• อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0

    DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต

    จุดเด่นของ BTF 3.0
    ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W
    ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    ความเข้ากันได้
    รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์
    ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้
    ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    🔌อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0 DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต ✅ จุดเด่นของ BTF 3.0 ➡️ ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W ➡️ ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ ✅ ความเข้ากันได้ ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์ ➡️ ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้ ⛔ ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค

    บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง

    แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า

    สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่

    แนวคิด “You’re the driver”
    เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม

    วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ
    PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่

    ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ
    อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด

    การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม
    อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ

    https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    🚗 Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่ ✅ แนวคิด “You’re the driver” ➡️ เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม ✅ วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ ➡️ PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่ ‼️ ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ ⛔ อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด ‼️ การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม ⛔ อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    NEWSLETTER.POSTHOG.COM
    Collaboration sucks
    If you want to go fast, go alone; if you want to go far, go alone too. (mostly)
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • “Browsers สามารถทำงานช่วยคุณได้ โดยเรียกมันว่า - Agentic AI”

    ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ที่เราใช้ทุกวัน ไม่ได้เป็นแค่หน้าต่างเปิดเว็บอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนเราได้จริง ๆ นี่คือแนวคิดของ Agentic AI Browsers ที่กำลังถูกพัฒนาให้สามารถทำงานหลายขั้นตอนโดยอัตโนมัติ เช่น การค้นหาเที่ยวบินที่ดีที่สุดแล้วจองให้เสร็จ หรือแม้แต่การจัดการตารางนัดหมายร้านอาหารโดยไม่ต้องคลิกหลายครั้งเหมือนเดิม เบราว์เซอร์เหล่านี้ยังสามารถสรุปข้อมูลจากหลายแท็บพร้อมกัน และโต้ตอบกับหน้าเว็บโดยตรง ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนจาก “ค้นหา-เลือก-ทำ” ไปสู่ “สั่งครั้งเดียวแล้วเสร็จ”

    เบื้องหลังคือการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ที่ไม่เพียงตอบคำถาม แต่ยังสามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง จุดเด่นคือความสามารถในการแยกแยะบริบท เช่น งานกับเรื่องส่วนตัว เพื่อให้คำตอบเหมาะสมยิ่งขึ้น และยังรวมฟังก์ชันพื้นฐานของ AI เช่น การสร้างภาพหรือโค้ดไว้ในตัวเบราว์เซอร์โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เช่น การโจมตีแบบ “Prompt Injection” ที่ทำให้เบราว์เซอร์ตีความข้อมูลผิดเป็นคำสั่ง หรือการที่เบราว์เซอร์บางตัวอย่าง Comet ถูกพบว่าสามารถเข้าเว็บฟิชชิ่งและขอข้อมูลธนาคารจากผู้ใช้โดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลหรือบัญชีธนาคาร ต้องอาศัยความไว้วางใจสูงมาก และยังเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรม AI ต้องพิสูจน์ต่อไป

    Agentic AI Browsers คือเบราว์เซอร์ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    สามารถค้นหาและจองเที่ยวบิน ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้งโดยอัตโนมัติ
    รวมฟังก์ชัน AI เช่น สร้างภาพหรือโค้ดในตัวเบราว์เซอร์

    ใช้โมเดลภาษาใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini, Claude
    สามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง

    มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    อาจถูกโจมตีด้วย Prompt Injection
    เบราว์เซอร์บางตัวถูกพบว่ายอมรับข้อมูลจากเว็บฟิชชิ่ง

    ต้องใช้ความไว้วางใจสูงในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    อีเมล บัญชีธนาคาร และคลาวด์อาจถูกเปิดเผย

    https://www.slashgear.com/2014938/browsers-can-now-do-tasks-for-you-what-agentic-ai-means/
    🖥️ “Browsers สามารถทำงานช่วยคุณได้ โดยเรียกมันว่า - Agentic AI” ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ที่เราใช้ทุกวัน ไม่ได้เป็นแค่หน้าต่างเปิดเว็บอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนเราได้จริง ๆ นี่คือแนวคิดของ Agentic AI Browsers ที่กำลังถูกพัฒนาให้สามารถทำงานหลายขั้นตอนโดยอัตโนมัติ เช่น การค้นหาเที่ยวบินที่ดีที่สุดแล้วจองให้เสร็จ หรือแม้แต่การจัดการตารางนัดหมายร้านอาหารโดยไม่ต้องคลิกหลายครั้งเหมือนเดิม เบราว์เซอร์เหล่านี้ยังสามารถสรุปข้อมูลจากหลายแท็บพร้อมกัน และโต้ตอบกับหน้าเว็บโดยตรง ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนจาก “ค้นหา-เลือก-ทำ” ไปสู่ “สั่งครั้งเดียวแล้วเสร็จ” เบื้องหลังคือการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ที่ไม่เพียงตอบคำถาม แต่ยังสามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง จุดเด่นคือความสามารถในการแยกแยะบริบท เช่น งานกับเรื่องส่วนตัว เพื่อให้คำตอบเหมาะสมยิ่งขึ้น และยังรวมฟังก์ชันพื้นฐานของ AI เช่น การสร้างภาพหรือโค้ดไว้ในตัวเบราว์เซอร์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เช่น การโจมตีแบบ “Prompt Injection” ที่ทำให้เบราว์เซอร์ตีความข้อมูลผิดเป็นคำสั่ง หรือการที่เบราว์เซอร์บางตัวอย่าง Comet ถูกพบว่าสามารถเข้าเว็บฟิชชิ่งและขอข้อมูลธนาคารจากผู้ใช้โดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลหรือบัญชีธนาคาร ต้องอาศัยความไว้วางใจสูงมาก และยังเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรม AI ต้องพิสูจน์ต่อไป ✅ Agentic AI Browsers คือเบราว์เซอร์ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ➡️ สามารถค้นหาและจองเที่ยวบิน ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้งโดยอัตโนมัติ ➡️ รวมฟังก์ชัน AI เช่น สร้างภาพหรือโค้ดในตัวเบราว์เซอร์ ✅ ใช้โมเดลภาษาใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini, Claude ➡️ สามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง ‼️ มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ อาจถูกโจมตีด้วย Prompt Injection ⛔ เบราว์เซอร์บางตัวถูกพบว่ายอมรับข้อมูลจากเว็บฟิชชิ่ง ‼️ ต้องใช้ความไว้วางใจสูงในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ⛔ อีเมล บัญชีธนาคาร และคลาวด์อาจถูกเปิดเผย https://www.slashgear.com/2014938/browsers-can-now-do-tasks-for-you-what-agentic-ai-means/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Browsers Can Now Do Tasks For You - Here's What Agentic AI Means - SlashGear
    Artificial Intelligence in your browser can use the web on your behalf, but privacy concerns and security vulnerabilities make it a risky proposition.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • Valve เปิดตัว Steam Machines, Steam Controller และ Steam Frame VR Headset

    Valve กลับมาสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเกมอีกครั้งด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึงสามชิ้นพร้อมกัน ได้แก่ Steam Machines รุ่นใหม่, Steam Frame VR Headset และ Steam Controller รุ่นล่าสุด โดยทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Steam อย่างสมบูรณ์ และยังคงยึดแนวคิด “open platform” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามใจชอบ

    Steam Machines ใช้พลังจาก AMD Zen 4 และการ์ดจอ RDNA3 พร้อม RAM DDR5 และ SSD NVMe ความเร็วสูง รองรับการเชื่อมต่อที่ครบครันตั้งแต่ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 ไปจนถึง HDMI และ DisplayPort รุ่นใหม่ ส่วน Steam Frame VR Headset เน้นการสตรีมเกมจากคลัง Steam โดยใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และหน้าจอความละเอียดสูง 2160×2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz พร้อมเลนส์ pancake ที่ช่วยให้ภาพคมชัดและมุมมองกว้างถึง 110 องศา

    ที่น่าสนใจคือ Valve ยังเปิดตัว Steam Controller รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมระบบ haptic motors และ thumbsticks แบบแม่เหล็กที่ตอบสนองแม่นยำยิ่งขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานถึง 35 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งหมดนี้จะเริ่มวางจำหน่ายต้นปี 2026 ในหลายภูมิภาค รวมถึงสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

    Steam Machines รุ่นใหม่
    ใช้ AMD Zen 4, RDNA3 GPU, RAM DDR5, SSD NVMe
    รองรับ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, HDMI 2.0, DisplayPort 1.4

    Steam Frame VR Headset
    ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, หน้าจอ 2160×2160 ต่อข้าง
    รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz, มุมมองกว้าง 110°

    Steam Controller รุ่นใหม่
    มี haptic motors, thumbsticks แม่เหล็ก, แบตเตอรี่ 35 ชั่วโมง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    อุปกรณ์ใหม่อาจมีราคาสูงและต้องการสเปกเครือข่ายที่ทันสมัยเพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
    VR Headset อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตาหรือเวียนหัวง่าย

    P/S: ลุงอยากได้ !!!!!!

    https://9to5linux.com/valve-announces-steam-machines-steam-controller-and-steam-frame-vr-headset
    🕹️ Valve เปิดตัว Steam Machines, Steam Controller และ Steam Frame VR Headset Valve กลับมาสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเกมอีกครั้งด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึงสามชิ้นพร้อมกัน ได้แก่ Steam Machines รุ่นใหม่, Steam Frame VR Headset และ Steam Controller รุ่นล่าสุด โดยทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Steam อย่างสมบูรณ์ และยังคงยึดแนวคิด “open platform” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามใจชอบ Steam Machines ใช้พลังจาก AMD Zen 4 และการ์ดจอ RDNA3 พร้อม RAM DDR5 และ SSD NVMe ความเร็วสูง รองรับการเชื่อมต่อที่ครบครันตั้งแต่ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 ไปจนถึง HDMI และ DisplayPort รุ่นใหม่ ส่วน Steam Frame VR Headset เน้นการสตรีมเกมจากคลัง Steam โดยใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และหน้าจอความละเอียดสูง 2160×2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz พร้อมเลนส์ pancake ที่ช่วยให้ภาพคมชัดและมุมมองกว้างถึง 110 องศา ที่น่าสนใจคือ Valve ยังเปิดตัว Steam Controller รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมระบบ haptic motors และ thumbsticks แบบแม่เหล็กที่ตอบสนองแม่นยำยิ่งขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานถึง 35 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งหมดนี้จะเริ่มวางจำหน่ายต้นปี 2026 ในหลายภูมิภาค รวมถึงสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ✅ Steam Machines รุ่นใหม่ ➡️ ใช้ AMD Zen 4, RDNA3 GPU, RAM DDR5, SSD NVMe ➡️ รองรับ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, HDMI 2.0, DisplayPort 1.4 ✅ Steam Frame VR Headset ➡️ ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, หน้าจอ 2160×2160 ต่อข้าง ➡️ รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz, มุมมองกว้าง 110° ✅ Steam Controller รุ่นใหม่ ➡️ มี haptic motors, thumbsticks แม่เหล็ก, แบตเตอรี่ 35 ชั่วโมง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ อุปกรณ์ใหม่อาจมีราคาสูงและต้องการสเปกเครือข่ายที่ทันสมัยเพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ⛔ VR Headset อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตาหรือเวียนหัวง่าย P/S: ลุงอยากได้ !!!!!! https://9to5linux.com/valve-announces-steam-machines-steam-controller-and-steam-frame-vr-headset
    9TO5LINUX.COM
    Valve Announces Steam Machines, Steam Controller, and Steam Frame VR Headset - 9to5Linux
    Valve announces Steam Machines, Steam Controller, and Steam Frame VR headset products, scheduled for 2026.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • กลยุทธ์ CISO – หยุดเหตุการณ์ก่อนลุกลาม

    บทความนี้เสนอแผนการสำหรับ CISO เพื่อหยุดเหตุการณ์ความปลอดภัยตั้งแต่ต้น โดยเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเพิ่ม visibility, การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และการใช้ automation อย่างชาญฉลาด แนวคิดคือการเปลี่ยน SOC จากการทำงานเชิงรับเป็นเชิงรุก โดยใช้ sandbox แบบ interactive เช่น ANY.RUN ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมมัลแวร์ได้ในไม่กี่วินาที

    การตอบสนองเร็วเป็นหัวใจสำคัญ เพราะแม้จะตรวจพบภัยคุกคามแล้ว หากการ triage และการตัดสินใจล่าช้า ความเสียหายก็ยังเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น RedLine Stealer ถูกตรวจจับได้ภายใน 18 วินาที ทำให้ทีมสามารถหยุดการแพร่กระจายทันที Automation ก็ช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ เช่นการคลิก CAPTCHA หรือการเปิดไฟล์ ทำให้ทีมมีเวลาไปโฟกัสกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้น

    ผลลัพธ์ที่องค์กรได้รับคือ MTTR เร็วขึ้น, SOC มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และลด false positives การผสมผสานระหว่าง visibility, speed และ automation จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ CISO สามารถหยุดเหตุการณ์ก่อนที่จะกลายเป็นวิกฤติ

    สรุปประเด็น

    Visibility
    ใช้ sandbox interactive ตรวจจับพฤติกรรมมัลแวร์แบบ real-time

    Speed
    การตอบสนองเร็วช่วยลด downtime และค่าใช้จ่าย

    Automation
    ลดงานซ้ำ ๆ และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ

    ความเสี่ยง
    หาก detection และ response ช้า เหตุการณ์เล็ก ๆ อาจกลายเป็นวิกฤติใหญ่

    https://securityonline.info/how-to-stop-incidents-early-plan-for-cisos/
    👨‍💼 กลยุทธ์ CISO – หยุดเหตุการณ์ก่อนลุกลาม บทความนี้เสนอแผนการสำหรับ CISO เพื่อหยุดเหตุการณ์ความปลอดภัยตั้งแต่ต้น โดยเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเพิ่ม visibility, การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และการใช้ automation อย่างชาญฉลาด แนวคิดคือการเปลี่ยน SOC จากการทำงานเชิงรับเป็นเชิงรุก โดยใช้ sandbox แบบ interactive เช่น ANY.RUN ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมมัลแวร์ได้ในไม่กี่วินาที การตอบสนองเร็วเป็นหัวใจสำคัญ เพราะแม้จะตรวจพบภัยคุกคามแล้ว หากการ triage และการตัดสินใจล่าช้า ความเสียหายก็ยังเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น RedLine Stealer ถูกตรวจจับได้ภายใน 18 วินาที ทำให้ทีมสามารถหยุดการแพร่กระจายทันที Automation ก็ช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ เช่นการคลิก CAPTCHA หรือการเปิดไฟล์ ทำให้ทีมมีเวลาไปโฟกัสกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้น ผลลัพธ์ที่องค์กรได้รับคือ MTTR เร็วขึ้น, SOC มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และลด false positives การผสมผสานระหว่าง visibility, speed และ automation จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ CISO สามารถหยุดเหตุการณ์ก่อนที่จะกลายเป็นวิกฤติ สรุปประเด็น ✅ Visibility ➡️ ใช้ sandbox interactive ตรวจจับพฤติกรรมมัลแวร์แบบ real-time ✅ Speed ➡️ การตอบสนองเร็วช่วยลด downtime และค่าใช้จ่าย ✅ Automation ➡️ ลดงานซ้ำ ๆ และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ หาก detection และ response ช้า เหตุการณ์เล็ก ๆ อาจกลายเป็นวิกฤติใหญ่ https://securityonline.info/how-to-stop-incidents-early-plan-for-cisos/
    SECURITYONLINE.INFO
    How to Stop Incidents Early: Plan for CISOs
    For every CISO, the goal is simple but increasingly difficult: stop incidents before they disrupt business. Yet, with
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • Google เปิดตัว Private AI Compute บน Pixel 10

    Google ประกาศเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ Private AI Compute ที่ผสมผสานพลังการประมวลผลจากคลาวด์ Gemini เข้ากับความปลอดภัยระดับสูงของการทำงานบนอุปกรณ์เอง จุดเด่นคือการใช้ Titanium Intelligence Enclaves (TIE) ที่ทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกประมวลผลในสภาพแวดล้อมที่ปิดผนึก แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

    Pixel 10 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น Magic Suggest ที่ให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ และระบบบันทึกเสียงที่สามารถถอดความได้หลายภาษา พร้อมสรุปอัตโนมัติ Google ยังเปิดโครงการ Vulnerability Rewards Program (VRP) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกช่วยตรวจสอบความปลอดภัย

    น่าสนใจคือแนวคิดนี้คล้ายกับ Apple Private Cloud Compute ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ ทำให้การแข่งขันด้าน “AI ที่ปลอดภัยและโปร่งใส” ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ยิ่งเข้มข้นขึ้น

    สรุปหัวข้อ:
    เทคโนโลยีใหม่ Private AI Compute
    ใช้ TPU และ TIE เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

    Pixel 10 ได้ฟีเจอร์ Magic Suggest และ Recorder อัจฉริยะ
    รองรับหลายภาษาและสรุปอัตโนมัติ

    https://securityonline.info/google-launches-private-ai-compute-for-pixel-10-blending-cloud-power-with-on-device-privacy/
    🛡️ Google เปิดตัว Private AI Compute บน Pixel 10 Google ประกาศเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ Private AI Compute ที่ผสมผสานพลังการประมวลผลจากคลาวด์ Gemini เข้ากับความปลอดภัยระดับสูงของการทำงานบนอุปกรณ์เอง จุดเด่นคือการใช้ Titanium Intelligence Enclaves (TIE) ที่ทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกประมวลผลในสภาพแวดล้อมที่ปิดผนึก แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ Pixel 10 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น Magic Suggest ที่ให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ และระบบบันทึกเสียงที่สามารถถอดความได้หลายภาษา พร้อมสรุปอัตโนมัติ Google ยังเปิดโครงการ Vulnerability Rewards Program (VRP) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกช่วยตรวจสอบความปลอดภัย น่าสนใจคือแนวคิดนี้คล้ายกับ Apple Private Cloud Compute ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ ทำให้การแข่งขันด้าน “AI ที่ปลอดภัยและโปร่งใส” ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ยิ่งเข้มข้นขึ้น สรุปหัวข้อ: ✅ เทคโนโลยีใหม่ Private AI Compute ➡️ ใช้ TPU และ TIE เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ✅ Pixel 10 ได้ฟีเจอร์ Magic Suggest และ Recorder อัจฉริยะ ➡️ รองรับหลายภาษาและสรุปอัตโนมัติ https://securityonline.info/google-launches-private-ai-compute-for-pixel-10-blending-cloud-power-with-on-device-privacy/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Launches Private AI Compute for Pixel 10, Blending Cloud Power with On-Device Privacy
    Google launched Private AI Compute, a new platform that combines Gemini's cloud power with hardware-protected security (TIE) to offer advanced on-device AI for Pixel 10 while guaranteeing data privacy.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • ประชาชนต้อง "เลิกทน" ไทยก้าวใหม่จี้รัฐบาล ยกเลิกแนวคิด "พื้นที่รับน้ำ" ที่ต้องเสียสละทุกปี ไล่ไทม์ไลน์ใช้งบมากกว่า 1 ล้านล้าน แต่น้ำยังท่วมเหมือนเดิม
    https://www.thai-tai.tv/news/22326/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ไทยไท #น้ำท่วมซ้ำซาก #งบล้านล้าน #พื้นที่รับน้ำ #ปฎิรูประบบน้ำแห่งชาติ #พรรคไทยก้าวใหม่
    ประชาชนต้อง "เลิกทน" ไทยก้าวใหม่จี้รัฐบาล ยกเลิกแนวคิด "พื้นที่รับน้ำ" ที่ต้องเสียสละทุกปี ไล่ไทม์ไลน์ใช้งบมากกว่า 1 ล้านล้าน แต่น้ำยังท่วมเหมือนเดิม https://www.thai-tai.tv/news/22326/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ไทยไท #น้ำท่วมซ้ำซาก #งบล้านล้าน #พื้นที่รับน้ำ #ปฎิรูประบบน้ำแห่งชาติ #พรรคไทยก้าวใหม่
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง”

    ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้

    เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา

    แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล

    นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ
    นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน

    ICANN เตือนภัย Splinternet
    หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย
    การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ

    ข้อดีของระบบปัจจุบัน
    มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้
    สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล

    การประชุม UN เดือนธันวาคม
    จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต
    ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก
    กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ
    เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    🌍 หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง” ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้ เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก 📌 หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ 📌 นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน ✅ ICANN เตือนภัย Splinternet ➡️ หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย ➡️ การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ ✅ ข้อดีของระบบปัจจุบัน ➡️ มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้ ➡️ สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล ✅ การประชุม UN เดือนธันวาคม ➡️ จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ➡️ ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก ⛔ กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Splinternets' threat to be avoided, says web address controller
    ICANN is best known for coordinating global allocation of Internet addresses – whether the easily-remembered versions people type into web browsers, or the strings of numbers used by computers known as IP addresses.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา

    ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

    น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป

    มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก
    ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
    หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา
    หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก

    FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก
    เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ

    ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด
    ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่

    Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg
    แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่

    กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน

    แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero
    กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก
    หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก

    https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    📰 FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้” น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก 🌍 🔰 ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 🔰 หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา 🔰 หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก ✅ FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก ➡️ เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ ✅ ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด ➡️ ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ ✅ Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg ➡️ แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ➡️ ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน ‼️ แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero ⛔ กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก ⛔ หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    THENEWSTACK.IO
    FFmpeg to Google: Fund Us or Stop Sending Bugs
    A lively discussion about open source, security, and who pays the bills has erupted on Twitter.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • Lenovo เปิดวิสัยทัศน์สุดล้ำ: ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตจะลอยฟ้า แช่น้ำร้อน และอยู่ใต้ดิน!

    Lenovo เผยแนวคิดสุดล้ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยเสนอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ “Floating Cloud” ลอยเหนือพื้นโลก, “Data Spa” แช่น้ำร้อนจากพลังงานใต้พิภพ และ “Data Center Bunker” ฝังใต้ดินเพื่อความปลอดภัยและการระบายความร้อนตามธรรมชาติ

    แนวคิดเหล่านี้เกิดจากความต้องการเร่งด่วนในการรองรับการเติบโตของ AI และการใช้พลังงานมหาศาลของระบบประมวลผลยุคใหม่ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป

    Floating Cloud: ดาต้าเซ็นเตอร์ลอยฟ้า
    ลอยอยู่ระหว่าง 20–30 กม.เหนือพื้นโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100%
    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแรงดันสูง
    ลดการใช้พื้นที่บนดิน แต่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการโจมตีทางอากาศ

    Data Spa: ดาต้าเซ็นเตอร์แช่น้ำร้อน
    ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำพุร้อนหรือพลังงานใต้พิภพ
    ผสมผสานธรรมชาติกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน
    เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากการอยู่ใกล้แหล่งน้ำและผู้คน

    Data Center Bunker: ดาต้าเซ็นเตอร์ใต้ดิน
    ใช้พื้นที่รกร้าง เช่น อุโมงค์เก่า หรือสถานีรถไฟใต้ดิน
    ได้เปรียบด้านการระบายความร้อนตามธรรมชาติและความปลอดภัย
    อาจมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิใต้ดินที่ไม่เหมาะสม

    Neptune Liquid Cooling: เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ของ Lenovo
    ดึงความร้อนออกจากแหล่งกำเนิดได้ถึง 98%
    ลดการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ

    แรงผลักดันจาก AI และกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม
    ความต้องการประมวลผล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    กฎด้านการปล่อยคาร์บอนและความมั่นคงของข้อมูลผลักดันให้ต้องออกแบบใหม่

    คำเตือน: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Floating Cloud อาจถูกโจมตีหรือควบคุมได้ยาก
    Data Spa เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลและอุบัติเหตุจากน้ำ

    คำเตือน: ความท้าทายด้านการใช้งานจริง
    แนวคิดเหล่านี้ยังเป็นต้นแบบ ไม่พร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้การลงทุนสูงและการทดสอบด้านวิศวกรรมอย่างเข้มข้น

    https://www.techradar.com/pro/lenovo-goes-literal-with-its-view-of-the-future-of-the-cloud-heres-what-it-thinks-future-data-centers-will-really-look-like
    ☁️ Lenovo เปิดวิสัยทัศน์สุดล้ำ: ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตจะลอยฟ้า แช่น้ำร้อน และอยู่ใต้ดิน! Lenovo เผยแนวคิดสุดล้ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยเสนอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ “Floating Cloud” ลอยเหนือพื้นโลก, “Data Spa” แช่น้ำร้อนจากพลังงานใต้พิภพ และ “Data Center Bunker” ฝังใต้ดินเพื่อความปลอดภัยและการระบายความร้อนตามธรรมชาติ แนวคิดเหล่านี้เกิดจากความต้องการเร่งด่วนในการรองรับการเติบโตของ AI และการใช้พลังงานมหาศาลของระบบประมวลผลยุคใหม่ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ✅ Floating Cloud: ดาต้าเซ็นเตอร์ลอยฟ้า ➡️ ลอยอยู่ระหว่าง 20–30 กม.เหนือพื้นโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแรงดันสูง ➡️ ลดการใช้พื้นที่บนดิน แต่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการโจมตีทางอากาศ ✅ Data Spa: ดาต้าเซ็นเตอร์แช่น้ำร้อน ➡️ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำพุร้อนหรือพลังงานใต้พิภพ ➡️ ผสมผสานธรรมชาติกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน ➡️ เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากการอยู่ใกล้แหล่งน้ำและผู้คน ✅ Data Center Bunker: ดาต้าเซ็นเตอร์ใต้ดิน ➡️ ใช้พื้นที่รกร้าง เช่น อุโมงค์เก่า หรือสถานีรถไฟใต้ดิน ➡️ ได้เปรียบด้านการระบายความร้อนตามธรรมชาติและความปลอดภัย ➡️ อาจมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิใต้ดินที่ไม่เหมาะสม ✅ Neptune Liquid Cooling: เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ของ Lenovo ➡️ ดึงความร้อนออกจากแหล่งกำเนิดได้ถึง 98% ➡️ ลดการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ✅ แรงผลักดันจาก AI และกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม ➡️ ความต้องการประมวลผล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ กฎด้านการปล่อยคาร์บอนและความมั่นคงของข้อมูลผลักดันให้ต้องออกแบบใหม่ ‼️ คำเตือน: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Floating Cloud อาจถูกโจมตีหรือควบคุมได้ยาก ⛔ Data Spa เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลและอุบัติเหตุจากน้ำ ‼️ คำเตือน: ความท้าทายด้านการใช้งานจริง ⛔ แนวคิดเหล่านี้ยังเป็นต้นแบบ ไม่พร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้การลงทุนสูงและการทดสอบด้านวิศวกรรมอย่างเข้มข้น https://www.techradar.com/pro/lenovo-goes-literal-with-its-view-of-the-future-of-the-cloud-heres-what-it-thinks-future-data-centers-will-really-look-like
    WWW.TECHRADAR.COM
    Lenovo designs floating, underground, and geothermal data centers
    AI tools are driving data demand far beyond current infrastructure capabilities
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา”

    ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา

    ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท
    ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร
    AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security
    DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา
    ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
    เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox
    ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise
    ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน
    สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor

    บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค
    นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก
    ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม
    มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก

    https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    🛡️ “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา” ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor ✅ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท ➡️ ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ➡️ AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security ➡️ DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา ➡️ ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox ➡️ ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise ➡️ ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor ✅ บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค ➡️ นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก ➡️ ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม ➡️ มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร

    Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง!

    ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025

    Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working”

    Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams
    ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน
    สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้
    มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users”

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร
    Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI
    Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe”

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    🧠 หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง! ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025 Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working” ✅ Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams ➡️ ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน ➡️ สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ ➡️ มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users” ✅ แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร ➡️ Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI ➡️ Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe” https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • มอนแทนาเปิดประวัติศาสตร์! รับรอง “สิทธิในการคำนวณ” เป็นกฎหมายครั้งแรกในสหรัฐฯ

    รัฐมอนแทนาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการออกกฎหมายรับรอง “สิทธิในการคำนวณ” อย่างเป็นทางการ โดยผ่านร่างกฎหมาย Senate Bill 212 หรือ “Montana Right to Compute Act” ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกในสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือคำนวณและเทคโนโลยี AI ภายใต้หลักการเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในทรัพย์สิน

    กฎหมายนี้ระบุว่าชาวมอนแทนามีสิทธิพื้นฐานในการเป็นเจ้าของและใช้งานทรัพยากรคำนวณ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือ AI โดยรัฐสามารถออกข้อจำกัดได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยสาธารณะ และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและจำกัดขอบเขตอย่างเข้มงวด

    นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมด้วย AI เช่น:
    ต้องมี “กลไกหยุดทำงาน” เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมได้
    ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยประจำปี

    กฎหมายนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิด้านดิจิทัล เช่น Frontier Institute และองค์กรระดับโลกอย่าง Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ที่ผลักดันแนวคิดว่า “คอมพิวเตอร์คือการขยายขีดความสามารถในการคิดของมนุษย์”

    สิ่งที่กฎหมาย MRTCA รับรอง
    สิทธิในการเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ AI
    การคุ้มครองสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญของมอนแทนา
    ข้อจำกัดจากรัฐต้องมีเหตุผลด้านสุขภาพหรือความปลอดภัย และจำกัดขอบเขต
    ระบบ AI ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานต้องมี “shutdown mechanism”
    ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ทุกปี
    สนับสนุนแนวคิดว่า “การคำนวณคือสิทธิมนุษยชน”
    ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มระดับโลก เช่น Haltia.AI และ ASIMOV Protocol
    เป็นแรงบันดาลใจให้รัฐอื่น เช่น New Hampshire ผลักดันกฎหมายคล้ายกัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ข้อจำกัดจากรัฐยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีเหตุผลด้านความปลอดภัย
    ระบบ AI ที่ไม่มีกลไกควบคุมจากมนุษย์อาจถูกจำกัดการใช้งาน
    การตีความ “สิทธิในการคำนวณ” อาจแตกต่างกันในแต่ละรัฐ
    การขยายสิทธิไปยังระดับประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย

    https://montananewsroom.com/montana-becomes-first-state-to-enshrine-right-to-compute-into-law/
    🛡️ มอนแทนาเปิดประวัติศาสตร์! รับรอง “สิทธิในการคำนวณ” เป็นกฎหมายครั้งแรกในสหรัฐฯ รัฐมอนแทนาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการออกกฎหมายรับรอง “สิทธิในการคำนวณ” อย่างเป็นทางการ โดยผ่านร่างกฎหมาย Senate Bill 212 หรือ “Montana Right to Compute Act” ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกในสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือคำนวณและเทคโนโลยี AI ภายใต้หลักการเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในทรัพย์สิน กฎหมายนี้ระบุว่าชาวมอนแทนามีสิทธิพื้นฐานในการเป็นเจ้าของและใช้งานทรัพยากรคำนวณ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือ AI โดยรัฐสามารถออกข้อจำกัดได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยสาธารณะ และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและจำกัดขอบเขตอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมด้วย AI เช่น: 💠 ต้องมี “กลไกหยุดทำงาน” เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมได้ 💠 ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยประจำปี กฎหมายนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิด้านดิจิทัล เช่น Frontier Institute และองค์กรระดับโลกอย่าง Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ที่ผลักดันแนวคิดว่า “คอมพิวเตอร์คือการขยายขีดความสามารถในการคิดของมนุษย์” ✅ สิ่งที่กฎหมาย MRTCA รับรอง ➡️ สิทธิในการเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ AI ➡️ การคุ้มครองสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญของมอนแทนา ➡️ ข้อจำกัดจากรัฐต้องมีเหตุผลด้านสุขภาพหรือความปลอดภัย และจำกัดขอบเขต ➡️ ระบบ AI ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานต้องมี “shutdown mechanism” ➡️ ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ทุกปี ➡️ สนับสนุนแนวคิดว่า “การคำนวณคือสิทธิมนุษยชน” ➡️ ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มระดับโลก เช่น Haltia.AI และ ASIMOV Protocol ➡️ เป็นแรงบันดาลใจให้รัฐอื่น เช่น New Hampshire ผลักดันกฎหมายคล้ายกัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ข้อจำกัดจากรัฐยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีเหตุผลด้านความปลอดภัย ⛔ ระบบ AI ที่ไม่มีกลไกควบคุมจากมนุษย์อาจถูกจำกัดการใช้งาน ⛔ การตีความ “สิทธิในการคำนวณ” อาจแตกต่างกันในแต่ละรัฐ ⛔ การขยายสิทธิไปยังระดับประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย https://montananewsroom.com/montana-becomes-first-state-to-enshrine-right-to-compute-into-law/
    MONTANANEWSROOM.COM
    Montana Becomes First State to Enshrine ‘Right to Compute’ Into Law - Montana Newsroom
    Montana has made history as the first state in the U.S. to legally protect its citizens’ right to access and use computational tools and artificial intelligence technologies. Governor Greg Gianforte signed Senate Bill 212, officially known as the Montana Right to Compute Act (MRTCA), into law. The groundbreaking legislation affirms Montanans’ fundamental right to own […]
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • PorteuX 2.4 เปิดตัวแล้ว! ดิสโทรสายเบาเร็วจาก Slackware พร้อมเดสก์ท็อปใหม่และฟีเจอร์จัดเต็ม

    PorteuX 2.4 ดิสโทรลินุกซ์สายเบาเร็วที่ต่อยอดจาก Slax และ Porteus ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเวอร์ชันนี้อัปเกรดหลายด้าน ทั้งเคอร์เนลใหม่ ฟีเจอร์ระบบ และเดสก์ท็อปที่หลากหลาย พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์และการใช้งานที่ทันสมัยมากขึ้น

    PorteuX 2.4 ใช้ Linux Kernel 6.17 และมาพร้อมเดสก์ท็อปถึง 8 แบบ ได้แก่ GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.13, LXDE 0.11.1, LXQt 2.3, MATE 1.28.2 และ COSMIC Beta 5 ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ทุกสไตล์

    ระบบยังรองรับ NVIDIA Driver รุ่นล่าสุด 580.105.08 และปรับปรุงการใช้งานทัชแพดให้ลื่นไหลขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในเครื่องมือของ PorteuX เช่น Language Switcher และ Timezone Switcher ที่ใช้งานง่ายขึ้น

    ทำไม PorteuX ถึงน่าสนใจ?
    PorteuX โดดเด่นด้วยแนวคิด “modular & immutable” คือระบบที่สามารถเพิ่มหรือลดโมดูลได้ตามต้องการ และมีความเสถียรสูงเพราะไม่เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบหลักโดยตรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบเบา เร็ว และพกพาได้ เช่น ใช้งานจาก USB หรือ Live CD

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ เช่น linker flags ที่ดีขึ้น ทำให้โปรแกรมทำงานเร็วขึ้นและขนาดไฟล์เล็กลง รวมถึงการเขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียรกว่าเดิม

    ฟีเจอร์ใหม่ใน PorteuX 2.4
    ใช้ Linux Kernel 6.17 รุ่นล่าสุด
    มีเดสก์ท็อปให้เลือกถึง 8 แบบ
    รองรับ NVIDIA Driver 580.105.08
    ปรับปรุงการรองรับทัชแพด
    เพิ่มฟีเจอร์ใน Language และ Timezone Switcher
    รองรับ cheatcode ใหม่ เช่น noupdateclock และ kmap
    รองรับ HEIC image ใน LXQt
    autoload สำหรับ cron และ docker
    ปรับปรุง deactivate -f ให้เสถียรขึ้น
    ปรับปรุง gtkdialog.py ให้รองรับ line wrapping
    ปรับ linker flags ให้โปรแกรมเร็วขึ้น
    เขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียร
    อัปเดตไอคอนใน Xfce ให้เปลี่ยนตามธีมอัตโนมัติ
    ปรับธีมใน LXDE และเครื่องมือค้นหาใน MATE
    ปรับสคริปต์ deactivate ให้ใช้ lazy parameter
    แก้ปัญหา date/time ตอนบูต
    ปรับปรุงการแสดงผลของ Cinnamon บน Wayland

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ cheatcode ต้องศึกษาก่อนใช้งานเพื่อไม่ให้กระทบระบบ
    การใช้ Wayland อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางเดสก์ท็อป เช่น Cinnamon และ GNOME
    การเปลี่ยนโมดูลระบบควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ระบบเสียหาย

    https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-4-is-out-with-linux-6-17-cosmic-and-lxqt-2-3-desktops
    🐧 PorteuX 2.4 เปิดตัวแล้ว! ดิสโทรสายเบาเร็วจาก Slackware พร้อมเดสก์ท็อปใหม่และฟีเจอร์จัดเต็ม PorteuX 2.4 ดิสโทรลินุกซ์สายเบาเร็วที่ต่อยอดจาก Slax และ Porteus ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเวอร์ชันนี้อัปเกรดหลายด้าน ทั้งเคอร์เนลใหม่ ฟีเจอร์ระบบ และเดสก์ท็อปที่หลากหลาย พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์และการใช้งานที่ทันสมัยมากขึ้น PorteuX 2.4 ใช้ Linux Kernel 6.17 และมาพร้อมเดสก์ท็อปถึง 8 แบบ ได้แก่ GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.13, LXDE 0.11.1, LXQt 2.3, MATE 1.28.2 และ COSMIC Beta 5 ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ทุกสไตล์ ระบบยังรองรับ NVIDIA Driver รุ่นล่าสุด 580.105.08 และปรับปรุงการใช้งานทัชแพดให้ลื่นไหลขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในเครื่องมือของ PorteuX เช่น Language Switcher และ Timezone Switcher ที่ใช้งานง่ายขึ้น 🧠 ทำไม PorteuX ถึงน่าสนใจ? PorteuX โดดเด่นด้วยแนวคิด “modular & immutable” คือระบบที่สามารถเพิ่มหรือลดโมดูลได้ตามต้องการ และมีความเสถียรสูงเพราะไม่เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบหลักโดยตรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบเบา เร็ว และพกพาได้ เช่น ใช้งานจาก USB หรือ Live CD นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ เช่น linker flags ที่ดีขึ้น ทำให้โปรแกรมทำงานเร็วขึ้นและขนาดไฟล์เล็กลง รวมถึงการเขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียรกว่าเดิม ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน PorteuX 2.4 ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 รุ่นล่าสุด ➡️ มีเดสก์ท็อปให้เลือกถึง 8 แบบ ➡️ รองรับ NVIDIA Driver 580.105.08 ➡️ ปรับปรุงการรองรับทัชแพด ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ใน Language และ Timezone Switcher ➡️ รองรับ cheatcode ใหม่ เช่น noupdateclock และ kmap ➡️ รองรับ HEIC image ใน LXQt ➡️ autoload สำหรับ cron และ docker ➡️ ปรับปรุง deactivate -f ให้เสถียรขึ้น ➡️ ปรับปรุง gtkdialog.py ให้รองรับ line wrapping ➡️ ปรับ linker flags ให้โปรแกรมเร็วขึ้น ➡️ เขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียร ➡️ อัปเดตไอคอนใน Xfce ให้เปลี่ยนตามธีมอัตโนมัติ ➡️ ปรับธีมใน LXDE และเครื่องมือค้นหาใน MATE ➡️ ปรับสคริปต์ deactivate ให้ใช้ lazy parameter ➡️ แก้ปัญหา date/time ตอนบูต ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ Cinnamon บน Wayland ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ cheatcode ต้องศึกษาก่อนใช้งานเพื่อไม่ให้กระทบระบบ ⛔ การใช้ Wayland อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางเดสก์ท็อป เช่น Cinnamon และ GNOME ⛔ การเปลี่ยนโมดูลระบบควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ระบบเสียหาย https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-4-is-out-with-linux-6-17-cosmic-and-lxqt-2-3-desktops
    9TO5LINUX.COM
    Slackware-Based PorteuX 2.4 Is Out with Linux 6.17, COSMIC and LXQt 2.3 Desktops - 9to5Linux
    PorteuX 2.4 Linux distribution is now available for download with Linux kernel 6.17, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, and LXQt 2.3.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • “Apple กำลังขายจิตวิญญาณเพื่อรายได้ – เส้นแดงของ Steve Jobs ถูกลบเลือน”

    Ken Segall อดีตผู้ร่วมงานกับ Steve Jobs เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในปี 1999 ที่ Steve ปฏิเสธแนวคิดการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ Mac แม้จะมีข้อเสนอให้ผู้ใช้เลือกเวอร์ชันฟรีที่มีโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อเวอร์ชันปลอดโฆษณา เขาเห็นว่านั่นคือการ “ทำลายความบริสุทธิ์ของประสบการณ์ผู้ใช้” และไม่ยอมให้เกิดขึ้น

    แต่ในปี 2025 Apple กลับเดินเข้าสู่เส้นทางที่ Steve เคยปฏิเสธ ด้วยการนำโฆษณาเข้าสู่ Apple Maps ต่อจาก App Store ที่เริ่มมีโฆษณาตั้งแต่ปี 2015 และเพิ่มขึ้นในปี 2021 ซึ่ง Ken มองว่าเป็นการ “ขายจิตวิญญาณเพื่อเงินง่ายๆ”

    เขาตั้งคำถามว่า หากวันนี้ Steve ยังอยู่ เขาจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นหรือไม่ และคำตอบก็ชัดเจนจากอดีต: เขาเคยปฏิเสธแนวคิดนี้มาแล้ว

    หลักการของ Steve Jobs ที่เคยยึดมั่น
    ประสบการณ์ผู้ใช้ต้องมาก่อนรายได้
    ปฏิเสธการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ แม้จะมีทางเลือกให้ผู้ใช้
    มองว่าโฆษณาทำลายความสะอาดและความเรียบง่ายของอินเทอร์เฟซ
    ปกป้อง “มงกุฎเพชร” ของ Apple คือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์

    การเปลี่ยนแปลงในยุค Tim Cook
    Apple Maps เตรียมมีโฆษณาแบบเดียวกับ App Store
    การตัดสินใจขับเคลื่อนด้วยรายได้มากกว่าหลักการ
    เส้นแดงของ Steve Jobs เริ่มเลือนลางลง
    คำตอบเดียวที่อาจได้จาก Tim Cook คือ “Apple วันนี้ไม่เหมือน Apple ของ Steve”

    ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของ Apple
    การใส่โฆษณาอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Apple ไม่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น
    ความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่เน้นคุณภาพอาจลดลง
    ผู้ใช้ที่เคยเลือก Apple เพราะไม่มีโฆษณาอาจเปลี่ยนใจ

    ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้
    โฆษณาอาจรบกวนการใช้งานและลดความพึงพอใจ
    ความเรียบง่ายและความสะอาดของอินเทอร์เฟซอาจถูกทำลาย
    ความรู้สึกว่า Apple “เข้าใจผู้ใช้” อาจไม่เหลืออีกต่อไป

    https://kensegall.com/2025/11/07/apple-is-crossing-a-steve-jobs-red-line/
    🚨 “Apple กำลังขายจิตวิญญาณเพื่อรายได้ – เส้นแดงของ Steve Jobs ถูกลบเลือน” Ken Segall อดีตผู้ร่วมงานกับ Steve Jobs เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในปี 1999 ที่ Steve ปฏิเสธแนวคิดการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ Mac แม้จะมีข้อเสนอให้ผู้ใช้เลือกเวอร์ชันฟรีที่มีโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อเวอร์ชันปลอดโฆษณา เขาเห็นว่านั่นคือการ “ทำลายความบริสุทธิ์ของประสบการณ์ผู้ใช้” และไม่ยอมให้เกิดขึ้น แต่ในปี 2025 Apple กลับเดินเข้าสู่เส้นทางที่ Steve เคยปฏิเสธ ด้วยการนำโฆษณาเข้าสู่ Apple Maps ต่อจาก App Store ที่เริ่มมีโฆษณาตั้งแต่ปี 2015 และเพิ่มขึ้นในปี 2021 ซึ่ง Ken มองว่าเป็นการ “ขายจิตวิญญาณเพื่อเงินง่ายๆ” เขาตั้งคำถามว่า หากวันนี้ Steve ยังอยู่ เขาจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นหรือไม่ และคำตอบก็ชัดเจนจากอดีต: เขาเคยปฏิเสธแนวคิดนี้มาแล้ว ✅ หลักการของ Steve Jobs ที่เคยยึดมั่น ➡️ ประสบการณ์ผู้ใช้ต้องมาก่อนรายได้ ➡️ ปฏิเสธการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ แม้จะมีทางเลือกให้ผู้ใช้ ➡️ มองว่าโฆษณาทำลายความสะอาดและความเรียบง่ายของอินเทอร์เฟซ ➡️ ปกป้อง “มงกุฎเพชร” ของ Apple คือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค Tim Cook ➡️ Apple Maps เตรียมมีโฆษณาแบบเดียวกับ App Store ➡️ การตัดสินใจขับเคลื่อนด้วยรายได้มากกว่าหลักการ ➡️ เส้นแดงของ Steve Jobs เริ่มเลือนลางลง ➡️ คำตอบเดียวที่อาจได้จาก Tim Cook คือ “Apple วันนี้ไม่เหมือน Apple ของ Steve” ‼️ ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของ Apple ⛔ การใส่โฆษณาอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Apple ไม่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ⛔ ความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่เน้นคุณภาพอาจลดลง ⛔ ผู้ใช้ที่เคยเลือก Apple เพราะไม่มีโฆษณาอาจเปลี่ยนใจ ‼️ ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้ ⛔ โฆษณาอาจรบกวนการใช้งานและลดความพึงพอใจ ⛔ ความเรียบง่ายและความสะอาดของอินเทอร์เฟซอาจถูกทำลาย ⛔ ความรู้สึกว่า Apple “เข้าใจผู้ใช้” อาจไม่เหลืออีกต่อไป https://kensegall.com/2025/11/07/apple-is-crossing-a-steve-jobs-red-line/
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • 🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา?

    สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน

    เบื้องหลังที่น่าสงสัย
    ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง
    ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์

    หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง
    ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง
    ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค
    ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา”

    คำกล่าวอ้างของ Substrate
    ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography
    อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก
    ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ

    การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์
    FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ
    ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ
    ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง

    ความเป็นไปได้ทางเทคนิค
    การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่
    มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม
    เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล

    คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี
    คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง
    ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา? ⚠️🔬 สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน 🧨 เบื้องหลังที่น่าสงสัย 💠 ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 💠 โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง 💠 ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์ 📷 หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง ❓ ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ❓ ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค ❓ ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา” ✅ คำกล่าวอ้างของ Substrate ➡️ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography ➡️ อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก ➡️ ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์ ➡️ FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ ➡️ ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง ✅ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ➡️ การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่ ➡️ มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม ➡️ เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง ⛔ ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • “Asus เปิดตัว ROG Matrix RTX 5090 พร้อมระบบตรวจจับการแอ่นการ์ดจอแม่นยำระดับ 0.10°!”

    ในยุคที่การ์ดจอแรงขึ้น ใหญ่ขึ้น และหนักขึ้นจนทำให้เกิดปัญหา “การ์ดจอแอ่น” หรือ GPU Sag — Asus ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำใน ROG Matrix RTX 5090 ที่ชื่อว่า Level Sense ซึ่งสามารถตรวจจับการเอียงของการ์ดจอได้แม้เพียง 0.10 องศา! ฟีเจอร์นี้จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ และถือเป็นการยกระดับการดูแลรักษาฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้อย่างแท้จริง

    Asus ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของระบบตรวจจับนี้ แต่คาดว่าจะใช้ accelerometer และ gyroscope ขนาดเล็กฝังอยู่บนตัวการ์ดจอ เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของมุมการติดตั้งแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับเซ็นเซอร์ในสมาร์ตโฟน

    นอกจาก Level Sense แล้ว Asus ยังเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจใน GPU Tweak:
    Power Detector+: ตรวจสอบความผิดปกติของสายไฟ 12V-2x6 ที่มีประวัติละลายบ่อย
    Thermal Map: แสดงแผนที่อุณหภูมิจากหลายจุดบนการ์ดจอ
    Mileage: บันทึกข้อมูลการใช้งานของการ์ดจอ เช่น ชั่วโมงการทำงาน

    ฟีเจอร์ Level Sense ตรวจจับการแอ่นของการ์ดจอ
    ตรวจจับการเอียงได้แม่นยำถึง 0.10 องศา
    ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่
    คาดว่าใช้ accelerometer และ gyroscope ฝังในตัวการ์ด

    การ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090
    รุ่นเรือธงต่อจาก ROG Astral RTX 5090
    น้ำหนักคาดว่าใกล้เคียงกับ Astral ที่หนักถึง 3 กิโลกรัม
    มาพร้อมฟีเจอร์ระดับมืออาชีพสำหรับสายโอเวอร์คล็อก

    ฟีเจอร์เสริมใน GPU Tweak
    Power Detector+ ตรวจจับปัญหาสายไฟ 12V-2x6
    Thermal Map แสดงอุณหภูมิแบบละเอียด
    Mileage บันทึกชั่วโมงการใช้งานของการ์ด

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานการ์ดจอขนาดใหญ่
    แม้เมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีสล็อต PCIe เสริมความแข็งแรง แต่ไม่สามารถป้องกันการแอ่นได้ทั้งหมด
    การแอ่นของการ์ดอาจทำให้ขั้วต่อ PCIe เสื่อมสภาพหรือเสียหายระยะยาว
    ควรใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์พยุงการ์ดร่วมด้วย แม้จะมีระบบตรวจจับ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-to-include-sag-detection-for-monstrous-new-rog-matrix-rtx-5090-gpu-level-sense-can-warn-users-of-a-mere-0-10-degree-shift
    🧲💡 “Asus เปิดตัว ROG Matrix RTX 5090 พร้อมระบบตรวจจับการแอ่นการ์ดจอแม่นยำระดับ 0.10°!” ในยุคที่การ์ดจอแรงขึ้น ใหญ่ขึ้น และหนักขึ้นจนทำให้เกิดปัญหา “การ์ดจอแอ่น” หรือ GPU Sag — Asus ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำใน ROG Matrix RTX 5090 ที่ชื่อว่า Level Sense ซึ่งสามารถตรวจจับการเอียงของการ์ดจอได้แม้เพียง 0.10 องศา! ฟีเจอร์นี้จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ และถือเป็นการยกระดับการดูแลรักษาฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้อย่างแท้จริง Asus ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของระบบตรวจจับนี้ แต่คาดว่าจะใช้ accelerometer และ gyroscope ขนาดเล็กฝังอยู่บนตัวการ์ดจอ เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของมุมการติดตั้งแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับเซ็นเซอร์ในสมาร์ตโฟน นอกจาก Level Sense แล้ว Asus ยังเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจใน GPU Tweak: 💠 Power Detector+: ตรวจสอบความผิดปกติของสายไฟ 12V-2x6 ที่มีประวัติละลายบ่อย 💠 Thermal Map: แสดงแผนที่อุณหภูมิจากหลายจุดบนการ์ดจอ 💠 Mileage: บันทึกข้อมูลการใช้งานของการ์ดจอ เช่น ชั่วโมงการทำงาน ✅ ฟีเจอร์ Level Sense ตรวจจับการแอ่นของการ์ดจอ ➡️ ตรวจจับการเอียงได้แม่นยำถึง 0.10 องศา ➡️ ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าใช้ accelerometer และ gyroscope ฝังในตัวการ์ด ✅ การ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090 ➡️ รุ่นเรือธงต่อจาก ROG Astral RTX 5090 ➡️ น้ำหนักคาดว่าใกล้เคียงกับ Astral ที่หนักถึง 3 กิโลกรัม ➡️ มาพร้อมฟีเจอร์ระดับมืออาชีพสำหรับสายโอเวอร์คล็อก ✅ ฟีเจอร์เสริมใน GPU Tweak ➡️ Power Detector+ ตรวจจับปัญหาสายไฟ 12V-2x6 ➡️ Thermal Map แสดงอุณหภูมิแบบละเอียด ➡️ Mileage บันทึกชั่วโมงการใช้งานของการ์ด ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานการ์ดจอขนาดใหญ่ ⛔ แม้เมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีสล็อต PCIe เสริมความแข็งแรง แต่ไม่สามารถป้องกันการแอ่นได้ทั้งหมด ⛔ การแอ่นของการ์ดอาจทำให้ขั้วต่อ PCIe เสื่อมสภาพหรือเสียหายระยะยาว ⛔ ควรใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์พยุงการ์ดร่วมด้วย แม้จะมีระบบตรวจจับ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-to-include-sag-detection-for-monstrous-new-rog-matrix-rtx-5090-gpu-level-sense-can-warn-users-of-a-mere-0-10-degree-shift
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “สภาคองเกรสสหรัฐฯ จี้ Nvidia ปมแชร์พื้นที่กับบริษัทในเครือ Huawei – ‘จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานนับสิบปี!’”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการ AI และความมั่นคง! คณะกรรมาธิการ Select Committee on China ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย กับ Futurewei บริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

    แม้จะไม่มีการกล่าวหาตรง ๆ ว่า Nvidia หรือ Futurewei มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่คณะกรรมาธิการชี้ให้เห็นถึง “ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์” ของการอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน

    การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจาก Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กล่าวในงานประชุมว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” และ “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการตอบโต้ทันทีว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปีแล้ว”

    นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงคดีแพ่งที่กล่าวหาว่า Futurewei ส่งพนักงานเข้าร่วมงานประชุมโดยใช้ชื่อบริษัทปลอม เพื่อรวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีน ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการจารกรรมทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้น

    Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานกับ Futurewei
    Futurewei เป็นบริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ
    ตั้งอยู่ในซานตาคลารา ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Nvidia
    คณะกรรมาธิการชี้ถึงผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์จากการอยู่ใกล้กัน

    คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์
    ระบุว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปี”
    อ้างถึงจดหมายที่เคยส่งถึง Futurewei เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
    เน้นว่าการอยู่ใกล้กันอาจเปิดช่องให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ

    Jensen Huang แสดงความคิดเห็นเรื่องสงคราม AI
    กล่าวว่าจีนกำลังจะชนะ และตามหลังสหรัฐเพียง “นาโนวินาที”
    เชื่อว่าควรให้โลกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI
    แนวคิดนี้อาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการจำกัดการเข้าถึงของจีน

    ความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ
    อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นช่องทางในการจารกรรมทางอุตสาหกรรม

    ข้อกล่าวหาว่า Futurewei ใช้ชื่อบริษัทปลอมเข้าร่วมงานประชุม
    ถูกกล่าวหาว่ารวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมในจีน
    อาจละเมิดข้อกำหนดของงานประชุมและกฎหมายความมั่นคง

    ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดของ Nvidia กับนโยบายรัฐบาล
    การเปิดให้ทุกประเทศใช้เทคโนโลยีอาจขัดกับการควบคุมการส่งออก
    อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-govt-committee-slams-nvidia-over-shared-campus-with-banned-huawei-affiliate-says-china-has-been-in-nvidias-backyard-for-a-decade-literally
    🏛️ “สภาคองเกรสสหรัฐฯ จี้ Nvidia ปมแชร์พื้นที่กับบริษัทในเครือ Huawei – ‘จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานนับสิบปี!’” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการ AI และความมั่นคง! คณะกรรมาธิการ Select Committee on China ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย กับ Futurewei บริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แม้จะไม่มีการกล่าวหาตรง ๆ ว่า Nvidia หรือ Futurewei มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่คณะกรรมาธิการชี้ให้เห็นถึง “ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์” ของการอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจาก Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กล่าวในงานประชุมว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” และ “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการตอบโต้ทันทีว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปีแล้ว” นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงคดีแพ่งที่กล่าวหาว่า Futurewei ส่งพนักงานเข้าร่วมงานประชุมโดยใช้ชื่อบริษัทปลอม เพื่อรวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีน ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการจารกรรมทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ✅ Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานกับ Futurewei ➡️ Futurewei เป็นบริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ➡️ ตั้งอยู่ในซานตาคลารา ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Nvidia ➡️ คณะกรรมาธิการชี้ถึงผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์จากการอยู่ใกล้กัน ✅ คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ ➡️ ระบุว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปี” ➡️ อ้างถึงจดหมายที่เคยส่งถึง Futurewei เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ เน้นว่าการอยู่ใกล้กันอาจเปิดช่องให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ✅ Jensen Huang แสดงความคิดเห็นเรื่องสงคราม AI ➡️ กล่าวว่าจีนกำลังจะชนะ และตามหลังสหรัฐเพียง “นาโนวินาที” ➡️ เชื่อว่าควรให้โลกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ แนวคิดนี้อาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการจำกัดการเข้าถึงของจีน ‼️ ความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ⛔ อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นช่องทางในการจารกรรมทางอุตสาหกรรม ‼️ ข้อกล่าวหาว่า Futurewei ใช้ชื่อบริษัทปลอมเข้าร่วมงานประชุม ⛔ ถูกกล่าวหาว่ารวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมในจีน ⛔ อาจละเมิดข้อกำหนดของงานประชุมและกฎหมายความมั่นคง ‼️ ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดของ Nvidia กับนโยบายรัฐบาล ⛔ การเปิดให้ทุกประเทศใช้เทคโนโลยีอาจขัดกับการควบคุมการส่งออก ⛔ อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-govt-committee-slams-nvidia-over-shared-campus-with-banned-huawei-affiliate-says-china-has-been-in-nvidias-backyard-for-a-decade-literally
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “โมเดอร์สุดครีเอทีฟติดตั้งรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ – ยินดีต้อนรับสู่ ‘PCI Express to Gamesville’!”

    เรื่องเล่าที่ทั้งน่าทึ่งและน่ารักจากโลกของนักแต่งคอมพิวเตอร์! ผู้ใช้นามว่า “Beautiful-Turnip-353” ได้สร้างสรรค์ผลงานสุดแหวกแนวโดยนำรถไฟจำลองขนาดจิ๋วแบบ T-gauge มาวิ่งวนอยู่บนการ์ดจอภายในเคสคอมพิวเตอร์ของตนเอง กลายเป็นการผสมผสานระหว่างงานอดิเรกโมเดลรถไฟกับโลกของพีซีเกมมิ่งได้อย่างลงตัว

    รถไฟจำลองนี้มีขนาดเล็กมาก—รางกว้างเพียง 3 มม. และมีสเกลประมาณ 1:450 ถึง 1:500 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่จำกัดบนการ์ดจอ โดยใช้ Arduino ที่เชื่อมต่อผ่าน USB เพื่อจ่ายไฟ 5V แบบ PWM ให้กับรางรถไฟ แม้ตอนนี้ยังควบคุมความเร็วได้ไม่หลากหลาย แต่ก็มีแผนจะพัฒนาให้สามารถควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ เช่น FanControl หรือแม้กระทั่งให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นตามอุณหภูมิของ GPU!

    เจ้าของผลงานยังเผยว่าอยากสร้างเคสธีมรถไฟที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมด้วยฉากจำลอง สัญญาณไฟ และแม้กระทั่งรถไฟไอน้ำที่มีเสียง “ชัฟฟ์ฟฟ” วิ่งรอบเคส—เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับงานโมดิฟายพีซีไปอีกขั้น

    โมเดอร์สร้างรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ
    ใช้รถไฟ T-gauge ขนาดเล็กที่สุดในวงการโมเดล
    รางกว้างเพียง 3 มม. สเกลประมาณ 1:450–1:500
    วางรางวนรอบการ์ดจอภายในเคสพีซี

    ระบบควบคุมรถไฟด้วย Arduino
    ใช้สัญญาณ PWM 5V ผ่านพอร์ต USB
    ควบคุมความเร็วได้จำกัดในเวอร์ชันต้นแบบ
    มีแผนพัฒนาให้ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ FanControl

    แนวคิดสร้างสรรค์ที่ผสานงานอดิเรกกับเทคโนโลยี
    รถไฟจำลองเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเคส
    มีแผนเพิ่มฉากจำลอง แสงไฟ และระบบสัญญาณ
    อาจพัฒนาให้รถไฟตอบสนองต่ออุณหภูมิของพีซี

    ความท้าทายด้านพื้นที่และการติดตั้ง
    การ์ดจอมีพื้นที่จำกัด ต้องใช้รางที่โค้งแคบ
    ต้องออกแบบให้ไม่รบกวนการระบายความร้อน
    ต้องใช้ความแม่นยำในการติดตั้งรางและระบบไฟ

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/pc-modder-installs-a-working-train-set-on-top-of-their-gpu-all-aboard-the-pci-express-to-gamesville
    🚂 “โมเดอร์สุดครีเอทีฟติดตั้งรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ – ยินดีต้อนรับสู่ ‘PCI Express to Gamesville’!” เรื่องเล่าที่ทั้งน่าทึ่งและน่ารักจากโลกของนักแต่งคอมพิวเตอร์! ผู้ใช้นามว่า “Beautiful-Turnip-353” ได้สร้างสรรค์ผลงานสุดแหวกแนวโดยนำรถไฟจำลองขนาดจิ๋วแบบ T-gauge มาวิ่งวนอยู่บนการ์ดจอภายในเคสคอมพิวเตอร์ของตนเอง กลายเป็นการผสมผสานระหว่างงานอดิเรกโมเดลรถไฟกับโลกของพีซีเกมมิ่งได้อย่างลงตัว รถไฟจำลองนี้มีขนาดเล็กมาก—รางกว้างเพียง 3 มม. และมีสเกลประมาณ 1:450 ถึง 1:500 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่จำกัดบนการ์ดจอ โดยใช้ Arduino ที่เชื่อมต่อผ่าน USB เพื่อจ่ายไฟ 5V แบบ PWM ให้กับรางรถไฟ แม้ตอนนี้ยังควบคุมความเร็วได้ไม่หลากหลาย แต่ก็มีแผนจะพัฒนาให้สามารถควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ เช่น FanControl หรือแม้กระทั่งให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นตามอุณหภูมิของ GPU! เจ้าของผลงานยังเผยว่าอยากสร้างเคสธีมรถไฟที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมด้วยฉากจำลอง สัญญาณไฟ และแม้กระทั่งรถไฟไอน้ำที่มีเสียง “ชัฟฟ์ฟฟ” วิ่งรอบเคส—เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับงานโมดิฟายพีซีไปอีกขั้น ✅ โมเดอร์สร้างรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ ➡️ ใช้รถไฟ T-gauge ขนาดเล็กที่สุดในวงการโมเดล ➡️ รางกว้างเพียง 3 มม. สเกลประมาณ 1:450–1:500 ➡️ วางรางวนรอบการ์ดจอภายในเคสพีซี ✅ ระบบควบคุมรถไฟด้วย Arduino ➡️ ใช้สัญญาณ PWM 5V ผ่านพอร์ต USB ➡️ ควบคุมความเร็วได้จำกัดในเวอร์ชันต้นแบบ ➡️ มีแผนพัฒนาให้ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ FanControl ✅ แนวคิดสร้างสรรค์ที่ผสานงานอดิเรกกับเทคโนโลยี ➡️ รถไฟจำลองเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเคส ➡️ มีแผนเพิ่มฉากจำลอง แสงไฟ และระบบสัญญาณ ➡️ อาจพัฒนาให้รถไฟตอบสนองต่ออุณหภูมิของพีซี ‼️ ความท้าทายด้านพื้นที่และการติดตั้ง ⛔ การ์ดจอมีพื้นที่จำกัด ต้องใช้รางที่โค้งแคบ ⛔ ต้องออกแบบให้ไม่รบกวนการระบายความร้อน ⛔ ต้องใช้ความแม่นยำในการติดตั้งรางและระบบไฟ https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/pc-modder-installs-a-working-train-set-on-top-of-their-gpu-all-aboard-the-pci-express-to-gamesville
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    PC modder installs a working train set on top of their GPU — All aboard the 'PCI Express' to Gamesville
    The prototype is set to be adjusted to run off a 5V PWM header for software speed control.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • “OpenAI ถอยคำขอ ‘แบ็คสต็อป’ จากรัฐบาล – ชี้รัฐควรมีบทบาทสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI”

    เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการเงินของโลก AI! Sarah Friar, CFO ของ OpenAI ออกมาแก้ไขคำพูดของตนเองหลังจากให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่า OpenAI “ไม่ได้ขอให้รัฐบาลเป็นแบ็คสต็อป” สำหรับเงินกู้ที่ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ แต่ต้องการให้รัฐบาล “มีบทบาท” ในการสร้างขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชน

    ในบทสัมภาษณ์เดิม Friar พูดถึงแนวคิดการสร้าง “ecosystem” ที่รวมธนาคาร, private equity และ “รัฐบาล” เพื่อช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่มความสามารถในการกู้ยืม โดยใช้คำว่า “backstop” ซึ่งหมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ แต่หลังจากเกิดความเข้าใจผิด เธอได้โพสต์ชี้แจงใน LinkedIn ว่า “คำว่า backstop ทำให้ประเด็นคลุมเครือ” และยืนยันว่า OpenAI ไม่ได้ขอการค้ำประกันจากรัฐบาลโดยตรง

    เธอยังกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเข้าใจว่า AI เป็น “สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์” และควรมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานผลิตชิปและศูนย์ข้อมูล เพื่อให้สหรัฐสามารถแข่งขันกับจีนได้

    OpenAI ชี้แจงว่าไม่ได้ขอ “backstop” จากรัฐบาล
    Sarah Friar ใช้คำว่า “backstop” ในบทสัมภาษณ์
    ต่อมาโพสต์ชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงการค้ำประกันเงินกู้
    ต้องการให้รัฐบาลมีบทบาทร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

    แนวคิดการสร้าง ecosystem ด้านการเงิน
    รวมธนาคาร, private equity และภาครัฐ
    ช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่ม loan-to-value
    เพิ่มความสามารถในการลงทุนในชิปและศูนย์ข้อมูล

    รัฐบาลสหรัฐมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์
    เข้าใจว่า AI เป็นสินทรัพย์สำคัญระดับประเทศ
    มีการเชิญ OpenAI เข้าร่วมให้ข้อมูลกับทำเนียบขาว
    ยังไม่มีข้อตกลงหรือประกาศอย่างเป็นทางการ

    ความคลุมเครือจากการใช้คำว่า “backstop”
    ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า OpenAI ขอค้ำประกันจากรัฐบาล
    สร้างแรงกดดันทางการเมืองและสื่อ

    ความท้าทายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI
    ต้องใช้เงินมหาศาลในการซื้อชิปและสร้างศูนย์ข้อมูล
    การแข่งขันกับจีนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-walks-back-statement-it-wants-a-government-backstop-for-its-massive-loans-company-says-government-playing-its-part-critical-for-industrial-ai-capacity-increases
    🏛️ “OpenAI ถอยคำขอ ‘แบ็คสต็อป’ จากรัฐบาล – ชี้รัฐควรมีบทบาทสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI” เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการเงินของโลก AI! Sarah Friar, CFO ของ OpenAI ออกมาแก้ไขคำพูดของตนเองหลังจากให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่า OpenAI “ไม่ได้ขอให้รัฐบาลเป็นแบ็คสต็อป” สำหรับเงินกู้ที่ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ แต่ต้องการให้รัฐบาล “มีบทบาท” ในการสร้างขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชน ในบทสัมภาษณ์เดิม Friar พูดถึงแนวคิดการสร้าง “ecosystem” ที่รวมธนาคาร, private equity และ “รัฐบาล” เพื่อช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่มความสามารถในการกู้ยืม โดยใช้คำว่า “backstop” ซึ่งหมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ แต่หลังจากเกิดความเข้าใจผิด เธอได้โพสต์ชี้แจงใน LinkedIn ว่า “คำว่า backstop ทำให้ประเด็นคลุมเครือ” และยืนยันว่า OpenAI ไม่ได้ขอการค้ำประกันจากรัฐบาลโดยตรง เธอยังกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเข้าใจว่า AI เป็น “สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์” และควรมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานผลิตชิปและศูนย์ข้อมูล เพื่อให้สหรัฐสามารถแข่งขันกับจีนได้ ✅ OpenAI ชี้แจงว่าไม่ได้ขอ “backstop” จากรัฐบาล ➡️ Sarah Friar ใช้คำว่า “backstop” ในบทสัมภาษณ์ ➡️ ต่อมาโพสต์ชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ ➡️ ต้องการให้รัฐบาลมีบทบาทร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ✅ แนวคิดการสร้าง ecosystem ด้านการเงิน ➡️ รวมธนาคาร, private equity และภาครัฐ ➡️ ช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่ม loan-to-value ➡️ เพิ่มความสามารถในการลงทุนในชิปและศูนย์ข้อมูล ✅ รัฐบาลสหรัฐมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ เข้าใจว่า AI เป็นสินทรัพย์สำคัญระดับประเทศ ➡️ มีการเชิญ OpenAI เข้าร่วมให้ข้อมูลกับทำเนียบขาว ➡️ ยังไม่มีข้อตกลงหรือประกาศอย่างเป็นทางการ ‼️ ความคลุมเครือจากการใช้คำว่า “backstop” ⛔ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า OpenAI ขอค้ำประกันจากรัฐบาล ⛔ สร้างแรงกดดันทางการเมืองและสื่อ ‼️ ความท้าทายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ⛔ ต้องใช้เงินมหาศาลในการซื้อชิปและสร้างศูนย์ข้อมูล ⛔ การแข่งขันกับจีนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-walks-back-statement-it-wants-a-government-backstop-for-its-massive-loans-company-says-government-playing-its-part-critical-for-industrial-ai-capacity-increases
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดทีม “Superintelligence” ลุยวินิจฉัยโรค – จุดเริ่มต้น AI ที่เก่งกว่ามนุษย์

    Microsoft กำลังเปิดศักราชใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการตั้งทีม “MAI Superintelligence” ที่มีเป้าหมายสร้าง AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจาก “การวินิจฉัยทางการแพทย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงและมีผลต่อชีวิตคนโดยตรง

    Microsoft ประกาศตั้งทีม MAI Superintelligence โดยมีเป้าหมายสร้าง AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจากการวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ความแม่นยำ และการตัดสินใจที่ซับซ้อน

    แนวคิดนี้คล้ายกับความพยายามของบริษัทอื่น เช่น Meta และ Safe Superintelligence Inc ที่ต้องการสร้าง AI ที่ไม่ใช่แค่ “เลียนแบบมนุษย์” แต่ “เหนือกว่า” ในด้านเฉพาะ

    แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดนี้อาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากไม่มีการค้นพบทางเทคนิคใหม่ๆ ที่พลิกวงการ

    Microsoft ตั้งทีม MAI Superintelligence
    เป้าหมายคือสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในบางด้าน
    เริ่มต้นจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนและมีผลต่อชีวิต
    เป็นหนึ่งในความพยายามระดับโลกในการสร้าง “superintelligence”

    ความหมายของ “Superintelligence”
    ไม่ใช่แค่ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจได้ดีกว่ามนุษย์
    อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์, วิศวกรรม, การวิจัย
    ต้องอาศัยการพัฒนาอัลกอริทึมและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำหน้า

    ความท้าทายและข้อจำกัด
    ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI สามารถ “เหนือกว่า” มนุษย์ในงานวินิจฉัยโรคได้จริง
    ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้อง ความโปร่งใส และจริยธรรมในการใช้งาน
    การนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    การคาดหวังว่า AI จะมาแทนแพทย์อาจสร้างความเข้าใจผิด
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การวินิจฉัยผิดพลาด
    ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/microsoft-launches-039superintelligence039-team-targeting-medical-diagnosis-to-start
    🧠 Microsoft เปิดทีม “Superintelligence” ลุยวินิจฉัยโรค – จุดเริ่มต้น AI ที่เก่งกว่ามนุษย์ Microsoft กำลังเปิดศักราชใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการตั้งทีม “MAI Superintelligence” ที่มีเป้าหมายสร้าง AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจาก “การวินิจฉัยทางการแพทย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงและมีผลต่อชีวิตคนโดยตรง Microsoft ประกาศตั้งทีม MAI Superintelligence โดยมีเป้าหมายสร้าง AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจากการวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ความแม่นยำ และการตัดสินใจที่ซับซ้อน แนวคิดนี้คล้ายกับความพยายามของบริษัทอื่น เช่น Meta และ Safe Superintelligence Inc ที่ต้องการสร้าง AI ที่ไม่ใช่แค่ “เลียนแบบมนุษย์” แต่ “เหนือกว่า” ในด้านเฉพาะ แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดนี้อาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากไม่มีการค้นพบทางเทคนิคใหม่ๆ ที่พลิกวงการ ✅ Microsoft ตั้งทีม MAI Superintelligence ➡️ เป้าหมายคือสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในบางด้าน ➡️ เริ่มต้นจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนและมีผลต่อชีวิต ➡️ เป็นหนึ่งในความพยายามระดับโลกในการสร้าง “superintelligence” ✅ ความหมายของ “Superintelligence” ➡️ ไม่ใช่แค่ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์, วิศวกรรม, การวิจัย ➡️ ต้องอาศัยการพัฒนาอัลกอริทึมและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำหน้า ✅ ความท้าทายและข้อจำกัด ➡️ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI สามารถ “เหนือกว่า” มนุษย์ในงานวินิจฉัยโรคได้จริง ➡️ ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้อง ความโปร่งใส และจริยธรรมในการใช้งาน ➡️ การนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ การคาดหวังว่า AI จะมาแทนแพทย์อาจสร้างความเข้าใจผิด ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การวินิจฉัยผิดพลาด ⛔ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/microsoft-launches-039superintelligence039-team-targeting-medical-diagnosis-to-start
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft launches 'superintelligence' team targeting medical diagnosis to start
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Microsoft is forming a new team that wants to build artificial intelligence that is vastly more capable than humans in certain domains, starting with medical diagnostics, the executive leading the effort told Reuters.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน
    ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs)

    บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี

    ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน

    วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization
    องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย
    ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security
    CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ

    บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้
    ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม
    การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang”
    ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน

    แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs
    สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ
    เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี
    วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ
    สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
    ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI

    คำเตือนจากบทเรียน ERP
    การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน
    การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง
    การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน

    ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    🛡️ จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs) บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization ➡️ องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย ➡️ ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security ➡️ CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้ ➡️ ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม ➡️ การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang” ➡️ ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน ✅ แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ ➡️ เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี ➡️ วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ ➡️ สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้ ➡️ ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI ‼️ คำเตือนจากบทเรียน ERP ⛔ การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน ⛔ การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง ⛔ การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What past ERP mishaps can teach CISOs about security platformization
    CISOs should study ERP challenges and best practices to pursue a successful transition from security point tools to integrated platforms.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “ICC ปลดพันธนาการจาก Microsoft 365 – เลือกใช้ Open Desk เพื่ออธิปไตยดิจิทัล”
    ลองจินตนาการว่าองค์กรระดับโลกอย่างศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ตัดสินใจเลิกใช้ Microsoft 365 แล้วหันไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของยุโรปแทน…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาครัฐของยุโรป

    ICC ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮก ได้ประกาศเปลี่ยนมาใช้ “Open Desk” ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สำนักงานแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zentrum Digitale Souveränität (Zendis) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Digital Commons European Digital Infrastructure Consortium (DC-EDIC) ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ Microsoft ตัดการเข้าถึงอีเมล Outlook ของหัวหน้าอัยการ ICC นาย Karim Khan โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยและอธิปไตยของข้อมูล

    นอกจาก ICC แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มทดลองใช้ Open Desk ภายใต้โครงการ “Mijn Bureau” ร่วมกับเทศบาลอัมสเตอร์ดัมและสมาคม VNG เพื่อสร้างระบบทำงานร่วมกันที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ

    ICC เลิกใช้ Microsoft 365 และเปลี่ยนมาใช้ Open Desk
    เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zendis จากเยอรมนี
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ DC-EDIC เพื่ออธิปไตยดิจิทัลของยุโรป

    Microsoft เคยตัดการเข้าถึงอีเมลของหัวหน้าอัยการ ICC
    นาย Karim Khan ถูกตัดออกจากบริการ Outlook โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
    Microsoft ยืนยันว่าไม่ได้หยุดบริการต่อองค์กร ICC โดยรวม

    ความกังวลเรื่องการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
    โดยเฉพาะหลังจาก Donald Trump กลับมาเป็นประธานาธิบดี
    เกิดแรงผลักดันให้ภาครัฐยุโรปหันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมได้เอง

    โครงการ “Mijn Bureau” ในเนเธอร์แลนด์เริ่มทดลองใช้ Open Desk
    ร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง เมืองอัมสเตอร์ดัม และ VNG
    ใช้สำหรับอีเมลและการทำงานร่วมกันในภาครัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Open Desk เป็นตัวอย่างของแนวคิด “Digital Sovereignty” ที่เน้นการควบคุมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน
    หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้ LibreOffice, Nextcloud และ Matrix แทนบริการจาก Big Tech
    การใช้โอเพ่นซอร์สช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานภาครัฐ

    https://www.binnenlandsbestuur.nl/digitaal/internationaal-strafhof-neemt-afscheid-van-microsoft-365
    🏛️ “ICC ปลดพันธนาการจาก Microsoft 365 – เลือกใช้ Open Desk เพื่ออธิปไตยดิจิทัล” ลองจินตนาการว่าองค์กรระดับโลกอย่างศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ตัดสินใจเลิกใช้ Microsoft 365 แล้วหันไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของยุโรปแทน…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาครัฐของยุโรป ICC ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮก ได้ประกาศเปลี่ยนมาใช้ “Open Desk” ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สำนักงานแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zentrum Digitale Souveränität (Zendis) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Digital Commons European Digital Infrastructure Consortium (DC-EDIC) ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ Microsoft ตัดการเข้าถึงอีเมล Outlook ของหัวหน้าอัยการ ICC นาย Karim Khan โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยและอธิปไตยของข้อมูล นอกจาก ICC แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มทดลองใช้ Open Desk ภายใต้โครงการ “Mijn Bureau” ร่วมกับเทศบาลอัมสเตอร์ดัมและสมาคม VNG เพื่อสร้างระบบทำงานร่วมกันที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ ✅ ICC เลิกใช้ Microsoft 365 และเปลี่ยนมาใช้ Open Desk ➡️ เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zendis จากเยอรมนี ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ DC-EDIC เพื่ออธิปไตยดิจิทัลของยุโรป ✅ Microsoft เคยตัดการเข้าถึงอีเมลของหัวหน้าอัยการ ICC ➡️ นาย Karim Khan ถูกตัดออกจากบริการ Outlook โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ➡️ Microsoft ยืนยันว่าไม่ได้หยุดบริการต่อองค์กร ICC โดยรวม ✅ ความกังวลเรื่องการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ➡️ โดยเฉพาะหลังจาก Donald Trump กลับมาเป็นประธานาธิบดี ➡️ เกิดแรงผลักดันให้ภาครัฐยุโรปหันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมได้เอง ✅ โครงการ “Mijn Bureau” ในเนเธอร์แลนด์เริ่มทดลองใช้ Open Desk ➡️ ร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง เมืองอัมสเตอร์ดัม และ VNG ➡️ ใช้สำหรับอีเมลและการทำงานร่วมกันในภาครัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Open Desk เป็นตัวอย่างของแนวคิด “Digital Sovereignty” ที่เน้นการควบคุมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้ LibreOffice, Nextcloud และ Matrix แทนบริการจาก Big Tech ➡️ การใช้โอเพ่นซอร์สช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานภาครัฐ https://www.binnenlandsbestuur.nl/digitaal/internationaal-strafhof-neemt-afscheid-van-microsoft-365
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้”

    ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

    Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software)

    บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ

    ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

    ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา
    ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง
    เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย”
    มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน
    การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง

    การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง
    เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4
    ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว

    โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ
    Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง
    Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง
    Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery
    Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ
    แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส
    การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ

    https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    🧠 “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้” ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software) บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ✅ ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา ➡️ ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง ➡️ เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ✅ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย” ➡️ มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน ➡️ การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง ✅ การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง ➡️ เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4 ➡️ ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว ✅ โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ ➡️ Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง ➡️ Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง ➡️ Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery ➡️ Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ ➡️ แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส ➡️ การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ownership of Digital Content Is an Illusion—Unless You Self‑Host
    Prices are rising across Netflix, Spotify, and their peers, and more people are quietly returning to the oldest playbook of the internet: piracy. Is the golden age of streaming over?
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
More Results