• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อริยวิโมกข์ (ความพ้นพิเศษอันประเสริฐ)หรือโอฆนิตถรณะ
    สัทธรรมลำดับที่ : 749
    ชื่อบทธรรม :- อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=749
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อริยวิโมกข์ (ความพ้นพิเศษอันประเสริฐ) เป็นอย่างไรเล่า ?”
    --อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดย ประจักษ์ดังนี้ว่า
    “กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย,
    กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย,
    กามสัญญาที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย,
    กามสัญญาที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย,
    รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย,
    รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย,
    รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย,
    รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย,
    อาเนญชสัญญา เหล่าใดด้วย,
    อากิญจัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย,
    เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย,
    นั่นล้วนแต่เป็นสักกายะ เป็นแต่เพียงสักกายะ (เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือด้วยอุปาทาน) ;
    ส่วนอมตธรรมนั้น ได้แก่ วิโมกข์แห่งจิต เพราะไม่มี #อุปาทานในสักกายะนั้น ๆ นี่เอง”.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อุปาทา

    --อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ เป็นอันว่า
    อาเนญชสัปปายปฏิปทา เราได้แสดงแล้ว,
    อากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว,
    เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว,
    การอาศัยปฏิปทานั้นๆ ตามลำดับๆ แล้วข้ามโอฆะเสียได้ เราได้แสดงแล้ว,
    นั่นแหละคือ #อริยวิโมกข์​.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อริโย+วิโมกฺ

    --อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว
    จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย.
    --อานนท์ ! นั่นโคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย.
    --อานนท์ ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท.
    พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
    นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/60/90 - 92.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/60/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๗๘/๙๐ - ๙๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/78/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    ศึกษา​เพิ่มเติม....
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=749
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=749
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อริยวิโมกข์ (ความพ้นพิเศษอันประเสริฐ)หรือโอฆนิตถรณะ สัทธรรมลำดับที่ : 749 ชื่อบทธรรม :- อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=749 เนื้อความทั้งหมด :- --อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อริยวิโมกข์ (ความพ้นพิเศษอันประเสริฐ) เป็นอย่างไรเล่า ?” --อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดย ประจักษ์ดังนี้ว่า “กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, กามสัญญาที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, กามสัญญาที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, อาเนญชสัญญา เหล่าใดด้วย, อากิญจัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย, เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย, นั่นล้วนแต่เป็นสักกายะ เป็นแต่เพียงสักกายะ (เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือด้วยอุปาทาน) ; ส่วนอมตธรรมนั้น ได้แก่ วิโมกข์แห่งจิต เพราะไม่มี #อุปาทานในสักกายะนั้น ๆ นี่เอง”. http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อุปาทา --อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ เป็นอันว่า อาเนญชสัปปายปฏิปทา เราได้แสดงแล้ว, อากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว, เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว, การอาศัยปฏิปทานั้นๆ ตามลำดับๆ แล้วข้ามโอฆะเสียได้ เราได้แสดงแล้ว, นั่นแหละคือ #อริยวิโมกข์​. http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อริโย+วิโมกฺ --อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. --อานนท์ ! นั่นโคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. --อานนท์ ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/60/90 - 92. http://etipitaka.com/read/thai/14/60/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๗๘/๙๐ - ๙๒. http://etipitaka.com/read/pali/14/78/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 ศึกษา​เพิ่มเติม.... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=749 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=749 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ
    -(คำว่า โอฆนิตถรณะ ในที่นี้ คือ การถอนตนขึ้นจากโอฆะ (ความตกจมอยู่ในกิเลสและความทุกข์ ด้วยกาม-ทิฏฐิ-ภพ-อวิชชา) เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน กล่าวคือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นทั้งหลาย อันมีเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับการยึดมั่นถือมั่น และไม่ยึดมั่นแม้แต่ในการบรรลุธรรมของตน; เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ดับเย็น เป็นปรินิพพาน นี้เรียกว่า โอฆนิตถรณะ หรือ อริยวิโมกข์ ก็เรียก (ดูได้ในหัวข้อหรือเรื่องถัดไป) เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน). อริยวิโมกข์ หรือโอฆนิตถรณะ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อริยวิโมกข์ (ความพ้นพิเศษอันประเสริฐ) เป็นอย่างไรเล่า ?” อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดย ประจักษ์ดังนี้ว่า “กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, กามสัญญาที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, กามสัญญาที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใดด้วย, รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย, รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้ เหล่าใด ด้วย, รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้า เหล่าใดด้วย อาเนญชสัญญา เหล่าใดด้วย, อากิญจัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย, เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา เหล่าใดด้วย, นั่นล้วนแต่เป็นสักกายะ เป็นแต่เพียงสักกายะ (เป็นที่ตั้งแห่งความ ยึดถือด้วยอุปาทาน) ; ส่วนอมตธรรมนั้น ได้แก่วิโมกข์แห่งจิต เพราะไม่มี อุปาทานในสักกายะนั้น ๆ นี่เอง”. อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ เป็นอันว่า อาเนญชสัปปายปฏิปทา เราได้แสดงแล้ว, อากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว, เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว, การอาศัยปฏิปทานั้นๆ ตามลำดับๆ แล้วข้ามโอฆะเสียได้ เราได้แสดงแล้ว, นั่นแหละคืออริยวิโมกข์. อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่นโคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. อานนท์ ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • เกิดมาเป็นคน
    หนทางชีวี
    มีกรรมความดี
    ศีลธรรมอาศัย

    พระพุทธธรรมสงฆ์
    คงทุกสมัย
    รวมลงสู่ใจ
    ให้ไตรสิกขา

    ศีลสมาธิ
    จิตน้อมนำพา
    ธรรมให้ปัญญา
    พาประเสริฐจริง

    จงเป็นสุขเถิด
    เกิดธรรมพึ่งพิง
    จิตนี้มีจริง
    ดั่งลิงคุมไว้

    มหาสติ
    จิตนิ่งรวมได้
    สมาธิได้
    ธรรมให้ปัญญา
    เกิดมาเป็นคน หนทางชีวี มีกรรมความดี ศีลธรรมอาศัย พระพุทธธรรมสงฆ์ คงทุกสมัย รวมลงสู่ใจ ให้ไตรสิกขา ศีลสมาธิ จิตน้อมนำพา ธรรมให้ปัญญา พาประเสริฐจริง จงเป็นสุขเถิด เกิดธรรมพึ่งพิง จิตนี้มีจริง ดั่งลิงคุมไว้ มหาสติ จิตนิ่งรวมได้ สมาธิได้ ธรรมให้ปัญญา
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • ..คดี44 คน รวมสส.พรรคก้าวไกล ที่ย้ายมาพรรคประชาชน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผิด ม.157บ้างมั้ยนะ ลงหน้างานทำงานช้าเกินไปมั้ยนะ

    ..ตลอด หลายคนมากที่ออกสื่อทั้งเชียร์ทั้งเห็นด้วยในการแก้ไข ม.112 พยามหลักฐานชัดเต็มคลิปโซเชียลต่างๆที่เรา..ประชาชนทั่วประเทศพากันนำเสนอช่วยให้อีกในแต่ละช่องกูรูต่างๆท่านที่กล้าหาญนั้น,พวกร่วมขบวนการแก้ ม.112นี้ทางรัฐฯทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาดจบหรือยัง.

    อาทิคนเหล่านี้ด้วยก็ว่าที่สื่อลงชี้ชัดให้แล้ว.

    กลุ่มที่หนึ่ง บุคคลที่ยังเป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 25 คน
    1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. กทม.)
    2. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    3. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    4. วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    5. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (นายทะเบียนสมาชิกพรรคประชาชน)
    6. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    7. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    8. วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ
    9. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.
    10. เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.
    11. นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ
    12. นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. บัญชีรายชื่อ)
    13. ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ
    14. ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี
    15. วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ
    16. คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ
    17. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ
    18. องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ
    19. มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ
    20. จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา
    21. วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ
    22. จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี
    23. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ
    24. ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด
    25. สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ

    กลุ่มที่สอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 11 คน
    1. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์
    2. กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี
    3. สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา
    4. สมเกียรติ ถนอมสินธุ์
    5. ทองแดง เบ็ญจะปัก
    6. พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์
    7. ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์
    8. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ
    9. ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์
    10. ทวีศักดิ์ ทักษิณ
    11. สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล

    กลุ่มที่สาม บุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 8 คน
    1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
    2. เบญจา แสงจันทร์
    3. อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล
    4. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์
    5. สุเทพ อู่อ้น
    6. อภิชาติ ศิริสุนทร
    7. ปดิพัทธ์ สันติภาดา
    8. สมชาย ฝั่งชลจิตร


    https://www.ilaw.or.th/articles/52795
    ..คดี44 คน รวมสส.พรรคก้าวไกล ที่ย้ายมาพรรคประชาชน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผิด ม.157บ้างมั้ยนะ ลงหน้างานทำงานช้าเกินไปมั้ยนะ ..ตลอด หลายคนมากที่ออกสื่อทั้งเชียร์ทั้งเห็นด้วยในการแก้ไข ม.112 พยามหลักฐานชัดเต็มคลิปโซเชียลต่างๆที่เรา..ประชาชนทั่วประเทศพากันนำเสนอช่วยให้อีกในแต่ละช่องกูรูต่างๆท่านที่กล้าหาญนั้น,พวกร่วมขบวนการแก้ ม.112นี้ทางรัฐฯทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาดจบหรือยัง. อาทิคนเหล่านี้ด้วยก็ว่าที่สื่อลงชี้ชัดให้แล้ว. กลุ่มที่หนึ่ง บุคคลที่ยังเป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 25 คน 1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. กทม.) 2. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 3. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 4. วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 5. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (นายทะเบียนสมาชิกพรรคประชาชน) 6. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 7. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 8. วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ 9. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. 10. เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. 11. นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ 12. นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. บัญชีรายชื่อ) 13. ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ 14. ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี 15. วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ 16. คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ 17. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ 18. องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ 19. มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ 20. จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา 21. วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ 22. จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี 23. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ 24. ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด 25. สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ กลุ่มที่สอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 11 คน 1. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ 2. กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี 3. สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา 4. สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ 5. ทองแดง เบ็ญจะปัก 6. พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ 7. ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ 8. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ 9. ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ 10. ทวีศักดิ์ ทักษิณ 11. สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล กลุ่มที่สาม บุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 8 คน 1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2. เบญจา แสงจันทร์ 3. อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล 4. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ 5. สุเทพ อู่อ้น 6. อภิชาติ ศิริสุนทร 7. ปดิพัทธ์ สันติภาดา 8. สมชาย ฝั่งชลจิตร https://www.ilaw.or.th/articles/52795
    WWW.ILAW.OR.TH
    สรุปข้อเท็จจริงคดี 44 สส.ก้าวไกล เสนอแก้ 112 ถูกสอบ 'มาตรฐานจริยธรรม' - iLaw
    ชวนทำความเข้าใจว่า ทำไม 44 สส. ถึงต้องโดนป.ป.ช. สอบสวนดูกรอบระยะเวลาอาจจะนำไปสู่วันตัดสินคดี และผลลัพธ์ที่ตามมาหากสส. จากอดีตพรรคก้าวไกลถูกตัดสินว่า "ผิด"
    0 Comments 0 Shares 323 Views 0 Reviews
  • เพื่อไทยไม่ถอย ปรับกลยุทธ์รับเลือกตั้ง : [THE MESSAGE]

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีไทยและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เผยกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับโทษจำคุกจะส่งผลกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยกำลังใจดี เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ท้อถอย ในพรรคไม่มีปัญหา สมาชิกยังมีความห่วงใยพรรคและเดินหน้าทำกิจกรรมของพรรคตามนโยบาย เตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีกลยุทธ์หลายอย่างในการขับเคลื่อนงาน เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ขอให้รอดูว่าเวลาที่เหลืออยู่จะมีการเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ไม่วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้ ในส่วนดีอีงานที่ทำอยู่มีความสำคัญ เรื่องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การคืนเงินให้ประชาชน ส่งเสริมระบบการใช้ e-Office ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัลในอนาคต เรามีฝ่ายข้าราชการประจำที่เข้มแข็ง ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง เขาน่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้
    เพื่อไทยไม่ถอย ปรับกลยุทธ์รับเลือกตั้ง : [THE MESSAGE] นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีไทยและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เผยกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับโทษจำคุกจะส่งผลกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยกำลังใจดี เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ท้อถอย ในพรรคไม่มีปัญหา สมาชิกยังมีความห่วงใยพรรคและเดินหน้าทำกิจกรรมของพรรคตามนโยบาย เตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีกลยุทธ์หลายอย่างในการขับเคลื่อนงาน เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ขอให้รอดูว่าเวลาที่เหลืออยู่จะมีการเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ไม่วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้ ในส่วนดีอีงานที่ทำอยู่มีความสำคัญ เรื่องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การคืนเงินให้ประชาชน ส่งเสริมระบบการใช้ e-Office ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัลในอนาคต เรามีฝ่ายข้าราชการประจำที่เข้มแข็ง ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง เขาน่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 0 Reviews
  • อยู่ฟรีกินฟรี 16-21 ปี หลังศาลฎีกาไม่ให้ประกันตัวแก๊งขัดขวางขบวนเสด็จฯ
    ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, 'ฟรานซิส' บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, 'ตัน' สุรนาถ แป้นประเสริฐ และพวกอีก 2 คน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อยู่ฟรีกินฟรี 16-21 ปี หลังศาลฎีกาไม่ให้ประกันตัวแก๊งขัดขวางขบวนเสด็จฯ ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, 'ฟรานซิส' บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, 'ตัน' สุรนาถ แป้นประเสริฐ และพวกอีก 2 คน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 739
    ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท)
    (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง
    แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์
    ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ.
    บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :-
    )
    --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน
    จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ?
    “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ
    ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่
    สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว
    จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล),
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี,
    มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก
    โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) ,
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี,
    มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร
    : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ
    เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ
    กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม
    และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี
    ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี
    เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์
    (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม)
    และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา
    ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา
    เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน
    ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี)
    นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้
    เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ;
    +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ;
    ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ
    ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง.
    +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก.
    นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้)
    นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว
    ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล
    -----
    *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก
    หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“
    ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ
    ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้.
    ---‐-
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด
    มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล),
    ... ฯลฯ ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้นั้น
    พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ
    กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง
    ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ
    อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่
    ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่
    ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่
    วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้
    ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม)
    และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
    ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม
    ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้
    หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น
    +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง.
    ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์.
    นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง
    ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.-

    ------‐
    **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก**
    (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ
    มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย.
    --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว.
    ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น;
    ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่.
    ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ.
    --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า
    การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ
    (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ)
    เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี;
    แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ
    คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง.
    นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง.
    ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น
    ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ.
    ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว;
    สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา
    คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น
    เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ.
    - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91

    --สรุปความว่า
    ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้
    ).
    **
    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ สัทธรรมลำดับที่ : 739 ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 เนื้อความทั้งหมด :- --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก. นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล ----- *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. ---‐- --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.- ------‐ **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก** (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย. --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว. ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น; ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่. ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ. --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ) เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี; แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง. นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง. ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔. http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ. ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว; สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน. - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95 --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น. - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐. http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ. - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 --สรุปความว่า ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้ ). ** #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109. http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    -การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. คหบดี ท.! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละกุศลธรรมสามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของอกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็นมิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลก อื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็นอสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในอสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก. ๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. นี่แหละ คืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล. คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของอกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็นสัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็นสัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วย อาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมีสัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • เพื่อไทยขู่ยุบสภาหากประชาชนไม่หนุน 'ชัยเกษม' ประชาชนโต้เชิญยุบเลยไม่ต้องรอ 'ประเสริฐ' ชี้ยุบสภาทางออกหนึ่งหากบ้านเมืองตัน 'พริษฐ์' ย้ำเพื่อไทยมีอำนาจยุบสภาอยู่แล้ว ประชาชนยันไม่ไว้ใจทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย รอสรุป 2 ก.ย. นี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083692

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เพื่อไทยขู่ยุบสภาหากประชาชนไม่หนุน 'ชัยเกษม' ประชาชนโต้เชิญยุบเลยไม่ต้องรอ 'ประเสริฐ' ชี้ยุบสภาทางออกหนึ่งหากบ้านเมืองตัน 'พริษฐ์' ย้ำเพื่อไทยมีอำนาจยุบสภาอยู่แล้ว ประชาชนยันไม่ไว้ใจทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย รอสรุป 2 ก.ย. นี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083692 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 589 Views 0 Reviews
  • เปิดทางออก! ‘ประเสริฐ’ ย้ำชัด หากการเมืองถึงทางตัน เพื่อไทยพร้อมใช้เกมยุบสภา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้
    https://www.thai-tai.tv/news/21250/
    .
    #ไทยไท #ประเสริฐจันทรรวงทอง #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #ยุบสภา #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    เปิดทางออก! ‘ประเสริฐ’ ย้ำชัด หากการเมืองถึงทางตัน เพื่อไทยพร้อมใช้เกมยุบสภา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ https://www.thai-tai.tv/news/21250/ . #ไทยไท #ประเสริฐจันทรรวงทอง #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #ยุบสภา #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • ฎประเสริฐ" เชื่อมั่น ปชน.จะเลือกโหวตให้แคนดิเดตจากเพื่อไทยนั่งนายกฯ เผยรอผลประชุม สส.พรรคส้มบ่ายนี้ แต่คงไม่ก้าวล่วง เพราะอาจมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้อง ส่วน "หน.อิ๊งค์" ยังไม่มีความเห็นเรื่องนี้ ชี้ยุบสภาอาจเป็นทางออกหนึ่งหาก ปชน.ไม่ร่วมมือกับ พท.

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000083434

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #กัมพูชาวางกับระเบิด
    ฎประเสริฐ" เชื่อมั่น ปชน.จะเลือกโหวตให้แคนดิเดตจากเพื่อไทยนั่งนายกฯ เผยรอผลประชุม สส.พรรคส้มบ่ายนี้ แต่คงไม่ก้าวล่วง เพราะอาจมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้อง ส่วน "หน.อิ๊งค์" ยังไม่มีความเห็นเรื่องนี้ ชี้ยุบสภาอาจเป็นทางออกหนึ่งหาก ปชน.ไม่ร่วมมือกับ พท. อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000083434 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #กัมพูชาวางกับระเบิด
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 401 Views 0 Reviews
  • ศูนย์อาหารใหม่รัฐสภา ราคาสูงเกิน-ผู้ค้าเดิมโวย

    เมื่อวันที่ 18 ส.ค. เป็นวันแรกที่ศูนย์อาหาร KINNIE Foodcourt เปิดให้บริการที่ชั้น B2 อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ถนนสามเสน เฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 07.00-16.00 น. เปิดโอกาสให้ข้าราชการในวงงานรัฐสภา ผู้มาติดต่อ ผู้ช่วยหรือผู้ติดตามสมาชิกรัฐสภา ตลอดจนสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปเข้ามาใช้บริการ ทดแทนร้านค้าร้านอาหารเดิมที่ชั้น 1 ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และให้ย้ายออกจากพื้นที่ไปเมื่อวันที่ 15 ส.ค. เพื่อใช้เป็นห้องรับรอง สส. และผู้มาเข้าพบ

    ปรากฎว่าผ่านไป 2-3 วัน มีเสียงวิจารณ์จากข้าราชการและแม่บ้าน รวมทั้งสื่อมวลชนว่าราคาอาหารสูงเกินไป ไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ต้องเดินไปซื้อที่ฝั่งวุฒิสภาเพราะราคาถูกกว่า โดยราคาอาหารเริ่มต้นสูงถึง 40-50 บาท ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่าบริษัทใดเข้ามาประมูล สภาฯ เรียกเก็บค่าเช่าสูงไปหรือไม่ หากเอาเปรียบผู้บริโภค ประธานสภาฯ ต้องจัดการ เพราะไม่ควรหากำไรเกินควร

    นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. มีการประชุมฝ่ายบริหารและผู้ขายได้ปรับราคาลงแล้ว เช่น ข้าวแกง 1 อย่าง 35 บาท, 2 อย่าง 45 บาท และ 3 อย่าง 55-60 บาท พร้อมย้ำว่าจะตรวจสอบให้เข้มงวด และหากยังมีปัญหาก็พร้อมให้ปรับลดเพิ่มอีก ขณะที่นายประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย และประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯ เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจะเชิญผู้บริหารเข้าหารือเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

    สำหรับบริษัท กินนี่ ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ต จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2556 ทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท มีนายธเชษฐ์ เตียสกุล และนายภกร จิตรธนบรรจง เป็นกรรมการบริษัท ประกอบธุรกิจบริหารศูนย์อาหารตามอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ อาทิ อาคารจามจุรีสแควร์ ออลซีซั่นเพลส เดอะไนน์ทาวเวอร์ กรมสรรพากร กรุงเทพประกันภัย เดอะสตรีทรัชดา เสริมมิตรทาวเวอร์ ฯลฯ ปัจจุบันมีประมาณ 10 แห่ง

    อีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าสวัสดิการชั้น 1 เดิม นำโดย นายศุภโชค เวชราภรณ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกให้ออกจากพื้นที่อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่นโยบายของผู้บริหารรุ่นเก่าสนับสนุนให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยและญาติพี่น้องมีอาชีพเสริม แต่คณะกรรมการสวัสดิการสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันกลับบ่ายเบี่ยง ก่อนมีหนังสือขับไล่ออกจากพื้นที่ พร้อมขอให้ช่วยแบ่งพื้นที่เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมีทางเลือกซื้ออาหารในราคาย่อมเยา

    #Newskit
    ศูนย์อาหารใหม่รัฐสภา ราคาสูงเกิน-ผู้ค้าเดิมโวย เมื่อวันที่ 18 ส.ค. เป็นวันแรกที่ศูนย์อาหาร KINNIE Foodcourt เปิดให้บริการที่ชั้น B2 อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ถนนสามเสน เฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 07.00-16.00 น. เปิดโอกาสให้ข้าราชการในวงงานรัฐสภา ผู้มาติดต่อ ผู้ช่วยหรือผู้ติดตามสมาชิกรัฐสภา ตลอดจนสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปเข้ามาใช้บริการ ทดแทนร้านค้าร้านอาหารเดิมที่ชั้น 1 ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และให้ย้ายออกจากพื้นที่ไปเมื่อวันที่ 15 ส.ค. เพื่อใช้เป็นห้องรับรอง สส. และผู้มาเข้าพบ ปรากฎว่าผ่านไป 2-3 วัน มีเสียงวิจารณ์จากข้าราชการและแม่บ้าน รวมทั้งสื่อมวลชนว่าราคาอาหารสูงเกินไป ไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ต้องเดินไปซื้อที่ฝั่งวุฒิสภาเพราะราคาถูกกว่า โดยราคาอาหารเริ่มต้นสูงถึง 40-50 บาท ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่าบริษัทใดเข้ามาประมูล สภาฯ เรียกเก็บค่าเช่าสูงไปหรือไม่ หากเอาเปรียบผู้บริโภค ประธานสภาฯ ต้องจัดการ เพราะไม่ควรหากำไรเกินควร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. มีการประชุมฝ่ายบริหารและผู้ขายได้ปรับราคาลงแล้ว เช่น ข้าวแกง 1 อย่าง 35 บาท, 2 อย่าง 45 บาท และ 3 อย่าง 55-60 บาท พร้อมย้ำว่าจะตรวจสอบให้เข้มงวด และหากยังมีปัญหาก็พร้อมให้ปรับลดเพิ่มอีก ขณะที่นายประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย และประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯ เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจะเชิญผู้บริหารเข้าหารือเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย สำหรับบริษัท กินนี่ ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ต จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2556 ทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท มีนายธเชษฐ์ เตียสกุล และนายภกร จิตรธนบรรจง เป็นกรรมการบริษัท ประกอบธุรกิจบริหารศูนย์อาหารตามอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ อาทิ อาคารจามจุรีสแควร์ ออลซีซั่นเพลส เดอะไนน์ทาวเวอร์ กรมสรรพากร กรุงเทพประกันภัย เดอะสตรีทรัชดา เสริมมิตรทาวเวอร์ ฯลฯ ปัจจุบันมีประมาณ 10 แห่ง อีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าสวัสดิการชั้น 1 เดิม นำโดย นายศุภโชค เวชราภรณ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกให้ออกจากพื้นที่อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่นโยบายของผู้บริหารรุ่นเก่าสนับสนุนให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยและญาติพี่น้องมีอาชีพเสริม แต่คณะกรรมการสวัสดิการสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันกลับบ่ายเบี่ยง ก่อนมีหนังสือขับไล่ออกจากพื้นที่ พร้อมขอให้ช่วยแบ่งพื้นที่เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมีทางเลือกซื้ออาหารในราคาย่อมเยา #Newskit
    0 Comments 0 Shares 477 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 348
    ชื่อบทธรรม :- อุทเทศแห่งนิโรธอริยสัจ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=348
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อุทเทศแห่งนิโรธอริยสัจ
    --ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ (นิโรธอริยสัจ)​
    เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=ทุกฺขนิโรโธ+อริยสจฺจํ
    --ภิกษุ ท. !
    ความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไม่เหลือของตัณหานั้นนั่นเทียว,
    ความละไปของตัณหานั้น,
    ความสลัดกลับคืนของตัณหานั้น,
    ความหลุดออกไปของตัณหานั้น และ
    ความไม่มีที่อาศัยอีกต่อไปของตัณหานั้น อันใด ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=ตณฺหา
    อันนี้ เราเรียกว่า #ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.-

    #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/422/1681
    http://etipitaka.com/read/thai/19/422/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%98%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๘๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%98%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=348
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=23&id=348
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=23
    ลำดับสาธยายธรรม : 23​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_23.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 348 ชื่อบทธรรม :- อุทเทศแห่งนิโรธอริยสัจ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=348 เนื้อความทั้งหมด :- --อุทเทศแห่งนิโรธอริยสัจ --ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ (นิโรธอริยสัจ)​ เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=ทุกฺขนิโรโธ+อริยสจฺจํ --ภิกษุ ท. ! ความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไม่เหลือของตัณหานั้นนั่นเทียว, ความละไปของตัณหานั้น, ความสลัดกลับคืนของตัณหานั้น, ความหลุดออกไปของตัณหานั้น และ ความไม่มีที่อาศัยอีกต่อไปของตัณหานั้น อันใด ; http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=ตณฺหา อันนี้ เราเรียกว่า #ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.- #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/422/1681 http://etipitaka.com/read/thai/19/422/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%98%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๘๑. http://etipitaka.com/read/pali/19/534/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%98%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=348 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=23&id=348 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=23 ลำดับสาธยายธรรม : 23​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_23.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - นิทเทศ ๘
    -นิทเทศ ๘ ว่าด้วยกิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย จบ ภาค ๒ ว่าด้วยทุกขสมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์ จบ คำชี้ชวนวิงวอน ____________ ภิกษุ ท.! โยคกรรม อันเธอพึงกระทำ เพื่อให้รู้ว่า “นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับสนิทแห่งทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์.” เทสิตํ. โว มยา นิพฺพานํ เทสิโต นิพฺพานคามิมคฺโค นิพพาน เราได้แสดงแล้ว, ทางให้ถึงนิพพาน เราก็ได้แสดงแล้ว แก่เธอทั้งหลาย. กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ. นั่น โคนไม้ ; นั่น เรือนว่าง. พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท, อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย. (มหาวาร. สํ. - สฬา.สํ.) ภาค ๓ ว่าด้วย นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์ ภาค ๓ มีเรื่อง :-นิทเทศ ๙ ว่าด้วยเรื่องความดับแห่งตัณหา ๒๙ เรื่อง นิทเทศ ๑๐ ว่าด้วยธรรมเป็นที่ดับตัณหา ๖๑ เรื่อง นิทเทศ ๑๑ ว่าด้วยผู้ดับตัณหา ๑๐๖ เรื่อง นิทเทศ ๑๒ ว่าด้วยอาการดับแห่งตัณหา ๖๑ เรื่อง อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาค ๓ ว่าด้วย นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ (มี ๔ นิทเทศ) อุทเทศแห่งนิโรธอริยสัจ ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไม่เหลือของตัณหานั้นนั่นเทียว, ความละไปของตัณหานั้น, ความสลัดกลับคืนของตัณหานั้น, ความหลุดออกไปของตัณหานั้น และความไม่มีที่อาศัยอีกต่อไปของตัณหานั้น อันใด ; อันนี้ เราเรียกว่า ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • เหรียญพระมหาพัว วัดชีว์ประเสริฐ จ.เพชรบุรี ปี2544
    เหรียญพระมหาพัว กิตฺติโสภโณ วัดชีว์ประเสริฐ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ปี2544 //งานพระราชทานเพลิงศพ //พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    พุทธคุณกลับสิ่งไม่ดี หรือแก้เรื่องร้ายๆ จะกลายเป็นดีแคล้วคลาดและสำเร็จลุล่วง เสริมดวงชะตา รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ เสริมบารมีโชคลาภและความเป็นสิริมงคล

    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระมหาพัว วัดชีว์ประเสริฐ จ.เพชรบุรี ปี2544 เหรียญพระมหาพัว กิตฺติโสภโณ วัดชีว์ประเสริฐ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ปี2544 //งานพระราชทานเพลิงศพ //พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> พุทธคุณกลับสิ่งไม่ดี หรือแก้เรื่องร้ายๆ จะกลายเป็นดีแคล้วคลาดและสำเร็จลุล่วง เสริมดวงชะตา รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ เสริมบารมีโชคลาภและความเป็นสิริมงคล ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542
    เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ (หลวงปู่เพียร) รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542 //พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์สูง // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณดี ปกป้องคุ้มครอง ​แคล้วคลาด ป้องกันได้ทุกอย่าง เมตตามหานิยม ค้าขาย โภคทรัพย์ เงินไหลมา ความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง เหมาะสำหรับทุกอาชีพ >>

    ** เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงถวายหิรัญบัฏ แด่พระธรรมปัญญาบดี (เพียร อุตฺตโม) วัดคูหาสวรรค์ จังหวัดพัทลุง เนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๙ พระธรรมวงศาจารย์ (เพียร อุตฺตโม) ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบรรพชิตผู้มีศีลาจารวัตรอันงดงาม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ก่อกำเนิดและพัฒนางานการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนาให้สถิตมั่นยืนนาน กล่าวขานให้เป็น "ปูชนียบุคคล" โดยแท้จริง และสมควรอย่างยิ่งแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติประวัติของจังหวัดพัทลุงสืบไป >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542 เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ (หลวงปู่เพียร) รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542 //พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์สูง // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณดี ปกป้องคุ้มครอง ​แคล้วคลาด ป้องกันได้ทุกอย่าง เมตตามหานิยม ค้าขาย โภคทรัพย์ เงินไหลมา ความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง เหมาะสำหรับทุกอาชีพ >> ** เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นหิรัญบัฏ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2542 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงถวายหิรัญบัฏ แด่พระธรรมปัญญาบดี (เพียร อุตฺตโม) วัดคูหาสวรรค์ จังหวัดพัทลุง เนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๙ พระธรรมวงศาจารย์ (เพียร อุตฺตโม) ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบรรพชิตผู้มีศีลาจารวัตรอันงดงาม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ก่อกำเนิดและพัฒนางานการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนาให้สถิตมั่นยืนนาน กล่าวขานให้เป็น "ปูชนียบุคคล" โดยแท้จริง และสมควรอย่างยิ่งแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติประวัติของจังหวัดพัทลุงสืบไป >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นปลุกเสกตัวเอง วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2537
    เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นปลุกเสกตัวเอง วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2537 // พระดีพิธีใหญ่ ปัดกวาดสิ่งไม่ดี สื่งเลวร้ายทั้งปวง พระมีประสบการณ์สูง // พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณดี ปกป้องคุ้มครอง ​แคล้วคลาด ป้องกันได้ทุกอย่าง เมตตามหานิยม ค้าขาย โภคทรัพย์ เงินไหลมา ความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง เหมาะสำหรับทุกอาชีพ >>

    ** พระธรรมวงศาจารย์ (เพียร อุตฺตโม) ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบรรพชิตผู้มีศีลาจารวัตรอันงดงาม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ก่อกำเนิดและพัฒนางานการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนาให้สถิตมั่นยืนนาน กล่าวขานให้เป็น "ปูชนียบุคคล" โดยแท้จริง และสมควรอย่างยิ่งแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติประวัติของจังหวัดพัทลุงสืบไป >>

    ** พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นปลุกเสกตัวเอง วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2537 เหรียญพระธรรมวงศาจารย์ รุ่นปลุกเสกตัวเอง วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง ปี2537 // พระดีพิธีใหญ่ ปัดกวาดสิ่งไม่ดี สื่งเลวร้ายทั้งปวง พระมีประสบการณ์สูง // พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณดี ปกป้องคุ้มครอง ​แคล้วคลาด ป้องกันได้ทุกอย่าง เมตตามหานิยม ค้าขาย โภคทรัพย์ เงินไหลมา ความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง เหมาะสำหรับทุกอาชีพ >> ** พระธรรมวงศาจารย์ (เพียร อุตฺตโม) ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบรรพชิตผู้มีศีลาจารวัตรอันงดงาม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ก่อกำเนิดและพัฒนางานการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนาให้สถิตมั่นยืนนาน กล่าวขานให้เป็น "ปูชนียบุคคล" โดยแท้จริง และสมควรอย่างยิ่งแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติประวัติของจังหวัดพัทลุงสืบไป >> ** พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย
    สัทธรรมลำดับที่ : 703
    ชื่อบทธรรม :- ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=703
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย
    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด
    ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว,
    อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดด้วย.

    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด
    ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว,
    อริยมรรคอันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย.
    โพชฌงค์เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? เจ็ดประการ คือ
    http://etipitaka.com/read/pali/19/117/?keywords=สตฺต+โพชฺฌงฺค
    สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
    วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์
    ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์.

    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ เหล่านี้
    อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว,
    อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดแล้วด้วย.

    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้
    อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว,
    อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย.

    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้
    อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมเครื่องนำออกอันประเสริฐ
    #ย่อมนำบุคคลผู้ประพฤติโพชฌงค์นั้นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ.

    --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้
    อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปโดยส่วนเดียว
    เพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด
    ความดับ ความเข้าไประงับ
    ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.-
    http://etipitaka.com/read/pali/19/118/?keywords=สตฺต+โพชฺฌงฺค+นิพฺพาน

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ. 19/110-111/431-434.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/110/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๑๗-๑๑๘/๔๓๑-๔๓๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/117/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=703
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=703
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50
    ลำดับสาธยายธรรม : 50 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย สัทธรรมลำดับที่ : 703 ชื่อบทธรรม :- ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=703 เนื้อความทั้งหมด :- --ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดด้วย. --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว, อริยมรรคอันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย. โพชฌงค์เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? เจ็ดประการ คือ http://etipitaka.com/read/pali/19/117/?keywords=สตฺต+โพชฺฌงฺค สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์. --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ เหล่านี้ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดแล้วด้วย. --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย. --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมเครื่องนำออกอันประเสริฐ #ย่อมนำบุคคลผู้ประพฤติโพชฌงค์นั้นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ. --ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปโดยส่วนเดียว เพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความเข้าไประงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.- http://etipitaka.com/read/pali/19/118/?keywords=สตฺต+โพชฺฌงฺค+นิพฺพาน #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ. 19/110-111/431-434. http://etipitaka.com/read/thai/19/110/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๑๗-๑๑๘/๔๓๑-๔๓๔. http://etipitaka.com/read/pali/19/117/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=703 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=703 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50 ลำดับสาธยายธรรม : 50 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย
    -ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดด้วย. ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว, อริยมรรคอันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย. โพชฌงค์เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? เจ็ดประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์. ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ เหล่านี้ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภผิดแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภผิดแล้วด้วย. ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการ เหล่านี้ อันบุคคลใด ใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว, อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย. ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมเครื่องนำออกอันประเสริฐ ย่อมนำบุคคลผู้ประพฤติโพชฌงค์นั้นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ. ภิกษุ ท. ! โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปโดยส่วนเดียว เพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความเข้าไประงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 700
    ชื่อบทธรรม :- อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=700
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค-(ทำให้รู้จักพระศาสดาอย่างถูกต้อง)
    --กัสสป ! ข้ออื่น ที่เราจะต้องพูดกันอีก มีอยู่ ;
    คือวิญญูชนทั้งหลายจงลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ
    จงลองสอบสวน จงลองซักซ้อม เปรียบเทียบกัน
    ระหว่างศาสดากับศาสดา
    ระหว่างสาวกกับสาวก ว่า
    ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่ท่านผู้เจริญทั้งสองฝ่ายเหล่านี้ยอมรับตรงกัน ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/9/209/?keywords=กุสลา
    เป็นกุศล นับเนื่องในกุศล,
    เป็นธรรมไม่มีโทษ นับเนื่องในธรรมไม่มีโทษ,
    เป็นธรรมควรเสพ นับเนื่องในธรรมควรเสพ,
    เป็นธรรมควรแก่อริยะ นับเนื่องในธรรมควรแก่อริยะ,
    เป็นธรรมฝ่ายขาว นับเนื่องในธรรมฝ่ายขาว
    ดังนี้ ;
    ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดนั้น คนพวกไหนสมาทานประพฤติธรรมเหล่านั้น
    ได้ครบถ้วนไม่มีเหลือ คือจะเป็นพวกสาวกของพระสมณโคดม
    หรือจะเป็นพวกสาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นเล่า ?
    --กัสสป ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้, คือเมื่อวิญญูชนทั้งหลาย
    ลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ ลองสอบสวน ลองซักซ้อมดู
    ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ว่าจะเป็นพวกไหนที่ประพฤติได้หมดจดไม่มีส่วนเหลือ
    ดังนี้แล้ว วิญญูชนเหล่านั้นก็พากันสรรเสริญพวกเราเป็นส่วนมาก ในข้อนั้น ;
    เพราะว่า หนทางมีอยู่ปฏิปทามีอยู่ ซึ่งผู้ปฏิบัติแล้ว จักรู้ได้เองเห็นได้เอง ว่า
    “พระสมณโคดมเป็นผู้มีปรกติ
    กล่าวตามกาล (กาลวาที)
    กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง (ภูตวาที)
    กล่าวโดยอรรถ (อตฺถวาที)
    กล่าวโดยธรรม (ธมฺมวาที)
    กล่าวโดยวินัย (วินยวาที)”
    ดังนี้.
    --กัสสป ! หนทางนั้นเป็นอย่างไร ? ปฏิปทานั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    หนทางนั้นคือ
    #หนทางอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดประการ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
    --กัสสป ! นี้แลเป็นหนทาง เป็นปฏิปทา ซึ่งผู้ปฏิบัติตามนั้นแล้ว
    จักรู้ได้เอง จักเห็นได้เองทีเดียว ว่าพระสมณโคดม
    เป็นผู้มีปกติ
    กล่าวตามกาล
    กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง
    กล่าวโดยอรรถ
    กล่าวโดยธรรม
    กล่าวโดยวินัย
    http://etipitaka.com/read/pali/9/210/?keywords=วินยวาที
    ดังนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/225/265.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/225/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๒๐๙/๒๖๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/209/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=700
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=700
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50
    ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 700 ชื่อบทธรรม :- อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=700 เนื้อความทั้งหมด :- --อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค-(ทำให้รู้จักพระศาสดาอย่างถูกต้อง) --กัสสป ! ข้ออื่น ที่เราจะต้องพูดกันอีก มีอยู่ ; คือวิญญูชนทั้งหลายจงลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ จงลองสอบสวน จงลองซักซ้อม เปรียบเทียบกัน ระหว่างศาสดากับศาสดา ระหว่างสาวกกับสาวก ว่า ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่ท่านผู้เจริญทั้งสองฝ่ายเหล่านี้ยอมรับตรงกัน ว่า http://etipitaka.com/read/pali/9/209/?keywords=กุสลา เป็นกุศล นับเนื่องในกุศล, เป็นธรรมไม่มีโทษ นับเนื่องในธรรมไม่มีโทษ, เป็นธรรมควรเสพ นับเนื่องในธรรมควรเสพ, เป็นธรรมควรแก่อริยะ นับเนื่องในธรรมควรแก่อริยะ, เป็นธรรมฝ่ายขาว นับเนื่องในธรรมฝ่ายขาว ดังนี้ ; ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดนั้น คนพวกไหนสมาทานประพฤติธรรมเหล่านั้น ได้ครบถ้วนไม่มีเหลือ คือจะเป็นพวกสาวกของพระสมณโคดม หรือจะเป็นพวกสาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นเล่า ? --กัสสป ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้, คือเมื่อวิญญูชนทั้งหลาย ลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ ลองสอบสวน ลองซักซ้อมดู ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ว่าจะเป็นพวกไหนที่ประพฤติได้หมดจดไม่มีส่วนเหลือ ดังนี้แล้ว วิญญูชนเหล่านั้นก็พากันสรรเสริญพวกเราเป็นส่วนมาก ในข้อนั้น ; เพราะว่า หนทางมีอยู่ปฏิปทามีอยู่ ซึ่งผู้ปฏิบัติแล้ว จักรู้ได้เองเห็นได้เอง ว่า “พระสมณโคดมเป็นผู้มีปรกติ กล่าวตามกาล (กาลวาที) กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง (ภูตวาที) กล่าวโดยอรรถ (อตฺถวาที) กล่าวโดยธรรม (ธมฺมวาที) กล่าวโดยวินัย (วินยวาที)” ดังนี้. --กัสสป ! หนทางนั้นเป็นอย่างไร ? ปฏิปทานั้นเป็นอย่างไรเล่า ? หนทางนั้นคือ #หนทางอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดประการ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. --กัสสป ! นี้แลเป็นหนทาง เป็นปฏิปทา ซึ่งผู้ปฏิบัติตามนั้นแล้ว จักรู้ได้เอง จักเห็นได้เองทีเดียว ว่าพระสมณโคดม เป็นผู้มีปกติ กล่าวตามกาล กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง กล่าวโดยอรรถ กล่าวโดยธรรม กล่าวโดยวินัย http://etipitaka.com/read/pali/9/210/?keywords=วินยวาที ดังนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/225/265. http://etipitaka.com/read/thai/9/225/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๒๐๙/๒๖๕. http://etipitaka.com/read/pali/9/209/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=700 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=700 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50 ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค
    -(ในสูตรนี้ ทรงแสดงกรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นที่สิ้นกรรมไว้ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด; ในสูตรอื่นทรงแสดงไว้ด้วย โพชฌงค์เจ็ด ก็มี -๒๑/๓๒๒/๒๓๘, แสดงไว้ด้วยเจตนาเป็นเครื่องละกรรมดำกรรมขาวและกรรมทั้งดำทั้งขาว ก็มี -๒๑/๓๑๘/๒๓๔). อานิสงส์พิเศษแห่งอัฏฐังคิกมรรค (ทำให้รู้จักพระศาสดาอย่างถูกต้อง) กัสสป ! ข้ออื่น ที่เราจะต้องพูดกันอีก มีอยู่ ; คือวิญญูชนทั้งหลายจงลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ จงลองสอบสวน จงลองซักซ้อม เปรียบเทียบกันระหว่างศาสดากับศาสดา ระหว่างสาวกกับสาวก ว่า ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่ท่านผู้เจริญทั้งสองฝ่ายเหล่านี้ยอมรับตรงกัน ว่า เป็นกุศล นับเนื่องในกุศล, เป็นธรรมไม่มีโทษ นับเนื่องในธรรมไม่มีโทษ, เป็นธรรมควรเสพ นับเนื่องในธรรมควรเสพ, เป็นธรรมควรแก่อริยะ นับเนื่องในธรรมควรแก่อริยะ, เป็นธรรมฝ่ายขาว นับเนื่องในธรรมฝ่ายขาว ดังนี้ ; ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดนั้น คนพวกไหนสมาทานประพฤติธรรมเหล่านั้นได้ครบถ้วนไม่มีเหลือ คือจะเป็นพวกสาวกของพระสมณโคดม หรือจะเป็นพวกสาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นเล่า ? กัสสป ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้, คือเมื่อวิญญูชนทั้งหลาย ลองหยิบขึ้นมาแยกแยะ ลองสอบสวน ลองซักซ้อมดู ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ว่าจะเป็นพวกไหนที่ประพฤติได้หมดจดไม่มีส่วนเหลือ ดังนี้แล้ว วิญญูชนเหล่านั้น ก็พากันสรรเสริญพวกเราเป็นส่วนมาก ในข้อนั้น ; เพราะว่า หนทางมีอยู่ปฏิปทามีอยู่ ซึ่งผู้ปฏิบัติแล้ว จักรู้ได้เองเห็นได้เอง ว่า “พระสมณโคดมเป็นผู้มีปรกติกล่าวตามกาล (กาลวาที) กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง (ภูตวาที) กล่าวโดยอรรถ (อตฺถวาที) กล่าวโดยธรรม (ธมฺมวาที) กล่าวโดยวินัย (วินยวาที)” ดังนี้. กัสสป ! หนทางนั้นเป็นอย่างไร ? ปฏิปทานั้นเป็นอย่างไรเล่า ? หนทางนั้นคือ หนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. กัสสป ! นี้แลเป็นหนทาง เป็นปฏิปทา ซึ่งผู้ปฏิบัติตามนั้นแล้ว จักรู้ได้เอง จักเห็นได้เองทีเดียว ว่าพระสมณโคดมเป็นผู้มีปกติกล่าวตามกาล กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง กล่าวโดยอรรถ กล่าวโดยธรรม กล่าวโดยวินัยดังนี้.
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า

    “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี

    สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า

    ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ
    อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ.

    แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ. แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า

    “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี

    สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า

    ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ
    อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ.

    แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ. แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การจบกิจแห่งอริยสัจ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1063
    ชื่อบทธรรม :- การจบกิจแห่งอริยสัจ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1063
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การจบกิจแห่งอริยสัจ
    (ปฐมเทศนาแด่ปัจจวัคคีด้วย #ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)​
    http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนวคฺโค+ทุติโย
    ...
    --กำหนดด้วยความสมบูรณ์แห่ง ญาณสาม
    --๑. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ทุกฺขํ+อริยสจฺจนฺติ
    ๑. นี้ เป็นความจริงอันประสริฐคือ ทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า
    ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ ควรกำหนดรอบรู้ (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า
    ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว (นี้ ท่านเรียกกันมา กตญาณ).

    --๒. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ทุกฺขสมุทโย+อริยสจฺจนฺติ
    ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า
    ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า
    ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ละเสียแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ).

    --๓. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ทุกฺขนิโรโธ+อริยสจฺจนฺติ
    ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า
    ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้แจ้ง (นี้ ท่านเรียกกันว่ากิจจญาณ), ว่า
    ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้แจ้งแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ).

    --๔. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา+อริยสจฺจนฺติ
    ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า
    ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้เจริญ (นี้ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า
    ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้เจริญแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ).

    --ภิกษุ ท. ! ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ (ปริวัฏฏ์) สาม
    http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ปริวฏฺฏํ
    มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้
    ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา อยู่เพียงใด;
    ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
    ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
    ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ
    สามมีอาการสิบสอบ เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้
    เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา;
    เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง #อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    http://etipitaka.com/read/pali/19/531/?keywords=อนุตฺตรํ+สมฺมาสมฺโพธึ+อภิสมฺพุทฺโธ
    ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
    ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
    ก็แหละ ญาณและทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่า
    “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ,
    ความเกิดนี้ เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย,
    บัดนี้ ความเกิดอีกอย่างไม่มี”
    ดังนี้.
    ....
    (ที่สุดในปฐมเทศนาแด่ปัจจวัคคีด้วย #ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)​
    http://etipitaka.com/read/pali/19/540/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนวคฺโค+ทุติโย

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๐-๕๒๙/๑๖๖๖-๑๖๗๐.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/97/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๙-๕๓๐/๑๖๖๖-๑๖๗๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%96
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=93&id=1063
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=93
    ลำดับสาธยายธรรม : 93 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_93.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การจบกิจแห่งอริยสัจ สัทธรรมลำดับที่ : 1063 ชื่อบทธรรม :- การจบกิจแห่งอริยสัจ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1063 เนื้อความทั้งหมด :- --การจบกิจแห่งอริยสัจ (ปฐมเทศนาแด่ปัจจวัคคีด้วย #ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)​ http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนวคฺโค+ทุติโย ... --กำหนดด้วยความสมบูรณ์แห่ง ญาณสาม --๑. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ทุกฺขํ+อริยสจฺจนฺติ ๑. นี้ เป็นความจริงอันประสริฐคือ ทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ ควรกำหนดรอบรู้ (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว (นี้ ท่านเรียกกันมา กตญาณ). --๒. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=ทุกฺขสมุทโย+อริยสจฺจนฺติ ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ละเสียแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). --๓. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ทุกฺขนิโรโธ+อริยสจฺจนฺติ ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้แจ้ง (นี้ ท่านเรียกกันว่ากิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้แจ้งแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). --๔. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา+อริยสจฺจนฺติ ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้เจริญ (นี้ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้เจริญแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). --ภิกษุ ท. ! ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ (ปริวัฏฏ์) สาม http://etipitaka.com/read/pali/19/530/?keywords=ปริวฏฺฏํ มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา อยู่เพียงใด; ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. --ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ สามมีอาการสิบสอบ เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา; เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง #อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ http://etipitaka.com/read/pali/19/531/?keywords=อนุตฺตรํ+สมฺมาสมฺโพธึ+อภิสมฺพุทฺโธ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. ก็แหละ ญาณและทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่า “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ, ความเกิดนี้ เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย, บัดนี้ ความเกิดอีกอย่างไม่มี” ดังนี้. .... (ที่สุดในปฐมเทศนาแด่ปัจจวัคคีด้วย #ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)​ http://etipitaka.com/read/pali/19/540/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนวคฺโค+ทุติโย #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๐-๕๒๙/๑๖๖๖-๑๖๗๐. http://etipitaka.com/read/thai/24/97/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๙-๕๓๐/๑๖๖๖-๑๖๗๐. http://etipitaka.com/read/pali/19/529/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%96 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=93&id=1063 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=93 ลำดับสาธยายธรรม : 93 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_93.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การจบกิจแห่งอริยสัจ
    -การจบกิจแห่งอริยสัจ กำหนดด้วยความสมบูรณ์แห่ง ญาณสาม ๑. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า ๑. นี้ เป็นความจริงอันประสริฐคือ ทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประ-เสริฐคือ ทุกข์นี้ ควรกำหนดรอบรู้ (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว (นี้ ท่านเรียกกันมา กตญาณ). ๒. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ ละเสียแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). ๓. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้แจ้ง (นี้ ท่านเรียกกันว่ากิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้แจ้งแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). ๔. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้วในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ), ว่า ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้เจริญ (นี้ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ), ว่า ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ ทำให้เจริญแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ). ภิกษุ ท. ! ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ (ปริวัฏฏ์) สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา อยู่เพียงใด; ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อัน มีรอบ สาม มีอาการสิบสอบ เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์หมดจด ด้วยดีแก่เรา; เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. ก็แหละ ญาณและทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่า “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ, ความเกิดนี้ เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย, บัดนี้ ความเกิดอีกอย่างไม่มี” ดังนี้. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๙-๕๓๐/๑๖๖๖-๑๖๗๐. ภาคสรุป ว่าด้วยข้อความสรุปท้ายเกี่ยวกับจตุราริยสัจ จบ คำชี้ชวนวิงวอน ภิกษุ ท. ! โยคกรรม อันเธอพึงกระทำ เพื่อให้รู้ว่า “นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับสนิทแห่งทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์.” เทสิตํ โว มยา นิพฺพานํ เทสิโต นิพฺพานคามิมคฺโค นิพพาน เราได้แสดงแล้ว, ทางให้ถึงนิพพาน เราก็ได้แสดงแล้ว แก่เธอทั้งหลาย. กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ. นั่น โคนไม้ ; นั่น เรือนว่าง. พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท, อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย. (มหาวาร. สํ. - สฬา. สํ.) ภาคผนวก ว่าด้วย เรื่องนำมาผนวกเพื่อความสะดวกแก่การอ้างอิง สำหรับเรื่องที่ตรัสซ้ำๆ บ่อยๆ ภาคผนวก มีเรื่อง ๒ หัวข้อ : ๑. ประมวลพรหมจรรย์ตลอดสาย ๒. ลักษณะความสะอาด – ไม่สะอาดในอริยวินัย ภาคผนวก ว่าด้วย เรื่องนำมาผนวก เพื่อความสะดวกแก่การอ้างอิง สำหรับเรื่องที่ตรัสซ้ำ ๆ บ่อย ๆ (มี ๒ หัวข้อ) ประมวลพรหมจรรย์ตลอดสาย (ที่แสดงไว้โดยขันธ์สาม) (ข้อความต่อไปนี้ เป็นคำของพระอานนท์ แต่ก็ตรงเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธภาษิต ดังที่ทรงแสดงไว้ในสามัญญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร โสณทัณฑสูตร เป็นต้น จึงถือว่ามีค่า เท่ากับพระพุทธภาษิต และนำมารวมไว้ในเรื่องจากพระโอษฐ์; หากแต่ถ้อยคำของพระอานนท์ เรียบเรียงไว้อย่างสะดวกง่ายดายแก่การอ้างอิงยิ่งกว่า จึงยกเอาสำนวนนี้มาใช้ในการอ้างอิง :-) ๑. ศีลขันธ์ “ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! อริยสีลขันธ์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า ที่พระสมณโคดม ทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” ตถาคตเกิดขึ้นในโลกแสดงธรรม มาณพ ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนควรฝึก ไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว จำแนก ธรรมออกสอนสัตว์. ตถาคตนั้น ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม. ตถาคตนั้น แสดงธรรมไพเราะ ในเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุด, ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง. กุลบุตรฟังธรรม ออกบวช คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่งในภายหลัง ก็ดี ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดศรัทธาในตถาคต. เขาผู้ประกอบด้วยศรัทธา ย่อมพิจารณาเห็นว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, บรรพชาเป็นโอกาส (คือที่โปร่งโล่ง) อันยิ่ง; การที่คนอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดแล้วนั้น ไม่ทำได้โดยง่าย. ถ้ากระไร เราจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด”, ดังนี้. โดยสมัยอื่นต่อมา เขา ละกองสมบัติน้อยใหญ่ และวงศ์ญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว. แนวปฏิบัติสำหรับผู้บวชใหม่ กุลบุตรนั้น ครั้นบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วย กายกรรมวจีกรรมอันเป็นกุศล มีอาชีวะบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ. ก. อาการที่ถึงพร้อมด้วยศีล (ขั้นจุลศีล) มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่ ; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เขาให้แล้ว หวังอยู่แต่ของที่เขาให้ เป็นคนสะอาด ไม่เป็นขโมยอยู่; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์โดยปกติ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากการเสพเมถุนอันเป็นของชาวบ้าน; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท พูดแต่ความจริง รักษาความสัตย์ มั่นคงในคำพูดควรเชื่อถือได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อให้ฝ่ายนี้แตกร้าวกัน หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว ไม่นำมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อให้ฝ่ายโน้นแตกร้าวกัน แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียง กันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีใน การพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน ; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละคำพูดที่โปรยประโยชน์ทิ้งเสีย เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งๆ . ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการล้างผลาญพืชคามและภูตคาม. เป็นผู้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เว้นจากการฉันในราตรีและวิกาล. เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม และการดูการเล่นชนิดเป็นข้าศึกแก่กุศล. เป็นผู้เว้นขาดจากการประดับประดา คือทัดทรงตกแต่งด้วยมาลา และของหอมและเครื่องลูบทา. เป็นผู้เว้นขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับเงินและทอง. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับข้าวเปลือก. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับหญิงและเด็กหญิง. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับแพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทั้งผู้และเมีย. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับที่นา ที่สวน. เป็นผู้เว้นขาดจากการรับใช้เป็นทูต ไปในที่ต่างๆ (ให้คฤหัสถ์). เป็นผู้เว้นจากการซื้อและการขาย. เป็นผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การลวงด้วยของปลอมและการฉ้อด้วยเครื่องนับ (เครื่องตวงและเครื่องวัด). เป็นผู้เว้นขาดจากการโกง ด้วยการรับสินบนและล่อลวง. เป็นผู้เว้นขาดจาก การตัด การ ฆ่า การจำจอง การซุ่มทำร้าย การปล้น และการกรรโชก. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งๆ. (จบจุลศีล) ข. อาการที่ถึงพร้อมด้วยศีล (ขั้นมัชฌิมศีล) (หมวดพีชคามภูตคาม) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังทำพีชคามและภูตคามให้กำเริบ กล่าวคือพืชที่ เกิดแต่ราก พืชที่เกิดแต่ต้น พืชที่เกิดแต่ผล พืชที่เกิดแต่ยอด และพืชที่เกิดแต่ เมล็ดเป็นที่ห้า. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการทำพีชคามและ ภูตคามเห็นปานนั้นให้กำเริบแล้ว. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดการบริโภคสะสม) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวกฉัน โภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้บริโภคสะสมอยู่ กล่าวคือสะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยานพาหนะ สะสมเครื่องนอน สะสมเครื่องหอม สะสมอามิส. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการบริโภคสะสมเห็นปาน นั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดดูการเล่น) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ประกอบการดูสิ่งแสดง อันเป็นข้าศึกต่อ กุศลอยู่ กล่าวคือการฟ้อน การขับ การประโคม ไม้ลอย การเล่านิยาย การปรบมือ ตีฆ้อง ตีกลอง ประดับบ้านเมือง กายกรรมจัณฑาล เล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ ชนนกกระทา เพลงกระบอง มวยหมัด การรบ การตรวจพล การยกพล กองทัพ. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการดูสิ่งแสดงอันเป็นข้าศึกต่อกุศลเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดการพนัน) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้น ยังเป็นผู้ตามประกอบการกระทำในการพนัน อัน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทกันอยู่ กล่าวคือหมากรุก ๘ ตา หมากรุก ๑๐ ตา หมากเก็บ ชิงนาง หมากไหว โยนห่วง ไม้หึ่ง ฟาดให้เป็นรูปต่างๆ สะกา เป่าใบไม้ ไถน้อยๆ หกคะเมน กังหัน ตวงทราย รถน้อย ธนูน้อย เขียนทายกัน ทายใจ ล้อคนพิการ. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการกระทำใน การพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง. (หมวดที่นั่งนอนสูงใหญ่) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ตามประกอบการนั่งนอนบนที่นั่งนอนสูง ใหญ่กันอยู่ กล่าวคือเตียงเท้าสูง เตียงเท้าคู้ เครื่องลาดขนยาว เครื่องลาดลายวิจิตร เครื่องลาดพื้นขาว เครื่องลาดลายดอกไม้ เครื่องลาดบุนุ่น เครื่องลาดมี รูปสัตว์ พรมขนตั้ง พรมขนเอน เครื่องลาดไหมแกมทอง เครื่องลาดไหมล้วน เครื่องลาดใหญ่สำหรับฟ้อน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาด บนรถ เครื่องลาดหนังอชินะ เครื่องลาดหนังชะมด เครื่องลาดใต้เพดาน เครื่องลาดมีหมอนแดงสองข้าง. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากที่นั่งนอนสูงใหญ่เห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดประดับตกแต่งกาย) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ตามประกอบการประดับตกแต่งร่างกายกันอยู่ กล่าวคือการอบ การนวด การอาบ การคลึง การส่องกระจก การหยอดตา พวงมาลา เครื่องกลิ่น เครื่องลูบทา ผัดหน้า ทาปาก กำไลมือ เกี้ยวผม ไม้ถือเล่น ห้อยกลักกล่อง ห้อยดาบ ห้อยพระขรรค์ ร่มสวย รองเท้าวิจิตร กรอบหน้า แก้วมณี พัดขนสัตว์ ผ้าขาวชายเฟื้อย. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาด จากการประดับตกแต่งร่างกายเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดดิรัจฉานกถา) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ตามประกอบเดรัจฉานกถา (เรื่องขวางหนทาง ธรรมสำหรับบรรพชิต) กันอยู่ กล่าวคือเรื่องเจ้า เรื่องนาย เรื่องโจร เรื่องมหาอมาตย์ เรื่องเสนา เรื่องของน่ากลัว เรื่องการรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องมาลา เรื่องเครื่องกลิ่น เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องหญิง เรื่องชาย เรื่องคนกล้า เรื่องตรอก เรื่องชุมนุม หญิงตักน้ำตามบ่อสาธารณะ เรื่องคนตายแล้ว เรื่องแปลกประหลาด เรื่องสนุก ของชาวโลก เรื่องของนักท่องสมุทร เรื่องความเจริญและความเสื่อม. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการประกอบเดรัจฉานกถาเป็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดการชอบทำความขัดแย้ง) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ตามประกอบถ้อยคำเครื่องขัดแย้งกันอยู่ กล่าวคือขัดแย้งกันว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ท่านจะรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้อย่างไรได้ ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำ ของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ถ้อยคำของท่านไม่เป็นประโยชน์ เรื่องควรพูดก่อน ท่านเอามาพูดทีหลัง เรื่องควรพูดทีหลังท่านเอามาพูดก่อน ข้อที่ท่านเคย เชี่ยวชาญนั้นเปลี่ยนเป็นพ้นสมัยไปแล้ว วาทะของท่านถูกเพิกถอนแล้วถูกข่มขี่แล้ว จงเปลื้องวาทะของท่านเสียใหม่ หรือถ้าสามารถก็จงแยกแยะให้เห็น. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากถ้อยคำเครื่องขัดแย้งเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดการรับใช้เป็นทูต) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ตามประกอบในการไป เพราะถูกส่งไป เพื่อความเป็นทูต กันอยู่ กล่าวคือรับใช้พระราชา รับใช้อมาตย์ของพระราชา รับใช้กษัตริย์ รับใช้พราหมณ์ รับใช้คหบดี รับใช้เด็กๆ ที่ส่งไปด้วยคำว่า “ท่านจงไปที่นี้ ท่านจงไปที่โน้น ท่านจงนำสิ่งนี้ไปที่โน้น ท่านจงนำสิ่งนี้มา” ดังนี้เป็นต้น. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการตามประกอบในการไป เพราะถูกส่งไปเพื่อความเป็นทูตเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง. (หมวดโกหกหลอกลวงเพื่อลาภ) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นคนโกหก ใช้คำพิรี้พิไร การพูดล่อด้วย เลศต่างๆ การพูดให้ทายกเกิดมานะมุทะลุในการให้ และการใช้ของ (มีค่าน้อย) ต่อเอาของ (มีค่ามาก). ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการโกหกหลอกลวงเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (จบมัชฉิมศีล) ค. อาการที่ถึงพร้อมด้วยศีล (ขั้นมหาศีล) (หมวดการทำพิธีรีตอง) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชา กันอยู่ กล่าวคือทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายของตก ทำนายฝัน ทายลักษณะ การถูกหนูกัด โหมเพลิง เบิกแว่น ซัดแกลบ ซัดปลายข้าว ซัดข้าวสาร บูชาด้วยเปรียง บูชาด้วยน้ำมัน เจิมหน้า เซ่นด้วยโลหิต วิชาดูอวัยวะ ดูที่สวน ดูที่นา วิชาสะเดาะเคราะห์ วิชาขับผี วิชาดูพื้นที่ หมองู หมอดับพิษ หมอสัตว์กัดต่อย วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยนก วิชาว่าด้วยการ คำนวณอายุ กันลูกศร ดูรอยสัตว์. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดทายลักษณะ) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะผ้า ลักษณะไม้เท้า ลักษณะศาสตรา ลักษณะดาบ ลักษณะลูกศร ลักษณะธนู ลักษณะอาวุธ ลักษณะหญิง ลักษณะชาย ลักษณะเด็กชาย ลักษณะเด็กหญิง ลักษณะทาส ลักษณะทาสี ลักษณะช้าง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอสุภ ลักษณะโค ลักษณะ แพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะตุ่น ลักษณะเต่า ลักษณะเนื้อ. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ก็เป็นศีลของ เธอประการหนึ่ง. (หมวดทายฤกษ์การรบพุ่ง) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือการให้ฤกษ์ว่า พระราชาควรยกออก พระราชาไม่ ควรยกออก, พระราชาภายในจักรุก พระราชาภายนอกจักถอย, พระราชา ภายนอกจักรุก พระราชาภายในจักถอย, พระราชาภายในจักชนะ พระราชาภายนอกจักแพ้, พระราชาภายนอกจักชนะ พระราชาภายในจักแพ้, องค์นี้จักชนะ องค์นี้จักแพ้. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดทายโคจรแห่งนักษัตร) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือทำนายว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินในทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินนอกทาง ดาวนักษัตรจักเดินในทาง ดาวนักษัตรจักเดินนอกทาง จักมีอุกกาบาต จักมีฮูมเพลิง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง จักมีการขึ้น การตก การเศร้าหมอง การผ่องแผ้ว ของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตร, จันทรคราส จักมีผลอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลอย่างนี้ นักขัตตคราส จักมีผลอย่างนี้ การเดินในทางของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์จักมีผลอย่างนี้ การเดินนอกทางของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ จักมีผลอย่างนี้ การเดินในทางของดาวนักษัตรจักมีผลอย่างนี้ การเดินนอกทางของดาวนักษัตร จักมีผลอย่างนี้ อุกกาบาตจักมีผลอย่างนี้ ฮูมเพลิงจักมีผลอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลอย่างนี้ การขึ้นการตกการเศร้าหมองการผ่องแผ้วของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และนักษัตร จักมีผลอย่างนี้. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดทำนายข้าวยากหมากแพง) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือทำนายว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง อาหารหาง่าย อาหารหายาก จักมีความเกษมสำราญ จักมีภัยอันตราย จักมีโรค จักไม่มีโรค โดยการคิดคำนวณ จากคัมภีร์สางขยะ กาเวยยะ โลกายตะ. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาด จากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็น ปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดฤกษ์ยามและเข้าทรง) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือกำหนดฤกษ์อาวาหะ กำหนดฤกษ์วิวาหะ กำหนดฤกษ์ ประสานมิตร ฤกษ์แตกร้าวแห่งมิตร ฤกษ์รวมทรัพย์ ฤกษ์หว่านทรัพย์ พิธีกระทำ ให้เป็นคนเลี้ยงง่าย พิธีกระทำให้เป็นคนเลี้ยงยาก การกระทำให้ครรภ์พิรุธ ทำให้พูดไม่ได้ ทำให้คางแข็ง ทำให้มือติด ทำให้หูหนวก ทรงผีกระจกเงา ทรงผีด้วยเด็กหญิง ทรงผีถามเทพเจ้า บวงสรวงดวงอาทิตย์ บวงสรวงมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเรียกขวัญ. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย.แม้นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (หมวดหมอผีหมอยา) อีกอย่างหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวาย ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชากันอยู่ กล่าวคือพิธีกรรมเพื่อสันติสุข พิธีกรรมเพื่อความมั่นคง พิธีกรรมเกี่ยวกับแผ่นดิน พิธีกรรมเพื่อการขยายออกไป พิธีกรรมเพื่อความเป็นชายของกะเทย พิธีกรรมเพื่อความเป็นกะเทยของชาย พิธีกรรมพื้นที่ การประพรมพื้นที่ การพรมน้ำมนต์ การอาบน้ำมนต์ การประกอบยาให้ร้อน การประกอบยาให้อาเจียน การประกอบยาถ่าย ยาถ่ายโทษเบื้องบน ยาถ่ายโทษเบื้องต่ำ ยาถ่ายโทษในศรีษะ น้ำมันหยอดหู ยาหยอดตา ยานัตถุ์ ยาหยอด ยาหยอดเฉพาะ ยาแก้โรคตา การผ่าตัด หมอกุมาร การพอกยา การแก้ยาออก. ส่วนภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. (จบมหาศีล) . . . . มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยอาการอย่างนี้แล. มาณพ ! นี้แล อริยศีลขันธ์นั้นที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ. (จบอริยศีลขันธ์) . . . . ๒.สมาธิขันธ์ “ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! อริยสมาธิขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” (หมวดอินทรียสังวร) มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการรวบถือเอาทั้งหมด (รวมเป็นภาพเดียว) ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการถือเอาโดยแยกเป็นส่วนๆ; อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสจะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ซึ่งอินทรีย์อันเป็นต้นเหตุคือตาใด, เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมซึ่งอินทรีย์นั้น ย่อมรักษาอินทรีย์คือตา ย่อมถึงการสำรวมในอินทรีย์คือตา. (ในกรณีแห่งอินทรีย์คือหู อินทรีย์คือจมูก อินทรีย์คือลิ้น อินทรีย์คือกาย และอินทรีย์ คือใจ ก็มีข้อความที่ได้ตรัสไว้ในทำนองเดียวกัน). ....มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายด้วยอาการอย่างนี้แล. (หมวดสติสัมปชัญญะ) มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยหลังกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฎิบาตรจีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการไปการหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. ....มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอาการอย่างนี้แล. (หมวดสันโดษ) มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้สันโดษ (ยินดีตามที่มีอยู่) ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ภิกษุนั้น จะหลีกไปโดยทิศใดๆ ย่อมถือเอาบาตรและจีวรนั้นหลีกไปได้โดยทิศนั้นๆ. มาณพ ! เปรียบเสมือนนกมีปีก จะบินไปโดยทิศใดๆ มีปีกอย่างเดียวเป็นภาระบินไป ฉันใด; ภิกษุก็ฉันนั้น : เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ถือเอาแล้วหลีกไปโดยทิศใดๆ ได้. ....มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้สันโดษ ด้วยอาการอย่างนี้แล. (หมวดเสนาสนะสงัด - ละนิวรณ์) ภิกษุนั้น ประกอบด้วย อริยสีลขันธ์ นี้ด้วย ประกอบด้วย อริยอินทรียสังวร นี้ด้วย ประกอบด้วย อริยสติสัมปชัญญะ นี้ด้วย ประกอบด้วย อริยสันตุฏฐิ นี้ด้วย แล้ว, เธอ เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง (อย่างใดอย่างหนึ่ง), ในเวลาภายหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตแล้ว เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ละอภิชฌาโลภะ แล้ว มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ คอยชำระจิตจากอภิชฌา; ละพยาบาท อันเป็นเครื่องประทุษร้ายแล้ว มีจิตปราศจากพยาบาทอยู่ เป็นผู้กรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย คอยชำระจิตจากพยาบาทอันเป็นเครื่องประทุษร้าย; ละถีนมิทธะ แล้ว มีจิตปราศจากถีนมิทธะอยู่ เป็นผู้มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อม คอยชำระจิตจากถีนมิทธะ; ละอุทธัจจกุกกุจจะ แล้ว ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ในภายในอยู่ คอยชำระจิตจากอุทธัจจกุกกุจจะ; ละวิจิกิจฉา แล้ว ก้าวล่วงวิจิกิจฉาเสียได้อยู่ ไม่ต้องกล่าวว่านี่อะไร นี่อย่างไร ในกุศลธรรมทั้งหลาย (เพราะความสงสัย) คอยชำระจิตจากวิจิกิจฉา. มาณพ ! เปรียบเหมือนชายผู้หนึ่ง กู้หนี้เขา ไปทำการงานสำเร็จผลใช้หนี้ต้นทุนเดิมหมดแล้ว กำไรยังเหลือพอเลี้ยงภรรยาได้ถมไป; เขาคงคะนึงถึงโชคลาภว่า “เมื่อก่อนเรากู้หนี้เขาไปทำการงานสำเร็จผล ใช้ต้นทุนเดิมหมดแล้ว กำไรยังเหลือพอเลี้ยงภรรยาได้ถมไป” ดังนี้, เขาย่อมปราโมทย์บันเทิง ใจโสมนัสเพราะข้อนั้นป็นเหตุ ฉันใด, (นี้อย่างหนึ่ง) , มาณพ ! เปรียบเหมือนชายอีกผู้หนึ่ง ป่วยไข้หนัก ทนทุกข์ อาหารไม่ตก กำลังน้อย. ครั้นเวลาอื่นเขาหายจากไข้นั้น อาหารก็ตั้ง กำลัง ก็มี; เขาต้องนึกถึงกาลเก่าว่า “เมื่อก่อน เราป่วยไข้หนัก ทนทุกข์ อาหารก็ไม่ตก กำลังน้อยลง บัดนี้เราหายจากไข้นั้น อาหารก็ตั้ง กำลังก็มีมา” ดังนี้, เขาย่อมปราโมทย์บันเทิงใจโสมนัสเพราะข้อนั้นป็นเหตุ ฉันใด, (นี้อีกอย่างหนึ่ง) , มาณพ ! เปรียบเหมือนชายอีกผู้หนึ่ง ติดเรือนจำ ครั้นเวลาอื่นเขาหลุดจากเรือนจำโดยสะดวก ไม่มีภัย ไม่เสียทรัพย์; เขาต้องนึกถึงกาลเก่า อย่างนี้ว่า “เมื่อก่อน เราติดเรือนจำ บัดนี้ เราหลุดมาได้โดยสะดวก ไม่มีภัย ไม่เสียทรัพย์ ” ดังนี้, เขาย่อมปราโมทย์บันเทิงใจโสมนัสเพราะข้อนั้นป็นเหตุ ฉันใด, (นี้อีกอย่างหนึ่ง) , มาณพ ! เปรียบเหมือนชายอีกผู้หนึ่ง เป็นทาสเขา พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น เที่ยวตามอำเภอใจไม่ได้, ครั้นถึงสมัยอื่น เขาพ้นจากการเป็นทาส พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เที่ยวตามอำเภอใจได้; เขาต้องนึกถึงกาลเก่า อย่างนี้ว่า “เมื่อก่อนเราเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น เที่ยวตามอำเภอใจไม่ได้ ครั้นถึงสมัยอื่น เขาพ้นจากการเป็นทาส พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เที่ยวตามอำเภอใจได้” ดังนี้, เขาย่อมปราโมทย์บันเทิงใจโสมนัส เพราะข้อนั้นป็นเหตุ ฉันใด, (นี้อีกอย่างหนึ่ง) , มาณพ ! เปรียบเหมือนชายอีกผู้หนึ่ง นำทรัพย์เดินทางไกล อันกันดาร ภิกษาหายาก ประกอบด้วยภัย ครั้นสมัยอื่น พ้นทางกันดารได้โดยสะดวก ลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ไม่มีภัย (ไม่ต้องสียโภคทรัพย์). เขาต้องนึกถึงกาลเก่า อย่างนี้ว่า “เมื่อก่อนเรานำทรัพย์เดินทางไกล อันกันดาร ภิกษาหายาก ประกอบด้วยภัย ครั้นบัดนี้ เราพ้นทางกันดารได้โดยสะดวก ลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ไม่มีภัย” ดังนี้, เขาย่อมปราโมทย์บันเทิงใจโสมนัสเพราะ ข้อนั้นป็นเหตุ ฉันใด, (นี้อีกอย่างหนึ่ง) , มาณพ ! ภิกษุ พิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการ ที่ตนยังละไม่ได้ว่าเป็นเช่นกับการกู้หนี้ เช่นกับการเป็นโรค เช่นกับการติดเรือนจำ เช่นกับการเป็นทาส และการนำทรัพย์ข
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ด่วน! กองทัพประกาศใช้กฎอัยการศึก "จันทบุรี-ตราด" เพิ่มเติม หลังกัมพูชารุกรานชายแดน
    https://www.thai-tai.tv/news/20546/
    .
    #กฎอัยการศึก #จันทบุรี #ตราด #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #อธิปไตย #ป้องกันประเทศ #พลเรือโทอภิชาติทรัพย์ประเสริฐ #ความมั่นคง
    ด่วน! กองทัพประกาศใช้กฎอัยการศึก "จันทบุรี-ตราด" เพิ่มเติม หลังกัมพูชารุกรานชายแดน https://www.thai-tai.tv/news/20546/ . #กฎอัยการศึก #จันทบุรี #ตราด #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #อธิปไตย #ป้องกันประเทศ #พลเรือโทอภิชาติทรัพย์ประเสริฐ #ความมั่นคง
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2568 แรม 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันพระ หรือ วันธรรมสวนะ

    อย่ามุ่งหมายความสุขอะไรมากไปกว่า"ความปกติของจิต" ที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่กระทบ เพราะไม่มีสุขอะไร.. ประเสริฐยิ่งไปกว่า..ความปกติของจิตนั้น
    --พุทธทาสภิกขุ--
    วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2568 แรม 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันพระ หรือ วันธรรมสวนะ อย่ามุ่งหมายความสุขอะไรมากไปกว่า"ความปกติของจิต" ที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่กระทบ เพราะไม่มีสุขอะไร.. ประเสริฐยิ่งไปกว่า..ความปกติของจิตนั้น --พุทธทาสภิกขุ--
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​มัชฌิมาปฏิปทา(ในความหมายชั้นลึก)
    สัทธรรมลำดับที่ : 692
    ชื่อบทธรรม :- มัชฌิมาปฏิปทา(ในความหมายชั้นลึก)ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=692
    เนื้อความทั้งหมด :-

    ค. มัชฌิมาปฏิปทา (ในความหมายชั้นลึก)
    (หลักเกณฑ์นี้ อาศัยพระบาลีที่ตรัสโต้ตอบแก่บุคคลผู้มาทูลถาม ซึ่งส่วนมากเป็นพรหมณ์
    ได้ถามเรื่องสิ่งตรงข้ามที่แยกกันเป็นคู่ๆ ;
    เช่นว่า สิ่งทั้งปวงมี หรือไม่มี; สิ่งทั้งปวงเหมือนกัน หรือต่างกัน ;
    ตนเองหรือผู้อื่นเป็นผู้กระทำหรือเสวยผล ;
    การกล่าวลงไปว่า สิ่งนั้นๆเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว
    หรือว่าเป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว ;
    ดังนี้เป็นต้น.
    พระองค์ ตรัสตอบโดยสายกลาง (มชฺเฌน) ไม่ยอมรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง,
    โดยพระบาลีว่า
    “เอเต เต พฺราหฺมณ อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺเฌน ตถาคโต ธมฺมํ เทเสติ ฯลฯ” :-
    )​
    --พราหมณ์ ! ตถาคต ย่อม แสดงธรรมโดยสายกลาง (มชฺเฌน)
    http://etipitaka.com/read/pali/16/92/?keywords=มชฺเฌน
    ไม่เข้า ไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า :-
    (การเกิด)​
    ๑-“เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ;
    ๒-เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ;
    ๓-เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ;
    ๔-เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ;
    ๕-เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ;
    ๖-เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ;
    ๗-เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;
    ๘-เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
    ๙-เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
    ๑๐-เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
    ๑๑-เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
    (การดับ)
    ๑-เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ;
    ๒-เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ;
    ๓-เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป ;
    ๔-เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ ;
    ๕-เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ;
    ๖-เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา ;
    ๗-เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา ;
    ๘-เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ;
    ๙-เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ;
    ๑๐-เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ;
    ๑๑-เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นเอง, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”
    ดังนี้.-

    (คำว่า มชฺเฌน โดยพระบาลีข้างบนนี้ ก็คือคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง,
    มัชฌิมาปฏิปทาจึงได้แก่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ดังที่กล่าวแล้วในสูตรนี้
    ซึ่งทำให้ไม่อาจกล่าวสิ่งใดๆโดยความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว
    ที่เรียกว่าส่วนสุดข้างหนึ่ง ๆ.
    ความเห็นท่านผู้เรียบเรียงท่านพุทธทาส-อยากจะแนะว่า
    ในการศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทานั้น
    ควรจะศึกษามัชฌิมาปฏิปทาชั้นพื้นฐานทั่วไปคืออัฏฐังคิกมรรค เป็นลำดับแรก,
    แล้วศึกษามัชฌิมาปฏิปทาในความหมายชั้นกว้างคือโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด เป็นลำดับที่สอง,
    แล้วจึงศึกษามัชฺมาปฏิปทาในความหมายชั้นลึกคือปฏิจจสมุปบาท เป็นลำดับสุดท้าย ;
    มิฉะนั้นจะลำบาก).
    -- นิทาน. สํ. ๑๖/๙๑,๙๒,๙๐,๒๗,๒๔,๗๒-๗๔/๑๗๓,๑๗๖,๑๗๐,๕๕,๕๐,๑๒๙-๑๓๒.
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - 16/91/173.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/74/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ๑๖/๙๑/๑๗๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/91/?keywords=๑๗๓

    --ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด
    ทางมีองค์แปด เป็นทางอันประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย.
    บทแห่งอริยสัจสี่ ประเสริฐกว่าบททั้งหลาย.
    วิราคธรรม ประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย.
    ผู้มีพุทธจักษุ ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย.
    นี่แหละทางเพื่อความหมดจด แห่งทัสสนะ ทางอื่นมิได้มี.
    --เธอทั้งหลาย จงเดินตามทางนั้น อันเป็นที่หลงแห่งมาร ;
    เธอทั้งหลาย เดินตามทางนั้นแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
    --ทางเราบอกแล้วแก่เธอทั้งหลาย
    เพื่อการรู้จักการถอนซึ่งลูกศร ; ความเพียรเป็นกิจอันเธอทั้งหลายพึงกระทำ
    ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้บอก (วิธีแห่งการกระทำ).
    ผู้มุ่งปฏิบัติแล้ว ย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร.
    --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง” ;
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์
    : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.
    --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์” ;
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์
    : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.
    --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา” ;
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์
    : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ธ. ขุ. 25/35/30.
    http://etipitaka.com/read/thai/25/35/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ธ. ขุ. ๒๕/๕๑/๓๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/25/51/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม....
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=692
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=692
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50
    ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​มัชฌิมาปฏิปทา(ในความหมายชั้นลึก) สัทธรรมลำดับที่ : 692 ชื่อบทธรรม :- มัชฌิมาปฏิปทา(ในความหมายชั้นลึก)ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=692 เนื้อความทั้งหมด :- ค. มัชฌิมาปฏิปทา (ในความหมายชั้นลึก) (หลักเกณฑ์นี้ อาศัยพระบาลีที่ตรัสโต้ตอบแก่บุคคลผู้มาทูลถาม ซึ่งส่วนมากเป็นพรหมณ์ ได้ถามเรื่องสิ่งตรงข้ามที่แยกกันเป็นคู่ๆ ; เช่นว่า สิ่งทั้งปวงมี หรือไม่มี; สิ่งทั้งปวงเหมือนกัน หรือต่างกัน ; ตนเองหรือผู้อื่นเป็นผู้กระทำหรือเสวยผล ; การกล่าวลงไปว่า สิ่งนั้นๆเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว หรือว่าเป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว ; ดังนี้เป็นต้น. พระองค์ ตรัสตอบโดยสายกลาง (มชฺเฌน) ไม่ยอมรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, โดยพระบาลีว่า “เอเต เต พฺราหฺมณ อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺเฌน ตถาคโต ธมฺมํ เทเสติ ฯลฯ” :- )​ --พราหมณ์ ! ตถาคต ย่อม แสดงธรรมโดยสายกลาง (มชฺเฌน) http://etipitaka.com/read/pali/16/92/?keywords=มชฺเฌน ไม่เข้า ไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า :- (การเกิด)​ ๑-“เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ; ๒-เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; ๓-เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ; ๔-เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ; ๕-เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ; ๖-เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; ๗-เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; ๘-เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; ๙-เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; ๑๐-เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; ๑๑-เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. (การดับ) ๑-เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ; ๒-เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; ๓-เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป ; ๔-เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ ; ๕-เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ; ๖-เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา ; ๗-เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา ; ๘-เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; ๙-เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; ๑๐-เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; ๑๑-เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นเอง, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้.- (คำว่า มชฺเฌน โดยพระบาลีข้างบนนี้ ก็คือคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง, มัชฌิมาปฏิปทาจึงได้แก่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ดังที่กล่าวแล้วในสูตรนี้ ซึ่งทำให้ไม่อาจกล่าวสิ่งใดๆโดยความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว ที่เรียกว่าส่วนสุดข้างหนึ่ง ๆ. ความเห็นท่านผู้เรียบเรียงท่านพุทธทาส-อยากจะแนะว่า ในการศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทานั้น ควรจะศึกษามัชฌิมาปฏิปทาชั้นพื้นฐานทั่วไปคืออัฏฐังคิกมรรค เป็นลำดับแรก, แล้วศึกษามัชฌิมาปฏิปทาในความหมายชั้นกว้างคือโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด เป็นลำดับที่สอง, แล้วจึงศึกษามัชฺมาปฏิปทาในความหมายชั้นลึกคือปฏิจจสมุปบาท เป็นลำดับสุดท้าย ; มิฉะนั้นจะลำบาก). -- นิทาน. สํ. ๑๖/๙๑,๙๒,๙๐,๒๗,๒๔,๗๒-๗๔/๑๗๓,๑๗๖,๑๗๐,๕๕,๕๐,๑๒๙-๑๓๒. อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - 16/91/173. http://etipitaka.com/read/thai/16/74/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ๑๖/๙๑/๑๗๓. http://etipitaka.com/read/pali/16/91/?keywords=๑๗๓ --ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด ทางมีองค์แปด เป็นทางอันประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย. บทแห่งอริยสัจสี่ ประเสริฐกว่าบททั้งหลาย. วิราคธรรม ประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย. ผู้มีพุทธจักษุ ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย. นี่แหละทางเพื่อความหมดจด แห่งทัสสนะ ทางอื่นมิได้มี. --เธอทั้งหลาย จงเดินตามทางนั้น อันเป็นที่หลงแห่งมาร ; เธอทั้งหลาย เดินตามทางนั้นแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. --ทางเราบอกแล้วแก่เธอทั้งหลาย เพื่อการรู้จักการถอนซึ่งลูกศร ; ความเพียรเป็นกิจอันเธอทั้งหลายพึงกระทำ ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้บอก (วิธีแห่งการกระทำ). ผู้มุ่งปฏิบัติแล้ว ย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร. --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด. --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด. --เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ธ. ขุ. 25/35/30. http://etipitaka.com/read/thai/25/35/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ธ. ขุ. ๒๕/๕๑/๓๐. http://etipitaka.com/read/pali/25/51/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม.... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=692 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=692 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50 ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด
    -(มัชฌิมาปฏิปทาตามที่ทรงแสดงไว้ในสูตรนี้ เห็นได้ว่า ทรงแสดงส่วนสุดสองข้างไว้ด้วยอาฬ๎หปฏิปทา คือความตกไปในกาม และนิชฌามปฏิปทา คือ วัตรปฏิบัติของ อเจลกะซึ่งเรียกกันโดยทั่วๆ ไปว่า อัตตกิลมถานุโยค หรือตปัสสีวัตร ซึ่งมีรายละเอียดหาดูได้ในหนังสือ พุ. โอ. ที่หน้า ๕๖-๕๗. ในที่นี้จะเห็นได้ว่า โพธิปักขิยธรรมทั้งสามสิบเจ็ดข้อ นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา ; หรือถึงกับจะกล่าวได้ว่า ข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ซึ่งรวมกันแล้วเรียกได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือพรหมจรรย์ทั้งสิ้น, นั่นแหละคือ มัชฌิมาปฏิปทา). ค. มัชฌิมาปฏิปทา (ในความหมายชั้นลึก) (หลักเกณฑ์นี้ อาศัยพระบาลีที่ตรัสโต้ตอบแก่บุคคลผู้มาทูลถาม ซึ่งส่วนมากเป็นพรหมณ์ ได้ถามเรื่องสิ่งตรงข้ามที่แยกกันเป็นคู่ๆ ; เช่นว่า สิ่งทั้งปวงมี หรือไม่มี; สิ่งทั้งปวงเหมือนกัน หรือต่างกัน ; ตนเองหรือผู้อื่นเป็นผู้กระทำหรือเสวยผล ; การกล่าวลงไปว่า สิ่งนั้นๆเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว หรือว่าเป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว ; ดังนี้เป็นต้น. พระองค์ ตรัสตอบโดยสายกลาง (มชฺเฌน) ไม่ยอมรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, โดยพระบาลีว่า “เอเต เต พฺราหฺมณ อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺเฌน ตถาคโต ธมฺมํ เทเสติ ฯลฯ” :-) พราหมณ์ ! ตถาคต ย่อม แสดงธรรมโดยสายกลาง (มชฺเฌน) ไม่เข้า ไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า : “เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ; เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป ; เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ ; เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ; เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา ; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา ; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นเอง, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้. นิทาน. สํ. ๑๖/๙๑,๙๒,๙๐,๒๗,๒๔,๗๒-๗๔/๑๗๓,๑๗๖,๑๗๐,๕๕,๕๐,๑๒๙-๑๓๒. (คำว่า มชฺเฌน โดยพระบาลีข้างบนนี้ ก็คือคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง, มัชฌิมาปฏิปทาจึงได้แก่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ดังที่กล่าวแล้วในสูตรนี้ ซึ่งทำให้ไม่อาจกล่าวสิ่งใดๆโดยความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว ที่เรียกว่าส่วนสุดข้างหนึ่ง ๆ. รายละเอียดเกี่ยวกับสุดโต่งเป็นคู่ๆนี้ หาดูได้จากหนังสือ พุ. โอ. ตั้งแต่หน้า ๒๔๗ ถึงหน้า ๒๕๒. อยากจะแนะว่า ในการศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทานั้น ควรจะศึกษามัชฌิมาปฏิปทาชั้นพื้นฐานทั่วไปคืออัฏฐังคิกมรรค เป็นลำดับแรก, แล้วศึกษามัชฌิมาปฏิปทาในความหมายชั้นกว้างคือโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด เป็นลำดับที่สอง, แล้วจึงศึกษามัชฺมาปฏิปทาในความหมายชั้นลึกคือปฏิจจสมุปบาท เป็นลำดับสุดท้าย ; มิฉะนั้นจะลำบาก). ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด ทางมีองค์แปด เป็นทางอันประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย. บทแห่งอริยสัจสี่ ประเสริฐกว่าบททั้งหลาย. วิราคธรรม ประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย. ผู้มีพุทธจักษุ ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย. นี่แหละทางเพื่อความหมดจด แห่งทัสสนะ ทางอื่นมิได้มี. เธอทั้งหลาย จงเดินตามทางนั้น อันเป็นที่หลงแห่งมาร ; เธอทั้งหลาย เดินตามทางนั้นแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. ทางเราบอกแล้วแก่เธอทั้งหลาย เพื่อการรู้จักการถอนซึ่งลูกศร ; ความเพียรเป็นกิจอันเธอทั้งหลายพึงกระทำ ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้บอก (วิธีแห่งการกระทำ). ผู้มุ่งปฏิบัติแล้ว ย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร. เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด. เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด. เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา” ; เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​มัชฌิมาปฏิปทาลำดับพื้นฐานเป็นการเริ่มต้นสำคัญ
    สัทธรรมลำดับที่ : 690
    ชื่อบทธรรม : -มัชฌิมาปฏิปทาลำดับพื้นฐาน
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=690
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --มัชฌิมาปฏิปทา ๓ ลำดับ

    ก. มัชฌิมาปฏิปทา (พื้นฐานทั่วไป)
    --ภิกษุ ท. ! มีสิ่งที่แล่นดิ่งสุดโต่งอยู่สองอย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะด้วย
    สิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่งนั้น คืออะไร ?
    คือ การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค)
    อันเป็นการกระทำที่ยังต่ำ เป็นของชาวบ้าน เป็นของคนชั้นบุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ;
    และ การประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค)
    อันนำมาซึ่งความทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์.
    --ภิกษุ ท. ! #มัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง)
    ที่ไม่ดิ่งไปหาสุดโต่งสองอย่างนั้น เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
    เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ
    เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=นิพฺพานาย

    --ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการ นี้แล ; กล่าวคือ
    ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริถูกต้อง (สัมมาสังกัปโป),
    การพูดจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) การทำงานที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันโต)
    การอาชีพที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีโว),
    ความพากเพียรที่ถูกต้อง (สัมมาวายาโม) ความรำลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ)
    ความตั้งจิตมั่นคงที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ).
    --ภิกษุ ท. ! นี้แล มัชฌิมาปฏิปทานั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/419/1664.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/419/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=690
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=690
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49
    ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​มัชฌิมาปฏิปทาลำดับพื้นฐานเป็นการเริ่มต้นสำคัญ สัทธรรมลำดับที่ : 690 ชื่อบทธรรม : -มัชฌิมาปฏิปทาลำดับพื้นฐาน https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=690 เนื้อความทั้งหมด :- --มัชฌิมาปฏิปทา ๓ ลำดับ ก. มัชฌิมาปฏิปทา (พื้นฐานทั่วไป) --ภิกษุ ท. ! มีสิ่งที่แล่นดิ่งสุดโต่งอยู่สองอย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะด้วย สิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่งนั้น คืออะไร ? คือ การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค) อันเป็นการกระทำที่ยังต่ำ เป็นของชาวบ้าน เป็นของคนชั้นบุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ; และ การประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) อันนำมาซึ่งความทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์. --ภิกษุ ท. ! #มัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง) ที่ไม่ดิ่งไปหาสุดโต่งสองอย่างนั้น เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน. http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=นิพฺพานาย --ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการ นี้แล ; กล่าวคือ ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริถูกต้อง (สัมมาสังกัปโป), การพูดจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) การทำงานที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันโต) การอาชีพที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีโว), ความพากเพียรที่ถูกต้อง (สัมมาวายาโม) ความรำลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ) ความตั้งจิตมั่นคงที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ). --ภิกษุ ท. ! นี้แล มัชฌิมาปฏิปทานั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/419/1664. http://etipitaka.com/read/thai/19/419/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔. http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=690 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=690 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49 ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - มัชฌิมาปฏิปทา ๓ ลำดับ
    -มัชฌิมาปฏิปทา ๓ ลำดับ ก. มัชฌิมาปฏิปทา (พื้นฐานทั่วไป) ภิกษุ ท. ! มีสิ่งที่แล่นดิ่งสุดโต่งอยู่สองอย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะด้วย สิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่งนั้น คืออะไร ? คือ การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค) อันเป็นการกระทำที่ยังต่ำ เป็นของชาวบ้าน เป็นของคนชั้นบุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ; และ การประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) อันนำมาซึ่งความทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์. ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง) ที่ไม่ดิ่งไปหาสุดโต่งสองอย่างนั้น เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! มัชฌิมาปฏิปทานั้น คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการ นี้แล ; กล่าวคือ ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริถูกต้อง (สัมมาสังกัปโป) การพูดจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) การทำงาน ที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันโต) การอาชีพที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีโว) ความพากเพียรที่ถูกต้อง (สัมมาวายาโม) ความรำลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ). ภิกษุ ท. ! นี้แล มัชฌิมาปฏิปทานั้น.
    0 Comments 0 Shares 346 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​มัชฌิมาปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 689
    ชื่อบทธรรม :- มัชฌิมาปฏิปทา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=689
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --มัชฌิมาปฏิปทา(ธัมมจักกัปปว้ตตนสูตร)​ในฐานะเหตุให้เกิดจักษุและญาณเพื่อนิพพาน
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตน
    --ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง (#มัชฌิมาปฏิปทา)
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=มชฺฌิมา+ปฏิปทา
    อันเป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
    เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ
    เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อมเพื่อนิพพาน
    นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น คือ
    ข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการนี่เอง;
    ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ,
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ,
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ :
    +--ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง
    ที่ตถาคตได้ทรงตรัสรู้เฉพาะแล้ว
    เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ ทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ
    เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม #เพื่อนิพพาน.-
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=นิพฺพาน

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ 19/419/1664.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/419/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=689
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49
    ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​มัชฌิมาปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 689 ชื่อบทธรรม :- มัชฌิมาปฏิปทา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=689 เนื้อความทั้งหมด :- --มัชฌิมาปฏิปทา(ธัมมจักกัปปว้ตตนสูตร)​ในฐานะเหตุให้เกิดจักษุและญาณเพื่อนิพพาน http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตน --ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง (#มัชฌิมาปฏิปทา) http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=มชฺฌิมา+ปฏิปทา อันเป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อมเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น คือ ข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการนี่เอง; ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ : +--ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่ตถาคตได้ทรงตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ ทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม #เพื่อนิพพาน.- http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=นิพฺพาน #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ 19/419/1664. http://etipitaka.com/read/thai/19/419/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร.สํ ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔. http://etipitaka.com/read/pali/19/528/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%96%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=689 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49 ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - มัชฌิมาปฏิปทา
    -มัชฌิมาปฏิปทา ในฐานะเหตุให้เกิดจักษุและญาณเพื่อนิพพาน ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) อันเป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อมเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น คือ ข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการนี่เอง; ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่ตถาคต ได้ทรงตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ ทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 688
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=688
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมรรค-ในฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! ถ้าปริพพาชกเดียรถีย์อื่นถามเธออย่างนี้ ว่า
    “มรรคมีไหม ปฎิปทามีไหม เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์ ?” ;
    เมื่อถูกถามอย่างนี้ พวกเธอพึงตอบแก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น ว่า
    มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์นั้น.
    --ภิกษุ ท. ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร เพื่อกำหนดรู้ ซึ่งทุกข์นั้น ?
    มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐนี้, กล่าวคือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ,
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ,
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มีอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้แลมรรค นี้แล #ปฏิปทาเพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์นั้น.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อเธอถูกถามอย่างนั้นแล้ว
    พึงพยากรณ์แก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น อย่างนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/6-7/27-28.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/6/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๘-๙/๒๗-๒๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/8/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=688
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=688
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49
    ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 688 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=688 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมรรค-ในฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์ --ภิกษุ ท. ! ถ้าปริพพาชกเดียรถีย์อื่นถามเธออย่างนี้ ว่า “มรรคมีไหม ปฎิปทามีไหม เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์ ?” ; เมื่อถูกถามอย่างนี้ พวกเธอพึงตอบแก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น ว่า มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์นั้น. --ภิกษุ ท. ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร เพื่อกำหนดรู้ ซึ่งทุกข์นั้น ? มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐนี้, กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มีอยู่. +--ภิกษุ ท. ! นี้แลมรรค นี้แล #ปฏิปทาเพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์นั้น. --ภิกษุ ท. ! เมื่อเธอถูกถามอย่างนั้นแล้ว พึงพยากรณ์แก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น อย่างนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/6-7/27-28. http://etipitaka.com/read/thai/19/6/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๘-๙/๒๗-๒๘. http://etipitaka.com/read/pali/19/8/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=688 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49&id=688 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=49 ลำดับสาธยายธรรม : 49 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_49.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมรรค
    -อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะเป็นหนทางแห่งการกำหนดรู้ทุกข์ ภิกษุ ท. ! ถ้าปริพพาชกเดียรถีย์อื่นถามเธออย่างนี้ ว่า “มรรคมีไหม ปฎิปทามีไหม เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์ ?” ; เมื่อถูกถามอย่างนี้ พวกเธอพึงตอบแก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น ว่า มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกำหนดรู้ซึ่งทุกข์นั้น. ภิกษุ ท. ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร เพื่อกำหนดรู้ ซึ่งทุกข์นั้น ? มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐนี้, กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มีอยู่. ภิกษุ ท. ! นี้แลมรรค นี้แลปฏิปทา เพื่อกำหนดรู้ ซึ่งทุกข์นั้น. ภิกษุ ท. ! เมื่อเธอถูกถามอย่างนั้นแล้ว พึงพยากรณ์แก่ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น อย่างนี้.
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
More Results