสบเห็นความไม่เป็นธรรมของยุทธจักร
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่พร้อมจะให้ร้ายป้ายสีและถีบหัวส่ง เหล็งฮู้ชง ศิษย์เอกมากกว่าที่จะยื่นมือเข้าปกป้องเมื่อเหล็งฮู้ชงถูกกล่าวหาว่าสมคบกับฝ่ายอธรรม
     งักปุกคุ้ง เป็นวิญญูชนที่แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจต่อลาภยศ หรือยอดวิชาแห่งยุทธจักร แต่กลับส่ง “งักเล้งซัง” บุตรีของตนเองไปแต่งกับ “ลิ้มเพ้งจือ” รวมถึงยินยอมสละอวัยวะเพศของตัวเอง เพียงเพื่อจะได้ครอบครองเพลงคัมภีร์กระบี่ตระกูลลิ้ม
    .
    กล่าวโดยสรุปแล้วงักปุกคุ้ง เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า “วิญญูชนจอมปลอม” ภายนอกดูเป็นคนดีที่มีชื่อเสียง เป็น “กระบี่วิญญูชน” เจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อ แต่แท้จริงแล้วกลับประพฤติตนยิ่งกว่าคนในสายอธรรมเสียอีก
    .
    เมื่อพลิกอ่าน “กระบี่เย้ยยุทธจักร” และพิจารณาความระหว่างบรรทัดที่กิมย้งสอดแทรกลงในนวนิยายกำลังภายในเล่มนี้ ผู้อ่านก็จะรับรู้ได้ถึงความเป็นอัจฉริยะของกิมย้ง ที่แม้จะเขียนถึงเรื่องราวในยุทธภพในยุคสมัยราชวงศ์หมิง (ตามการคาดเดาของผู้เขียนเอง) แต่เนื้อหาของนวนิยายกลับสามารถนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นไปทางการเมือง เสียดสีถึงพฤติกรรมของผู้คนในสังคมจีนในยุคสมัยที่ประเทศจีนวุ่นวายที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ คือ ในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ.2509-2519)
    .
    ส่วนเมื่อมองถึงเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในยุคปัจจุบันแล้ว ใครจะเป็นงักปุกคุ้ง, ใครจะเป็นเหล็งฮู้ชง, ใครจะเป็นฝ่ายธรรมมะ, ใครจะเป็นฝ่ายอธรรม, ใครจะเป็นกระบี่วิญญูชน หรือ ใครจะเป็นวิญญูชนจอมปลอม ผมนั้นมิอาจจะตัดสินใจแทนใครได้จริง ๆ
    .
    ต่างคนต่างมุมมอง ต่างภูมิหลัง ต่างภูมิรู้ ต่างประสบการณ์ ต่างความคิด และเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละคน
    เกือบ18 ปีแล้ว ผมเคยเขียนเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง . บทความนั้นมีชื่อว่า ‘งักปุกคุ้ง’ แห่งเสียนหลอ (https://mgronline.com/daily/detail/9500000032355 เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550) . แต่วันนี้ไม่รู้ว่าตัวเองนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยย้อนไปอ่าน แล้วอยากเอามารีไรท์ และนำมาแบ่งปันอีกครั้งนึง . ต้นปี 2568 นี้ มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายจีนกำลังภายในเรื่องอมตะ เรื่อง “กระบี่เย้ยยุทธจักร” (หรือ ยิ้มเย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา หรือในภาษาจีนคือ 笑傲江湖 ส่วน ชื่ออังกฤษ Invincible Swordsman) ถูกนำมารีเมคใหม่อีกครั้ง โดยตอนนี้ลงจอฉายที่จีนไปแล้ว ในไทยก็กำลังจะเข้าฉายทาง WeTV กับ iQIYI . กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นนวนิยายกำลังภายในของสุดยอดปรมาจารย์ทางวรรณกรรมจีน “กิมย้ง” หรือจีนกลางอ่านว่า “จินยง (金庸)” ซึ่งท่านเสียชีวิตไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วเมื่อวัน 30 ตุลาคม 2561 . กระบี่เย้ยยุทธจักรถือเป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ของจีนในยุคใด แต่เป็นนวนิยายกำลังภายในแนวการเมืองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง . เรื่องราวเขียนถึงคนที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม และ วิญญูชนจอมปลอม ได้อย่างลึกซึ้ง และถ่องแท้ที่สุด! . ตัวละครหลักคือ เหล็งฮู้ชง ตัวเอกของเรื่อง ศิษย์คนโตและศิษย์ทรยศแห่งสำนักฮั้วซัว (หรือหัวซาน ที่เป็นยอดบรรพตในมณฑลส่านซี) สองคือ งักปุกคุ้ง ซือแป๋เจ้าสำนักฮั้วซัว . งักปุกคุ้ง (แซ่งัก นามปุกคุ้ง) เป็นเจ้าสำนักฮั้วซัว ผู้สืบทอดเพลงกระบี่และลมปราณเมฆม่วงแห่งสำนักฮั้วซัว หนึ่งในห้า ยอดสำนักกระบี่แห่งบู๊ลิ้ม ภาพภายนอกเป็นผู้กล้าที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นเจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักมาตรฐานของยุทธจักร จนได้รับฉายาจากบรรดาจอมยุทธ์ว่า “กระบี่วิญญูชน” . งักปุกคุ้ง นอกจากจะเป็นเจ้าสำนักของยอดสำนักกระบี่แล้ว ในด้านของชาติพันธุ์ เจ้าตัวยังเชื่อมั่นด้วยว่า ต้นตระกูลงัก (หรือในภาษาจีนกลางคือแซ่เย่ว์ – 岳) ของตนมีวีรบุรุษกู้ชาติอยู่หลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลงักก็คือ ‘งักฮุย (เย่ว์เฟย)’ ยอดขุนพลแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ งักปุกคุ้งเชื่อมั่นใน ‘คุณธรรม’ ของตนจนถึงกับเดินทางรอนแรมพาเหล่าศิษย์ฮั้วซัวไปเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของงักฮุย . อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเจ้าสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะ ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็น “กระบี่วิญญูชน” แต่ตลอดทั้งเรื่อง ชื่อเสียงและคำพูดของงักปุกคุ้ง กลับไม่ได้สอดคล้องกับการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะหลบเลี่ยงเมื่อภัยมาถึงตัว  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะวางเฉย เมื่อประสบเห็นความไม่เป็นธรรมของยุทธจักร  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่พร้อมจะให้ร้ายป้ายสีและถีบหัวส่ง เหล็งฮู้ชง ศิษย์เอกมากกว่าที่จะยื่นมือเข้าปกป้องเมื่อเหล็งฮู้ชงถูกกล่าวหาว่าสมคบกับฝ่ายอธรรม  งักปุกคุ้ง เป็นวิญญูชนที่แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจต่อลาภยศ หรือยอดวิชาแห่งยุทธจักร แต่กลับส่ง “งักเล้งซัง” บุตรีของตนเองไปแต่งกับ “ลิ้มเพ้งจือ” รวมถึงยินยอมสละอวัยวะเพศของตัวเอง เพียงเพื่อจะได้ครอบครองเพลงคัมภีร์กระบี่ตระกูลลิ้ม . กล่าวโดยสรุปแล้วงักปุกคุ้ง เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า “วิญญูชนจอมปลอม” ภายนอกดูเป็นคนดีที่มีชื่อเสียง เป็น “กระบี่วิญญูชน” เจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อ แต่แท้จริงแล้วกลับประพฤติตนยิ่งกว่าคนในสายอธรรมเสียอีก . เมื่อพลิกอ่าน “กระบี่เย้ยยุทธจักร” และพิจารณาความระหว่างบรรทัดที่กิมย้งสอดแทรกลงในนวนิยายกำลังภายในเล่มนี้ ผู้อ่านก็จะรับรู้ได้ถึงความเป็นอัจฉริยะของกิมย้ง ที่แม้จะเขียนถึงเรื่องราวในยุทธภพในยุคสมัยราชวงศ์หมิง (ตามการคาดเดาของผู้เขียนเอง) แต่เนื้อหาของนวนิยายกลับสามารถนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นไปทางการเมือง เสียดสีถึงพฤติกรรมของผู้คนในสังคมจีนในยุคสมัยที่ประเทศจีนวุ่นวายที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ คือ ในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ.2509-2519) . ส่วนเมื่อมองถึงเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในยุคปัจจุบันแล้ว ใครจะเป็นงักปุกคุ้ง, ใครจะเป็นเหล็งฮู้ชง, ใครจะเป็นฝ่ายธรรมมะ, ใครจะเป็นฝ่ายอธรรม, ใครจะเป็นกระบี่วิญญูชน หรือ ใครจะเป็นวิญญูชนจอมปลอม ผมนั้นมิอาจจะตัดสินใจแทนใครได้จริง ๆ . ต่างคนต่างมุมมอง ต่างภูมิหลัง ต่างภูมิรู้ ต่างประสบการณ์ ต่างความคิด และเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละคน
    Like
    Love
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมถือคติว่าจะไม่เก็บไพ่ที่สร้างจาก Fandom ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เว้นแต่มันจะสวยตาแตกหรือมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจผม และ 'World of Warcraft Tarot' (2024) ก็สวยจนเข้าข่ายข้อยกเว้นในแบบแรก

    ไพ่ชุดนี้ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. Titan Books โดยได้ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Blizzard Entertainment หนึ่งในค่ายเกมยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมในซีรีส์ World of Warcraft รวมถึงเกมชื่อดังอีกหลายเกม เช่น Overwatch, StarCraft และ Diablo (อันหลังนี่ถูก Titan Books นำไปสร้างเป็นไพ่ทาโรต์ด้วย)

    World of Warcraft เป็นเกม MMORPG (RPG แบบที่ต้องต่อเน็ตเล่นกับชาวบ้าน) ในแฟรนไชส์เกม Warcraft ต่อมาแตกแขนงออกไปเป็นเกมแนววางแผนการรบชื่อ DotA (อ่านว่า โดต้า แต่คนไทยชอบเรียก ด็อตเอ) ซึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นชาย gen Y และ gen X ตอนปลาย นอกจากนั้นตัว Warcraft ที่เป็นเกมหลัก ยังเคยถูกนำไปสร้างดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉายในปี 2016 ซึ่งไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร

    ก่อนจะเข้าเรื่องไพ่ ผมขอเกริ่นถึงจักรวาล Warcraft ที่เป็นฉากท้องเรื่องเดียวกับไพ่ชุดที่กำลังรีวิวนี้คร่าว ๆ นะครับ Warcraft จัดว่าเป็นสื่อแนวแฟนตาซีประเภทเล่นใหญ่ มีเวทมนตร์และเผ่าพันธุ์อมนุษย์จำพวกที่พบเจอบ่อย ๆ ได้นิยายและหนังแฟนตาซี เช่น เอลฟ์ คนแคระ ออร์ก ฯลฯ แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พอจะแยก Warcraft จากเรื่องแฟนตาซีอื่น ๆ อยู่บ้างก็คือ เผ่าพันธุ์ออร์กซึ่งรับบทตัวร้ายหลัก อพยพมาจากดาวเคราะห์บ้านเกิดชื่อ Draenor ซึ่งกำลังจะล่มสลาย ข้ามประตูเวทมายังดาว Azeroth ที่มีมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ และเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาจากนั้นก็กลายเป็นสงครามการรุกรานและแย่งชิงดินแดนโดยพวกออร์กอีกมากมายหลายครั้งในซีรีส์นี้ เอาละ รู้แค่นี้พอ กลับมาเรื่องไพ่

    ไพ่ World of Warcraft Tarot สร้างขึ้นโดยอ้างอิงเนื้อเรื่องในจักรวาล Warcraft แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหมที่จะต้องรู้เนื้อเรื่องของตัวละครหรือฉากบนหน้าไพ่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็นครับ ไพ่ในสำรับ 78 ใบ เกือบทุกใบมีโครงสร้างหน้าไพ่ที่ใกล้เคียงกับชุดมาตรฐานอย่าง RWS โดยเฉพาะในไพ่ชุดรองทั้ง 4 ตระกูล

    ส่วนในไพ่ชุดหลัก 22 ใบ บางใบถ้าดูแค่หน้าไพ่อย่างเดียวก็จะงง ๆ หน่อย หาความเชื่อมโยงกับไพ่ในระบบมาตรฐานไม่ได้ เช่น ไพ่ The Fool และ Temperance มีรูปมังกรยืนจังก้าอยู่ ไพ่ Tower มีรูปดาบ ถ้าปิดชื่อปิดหมายเลขก็อาจทำให้หลงนึกว่าเป็นไพ่ 1 ดาบได้

    ยังดีที่ในคู่มือที่แถมมากับไพ่มีการอธิบาย Lore หรือเกร็ดเรื่องราวของสิ่งที่อยู่บนหน้าไพ่ชุดหลักทั้ง 22 ใบเอาไว้พอสังเขป อ่านแล้วจะพอเข้าใจว่าตัวละครหรือสิ่งของบนหน้าไพ่นั้นมีความเป็นมาหรือบทบาทที่เชื่อมโยงกับความหมายไพ่ใบนั้น ๆ อย่างไร น่าเสียดายที่ในส่วนของไพ่ชุดเล็กจะไม่มีการอธิบาย Lore แบบเดียวกันนี้อยู่ แค่บอกความหมายของไพ่ตามปกติ ขอเสริมเล็กน้อยว่าผู้เขียนคู่มือของไพ่ชุดนี้คือ Ian Flynn ซึ่งเป็นผู้แต่งเนื้อเรื่องในการ์ตูนคอมิกชื่อดังหลายเรื่องของอเมริกา

    ในแง่การผลิต ไพ่ชุดนี้ถือว่าเป็นไพ่ Fandom ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. เป็นทางการ (คือไม่ใช่ผู้ผลิตอิสระ) ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเจอมา ภาพหน้าไพ่มีโทนสีหลักแค่ 1-2 สี ล้อมอยู่ในกรอบสีทองสะท้อนแสงบนพื้นหลังสีขาวนวล บรรจุในกล่องฝาครอบแข็งจั่วปังสีขาวลายหินอ่อนพร้อมริบบิ้นสีทองสำหรับใช้งัดไพ่ออกจากกล่อง

    ตัวไพ่พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตเคลือบด้านที่น่าจะหนา 360 - 400 gsm หน้าไพ่ปั๊มทองสะท้อนแสงตรงกรอบไพ่ หลังไพ่เคลือบ UV เฉพาะจุดบนรูปวงพลังธาตุทั้ง 6 ในจักรวาล Warcraft ทุกอย่างกรีดร้องออกมาเป็นคำว่า เรียบหรู ขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นเกมสำหรับวัยรุ่นเกรียนแตกแบบ DotA ในความทรงจำของผมอย่างไรชอบกล (ซึ่งถือเป็นเรื่องดี)

    สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ World of Warcraft แต่หลงใหลในความแฟนตาซีเรียบหรูของไพ่ชุดนี้ ส่วนตัวผมอยากฝากคำแนะนำว่า คุณไม่ต้องไปแคร์กับหน้าไพ่ แต่ใช้ไพ่ชุดนี้โดยยึดความหมายไพ่ตามขนบหรือตามแนวทางที่คุณเรียนมาไปเลย ไม่จำเป็นต้องอ่านเกร็ดเนื้อเรื่องในคู่มือหรือตามศึกษาเนื้อเรื่องจากจักรวาล Warcraft แต่ถ้ามีเวลาว่างทำ คุณก็อาจจะได้แง่มุมอะไรเพิ่มเติมจากเกร็ดเนื้อเรื่องไว้ไปใช้ประกอบการตีความไพ่ด้วยก็ได้ครับ การใช้ไพ่ Fandom ทุกชุดก็มีหลักไม่ต่างกันนี้

    ปัจจุบัน World of Warcraft Tarot มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Asia Books ทุกสาขาครับ
    ผมถือคติว่าจะไม่เก็บไพ่ที่สร้างจาก Fandom ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เว้นแต่มันจะสวยตาแตกหรือมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจผม และ 'World of Warcraft Tarot' (2024) ก็สวยจนเข้าข่ายข้อยกเว้นในแบบแรก ไพ่ชุดนี้ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. Titan Books โดยได้ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Blizzard Entertainment หนึ่งในค่ายเกมยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมในซีรีส์ World of Warcraft รวมถึงเกมชื่อดังอีกหลายเกม เช่น Overwatch, StarCraft และ Diablo (อันหลังนี่ถูก Titan Books นำไปสร้างเป็นไพ่ทาโรต์ด้วย) World of Warcraft เป็นเกม MMORPG (RPG แบบที่ต้องต่อเน็ตเล่นกับชาวบ้าน) ในแฟรนไชส์เกม Warcraft ต่อมาแตกแขนงออกไปเป็นเกมแนววางแผนการรบชื่อ DotA (อ่านว่า โดต้า แต่คนไทยชอบเรียก ด็อตเอ) ซึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นชาย gen Y และ gen X ตอนปลาย นอกจากนั้นตัว Warcraft ที่เป็นเกมหลัก ยังเคยถูกนำไปสร้างดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉายในปี 2016 ซึ่งไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร ก่อนจะเข้าเรื่องไพ่ ผมขอเกริ่นถึงจักรวาล Warcraft ที่เป็นฉากท้องเรื่องเดียวกับไพ่ชุดที่กำลังรีวิวนี้คร่าว ๆ นะครับ Warcraft จัดว่าเป็นสื่อแนวแฟนตาซีประเภทเล่นใหญ่ มีเวทมนตร์และเผ่าพันธุ์อมนุษย์จำพวกที่พบเจอบ่อย ๆ ได้นิยายและหนังแฟนตาซี เช่น เอลฟ์ คนแคระ ออร์ก ฯลฯ แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พอจะแยก Warcraft จากเรื่องแฟนตาซีอื่น ๆ อยู่บ้างก็คือ เผ่าพันธุ์ออร์กซึ่งรับบทตัวร้ายหลัก อพยพมาจากดาวเคราะห์บ้านเกิดชื่อ Draenor ซึ่งกำลังจะล่มสลาย ข้ามประตูเวทมายังดาว Azeroth ที่มีมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ และเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาจากนั้นก็กลายเป็นสงครามการรุกรานและแย่งชิงดินแดนโดยพวกออร์กอีกมากมายหลายครั้งในซีรีส์นี้ เอาละ รู้แค่นี้พอ กลับมาเรื่องไพ่ ไพ่ World of Warcraft Tarot สร้างขึ้นโดยอ้างอิงเนื้อเรื่องในจักรวาล Warcraft แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหมที่จะต้องรู้เนื้อเรื่องของตัวละครหรือฉากบนหน้าไพ่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็นครับ ไพ่ในสำรับ 78 ใบ เกือบทุกใบมีโครงสร้างหน้าไพ่ที่ใกล้เคียงกับชุดมาตรฐานอย่าง RWS โดยเฉพาะในไพ่ชุดรองทั้ง 4 ตระกูล ส่วนในไพ่ชุดหลัก 22 ใบ บางใบถ้าดูแค่หน้าไพ่อย่างเดียวก็จะงง ๆ หน่อย หาความเชื่อมโยงกับไพ่ในระบบมาตรฐานไม่ได้ เช่น ไพ่ The Fool และ Temperance มีรูปมังกรยืนจังก้าอยู่ ไพ่ Tower มีรูปดาบ ถ้าปิดชื่อปิดหมายเลขก็อาจทำให้หลงนึกว่าเป็นไพ่ 1 ดาบได้ ยังดีที่ในคู่มือที่แถมมากับไพ่มีการอธิบาย Lore หรือเกร็ดเรื่องราวของสิ่งที่อยู่บนหน้าไพ่ชุดหลักทั้ง 22 ใบเอาไว้พอสังเขป อ่านแล้วจะพอเข้าใจว่าตัวละครหรือสิ่งของบนหน้าไพ่นั้นมีความเป็นมาหรือบทบาทที่เชื่อมโยงกับความหมายไพ่ใบนั้น ๆ อย่างไร น่าเสียดายที่ในส่วนของไพ่ชุดเล็กจะไม่มีการอธิบาย Lore แบบเดียวกันนี้อยู่ แค่บอกความหมายของไพ่ตามปกติ ขอเสริมเล็กน้อยว่าผู้เขียนคู่มือของไพ่ชุดนี้คือ Ian Flynn ซึ่งเป็นผู้แต่งเนื้อเรื่องในการ์ตูนคอมิกชื่อดังหลายเรื่องของอเมริกา ในแง่การผลิต ไพ่ชุดนี้ถือว่าเป็นไพ่ Fandom ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. เป็นทางการ (คือไม่ใช่ผู้ผลิตอิสระ) ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเจอมา ภาพหน้าไพ่มีโทนสีหลักแค่ 1-2 สี ล้อมอยู่ในกรอบสีทองสะท้อนแสงบนพื้นหลังสีขาวนวล บรรจุในกล่องฝาครอบแข็งจั่วปังสีขาวลายหินอ่อนพร้อมริบบิ้นสีทองสำหรับใช้งัดไพ่ออกจากกล่อง ตัวไพ่พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตเคลือบด้านที่น่าจะหนา 360 - 400 gsm หน้าไพ่ปั๊มทองสะท้อนแสงตรงกรอบไพ่ หลังไพ่เคลือบ UV เฉพาะจุดบนรูปวงพลังธาตุทั้ง 6 ในจักรวาล Warcraft ทุกอย่างกรีดร้องออกมาเป็นคำว่า เรียบหรู ขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นเกมสำหรับวัยรุ่นเกรียนแตกแบบ DotA ในความทรงจำของผมอย่างไรชอบกล (ซึ่งถือเป็นเรื่องดี) สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ World of Warcraft แต่หลงใหลในความแฟนตาซีเรียบหรูของไพ่ชุดนี้ ส่วนตัวผมอยากฝากคำแนะนำว่า คุณไม่ต้องไปแคร์กับหน้าไพ่ แต่ใช้ไพ่ชุดนี้โดยยึดความหมายไพ่ตามขนบหรือตามแนวทางที่คุณเรียนมาไปเลย ไม่จำเป็นต้องอ่านเกร็ดเนื้อเรื่องในคู่มือหรือตามศึกษาเนื้อเรื่องจากจักรวาล Warcraft แต่ถ้ามีเวลาว่างทำ คุณก็อาจจะได้แง่มุมอะไรเพิ่มเติมจากเกร็ดเนื้อเรื่องไว้ไปใช้ประกอบการตีความไพ่ด้วยก็ได้ครับ การใช้ไพ่ Fandom ทุกชุดก็มีหลักไม่ต่างกันนี้ ปัจจุบัน World of Warcraft Tarot มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Asia Books ทุกสาขาครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฆาต” บาลีอ่านว่า คา-ตะ รากศัพท์มาจาก หนฺ (ธาตุ = เบียดเบียน) + อ ปัจจัย, แปลง หนฺ เป็น ฆาต : หนฺ+ อ = หน > ฆาต แปลตามศัพท์ว่า “การเบียดเบียน” หมายถึง การทำให้ตาย, ฆาตกรรม; การประหาร, การทำลาย, การปล้น
    ขึ้นชื่อว่า "ฆ่า" เป็นบาปทั้งสิ้น
    “ฆาต” บาลีอ่านว่า คา-ตะ รากศัพท์มาจาก หนฺ (ธาตุ = เบียดเบียน) + อ ปัจจัย, แปลง หนฺ เป็น ฆาต : หนฺ+ อ = หน > ฆาต แปลตามศัพท์ว่า “การเบียดเบียน” หมายถึง การทำให้ตาย, ฆาตกรรม; การประหาร, การทำลาย, การปล้น ขึ้นชื่อว่า "ฆ่า" เป็นบาปทั้งสิ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • รบเถิดอรชุน

    นั่งดูข่าวสารบ้านเมืองแล้ว อยู่ๆผมก็นึกถึงเนื้อหาเล็กๆในตอนหนึ่งของ “ภควัทคีตา” ในมหากาพย์มหาภารตะครับ

    สำหรับท่านที่ไม่รู้จักภควัทคีตา ก็ขออธิบายสั้นๆว่าเป็นบทคำพูดโต้ตอบระหว่างเจ้าชายอรชุนกับกฤษณะในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร อันเป็นสงครามใหญ่ระหว่างกองทัพสองฝ่ายคือฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ

    และผู้นำนักรบของทั้งสองฝ่ายนั้นล้วนเป็นพี่น้องเครือญาติกันทั้งสิ้น

    เจ้าชายอรชุนนั้นเป็นนักรบที่มีฝีมือยิงธนูเป็นเลิศของฝ่ายปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ)

    ส่วนกฤษณะนั้น คือ สารถีคนขับรถม้าให้อรชุนในสนามรบ ซึ่งอันที่จริงกฤษณะนั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมาบนโลกมนุษย์อีกทีครับ

    เหตุที่สองคนนี้เขาต้องโต้เถียงพูดคุยกันยาวเหยียดนั้น ก็เพราะเจ้าชายอรชุนเกิดความเวทนาและหดหู่ใจที่เห็นญาติพี่น้องทั้งกษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายยกทัพมาเข่นฆ่ากันเองจนเลือดนองแผ่นดินเพื่อแย่งชิงอำนาจ

    อรชุนตัดสินใจผละออกจากการรบ กฤษณะจึงได้เข้าทัดทาน พร้อมกับยกหลักเหตุผลต่างๆนานาเพื่อให้อรชุนกลับเข้าสู่สนามรบ

    กฤษณะได้สอนอรชุนว่า “การหลีกเลี่ยงหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เกิดในวรรณะกษัตริย์และนักรบเช่นอรชุน“

    ”หากท่านละทิ้งการรบแล้ว นอกจากจะเสียชื่อเสื่อมเกียรติแล้ว ยังถือเป็นการทำผิดต่อหน้าที่ของตนเอง“

    ”เมื่อท่านกลับเข้าสนามรบ ก็ขอให้ทำหน้าที่นักรบโดยไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว จะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญ เพราะเมื่อท่านได้ทำหน้าที่นักรบของตนเองอย่างเต็มที่และไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนแล้ว นั่นแหละคือหนทางสู่ความสงบอย่างแท้จริง“

    ผมชอบตรงที่พระกฤษณะบอกว่า ”ชนะก็ได้เป็นใหญ่ในปฐพี แต่ถ้าแพ้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เพราะได้ทำหน้าที่ของตนแล้ว“

    ด้วยคำว่า “ธรรมะ” ของพระกฤษณะคือ “หน้าที่”

    เช่นเดียวกับหลักการบูชิโดของซามูไร ที่ยึดถือในคุณธรรมสองประการ คือ จิริกิ (ความยุติธรรม) และกิริ (ความรับผิดชอบในหน้าที่)

    คนเราต้องรู้จักหน้าที่

    เมื่อเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว เมื่อได้อยู่ฐานะหรือตำแหน่งอะไร ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้สุดความสามารถ

    เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

    เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัด

    อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ เช่น จัดสัมมนาหรือไปออกงานอีเว้นท์น่ะ ไม่ต้องไปทำ

    หวังว่าคงจะเตือนสติใครได้บ้าง เพราะถ้าท่านทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ชาวบ้านเขาจะรู้เองแหละ

    …รบเถิดอรชุน…


    นัทแนะ
    รบเถิดอรชุน นั่งดูข่าวสารบ้านเมืองแล้ว อยู่ๆผมก็นึกถึงเนื้อหาเล็กๆในตอนหนึ่งของ “ภควัทคีตา” ในมหากาพย์มหาภารตะครับ สำหรับท่านที่ไม่รู้จักภควัทคีตา ก็ขออธิบายสั้นๆว่าเป็นบทคำพูดโต้ตอบระหว่างเจ้าชายอรชุนกับกฤษณะในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร อันเป็นสงครามใหญ่ระหว่างกองทัพสองฝ่ายคือฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ และผู้นำนักรบของทั้งสองฝ่ายนั้นล้วนเป็นพี่น้องเครือญาติกันทั้งสิ้น เจ้าชายอรชุนนั้นเป็นนักรบที่มีฝีมือยิงธนูเป็นเลิศของฝ่ายปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ) ส่วนกฤษณะนั้น คือ สารถีคนขับรถม้าให้อรชุนในสนามรบ ซึ่งอันที่จริงกฤษณะนั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมาบนโลกมนุษย์อีกทีครับ เหตุที่สองคนนี้เขาต้องโต้เถียงพูดคุยกันยาวเหยียดนั้น ก็เพราะเจ้าชายอรชุนเกิดความเวทนาและหดหู่ใจที่เห็นญาติพี่น้องทั้งกษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายยกทัพมาเข่นฆ่ากันเองจนเลือดนองแผ่นดินเพื่อแย่งชิงอำนาจ อรชุนตัดสินใจผละออกจากการรบ กฤษณะจึงได้เข้าทัดทาน พร้อมกับยกหลักเหตุผลต่างๆนานาเพื่อให้อรชุนกลับเข้าสู่สนามรบ กฤษณะได้สอนอรชุนว่า “การหลีกเลี่ยงหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เกิดในวรรณะกษัตริย์และนักรบเช่นอรชุน“ ”หากท่านละทิ้งการรบแล้ว นอกจากจะเสียชื่อเสื่อมเกียรติแล้ว ยังถือเป็นการทำผิดต่อหน้าที่ของตนเอง“ ”เมื่อท่านกลับเข้าสนามรบ ก็ขอให้ทำหน้าที่นักรบโดยไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว จะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญ เพราะเมื่อท่านได้ทำหน้าที่นักรบของตนเองอย่างเต็มที่และไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนแล้ว นั่นแหละคือหนทางสู่ความสงบอย่างแท้จริง“ ผมชอบตรงที่พระกฤษณะบอกว่า ”ชนะก็ได้เป็นใหญ่ในปฐพี แต่ถ้าแพ้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เพราะได้ทำหน้าที่ของตนแล้ว“ ด้วยคำว่า “ธรรมะ” ของพระกฤษณะคือ “หน้าที่” เช่นเดียวกับหลักการบูชิโดของซามูไร ที่ยึดถือในคุณธรรมสองประการ คือ จิริกิ (ความยุติธรรม) และกิริ (ความรับผิดชอบในหน้าที่) คนเราต้องรู้จักหน้าที่ เมื่อเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว เมื่อได้อยู่ฐานะหรือตำแหน่งอะไร ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้สุดความสามารถ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัด อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ เช่น จัดสัมมนาหรือไปออกงานอีเว้นท์น่ะ ไม่ต้องไปทำ หวังว่าคงจะเตือนสติใครได้บ้าง เพราะถ้าท่านทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ชาวบ้านเขาจะรู้เองแหละ …รบเถิดอรชุน… นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซี

    มณฑลกวางสี เมืองหนานหนิง ประเทศจีน
    ความหมายของการทำกลองมโหระทึก
    ถูกอ่านมานานแล้ว มีเข้าใจมากันหลายอย่างหลายแบบ

    โพสต์นี้ก็เช่นกัน
    ภาพที่ลงอยู่ทางเข้าของ พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซี ที่ผู้ชมต้องเจอเป็นลำดับแรก โบราณวัตถุชิ้นนี้สำคัญต่อการเข้าใจในการทำกลองมโหระทึกที่ดีมาก

    บนวัตถุโบราณชิ้นนี้
    มีคน
    มีบ้าน
    มีกลอง
    เขาทำขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร
    บ้านคือที่อยู่อาศัย ทำไมบ้านเดียวมีคนเยอะแยะเหมือนทำให้รู้ว่าพวกเขาเคยอยู่บ้านที่ใหญ่โตนี้ แล้วบ้านที่ใหญ่โตนี้ มีความหมายลึกๆคืออะไร

    ผู้เขียนคิดเห็นต่อบ้านที่เห็น ที่มีคนเยอะๆหมายถึงแผ่นดินที่คนเยอะแยะเคยอาศัย และได้จากมา อพยพมา หรือหนีภัยมา จึงได้ทำวัตถุโบราณชิ้นนี้ขึ้นมา จะเห็นมีกลองมโหระทึกอยู่ 2 ใบ และในบ้านหลายใบ

    ผู้เขียนอ่านว่า สาเหตุที่มีคนเยอะและมีบ้านแทนแผ่นดิน และมาอยู่ตรงนี้ถูกทำบันทึกไว้บนกลองมโหระทึก

    ผู้เขียน จะนำบางรูปที่อยู่ข้างกลองที่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซีมาให้ชมว่า เพราะอะไร
    รูปข้างกลองมโหระทึกเป็นรูปเรือ มีการบันทึกใช่ไหมว่า พวกเขา ชนชาวจ้วงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรือ แล้วเรือทำไมมาอยู่ข้างกลอง เรือต้องอยู่กับน้ำ รูปแบบนี้เขากำลังบอกอะไรเรา(ถ้าสมัยนั้นมีตัวหนังสือคงไม่ต้องลำบากแปลภาพ)

    โพสต์นี้เป็นการเริ่มต้นเขียนว่าคนไทย คนจ้วง คนบนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นใครมาจากไหนทำไมมีวัตนธรรมและทัศนคติเหมือนกัน ถ้าใช่พวกเดียวกัน แล้วแต่ละกลุ่มทำไมมาอยู่ตรงนี้ ตรงสถานที่แตกต่างกัน

    มีการเขียนว่าคนไทยมาจากจ้วง #แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วย #ผู้เขียนเชื่อว่าคนจ้วงและคนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาจากเผ่าเดียวกันแผ่นดินเดียวกัน แต่หนีภัยมาคนละกลุ่ม มากกว่าที่จะเป็นคนดั่งเดิมตรงพื้นที่นั้น

    ผู้เขียนคิดว่าจ้วงกับชนเผ่าทางภาคเหนือของพม่า ภาคเหนือของไทย ภาคเหนือของลาวและภาคเหนือไทยมาจากเทือกเขาหิมาลัยและทิเบต (มาพร้อมกับไทย มาเลย์เซีย เวียตนามโดยหนีภัยทางน้ำ ข้ามภูเขาหิมาลัย สมัยนั้ยยังไม่สูงแบบปัจจุบัน)

    ส่วนไทย ภาคใต้ของพม่า มาเลย์เซีย อินโดนีเซีย มาจากมหาสมุทรอินเดียโดยตรง

    ทำไมคิดแบบนั้น ผู้เขียนดูจากวัตถุโบราณจ้วงมีหน้ากลองเหมือนไทยแต่ สำริดลายไม่เหมือน หรือดินเผาแบบลายน้ำของไทย อายุวัตถุโบราณอายุเดียวกัน ไม่มีใครมีอายุแตกต่างกัน.

    บทความและหลักฐานโบราณ
    โดยคุณทราวิฑะ นอกกรอบ
    Fbทราวิฑะ นอกกรอบ
    พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซี มณฑลกวางสี เมืองหนานหนิง ประเทศจีน ความหมายของการทำกลองมโหระทึก ถูกอ่านมานานแล้ว มีเข้าใจมากันหลายอย่างหลายแบบ โพสต์นี้ก็เช่นกัน ภาพที่ลงอยู่ทางเข้าของ พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซี ที่ผู้ชมต้องเจอเป็นลำดับแรก โบราณวัตถุชิ้นนี้สำคัญต่อการเข้าใจในการทำกลองมโหระทึกที่ดีมาก บนวัตถุโบราณชิ้นนี้ มีคน มีบ้าน มีกลอง เขาทำขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร บ้านคือที่อยู่อาศัย ทำไมบ้านเดียวมีคนเยอะแยะเหมือนทำให้รู้ว่าพวกเขาเคยอยู่บ้านที่ใหญ่โตนี้ แล้วบ้านที่ใหญ่โตนี้ มีความหมายลึกๆคืออะไร ผู้เขียนคิดเห็นต่อบ้านที่เห็น ที่มีคนเยอะๆหมายถึงแผ่นดินที่คนเยอะแยะเคยอาศัย และได้จากมา อพยพมา หรือหนีภัยมา จึงได้ทำวัตถุโบราณชิ้นนี้ขึ้นมา จะเห็นมีกลองมโหระทึกอยู่ 2 ใบ และในบ้านหลายใบ ผู้เขียนอ่านว่า สาเหตุที่มีคนเยอะและมีบ้านแทนแผ่นดิน และมาอยู่ตรงนี้ถูกทำบันทึกไว้บนกลองมโหระทึก ผู้เขียน จะนำบางรูปที่อยู่ข้างกลองที่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ชนเผ่ากว่างซีมาให้ชมว่า เพราะอะไร รูปข้างกลองมโหระทึกเป็นรูปเรือ มีการบันทึกใช่ไหมว่า พวกเขา ชนชาวจ้วงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรือ แล้วเรือทำไมมาอยู่ข้างกลอง เรือต้องอยู่กับน้ำ รูปแบบนี้เขากำลังบอกอะไรเรา(ถ้าสมัยนั้นมีตัวหนังสือคงไม่ต้องลำบากแปลภาพ) โพสต์นี้เป็นการเริ่มต้นเขียนว่าคนไทย คนจ้วง คนบนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นใครมาจากไหนทำไมมีวัตนธรรมและทัศนคติเหมือนกัน ถ้าใช่พวกเดียวกัน แล้วแต่ละกลุ่มทำไมมาอยู่ตรงนี้ ตรงสถานที่แตกต่างกัน มีการเขียนว่าคนไทยมาจากจ้วง #แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วย #ผู้เขียนเชื่อว่าคนจ้วงและคนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาจากเผ่าเดียวกันแผ่นดินเดียวกัน แต่หนีภัยมาคนละกลุ่ม มากกว่าที่จะเป็นคนดั่งเดิมตรงพื้นที่นั้น ผู้เขียนคิดว่าจ้วงกับชนเผ่าทางภาคเหนือของพม่า ภาคเหนือของไทย ภาคเหนือของลาวและภาคเหนือไทยมาจากเทือกเขาหิมาลัยและทิเบต (มาพร้อมกับไทย มาเลย์เซีย เวียตนามโดยหนีภัยทางน้ำ ข้ามภูเขาหิมาลัย สมัยนั้ยยังไม่สูงแบบปัจจุบัน) ส่วนไทย ภาคใต้ของพม่า มาเลย์เซีย อินโดนีเซีย มาจากมหาสมุทรอินเดียโดยตรง ทำไมคิดแบบนั้น ผู้เขียนดูจากวัตถุโบราณจ้วงมีหน้ากลองเหมือนไทยแต่ สำริดลายไม่เหมือน หรือดินเผาแบบลายน้ำของไทย อายุวัตถุโบราณอายุเดียวกัน ไม่มีใครมีอายุแตกต่างกัน. บทความและหลักฐานโบราณ โดยคุณทราวิฑะ นอกกรอบ Fbทราวิฑะ นอกกรอบ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34,000,000,000,000 บาท (อ่านว่า 34 ล้านล้านบาท) นี่คือมูลค่าบริษัทที่หายไปในคืนเดียว ของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ-ยุโรป จากการที่ราคาหุ้น Panic ร่วงหนัก..

    หลังการมาของ DeepSeek บริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI มาสู้กับ ChatGPT ของ OpenAI
    ซึ่งมากับความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่ต้นทุนต่ำกว่ามหาศาล ทั้งในแง่ของการพัฒนาโมเดล และการใช้งานถาม-ตอบ

    จึงฉุดให้นักลงทุนตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรป เช่น Nvidia, ASML ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาหลายเท่าตัว

    และกังขาเกี่ยวกับงบลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่บริษัทต่าง ๆ เช่น Microsoft, Meta, Alphabet (Google) วางแผนจะใช้กับการลงทุนด้าน AI

    เพราะ DeepSeek กำลังแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาโมเดล AI ที่ทรงพลัง ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านั้น เป็นไปได้

    และนี่ก็อาจพลิกโฉมภาพของอุตสาหกรรม AI และการลงทุนของทั้งซัปพลายเชน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายมหาศาล จากบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง

    ซึ่งการมาของ DeepSeek ก็กำลังทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เทคโนโลยี AI ของจีน ไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ เหมือนที่คิดไว้

    และมาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสหรัฐฯ นั้น ก็ไม่มีผลต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน

    รวมถึงทำให้ต้องคิดใหม่ว่า เกมชิงความเป็นผู้นำในสมรภูมิแห่ง AI ยังไม่จบ แต่กำลังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น..

    .
    https://www.facebook.com/share/p/1FQ2W9GAPv/
    34,000,000,000,000 บาท (อ่านว่า 34 ล้านล้านบาท) นี่คือมูลค่าบริษัทที่หายไปในคืนเดียว ของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ-ยุโรป จากการที่ราคาหุ้น Panic ร่วงหนัก.. หลังการมาของ DeepSeek บริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI มาสู้กับ ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งมากับความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่ต้นทุนต่ำกว่ามหาศาล ทั้งในแง่ของการพัฒนาโมเดล และการใช้งานถาม-ตอบ จึงฉุดให้นักลงทุนตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรป เช่น Nvidia, ASML ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาหลายเท่าตัว และกังขาเกี่ยวกับงบลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่บริษัทต่าง ๆ เช่น Microsoft, Meta, Alphabet (Google) วางแผนจะใช้กับการลงทุนด้าน AI เพราะ DeepSeek กำลังแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาโมเดล AI ที่ทรงพลัง ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านั้น เป็นไปได้ และนี่ก็อาจพลิกโฉมภาพของอุตสาหกรรม AI และการลงทุนของทั้งซัปพลายเชน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายมหาศาล จากบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งการมาของ DeepSeek ก็กำลังทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เทคโนโลยี AI ของจีน ไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ เหมือนที่คิดไว้ และมาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสหรัฐฯ นั้น ก็ไม่มีผลต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน รวมถึงทำให้ต้องคิดใหม่ว่า เกมชิงความเป็นผู้นำในสมรภูมิแห่ง AI ยังไม่จบ แต่กำลังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น.. . https://www.facebook.com/share/p/1FQ2W9GAPv/
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านไปเห็น คอมเม้นท์นึง...นี่คือวิธีคิดของคนยุคนี้หรือ..? ...สวัสดีครับ ผมติดตามเพจคุณมา ปีกว่าจะ 2 ปีแล้ว...แต่ยังไม่ได้อุดหนุนกันเลย....เสียดาย ถ้ามปลายทาง..แจ้งทีนะครับ.......😆 คุณๆผู้อ่านว่าไง..การขอปลายทาง..คือ การไม่ไว้ใจขายผู้ขาย..กลัวไม่ส่ง..ใช่ไหม? ....นี่ติดตามเพจมา จะ 2 ปีแล้ว...ก็ยังไม่ไว้ใจที่จะซื้อของโดยการโอนเงินให้เขาอีก...หรือต้องดูกันก่อนอีกสัก 3 ปี ถึงจะกล้าซื้อแบบโอน..😅😅
    ผ่านไปเห็น คอมเม้นท์นึง...นี่คือวิธีคิดของคนยุคนี้หรือ..? ...สวัสดีครับ ผมติดตามเพจคุณมา ปีกว่าจะ 2 ปีแล้ว...แต่ยังไม่ได้อุดหนุนกันเลย....เสียดาย ถ้ามปลายทาง..แจ้งทีนะครับ.......😆 คุณๆผู้อ่านว่าไง..การขอปลายทาง..คือ การไม่ไว้ใจขายผู้ขาย..กลัวไม่ส่ง..ใช่ไหม? ....นี่ติดตามเพจมา จะ 2 ปีแล้ว...ก็ยังไม่ไว้ใจที่จะซื้อของโดยการโอนเงินให้เขาอีก...หรือต้องดูกันก่อนอีกสัก 3 ปี ถึงจะกล้าซื้อแบบโอน..😅😅
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฮโซกับโลโซ
    ความแตกต่างระหว่างไฮโซกับโลโซนั้นดูเหมือนว่ามันจะมีมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไรเลย ที่ต่างกันจริงๆนั้นก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในอัตตาที่มีมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง
    คนเรา ถึงจะเป็นไฮโซแต่ทำตัวสมถะติดดินก็ทำได้ เอาอย่างในหลวงท่านสอนให้พอเพียงนั่นไง และถ้าเค้าคนนั้นเป็นคนดีด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีไปทำบุญช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทุกข์ยาก ก็จะได้ทั้งบุญกุศลและบุญบารมีอย่างในหลวงท่าน และได้อริยทรัพย์อันยิ่งใหญ่ก็คือบุญติดตามไปในชาติภพหน้าด้วย
    ส่วนคนไฮโซที่เค้าอวดร่ำอวดรวยก็ช่างเขาเถอะ สักวันเค้าก็ต้องจนอยู่ดี โดยเฉพาะจนบุญกุศลบุญบารมีและจนใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
    ส่วนคนที่เป็นพวกโลโซ แต่อยู่อย่างพอเพียง พอดี พอมี พอกิน ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานโดยไม่มีความทุกข์เดือดร้อนกายใจ แต่โลโซบางพวกที่จะพูดถึงนี่สิ ช่างน่าสงสาร น่าเวทนา น่าสังเวชใจยิ่งนัก พอดีไม่มี อยากได้อยากมีอย่างเค้าแต่ทุนตัวเองก็ไม่มี ก็ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเค้ามา ลำพองตัวเอง อวดข้าว อวดของ ว่ามีอย่างคนอื่นเขา ทั้งๆที่ตนเองต้องเดือดร้อนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งคนจำพวกนี้ก็มีเยอะนะในสังคมเรา
    สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดคุณผู้อ่านว่า สิ่งใดดีก็ควรเอาไปเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ซึ่งแบบอย่างที่ดีที่พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ ในหลวง ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง
    จงพอดี พอมี พอเพียง พออยู่ พอกิน แล้วเราจะไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า
    ไฮโซกับโลโซ ความแตกต่างระหว่างไฮโซกับโลโซนั้นดูเหมือนว่ามันจะมีมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไรเลย ที่ต่างกันจริงๆนั้นก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในอัตตาที่มีมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง คนเรา ถึงจะเป็นไฮโซแต่ทำตัวสมถะติดดินก็ทำได้ เอาอย่างในหลวงท่านสอนให้พอเพียงนั่นไง และถ้าเค้าคนนั้นเป็นคนดีด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีไปทำบุญช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทุกข์ยาก ก็จะได้ทั้งบุญกุศลและบุญบารมีอย่างในหลวงท่าน และได้อริยทรัพย์อันยิ่งใหญ่ก็คือบุญติดตามไปในชาติภพหน้าด้วย ส่วนคนไฮโซที่เค้าอวดร่ำอวดรวยก็ช่างเขาเถอะ สักวันเค้าก็ต้องจนอยู่ดี โดยเฉพาะจนบุญกุศลบุญบารมีและจนใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ส่วนคนที่เป็นพวกโลโซ แต่อยู่อย่างพอเพียง พอดี พอมี พอกิน ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานโดยไม่มีความทุกข์เดือดร้อนกายใจ แต่โลโซบางพวกที่จะพูดถึงนี่สิ ช่างน่าสงสาร น่าเวทนา น่าสังเวชใจยิ่งนัก พอดีไม่มี อยากได้อยากมีอย่างเค้าแต่ทุนตัวเองก็ไม่มี ก็ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเค้ามา ลำพองตัวเอง อวดข้าว อวดของ ว่ามีอย่างคนอื่นเขา ทั้งๆที่ตนเองต้องเดือดร้อนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งคนจำพวกนี้ก็มีเยอะนะในสังคมเรา สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดคุณผู้อ่านว่า สิ่งใดดีก็ควรเอาไปเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ซึ่งแบบอย่างที่ดีที่พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ ในหลวง ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง จงพอดี พอมี พอเพียง พออยู่ พอกิน แล้วเราจะไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหวัง
    คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา
    แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า
    น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง
    คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง
    ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย
    การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง
    สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า
    1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง?
    2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง?
    3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป?
    4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย?
    สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า
    ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    ความหวัง คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า 1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง? 2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง? 3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป? 4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย? สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อปีก่อน เราได้แต่ดูภาพบนเหรียญ ไม่มีความรู้เลยว่าผู้ทำเหรียญต้องการสื่ออะไร มีความหมายอย่างไร

    วันหนึ่ง ผู้เขียน คุณทราวิฑะ นอกกรอบ ท่านเปิดโอกาสให้ถามและท่านเล่า อธิบาย ใช้วิธีชี้แต่ละจุด แม้สัญลักษณ์เพียงจุดเล็ก ๆ ท่านก็มีความหมายสอนให้เราอ่าน ค่ะ
    ....

    เหรียญทวารวดีเหรียญนี้ด้านซ้ายไม่ชัดแต่ภาพซ้ายและขวาอ่านว่ามีน้ำขนาดใหญ่เข้ามาทำลายแผ่นดิน

    ดูด้านซ้ายจะเหมือนตัวเอส สิ่งที่เห็นถูกทำแทนน้ำขนาดใหญ่ ภาพจริงๆจะมีตุ่มอยู่ซ้ายมือ5-6ตุ่ม
    ตุ่มคือเมืองที่เขาใส่ตุ่มมาเพื่อบอกแทนตัวหนังสือว่ามีน้ำขนาดใหญ่ทำลายเมือง

    ส่วนด้านขวามือให้ดูที่ตัวแมลง แล้วให้ดูที่กลางลำตัวเเมลงให้ตัดทุกอย่างออกจากภาพให้ดูที่ตัวที T แทนรูปน้ำ ที่เป็นเส้นตรงจากด้านล่างของภาพที่เป็นตัวแมลงสิ่งที่เห็นคือน้ำที่เหมือนตัวเอสของภาพซ้ายมือเมื่อน้ำพุ่งเข้าไปในแผ่นดินด้านบน(ให้กลับไปดูเหรียญหอยของเหรียญทวารวดีทุกเหรียญจะมีทางน้ำเข้าไปด้านล่างของแผ่นดินทุกเหรียญ)เมื่อเข้าไปในแผ่นดินแล้วน้ำหาทางออกไม่ได้ก็ระเบิดแผ่นดิน เหตุผลเป็นแบบนี้คือสาเหตุที่ทำให้ไม่มีแผ่นดินหลงเหลืออยู่ทำให้บรรพบุรุษของผู้ทำเหรียญต้องให้ลูกหลานทำเหรียญแบบนี้ออกมา

    ส่วนที่เห็นเป็นขาแมลงหลายๆขา สิ่งที่เห็นคือพลังของน้ำที่เกิดเวลานั้น หัวแมลงสาปคือแผ่นดินที่ถูกน้ำ(ตัวT) ทำลาย และรอบๆเหรียญที่เห็นเป็นตุ่ม คือเมือง หรือประเทศ ที่เคยมีบนแผ่นดิน ที่ถูกน้ำทำลาย

    (ได้นำเหรียญที่มีรูปแบบอื่นที่เป็นพลังน้ำมาให้ดูด้วยค่ะ)

    บทความ และรูปภาพโดย
    คุณทราวิฑะ นอกกรอบ

    Fb ทราวิฑะ นอกกรอบ
    เมื่อปีก่อน เราได้แต่ดูภาพบนเหรียญ ไม่มีความรู้เลยว่าผู้ทำเหรียญต้องการสื่ออะไร มีความหมายอย่างไร วันหนึ่ง ผู้เขียน คุณทราวิฑะ นอกกรอบ ท่านเปิดโอกาสให้ถามและท่านเล่า อธิบาย ใช้วิธีชี้แต่ละจุด แม้สัญลักษณ์เพียงจุดเล็ก ๆ ท่านก็มีความหมายสอนให้เราอ่าน ค่ะ .... เหรียญทวารวดีเหรียญนี้ด้านซ้ายไม่ชัดแต่ภาพซ้ายและขวาอ่านว่ามีน้ำขนาดใหญ่เข้ามาทำลายแผ่นดิน ดูด้านซ้ายจะเหมือนตัวเอส สิ่งที่เห็นถูกทำแทนน้ำขนาดใหญ่ ภาพจริงๆจะมีตุ่มอยู่ซ้ายมือ5-6ตุ่ม ตุ่มคือเมืองที่เขาใส่ตุ่มมาเพื่อบอกแทนตัวหนังสือว่ามีน้ำขนาดใหญ่ทำลายเมือง ส่วนด้านขวามือให้ดูที่ตัวแมลง แล้วให้ดูที่กลางลำตัวเเมลงให้ตัดทุกอย่างออกจากภาพให้ดูที่ตัวที T แทนรูปน้ำ ที่เป็นเส้นตรงจากด้านล่างของภาพที่เป็นตัวแมลงสิ่งที่เห็นคือน้ำที่เหมือนตัวเอสของภาพซ้ายมือเมื่อน้ำพุ่งเข้าไปในแผ่นดินด้านบน(ให้กลับไปดูเหรียญหอยของเหรียญทวารวดีทุกเหรียญจะมีทางน้ำเข้าไปด้านล่างของแผ่นดินทุกเหรียญ)เมื่อเข้าไปในแผ่นดินแล้วน้ำหาทางออกไม่ได้ก็ระเบิดแผ่นดิน เหตุผลเป็นแบบนี้คือสาเหตุที่ทำให้ไม่มีแผ่นดินหลงเหลืออยู่ทำให้บรรพบุรุษของผู้ทำเหรียญต้องให้ลูกหลานทำเหรียญแบบนี้ออกมา ส่วนที่เห็นเป็นขาแมลงหลายๆขา สิ่งที่เห็นคือพลังของน้ำที่เกิดเวลานั้น หัวแมลงสาปคือแผ่นดินที่ถูกน้ำ(ตัวT) ทำลาย และรอบๆเหรียญที่เห็นเป็นตุ่ม คือเมือง หรือประเทศ ที่เคยมีบนแผ่นดิน ที่ถูกน้ำทำลาย (ได้นำเหรียญที่มีรูปแบบอื่นที่เป็นพลังน้ำมาให้ดูด้วยค่ะ) บทความ และรูปภาพโดย คุณทราวิฑะ นอกกรอบ Fb ทราวิฑะ นอกกรอบ
    Love
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวรรค์ชั้นไหนก็ดี..ทำไปบุญกุศล อย่าไปทำบาปกรรม ขึ้นไปแล้วก็ไปต่ออยอดเอา ชื่อสวรรค์แต่ละชั่นก็งดงาม
    จาตุมหาราชิก (อ่านว่า จา-ตุ-มะ -หา-รา-ชิก)
    ดาวดึงส์ (อ่านว่า ดาว-วะ -ดึง)
    ยามา
    ดุสิต
    นิมมานรดี (อ่านว่า นิม-มาน-นอ-ระ -ดี)
    ปรนิมมิตวสวัตดี (อ่านว่า ปอ-ระ -นิม-มิด-ตะ-วะ-สะ -วัด-ดี)
    สวรรค์ชั้นไหนก็ดี..ทำไปบุญกุศล อย่าไปทำบาปกรรม ขึ้นไปแล้วก็ไปต่ออยอดเอา ชื่อสวรรค์แต่ละชั่นก็งดงาม จาตุมหาราชิก (อ่านว่า จา-ตุ-มะ -หา-รา-ชิก) ดาวดึงส์ (อ่านว่า ดาว-วะ -ดึง) ยามา ดุสิต นิมมานรดี (อ่านว่า นิม-มาน-นอ-ระ -ดี) ปรนิมมิตวสวัตดี (อ่านว่า ปอ-ระ -นิม-มิด-ตะ-วะ-สะ -วัด-ดี)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไป มหาชัย..ก็แวะตชาดซื้อลอดช่องเจ้าดัง..เลยเดินดูแผงพระ...เจอมิตรเก่า...ที่เล่นซื้อขาย เดินทุกสนาม..ทั่วประเทศมากว่า 30 ปี...เลยแซวแก..เป็นไงบ้าง เลิกเล่นสมเด็จรึยัง... (ต้องย้อนความไปนิด คือ แกซื้อขายพระสารพักแบบ เพื่อเอากำไร ไปซื้อสมเด็จ โดยหวังว่า จะได้จับเงินล้านสักวัน) ..แกเลยตอบว่า ยอมแพ้แล้ว...มีเป็นพันองค์ แต่ไม่มีแบบที่เซียนซื้อหลักล้านเลย...ซื้อมาตลอด 30 ปี...หมดเงินไปน่าจะเกินล้าน..หลักร้อย หลักพัน...ต่อชิ้น..เลยอยากบอกท่านผู้อ่านว่า..ไม่ง่ายเลย...เอาแค่ทุกสนามการประกวด โต๊ะสายตรงกรรมการ ยังมีความเห็นต่างกันเลย...ไม่นับพระมีใบสั่งจากคนมีเส้นอีก...กลุ่มพระสมเด็จในเฟส ที่มีคนมากๆ..เขาเหล่านั้น เข้ามาเพื่อ 1. เอาพระมาเช็ค ด้วยความคาดหวังที่จะได้ราคา 2. คิดว่า ต้มคนโลภได้ ...บางคนทำตัวเป็นผู้รู้สอนดูสารพัด..และก็เอาพระแบบที่วงการเขาไม่เล่นนั่นละ มาสอน..สุดท้าย ขายของ...อยากบอกทุกท่านว่า อย่าไปเล่นเลย มันจบยาก...อยู่ที่เครดิตคนขาย และคนซื้อ...เล่นอะไรแบบที่ชัดเจนดีกว่า..นะ
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไป มหาชัย..ก็แวะตชาดซื้อลอดช่องเจ้าดัง..เลยเดินดูแผงพระ...เจอมิตรเก่า...ที่เล่นซื้อขาย เดินทุกสนาม..ทั่วประเทศมากว่า 30 ปี...เลยแซวแก..เป็นไงบ้าง เลิกเล่นสมเด็จรึยัง... (ต้องย้อนความไปนิด คือ แกซื้อขายพระสารพักแบบ เพื่อเอากำไร ไปซื้อสมเด็จ โดยหวังว่า จะได้จับเงินล้านสักวัน) ..แกเลยตอบว่า ยอมแพ้แล้ว...มีเป็นพันองค์ แต่ไม่มีแบบที่เซียนซื้อหลักล้านเลย...ซื้อมาตลอด 30 ปี...หมดเงินไปน่าจะเกินล้าน..หลักร้อย หลักพัน...ต่อชิ้น..เลยอยากบอกท่านผู้อ่านว่า..ไม่ง่ายเลย...เอาแค่ทุกสนามการประกวด โต๊ะสายตรงกรรมการ ยังมีความเห็นต่างกันเลย...ไม่นับพระมีใบสั่งจากคนมีเส้นอีก...กลุ่มพระสมเด็จในเฟส ที่มีคนมากๆ..เขาเหล่านั้น เข้ามาเพื่อ 1. เอาพระมาเช็ค ด้วยความคาดหวังที่จะได้ราคา 2. คิดว่า ต้มคนโลภได้ ...บางคนทำตัวเป็นผู้รู้สอนดูสารพัด..และก็เอาพระแบบที่วงการเขาไม่เล่นนั่นละ มาสอน..สุดท้าย ขายของ...อยากบอกทุกท่านว่า อย่าไปเล่นเลย มันจบยาก...อยู่ที่เครดิตคนขาย และคนซื้อ...เล่นอะไรแบบที่ชัดเจนดีกว่า..นะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องอิ ผจก หลายคนอยากอ่านว่าพี่คิงส์จะว่ายังไง กับข่าวที่ยำ CL เดี๋ยวจัดให้ ใจเย็นๆ แค่อยากให้เห็นความเฮี้ยของอินี่ให้อิ่มก่อนไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    เรื่องอิ ผจก หลายคนอยากอ่านว่าพี่คิงส์จะว่ายังไง กับข่าวที่ยำ CL เดี๋ยวจัดให้ ใจเย็นๆ แค่อยากให้เห็นความเฮี้ยของอินี่ให้อิ่มก่อนไง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา
    มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก)
    ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง
    แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที
    ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว
    เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง

    ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : -

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
    บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน
    ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ
    แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ”
    วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑

    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย

    ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว

    จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.....

    ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓

    อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

    ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
    เบญจา สุภานนท์
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
    ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่....

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕
    อุโรวษา เพชรวารี
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า

    “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...”

    คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า
    “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย”
    และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า
    “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก”
    ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว

    เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว
    ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย
    กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ

    พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด”
    กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที

    ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข)

    ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์

    เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น

    อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ
    “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร”
    วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒

    ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า

    พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ
    กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
    คัณโฑ นัตถิ ภันเต
    กิลาโส นัตถิ ภันเต
    โสโส นัตถิ ภันเต
    อะปะมาโร นัตถิ ภันเต
    มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
    นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
    อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
    กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ
    โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ

    (๑) บอกฉายาของตนเอง
    (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์

    ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย
    “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก) ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : - “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ” วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่..... ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เบญจา สุภานนท์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.... ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ อุโรวษา เพชรวารี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...” คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย” และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก” ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด” กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข) ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์ เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร” วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒ ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ กุฏฐัง นัตถิ ภันเต คัณโฑ นัตถิ ภันเต กิลาโส นัตถิ ภันเต โสโส นัตถิ ภันเต อะปะมาโร นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ (๑) บอกฉายาของตนเอง (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์ ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 936 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกความจำเรื่องตัว H

    15 พ.ย. 2567 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสคุยกับเด็ก ป.1 ได้ถามว่าครูสอนอะไรบ้าง หนูน้อยตอบว่าตัวอักษร ภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าเลยให้หนูน้อยท่องให้ฟัง นร.สามารถท่องได้ A-Z แต่ก็สะดุดที่ตัว H เพราะออกเสียงว่า เฮ็ด และ เฮ็ด ทุกครั้งที่ท่อง ทำให้นึกถึงในวัยเด็ก

    ข้าพเจ้าเคยเรียนระดับอนุบาลและประถมต้นโรงเรียนเอกชนมาสองแห่ง ครูจะสอนให้ออกเสียง เอช เมื่อต้องย้ายโรงเรียนใหม่ ตอน ป.4 ในวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อนๆ เพิ่งจะเริ่มท่องภาษาอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่ได้ยิน "เฮ็ด" เมื่อครูให้ท่องที่ละคน บทสนทนาของข้าพเจ้ากับครูจึงเป็นประมาณนี้

    ข้าพเจ้า: เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เอช
    ครู: ไม่ใช่!... เอช เฮ็ด! ออกเสียงว่า เฮ็ด เอาใหม่
    ข้าพเจ้า: เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เอช
    ครู: เฮ็ด! เอาใหม่
    ข้าพเจ้า: (เฮ็ด ก็ เฮ็ด) เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เฮ็ด
    ครู: อืม! ถูกต้อง ต่อไป

    และมันยิ่งสนุกมากขึ้น เมื่อเข้ามัธยม ในอีกภูมิภาคหนึ่ง เพราะ "เฮ็ด" ไม่ใช่ เฮ็ด ธรรมดาแล้ว มันเป็น "เฮ็ดชฺ" มีเสียง ชึๆ ท้ายเสียง เมื่อครูให้ข้าพเจ้าสะกดคำ เช่น Hand

    ข้าพเจ้า: เอช เอ .....
    ครู: เดี๋ยว! ตัวนี้ออกเสียง เฮ็ดชฺ
    ข้าพเจ้า: เอช เอ เอ็น ดีแฮนด์ มือ
    ครู: นั่น! ก็ออกเสียง แฮนด์ แล้วทำไมเสียงอักขระผิด ลองสะกดคำว่า House ซิ
    ข้าพเจ้า: เอช โอ ยู......
    ครู: ไม่ใช่....เฮ็ดชฺ เฮ็ดชฺ(ครูย้ำ)
    ข้าพเจ้า: (เฮ็ดชฺ ก็ เฮ็ดชฺ) เฮ็ดชฺ โอ ยู เอส อี เฮ้าสฺ บ้าน
    ครู: (พยักหน้า = ผ่าน)

    เมื่อหมดคาบ ข้าพเจ้าบอกเพื่อนว่าตัวนี้อ่านว่า เอช เพื่อนบอก เฮ็ดชฺ เพื่อนอีกคน บอกว่า เฮ็ดชุ ข้าพเจ้าเถียงว่า เอช เพื่อนบอกว่า ไปถามใครในโรงเรียนนี้ก็ได้ ว่าออกเสียงอย่างไร ข้าพเจ้ายอมแพ้ เพราะรู้ว่าอยู่ในดง เฮ็ดชฺ

    แม้ว่าเมื่อโตขึ้นจะรู้ว่า สามารถออกเสียงได้อีกแบบว่า เฮช แต่ก็ไม่ใกล้เคียง เฮ็ดหรือเฮ็ดชฺ เลย หรือว่าจริงจริง เฮ็ด หรือ เฮ็ดชุ ก็ใช้ได้ ในเมื่อมันผ่านมาสี่สิบกว่าปีแล้ว(นับจากอายุข้าพเจ้า) อักษรนี้ จะเป็นการออกเสียงเฉพาะสำเนียงไทยเท่านั้น ประมาณไทยลิช เหมือนสิงลิช ของสิงคโปร์

    ข้าพเจ้าไม่ใช่ นักภาษาศาสตร์ แต่เท่าที่ค้นคว้าดู จะออกเสียงได้ 2 แบบคือ เอช หรือ เฮชส่วนเรื่อง เฮ็ด/เฮ็ดชฺ ก็คงจะใช้ได้ เพราะคณะที่ผลิตครู และผ่านประกันคุณภาพการศึกษาอย่างเข้มข้น ผลิตครูภาษาอังกฤษ ที่ออกเสียง เฮ็ด มาสอนเด็กได้ (พวกสูซิเฮ็ดหยัง ก็เฮ็ดกันไปเด้อ) แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องภาษา ยึดหลักว่า มันไม่ใช่ปัญหาของคนพูด มันเป็นปัญหาของคนฟัง
    บันทึกความจำเรื่องตัว H 15 พ.ย. 2567 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสคุยกับเด็ก ป.1 ได้ถามว่าครูสอนอะไรบ้าง หนูน้อยตอบว่าตัวอักษร ภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าเลยให้หนูน้อยท่องให้ฟัง นร.สามารถท่องได้ A-Z แต่ก็สะดุดที่ตัว H เพราะออกเสียงว่า เฮ็ด และ เฮ็ด ทุกครั้งที่ท่อง ทำให้นึกถึงในวัยเด็ก ข้าพเจ้าเคยเรียนระดับอนุบาลและประถมต้นโรงเรียนเอกชนมาสองแห่ง ครูจะสอนให้ออกเสียง เอช เมื่อต้องย้ายโรงเรียนใหม่ ตอน ป.4 ในวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อนๆ เพิ่งจะเริ่มท่องภาษาอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่ได้ยิน "เฮ็ด" เมื่อครูให้ท่องที่ละคน บทสนทนาของข้าพเจ้ากับครูจึงเป็นประมาณนี้ ข้าพเจ้า: เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เอช ครู: ไม่ใช่!... เอช เฮ็ด! ออกเสียงว่า เฮ็ด เอาใหม่ ข้าพเจ้า: เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เอช ครู: เฮ็ด! เอาใหม่ ข้าพเจ้า: (เฮ็ด ก็ เฮ็ด) เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เฮ็ด ครู: อืม! ถูกต้อง ต่อไป และมันยิ่งสนุกมากขึ้น เมื่อเข้ามัธยม ในอีกภูมิภาคหนึ่ง เพราะ "เฮ็ด" ไม่ใช่ เฮ็ด ธรรมดาแล้ว มันเป็น "เฮ็ดชฺ" มีเสียง ชึๆ ท้ายเสียง เมื่อครูให้ข้าพเจ้าสะกดคำ เช่น Hand ข้าพเจ้า: เอช เอ ..... ครู: เดี๋ยว! ตัวนี้ออกเสียง เฮ็ดชฺ ข้าพเจ้า: เอช เอ เอ็น ดีแฮนด์ มือ ครู: นั่น! ก็ออกเสียง แฮนด์ แล้วทำไมเสียงอักขระผิด ลองสะกดคำว่า House ซิ ข้าพเจ้า: เอช โอ ยู...... ครู: ไม่ใช่....เฮ็ดชฺ เฮ็ดชฺ(ครูย้ำ) ข้าพเจ้า: (เฮ็ดชฺ ก็ เฮ็ดชฺ) เฮ็ดชฺ โอ ยู เอส อี เฮ้าสฺ บ้าน ครู: (พยักหน้า = ผ่าน) เมื่อหมดคาบ ข้าพเจ้าบอกเพื่อนว่าตัวนี้อ่านว่า เอช เพื่อนบอก เฮ็ดชฺ เพื่อนอีกคน บอกว่า เฮ็ดชุ ข้าพเจ้าเถียงว่า เอช เพื่อนบอกว่า ไปถามใครในโรงเรียนนี้ก็ได้ ว่าออกเสียงอย่างไร ข้าพเจ้ายอมแพ้ เพราะรู้ว่าอยู่ในดง เฮ็ดชฺ แม้ว่าเมื่อโตขึ้นจะรู้ว่า สามารถออกเสียงได้อีกแบบว่า เฮช แต่ก็ไม่ใกล้เคียง เฮ็ดหรือเฮ็ดชฺ เลย หรือว่าจริงจริง เฮ็ด หรือ เฮ็ดชุ ก็ใช้ได้ ในเมื่อมันผ่านมาสี่สิบกว่าปีแล้ว(นับจากอายุข้าพเจ้า) อักษรนี้ จะเป็นการออกเสียงเฉพาะสำเนียงไทยเท่านั้น ประมาณไทยลิช เหมือนสิงลิช ของสิงคโปร์ ข้าพเจ้าไม่ใช่ นักภาษาศาสตร์ แต่เท่าที่ค้นคว้าดู จะออกเสียงได้ 2 แบบคือ เอช หรือ เฮชส่วนเรื่อง เฮ็ด/เฮ็ดชฺ ก็คงจะใช้ได้ เพราะคณะที่ผลิตครู และผ่านประกันคุณภาพการศึกษาอย่างเข้มข้น ผลิตครูภาษาอังกฤษ ที่ออกเสียง เฮ็ด มาสอนเด็กได้ (พวกสูซิเฮ็ดหยัง ก็เฮ็ดกันไปเด้อ) แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องภาษา ยึดหลักว่า มันไม่ใช่ปัญหาของคนพูด มันเป็นปัญหาของคนฟัง
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • 喜欢你 เพลงจีนกวางตุ้งอ่านว่า Hei Foon Nei
    ( จีนกลาง = xi huan ni ) แปลว่า ฉันชอบเธอ
    หรือ มีความหมายในภาษาฝาหรั่ง = Loving You
    ทำให้เพลงนี้..กลายเป็นเพลงยอดนิยมตลอดกาลของชาวจีนทั้งประเทศ
    สำหรับหนุ่มใช้ขับร้องเพลงนี้..เพื่อจีบสาว หรือ สาวจีบหนุ่มก็ได้
    ------------------------------
    ขับร้อง คลอเคลีย..ตามไป ด้วยกัน นะคะ

    ความหมายในภาษาไทย และ เนื้อเพลง(ภาษาจีนกวางตุ้ง)
    ฝนตกปรอยๆและลมพัดปกคลุมถนนในเวลาพลบค่ำ
    细雨带风湿透黄昏的街道

    ปัดน้ำฝนตาของฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
    抹去雨水双眼无故地仰望

    การมองแสงไฟยามค่ำคืนอันโดดเดี่ยวคือความทรงจำอันแสนเศร้า
    望向孤单的晚灯 是那伤感的记忆

    ความโหยหาในใจฉันนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นอีกครั้ง
    再次泛起心里无数的思念

    เสียงหัวเราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมายังคงอยู่บนใบหน้าของฉัน
    以往片刻欢笑仍挂在脸上

    ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน
    愿你此刻可会知 是我衷心的说声

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    ฉันหุนหันพลันแล่นมากเมื่อเต็มไปด้วยอุดมคติ
    满带理想的我曾经多冲动

    ฉันมักจะบ่นว่าการตกหลุมรักเธอเป็นเรื่องยากที่จะมีอิสระ
    屡怨与她相爱难有自由

    ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน
    愿你此刻可会知 是我衷心的说声

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    เดินคนเดียวทุกคืน
    每晚夜里自我独行

    เดินวนไปวนมา หนาวมาก
    随处荡 多冰冷

    ฉันต่อสู้กับตัวเองในอดีต
    已往为了自我挣扎

    ไม่เคยรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอ
    从不知 她的痛苦

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU
    喜欢你 เพลงจีนกวางตุ้งอ่านว่า Hei Foon Nei ( จีนกลาง = xi huan ni ) แปลว่า ฉันชอบเธอ หรือ มีความหมายในภาษาฝาหรั่ง = Loving You ทำให้เพลงนี้..กลายเป็นเพลงยอดนิยมตลอดกาลของชาวจีนทั้งประเทศ สำหรับหนุ่มใช้ขับร้องเพลงนี้..เพื่อจีบสาว หรือ สาวจีบหนุ่มก็ได้ ------------------------------ ขับร้อง คลอเคลีย..ตามไป ด้วยกัน นะคะ ความหมายในภาษาไทย และ เนื้อเพลง(ภาษาจีนกวางตุ้ง) ฝนตกปรอยๆและลมพัดปกคลุมถนนในเวลาพลบค่ำ 细雨带风湿透黄昏的街道 ปัดน้ำฝนตาของฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล 抹去雨水双眼无故地仰望 การมองแสงไฟยามค่ำคืนอันโดดเดี่ยวคือความทรงจำอันแสนเศร้า 望向孤单的晚灯 是那伤感的记忆 ความโหยหาในใจฉันนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นอีกครั้ง 再次泛起心里无数的思念 เสียงหัวเราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมายังคงอยู่บนใบหน้าของฉัน 以往片刻欢笑仍挂在脸上 ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน 愿你此刻可会知 是我衷心的说声 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 ฉันหุนหันพลันแล่นมากเมื่อเต็มไปด้วยอุดมคติ 满带理想的我曾经多冲动 ฉันมักจะบ่นว่าการตกหลุมรักเธอเป็นเรื่องยากที่จะมีอิสระ 屡怨与她相爱难有自由 ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน 愿你此刻可会知 是我衷心的说声 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 เดินคนเดียวทุกคืน 每晚夜里自我独行 เดินวนไปวนมา หนาวมาก 随处荡 多冰冷 ฉันต่อสู้กับตัวเองในอดีต 已往为了自我挣扎 ไม่เคยรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอ 从不知 她的痛苦 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลง 不染 (อ่านว่า "ปู้หรั่น")
    .
    ขับร้องโดย Zhang Bichen ในงาน All Star Night 2023
    .
    เพลงเปิด (OP) ประกอบซีรีส์จีนเรื่อง "มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Ashes of Love"
    .
    不染 (ปู้หรั่น) แปลว่า "ไม่แปดเปื้อน" หรือ "ไม่ถูกทำให้มัวหมอง"
    .
    ความหมายของเพลง...
    .
    เพลงนี้มีเนื้อหาที่สื่อถึง ความรักที่บริสุทธิ์ และ ยืนหยัด ซึ่งแม้จะต้องผ่านความทุกข์และอุปสรรค แต่ยังคงยึดมั่นในความรักและความดีงาม เหมือนกับการไม่ถูกทำให้แปดเปื้อน แม้จะเผชิญกับความเจ็บปวดหรือเรื่องร้ายใด ๆ ก็ตาม
    .
    https://youtu.be/sQwwTUfISR0?si=KFsi-OMr-i13-C9Y
    เพลง 不染 (อ่านว่า "ปู้หรั่น") . ขับร้องโดย Zhang Bichen ในงาน All Star Night 2023 . เพลงเปิด (OP) ประกอบซีรีส์จีนเรื่อง "มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Ashes of Love" . 不染 (ปู้หรั่น) แปลว่า "ไม่แปดเปื้อน" หรือ "ไม่ถูกทำให้มัวหมอง" . ความหมายของเพลง... . เพลงนี้มีเนื้อหาที่สื่อถึง ความรักที่บริสุทธิ์ และ ยืนหยัด ซึ่งแม้จะต้องผ่านความทุกข์และอุปสรรค แต่ยังคงยึดมั่นในความรักและความดีงาม เหมือนกับการไม่ถูกทำให้แปดเปื้อน แม้จะเผชิญกับความเจ็บปวดหรือเรื่องร้ายใด ๆ ก็ตาม . https://youtu.be/sQwwTUfISR0?si=KFsi-OMr-i13-C9Y
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บาลีวันละคำ (4,534)

    สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร

    อย่าเอาของสูงมาทำให้ใจเสื่อม

    (๑) “สีสะ”

    เขียนแบบบาลีเป็น “สีส” อ่านว่า สี-สะ รากศัพท์มาจาก -

    (1) สี (ธาตุ = อยู่, นอน) + ส ปัจจัย

    : สี + ส = สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่อยู่ของเหาเป็นต้น” (คำแปลนี้เป็นอันแสดงความจริงว่า คนโบราณบนหัวต้องมีเหา คนสมัยใหม่ที่มีวิธีรักษาความสะอาดของหัวเป็นอย่างดีย่อมนึกไม่เห็นว่า “ศีรษะ” จะแปลอย่างนี้ได้อย่างไร)

    (2) สิ (ธาตุ = ผูก) + ส ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ สิ เป็น อี (สิ > สี)

    : สิ + ส = สิส > สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่ผูกผมโดยเกล้าเป็นมวย”

    “สีส” (นปุงสกลิงค์) ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ -

    (1) ศีรษะ (the head [of the body])
    (2) ส่วนสูงที่สุด, ยอด, ข้างหน้า (highest part, top, front)
    (3) ข้อสำคัญ (chief point)
    (4) ดอก, รวง (ของข้าวหรือพืช) (panicle, ear [of rice or crops])
    (5) หัว, หัวข้อ (เป็นข้อย่อยของเรื่อง) (head, heading [as subdivision of a subject])

    บาลี “สีส” สันสกฤตเป็น “ศีรฺษ”
    สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -
    (สะกดตามต้นฉบับ)

    “ศีรฺษ : (คำนาม) ‘ศีร์ษะ,’ ศิรัส, เศียร, หัว; the head.”

    ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สีสะ” ตามบาลี และ “ศีรษะ” ตามสันสกฤต บอกไว้ดังนี้ -

    (1) สีสะ ๒ : (คำนาม) ศีรษะ. (ป.; ส. ศีรฺษ).

    (2) ศีรษะ : (คำนาม) หัว (เป็นคำสุภาพที่ใช้แก่คน). (ส.; ป. สีส)

    โปรดสังเกตว่า -

    “สีส” บาลี สระ อี อยู่บน ส
    “ศีรฺษ” สันสกฤต สระ อี ก็อยู่บน ศ ไม่ได้อยู่บน ร
    ดังนั้น เมื่อเขียนในภาษาไทย จึงเป็น “ศีรษะ” - สระ อี อยู่บน ศ

    (๒) “สิระ”

    เขียนแบบบาลีเป็น “สิร” อ่านว่า สิ-ระ รากศัพท์มาจาก สิ (ธาตุ = คบหา, ผูก) + ร ปัจจัย

    : สิ + ร = สิร แปลตามศัพท์ว่า (1) “อวัยวะเป็นเครื่องคบหา” คือใช้ก้มยอมรับกัน (2) “อวัยวะอันคอเชื่อมไว้” (3) “ส่วนอันดอกไม้ติดอยู่”

    “สิร” (ปุงลิงค์) หมายถึง -

    (1) ศีรษะหรือหัว (head)
    (2) ยอดไม้, ปลาย (tip)

    บาลี “สิร” สันสกฤตเป็น “ศิรสฺ”
    สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอไว้ดังนี้ -
    (สะกดตามต้นฉบับ)

    “ศิรสฺ : (คำนาม) 'ศิรัส,' เศียร, ศิร์ษะ; ยอตไม้; อัครภาคหรือเสนามุข; อธิบดีหรือนายก; the head; the top of a tree; the van of an army; a chief.”

    “สิร” บาลี “ศิรสฺ” สันสกฤต ไทยเอามาใช้เป็น “เศียร”

    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สิระ” ตามบาลี “ศิระ” อิงสันสกฤต และ “เศียร” แบบไทย บอกไว้ดังนี้ -

    (1) สิร-, สิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ที่สุด. (ป.; ส. ศิรา).

    (2) ศิร-, ศิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ด้านหน้า. (ส. ศิรสฺ; ป. สิร).

    (3) เศียร : (คำนาม) หัว เช่น เศียรพระพุทธรูป ทศกัณฐ์มีสิบเศียรยี่สิบกร, ราชาศัพท์ใช้ว่า พระเศียร. (ส. ศิร; ป. สิร); เรียกไพ่ตอง ๓ ใบ พวกเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เช่น ๓ คน ๓ นก ๓ ตา ว่า ๑ เศียร.

    อภิปราย :

    บาลีวันละคำวันนี้ยกคำขึ้นตั้งว่า “สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร” มีเจตนาจะบอกว่า -

    “สีสะ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “ศีรษะ”
    “สิระ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “เศียร”

    ..............

    ที่ยกคำนี้ขึ้นมาเขียน ได้แรงบันดาลใจจากภาพประกอบโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ข้อความในโพสต์ท่านเขียนไว้ว่า -

    ..............

    อยากให้แม่ค้าพินิจพิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะนำสินค้าใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงพระศาสดา มาจัดจำหน่าย ไม่ว่าศาสดาของศาสนาไหนก็ตาม เช่นสินค้าชุดนี้ เป็นสินค้าที่สื่อถึงพระเศียรขององค์พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาห้อยกระเป๋าหรือพวงกุญแจ ไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง

    ที่ผ่านมา พศ ทำได้เพียงขอความร่วมมือ

    ..............

    ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความที่ท่านเขียนไว้นั้น ขอเป็นสื่อสารถ่ายทอดอีกทางหนึ่ง

    ผู้เขียนบาลีวันละคำมีข้อสังเกตว่า ในเมืองไทยของเรานี้ ศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่คนประเภทหนึ่งกล้านำมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้

    ยังไม่เคยเห็นคนประเภทนี้นำศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้เลย

    ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง

    ..............

    ดูก่อนภราดา!

    เอาของสูงมาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม

    : ของยิ่งสูงมาก
    : ใจของผู้ทำก็ยิ่งต่ำมาก
    พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
    #บาลีวันละคำ (4,534) สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร อย่าเอาของสูงมาทำให้ใจเสื่อม (๑) “สีสะ” เขียนแบบบาลีเป็น “สีส” อ่านว่า สี-สะ รากศัพท์มาจาก - (1) สี (ธาตุ = อยู่, นอน) + ส ปัจจัย : สี + ส = สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่อยู่ของเหาเป็นต้น” (คำแปลนี้เป็นอันแสดงความจริงว่า คนโบราณบนหัวต้องมีเหา คนสมัยใหม่ที่มีวิธีรักษาความสะอาดของหัวเป็นอย่างดีย่อมนึกไม่เห็นว่า “ศีรษะ” จะแปลอย่างนี้ได้อย่างไร) (2) สิ (ธาตุ = ผูก) + ส ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ สิ เป็น อี (สิ > สี) : สิ + ส = สิส > สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่ผูกผมโดยเกล้าเป็นมวย” “สีส” (นปุงสกลิงค์) ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ - (1) ศีรษะ (the head [of the body]) (2) ส่วนสูงที่สุด, ยอด, ข้างหน้า (highest part, top, front) (3) ข้อสำคัญ (chief point) (4) ดอก, รวง (ของข้าวหรือพืช) (panicle, ear [of rice or crops]) (5) หัว, หัวข้อ (เป็นข้อย่อยของเรื่อง) (head, heading [as subdivision of a subject]) บาลี “สีส” สันสกฤตเป็น “ศีรฺษ” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า - (สะกดตามต้นฉบับ) “ศีรฺษ : (คำนาม) ‘ศีร์ษะ,’ ศิรัส, เศียร, หัว; the head.” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สีสะ” ตามบาลี และ “ศีรษะ” ตามสันสกฤต บอกไว้ดังนี้ - (1) สีสะ ๒ : (คำนาม) ศีรษะ. (ป.; ส. ศีรฺษ). (2) ศีรษะ : (คำนาม) หัว (เป็นคำสุภาพที่ใช้แก่คน). (ส.; ป. สีส) โปรดสังเกตว่า - “สีส” บาลี สระ อี อยู่บน ส “ศีรฺษ” สันสกฤต สระ อี ก็อยู่บน ศ ไม่ได้อยู่บน ร ดังนั้น เมื่อเขียนในภาษาไทย จึงเป็น “ศีรษะ” - สระ อี อยู่บน ศ (๒) “สิระ” เขียนแบบบาลีเป็น “สิร” อ่านว่า สิ-ระ รากศัพท์มาจาก สิ (ธาตุ = คบหา, ผูก) + ร ปัจจัย : สิ + ร = สิร แปลตามศัพท์ว่า (1) “อวัยวะเป็นเครื่องคบหา” คือใช้ก้มยอมรับกัน (2) “อวัยวะอันคอเชื่อมไว้” (3) “ส่วนอันดอกไม้ติดอยู่” “สิร” (ปุงลิงค์) หมายถึง - (1) ศีรษะหรือหัว (head) (2) ยอดไม้, ปลาย (tip) บาลี “สิร” สันสกฤตเป็น “ศิรสฺ” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอไว้ดังนี้ - (สะกดตามต้นฉบับ) “ศิรสฺ : (คำนาม) 'ศิรัส,' เศียร, ศิร์ษะ; ยอตไม้; อัครภาคหรือเสนามุข; อธิบดีหรือนายก; the head; the top of a tree; the van of an army; a chief.” “สิร” บาลี “ศิรสฺ” สันสกฤต ไทยเอามาใช้เป็น “เศียร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สิระ” ตามบาลี “ศิระ” อิงสันสกฤต และ “เศียร” แบบไทย บอกไว้ดังนี้ - (1) สิร-, สิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ที่สุด. (ป.; ส. ศิรา). (2) ศิร-, ศิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ด้านหน้า. (ส. ศิรสฺ; ป. สิร). (3) เศียร : (คำนาม) หัว เช่น เศียรพระพุทธรูป ทศกัณฐ์มีสิบเศียรยี่สิบกร, ราชาศัพท์ใช้ว่า พระเศียร. (ส. ศิร; ป. สิร); เรียกไพ่ตอง ๓ ใบ พวกเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เช่น ๓ คน ๓ นก ๓ ตา ว่า ๑ เศียร. อภิปราย : บาลีวันละคำวันนี้ยกคำขึ้นตั้งว่า “สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร” มีเจตนาจะบอกว่า - “สีสะ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “ศีรษะ” “สิระ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “เศียร” .............. ที่ยกคำนี้ขึ้นมาเขียน ได้แรงบันดาลใจจากภาพประกอบโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ข้อความในโพสต์ท่านเขียนไว้ว่า - .............. อยากให้แม่ค้าพินิจพิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะนำสินค้าใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงพระศาสดา มาจัดจำหน่าย ไม่ว่าศาสดาของศาสนาไหนก็ตาม เช่นสินค้าชุดนี้ เป็นสินค้าที่สื่อถึงพระเศียรขององค์พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาห้อยกระเป๋าหรือพวงกุญแจ ไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง ที่ผ่านมา พศ ทำได้เพียงขอความร่วมมือ .............. ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความที่ท่านเขียนไว้นั้น ขอเป็นสื่อสารถ่ายทอดอีกทางหนึ่ง ผู้เขียนบาลีวันละคำมีข้อสังเกตว่า ในเมืองไทยของเรานี้ ศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่คนประเภทหนึ่งกล้านำมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้ ยังไม่เคยเห็นคนประเภทนี้นำศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้เลย ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง .............. ดูก่อนภราดา! เอาของสูงมาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม : ของยิ่งสูงมาก : ใจของผู้ทำก็ยิ่งต่ำมาก พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 645 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าสู่กันฟัง..

    ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.?

    มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่

    และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย

    เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅
    ----------
    ส่วย..

    อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ

    จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท

    เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน

    จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน

    วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon

    #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ..

    บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ

    มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50

    #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท

    1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม

    รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ

    เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ

    ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส

    อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา

    ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม)

    ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก

    ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ

    ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ

    ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง

    อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.?

    คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว

    เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.?

    เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.?

    เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์

    ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

    เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท

    ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้

    เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    เล่าสู่กันฟัง.. ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.? มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่ และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅 ---------- ส่วย.. อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ.. บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50 #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท 1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม) ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.? คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.? เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.? เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์ ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้ เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 885 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า

    การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“

    หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

    ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1548 มุมมอง 0 รีวิว
  • FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ
    ...............
    ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”

    หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    .
    Cr : FB เหยื่อ V.2
    FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ ............... ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน . Cr : FB เหยื่อ V.2
    Like
    12
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1810 มุมมอง 1 รีวิว
  • เลมอน Lemon🍋(อ่านว่าเลม่อน)
    เป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลส้ม
    มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ปลายยอดมีหนามแหลม ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นหอมแรง ส่วนลักษณะของดอกเลมอน
    ดอกมีกลิ่นหอม และมีสีขาว
    ส่วนลักษณะของผลเลมอน เป็นรูปกลมรี
    ที่ปลายผลจะมีติ่งแหลม ผลอ่อนมีสีเขียว
    เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง เนื้อผลฉ่ำน้ำ
    🍋🍋🍋🍐🫒
    เลมอนที่นำมาทำเป็นน้ำ
    จะเรียกว่า เลมอนเนด หรือน้ำเลมอน
    เปลือกเลมอนมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
    ใช้เป็นส่วนประกอบของขนมหวานเช่น
    พายเลมอน.เค้กเลมอน
    และนอกจากนี้เลมอนยังถูกนำมาใช้แต่งกลิ่น
    ในเครื่องดื่ม รสชาติ จะหอมอร่อยสดชื่นมากค่ะ
    มาปลูกเลมอนกันค่ะ
    มีต้นพันธุ์แบ่งจำหน่ายค่ะ
    #เลมอน #lemon #เลมอนด่าง
    #thaitimes
    เลมอน Lemon🍋(อ่านว่าเลม่อน) เป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลส้ม มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ปลายยอดมีหนามแหลม ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นหอมแรง ส่วนลักษณะของดอกเลมอน ดอกมีกลิ่นหอม และมีสีขาว ส่วนลักษณะของผลเลมอน เป็นรูปกลมรี ที่ปลายผลจะมีติ่งแหลม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง เนื้อผลฉ่ำน้ำ 🍋🍋🍋🍐🫒 เลมอนที่นำมาทำเป็นน้ำ จะเรียกว่า เลมอนเนด หรือน้ำเลมอน เปลือกเลมอนมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใช้เป็นส่วนประกอบของขนมหวานเช่น พายเลมอน.เค้กเลมอน และนอกจากนี้เลมอนยังถูกนำมาใช้แต่งกลิ่น ในเครื่องดื่ม รสชาติ จะหอมอร่อยสดชื่นมากค่ะ มาปลูกเลมอนกันค่ะ มีต้นพันธุ์แบ่งจำหน่ายค่ะ #เลมอน #lemon #เลมอนด่าง #thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 766 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.77 : ท่อก๊าซไซบีเรีย และมองโกเลียตกกระป๋อง

    ความในตอนนี้เป็นส่วนที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมจากที่ผมได้ชมคลิปยูทูบรายการของคุณสนธิเรื่อง “มองโกเลียเสียค่าโง่“ ครับ

    ในเรื่อง ”มองโกเลียเสียค่าโง่“ นั้น ผมขอสรุปจากที่คุณสนธิเล่าไว้ว่า มองโกเลียซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรัสเซียกับจีนนั้น เขามีแร่ธาตุอยู่ใต้ดินมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ”ทองแดง - copper" ครับ

    ทีนี้ก็มีบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ-ออสเตรเลียชื่อว่า “ริโอ ทินโท“ มองเห็นว่าใต้แผ่นดินของมองโกเลียนั้น มีทองแดง, เงิน และทองคำอยู่มหาศาล จึงเข้ามาลงทุนขุดเหมืองที่นี่ในปี 2010

    ตอนแรกๆกิจการก็ไปได้ดีและเริ่มสร้างรายได้ เพราะในปี 2013 บริษัทนี้สามารถส่งทองแดงไปขายให้จีนที่อยู่ใกล้ๆได้และจีนก็ต้องการทองแดงอยู่แล้วด้วย

    แต่พอถึงปี 2018 รัฐบาลมองโกเลียซึ่งถือหุ้นในเหมืองนี้ด้วย 51% ก็สั่งให้บริษัทริโอทินโทนั้นสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้ในเหมืองเอง ห้ามซื้อไฟฟ้าจากฝั่งจีน ทั้งๆที่เสาส่งไฟฟ้าของจีนอยู่ห่างจากเหมืองเพียง 100 กม.เท่านั้น

    แน่นอนว่าการที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเองจะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่บริษัทริโอทินโทก็ยอม เพราะเห็นแก่อนาคตทางธุรกิจของตัวเอง

    แต่พอถึงช่วงปี 2023-2024 นายกรัฐมนตรีมองโกเลีย คือ นายโอยุน เออร์ดีน เริ่มได้รับคำเชิญจากรัฐบาลสหรัฐ และได้ไปพบกับนางแอนโทนี บลิงเคน (รมว.ต่างประเทศ) และนางกมลา แฮริส (รอง ปธน.สหรัฐ) หลายครั้ง

    เราไม่รู้หรอกครับว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายโอยุนกลับบ้านมาประกาศว่า มองโกเลียจะหาเพื่อนบ้านใหม่ (Third neighbor) นอกเหนือไปจากจีนและรัสเซีย อันหมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง

    ว่าแล้วนายโอยุนก็นำมองโกเลียไปเข้าร่วมวงกับอเมริกาในการแบนจีนกับเขาด้วย โดยสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหมืองแร่ริโอทินโทขายทองแดงให้กับจีน

    ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น เพราะริโอทินโทก็บอกว่า “อ้าว…แล้วจะให้ตูขายให้ใครล่ะ? เราขุดทองแดงได้ใกล้ๆกับจีน จีนก็ซื้อเยอะ แถมมองโกเลียก็ไม่มีทางออกทะเล จะให้เราขนทองแดงออกไปขายนอกประเทศยังไงโดยไม่ผ่านจีน?”

    การณ์ในตอนนี้ก็คือ บริษัทริโอทินโทกำลังทบทวนอยู่ว่าจะเอาไงดี ดีไม่ดีอาจจะเลิกทำเหมืองที่นี่แล้วหานักลงทุนรายอื่นๆมาซื้อกิจการแทน

    คุณสนธิเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ซึ่งผมสนใจเรื่องนี้ต่อ จึงไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าเพิ่มเติมในย่อหน้าต่อไปนี้ครับ
    .
    .
    .
    เราทราบกันดีว่า จีนนั้นเป็นประเทศที่ต้องการพลังงานมากๆ และรัสเซียก็มีก๊าซธรรมชาติสำรองใต้แผ่นดินมากมายมหาศาล โดยเฉพาะที่ใต้แผ่นดินไซบีเรียนั้นมีก๊าซอยู่ถึง 40% ของทั้งประเทศรัสเซียเลย

    ในปี 2015 ปธน.สี จิ้นผิง กับ ปธน.ปูติน จับมือและตกลงกันว่าจะสร้างท่อส่งก๊าซจากไซบีเรียวิ่งเข้ามายังจีนครับ

    ตั้งชื่อท่อก๊าซนี้ว่า “พาวเวอร์ ออฟ ไซบีเรีย“ หรือ ”ไซบีเรีย 1” โดยท่อก๊าซนี้จะสามารถส่งก๊าซให้จีนได้สูงสุด 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ่านว่า สามหมื่นแปดพันล้าน)

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเร็วมาก ก๊าซจากท่อก๊าซไซบีเรีย 1 นั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเพียงในปี 2024 นี้จีนก็ต้องการก๊าซทะลุไปถึง 4 แสนล้านลบ.ม.แล้วครับ

    ในปี 2021 สองผู้นำนี้จึงมาตกลงกันอีกรอบพร้อมกับเชิญผู้นำมองโกเลียมาร่วมด้วย โดยจะสร้างท่อส่งก๊าซเพิ่มอีก 1 ท่อ ให้ชื่อว่า “ไซบีเรีย 2” ครับ

    ท่อไซบีเรีย 2 นี้มีความยาวถึง 2600 กิโลเมตร วิ่งผ่าน 3 ประเทศคือ รัสเซีย 100 กม. - มองโกเลีย 900 กม. - จีน 1600 กม.ครับ

    คุณผู้อ่านเห็นชื่อมองโกเลียก็รู้สึกตะหงิดๆใจแล้วใช่ไหมครับ
    .
    .
    .
    ตามกำหนดเดิมนั้นท่อไซบีเรีย 2 นี้จะเริ่มสร้างในปี 2024 นี้แหละครับและจะสร้างเสร็จในปี 2030 โน่น แต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านสี จิ้นผิงได้ไปหารือกับปูติน และระบุชัดเจนว่า

    “จีนไม่ต้องการให้ท่อก๊าซไซบีเรีย 2 วิ่งผ่านมองโกเลียอีกต่อไป”

    คาดว่าจีนกังวลอยู่ 2 ประการ

    หนึ่ง… การที่ท่อก๊าซวิ่งผ่านมองโกเลีย มองโกเลียสามารถกำหนดเก็บค่าผ่านทางได้ตามแต่ที่รัฐบาลมองโกลจะเรียก

    สอง… เมื่อมองโกเลียแสดงออกแล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน ท่อไซบีเรีย 2 ซึ่งถือเป็นความมั่นคงทางพลังงานของจีนจึงตกอยู่ในอันตราย

    การก่อสร้างท่อไซบีเรีย 2 จึงถูกเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ให้ไปวิ่งผ่านประเทศคาซัคสถานแทน ซึ่งเอาจริงๆแล้วทำให้การก่อสร้างง่ายกว่าผ่านมองโกเลีย

    ทีนี้ถ้าถามว่า “มองโกเลียเสียอะไรไปไหม?”

    คำตอบคือ “เสียรายได้เข้าประเทศไปแน่ๆแล้วปีละอย่างน้อย 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ยังไม่รวมค่าผ่านทางท่อก๊าซที่จะเสียเพิ่มให้อีก“

    และยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์กับจีนที่พังทลายไป ทั้งๆที่ตัวเองต้องพึ่งพาจีนอยู่อีกมากมาย

    ส่วนส้มนั้นก็ไปหล่นใส่มือของคาซัคสถานที่อยู่ดีๆก็ได้เงินเข้าประเทศ

    สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ก็ควรได้รู้ว่ามองโกเลียนั้นเป็นประเทศ Land locked country ครับ คือ ไม่มีทางออกทะเล โดนรัสเซียประกบอยู่บนหัว และจีนประกบอยู่ทางใต้

    ทุกวันนี้การค้าการส่งออกนำเข้าสินค้าของมองโกเลียก็อาศัยพึ่งพาถนนและท่าเรือของจีนที่เทียนจินทั้งหมด ท่าเรือนี้เป็นทางออกทะเลเดียวที่มองโกเลียมี เพราะรัสเซียไม่ให้มองโกเลียใช้ท่าเรือแล้ว

    ผู้นำมองโกลนั้น คงไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่ว่า Don't bite the hands that feed you หรือ กินบนเรือน ขี้รดหลังคา

    นี่คือความโง่ของผู้นำมองโกลครับ แทนที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่กันไปชั่วฟ้าดินสลาย กลับไปเชื่อฟังชาติห่างไกลที่เพียงหวังจะหลอกใช้เท่านั้น

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.77 : ท่อก๊าซไซบีเรีย และมองโกเลียตกกระป๋อง ความในตอนนี้เป็นส่วนที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมจากที่ผมได้ชมคลิปยูทูบรายการของคุณสนธิเรื่อง “มองโกเลียเสียค่าโง่“ ครับ ในเรื่อง ”มองโกเลียเสียค่าโง่“ นั้น ผมขอสรุปจากที่คุณสนธิเล่าไว้ว่า มองโกเลียซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรัสเซียกับจีนนั้น เขามีแร่ธาตุอยู่ใต้ดินมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ”ทองแดง - copper" ครับ ทีนี้ก็มีบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ-ออสเตรเลียชื่อว่า “ริโอ ทินโท“ มองเห็นว่าใต้แผ่นดินของมองโกเลียนั้น มีทองแดง, เงิน และทองคำอยู่มหาศาล จึงเข้ามาลงทุนขุดเหมืองที่นี่ในปี 2010 ตอนแรกๆกิจการก็ไปได้ดีและเริ่มสร้างรายได้ เพราะในปี 2013 บริษัทนี้สามารถส่งทองแดงไปขายให้จีนที่อยู่ใกล้ๆได้และจีนก็ต้องการทองแดงอยู่แล้วด้วย แต่พอถึงปี 2018 รัฐบาลมองโกเลียซึ่งถือหุ้นในเหมืองนี้ด้วย 51% ก็สั่งให้บริษัทริโอทินโทนั้นสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้ในเหมืองเอง ห้ามซื้อไฟฟ้าจากฝั่งจีน ทั้งๆที่เสาส่งไฟฟ้าของจีนอยู่ห่างจากเหมืองเพียง 100 กม.เท่านั้น แน่นอนว่าการที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเองจะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่บริษัทริโอทินโทก็ยอม เพราะเห็นแก่อนาคตทางธุรกิจของตัวเอง แต่พอถึงช่วงปี 2023-2024 นายกรัฐมนตรีมองโกเลีย คือ นายโอยุน เออร์ดีน เริ่มได้รับคำเชิญจากรัฐบาลสหรัฐ และได้ไปพบกับนางแอนโทนี บลิงเคน (รมว.ต่างประเทศ) และนางกมลา แฮริส (รอง ปธน.สหรัฐ) หลายครั้ง เราไม่รู้หรอกครับว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายโอยุนกลับบ้านมาประกาศว่า มองโกเลียจะหาเพื่อนบ้านใหม่ (Third neighbor) นอกเหนือไปจากจีนและรัสเซีย อันหมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง ว่าแล้วนายโอยุนก็นำมองโกเลียไปเข้าร่วมวงกับอเมริกาในการแบนจีนกับเขาด้วย โดยสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหมืองแร่ริโอทินโทขายทองแดงให้กับจีน ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น เพราะริโอทินโทก็บอกว่า “อ้าว…แล้วจะให้ตูขายให้ใครล่ะ? เราขุดทองแดงได้ใกล้ๆกับจีน จีนก็ซื้อเยอะ แถมมองโกเลียก็ไม่มีทางออกทะเล จะให้เราขนทองแดงออกไปขายนอกประเทศยังไงโดยไม่ผ่านจีน?” การณ์ในตอนนี้ก็คือ บริษัทริโอทินโทกำลังทบทวนอยู่ว่าจะเอาไงดี ดีไม่ดีอาจจะเลิกทำเหมืองที่นี่แล้วหานักลงทุนรายอื่นๆมาซื้อกิจการแทน คุณสนธิเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ซึ่งผมสนใจเรื่องนี้ต่อ จึงไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าเพิ่มเติมในย่อหน้าต่อไปนี้ครับ . . . เราทราบกันดีว่า จีนนั้นเป็นประเทศที่ต้องการพลังงานมากๆ และรัสเซียก็มีก๊าซธรรมชาติสำรองใต้แผ่นดินมากมายมหาศาล โดยเฉพาะที่ใต้แผ่นดินไซบีเรียนั้นมีก๊าซอยู่ถึง 40% ของทั้งประเทศรัสเซียเลย ในปี 2015 ปธน.สี จิ้นผิง กับ ปธน.ปูติน จับมือและตกลงกันว่าจะสร้างท่อส่งก๊าซจากไซบีเรียวิ่งเข้ามายังจีนครับ ตั้งชื่อท่อก๊าซนี้ว่า “พาวเวอร์ ออฟ ไซบีเรีย“ หรือ ”ไซบีเรีย 1” โดยท่อก๊าซนี้จะสามารถส่งก๊าซให้จีนได้สูงสุด 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ่านว่า สามหมื่นแปดพันล้าน) แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเร็วมาก ก๊าซจากท่อก๊าซไซบีเรีย 1 นั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเพียงในปี 2024 นี้จีนก็ต้องการก๊าซทะลุไปถึง 4 แสนล้านลบ.ม.แล้วครับ ในปี 2021 สองผู้นำนี้จึงมาตกลงกันอีกรอบพร้อมกับเชิญผู้นำมองโกเลียมาร่วมด้วย โดยจะสร้างท่อส่งก๊าซเพิ่มอีก 1 ท่อ ให้ชื่อว่า “ไซบีเรีย 2” ครับ ท่อไซบีเรีย 2 นี้มีความยาวถึง 2600 กิโลเมตร วิ่งผ่าน 3 ประเทศคือ รัสเซีย 100 กม. - มองโกเลีย 900 กม. - จีน 1600 กม.ครับ คุณผู้อ่านเห็นชื่อมองโกเลียก็รู้สึกตะหงิดๆใจแล้วใช่ไหมครับ . . . ตามกำหนดเดิมนั้นท่อไซบีเรีย 2 นี้จะเริ่มสร้างในปี 2024 นี้แหละครับและจะสร้างเสร็จในปี 2030 โน่น แต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านสี จิ้นผิงได้ไปหารือกับปูติน และระบุชัดเจนว่า “จีนไม่ต้องการให้ท่อก๊าซไซบีเรีย 2 วิ่งผ่านมองโกเลียอีกต่อไป” คาดว่าจีนกังวลอยู่ 2 ประการ หนึ่ง… การที่ท่อก๊าซวิ่งผ่านมองโกเลีย มองโกเลียสามารถกำหนดเก็บค่าผ่านทางได้ตามแต่ที่รัฐบาลมองโกลจะเรียก สอง… เมื่อมองโกเลียแสดงออกแล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน ท่อไซบีเรีย 2 ซึ่งถือเป็นความมั่นคงทางพลังงานของจีนจึงตกอยู่ในอันตราย การก่อสร้างท่อไซบีเรีย 2 จึงถูกเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ให้ไปวิ่งผ่านประเทศคาซัคสถานแทน ซึ่งเอาจริงๆแล้วทำให้การก่อสร้างง่ายกว่าผ่านมองโกเลีย ทีนี้ถ้าถามว่า “มองโกเลียเสียอะไรไปไหม?” คำตอบคือ “เสียรายได้เข้าประเทศไปแน่ๆแล้วปีละอย่างน้อย 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ยังไม่รวมค่าผ่านทางท่อก๊าซที่จะเสียเพิ่มให้อีก“ และยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์กับจีนที่พังทลายไป ทั้งๆที่ตัวเองต้องพึ่งพาจีนอยู่อีกมากมาย ส่วนส้มนั้นก็ไปหล่นใส่มือของคาซัคสถานที่อยู่ดีๆก็ได้เงินเข้าประเทศ สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ก็ควรได้รู้ว่ามองโกเลียนั้นเป็นประเทศ Land locked country ครับ คือ ไม่มีทางออกทะเล โดนรัสเซียประกบอยู่บนหัว และจีนประกบอยู่ทางใต้ ทุกวันนี้การค้าการส่งออกนำเข้าสินค้าของมองโกเลียก็อาศัยพึ่งพาถนนและท่าเรือของจีนที่เทียนจินทั้งหมด ท่าเรือนี้เป็นทางออกทะเลเดียวที่มองโกเลียมี เพราะรัสเซียไม่ให้มองโกเลียใช้ท่าเรือแล้ว ผู้นำมองโกลนั้น คงไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่ว่า Don't bite the hands that feed you หรือ กินบนเรือน ขี้รดหลังคา นี่คือความโง่ของผู้นำมองโกลครับ แทนที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่กันไปชั่วฟ้าดินสลาย กลับไปเชื่อฟังชาติห่างไกลที่เพียงหวังจะหลอกใช้เท่านั้น นัทแนะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts