• "ความคิดเห็น"

    หากคนในหมู่คณะมีความคิดเห็นเสมอกัน ย่อมไม่เกิดความขัดเเย้งขึ้นในสังคมนั้น.

    เมื่อทุกท่านยึดหลักธรรม "สัมมาทิฏฐิ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์. ปัญหาต่างๆ ในหมู่คณะ ย่อมลดน้อยลงไป จนเกิดสันติสุขที่แท้จริง.

    ณรงค์ คนขำ
    05/11/2567
    "ความคิดเห็น" หากคนในหมู่คณะมีความคิดเห็นเสมอกัน ย่อมไม่เกิดความขัดเเย้งขึ้นในสังคมนั้น. เมื่อทุกท่านยึดหลักธรรม "สัมมาทิฏฐิ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์. ปัญหาต่างๆ ในหมู่คณะ ย่อมลดน้อยลงไป จนเกิดสันติสุขที่แท้จริง. ณรงค์ คนขำ 05/11/2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ความคิดเห็น"

    หากคนในหมู่คณะมีความคิดเห็นเสมอกัน ย่อมไม่เกิดความขัดเเย้งขึ้นในสังคมนั้น.

    เมื่อทุกท่านยึดหลักธรรม "สัมมาทิฏฐิ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์. ปัญหาต่างๆ ในหมู่คณะ ย่อมลดน้อยลงไป จนเกิดสันติสุขที่แท้จริง.

    ณรงค์ คนขำ
    05/11/2567
    "ความคิดเห็น" หากคนในหมู่คณะมีความคิดเห็นเสมอกัน ย่อมไม่เกิดความขัดเเย้งขึ้นในสังคมนั้น. เมื่อทุกท่านยึดหลักธรรม "สัมมาทิฏฐิ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์. ปัญหาต่างๆ ในหมู่คณะ ย่อมลดน้อยลงไป จนเกิดสันติสุขที่แท้จริง. ณรงค์ คนขำ 05/11/2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • จบเกมแล้ว

    จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้านสิทธิบัตรสำคัญๆมากมาย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ และหุ่นยนต์
    .
    สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเป็นอันดับ ๑ 🤣ในด้านวิศวกรรมสังคมและแนวคิดซาตาน🤣
    .
    Game over.

    China has surpassed the US in patents a myriad of critical areas like information technology and robotics.
    .
    The US is however #1 in social engineering and satanic ideas.
    .
    11:37 PM · Nov 4, 2024 · 12.9K Views
    https://x.com/Kanthan2030/status/1853476766490272187
    จบเกมแล้ว จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้านสิทธิบัตรสำคัญๆมากมาย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ และหุ่นยนต์ . สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเป็นอันดับ ๑ 🤣ในด้านวิศวกรรมสังคมและแนวคิดซาตาน🤣 . Game over. China has surpassed the US in patents a myriad of critical areas like information technology and robotics. . The US is however #1 in social engineering and satanic ideas. . 11:37 PM · Nov 4, 2024 · 12.9K Views https://x.com/Kanthan2030/status/1853476766490272187
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2567

    ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 7 เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง วันศุกร์ที่ 6 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 เป็นเดือน乙亥(อิกไห) กุนไม้ ธาตุไฟ มีกระแสพลังดาธาตุดิน 五黃 (โหงวอึ๊ง) ดาวแห่งวิบาก ดาวแห่งสันโดษและดาวแห่งอำนาจสูงสุด ร่วมกันขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) พลังดาวแห่งการฟ้องร้อง การต่อสู้แย่งชิง การทะเลาะวิวาท การเสียทรัพย์ ประจำที่ปีจร甲辰 (กะซิ้ง) มะโรงไม้ ธาตุไฟ จากแนวคิดที่ต่างยึดติดคิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ส่งผลให้สังคมยังคงรวมกันไม่ติดไม่ปรองดองต่อกัน เกิดแนวความคิดวิวาทะแตกแยกต่างขั้วจนเป็นคดีความต่อกัน แม้แต่การร่วมฉันทามติที่จะหาทางออกให้แก่สถาบันและองค์กรยังไร้เสถียรภาพเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยังผลให้เศรษฐกิจที่ต้องรอวันกระเตื้องกลับยิ่งจะเปราะบางเพิ่มมากขึ้น ทั้งตลาดเงิน ตลาดทอง ตลาดหุ้น ผันผวนขึ้นลงแปรปรวนอย่างไร้ทิศทาง แม้แต่โรคบางโรคอาจจะกลายพันธุ์ให้เป็นโรคเรื้อรังที่น่าหวาดกลัว อีกทั้งจะขึ้นรถลงเรือหรือขึ้นเหนือล่องใต้ควรตรวจสอบก่อนการเดินทางทุกครั้ง รวมทั้งอุบัติเหตุเภทภัยอันเนื่องจากผืนดินแยกแผ่นหินถล่ม
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 7 เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง วันศุกร์ที่ 6 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 เป็นเดือน乙亥(อิกไห) กุนไม้ ธาตุไฟ มีกระแสพลังดาธาตุดิน 五黃 (โหงวอึ๊ง) ดาวแห่งวิบาก ดาวแห่งสันโดษและดาวแห่งอำนาจสูงสุด ร่วมกันขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) พลังดาวแห่งการฟ้องร้อง การต่อสู้แย่งชิง การทะเลาะวิวาท การเสียทรัพย์ ประจำที่ปีจร甲辰 (กะซิ้ง) มะโรงไม้ ธาตุไฟ จากแนวคิดที่ต่างยึดติดคิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ส่งผลให้สังคมยังคงรวมกันไม่ติดไม่ปรองดองต่อกัน เกิดแนวความคิดวิวาทะแตกแยกต่างขั้วจนเป็นคดีความต่อกัน แม้แต่การร่วมฉันทามติที่จะหาทางออกให้แก่สถาบันและองค์กรยังไร้เสถียรภาพเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยังผลให้เศรษฐกิจที่ต้องรอวันกระเตื้องกลับยิ่งจะเปราะบางเพิ่มมากขึ้น ทั้งตลาดเงิน ตลาดทอง ตลาดหุ้น ผันผวนขึ้นลงแปรปรวนอย่างไร้ทิศทาง แม้แต่โรคบางโรคอาจจะกลายพันธุ์ให้เป็นโรคเรื้อรังที่น่าหวาดกลัว อีกทั้งจะขึ้นรถลงเรือหรือขึ้นเหนือล่องใต้ควรตรวจสอบก่อนการเดินทางทุกครั้ง รวมทั้งอุบัติเหตุเภทภัยอันเนื่องจากผืนดินแยกแผ่นหินถล่ม ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ

    ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ

    *

    ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้?

    *

    ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก

    *

    ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า

    *

    ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร

    *

    เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้

    เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว

    #thaitimes
    #ข้าราชการ
    #ข้อคิด
    #แนวคิด
    #บทความ
    #เตือนสติ
    #ทัวร์นรก
    สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ * ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้? * ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก * ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า * ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร * เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้ เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว #thaitimes #ข้าราชการ #ข้อคิด #แนวคิด #บทความ #เตือนสติ #ทัวร์นรก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO
    ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023

    ประวัติและการทำงาน

    Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์

    ผลงานสำคัญอื่นๆ

    นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น

    Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด

    Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ

    Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock


    อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้

    Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก

    Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก
    และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย
    Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี
    Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978
    และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก
    จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย
    ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม
    ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้
    แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก

    ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/


    GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ประวัติและการทำงาน Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์ ผลงานสำคัญอื่นๆ นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้ Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978 และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้ แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/
    Wow
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣️ แม้จะเป็นเพียงแนวคิดที่ต้องรอผลศึกษา แต่คนกรุงเทพฯ คงไม่ทนกับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาแบบกระทบประชาชนน้อยที่สุด กลับเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย เก็บเงินประชาชนไปให้นายทุนรถไฟฟ้า แล้วมาเคลมเอาหน้ากับค่าโดยสาร 20 บาท เลือกตั้งปี 70 เพื่อไทยจะได้คำตอบจากคนกรุงฯ ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
    #7ดอกจิก
    ♣️ แม้จะเป็นเพียงแนวคิดที่ต้องรอผลศึกษา แต่คนกรุงเทพฯ คงไม่ทนกับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาแบบกระทบประชาชนน้อยที่สุด กลับเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย เก็บเงินประชาชนไปให้นายทุนรถไฟฟ้า แล้วมาเคลมเอาหน้ากับค่าโดยสาร 20 บาท เลือกตั้งปี 70 เพื่อไทยจะได้คำตอบจากคนกรุงฯ ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ถ้ายังไม่มีเงินลงทุน ให้เริ่มต้นลงทุนในความรู้
    คือ ศึกษา จากสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้
    ในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น หนังสือ บทความ ยูทูป
    สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือ ศึกษาจากคนที่
    ประสบความสำเร็จ ของการลงทุนในสิ่งนั้นๆ
    เช่น แอดมิน มักศึกษาแนวคิด และวิธีการลงทุน
    ของ วอร์เรน บัฟเฟต เป็นต้น
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥ถ้ายังไม่มีเงินลงทุน ให้เริ่มต้นลงทุนในความรู้ คือ ศึกษา จากสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้ ในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น หนังสือ บทความ ยูทูป สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือ ศึกษาจากคนที่ ประสบความสำเร็จ ของการลงทุนในสิ่งนั้นๆ เช่น แอดมิน มักศึกษาแนวคิด และวิธีการลงทุน ของ วอร์เรน บัฟเฟต เป็นต้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • บรรยากาศสดชื่น กับแนวคิดดีๆ.. #คำคม #คติธรรม #ปรัชญาชีวิต #คลิปธรรมชาติ
    บรรยากาศสดชื่น กับแนวคิดดีๆ.. #คำคม #คติธรรม #ปรัชญาชีวิต #คลิปธรรมชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • สงครามตัวแทนของยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่สหรัฐฯพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะกอบกู้ความเป็นผู้นำระดับโลก

    🤣ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯในสงครามตัวแทนของยูเครนคุกคามการครอบงำของชาติตะวันตกโดยสิ้นเชิง🤣

    “ความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง,” มาร์ก สเลโบดา กล่าวในรายการ The Final Countdown ของสปุตนิกตอนสุดท้ายเมื่อวันอังคาร

    “ผมคิดว่า [ความพ่ายแพ้ในยูเครน] จะแย่กว่าการถอนตัวของอัฟกานิสถานมาก เพราะนักวิเคราะห์ตะวันตกส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้ – และผมก็เห็นด้วยกับพวกเขาในเรื่องนี้ – เป็นการสร้างความขัดแย้งในระเบียบโลก,” นักวิเคราะห์กล่าวต่อ “บอริส จอห์นสัน, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า: อำนาจครอบงำของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง”

    ปัจจุบันระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในหลายด้าน ในด้านเศรษฐกิจ ชาติตะวันตกกำลังล้มเหลว, ด้วยความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้น และการสูญเสียพลวัตและนวัตกรรมให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่นำโดยจีน ชื่อเสียงของยูเครนตกอยู่ในสภาพยับเยิน เนื่องจากความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรัฐลูกค้าอิสราเอลถูกเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่

    🤣ขณะนี้ ความพ่ายแพ้ของยูเครนกำลังทำลายภาพลักษณ์ของความไร้เทียมทานทางทหารของชาติตะวันตก เนื่องจากพบว่าการวางแผนและอาวุธที่ดีที่สุดของประเทศยังขาดตกบกพร่อง🤣

    “พวกเขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโนหลังสมัยใหม่ว่า หากพวกเขาถูกมองว่าแพ้รัสเซียในยูเครน... นี่จะเป็นสัญญาณของทฤษฎีโดมิโนสมัยใหม่บางรูปแบบ,” สเลโบดาอ้าง 🤣“ดังนั้นจึงไม่มีทางลงจอด ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีแนวคิดที่จะเห็นทางลงจอด, แน่นอนว่าไม่ใช่จากไบเดน-แฮร์ริส”🤣
    .
    UKRAINE PROXY WAR SET TO CONTINUE AS US DESPERATELY ATTEMPTS TO SALVAGE GLOBAL LEADERSHIP

    The defeat of the United States in its Ukraine proxy war threatens to fully discredit Western hegemony.

    “US global leadership is on the line,” claimed Mark Sleboda on the last episode of Sputnik’s The Final Countdown program Tuesday.

    “I would think [a loss in Ukraine] would be a lot worse than the Afghanistan withdrawal because most Western analysts regard this – and I agree with them on this – as a world order shaping conflict,” the analyst continued. “Boris Johnson, the former British prime minister, said it outright: US-led Western global hegemony is on the line.”

    The US-led world order is currently being discredited on a number of fronts. Economically the West is failing, with skyrocketing inequality and a loss of dynamism and innovation to the Chinese-led Global South. Its reputation lies in tatters as the genocidal brutality of its Israeli client state is fully unveiled.

    Now Ukraine’s defeat is eliminating the West’s aura of military invincibility as its best planning and armaments have been found wanting.

    “They believe in a post-modern domino theory that if they are seen as losing here in Ukraine against Russia… this would be some kind of modern domino theory signal,” Sleboda claimed. “So there’s just no off-ramp. I don’t even think there’s a conception of seeing an off-ramp, certainly not from Biden-Harris.”
    .
    7:31 AM · Oct 16, 2024 · 2,124 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1846348254394401149
    สงครามตัวแทนของยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่สหรัฐฯพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะกอบกู้ความเป็นผู้นำระดับโลก 🤣ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯในสงครามตัวแทนของยูเครนคุกคามการครอบงำของชาติตะวันตกโดยสิ้นเชิง🤣 “ความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง,” มาร์ก สเลโบดา กล่าวในรายการ The Final Countdown ของสปุตนิกตอนสุดท้ายเมื่อวันอังคาร “ผมคิดว่า [ความพ่ายแพ้ในยูเครน] จะแย่กว่าการถอนตัวของอัฟกานิสถานมาก เพราะนักวิเคราะห์ตะวันตกส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้ – และผมก็เห็นด้วยกับพวกเขาในเรื่องนี้ – เป็นการสร้างความขัดแย้งในระเบียบโลก,” นักวิเคราะห์กล่าวต่อ “บอริส จอห์นสัน, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า: อำนาจครอบงำของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง” ปัจจุบันระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในหลายด้าน ในด้านเศรษฐกิจ ชาติตะวันตกกำลังล้มเหลว, ด้วยความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้น และการสูญเสียพลวัตและนวัตกรรมให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่นำโดยจีน ชื่อเสียงของยูเครนตกอยู่ในสภาพยับเยิน เนื่องจากความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรัฐลูกค้าอิสราเอลถูกเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ 🤣ขณะนี้ ความพ่ายแพ้ของยูเครนกำลังทำลายภาพลักษณ์ของความไร้เทียมทานทางทหารของชาติตะวันตก เนื่องจากพบว่าการวางแผนและอาวุธที่ดีที่สุดของประเทศยังขาดตกบกพร่อง🤣 “พวกเขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโนหลังสมัยใหม่ว่า หากพวกเขาถูกมองว่าแพ้รัสเซียในยูเครน... นี่จะเป็นสัญญาณของทฤษฎีโดมิโนสมัยใหม่บางรูปแบบ,” สเลโบดาอ้าง 🤣“ดังนั้นจึงไม่มีทางลงจอด ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีแนวคิดที่จะเห็นทางลงจอด, แน่นอนว่าไม่ใช่จากไบเดน-แฮร์ริส”🤣 . UKRAINE PROXY WAR SET TO CONTINUE AS US DESPERATELY ATTEMPTS TO SALVAGE GLOBAL LEADERSHIP The defeat of the United States in its Ukraine proxy war threatens to fully discredit Western hegemony. “US global leadership is on the line,” claimed Mark Sleboda on the last episode of Sputnik’s The Final Countdown program Tuesday. “I would think [a loss in Ukraine] would be a lot worse than the Afghanistan withdrawal because most Western analysts regard this – and I agree with them on this – as a world order shaping conflict,” the analyst continued. “Boris Johnson, the former British prime minister, said it outright: US-led Western global hegemony is on the line.” The US-led world order is currently being discredited on a number of fronts. Economically the West is failing, with skyrocketing inequality and a loss of dynamism and innovation to the Chinese-led Global South. Its reputation lies in tatters as the genocidal brutality of its Israeli client state is fully unveiled. Now Ukraine’s defeat is eliminating the West’s aura of military invincibility as its best planning and armaments have been found wanting. “They believe in a post-modern domino theory that if they are seen as losing here in Ukraine against Russia… this would be some kind of modern domino theory signal,” Sleboda claimed. “So there’s just no off-ramp. I don’t even think there’s a conception of seeing an off-ramp, certainly not from Biden-Harris.” . 7:31 AM · Oct 16, 2024 · 2,124 Views https://x.com/SputnikInt/status/1846348254394401149
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในเลบานอน ที่จะปล่อยให้ฮิซบอลเลาะห์อยู่ใกล้ชายแดนทางเหนือของประเทศ หลังจากพวกนักรบกลุ่มนี้ขู่ยกระดับการโจมตี
    .
    ความเห็นของเนทันยาฮู มีขึ้นในขณะที่ สหรัฐฯ ยกระดับกดดันอิสราเอลต่อแนวทางการทำสงครามในเลบานอนและฉนวนกาซา โดยวิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ถล่มกรุงเบรุตเมื่อเร็วๆ นี้ และเรียกร้องให้เปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ดินแดนของปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น
    .
    ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ทางเนทันยาฮู บอกว่าเขาคัดค้านการหยุดยิงฝ่ายเดียว ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความมั่นคงในเลบานอน และสุดท้ายแล้วมันก็จะกลับสู่หนทางเดิมเหมือนที่เป็นอยู่ จากถ้อยแถลงของทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอล
    .
    เนทันยาฮู และกองทัพอิสราเอลยืนยันว่าจำเป็นต้องมีแนวกันชนตามชายแดนของอิสราเอลติดกับเลบานอน บริเวณที่ต้องไม่มีพวกนักรบฮิซบอลเลาะห์ปรากฏตัว "นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู พูดชัดเจนว่าอิสราเอลจะไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงใดๆ ที่ไม่มอบเขตกันชนนี้ ซึ่งจะไม่สามารถหยุดพวกฮิซบอลเลาะห์จากการเติมอาวุธและรวมกลุ่มกันใหม่" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ก่อนหน้านี้ ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ นาอิม กัสเซม รองหัวหน้ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์ บอกว่าทางออกเดียวคือข้อตกลงหยุดยิง แต่ขณะเดียวกันเขาได้ขู่ขยายขอบเขตการยิงขีปนาวุธโจมตีทั่วอิสราเอล "เนื่องด้วยศัตรูอิสรเอลเล็งเป้าหมายทั่วเลบานอน เราจึงมีสิทธิจากฐานะป้องกันตนเอง เล็งเป้าหมายในทุกๆ พื้นที่ในอิสราเอลเช่นกัน" เขากล่าว
    .
    ในอีกวันของการสู้รบ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน เผยว่าได้ยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่เมืองไฮฟา ทางเหนือของอิสราเอล และเล็งเป้าเล่นงานยานเกราะและรถถังของอิสราเอลที่อยู่ใกล้ชายแดน
    .
    อีกด้านหนึ่ง กองทัพอิสราเอลได้ทิ้งบอมบ์ถล่มหลายพื้นที่ในทางภาคใต้และตะวันออกของเลบานอนในวันอังคาร (15 ต.ค.) ในนั้นรวมถึงหุบเขาเบคา ทำให้โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองบาอัลเบค ต้องหยุดปฏิบัติการ ตามรายงานของสำนักข่าวแห่งชาติเลบานอน ขณะที่กองทัพอิสราเอลเผยด้วยว่าสามารถจับกุมนักรบฮิซบอลเลาะห์ได้ 3 ราย ทางใต้ของเลบานอน
    .
    กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ในเหตุโจมตีทางใต้ของประเทศในช่วงเย็นวันอังคาร (15 ต.ค.) และมีผู้เสียชีวิตอีก 5 คนในทางภาคเหนือ ในนั้นรวมถึงเด็ก 3 คน
    .
    ครั้งถูกถามเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเลบานอน ซึ่งพุ่งโดนอาคารที่พักอาศัยในย่านใจกลางกรุงเบรุต เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย "เราแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเราคัดค้านยุทธการในแนวทางแบบเดียวกับที่เราพบเห็นพวกเขาดำเนินการในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา" แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาบอกกับผู้สื่อข่าว
    .
    ในหนังสือที่ส่งถึงรัฐบาลอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ และลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เตือนด้วยว่า อเมริกาอาจระงับการส่งมอบอาวุธ จนกว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะถูกส่งมอบแก่ชาวปาเลสไตน์ในกาซาเพิ่มเติม
    .
    อิสราเอลยกระดับปฏิบัติการทางอากาศถล่มพวกฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนเป็นต้นมา จากนั้นก็เปิดปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นในอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง อ้างว่าเป็นความพยายามผลักดันให้พวกนักรบติดอาวุธล่าถอยออกห่างชายแดนทางเหนือ
    .
    ฮิซบอลเลาะห์ยิงจรวดหลายพันลูกเข้าใส่อิสราเอลตลอดขวบปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนพันธมิตรอย่างนักรบฮามาส ที่สู้รบกับอิสราเอลในกาซา ทำให้ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนต้องไร้ถิ่นฐาน
    .
    มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1,356 ราย ในเลบานอน นับตั้งแต่อิสราเอลยกระดับการทิ้งบอมบ์เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกัน สงครามในเลบานอน ชาติที่ทุกข์ทรมานมาจากวิกฤตเศรษฐกิจมานานหลายปี ก็ส่งผลให้มีชาวบ้านต้องไร้ถิ่นฐานอย่างน้อย 690,000 ราย
    .
    นอกเหนือจากปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่าง 2 ฝ่ายแล้ว อิสราเอลยังกำลังชั่งใจเกี่ยวกับแนวทางเอาคืนอิหร่าน ต่อกรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธมากกว่า 200 ลูก เข้าใส่ประเทศของพวกเขาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม
    .
    ทำเนียบนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู บอกว่าอิสราเอลจะเป็นคนตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการตอบโต้เอาคืน ไม่ใช่พันธมิตรอย่างสหรัฐฯ "เรารับฟังความเห็นจากสหรัฐฯ แต่เราจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายบนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติของเรา" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    อิหร่านรัวยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล แก้แค้นอิสราเอลที่ปฏิบัติการโจมตีในกรุงเบรุต สังหาร ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ และนายพลระดับสูงของอิหร่านรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กันยายน
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ รัฐบาลผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ป้อนแก่อิสราเอล เตือนอิสราเอลต่อการคิดโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์และน้ำมันของอิหร่าน และล่าสุดหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่อเมริกาที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม เผยว่า เนทันยาฮู รับปากกับทำเนียบขาว ว่าอิสราเอลจะพิจารณาโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099600
    ..............
    Sondhi X
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในเลบานอน ที่จะปล่อยให้ฮิซบอลเลาะห์อยู่ใกล้ชายแดนทางเหนือของประเทศ หลังจากพวกนักรบกลุ่มนี้ขู่ยกระดับการโจมตี . ความเห็นของเนทันยาฮู มีขึ้นในขณะที่ สหรัฐฯ ยกระดับกดดันอิสราเอลต่อแนวทางการทำสงครามในเลบานอนและฉนวนกาซา โดยวิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ถล่มกรุงเบรุตเมื่อเร็วๆ นี้ และเรียกร้องให้เปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ดินแดนของปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น . ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ทางเนทันยาฮู บอกว่าเขาคัดค้านการหยุดยิงฝ่ายเดียว ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความมั่นคงในเลบานอน และสุดท้ายแล้วมันก็จะกลับสู่หนทางเดิมเหมือนที่เป็นอยู่ จากถ้อยแถลงของทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอล . เนทันยาฮู และกองทัพอิสราเอลยืนยันว่าจำเป็นต้องมีแนวกันชนตามชายแดนของอิสราเอลติดกับเลบานอน บริเวณที่ต้องไม่มีพวกนักรบฮิซบอลเลาะห์ปรากฏตัว "นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู พูดชัดเจนว่าอิสราเอลจะไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงใดๆ ที่ไม่มอบเขตกันชนนี้ ซึ่งจะไม่สามารถหยุดพวกฮิซบอลเลาะห์จากการเติมอาวุธและรวมกลุ่มกันใหม่" ถ้อยแถลงระบุ . ก่อนหน้านี้ ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ นาอิม กัสเซม รองหัวหน้ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์ บอกว่าทางออกเดียวคือข้อตกลงหยุดยิง แต่ขณะเดียวกันเขาได้ขู่ขยายขอบเขตการยิงขีปนาวุธโจมตีทั่วอิสราเอล "เนื่องด้วยศัตรูอิสรเอลเล็งเป้าหมายทั่วเลบานอน เราจึงมีสิทธิจากฐานะป้องกันตนเอง เล็งเป้าหมายในทุกๆ พื้นที่ในอิสราเอลเช่นกัน" เขากล่าว . ในอีกวันของการสู้รบ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน เผยว่าได้ยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่เมืองไฮฟา ทางเหนือของอิสราเอล และเล็งเป้าเล่นงานยานเกราะและรถถังของอิสราเอลที่อยู่ใกล้ชายแดน . อีกด้านหนึ่ง กองทัพอิสราเอลได้ทิ้งบอมบ์ถล่มหลายพื้นที่ในทางภาคใต้และตะวันออกของเลบานอนในวันอังคาร (15 ต.ค.) ในนั้นรวมถึงหุบเขาเบคา ทำให้โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองบาอัลเบค ต้องหยุดปฏิบัติการ ตามรายงานของสำนักข่าวแห่งชาติเลบานอน ขณะที่กองทัพอิสราเอลเผยด้วยว่าสามารถจับกุมนักรบฮิซบอลเลาะห์ได้ 3 ราย ทางใต้ของเลบานอน . กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ในเหตุโจมตีทางใต้ของประเทศในช่วงเย็นวันอังคาร (15 ต.ค.) และมีผู้เสียชีวิตอีก 5 คนในทางภาคเหนือ ในนั้นรวมถึงเด็ก 3 คน . ครั้งถูกถามเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเลบานอน ซึ่งพุ่งโดนอาคารที่พักอาศัยในย่านใจกลางกรุงเบรุต เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย "เราแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเราคัดค้านยุทธการในแนวทางแบบเดียวกับที่เราพบเห็นพวกเขาดำเนินการในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา" แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาบอกกับผู้สื่อข่าว . ในหนังสือที่ส่งถึงรัฐบาลอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ และลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เตือนด้วยว่า อเมริกาอาจระงับการส่งมอบอาวุธ จนกว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะถูกส่งมอบแก่ชาวปาเลสไตน์ในกาซาเพิ่มเติม . อิสราเอลยกระดับปฏิบัติการทางอากาศถล่มพวกฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนเป็นต้นมา จากนั้นก็เปิดปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นในอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง อ้างว่าเป็นความพยายามผลักดันให้พวกนักรบติดอาวุธล่าถอยออกห่างชายแดนทางเหนือ . ฮิซบอลเลาะห์ยิงจรวดหลายพันลูกเข้าใส่อิสราเอลตลอดขวบปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนพันธมิตรอย่างนักรบฮามาส ที่สู้รบกับอิสราเอลในกาซา ทำให้ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนต้องไร้ถิ่นฐาน . มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1,356 ราย ในเลบานอน นับตั้งแต่อิสราเอลยกระดับการทิ้งบอมบ์เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกัน สงครามในเลบานอน ชาติที่ทุกข์ทรมานมาจากวิกฤตเศรษฐกิจมานานหลายปี ก็ส่งผลให้มีชาวบ้านต้องไร้ถิ่นฐานอย่างน้อย 690,000 ราย . นอกเหนือจากปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่าง 2 ฝ่ายแล้ว อิสราเอลยังกำลังชั่งใจเกี่ยวกับแนวทางเอาคืนอิหร่าน ต่อกรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธมากกว่า 200 ลูก เข้าใส่ประเทศของพวกเขาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม . ทำเนียบนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู บอกว่าอิสราเอลจะเป็นคนตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการตอบโต้เอาคืน ไม่ใช่พันธมิตรอย่างสหรัฐฯ "เรารับฟังความเห็นจากสหรัฐฯ แต่เราจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายบนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติของเรา" ถ้อยแถลงระบุ . อิหร่านรัวยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล แก้แค้นอิสราเอลที่ปฏิบัติการโจมตีในกรุงเบรุต สังหาร ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ และนายพลระดับสูงของอิหร่านรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กันยายน . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ รัฐบาลผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ป้อนแก่อิสราเอล เตือนอิสราเอลต่อการคิดโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์และน้ำมันของอิหร่าน และล่าสุดหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่อเมริกาที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม เผยว่า เนทันยาฮู รับปากกับทำเนียบขาว ว่าอิสราเอลจะพิจารณาโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099600 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 988 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิดถึงสมัยเกือบสิบกว่าปีแล้วที่ยังทำงานเป็นหัวหน้าแผนกร้านขายของเล่นสัญชาติอเมริกา ที่มีเจ้าของเป็นยิว ตอนนั้นมีครอบครัวชาวอิสราเอลมาถามว่าเขาซื้อบอร์ดเกมมาจากสาขาอื่นต่างประเทศมาหลายเดือนแล้ว อยากจะ refund เพราะไม่ได้เล่นแล้ว เราก็บอกไม่ได้ เพราะคุณใช้งานมาหลายเดือนแล้ว และคุณก็ไม่เหลือหลักฐานอะไรที่บอกว่าซื้อจากเราที่ประเทศไหน เขาตอบกลับมาว่า “แต่พวกฉันคือคนอิสราเอลนะ” ....เล่นเอาผมสตันท์สักพัก และถามเขากลับว่า 🤨 so.....? เขาก็ทำหน้าอึ้งๆที่เราตอบแบบนั้น เพราะเหมือนว่าทำไมไม่ตอบสนองเขานะ อุตส่าห์พูดคำศักสิทธิ์แล้วนะ แล้วเขาก็บอก ok และเดินจากไป....

    ผมว่าคนอิสราเอลมีแนวคิด และการสั่งสอนจากรุ่นสู่รุ่นที่ไม่ธรรมดาทีเดียว ทั้งในเรื่องการเจรจาต่อรอง และทัศนคติที่สูงส่งของพวกเขา 🤔

    ประเทศที่น่ากลัวในเรื่องเจรจาค้าขายก็คงเป็น อินเดีย สิงค์โปร และอิสราเอล เพราะทุกเรื่องเขาคุยนั้นจะไม่ win/win กับเรา แต่เขาจะต้อง win win/lose หรืออย่างน้อยก็ win win/win
    คิดถึงสมัยเกือบสิบกว่าปีแล้วที่ยังทำงานเป็นหัวหน้าแผนกร้านขายของเล่นสัญชาติอเมริกา ที่มีเจ้าของเป็นยิว ตอนนั้นมีครอบครัวชาวอิสราเอลมาถามว่าเขาซื้อบอร์ดเกมมาจากสาขาอื่นต่างประเทศมาหลายเดือนแล้ว อยากจะ refund เพราะไม่ได้เล่นแล้ว เราก็บอกไม่ได้ เพราะคุณใช้งานมาหลายเดือนแล้ว และคุณก็ไม่เหลือหลักฐานอะไรที่บอกว่าซื้อจากเราที่ประเทศไหน เขาตอบกลับมาว่า “แต่พวกฉันคือคนอิสราเอลนะ” ....เล่นเอาผมสตันท์สักพัก และถามเขากลับว่า 🤨 so.....? เขาก็ทำหน้าอึ้งๆที่เราตอบแบบนั้น เพราะเหมือนว่าทำไมไม่ตอบสนองเขานะ อุตส่าห์พูดคำศักสิทธิ์แล้วนะ แล้วเขาก็บอก ok และเดินจากไป.... ผมว่าคนอิสราเอลมีแนวคิด และการสั่งสอนจากรุ่นสู่รุ่นที่ไม่ธรรมดาทีเดียว ทั้งในเรื่องการเจรจาต่อรอง และทัศนคติที่สูงส่งของพวกเขา 🤔 ประเทศที่น่ากลัวในเรื่องเจรจาค้าขายก็คงเป็น อินเดีย สิงค์โปร และอิสราเอล เพราะทุกเรื่องเขาคุยนั้นจะไม่ win/win กับเรา แต่เขาจะต้อง win win/lose หรืออย่างน้อยก็ win win/win
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงงานป้ายแขวน ของ..สาคร

    ในช่วงที่สินค้าถูกทำการตลาดหลากหลายช่องทางด้วยเงินสมาชิก ก็ทำให้สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ขายดีมากๆ

    จนนาย สาคร เริ่มเกิดความระแวง กลัวว่าสมาชิกจะไปติดต่อที่โรงงานเพื่อผลิตสินค้าและทำการตลาดแข่งกับบริษัทของตัวเอง

    นายสาคร ก็เลยกลัวว่าคนจะไม่ทำงานให้กับตัวเอง เพราะตามหลักของคนขายดีก็มักจะแยกตัวออกไปทำเอง โดยดูจากหลังกล่องสินค้าก็จะเจอโรงงานผลิตที่แท้จริง

    #ยุทธการโรงงานป้ายแขวน จึงเกิดขึ้น

    มีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ดี เน็ตเวิร์ก แล็บ จำกัด (ผู้ถือหุ้นก็ 3 เกลอเจ้าของบริษัท DNW )

    วัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการปกปิดชื่อของโรงงานที่ผลิตสินค้าจริงๆ โดยใช้ชื่อของบริษัทใหม่เป็นผู้ผลิตแทน

    เพื่อปิดบังชื่อโรงงานที่ผลิตสินค้าที่แท้จริงเอาไว้ โดยมีการจัดทริปเพื่อนำสมาชิกส่วนหนึ่งไปเยี่ยมชมโรงงานที่ผลิตในช่วงแรก

    แต่ในความเป็นจริงแล้วโรงงานนี้ #เป็นโรงงานทิพย์

    โรงงานมีแค่ป้ายแขวน ไม่ได้มีเครื่องกลในการผลิตสินค้าจริงๆ มีสินค้ามากกว่า 80 ยี่ห้อมีฉลากระบุว่าผลิตจากโรงงานทิพย์ ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาใหม่

    แต่ทั้ง 80 สินค้านั้นกลับไม่เคยมีการผลิต #เป็นสินค้าทิพย์

    มันเป็นสินค้า 80 ตัวที่สร้างปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกสมาชิกว่าโรงงานทิพย์แห่งนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าถึง 80 ยี่ห้อ

    จึงทำให้งบการเงินของโรงงานที่ยื่นทุกปีไม่มีอะไรสอดคล้องกับยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัทหลักเลย

    เพราะความจริงแล้วสินค้าทุกตัวของ DNW ถูกผลิตขึ้นที่บริษัท อินโนว่า แล็บโบราโทรี่ จำกัด

    นับเป็นแผนการอันแยบยลของสามเกลอเพื่อปิดบังไม่ให้ใครไปต่อสายตรงกับโรงงานผลิตของตัวเองได้

    ---------

    เข้าสู่ยุคการตลาดออนไลน์..

    ปี 2559 นาย สาคร ได้เริ่มนำพาสมาชิกเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยในช่วงแรกทำการตลาดแบบไม่ยิงโฆษณา เน้นการโพสต์กลุ่ม สร้างเฟซบุ๊กอวตาร

    หลังจากอยู่ในโลกออนไลน์มาพักใหญ่ Facebook เริ่มมีการให้บริการซื้อโฆษณานาย สาคร จึงไปลงเรียนคอร์สยิงแอดสอนฟรีจัดโดย ม.หอการค้า

    พอเริ่มตั้งโฆษณาเป็น นาย สาคร ก็เริ่มมาปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ เลิกสนใจออฟไลน์ จะพาทุกคนไปออนไลน์ให้หมด

    ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน ช่วงแรกค่าโฆษณามันถูกมากๆ โฆษณาแค่วันละ 300 ขายได้วันละหลายพัน หลายหมื่นบาท

    แต่ก็เหมือนเดิม คนอย่างนาย สาคร มันไม่จ่ายเองหรอก มันใช้หลักการ OPM (Other People Money) เหมือนเดิม

    ซึ่งในช่วงแรกๆมันง่ายและได้ผลจริง เพราะเป็นบริษัทแรกๆที่พาคนมาขายออนไลน์ คนแข่งขันมันน้อย ยอดบริษัทก็เริ่มกลับมา

    สาคร..ผู้มีสมองเพชร เลยมีแนวคิดสร้างสถาบันสอนการขายของออนไลน์ โดยไปซื้อที่ดินบางส่วนและเช่าที่ดินข้างหลังทำอาคารและที่จอดรถ
    👉 https://maps.app.goo.gl/4VYYkmVkyT4DPYkC6

    โดยให้สมาชิกชวนคนมาเรียนออนไลน์

    สาคร..สอนการทำการตลาดโฆษณา Facebook เป็นหลัก ขายปลีก + ชวนคน เป็นรูปแบบของการสร้างเครือข่ายนักขายออนไลน์

    ที่มีคนมาจ่ายค่าโฆษณาสินค้าให้ หลักการ OPM แบบเดิมอีกแล้ว โดยที่ สาคร วางแผนว่าตัวเองจะไม่ต้องควักเงินสักบาท

    ปี 2560 เริ่มมีการติดต่อศิลปินมาหลายคนรวมทั้ง“ครูสลา”ด้วย

    การจ้างครูสลามาเป็น Presenter ซึ่งถือเป็นความโชคดีของสาคร เพราะครูสลาทำให้สินค้าเกี่ยวกับดวงตาเป็นที่รู้จักและเกิดความต้องการในตลาดอย่างมาก

    เนื่องจากแฟนคลับของครูสลานั้นมากมายล้นหลาม ตอนยิงโฆษณาด้วยความ จร.ของสาคร ก็ตั้งโฆษณาเลยว่าศิลปินเหล่านั้นเป็นคนขายผลิตภัณฑ์นี้เอง

    จนคนทั่วไปเรียกกันว่า.. "ยาครูสลา"

    แล้วด้วยความโลภของสาคร ก็เลยไปกระตุ้นให้ตั้งโฆษณาโดยเคลมว่าสามารถ"รักษาได้ผล" ไม่ว่าจะเป็น ต้อกระจก ต้อหิน กระจกตาอักเสบ หายได้โดยไม่ต้องหาหมอ

    ซึ่งโรคพวกนี้คนต่างจังหวัดเป็นกันมาก และเวลาไปรักษากับหมอก็จะบอกว่ามีค่าผ่าตัดที่แพงมากทำให้ไม่มีทางเลือกในการรักษา

    ต้องมองหาการรักษาที่ถูกกว่าค่าผ่าตัด พอมาเจอโฆษณา“ยาครูสลา”โพสต์อยู่เต็ม Facebook เท่านั้นแหละ ยอดขายพุ่งกระฉูดนับเงินกันชุ่่มฉ่ำ

    โดยนายสาครได้ใส่โฆษณาเกินจริงชักนำให้สมาชิกแต่ละคนควักเงินจ่ายค่าโฆษณาเกินจริงกันให้เต็มที่

    ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ของยอดขายที่เติบโตเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันความฉิบหายก็มาเกิดกับครูสลาคนเดียว อย.ได้เรียกครูสลาไปปรับครั้งแรก

    ครูสลา..ต้องรับหน้าเสื่อออกหน้าอยู่คนเดียว โดนค่าปรับ 500,000 บาท แกก็ยอมจ่ายเอง จึงเป็นเหตุให้ครูสลาไม่ต่อสัญญาในภายหลัง เรื่องนี้นักเรียนยังไม่รู้เลยสักคน

    ครูสลา..บอกเลิกสัญญาไปแล้วแต่สาครยังคงใช้รูปครูสลาไปเรื่อยๆ จน อย.ได้เรียกครูสลาไปสนทนาเสียค่าปรับเป็นครั้งที่ 2 โดนอีก 500,000 บาทอีก

    จนครูสลาต้องร้องเพลงตัวเอง "เหนื่อยไหมคนดีมีพี่เป็นพรีเซนเตอร์" ถถถ แล้วทำหนังสือแจ้งเตือนไปที่สาคร ห้ามใช้ภาพแกทำโฆษณาอีก

    แต่ก็ยังมีการยิงแอดกันอย่างถล่มทลายไปที่“ยาครูสลา ”จนสุดท้าย อย.ได้ยกเลิกใบอนุญาตสินค้าตัวนั้นไป

    สาคร..ก็เปลี่ยนชื่อสินค้าเป็นชื่ออื่นเปลี่ยนไปเรื่ิอยๆ จ่าย อย.เสร็จก็ย้ายชื่อหนี แก้ไขชื่อนิดหน่อย เลข อย.ใหม่ ทดแทนเลขเดิมที่โดนยกเลิก

    จากชื่อแรก DContact เป็น Dcontact2 , dcontact plus , dcontact x แล้วก็ยังคงให้นักเรียนขายต่อ

    ช่วงนั้นสินค้าที่ขายดีของบริษัทคือ KOREGINS และ DContact และก็มีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับสายตาเอาไว้ up sell คือ Viewo โดย บ.เคนยากุ เป็นผู้ผลิต

    ปี 2561 สถาบันสอนขายของออนไลน์ DNW ในช่วงนั้น ถือว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนต้องการ

    สินค้าก็เริ่มมีมากขึ้น เช่น ALERTIDE เริ่มมีจำนวนสมาชิกเข้าสู่ธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน the icon เปี๊ยบเลย

    เพียงแต่ DNW เป็นยุคแรกของการยิงโฆษณาโดยใช้ OPM แต่ยุคนั้นบอสพอลยังคงยิงแอดเองอยู่เลย ประกอบกับยุคนั้นออนไลน์มันขายของได้ง่ายมากๆ

    -------

    สาคร..เริ่มหลงตัวเอง

    เมื่อความพร้อมมี ความหงี่จึงบังเกิด สาคร เริ่มกลายเป็นสมภาร กินไก่วัดตัวเอง เมื่อมีสมาชิกคนไหนหน้าตาดีหน่อย มีท่าทีเล่นด้วยพี่แกฟาดหมดไม่สนลูกใคร

    จ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวหลายคน เห็นว่าบางคนได้บ้านเป็นหลังก็มี ได้รถไปขับ เงินแค่นี้ไม่ระคายผิวสาครอยู่แล้ว

    ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับแซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยเบอร์ 1 (เพราะแซนก็คงลืมไปว่าตัวเองก็เป็นเมียน้อยเหมือนกัน ถถถ)

    สาคร..เลยปลอบใจแซนโดยการซื้อที่ดินปลูกบ้านหรูให้อยู่ในหมู่บ้านปัญญารามอินทรา P6
    👉 https://maps.app.goo.gl/afjf9TnjQziFjhWUA

    เรื่องบ้านราคา 100 ล้าน กับรถเฟอรารี่ที่ขับ ep.3 จะเล่าให้ฟังว่าเอามาจากไหน.?

    --------

    สินค้าคุณภาพขายดี แต่โดน อย.ฟัน แล้วถ้าใครขายไม่ดีจะทำอย่างไร.?

    แผนอันแยบยลของ สาคร คือออกกฎห้ามทุกคนขายของบน Shopee , Lazada และห้ามขายราคาต่ำกว่าราคาบนกล่อง

    แต่ความ จร.ของสาคร คือปล่อยให้ Downline คนสนิทที่เป็นนอมินี เอาของไปขายบน Shopee , Lazada ตัดราคาสมาชิกเสียเอง

    แต่ในขณะเดียวกันในฐานออฟไลน์ที่ของต้องไปขายตามตลาดทั่วๆไปหรือหน้าร้าน สาคร ได้ตั้งโกดังปล่อยของแถวพัฒนาการ ปล่อยของหลังบ้าน

    เรียกว่ากินหัวคิวออนไลน์ไม่พอ ยังผลิตของมาปล่อยไม่ผ่านบริษัทเพื่อไปออฟไลน์อีก

    และอาหารเสริมหลายๆตัวก็เป็นแบบ DContact พอโดนเรื่อง อย.ก็จะใช้วิธีจดเลข อย.ใหม่ เปลี่ยนสารสกัด เพื่อกลับมาขายใหม่

    โดยมักจะเป็นกับอาหารเสริมที่ อย.ควบคุมเข้มอยู่แล้ว เช่น ลดน้ำหนัก Rafeata และ อาหารเสริมความแข็งแรงท่านชาย 7seed

    พอโดน อย.เล่น ก็จะกลับมาใหม่ในชื่อ 7SeDe (เซเว่น เซเด) สาคร ทำแบบนี้มาตลอด แค่เปลี่ยนชื่อ แล้วให้นักเรียนทำการตลาดต่อไป..จนนักเรียนโดนจับ

    ยิ่งขับเฟซอวตารมาพิมพ์ตีเนียน พ่ะยิ่งขยี้อ่ะ 🤨 เอาดิ่เอ้า แล้วมาคอยอ่านตอน 3 ด้วยนะครับนะ

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/uj12aLxwZ7kkhEVM/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    โรงงานป้ายแขวน ของ..สาคร ในช่วงที่สินค้าถูกทำการตลาดหลากหลายช่องทางด้วยเงินสมาชิก ก็ทำให้สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ขายดีมากๆ จนนาย สาคร เริ่มเกิดความระแวง กลัวว่าสมาชิกจะไปติดต่อที่โรงงานเพื่อผลิตสินค้าและทำการตลาดแข่งกับบริษัทของตัวเอง นายสาคร ก็เลยกลัวว่าคนจะไม่ทำงานให้กับตัวเอง เพราะตามหลักของคนขายดีก็มักจะแยกตัวออกไปทำเอง โดยดูจากหลังกล่องสินค้าก็จะเจอโรงงานผลิตที่แท้จริง #ยุทธการโรงงานป้ายแขวน จึงเกิดขึ้น มีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ดี เน็ตเวิร์ก แล็บ จำกัด (ผู้ถือหุ้นก็ 3 เกลอเจ้าของบริษัท DNW ) วัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการปกปิดชื่อของโรงงานที่ผลิตสินค้าจริงๆ โดยใช้ชื่อของบริษัทใหม่เป็นผู้ผลิตแทน เพื่อปิดบังชื่อโรงงานที่ผลิตสินค้าที่แท้จริงเอาไว้ โดยมีการจัดทริปเพื่อนำสมาชิกส่วนหนึ่งไปเยี่ยมชมโรงงานที่ผลิตในช่วงแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วโรงงานนี้ #เป็นโรงงานทิพย์ โรงงานมีแค่ป้ายแขวน ไม่ได้มีเครื่องกลในการผลิตสินค้าจริงๆ มีสินค้ามากกว่า 80 ยี่ห้อมีฉลากระบุว่าผลิตจากโรงงานทิพย์ ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ทั้ง 80 สินค้านั้นกลับไม่เคยมีการผลิต #เป็นสินค้าทิพย์ มันเป็นสินค้า 80 ตัวที่สร้างปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกสมาชิกว่าโรงงานทิพย์แห่งนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าถึง 80 ยี่ห้อ จึงทำให้งบการเงินของโรงงานที่ยื่นทุกปีไม่มีอะไรสอดคล้องกับยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัทหลักเลย เพราะความจริงแล้วสินค้าทุกตัวของ DNW ถูกผลิตขึ้นที่บริษัท อินโนว่า แล็บโบราโทรี่ จำกัด นับเป็นแผนการอันแยบยลของสามเกลอเพื่อปิดบังไม่ให้ใครไปต่อสายตรงกับโรงงานผลิตของตัวเองได้ --------- เข้าสู่ยุคการตลาดออนไลน์.. ปี 2559 นาย สาคร ได้เริ่มนำพาสมาชิกเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยในช่วงแรกทำการตลาดแบบไม่ยิงโฆษณา เน้นการโพสต์กลุ่ม สร้างเฟซบุ๊กอวตาร หลังจากอยู่ในโลกออนไลน์มาพักใหญ่ Facebook เริ่มมีการให้บริการซื้อโฆษณานาย สาคร จึงไปลงเรียนคอร์สยิงแอดสอนฟรีจัดโดย ม.หอการค้า พอเริ่มตั้งโฆษณาเป็น นาย สาคร ก็เริ่มมาปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ เลิกสนใจออฟไลน์ จะพาทุกคนไปออนไลน์ให้หมด ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน ช่วงแรกค่าโฆษณามันถูกมากๆ โฆษณาแค่วันละ 300 ขายได้วันละหลายพัน หลายหมื่นบาท แต่ก็เหมือนเดิม คนอย่างนาย สาคร มันไม่จ่ายเองหรอก มันใช้หลักการ OPM (Other People Money) เหมือนเดิม ซึ่งในช่วงแรกๆมันง่ายและได้ผลจริง เพราะเป็นบริษัทแรกๆที่พาคนมาขายออนไลน์ คนแข่งขันมันน้อย ยอดบริษัทก็เริ่มกลับมา สาคร..ผู้มีสมองเพชร เลยมีแนวคิดสร้างสถาบันสอนการขายของออนไลน์ โดยไปซื้อที่ดินบางส่วนและเช่าที่ดินข้างหลังทำอาคารและที่จอดรถ 👉 https://maps.app.goo.gl/4VYYkmVkyT4DPYkC6 โดยให้สมาชิกชวนคนมาเรียนออนไลน์ สาคร..สอนการทำการตลาดโฆษณา Facebook เป็นหลัก ขายปลีก + ชวนคน เป็นรูปแบบของการสร้างเครือข่ายนักขายออนไลน์ ที่มีคนมาจ่ายค่าโฆษณาสินค้าให้ หลักการ OPM แบบเดิมอีกแล้ว โดยที่ สาคร วางแผนว่าตัวเองจะไม่ต้องควักเงินสักบาท ปี 2560 เริ่มมีการติดต่อศิลปินมาหลายคนรวมทั้ง“ครูสลา”ด้วย การจ้างครูสลามาเป็น Presenter ซึ่งถือเป็นความโชคดีของสาคร เพราะครูสลาทำให้สินค้าเกี่ยวกับดวงตาเป็นที่รู้จักและเกิดความต้องการในตลาดอย่างมาก เนื่องจากแฟนคลับของครูสลานั้นมากมายล้นหลาม ตอนยิงโฆษณาด้วยความ จร.ของสาคร ก็ตั้งโฆษณาเลยว่าศิลปินเหล่านั้นเป็นคนขายผลิตภัณฑ์นี้เอง จนคนทั่วไปเรียกกันว่า.. "ยาครูสลา" แล้วด้วยความโลภของสาคร ก็เลยไปกระตุ้นให้ตั้งโฆษณาโดยเคลมว่าสามารถ"รักษาได้ผล" ไม่ว่าจะเป็น ต้อกระจก ต้อหิน กระจกตาอักเสบ หายได้โดยไม่ต้องหาหมอ ซึ่งโรคพวกนี้คนต่างจังหวัดเป็นกันมาก และเวลาไปรักษากับหมอก็จะบอกว่ามีค่าผ่าตัดที่แพงมากทำให้ไม่มีทางเลือกในการรักษา ต้องมองหาการรักษาที่ถูกกว่าค่าผ่าตัด พอมาเจอโฆษณา“ยาครูสลา”โพสต์อยู่เต็ม Facebook เท่านั้นแหละ ยอดขายพุ่งกระฉูดนับเงินกันชุ่่มฉ่ำ โดยนายสาครได้ใส่โฆษณาเกินจริงชักนำให้สมาชิกแต่ละคนควักเงินจ่ายค่าโฆษณาเกินจริงกันให้เต็มที่ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ของยอดขายที่เติบโตเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันความฉิบหายก็มาเกิดกับครูสลาคนเดียว อย.ได้เรียกครูสลาไปปรับครั้งแรก ครูสลา..ต้องรับหน้าเสื่อออกหน้าอยู่คนเดียว โดนค่าปรับ 500,000 บาท แกก็ยอมจ่ายเอง จึงเป็นเหตุให้ครูสลาไม่ต่อสัญญาในภายหลัง เรื่องนี้นักเรียนยังไม่รู้เลยสักคน ครูสลา..บอกเลิกสัญญาไปแล้วแต่สาครยังคงใช้รูปครูสลาไปเรื่อยๆ จน อย.ได้เรียกครูสลาไปสนทนาเสียค่าปรับเป็นครั้งที่ 2 โดนอีก 500,000 บาทอีก จนครูสลาต้องร้องเพลงตัวเอง "เหนื่อยไหมคนดีมีพี่เป็นพรีเซนเตอร์" ถถถ แล้วทำหนังสือแจ้งเตือนไปที่สาคร ห้ามใช้ภาพแกทำโฆษณาอีก แต่ก็ยังมีการยิงแอดกันอย่างถล่มทลายไปที่“ยาครูสลา ”จนสุดท้าย อย.ได้ยกเลิกใบอนุญาตสินค้าตัวนั้นไป สาคร..ก็เปลี่ยนชื่อสินค้าเป็นชื่ออื่นเปลี่ยนไปเรื่ิอยๆ จ่าย อย.เสร็จก็ย้ายชื่อหนี แก้ไขชื่อนิดหน่อย เลข อย.ใหม่ ทดแทนเลขเดิมที่โดนยกเลิก จากชื่อแรก DContact เป็น Dcontact2 , dcontact plus , dcontact x แล้วก็ยังคงให้นักเรียนขายต่อ ช่วงนั้นสินค้าที่ขายดีของบริษัทคือ KOREGINS และ DContact และก็มีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับสายตาเอาไว้ up sell คือ Viewo โดย บ.เคนยากุ เป็นผู้ผลิต ปี 2561 สถาบันสอนขายของออนไลน์ DNW ในช่วงนั้น ถือว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนต้องการ สินค้าก็เริ่มมีมากขึ้น เช่น ALERTIDE เริ่มมีจำนวนสมาชิกเข้าสู่ธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน the icon เปี๊ยบเลย เพียงแต่ DNW เป็นยุคแรกของการยิงโฆษณาโดยใช้ OPM แต่ยุคนั้นบอสพอลยังคงยิงแอดเองอยู่เลย ประกอบกับยุคนั้นออนไลน์มันขายของได้ง่ายมากๆ ------- สาคร..เริ่มหลงตัวเอง เมื่อความพร้อมมี ความหงี่จึงบังเกิด สาคร เริ่มกลายเป็นสมภาร กินไก่วัดตัวเอง เมื่อมีสมาชิกคนไหนหน้าตาดีหน่อย มีท่าทีเล่นด้วยพี่แกฟาดหมดไม่สนลูกใคร จ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวหลายคน เห็นว่าบางคนได้บ้านเป็นหลังก็มี ได้รถไปขับ เงินแค่นี้ไม่ระคายผิวสาครอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับแซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยเบอร์ 1 (เพราะแซนก็คงลืมไปว่าตัวเองก็เป็นเมียน้อยเหมือนกัน ถถถ) สาคร..เลยปลอบใจแซนโดยการซื้อที่ดินปลูกบ้านหรูให้อยู่ในหมู่บ้านปัญญารามอินทรา P6 👉 https://maps.app.goo.gl/afjf9TnjQziFjhWUA เรื่องบ้านราคา 100 ล้าน กับรถเฟอรารี่ที่ขับ ep.3 จะเล่าให้ฟังว่าเอามาจากไหน.? -------- สินค้าคุณภาพขายดี แต่โดน อย.ฟัน แล้วถ้าใครขายไม่ดีจะทำอย่างไร.? แผนอันแยบยลของ สาคร คือออกกฎห้ามทุกคนขายของบน Shopee , Lazada และห้ามขายราคาต่ำกว่าราคาบนกล่อง แต่ความ จร.ของสาคร คือปล่อยให้ Downline คนสนิทที่เป็นนอมินี เอาของไปขายบน Shopee , Lazada ตัดราคาสมาชิกเสียเอง แต่ในขณะเดียวกันในฐานออฟไลน์ที่ของต้องไปขายตามตลาดทั่วๆไปหรือหน้าร้าน สาคร ได้ตั้งโกดังปล่อยของแถวพัฒนาการ ปล่อยของหลังบ้าน เรียกว่ากินหัวคิวออนไลน์ไม่พอ ยังผลิตของมาปล่อยไม่ผ่านบริษัทเพื่อไปออฟไลน์อีก และอาหารเสริมหลายๆตัวก็เป็นแบบ DContact พอโดนเรื่อง อย.ก็จะใช้วิธีจดเลข อย.ใหม่ เปลี่ยนสารสกัด เพื่อกลับมาขายใหม่ โดยมักจะเป็นกับอาหารเสริมที่ อย.ควบคุมเข้มอยู่แล้ว เช่น ลดน้ำหนัก Rafeata และ อาหารเสริมความแข็งแรงท่านชาย 7seed พอโดน อย.เล่น ก็จะกลับมาใหม่ในชื่อ 7SeDe (เซเว่น เซเด) สาคร ทำแบบนี้มาตลอด แค่เปลี่ยนชื่อ แล้วให้นักเรียนทำการตลาดต่อไป..จนนักเรียนโดนจับ ยิ่งขับเฟซอวตารมาพิมพ์ตีเนียน พ่ะยิ่งขยี้อ่ะ 🤨 เอาดิ่เอ้า แล้วมาคอยอ่านตอน 3 ด้วยนะครับนะ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/uj12aLxwZ7kkhEVM/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷

    การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก

    ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก......

    เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ?

    และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ?

    เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์

    สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม

    การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์

    การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม

    ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด

    สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา

    มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา

    ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา

    สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน

    สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ

    อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก

    ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก

    ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์

    ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย

    แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ

    รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!!

    หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ

    แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย

    ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด

    พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ

    นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร

    ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน

    การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน

    "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷 การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก...... เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ? และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ? เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์ สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์ การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์ ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!! หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้ แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปฐมบท DNW

    สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร

    นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน

    แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย

    และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ

    ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท

    หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย

    แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.?
    -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์
    👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe

    ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ

    สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย

    ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที

    สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553

    โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์)

    MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100

    ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์

    ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร

    โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar

    จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น

    เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1.

    สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ

    ถูกไหม.?

    นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท

    ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า

    ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม)

    *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก**
    ----------

    ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม

    วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง

    จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว"

    หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน)

    ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท

    หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้

    การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น

    เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค

    ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.?

    สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท

    จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า

    เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ)

    ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก

    รอติดตามความแหกตอนที่ 2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    #ปฐมบท DNW สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.? -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์ 👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553 โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์) MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100 ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์ ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1. สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ ถูกไหม.? นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม) *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก** ---------- ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว" หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน) ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้ การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.? สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ) ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก รอติดตามความแหกตอนที่ 2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอนำเสนอหลายมุมมองละกัน..
    คนจำนวนไม่น้อย ขายเป็นของ Rare item..บางกลุ่มสายตรงห้ามขายเลย..เพราะแอดมินเขาเองเป็นผู้สร้างพระหลายรุ่น..เขารู้เรื่องดี ว่าคืออะไร .
    ..จากการได้พูดคุยกับโรงงานสร้างพระเมื่อ 13 ปีก่อน 3 โรงงาน ที่มีโอกาสร้างปั๊มพระแจก....เลยถามเรื่องนี้ ..เขาว่า แบบไม่ตัดปีก คือเหรียญตัวอย่าง ที่นำเสนอให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบ และแก้ไข...และมีแบบนี้ตกค้างอยู่ที่โรงงานจำนวนมาก...ต่อมามีพ่อค้าพระหัวใสไปขอซื้อ...เอามาขายเป็นของหายาก...เอาง่ายไปเลย คือ ไม่ผ่านพิธีนั่นเอง.....
    เราก็ถามต่อ..ว่าแล้วแบบไม่ตัดปีกแบบที่วัดสั่งสร้างเริ่มปีไหน....เขาก็ว่าประมาณปี 254 กว่า ..หรือ 255 กว่า เขาก็จำไม่ได้...
    ...อีกแนวคิดนึง..คือ เก๊ไปเลย พระถอดพิมพ์ ...จุดตายคือ ขอบตัด ...ซึ่งมันทำยังไงก็ไม่เหมือน.. เลยเอาขอบตัดทิ้งไปเลย ...ทำเป็นมีปีกแทน...ทีนี้ตัวตัดก็คนละแบบแล้ว....
    ขอนำเสนอหลายมุมมองละกัน.. คนจำนวนไม่น้อย ขายเป็นของ Rare item..บางกลุ่มสายตรงห้ามขายเลย..เพราะแอดมินเขาเองเป็นผู้สร้างพระหลายรุ่น..เขารู้เรื่องดี ว่าคืออะไร . ..จากการได้พูดคุยกับโรงงานสร้างพระเมื่อ 13 ปีก่อน 3 โรงงาน ที่มีโอกาสร้างปั๊มพระแจก....เลยถามเรื่องนี้ ..เขาว่า แบบไม่ตัดปีก คือเหรียญตัวอย่าง ที่นำเสนอให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบ และแก้ไข...และมีแบบนี้ตกค้างอยู่ที่โรงงานจำนวนมาก...ต่อมามีพ่อค้าพระหัวใสไปขอซื้อ...เอามาขายเป็นของหายาก...เอาง่ายไปเลย คือ ไม่ผ่านพิธีนั่นเอง..... เราก็ถามต่อ..ว่าแล้วแบบไม่ตัดปีกแบบที่วัดสั่งสร้างเริ่มปีไหน....เขาก็ว่าประมาณปี 254 กว่า ..หรือ 255 กว่า เขาก็จำไม่ได้... ...อีกแนวคิดนึง..คือ เก๊ไปเลย พระถอดพิมพ์ ...จุดตายคือ ขอบตัด ...ซึ่งมันทำยังไงก็ไม่เหมือน.. เลยเอาขอบตัดทิ้งไปเลย ...ทำเป็นมีปีกแทน...ทีนี้ตัวตัดก็คนละแบบแล้ว....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • การที่อิสราเอลเปิดการโจมตีพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ของอิหร่านในอาณาบริเวณราว 5,000 ตารางกิโลเมตรของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งการตัวท่าคุกคามอิหร่านโดยตรงในเวลานี้ เพิ่มความเป็นไปได้ที่อำนาจอิทธิพลซึ่งเตหะรานสั่งสมมาตลอด 2 ทศวรรษอาจสิ้นสุดลง รวมทั้งทำให้ดุลอำนาจในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลง ทว่า ยากที่จะฟันธงได้ว่า จะเป็นไปในรูปแบบไหน

    บรรดาผู้คัดค้านและผู้สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ซึ่งอยู่ในวอชิงตัน เทลอาวีฟ เยรูซาเลม และเมืองหลวงของประเทศต่างๆ ในโลกอาหรับ กำลังเสนอแนวคิดว่า อเมริกาควรทำอย่างไรต่อไป ขณะที่อิสราเอลเดินหน้าสะสมความสำเร็จเชิงยุทธวิธีต่อฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและฮูตีในเยเมน เวลาเดียวกันก็ตามบดขยี้ฮามาสในกาซาแบบไม่มีพักมาตลอด 1 ปีเต็ม

    ริชาร์ด โกลด์เบิร์ก ที่ปรึกษาอาวุโสของมูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตยในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นพวกแนวคิดอนุรักษนิยม เรียกร้องอเมริกาให้การสนับสนุนที่จำเป็นทั้งหมดทแก่อิสราเอล เพื่อทำให้รัฐบาลอิหร่านลงถังขยะประวัติศาสตร์

    ขณะที่ โยเอล กูแซนสกี อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสสภาความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอล ไปไกลกว่านั้นอีก โดยแนะคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ร่วมโจมตีอิหร่านโดยตรง เพื่อให้เตหะรานเข้าใจชัดเจนว่า “อย่ามาป่วนอเมริกาและอิสราเอล”

    อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยพากันย้ำบทเรียนเมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ส่งกองทัพอเมริกันรุกรานอิรักและโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน โดยไม่สนใจคำเตือนของอาหรับว่า ผู้นำเผด็จการของแบกแดดผู้นี้เป็นเครื่องมือคานอิทธิพลของอิหร่านที่จะขาดไปไม่ได้

    คนกลุ่มนี้ยังเตือนว่า การสะสมชัยชนะของรัฐยิวไปเรื่อยๆ โดยไม่พิจารณาถึงเรื่องความเสี่ยง, เป้าหมายสุดท้าย, หรือแผนการสำหรับอนาคต อาจนำซึ่งผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์

    วาลิ นาสร์ อดีตที่ปรึกษาในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และเป็นหนึ่งในผู้จัดทำรายงานการสั่งสมอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลางนับแต่ที่อเมริกาบุกอิรัก ชี้ว่าสุดท้ายแล้วอิสราเอลอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปกป้องตัวเองตามลำพังในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น

    นาสร์เสริมว่า อเมริกาและหุ้นส่วนในตะวันออกกลางได้แต่รอดูว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้ไม่ฟังเสียงทัดทานแม้แต่จากวอชิงตันที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุด จะบุกตะลุยทำสงครามไปไกลแค่ไหน

    บรรดาผู้สนับสนุนเหล่านี้วาดหวังว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลจะทำให้อิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่เป็นตัวแทนของเตหะรานที่โจมตีอเมริกา อิสราเอล และหุ้นส่วน รวมทั้งยังร่วมมือกับรัสเซียและศัตรูอื่นๆ ของตะวันตก อยู่ในสภาพที่อ่อนแอลง

    ทว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเตือนว่า ปฏิบัติการทางทหารโดยที่ไม่ได้คลี่คลายความคับข้องใจของชาวปาเลสไตน์ เสี่ยงนำไปสู่วงจรสงครามที่ไม่สิ้นสุด ปลุกเร้าการก่อความไม่สงบและกลุ่มหัวรุนแรง และรัฐบาลในตะวันออกกลางก็ต้องปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบมากขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์

    นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงที่อิหร่านจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อรับประกันความอยู่รอดของประเทศ จากที่มีข่าวว่า ก่อนที่อิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีฮิซบอลเลาะห์นั้น ผู้นำอิหร่านที่กังวลกับปฏิบัติการของอิสราเอล ประกาศชัดเจนว่า สนใจฟื้นการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์และปรับปรุงความสัมพันธ์โดยรวมกับอเมริกา

    ทั้งนี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การโจมตีทางอากาศและการปฏิบัติการด้านข่าวกรองของอิสราเอล ได้นำไปสู่การสังหารผู้นำ นักรบ และทำลายคลังอาวุธของฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตะวันออกกลาง รวมทั้งยังเป็นป้อมปราการที่คอยปกป้องการโจมตีดินแดนอิหร่านอีกด้วย

    ขณะเดียวกัน การโจมตีทางอากาศตลอดหนึ่งปีเต็มในฉนวนกาซา ได้สังหารเหล่าผู้นำของกลุ่มฮามาสจนเหลือผู้รอดชีวิตไม่กี่คนที่กบดานอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน กระนั้น ปรากฏว่ากองทัพอิสราเอลยังคงต้องวนกลับมาโจมตีกาซาหนักหน่วงอีกรอบในสัปดาห์นี้ และฮามาสยังสามารถสร้างความประหลาดใจด้วยการยิงจรวดใส่นครเทลอาวีฟเมื่อวันจันทร์ (7 ต.ค.) ระหว่างที่อิสราเอลรำลึกครบรอบ 1 ปีที่ถูกฮามาสบุกโจมตีและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามในกาซา

    มีการคาดการณ์กันว่า หากอิสราเอลตอบโต้อิหร่านที่ยิงขีปนาวุธนับร้อยลูกใส่รัฐยิวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะยิ่งเร่งรัดการเปลี่ยนดุลอำนาจในตะวันออกกลาง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อเมริกาพยายามหลีกเลี่ยงมานานหลายทศวรรษ

    วอชิงตันออกตัวว่า อิสราเอลไม่ได้แจ้งก่อนที่จะโจมตีผู้นำฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และในการให้สัมภาษณ์รายการ “60 มินิตส์” ของเครือข่ายซีบีเอสที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในศึกชิงทำเนียบขาว ประกาศว่า อเมริกายังคงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือทางทหารเพื่อให้อิสราเอลป้องกันตัวเอง ควบคู่กับการผลักดันให้ยุติความขัดแย้ง

    ย้อนกลับไปตอนที่อเมริการุกรานอิรักและโค่นล้มซัดดัม ผู้สนับสนุนอาจวาดหวังที่จะทำให้ประชาธิปไตยหยั่งรากในอิรัก แต่ผลกระทบไม่พึงประสงค์กลับใหญ่กว่านั้นมหาศาล ซึ่งรวมถึงการผงาดขึ้นมาของอักษะแห่งการต่อต้านของอิหร่านที่ขยายตัวทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก อีกทั้งยังเกิดกลุ่มหัวรุนแรงใหม่ๆ ที่รวมถึงกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)

    ขณะนี้ผู้นำทั่วโลกยังมองไม่ออกว่า ดุลอำนาจระหว่างอิหร่าน อิสราเอล ตะวันออกกลาง รวมถึงอเมริกา จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลังกองทัพอิสราเอลยุติสงคราม

    นาสร์เห็นว่า อิหร่านและพันธมิตรอ่อนแอลง เช่นเดียวกับอิทธิพลของอเมริกาที่ปล่อยให้อิสราเอลจูงจมูก

    สำหรับ เมห์ราน คัมราวา ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกาตาร์ มองว่า อิสราเอลอาจเป็นฝ่ายเจ็บ เช่น หากเปิดสงครามภาคพื้นดินในเลบานอนและตกอยู่ในสภาพติดหล่ม และเสริมว่า สงครามเย็นตลอด 4 ทศวรรษระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เวลานี้ได้กลายมาเป็นสงครามร้อน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลาง แต่จะเปลี่ยนไปแบบไหนอย่างไรเป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดาในขณะนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096119
    ..............
    Sondhi X
    การที่อิสราเอลเปิดการโจมตีพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ของอิหร่านในอาณาบริเวณราว 5,000 ตารางกิโลเมตรของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งการตัวท่าคุกคามอิหร่านโดยตรงในเวลานี้ เพิ่มความเป็นไปได้ที่อำนาจอิทธิพลซึ่งเตหะรานสั่งสมมาตลอด 2 ทศวรรษอาจสิ้นสุดลง รวมทั้งทำให้ดุลอำนาจในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลง ทว่า ยากที่จะฟันธงได้ว่า จะเป็นไปในรูปแบบไหน บรรดาผู้คัดค้านและผู้สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ซึ่งอยู่ในวอชิงตัน เทลอาวีฟ เยรูซาเลม และเมืองหลวงของประเทศต่างๆ ในโลกอาหรับ กำลังเสนอแนวคิดว่า อเมริกาควรทำอย่างไรต่อไป ขณะที่อิสราเอลเดินหน้าสะสมความสำเร็จเชิงยุทธวิธีต่อฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและฮูตีในเยเมน เวลาเดียวกันก็ตามบดขยี้ฮามาสในกาซาแบบไม่มีพักมาตลอด 1 ปีเต็ม ริชาร์ด โกลด์เบิร์ก ที่ปรึกษาอาวุโสของมูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตยในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นพวกแนวคิดอนุรักษนิยม เรียกร้องอเมริกาให้การสนับสนุนที่จำเป็นทั้งหมดทแก่อิสราเอล เพื่อทำให้รัฐบาลอิหร่านลงถังขยะประวัติศาสตร์ ขณะที่ โยเอล กูแซนสกี อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสสภาความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอล ไปไกลกว่านั้นอีก โดยแนะคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ร่วมโจมตีอิหร่านโดยตรง เพื่อให้เตหะรานเข้าใจชัดเจนว่า “อย่ามาป่วนอเมริกาและอิสราเอล” อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยพากันย้ำบทเรียนเมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ส่งกองทัพอเมริกันรุกรานอิรักและโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน โดยไม่สนใจคำเตือนของอาหรับว่า ผู้นำเผด็จการของแบกแดดผู้นี้เป็นเครื่องมือคานอิทธิพลของอิหร่านที่จะขาดไปไม่ได้ คนกลุ่มนี้ยังเตือนว่า การสะสมชัยชนะของรัฐยิวไปเรื่อยๆ โดยไม่พิจารณาถึงเรื่องความเสี่ยง, เป้าหมายสุดท้าย, หรือแผนการสำหรับอนาคต อาจนำซึ่งผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ วาลิ นาสร์ อดีตที่ปรึกษาในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และเป็นหนึ่งในผู้จัดทำรายงานการสั่งสมอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลางนับแต่ที่อเมริกาบุกอิรัก ชี้ว่าสุดท้ายแล้วอิสราเอลอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปกป้องตัวเองตามลำพังในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น นาสร์เสริมว่า อเมริกาและหุ้นส่วนในตะวันออกกลางได้แต่รอดูว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้ไม่ฟังเสียงทัดทานแม้แต่จากวอชิงตันที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุด จะบุกตะลุยทำสงครามไปไกลแค่ไหน บรรดาผู้สนับสนุนเหล่านี้วาดหวังว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลจะทำให้อิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่เป็นตัวแทนของเตหะรานที่โจมตีอเมริกา อิสราเอล และหุ้นส่วน รวมทั้งยังร่วมมือกับรัสเซียและศัตรูอื่นๆ ของตะวันตก อยู่ในสภาพที่อ่อนแอลง ทว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเตือนว่า ปฏิบัติการทางทหารโดยที่ไม่ได้คลี่คลายความคับข้องใจของชาวปาเลสไตน์ เสี่ยงนำไปสู่วงจรสงครามที่ไม่สิ้นสุด ปลุกเร้าการก่อความไม่สงบและกลุ่มหัวรุนแรง และรัฐบาลในตะวันออกกลางก็ต้องปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบมากขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์ นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงที่อิหร่านจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อรับประกันความอยู่รอดของประเทศ จากที่มีข่าวว่า ก่อนที่อิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีฮิซบอลเลาะห์นั้น ผู้นำอิหร่านที่กังวลกับปฏิบัติการของอิสราเอล ประกาศชัดเจนว่า สนใจฟื้นการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์และปรับปรุงความสัมพันธ์โดยรวมกับอเมริกา ทั้งนี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การโจมตีทางอากาศและการปฏิบัติการด้านข่าวกรองของอิสราเอล ได้นำไปสู่การสังหารผู้นำ นักรบ และทำลายคลังอาวุธของฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตะวันออกกลาง รวมทั้งยังเป็นป้อมปราการที่คอยปกป้องการโจมตีดินแดนอิหร่านอีกด้วย ขณะเดียวกัน การโจมตีทางอากาศตลอดหนึ่งปีเต็มในฉนวนกาซา ได้สังหารเหล่าผู้นำของกลุ่มฮามาสจนเหลือผู้รอดชีวิตไม่กี่คนที่กบดานอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน กระนั้น ปรากฏว่ากองทัพอิสราเอลยังคงต้องวนกลับมาโจมตีกาซาหนักหน่วงอีกรอบในสัปดาห์นี้ และฮามาสยังสามารถสร้างความประหลาดใจด้วยการยิงจรวดใส่นครเทลอาวีฟเมื่อวันจันทร์ (7 ต.ค.) ระหว่างที่อิสราเอลรำลึกครบรอบ 1 ปีที่ถูกฮามาสบุกโจมตีและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามในกาซา มีการคาดการณ์กันว่า หากอิสราเอลตอบโต้อิหร่านที่ยิงขีปนาวุธนับร้อยลูกใส่รัฐยิวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะยิ่งเร่งรัดการเปลี่ยนดุลอำนาจในตะวันออกกลาง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อเมริกาพยายามหลีกเลี่ยงมานานหลายทศวรรษ วอชิงตันออกตัวว่า อิสราเอลไม่ได้แจ้งก่อนที่จะโจมตีผู้นำฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และในการให้สัมภาษณ์รายการ “60 มินิตส์” ของเครือข่ายซีบีเอสที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในศึกชิงทำเนียบขาว ประกาศว่า อเมริกายังคงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือทางทหารเพื่อให้อิสราเอลป้องกันตัวเอง ควบคู่กับการผลักดันให้ยุติความขัดแย้ง ย้อนกลับไปตอนที่อเมริการุกรานอิรักและโค่นล้มซัดดัม ผู้สนับสนุนอาจวาดหวังที่จะทำให้ประชาธิปไตยหยั่งรากในอิรัก แต่ผลกระทบไม่พึงประสงค์กลับใหญ่กว่านั้นมหาศาล ซึ่งรวมถึงการผงาดขึ้นมาของอักษะแห่งการต่อต้านของอิหร่านที่ขยายตัวทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก อีกทั้งยังเกิดกลุ่มหัวรุนแรงใหม่ๆ ที่รวมถึงกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ขณะนี้ผู้นำทั่วโลกยังมองไม่ออกว่า ดุลอำนาจระหว่างอิหร่าน อิสราเอล ตะวันออกกลาง รวมถึงอเมริกา จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลังกองทัพอิสราเอลยุติสงคราม นาสร์เห็นว่า อิหร่านและพันธมิตรอ่อนแอลง เช่นเดียวกับอิทธิพลของอเมริกาที่ปล่อยให้อิสราเอลจูงจมูก สำหรับ เมห์ราน คัมราวา ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกาตาร์ มองว่า อิสราเอลอาจเป็นฝ่ายเจ็บ เช่น หากเปิดสงครามภาคพื้นดินในเลบานอนและตกอยู่ในสภาพติดหล่ม และเสริมว่า สงครามเย็นตลอด 4 ทศวรรษระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เวลานี้ได้กลายมาเป็นสงครามร้อน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลาง แต่จะเปลี่ยนไปแบบไหนอย่างไรเป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดาในขณะนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096119 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1204 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠

    ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน

    แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง

    ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย

    🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸

    ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด

    😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎

    😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎

    😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎

    ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ?

    อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ

    😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎

    จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย

    เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม

    ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ

    อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ

    สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย

    หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน

    ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้

    ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต

    ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง

    "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸)

    อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ

    ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้

    เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้

    เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公)

    เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่

    แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ

    เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง

    ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่

    หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น

    แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公)

    ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น?

    ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎

    สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

    หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ

    แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公)

    ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ

    🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠 ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย 🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸 ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด 😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎 😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎 😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎 ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ? อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ 😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎 จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้ ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸) อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้ เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公) เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่ แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่ หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公) ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น? ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎 สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公) ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ 🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปราชญ์ 3สี

    วิเคราะห์: ทำไมโตโยต้าถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เหตุเพราะแนวคิด Woke?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด Woke ได้กลายเป็นกระแสที่มีอิทธิพลมากในด้านสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการบันเทิงและการจัดกิจกรรมระดับโลก เช่น โอลิมปิก แนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียม และการยุติการเลือกปฏิบัติ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง แนวคิด Woke กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างแท้จริง หากแต่ใช้เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมืองและคุกคามผู้ที่ไม่เห็นด้วย

    เหตุการณ์โอลิมปิกและการถอนตัวของโตโยต้า

    ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2024 โตโยต้าได้ตัดสินใจยกเลิกการสนับสนุนโอลิมปิกที่จัดขึ้นในฝรั่งเศส โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พิธีเปิดโอลิมปิกได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Woke ซึ่งการแสดงออกในพิธีนั้นมีลักษณะที่ไปกระทบความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งมองว่าการแสดงออกบางส่วนไม่เคารพค่านิยมทางศาสนาและสร้างความไม่พอใจอย่างมาก การที่โตโยต้าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของโอลิมปิกทำให้บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสาธารณชนและลูกค้ากลุ่มศาสนจักรที่ไม่พอใจกับการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

    โตโยต้าจึงตัดสินใจถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการปกป้องค่านิยมของบริษัท แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความรอบคอบในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก

    แนวคิด Woke และการคุกคามทางการเมือง

    โตโยต้าไม่ได้หยุดเพียงแค่การถอนตัวจากโอลิมปิกเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคม 2024 บริษัทได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า จะไม่สนับสนุนกลุ่มหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด Woke อีกต่อไป การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าโตโยต้ามองว่าแนวคิด Woke ไม่ได้มีเป้าหมายในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง แต่กลับกลายเป็นการใช้การข่มขู่และบังคับให้สังคมยอมรับความเชื่อและอุดมการณ์ของพวกเขา

    แนวคิด Woke ถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่เน้นไปที่การกดดันให้ทุกคนต้องเห็นด้วยกับแนวทางเดียวเท่านั้น ใครที่มีความเห็นต่างหรือไม่ยอมรับในแนวคิดนี้ มักจะถูกโจมตี ถูกข่มขู่ หรือแม้กระทั่งถูกทำลายชื่อเสียงผ่านสื่อสังคม นอกจากนี้ แนวคิด Woke ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบประวัติศาสตร์หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อทำให้สังคมต้องปรับตัวตามอุดมการณ์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่มีการให้พื้นที่แก่ความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างบรรยากาศของความกลัวและการคุกคามทางความคิด

    ผลกระทบของ Woke ต่อสังคม

    แนวคิด Woke ไม่ได้มีเพียงผลกระทบเชิงบวกตามที่กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวอ้าง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้แนวคิด Woke ในการบังคับผู้อื่นให้ยอมรับวิถีชีวิตและอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ศาสนา หรือค่านิยมดั้งเดิมของผู้อื่น เป็นการสร้างความไม่สมานฉันท์ในระดับสากล ตัวอย่างของพิธีเปิดโอลิมปิกที่ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงการพยายามบังคับให้ทุกคนยอมรับแนวคิดนี้ผ่านทางการแสดงออกทางวัฒนธรรม ซึ่งกลับส่งผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โตโยต้าเลือกที่จะถอนตัวออกจากกิจกรรมดังกล่าว

    การตัดสินใจของโตโยต้า: บทเรียนที่สำคัญ

    การตัดสินใจของโตโยต้าที่ถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิกและประกาศยุติการสนับสนุนแนวคิด Woke เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับองค์กรทั่วโลก ว่าการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่มีความขัดแย้งสูง อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรได้ การตัดสินใจของโตโยต้าแสดงให้เห็นว่าการปกป้องค่านิยมดั้งเดิมและความเชื่อของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ และการหลีกเลี่ยงการสนับสนุนแนวคิดที่สร้างความขัดแย้งสามารถช่วยปกป้ององค์กรจากการถูกวิจารณ์ในทางลบ

    สุดท้ายนี้ แนวคิด Woke ที่เคยมีเจตนาดีในการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาค กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกและการควบคุมสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว

    #โตโยต้า #ลัทธิWoke #ยกเลิกสนับสนุนโอลิมปิก #ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม #ผลกระทบทางการเมือง #การเคลื่อนไหวทางสังคม #วิพากษ์Woke #ปกป้องคุณค่าดั้งเดิม #ความแตกแยกในสังคม
    ปราชญ์ 3สี วิเคราะห์: ทำไมโตโยต้าถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เหตุเพราะแนวคิด Woke? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด Woke ได้กลายเป็นกระแสที่มีอิทธิพลมากในด้านสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการบันเทิงและการจัดกิจกรรมระดับโลก เช่น โอลิมปิก แนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียม และการยุติการเลือกปฏิบัติ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง แนวคิด Woke กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างแท้จริง หากแต่ใช้เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมืองและคุกคามผู้ที่ไม่เห็นด้วย เหตุการณ์โอลิมปิกและการถอนตัวของโตโยต้า ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2024 โตโยต้าได้ตัดสินใจยกเลิกการสนับสนุนโอลิมปิกที่จัดขึ้นในฝรั่งเศส โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พิธีเปิดโอลิมปิกได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Woke ซึ่งการแสดงออกในพิธีนั้นมีลักษณะที่ไปกระทบความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งมองว่าการแสดงออกบางส่วนไม่เคารพค่านิยมทางศาสนาและสร้างความไม่พอใจอย่างมาก การที่โตโยต้าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของโอลิมปิกทำให้บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสาธารณชนและลูกค้ากลุ่มศาสนจักรที่ไม่พอใจกับการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โตโยต้าจึงตัดสินใจถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการปกป้องค่านิยมของบริษัท แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความรอบคอบในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก แนวคิด Woke และการคุกคามทางการเมือง โตโยต้าไม่ได้หยุดเพียงแค่การถอนตัวจากโอลิมปิกเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคม 2024 บริษัทได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า จะไม่สนับสนุนกลุ่มหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด Woke อีกต่อไป การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าโตโยต้ามองว่าแนวคิด Woke ไม่ได้มีเป้าหมายในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง แต่กลับกลายเป็นการใช้การข่มขู่และบังคับให้สังคมยอมรับความเชื่อและอุดมการณ์ของพวกเขา แนวคิด Woke ถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่เน้นไปที่การกดดันให้ทุกคนต้องเห็นด้วยกับแนวทางเดียวเท่านั้น ใครที่มีความเห็นต่างหรือไม่ยอมรับในแนวคิดนี้ มักจะถูกโจมตี ถูกข่มขู่ หรือแม้กระทั่งถูกทำลายชื่อเสียงผ่านสื่อสังคม นอกจากนี้ แนวคิด Woke ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบประวัติศาสตร์หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อทำให้สังคมต้องปรับตัวตามอุดมการณ์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่มีการให้พื้นที่แก่ความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างบรรยากาศของความกลัวและการคุกคามทางความคิด ผลกระทบของ Woke ต่อสังคม แนวคิด Woke ไม่ได้มีเพียงผลกระทบเชิงบวกตามที่กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวอ้าง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้แนวคิด Woke ในการบังคับผู้อื่นให้ยอมรับวิถีชีวิตและอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ศาสนา หรือค่านิยมดั้งเดิมของผู้อื่น เป็นการสร้างความไม่สมานฉันท์ในระดับสากล ตัวอย่างของพิธีเปิดโอลิมปิกที่ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงการพยายามบังคับให้ทุกคนยอมรับแนวคิดนี้ผ่านทางการแสดงออกทางวัฒนธรรม ซึ่งกลับส่งผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โตโยต้าเลือกที่จะถอนตัวออกจากกิจกรรมดังกล่าว การตัดสินใจของโตโยต้า: บทเรียนที่สำคัญ การตัดสินใจของโตโยต้าที่ถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิกและประกาศยุติการสนับสนุนแนวคิด Woke เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับองค์กรทั่วโลก ว่าการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่มีความขัดแย้งสูง อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรได้ การตัดสินใจของโตโยต้าแสดงให้เห็นว่าการปกป้องค่านิยมดั้งเดิมและความเชื่อของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ และการหลีกเลี่ยงการสนับสนุนแนวคิดที่สร้างความขัดแย้งสามารถช่วยปกป้ององค์กรจากการถูกวิจารณ์ในทางลบ สุดท้ายนี้ แนวคิด Woke ที่เคยมีเจตนาดีในการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาค กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกและการควบคุมสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว #โตโยต้า #ลัทธิWoke #ยกเลิกสนับสนุนโอลิมปิก #ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม #ผลกระทบทางการเมือง #การเคลื่อนไหวทางสังคม #วิพากษ์Woke #ปกป้องคุณค่าดั้งเดิม #ความแตกแยกในสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สมคิด” ยันรัฐบาลไม่กังวล “สนธิ” เตรียมปลุกม็อบไล่ ชี้เป็นเรื่องปกติ พร้อมพูดคุยด้วยเหตุและผล ยินดีให้ประสานเข้ามา บอก “จตุพร” พูดไปเรื่อย ขายชาติตรงไหน เรื่องเช่าที่ดิน 99 ปี ยังเป็นแค่แนวคิด ซัดสร้างแต่วาทกรรมทำลายประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094799

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “สมคิด” ยันรัฐบาลไม่กังวล “สนธิ” เตรียมปลุกม็อบไล่ ชี้เป็นเรื่องปกติ พร้อมพูดคุยด้วยเหตุและผล ยินดีให้ประสานเข้ามา บอก “จตุพร” พูดไปเรื่อย ขายชาติตรงไหน เรื่องเช่าที่ดิน 99 ปี ยังเป็นแค่แนวคิด ซัดสร้างแต่วาทกรรมทำลายประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094799 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    26
    8 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3361 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ไปศูนย์สิริกิติ์ ไปดูงาน SX Sustainability Expo ที่ปกติเน้นไปเดินกินข้าวที่ชั้นล่าง 😆

    แต่ปีนี้มีส่วนจัดแสดงบอร์ดโครงการ The Ten ของ วปอ. 66 เลยไปเดินดูงานด้านบนก่อน แล้วไปเจอ ส่วนจัดแสดงของโรงเรียนมีชัยพัฒนา (Meechai Bamboo School) ซึ่งมีเด็กนักเรียนยืนอยู่ 4-5 คน กับบอร์ดภาพเกี่ยวกับการเษตร และ ชุมชน

    ผมถามเด็กๆว่า ที่ร.ร.ทำอะไรกัน เพราะใจสงสัยว่าทำไมถึงมีร.ร.นี้แห่งเดียวที่มาออกงาน แถมชื่อก็แปลกๆ เกี่ยวอะไรกับไม้ไผ่

    น้อง ๆ เล่าว่า ร.ร.ของเขาตั้งอยู่ที่จ.บุรีรัมย์เป็นโรงเรียนประจำของเอกชน มีสอนทำเกษตร กับ มีกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน นอกจากสอนวิชาทั่วไป

    ผมก็คิดว่า อ๋อ คงเป็นร.ร.เอกชนนานาชาติ เหมือนในกรุงเทพฯกระมัง เลยถามต่อว่าค่าเทอมเท่าไหร่?

    เด็กๆตอบว่าเรียนฟรีค่ะ! ผมก็งง ว่าทำไมถึงเรียนฟรี?

    น้องบอกว่า ร.ร.นี้ เปิดมา 15 ปีแล้ว ทั้งร.ร.สร้างด้วยไม้ไผ่ นักเรียนทุกคนต้องจ่ายค่าเทอมเป็นการทำดีให้กับชุมชน รวมถึงทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนตามความรับผิดชอบของตัวเอง มีนักเรียน ม.1-ม.6 ระดับชั้นละ 20 กว่าคน มีครู 10 กว่าคน โดยให้นักเรียนกินนอนที่ร.ร. ไม่ให้กลับบ้านจนกว่าจะปิดเทอม และห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์

    ผมก็ถามว่า แล้วอยู่กันยังไง ไม่เหงาเหรอ?

    น้องตอบกลับว่า หนูมีหนังสือต่างๆให้อ่านเยอะแยะ และ แต่ละวันมีกิจกรรมให้ทำมากมาย และที่ร.ร.ก็กำหนดให้นักเรียนร่วมกันจัดการบริหารดูแลร.ร.กันเอง โดยมีคุณครูช่วยให้คำแนะนำ เรียกว่าทั้งฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายตรวจรับ และฝ่ายต่าง ๆ ของร.ร.ถูกดูแลโดยนักเรียนเอง มีแค่งานครัวที่มีแม่ครัวเป็นคนปรุงอาหารให้กิน

    น้อง ๆ เขาคิดว่า ชีวิตของเขามีกิจกรรมอื่นให้ทำมากกว่าจะมานั่งเล่นโทรศัพท์เลยไม่ติดเกม ติดซีรี่ส์แบบเด็กวัยเดียวกัน

    ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา พี่ ๆ ที่จบไปมักจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ทุกคน และมักจะติดตั้งแต่รอบ Portfolio และส่วนใหญ่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ทั้งด้านเกษตร หรือด้านบริหารก็มี เพราะนักเรียนจะมีทั้งเด็กในจังหวัดบุรีรัมย์ และ ใกล้เคียง แต่ก็มีบางคนที่มาจาก เวียดนาม หรือ เป็นเด็กชาติพันธุ์จากกาญจนบุรี / แม่ฮ่องสอน

    ฟังน้อง ๆ เล่าแล้วผมถึงกับอึ้งกับแนวคิดของ ผ.อ. ซึ่งก็คือ อ.มีชัย วีระไวทยะ แถมยังอยากเขกหัวตัวเองว่า ไม่รู้จักโรงเรียนนี้ได้ยังไง แต่ก็ได้คำตอบว่า ทำไม ผู้จัดงานถึงได้เลือกโรงเรียนนี้มาจัดนิทรรศการในงานนี้

    งานนี้น่าจะจัดถึงวันอาทิตย์ที่ 6 ต.ค. หากมีเวลาอยากชวนให้ไปดูงานนี้ แล้วไปฟังน้อง ๆ เล่าถึงโรงเรียนของเขากันนะครับ ❤️
    วันนี้ไปศูนย์สิริกิติ์ ไปดูงาน SX Sustainability Expo ที่ปกติเน้นไปเดินกินข้าวที่ชั้นล่าง 😆 แต่ปีนี้มีส่วนจัดแสดงบอร์ดโครงการ The Ten ของ วปอ. 66 เลยไปเดินดูงานด้านบนก่อน แล้วไปเจอ ส่วนจัดแสดงของโรงเรียนมีชัยพัฒนา (Meechai Bamboo School) ซึ่งมีเด็กนักเรียนยืนอยู่ 4-5 คน กับบอร์ดภาพเกี่ยวกับการเษตร และ ชุมชน ผมถามเด็กๆว่า ที่ร.ร.ทำอะไรกัน เพราะใจสงสัยว่าทำไมถึงมีร.ร.นี้แห่งเดียวที่มาออกงาน แถมชื่อก็แปลกๆ เกี่ยวอะไรกับไม้ไผ่ น้อง ๆ เล่าว่า ร.ร.ของเขาตั้งอยู่ที่จ.บุรีรัมย์เป็นโรงเรียนประจำของเอกชน มีสอนทำเกษตร กับ มีกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน นอกจากสอนวิชาทั่วไป ผมก็คิดว่า อ๋อ คงเป็นร.ร.เอกชนนานาชาติ เหมือนในกรุงเทพฯกระมัง เลยถามต่อว่าค่าเทอมเท่าไหร่? เด็กๆตอบว่าเรียนฟรีค่ะ! ผมก็งง ว่าทำไมถึงเรียนฟรี? น้องบอกว่า ร.ร.นี้ เปิดมา 15 ปีแล้ว ทั้งร.ร.สร้างด้วยไม้ไผ่ นักเรียนทุกคนต้องจ่ายค่าเทอมเป็นการทำดีให้กับชุมชน รวมถึงทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนตามความรับผิดชอบของตัวเอง มีนักเรียน ม.1-ม.6 ระดับชั้นละ 20 กว่าคน มีครู 10 กว่าคน โดยให้นักเรียนกินนอนที่ร.ร. ไม่ให้กลับบ้านจนกว่าจะปิดเทอม และห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์ ผมก็ถามว่า แล้วอยู่กันยังไง ไม่เหงาเหรอ? น้องตอบกลับว่า หนูมีหนังสือต่างๆให้อ่านเยอะแยะ และ แต่ละวันมีกิจกรรมให้ทำมากมาย และที่ร.ร.ก็กำหนดให้นักเรียนร่วมกันจัดการบริหารดูแลร.ร.กันเอง โดยมีคุณครูช่วยให้คำแนะนำ เรียกว่าทั้งฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายตรวจรับ และฝ่ายต่าง ๆ ของร.ร.ถูกดูแลโดยนักเรียนเอง มีแค่งานครัวที่มีแม่ครัวเป็นคนปรุงอาหารให้กิน น้อง ๆ เขาคิดว่า ชีวิตของเขามีกิจกรรมอื่นให้ทำมากกว่าจะมานั่งเล่นโทรศัพท์เลยไม่ติดเกม ติดซีรี่ส์แบบเด็กวัยเดียวกัน ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา พี่ ๆ ที่จบไปมักจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ทุกคน และมักจะติดตั้งแต่รอบ Portfolio และส่วนใหญ่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ทั้งด้านเกษตร หรือด้านบริหารก็มี เพราะนักเรียนจะมีทั้งเด็กในจังหวัดบุรีรัมย์ และ ใกล้เคียง แต่ก็มีบางคนที่มาจาก เวียดนาม หรือ เป็นเด็กชาติพันธุ์จากกาญจนบุรี / แม่ฮ่องสอน ฟังน้อง ๆ เล่าแล้วผมถึงกับอึ้งกับแนวคิดของ ผ.อ. ซึ่งก็คือ อ.มีชัย วีระไวทยะ แถมยังอยากเขกหัวตัวเองว่า ไม่รู้จักโรงเรียนนี้ได้ยังไง แต่ก็ได้คำตอบว่า ทำไม ผู้จัดงานถึงได้เลือกโรงเรียนนี้มาจัดนิทรรศการในงานนี้ งานนี้น่าจะจัดถึงวันอาทิตย์ที่ 6 ต.ค. หากมีเวลาอยากชวนให้ไปดูงานนี้ แล้วไปฟังน้อง ๆ เล่าถึงโรงเรียนของเขากันนะครับ ❤️
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1)

    หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ

    ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1]

    จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ

    แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ

    ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4]

    ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5]

    ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6]

    ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7]

    จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8]

    ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9]

    งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10]

    จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ

    แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ

    ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น

    แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11]

    โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12]

    แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก

    หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ

    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14]

    อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15]

    หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น

    การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง

    งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี

    งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่

    ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ

    ---

    อ้างอิง

    [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40.

    [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199.

    [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5.

    [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149.

    [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14.

    [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220.

    [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8.

    [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10.

    [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    ---


    ต. ตุลยากร
    วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1) หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1] จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4] ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5] ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6] ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7] จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8] ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9] งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10] จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11] โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12] แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14] อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15] หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่ ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ --- อ้างอิง [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40. [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199. [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5. [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149. [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14. [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220. [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8. [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10. [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). --- ต. ตุลยากร
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥วันนี้แอดมิน เพจหุ้นติดดอย
    จะมาแนะนำ Mindset หรือ แนวคิด
    ที่นักลงทุนควรต้องมี ซึ่งมี 5 ข้อสำคัญได้แก่

    🚩1. การมองระยะยาว
    การลงทุน เช่น ในหุ้น หรือ สินทรัพย์ใดๆก็ตาม
    ควรมองการลงทุนในระยะยาว เพื่อลดความผันแปร
    จากการเก็งกำไรระยะสั้นๆ ซึ่งการมองการลงทุน
    ระยะยาวเราควรมีความรู้ และ ความเข้าใจ ในตัว
    ธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน หรือ สินทรัพย์นั้นๆ เป็นอย่างดีว่า
    ในอนาคตข้างหน้าธุรกิจ หรือ สินทรัพย์เหล่านี้
    จะมีการเติบโต และให้ผลตอบแทนที่ดีได้

    🚩2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต
    การลงทุน เราควรทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว และเรียนรู้
    ปรับปรุง เพิ่มเติม อัพเดต ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ
    อยู่เสมอ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้ และต่อยอด
    กับการลงทุนได้

    🚩3. การจัดการและควบคุมอารมณ์
    ควรมีสภาวะจิตใจ และความมั่นคงทางอารมณ์
    โดยไม่ลงทุนไปตามกระแส หรือ การชักจูง ชี้นำ
    จากกระแสข่าวต่างๆ หรือ สามารถจัดการกับ
    อารมณ์ความโลภ และ ความกลัวต่างๆ นิ่ง และ
    ไม่ตะหนกกับสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป

    🚩4. การกระจายความเสี่ยง
    ควรกระจายความเสี่ยง ในการลงทุน ไม่ควรลงทุน
    กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น การลงทุนในหุ้น
    ควรกระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรม
    เพื่อที่ว่า เมื่ออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง
    หุ้นมีราคาลดลง เรายังมีหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ
    มาชดเชยพอร์ตโดยรวมของเราได้

    🚩5. การมีวินัย
    ข้อนี้สำคัญมาก นักลงทุนต้องมีวินัย โดยมีเป้าหมาย
    และแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น ลงทุนระยะยาว
    เพื่อปันผล ต้องสามารถถือรอ เพื่อเงินปันผลได้
    หรือ เก็งกำไรกินส่วนต่างของราคา ในหุ้นระยะสั้น
    และระยะกลาง เมื่อราคาหุ้นที่ซื้อ ราคาตกอย่างฉับพลัน
    ต้องมีวินัย ในการตัดขาดทุนด้วย ไม่ใช่เปลี่ยนไป
    ถือหุ้นในระยะยาว เป็นต้น

    💥ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็น Mindset หรือ แนวคิดในการลงทุน
    เพียงบางส่วนเท่านั้น นักลงทุนทุกท่านควรเรียนรู้
    จากประสบการณ์จริง และ นำทั้งจุดที่ประสบความสำเร็จ
    และ จุดข้อผิดพลาดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ก็จะทำให้เรา
    มี Mindset หรือ แนวคิดการลงทุน ที่สามารถลดความเสี่ยง
    ในด้านต่างๆ ลงได้ ไม่มากก็น้อย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5Mindsetหรือแนวคิดในการลงทุนที่ควรต้องมี
    #thaitimes
    💥💥วันนี้แอดมิน เพจหุ้นติดดอย จะมาแนะนำ Mindset หรือ แนวคิด ที่นักลงทุนควรต้องมี ซึ่งมี 5 ข้อสำคัญได้แก่ 🚩1. การมองระยะยาว การลงทุน เช่น ในหุ้น หรือ สินทรัพย์ใดๆก็ตาม ควรมองการลงทุนในระยะยาว เพื่อลดความผันแปร จากการเก็งกำไรระยะสั้นๆ ซึ่งการมองการลงทุน ระยะยาวเราควรมีความรู้ และ ความเข้าใจ ในตัว ธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน หรือ สินทรัพย์นั้นๆ เป็นอย่างดีว่า ในอนาคตข้างหน้าธุรกิจ หรือ สินทรัพย์เหล่านี้ จะมีการเติบโต และให้ผลตอบแทนที่ดีได้ 🚩2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต การลงทุน เราควรทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว และเรียนรู้ ปรับปรุง เพิ่มเติม อัพเดต ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้ และต่อยอด กับการลงทุนได้ 🚩3. การจัดการและควบคุมอารมณ์ ควรมีสภาวะจิตใจ และความมั่นคงทางอารมณ์ โดยไม่ลงทุนไปตามกระแส หรือ การชักจูง ชี้นำ จากกระแสข่าวต่างๆ หรือ สามารถจัดการกับ อารมณ์ความโลภ และ ความกลัวต่างๆ นิ่ง และ ไม่ตะหนกกับสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป 🚩4. การกระจายความเสี่ยง ควรกระจายความเสี่ยง ในการลงทุน ไม่ควรลงทุน กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น การลงทุนในหุ้น ควรกระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรม เพื่อที่ว่า เมื่ออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง หุ้นมีราคาลดลง เรายังมีหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ มาชดเชยพอร์ตโดยรวมของเราได้ 🚩5. การมีวินัย ข้อนี้สำคัญมาก นักลงทุนต้องมีวินัย โดยมีเป้าหมาย และแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น ลงทุนระยะยาว เพื่อปันผล ต้องสามารถถือรอ เพื่อเงินปันผลได้ หรือ เก็งกำไรกินส่วนต่างของราคา ในหุ้นระยะสั้น และระยะกลาง เมื่อราคาหุ้นที่ซื้อ ราคาตกอย่างฉับพลัน ต้องมีวินัย ในการตัดขาดทุนด้วย ไม่ใช่เปลี่ยนไป ถือหุ้นในระยะยาว เป็นต้น 💥ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็น Mindset หรือ แนวคิดในการลงทุน เพียงบางส่วนเท่านั้น นักลงทุนทุกท่านควรเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง และ นำทั้งจุดที่ประสบความสำเร็จ และ จุดข้อผิดพลาดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ก็จะทำให้เรา มี Mindset หรือ แนวคิดการลงทุน ที่สามารถลดความเสี่ยง ในด้านต่างๆ ลงได้ ไม่มากก็น้อย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5Mindsetหรือแนวคิดในการลงทุนที่ควรต้องมี #thaitimes
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 872 มุมมอง 338 0 รีวิว
  • 💥💥วันนี้แอดมิน เพจหุ้นติดดอย
    จะมาแนะนำ Mindset หรือ แนวคิด
    ที่นักลงทุนควรต้องมี ซึ่งมี 5 ข้อสำคัญได้แก่

    🚩1. การมองระยะยาว
    การลงทุน เช่น ในหุ้น หรือ สินทรัพย์ใดๆก็ตาม
    ควรมองการลงทุนในระยะยาว เพื่อลดความผันแปร
    จากการเก็งกำไรระยะสั้นๆ ซึ่งการมองการลงทุน
    ระยะยาวเราควรมีความรู้ และ ความเข้าใจ ในตัว
    ธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน หรือ สินทรัพย์นั้นๆ เป็นอย่างดีว่า
    ในอนาคตข้างหน้าธุรกิจ หรือ สินทรัพย์เหล่านี้
    จะมีการเติบโต และให้ผลตอบแทนที่ดีได้

    🚩2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต
    การลงทุน เราควรทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว และเรียนรู้
    ปรับปรุง เพิ่มเติม อัพเดต ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ
    อยู่เสมอ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้ และต่อยอด
    กับการลงทุนได้

    🚩3. การจัดการและควบคุมอารมณ์
    ควรมีสภาวะจิตใจ และความมั่นคงทางอารมณ์
    โดยไม่ลงทุนไปตามกระแส หรือ การชักจูง ชี้นำ
    จากกระแสข่าวต่างๆ หรือ สามารถจัดการกับ
    อารมณ์ความโลภ และ ความกลัวต่างๆ นิ่ง และ
    ไม่ตะหนกกับสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป

    🚩4. การกระจายความเสี่ยง
    ควรกระจายความเสี่ยง ในการลงทุน ไม่ควรลงทุน
    กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น การลงทุนในหุ้น
    ควรกระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรม
    เพื่อที่ว่า เมื่ออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง
    หุ้นมีราคาลดลง เรายังมีหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ
    มาชดเชยพอร์ตโดยรวมของเราได้

    🚩5. การมีวินัย
    ข้อนี้สำคัญมาก นักลงทุนต้องมีวินัย โดยมีเป้าหมาย
    และแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น ลงทุนระยะยาว
    เพื่อปันผล ต้องสามารถถือรอ เพื่อเงินปันผลได้
    หรือ เก็งกำไรกินส่วนต่างของราคา ในหุ้นระยะสั้น
    และระยะกลาง เมื่อราคาหุ้นที่ซื้อ ราคาตกอย่างฉับพลัน
    ต้องมีวินัย ในการตัดขาดทุนด้วย ไม่ใช่เปลี่ยนไป
    ถือหุ้นในระยะยาว เป็นต้น

    💥ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็น Mindset หรือ แนวคิดในการลงทุน
    เพียงบางส่วนเท่านั้น นักลงทุนทุกท่านควรเรียนรู้
    จากประสบการณ์จริง และ นำทั้งจุดที่ประสบความสำเร็จ
    และ จุดข้อผิดพลาดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ก็จะทำให้เรา
    มี Mindset หรือ แนวคิดการลงทุน ที่สามารถลดความเสี่ยง
    ในด้านต่างๆ ลงได้ ไม่มากก็น้อย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5Mindsetหรือแนวคิดในการลงทุนที่ควรต้องมี
    #thaitimes
    💥💥วันนี้แอดมิน เพจหุ้นติดดอย จะมาแนะนำ Mindset หรือ แนวคิด ที่นักลงทุนควรต้องมี ซึ่งมี 5 ข้อสำคัญได้แก่ 🚩1. การมองระยะยาว การลงทุน เช่น ในหุ้น หรือ สินทรัพย์ใดๆก็ตาม ควรมองการลงทุนในระยะยาว เพื่อลดความผันแปร จากการเก็งกำไรระยะสั้นๆ ซึ่งการมองการลงทุน ระยะยาวเราควรมีความรู้ และ ความเข้าใจ ในตัว ธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน หรือ สินทรัพย์นั้นๆ เป็นอย่างดีว่า ในอนาคตข้างหน้าธุรกิจ หรือ สินทรัพย์เหล่านี้ จะมีการเติบโต และให้ผลตอบแทนที่ดีได้ 🚩2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต การลงทุน เราควรทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว และเรียนรู้ ปรับปรุง เพิ่มเติม อัพเดต ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้ และต่อยอด กับการลงทุนได้ 🚩3. การจัดการและควบคุมอารมณ์ ควรมีสภาวะจิตใจ และความมั่นคงทางอารมณ์ โดยไม่ลงทุนไปตามกระแส หรือ การชักจูง ชี้นำ จากกระแสข่าวต่างๆ หรือ สามารถจัดการกับ อารมณ์ความโลภ และ ความกลัวต่างๆ นิ่ง และ ไม่ตะหนกกับสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป 🚩4. การกระจายความเสี่ยง ควรกระจายความเสี่ยง ในการลงทุน ไม่ควรลงทุน กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น การลงทุนในหุ้น ควรกระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรม เพื่อที่ว่า เมื่ออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง หุ้นมีราคาลดลง เรายังมีหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ มาชดเชยพอร์ตโดยรวมของเราได้ 🚩5. การมีวินัย ข้อนี้สำคัญมาก นักลงทุนต้องมีวินัย โดยมีเป้าหมาย และแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น ลงทุนระยะยาว เพื่อปันผล ต้องสามารถถือรอ เพื่อเงินปันผลได้ หรือ เก็งกำไรกินส่วนต่างของราคา ในหุ้นระยะสั้น และระยะกลาง เมื่อราคาหุ้นที่ซื้อ ราคาตกอย่างฉับพลัน ต้องมีวินัย ในการตัดขาดทุนด้วย ไม่ใช่เปลี่ยนไป ถือหุ้นในระยะยาว เป็นต้น 💥ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็น Mindset หรือ แนวคิดในการลงทุน เพียงบางส่วนเท่านั้น นักลงทุนทุกท่านควรเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง และ นำทั้งจุดที่ประสบความสำเร็จ และ จุดข้อผิดพลาดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ก็จะทำให้เรา มี Mindset หรือ แนวคิดการลงทุน ที่สามารถลดความเสี่ยง ในด้านต่างๆ ลงได้ ไม่มากก็น้อย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5Mindsetหรือแนวคิดในการลงทุนที่ควรต้องมี #thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก

    การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก

    🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน”

    ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง

    🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ”

    เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม
    .
    🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance

    The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program.

    🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.”

    Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly.

    🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.”

    House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent.
    .
    10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก 🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน” ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง 🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ” เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม . 🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program. 🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.” Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly. 🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.” House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent. . 10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยหลายคนรู้จักและเคารพนับถือ พาเมลา คอลแมน สมิธ ในฐานะผู้สร้างไพ่ทาโรต์ชุด Rider-Waite-Smith (RWS) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของไพ่ทาโรต์ในยุคสมัยใหม่ หมอดูท่านนึงที่ไปสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการโหนกระแสวันนี้ก็พูดเรื่องนี้

    แต่จริง ๆ แล้ว คุณพาเมลาไม่ได้เป็นผู้สร้างไพ่ชุดนี้ "โดยตรง" ครับ เธอเป็นศิลปินผู้วาดหน้าไพ่ ส่วนคนที่คิดค้นคอนเสปต์ของไพ่เป็นอีกคน ถ้าคุณพาเมลาคือ "แม่" ของไพ่ทาโรต์สมัยใหม่ คนคนนี้ก็อยู่ในฐานะ "พ่อ"

    #TaleTuesday ประจำสัปดาห์นี้ จะพาไปรู้จักกับ อาเธอร์ เอ็ดเวิร์ด เวต ผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดในการสร้างไพ่ RWS และควรได้รับสมญานามว่า (ตัว)พ่อของไพ่ทาโรต์แห่งยุคสมัยใหม่ โดยปรากฏตัวบนไพ่พิเศษ 1 ใน 4 ใบจาก Smithtiny Tarot (รุ่นแรก) โดย Deckstiny ครับ
    คนไทยหลายคนรู้จักและเคารพนับถือ พาเมลา คอลแมน สมิธ ในฐานะผู้สร้างไพ่ทาโรต์ชุด Rider-Waite-Smith (RWS) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของไพ่ทาโรต์ในยุคสมัยใหม่ หมอดูท่านนึงที่ไปสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการโหนกระแสวันนี้ก็พูดเรื่องนี้ แต่จริง ๆ แล้ว คุณพาเมลาไม่ได้เป็นผู้สร้างไพ่ชุดนี้ "โดยตรง" ครับ เธอเป็นศิลปินผู้วาดหน้าไพ่ ส่วนคนที่คิดค้นคอนเสปต์ของไพ่เป็นอีกคน ถ้าคุณพาเมลาคือ "แม่" ของไพ่ทาโรต์สมัยใหม่ คนคนนี้ก็อยู่ในฐานะ "พ่อ" #TaleTuesday ประจำสัปดาห์นี้ จะพาไปรู้จักกับ อาเธอร์ เอ็ดเวิร์ด เวต ผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดในการสร้างไพ่ RWS และควรได้รับสมญานามว่า (ตัว)พ่อของไพ่ทาโรต์แห่งยุคสมัยใหม่ โดยปรากฏตัวบนไพ่พิเศษ 1 ใน 4 ใบจาก Smithtiny Tarot (รุ่นแรก) โดย Deckstiny ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 64 0 รีวิว
  • มาร์ค รุตต์ อดีตนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ เลขาธิการคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งสดๆร้อนๆขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ(นาโต) สนับสนุนแนวคิดอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ตะวันตกจัดหาให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
    .
    รุตต์ แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร(1ต.ค.) ระหว่างการแถลงข่าว ตามหลังพิธีถ่ายโอนอำนาจจาก เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตคนก่อน โดยเลขาธิการนาโตคนใหม่ สนับสนุนแนวคิดไฟเขียวให้ยูเครนทำอะไรก็ได้ตามแต่เห็นสมควร อ้างว่ามันอยู่ในขอบเขตสิทธิของเคียฟที่จะทำเช่นนั้น
    .
    "เรารู้กฎหมายระหว่างประเทศ และตามกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธินี้ไม่ได้จบลงที่แนวชายแดน ดังนั้นมันจึงหมายความว่ายูเครนมีสิทธิป้องกันตนเองด้วยวิถีทางต่างๆ ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะโจมตีเป้าหมายโดยชอบธรรม ในดินแดนของผู้รุกราน" รุตต์กล่าว
    .
    อย่างไรก็ตามเลขาธิการคนใหม่ของนาโต โยนความรับชอบออกจากกลุ่มพันธมิตรทหารแห่งนี้ ไปยังรัฐสมาชิกแต่ละชาติ โดยเน้นย้ำว่าท้ายที่สุดแล้ว มันขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ในการวางกรอบกฎเกณฑ์ต่างๆสำหรับเคียฟ ในเรื่องการใช้ระบบอาวุธที่พวกเขาจัดหาให้"
    .
    ความเห็นของรุตต์ มีขึ้นท่ามกลางประเด็นถกเถียงในตะวันตก ที่ว่าควรอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธที่ได้รับจากบรรดาผู้สนับสนุน โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย ที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติหรือไม่ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประเด็นดังกล่าว
    .
    ถ้อยแถลงของ รุตต์ เจอกับปฏิกิริยาตอบสนองในแง่ลบมาจากรัสเซีย ในนั้นรวมถึง ลีโอนิด สลุตสกี หัวหน้าพรรค LDPR พรรคชาตินิยมฝ่ายขวา ที่บอกว่าความเห็นนี้เป็นการส่งสารอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำของนาโต จะไม่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆในท่าทีก้าวร้าวของพวกเขา
    .
    ปัจจุบัน รัสเซีย อยู่ในกระบวนการปรับแก้หลักการการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยการแก้ไขครั้งนี้มีเจตนารับมือกับภัยท้าทายต่างๆที่ประเทศต้องเผชิญ โดยภายใต้ข้อเสนอแก้ไขหลักการ รัสเซียจะอนุญาตให้ใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ในการป้องปราม ในกรณีที่ถูกโจมตีโดยอาวุธทั่วไปจากประเทศหนึ่งๆที่แม้ไม่ใช่มหาอำนาจนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์
    .
    ท่าทีของเลขาธิการคนใหม่ของนาโต มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักสำหรับยูเครน พวกเขากำลังถูกรัสเซียไล่ต้อนหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยในวันพุธ(2ต.ค.) กองทัพเคียฟเปิดเผยว่าจำเป็นต้องถอนกำลังออกจากเมืองวูเกิลดาร์ ทางภาคตะวันออก ความเคลื่อนไหวที่กลายเป็นหนึ่งในการรุกคืบทางดินแดนครั้งสำคัญที่สุดของรัสเซียในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    การสูญเสียเมืองเหมืองถ่านหินแห่งนี้ ก่อคำถามครอบใหม่แก่ฐานที่มั่นในการป้องกันตนเองของยูเครน ตามแนวชายแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในขณะที่กองกำลังรัสเซียรุกคืบอย่างต่อเนื่อง ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
    .
    เมืองวูเกิลดาร์ ซึ่งมีประชากรราว 14,000 คนก่อนถูกรัสเซียรุกราน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโดเนตสก์ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 50 กิโลเมตร ขณะที่เมืองแห่งนี้ เป็นเมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน ที่รัสเซียกล่าวอ้างผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093363
    ..................
    Sondhi X
    มาร์ค รุตต์ อดีตนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ เลขาธิการคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งสดๆร้อนๆขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ(นาโต) สนับสนุนแนวคิดอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ตะวันตกจัดหาให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย . รุตต์ แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร(1ต.ค.) ระหว่างการแถลงข่าว ตามหลังพิธีถ่ายโอนอำนาจจาก เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตคนก่อน โดยเลขาธิการนาโตคนใหม่ สนับสนุนแนวคิดไฟเขียวให้ยูเครนทำอะไรก็ได้ตามแต่เห็นสมควร อ้างว่ามันอยู่ในขอบเขตสิทธิของเคียฟที่จะทำเช่นนั้น . "เรารู้กฎหมายระหว่างประเทศ และตามกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธินี้ไม่ได้จบลงที่แนวชายแดน ดังนั้นมันจึงหมายความว่ายูเครนมีสิทธิป้องกันตนเองด้วยวิถีทางต่างๆ ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะโจมตีเป้าหมายโดยชอบธรรม ในดินแดนของผู้รุกราน" รุตต์กล่าว . อย่างไรก็ตามเลขาธิการคนใหม่ของนาโต โยนความรับชอบออกจากกลุ่มพันธมิตรทหารแห่งนี้ ไปยังรัฐสมาชิกแต่ละชาติ โดยเน้นย้ำว่าท้ายที่สุดแล้ว มันขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ในการวางกรอบกฎเกณฑ์ต่างๆสำหรับเคียฟ ในเรื่องการใช้ระบบอาวุธที่พวกเขาจัดหาให้" . ความเห็นของรุตต์ มีขึ้นท่ามกลางประเด็นถกเถียงในตะวันตก ที่ว่าควรอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธที่ได้รับจากบรรดาผู้สนับสนุน โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย ที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติหรือไม่ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประเด็นดังกล่าว . ถ้อยแถลงของ รุตต์ เจอกับปฏิกิริยาตอบสนองในแง่ลบมาจากรัสเซีย ในนั้นรวมถึง ลีโอนิด สลุตสกี หัวหน้าพรรค LDPR พรรคชาตินิยมฝ่ายขวา ที่บอกว่าความเห็นนี้เป็นการส่งสารอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำของนาโต จะไม่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆในท่าทีก้าวร้าวของพวกเขา . ปัจจุบัน รัสเซีย อยู่ในกระบวนการปรับแก้หลักการการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยการแก้ไขครั้งนี้มีเจตนารับมือกับภัยท้าทายต่างๆที่ประเทศต้องเผชิญ โดยภายใต้ข้อเสนอแก้ไขหลักการ รัสเซียจะอนุญาตให้ใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ในการป้องปราม ในกรณีที่ถูกโจมตีโดยอาวุธทั่วไปจากประเทศหนึ่งๆที่แม้ไม่ใช่มหาอำนาจนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์ . ท่าทีของเลขาธิการคนใหม่ของนาโต มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักสำหรับยูเครน พวกเขากำลังถูกรัสเซียไล่ต้อนหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยในวันพุธ(2ต.ค.) กองทัพเคียฟเปิดเผยว่าจำเป็นต้องถอนกำลังออกจากเมืองวูเกิลดาร์ ทางภาคตะวันออก ความเคลื่อนไหวที่กลายเป็นหนึ่งในการรุกคืบทางดินแดนครั้งสำคัญที่สุดของรัสเซียในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา . การสูญเสียเมืองเหมืองถ่านหินแห่งนี้ ก่อคำถามครอบใหม่แก่ฐานที่มั่นในการป้องกันตนเองของยูเครน ตามแนวชายแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในขณะที่กองกำลังรัสเซียรุกคืบอย่างต่อเนื่อง ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว . เมืองวูเกิลดาร์ ซึ่งมีประชากรราว 14,000 คนก่อนถูกรัสเซียรุกราน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโดเนตสก์ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 50 กิโลเมตร ขณะที่เมืองแห่งนี้ เป็นเมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน ที่รัสเซียกล่าวอ้างผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093363 .................. Sondhi X
    Like
    Sad
    Wow
    Angry
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1552 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม - วันชาติจีน
    จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦
    ...........................................
    ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism
    จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ
    1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย
    2) แบ่งเท่ากัน
    ...........................................
    PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย
    ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า
    " LET SOME PEOPLE GET RICH"
    แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้)
    จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้

    ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!!
    ......................................................................

    ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ
    นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
    นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ
    1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc.
    2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ
    3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง)

    จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า
    ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย "

    แว๊ว---ช่าย หมาย ?
    .
    Pachäree Wõng
    October1st, 2024
    San Francisco, CA94108
    1 ตุลาคม - วันชาติจีน จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦 ........................................... ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ 1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย 2) แบ่งเท่ากัน ........................................... PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า " LET SOME PEOPLE GET RICH" แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้) จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้ ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. 2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!! ...................................................................... ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ 1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc. 2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ 3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง) จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย " แว๊ว---ช่าย หมาย ? . Pachäree Wõng October1st, 2024 San Francisco, CA94108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนตุลาคม 2567

    ตั้งแต่วันอังคารที่ 8 เดือนตุลาคม ไปจนถึง วันพุธที่ 6 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2567 เป็นเดือนจร 甲戌(กะสุก)มะโรงไม้ ธาตุไฟ มีกระแสพลังดาว 六白 (หลักแป๊ะ) ธาตุทอง ดาวแห่งตำแหน่ง หน้าที่ ผู้นำ ขุนนาง ข้าราชการ ร่วมขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) ดาวแห่งการทะเลาะวิวาท ฟ้องร้อง ต่อสู้ แย่งชิง เสียทรัพย์ ประจำอยู่ที่ปีจร甲辰(กะสุก) มะโรงไม้ ธาตุไฟ ส่งผลให้เกิดอุปสรรคขวากหนามต่อการปฏิรูปพัฒนาบ้านเมืองให้ได้อย่างต่อเนื่อง จะเกิดเหตุต่อสู้ แข่งขัน แก่งแย่ง ช่วงชิง เป็นการใหญ่ สร้างความปั่นป่วนภายในองค์กร ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่จะลุแก่อำนาจใช้ไม้แข็งทดแทนไม้อ่อนและยึดแนวคิดของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังคำทักท้วงห้ามปรามจากผู้น้อยอ่อนด้อยผู้ใด ทำให้บ้านเมืองเดินรุดหน้าอย่างเชื่องช้า ชักพาเศรษฐกิจดัชนีความเชื่อมั่นให้ไม่กระเตื้อง สะเทือนถึงสังคมให้ไม่สงบราบรื่น ควรใช้สติต่อการดำเนินชีวิตด้วยแนวความคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงจึงจะสามารถเอาตัวรอดได้ในช่วงห้วงเวลานี้ อีกทั้งต้องไม่ประมาทขณะขับขี่ยวดยานเพื่อป้องปรามอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางสัญจร
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนตุลาคม 2567 ตั้งแต่วันอังคารที่ 8 เดือนตุลาคม ไปจนถึง วันพุธที่ 6 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2567 เป็นเดือนจร 甲戌(กะสุก)มะโรงไม้ ธาตุไฟ มีกระแสพลังดาว 六白 (หลักแป๊ะ) ธาตุทอง ดาวแห่งตำแหน่ง หน้าที่ ผู้นำ ขุนนาง ข้าราชการ ร่วมขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) ดาวแห่งการทะเลาะวิวาท ฟ้องร้อง ต่อสู้ แย่งชิง เสียทรัพย์ ประจำอยู่ที่ปีจร甲辰(กะสุก) มะโรงไม้ ธาตุไฟ ส่งผลให้เกิดอุปสรรคขวากหนามต่อการปฏิรูปพัฒนาบ้านเมืองให้ได้อย่างต่อเนื่อง จะเกิดเหตุต่อสู้ แข่งขัน แก่งแย่ง ช่วงชิง เป็นการใหญ่ สร้างความปั่นป่วนภายในองค์กร ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่จะลุแก่อำนาจใช้ไม้แข็งทดแทนไม้อ่อนและยึดแนวคิดของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังคำทักท้วงห้ามปรามจากผู้น้อยอ่อนด้อยผู้ใด ทำให้บ้านเมืองเดินรุดหน้าอย่างเชื่องช้า ชักพาเศรษฐกิจดัชนีความเชื่อมั่นให้ไม่กระเตื้อง สะเทือนถึงสังคมให้ไม่สงบราบรื่น ควรใช้สติต่อการดำเนินชีวิตด้วยแนวความคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงจึงจะสามารถเอาตัวรอดได้ในช่วงห้วงเวลานี้ อีกทั้งต้องไม่ประมาทขณะขับขี่ยวดยานเพื่อป้องปรามอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางสัญจร ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🇬🇧 🇪🇺 คิดได้ไงว่ารัสเซีย จ๊น จน จน จน😁😆

    🇷🇺 รัสเซียวางแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม 30% ในปี 2568
    .
    🔴🔴 30 ก.ย. 67 #AFP เปิดเผย : แผนการใช้จ่ายเพิ่มล่าสุดที่วางแผนไว้ จะส่งผลให้งบประมาณกลาโหมของรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568 ตามเอกสารร่างงบประมาณที่เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ย. บนเว็บไซต์ของรัฐสภา
    • หรือ 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • หรือ งบกลาโหมรัสเซีย ในปี 68 อยู่ที่ 4.73 ล้านล้านบาท เอง😁
    • ตัวเลขนี้ ยังไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ ที่ถูกใช้ไปกับสงคราม เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียเรียกว่า "ความมั่นคงภายในประเทศ" "domestic security"
    .
    อันตัน ซิลูอานอฟ Anton Siluanov รมว.คลังรัสเซีย กล่าวในการประชุมรัฐบาลทางโทรทัศน์ เมื่อ 1 ต.ค.
    • ในปี 2568 “ลำดับความสำคัญสูงสุด” ของงบประมาณคือ “การสนับสนุนทางสังคมสำหรับประชาชน”

    • ประการที่สอง คือ การจัดสรรงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และความมั่นคง จัดสรรทรัพยากรสำหรับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร และ 📍 "สนับสนุนครอบครัวของผู้เข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหาร”
    • การใช้จ่ายรวมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง จะคิดเป็นประมาณ 40% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลรัสเซียทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิล หรือ 447,000 ล้านดอลลาร์
    .
    🔴🔴 30 ก.ย. 67 #รัสเซีย เตรียมปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหม 25 - 30% ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568😆
    • งบประมาณด้านกลาโหมที่จัดสรรไว้ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด กว่าเมื่อปีก่อนอยู่ราว 3 ล้านล้านรูเบิล
    .
    🔘 งบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นว่า : ปูตินได้นำเอาสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "แนวคิดเคนส์ทางการทหาร" “military Keynesianism” มาใช้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ :
    • การใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดสงครามในยูเครน
    • กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
    • ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
    • การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการยืนยันว่า : #เศรษฐกิจ ได้เปลี่ยนไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
    .
    📍 ตามร่างงบประมาณ คาดว่าการใช้จ่ายด้านสังคมจะลดลง 16% จาก 7.7 ล้านล้านรูเบิล ในปี 67 เป็น 6.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 68
    .
    🇷🇺 🇷🇺 🇷🇺 #การลงทุนมหาศาล ของรัสเซีย ในด้านการทหาร

    🔘 ทำให้ผู้วางแผนสงครามในยุโรปเกิดความกังวล โดยระบุว่า :
    #NATO ประเมินความสามารถของรัสเซียในการทำสงครามระยะยาวต่ำเกินไป
    • ในขณะเดียวกัน #ยูเครน กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนในอนาคต จากพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด😆
    .
    🔴🔴 15 ก.พ. 67 "สูงกว่าที่เราคาดไว้มาก" : การผลิตอาวุธของรัสเซียทำให้ผู้วางแผนสงครามของยุโรปเป็นกังวล😁

    🇷🇺 #มอสโกว์ ได้ขยายอุตสาหกรรมของตนอย่างมหาศาล ทำให้ได้เปรียบในยูเครน และนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งใหม่😆

    🔘 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศโดยรวม ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ7.5% ของ GDP ของรัสเซีย
    • โรงงานผลิตกระสุน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานตลอดเวลา โดยมักจะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง พร้อมล่วงเวลา 2 เท่า
    • มีการสร้างงานใหม่ 520,000 ตำแหน่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร
    • ช่างเครื่องและช่างเชื่อมในโรงงานของรัสเซีย ที่ผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร มีรายได้มากกว่าผู้จัดการ และทนายความทั่วไปหลายคน


    Noraseth Tuntasiri
    ติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🇬🇧 🇪🇺 คิดได้ไงว่ารัสเซีย จ๊น จน จน จน😁😆 🇷🇺 รัสเซียวางแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม 30% ในปี 2568 . 🔴🔴 30 ก.ย. 67 #AFP เปิดเผย : แผนการใช้จ่ายเพิ่มล่าสุดที่วางแผนไว้ จะส่งผลให้งบประมาณกลาโหมของรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568 ตามเอกสารร่างงบประมาณที่เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ย. บนเว็บไซต์ของรัฐสภา • หรือ 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ • หรือ งบกลาโหมรัสเซีย ในปี 68 อยู่ที่ 4.73 ล้านล้านบาท เอง😁 • ตัวเลขนี้ ยังไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ ที่ถูกใช้ไปกับสงคราม เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียเรียกว่า "ความมั่นคงภายในประเทศ" "domestic security" . อันตัน ซิลูอานอฟ Anton Siluanov รมว.คลังรัสเซีย กล่าวในการประชุมรัฐบาลทางโทรทัศน์ เมื่อ 1 ต.ค. • ในปี 2568 “ลำดับความสำคัญสูงสุด” ของงบประมาณคือ “การสนับสนุนทางสังคมสำหรับประชาชน” • ประการที่สอง คือ การจัดสรรงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และความมั่นคง จัดสรรทรัพยากรสำหรับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร และ 📍 "สนับสนุนครอบครัวของผู้เข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” • การใช้จ่ายรวมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง จะคิดเป็นประมาณ 40% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลรัสเซียทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิล หรือ 447,000 ล้านดอลลาร์ . 🔴🔴 30 ก.ย. 67 #รัสเซีย เตรียมปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหม 25 - 30% ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568😆 • งบประมาณด้านกลาโหมที่จัดสรรไว้ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด กว่าเมื่อปีก่อนอยู่ราว 3 ล้านล้านรูเบิล . 🔘 งบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นว่า : ปูตินได้นำเอาสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "แนวคิดเคนส์ทางการทหาร" “military Keynesianism” มาใช้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ : • การใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดสงครามในยูเครน • กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น • ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น • การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการยืนยันว่า : #เศรษฐกิจ ได้เปลี่ยนไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม . 📍 ตามร่างงบประมาณ คาดว่าการใช้จ่ายด้านสังคมจะลดลง 16% จาก 7.7 ล้านล้านรูเบิล ในปี 67 เป็น 6.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 68 . 🇷🇺 🇷🇺 🇷🇺 #การลงทุนมหาศาล ของรัสเซีย ในด้านการทหาร 🔘 ทำให้ผู้วางแผนสงครามในยุโรปเกิดความกังวล โดยระบุว่า : • #NATO ประเมินความสามารถของรัสเซียในการทำสงครามระยะยาวต่ำเกินไป • ในขณะเดียวกัน #ยูเครน กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนในอนาคต จากพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด😆 . 🔴🔴 15 ก.พ. 67 "สูงกว่าที่เราคาดไว้มาก" : การผลิตอาวุธของรัสเซียทำให้ผู้วางแผนสงครามของยุโรปเป็นกังวล😁 🇷🇺 #มอสโกว์ ได้ขยายอุตสาหกรรมของตนอย่างมหาศาล ทำให้ได้เปรียบในยูเครน และนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งใหม่😆 🔘 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศโดยรวม ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ7.5% ของ GDP ของรัสเซีย • โรงงานผลิตกระสุน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานตลอดเวลา โดยมักจะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง พร้อมล่วงเวลา 2 เท่า • มีการสร้างงานใหม่ 520,000 ตำแหน่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร • ช่างเครื่องและช่างเชื่อมในโรงงานของรัสเซีย ที่ผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร มีรายได้มากกว่าผู้จัดการ และทนายความทั่วไปหลายคน Noraseth Tuntasiri
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ การแบ่งเขตทางจิตวิญญาณกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจรู้สึกสับสนหรืออึดอัดเมื่อเผลอเข้าไปใน “เขตต้องห้าม” ทางจิตใจ ที่แตกต่างจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชีวิตประจำวันมากขึ้น

    การเข้าใจและตัดสินใจว่าเราต้องการอยู่ใน “โลกจิตวิญญาณ” แบบไหน มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินใจนี้จะส่งผลต่อการเลือกคบหาผู้คน การสร้างความสัมพันธ์ และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก การเลือกที่จะไม่คาดหวังจากคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมต่างจากเรา ช่วยให้เรามีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น ไม่ต้องบ่นทุกวันว่าทำไมโลกถึงเป็นแบบนี้ หรือทำไมผู้คนถึงเปลี่ยนไป

    ในยุคที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความสับสน ถึงแม้ว่าเราจะเห็นผู้คนมากมายที่อาจมีพฤติกรรมโหดร้าย แต่ถ้าคุณตั้งใจที่จะเป็นคนที่ใฝ่สันติและไม่เบียดเบียนใคร โลกยังคงมีที่ให้คุณอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือโลกออนไลน์ คุณจะได้พบกับผู้คนที่มีจิตใจคล้ายกัน แม้อาจจะหายากแต่พวกเขาก็มีอยู่จริง

    การตกลงกับตัวเองว่าเราต้องการอยู่ในโซนจิตวิญญาณแบบไหนนั้นสำคัญมาก เพราะมันจะกำหนดพฤติกรรมและการตอบสนองของเราในทุกสถานการณ์ หากคุณเลือกที่จะเป็นคนใจเย็นและประณีต คุณจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกดึงเข้าสู่ความโกรธหรือความรุนแรง แต่จะตอบสนองด้วยความเข้าใจและความเมตตา

    การตัดสินใจเลือกเส้นทางจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่เพียงช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและสงบสุขมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างโลกภายในของเราที่ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันภายนอก เมื่อโลกเต็มไปด้วยความร้อนระอุ คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ใฝ่ความเย็นสงบ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และไม่ติดหนี้เวรร้อนๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
    ในโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ การแบ่งเขตทางจิตวิญญาณกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจรู้สึกสับสนหรืออึดอัดเมื่อเผลอเข้าไปใน “เขตต้องห้าม” ทางจิตใจ ที่แตกต่างจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชีวิตประจำวันมากขึ้น การเข้าใจและตัดสินใจว่าเราต้องการอยู่ใน “โลกจิตวิญญาณ” แบบไหน มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินใจนี้จะส่งผลต่อการเลือกคบหาผู้คน การสร้างความสัมพันธ์ และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก การเลือกที่จะไม่คาดหวังจากคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมต่างจากเรา ช่วยให้เรามีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น ไม่ต้องบ่นทุกวันว่าทำไมโลกถึงเป็นแบบนี้ หรือทำไมผู้คนถึงเปลี่ยนไป ในยุคที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความสับสน ถึงแม้ว่าเราจะเห็นผู้คนมากมายที่อาจมีพฤติกรรมโหดร้าย แต่ถ้าคุณตั้งใจที่จะเป็นคนที่ใฝ่สันติและไม่เบียดเบียนใคร โลกยังคงมีที่ให้คุณอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือโลกออนไลน์ คุณจะได้พบกับผู้คนที่มีจิตใจคล้ายกัน แม้อาจจะหายากแต่พวกเขาก็มีอยู่จริง การตกลงกับตัวเองว่าเราต้องการอยู่ในโซนจิตวิญญาณแบบไหนนั้นสำคัญมาก เพราะมันจะกำหนดพฤติกรรมและการตอบสนองของเราในทุกสถานการณ์ หากคุณเลือกที่จะเป็นคนใจเย็นและประณีต คุณจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกดึงเข้าสู่ความโกรธหรือความรุนแรง แต่จะตอบสนองด้วยความเข้าใจและความเมตตา การตัดสินใจเลือกเส้นทางจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่เพียงช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและสงบสุขมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างโลกภายในของเราที่ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันภายนอก เมื่อโลกเต็มไปด้วยความร้อนระอุ คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ใฝ่ความเย็นสงบ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และไม่ติดหนี้เวรร้อนๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Truth is the daughter of time,
    not of authority."
    "ความจริงนั้นเป็นลูกสาวของเวลา
    ไม่ได้เกิดมาจากอำนาจของใคร"
    โดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon)

    นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนนี้เป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ยุคใหม่

    เบคอนเห็นว่า “ความจริงเป็นลูกสาวของกาลเวลา ไม่ใช่ของอำนาจ” แสดงให้เห็นว่าในที่สุดแล้วความจริงจะถูกเปิดเผยผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านไป แทนที่จะถูกบงการโดยผู้มีอำนาจหรือผู้มีอำนาจ

    แนวคิดนี้สื่อถึงว่าแม้ว่าผู้มีอำนาจอาจยืนยันความจริงบางประการ แต่คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะต้องได้รับการทดสอบและยืนยันตามกาลเวลา บริบททางประวัติศาสตร์และการสอบสวนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแยกแยะว่าอะไรถูกต้องหรือเป็นจริงอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความจริงถูกค้นพบผ่านกระบวนการสำรวจและหลักฐาน มากกว่าจะได้รับการยอมรับเพียงเพราะประกาศโดยบุคคลที่มีอำนาจเท่านั้น

    #Thaitimes
    "Truth is the daughter of time, not of authority." "ความจริงนั้นเป็นลูกสาวของเวลา ไม่ได้เกิดมาจากอำนาจของใคร" โดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนนี้เป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ยุคใหม่ เบคอนเห็นว่า “ความจริงเป็นลูกสาวของกาลเวลา ไม่ใช่ของอำนาจ” แสดงให้เห็นว่าในที่สุดแล้วความจริงจะถูกเปิดเผยผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านไป แทนที่จะถูกบงการโดยผู้มีอำนาจหรือผู้มีอำนาจ แนวคิดนี้สื่อถึงว่าแม้ว่าผู้มีอำนาจอาจยืนยันความจริงบางประการ แต่คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะต้องได้รับการทดสอบและยืนยันตามกาลเวลา บริบททางประวัติศาสตร์และการสอบสวนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแยกแยะว่าอะไรถูกต้องหรือเป็นจริงอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความจริงถูกค้นพบผ่านกระบวนการสำรวจและหลักฐาน มากกว่าจะได้รับการยอมรับเพียงเพราะประกาศโดยบุคคลที่มีอำนาจเท่านั้น #Thaitimes
    WWW.AZQUOTES.COM
    Francis Bacon Quote
    Truth is the daughter of time, not of authority.
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 936 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 กันยายน 2567 -เปลว สีเงิน ผู้เขียนคอลัมน์”คนปลายซอย“ วิพากษ์วิจารณ์ ”พริษฐ วัชรสินธุ“'สส.พรรคประชาชน ที่เสนอ ๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญ เตือนอย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก เนื้อหาในบทความระบุว่า

    "นายพริษฐ์ วัชรสินธุ" ที่แสนจะน่าระอา

    ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้พลาสติก มีสี มีฟอร์ม

    แต่...ไม่มีกลิ่น!

    จึงแห้งแล้ง ไม่มีเสน่ห์ ไร้ราคา ค่าแค่มาลัยพลาสติกสวมจอมปลวก ไม่มีวาสนาขึ้นหิ้งบูชาพระ หรืองามสง่าคู่แจกันห้องรับแขก

    หรือถ้าเป็นม้าแข่ง

    ก็เป็น "ม้าพันทาง" วิชาความรู้ปรัชญาการเมืองตามกากตำราฝรั่งเป็น "กะบังตา" สวม

    ก็ไม่เห็นซ้าย-ไม่เห็นขวา เข้าใจว่า โลกนี้ มีแต่ข้างหน้า เป็นทางไปทางเดียวตามตำราบอก ก็วิ่งทื่อตะบึงตรงไป

    หมายถึงว่า อะไรที่ผิดไปจากตำรากูเรียน มันไม่ใช่...มันต้องผิดไปทั้งหมด!

    ดูๆ ไปก็น่าเวทนา...

    ยิ่งเห็นออกมายืนตาแข็งเหมือนตาปลาแช่น้ำยาตามห้องเย็น ท่องตำราประชาธิปไตยว่ากล่าว

    เสนอ "๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๖ ก.ย.๖๗) นี้ด้วยแล้ว

    ต้องร้องว่า...เฮ้อ!

    เป็นอะไรมากมั้ย คุณไอติม ถ้าไม่ไหวกับการแบกตำราละก็ ดื่มนม แล้วกินยานอนพักซะบ้างก็ดีนะ

    คุณตั้งค่ามาตรฐานว่า กฎหมายที่มาจาก สส.-สว. "ระบบรัฐสภา" เท่านั้นที่เป็น "ประชาธิปไตย" ยึดโยงประชาชน

    นอกนั้น ไม่ใช่...ไม่เป็นประชาธิปไตย

    เช่น กฎหมายยุค คสช.หรือยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

    คุณปฏิเสธ "รังเกียจ-ไม่ยอมรับ" ทั้งหมด!

    พร้อม "สวมกะบังตา" ฝรั่ง ชี้เป็นทางที่พรรคส้มจะชักลากไปเมื่อวาน ว่า

    "พรรค ปชน.ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย

    ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา

    ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเดินหน้า ๒ เส้นทางแบบคู่ขนาน นั่นคือ

    -การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับอีกเส้นทาง คือ

    -การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน

    พรรค ปชน.จึงนำเสนอแนวคิด, ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น ๗ แพ็กเกจ

    แพ็กเกจที่ ๑ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร

    แพ็กเกจที่ ๒ “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ

    แพ็กเกจที่ ๓ “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต”

    แพ็กเกจที่ ๔ “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน”

    แพ็กเกจที่ ๕ “ปฏิรูปกองทัพ”

    แพ็กเกจที่ ๖ “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา”

    แพ็กเกจที่ ๗ “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

    ฮึ่ๆ...

    ฟัง "ประชาธิปไตย" ที่พริษฐ์ยกเทิดทูนเป็นประทีปไร้แสงนำทางมืดบอดแล้ว

    นึกถึง "นิทานธรรม" ของหลวงปู่ชา "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)" วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

    ท่านพูดฝรั่งไม่ได้ซักคำ....

    แต่ท่านนำพุทธธรรมไปสอนฝรั่งในยุโรป ในสหรัฐฯ ในเอเชีย จนมีคน "ต่างชาติ-ต่างภาษา" ทั้งฝรั่งและคนเอเชีย ขอบวชเป็นพระ

    มีวัดและสำนักสงฆ์ในสายหลวงปู่ชาเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ แห่ง

    "หลวงปู่ชา" เป็นพระผู้เผยแผ่คำสอนพระพุทธองค์ไปยังตะวันตกเป็นรูปแรกๆ ก็พูดได้เช่นนั้น

    จนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาไปตั้งมั่นในยุโรปชนิด "เคร่งครัด-มั่นคง" ด้านปฏิบัติมุ่งตรง "แก่นพุทธธรรม" ยิ่งกว่าตามวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ

    เคยมีคนนำเรื่องการเมืองไปถามและแสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับ "หลวงปู่ชา"

    พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา

    ฉะนั้น "หลวงปู่ชา" ท่านจะไม่สอนคนตรงๆ แต่จะสอนผ่านอุปมา-อุปไมยเป็น "อุบายธรรม" ให้คนฟังใช้ปัญญาแทงทะลุเอาเอง

    อย่างกรณีโยมผู้นี้....

    เข้าไปกราบหลวงปู่แล้วพูดว่า

    "หลวงพ่อครับ ผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก"

    "มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม" หลวงปู่ชาท่านว่า โยมก็ย้อนถามว่า "ไม่ถูกต้องยังไงครับ?"

    หลวงปู่ชา ท่านก็กล่าวเป็นอุบายธรรมว่า....

    "ยกตัวอย่างมีแมลงวัน ๒๐ ตัว มีแมลงผึ้ง ๑๐ ตัว แมลงวัน ๒๐ ตัวบอกว่า "อุจจาระหอมหวาน อร่อยดี"

    แต่แมลงผึ้ง ๑๐ ตัว บอกว่า "น้ำผึ้งหอมหวาน อร่อยดี"

    ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตย "แมลงวันชนะ" แมลงผึ้ง เพราะคะแนนเสียง "มากกว่า"

    แมลงผึ้งแพ้ เพราะคะแนนเสียง "น้อยกว่า"

    เราเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" มีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น เราควรจะเชื่อใครดี?"

    "นิทานธรรม" เรื่องนี้ มีเผยแพร่ทั่วไป ผู้มีปัญญาก็จะตีความปริศนาธรรมนั้นเข้าใจ ตามที่หลวงปู่ยกเรื่องแมลงวันกับผึ้งเป็นอุปมา-อุปไมย

    หมายถึง "การตัดสินด้วย "หลักประชาธิปไตย" บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลัก "ธรรมาธิปไตย" เข้าไปตัดสิน"

    แล้วพริษฐ์ ....คุณเป็น "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน" ล่ะ?

    ดีกรี "ปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์" เหรียญทอง ออกซฟอร์ด มีปัญญาแยกแยะได้แน่!

    แต่ในการแยกแยะ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจ "สถานะ" ให้ชัด ว่าเราเป็นแมลงวันหรือผึ้ง

    หรือเป็นคนใน "สถานะมนุษย์"?

    เมื่อรู้สถานะ พริษฐ์ ก็คือ "สัตว์ประเสริฐ" ต้องมีปัญญามากกว่าสัตว์แน่นอน

    ฉะนั้น ไหน "ประชาธิปไตย" หรือ "ไม่ประชาธิปไตย" ต้องเข้าใจว่าจะชี้ขาดด้วยมือในระบบรัฐสภา "ประชาธิปไตยเลือกตั้ง" หรือในระบบ "เผด็จการประชาธิปไตย" ตายตัวไม่ได้

    ต้องใช้ "ธรรมาธิปไตย" เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด!

    นี่ไม่ใช่เอะอะ ผมลากเข้าวัดนะ

    ต้องเข้าใจ "ธรรมะ" คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไร "เป็นอยู่อย่างนั้นนิรันดร์"

    หรือพูดอีกที "ความหมุนเวียน-เปลี่ยนแปลง" นั่นแหละนิรันดร์

    ทุกสิ่ง ประกอบด้วยกาล ด้วยเวลา ด้วยสถานะ เมื่อถึงพร้อมแล้ว มันหมุนเวียน-เปลี่ยนผัน จากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ตามเหตุ-ปัจจัย ที่มันต้องเป็นด้วยตัวของมันเอง

    พริษฐ์ไม่ต้องเป็น "จอห์น ล็อก" บิดาแห่งประชาธิปไตยในศตวรรษที่ ๒๑ หรอก

    เป็นแฟน "ออนล็อกหยุ่น" ดีกว่า....

    ไปนั่งกิน breakfast ที่นั่นบ่อยๆ จะเป็นหนทางสร้างสมประสบการณ์ประชาธิปไตย จาก "หลายชีวิต-หลากรุ่น"

    บางที การได้สัมผัสวิถีประชาธิปไตยไทยแท้ๆ อาจทำให้ "ดอกไม้พลาสติก" มีกลิ่นหอมขึ้นมาก็ได้

    ทฤษฎี-หลักการตามตำรา นำมาชี้ขาด "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดดๆ ไม่ได้หรอก

    มันต้องประกอบด้วย "ประสบการณ์" เพราะสังคมหนึ่งๆ มีทั้งประชาชนผึ้ง ทั้งประชาชนแมลงวัน

    ฉะนั้น บางเรื่องจะใช้ "จำนวนมาก" ถือเป็นประชาธิปไตย

    นั่นมันหลักการ "พลเมืองแมลง"

    มันไม่ถูก-ไม่ชอบธรรมตามหลัก "พลเมืองมนุษย์"

    อย่างจะเขียนกฎหมายให้ง่ายต่อการแยก "ราชอาณาจักร" ไปเป็นสาธารณรัฐ

    เขียนกฎหมาย ไม่เน้น "ศีลธรรม-จริยธรรม" ให้เข้าง่าย กินง่าย-โกงง่าย-อยู่ง่าย

    แค่ "มือมาก" ในระบบสภายกให้ ก็หมายความว่า เหล่านั้น เป็นประชาธิปไตยถูกต้องแล้ว

    ถูกตามประชาธิปไตยแมลงวันละก็ใช่

    แต่มัน "ไม่ถูกต้อง-ไม่ชอบธรรม" ตามประชาธิปไตยมนุษย์ ที่ต้องมี "ธรรม" เป็นแกนในกฎ-กติกาสังคม

    พริษฐ์ ว่า "กฎหมายที่มีขณะนี้ "คสช.เขียน" ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด"

    ถ้าอย่างนั้น.....

    ระบอบประชาธิปไตยที่ "คณะราษฎร" สถาปนาเมื่อ ปี ๒๔๗๕ ก็ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้ง เพราะไม่ได้มาตามระบบรัฐสภา

    หากแต่มาจาก "คณะราษฎร" ใช้กำลังไปปล้นพระราชอำนาจจาก "พระมหากษัตริย์" มา

    นั่นเท่ากับคณะราษฎร เป็นเผด็จการ!

    และที่พริษฐ์บอก "รังเกียจ-ปฏิเสธ" ทุกกฎหมาย-ทุกคำสั่งของ คสช.ต้องยกเลิก เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน

    งั้น พริษฐ์และพรรคส้ม ต้องพ้นสภาพ สส.ไปวันนี้เลย

    เพราะ พวกคุณทุกคน ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ที่ให้มีเลือกตั้ง เมื่อรังเกียจ ให้ยกเลิกกฎหมายนั้น

    สส.พวกคุณและพรรคส้ม ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็น สส.ไม่ได้แล้ว!

    เห็นมั้ย พริษฐ์..."ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด" การพูดเอาเท่ ขาดประสบการณ์โลกจริง แยกเหตุ-แยกผล ไม่ได้ ก็ฉิบหายตัวเอง

    อย่าคิดต่ำกว่าหนอนในถังขี้เลย...พริษฐ์

    หนอน กินขี้เลี้ยงชีวิต มันรู้บุญคุณ มันไม่เคยเนรคุณถังขี้

    แต่พริษฐ์ เป็นมนุษย์ มีสมองคิดด้วยจิตสำนึกเหนือหนอน ฉะนั้น อย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก

    จะปฏิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร มีสงครามค่อยเกณฑ์

    พริษฐ์...หิวข้าวตอนไหน ค่อยไปทำตอนนั้น อย่างนั้นหรือ?

    นี่ถ้าวันนี้ไม่มีทหารละก็นะ

    พริษฐ์และคณะส้มต้องไปโกยเลนให้ชาวบ้านที่แม่สายแทน...เอามั้ย?

    กลับบ้าน อาบน้ำ ประแป้ง แล้วกินนมนอน ซะไป...พริษฐ์?!

    -เปลว สีเงิน

    ๒๗ กันยายน ๒๕๖๗

    คนปลายซอย

    ที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/663854/?#m1kerm3y94d8my69xxm

    #Thaitimes
    27 กันยายน 2567 -เปลว สีเงิน ผู้เขียนคอลัมน์”คนปลายซอย“ วิพากษ์วิจารณ์ ”พริษฐ วัชรสินธุ“'สส.พรรคประชาชน ที่เสนอ ๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญ เตือนอย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก เนื้อหาในบทความระบุว่า "นายพริษฐ์ วัชรสินธุ" ที่แสนจะน่าระอา ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้พลาสติก มีสี มีฟอร์ม แต่...ไม่มีกลิ่น! จึงแห้งแล้ง ไม่มีเสน่ห์ ไร้ราคา ค่าแค่มาลัยพลาสติกสวมจอมปลวก ไม่มีวาสนาขึ้นหิ้งบูชาพระ หรืองามสง่าคู่แจกันห้องรับแขก หรือถ้าเป็นม้าแข่ง ก็เป็น "ม้าพันทาง" วิชาความรู้ปรัชญาการเมืองตามกากตำราฝรั่งเป็น "กะบังตา" สวม ก็ไม่เห็นซ้าย-ไม่เห็นขวา เข้าใจว่า โลกนี้ มีแต่ข้างหน้า เป็นทางไปทางเดียวตามตำราบอก ก็วิ่งทื่อตะบึงตรงไป หมายถึงว่า อะไรที่ผิดไปจากตำรากูเรียน มันไม่ใช่...มันต้องผิดไปทั้งหมด! ดูๆ ไปก็น่าเวทนา... ยิ่งเห็นออกมายืนตาแข็งเหมือนตาปลาแช่น้ำยาตามห้องเย็น ท่องตำราประชาธิปไตยว่ากล่าว เสนอ "๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๖ ก.ย.๖๗) นี้ด้วยแล้ว ต้องร้องว่า...เฮ้อ! เป็นอะไรมากมั้ย คุณไอติม ถ้าไม่ไหวกับการแบกตำราละก็ ดื่มนม แล้วกินยานอนพักซะบ้างก็ดีนะ คุณตั้งค่ามาตรฐานว่า กฎหมายที่มาจาก สส.-สว. "ระบบรัฐสภา" เท่านั้นที่เป็น "ประชาธิปไตย" ยึดโยงประชาชน นอกนั้น ไม่ใช่...ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น กฎหมายยุค คสช.หรือยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คุณปฏิเสธ "รังเกียจ-ไม่ยอมรับ" ทั้งหมด! พร้อม "สวมกะบังตา" ฝรั่ง ชี้เป็นทางที่พรรคส้มจะชักลากไปเมื่อวาน ว่า "พรรค ปชน.ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเดินหน้า ๒ เส้นทางแบบคู่ขนาน นั่นคือ -การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับอีกเส้นทาง คือ -การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน พรรค ปชน.จึงนำเสนอแนวคิด, ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น ๗ แพ็กเกจ แพ็กเกจที่ ๑ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร แพ็กเกจที่ ๒ “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ แพ็กเกจที่ ๓ “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต” แพ็กเกจที่ ๔ “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน” แพ็กเกจที่ ๕ “ปฏิรูปกองทัพ” แพ็กเกจที่ ๖ “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา” แพ็กเกจที่ ๗ “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ฮึ่ๆ... ฟัง "ประชาธิปไตย" ที่พริษฐ์ยกเทิดทูนเป็นประทีปไร้แสงนำทางมืดบอดแล้ว นึกถึง "นิทานธรรม" ของหลวงปู่ชา "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)" วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี ท่านพูดฝรั่งไม่ได้ซักคำ.... แต่ท่านนำพุทธธรรมไปสอนฝรั่งในยุโรป ในสหรัฐฯ ในเอเชีย จนมีคน "ต่างชาติ-ต่างภาษา" ทั้งฝรั่งและคนเอเชีย ขอบวชเป็นพระ มีวัดและสำนักสงฆ์ในสายหลวงปู่ชาเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ แห่ง "หลวงปู่ชา" เป็นพระผู้เผยแผ่คำสอนพระพุทธองค์ไปยังตะวันตกเป็นรูปแรกๆ ก็พูดได้เช่นนั้น จนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาไปตั้งมั่นในยุโรปชนิด "เคร่งครัด-มั่นคง" ด้านปฏิบัติมุ่งตรง "แก่นพุทธธรรม" ยิ่งกว่าตามวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ เคยมีคนนำเรื่องการเมืองไปถามและแสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับ "หลวงปู่ชา" พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา ฉะนั้น "หลวงปู่ชา" ท่านจะไม่สอนคนตรงๆ แต่จะสอนผ่านอุปมา-อุปไมยเป็น "อุบายธรรม" ให้คนฟังใช้ปัญญาแทงทะลุเอาเอง อย่างกรณีโยมผู้นี้.... เข้าไปกราบหลวงปู่แล้วพูดว่า "หลวงพ่อครับ ผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก" "มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม" หลวงปู่ชาท่านว่า โยมก็ย้อนถามว่า "ไม่ถูกต้องยังไงครับ?" หลวงปู่ชา ท่านก็กล่าวเป็นอุบายธรรมว่า.... "ยกตัวอย่างมีแมลงวัน ๒๐ ตัว มีแมลงผึ้ง ๑๐ ตัว แมลงวัน ๒๐ ตัวบอกว่า "อุจจาระหอมหวาน อร่อยดี" แต่แมลงผึ้ง ๑๐ ตัว บอกว่า "น้ำผึ้งหอมหวาน อร่อยดี" ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตย "แมลงวันชนะ" แมลงผึ้ง เพราะคะแนนเสียง "มากกว่า" แมลงผึ้งแพ้ เพราะคะแนนเสียง "น้อยกว่า" เราเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" มีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น เราควรจะเชื่อใครดี?" "นิทานธรรม" เรื่องนี้ มีเผยแพร่ทั่วไป ผู้มีปัญญาก็จะตีความปริศนาธรรมนั้นเข้าใจ ตามที่หลวงปู่ยกเรื่องแมลงวันกับผึ้งเป็นอุปมา-อุปไมย หมายถึง "การตัดสินด้วย "หลักประชาธิปไตย" บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลัก "ธรรมาธิปไตย" เข้าไปตัดสิน" แล้วพริษฐ์ ....คุณเป็น "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน" ล่ะ? ดีกรี "ปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์" เหรียญทอง ออกซฟอร์ด มีปัญญาแยกแยะได้แน่! แต่ในการแยกแยะ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจ "สถานะ" ให้ชัด ว่าเราเป็นแมลงวันหรือผึ้ง หรือเป็นคนใน "สถานะมนุษย์"? เมื่อรู้สถานะ พริษฐ์ ก็คือ "สัตว์ประเสริฐ" ต้องมีปัญญามากกว่าสัตว์แน่นอน ฉะนั้น ไหน "ประชาธิปไตย" หรือ "ไม่ประชาธิปไตย" ต้องเข้าใจว่าจะชี้ขาดด้วยมือในระบบรัฐสภา "ประชาธิปไตยเลือกตั้ง" หรือในระบบ "เผด็จการประชาธิปไตย" ตายตัวไม่ได้ ต้องใช้ "ธรรมาธิปไตย" เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด! นี่ไม่ใช่เอะอะ ผมลากเข้าวัดนะ ต้องเข้าใจ "ธรรมะ" คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไร "เป็นอยู่อย่างนั้นนิรันดร์" หรือพูดอีกที "ความหมุนเวียน-เปลี่ยนแปลง" นั่นแหละนิรันดร์ ทุกสิ่ง ประกอบด้วยกาล ด้วยเวลา ด้วยสถานะ เมื่อถึงพร้อมแล้ว มันหมุนเวียน-เปลี่ยนผัน จากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ตามเหตุ-ปัจจัย ที่มันต้องเป็นด้วยตัวของมันเอง พริษฐ์ไม่ต้องเป็น "จอห์น ล็อก" บิดาแห่งประชาธิปไตยในศตวรรษที่ ๒๑ หรอก เป็นแฟน "ออนล็อกหยุ่น" ดีกว่า.... ไปนั่งกิน breakfast ที่นั่นบ่อยๆ จะเป็นหนทางสร้างสมประสบการณ์ประชาธิปไตย จาก "หลายชีวิต-หลากรุ่น" บางที การได้สัมผัสวิถีประชาธิปไตยไทยแท้ๆ อาจทำให้ "ดอกไม้พลาสติก" มีกลิ่นหอมขึ้นมาก็ได้ ทฤษฎี-หลักการตามตำรา นำมาชี้ขาด "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดดๆ ไม่ได้หรอก มันต้องประกอบด้วย "ประสบการณ์" เพราะสังคมหนึ่งๆ มีทั้งประชาชนผึ้ง ทั้งประชาชนแมลงวัน ฉะนั้น บางเรื่องจะใช้ "จำนวนมาก" ถือเป็นประชาธิปไตย นั่นมันหลักการ "พลเมืองแมลง" มันไม่ถูก-ไม่ชอบธรรมตามหลัก "พลเมืองมนุษย์" อย่างจะเขียนกฎหมายให้ง่ายต่อการแยก "ราชอาณาจักร" ไปเป็นสาธารณรัฐ เขียนกฎหมาย ไม่เน้น "ศีลธรรม-จริยธรรม" ให้เข้าง่าย กินง่าย-โกงง่าย-อยู่ง่าย แค่ "มือมาก" ในระบบสภายกให้ ก็หมายความว่า เหล่านั้น เป็นประชาธิปไตยถูกต้องแล้ว ถูกตามประชาธิปไตยแมลงวันละก็ใช่ แต่มัน "ไม่ถูกต้อง-ไม่ชอบธรรม" ตามประชาธิปไตยมนุษย์ ที่ต้องมี "ธรรม" เป็นแกนในกฎ-กติกาสังคม พริษฐ์ ว่า "กฎหมายที่มีขณะนี้ "คสช.เขียน" ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด" ถ้าอย่างนั้น..... ระบอบประชาธิปไตยที่ "คณะราษฎร" สถาปนาเมื่อ ปี ๒๔๗๕ ก็ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้ง เพราะไม่ได้มาตามระบบรัฐสภา หากแต่มาจาก "คณะราษฎร" ใช้กำลังไปปล้นพระราชอำนาจจาก "พระมหากษัตริย์" มา นั่นเท่ากับคณะราษฎร เป็นเผด็จการ! และที่พริษฐ์บอก "รังเกียจ-ปฏิเสธ" ทุกกฎหมาย-ทุกคำสั่งของ คสช.ต้องยกเลิก เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน งั้น พริษฐ์และพรรคส้ม ต้องพ้นสภาพ สส.ไปวันนี้เลย เพราะ พวกคุณทุกคน ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ที่ให้มีเลือกตั้ง เมื่อรังเกียจ ให้ยกเลิกกฎหมายนั้น สส.พวกคุณและพรรคส้ม ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็น สส.ไม่ได้แล้ว! เห็นมั้ย พริษฐ์..."ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด" การพูดเอาเท่ ขาดประสบการณ์โลกจริง แยกเหตุ-แยกผล ไม่ได้ ก็ฉิบหายตัวเอง อย่าคิดต่ำกว่าหนอนในถังขี้เลย...พริษฐ์ หนอน กินขี้เลี้ยงชีวิต มันรู้บุญคุณ มันไม่เคยเนรคุณถังขี้ แต่พริษฐ์ เป็นมนุษย์ มีสมองคิดด้วยจิตสำนึกเหนือหนอน ฉะนั้น อย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก จะปฏิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร มีสงครามค่อยเกณฑ์ พริษฐ์...หิวข้าวตอนไหน ค่อยไปทำตอนนั้น อย่างนั้นหรือ? นี่ถ้าวันนี้ไม่มีทหารละก็นะ พริษฐ์และคณะส้มต้องไปโกยเลนให้ชาวบ้านที่แม่สายแทน...เอามั้ย? กลับบ้าน อาบน้ำ ประแป้ง แล้วกินนมนอน ซะไป...พริษฐ์?! -เปลว สีเงิน ๒๗ กันยายน ๒๕๖๗ คนปลายซอย ที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/663854/?#m1kerm3y94d8my69xxm #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 917 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠

    ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว"

    สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย

    นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ

    ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ

    และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ

    โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

    สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้

    ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก

    ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า

    โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม

    ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม?

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ

    หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน

    เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้

    ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช

    บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

    ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝)

    แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้

    ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง

    ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭)

    ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ

    การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป

    เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย

    แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970

    แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม

    เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那)

    ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา

    ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว

    จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส

    ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา

    ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ

    ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม

    อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

    ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่

    หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม

    ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ .

    อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก

    เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้

    ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง

    ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ

    หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน

    กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ

    ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น

    ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ

    เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้

    ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก"

    😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰


    🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠 ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว" สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม? ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้ ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝) แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้ ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭) ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970 แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那) ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ . อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้ ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก" 😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1188 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี

    แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว

    ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว

    ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก

    นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี

    ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท

    เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง

    ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ

    #แรงดลใจแห่งชีวิต

    โดย #โสภณสุภาพงษ์

    #บทความ
    #ข้อคิด
    #แง่คิด
    #thaitimes
    #การพัฒนาตนเอง
    #หนังสือ
    #แนะนำหนังสือ
    #ฮาวทู

    มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ #แรงดลใจแห่งชีวิต โดย #โสภณสุภาพงษ์ #บทความ #ข้อคิด #แง่คิด #thaitimes #การพัฒนาตนเอง #หนังสือ #แนะนำหนังสือ #ฮาวทู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 906 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#ปูตินพูดถึงเลนิน#ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดคือการเปลี่ยนประเทศที่เป็นเอกภาพให้เป็นสหภาพรัฐ🤠

    หากรัสเซียไม่สามารถเอาชนะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบันได้ ก็มีแนวโน้มมากที่รัสเซียจะต้องเผชิญวิกฤติการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 อีกครั้ง และนี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย

    😎สหภาพโซเวียตล่มสลายได้อย่างไร?😎 นี่เป็นปัญหาข้ามศตวรรษซึ่งยังคงค้างคาอยู่ในจิตใจของนักประวัติศาสตร์นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีค.ศ. 1991

    “อาณาเขตอันกว้างใหญ่ อุตสาหกรรมหนักที่พัฒนาแล้ว และความแข็งแกร่งทางการทหารครั้งหนึ่งเคยทำให้ชาวอเมริกันที่หยิ่งยโสหวาดกลัว”

    จนถึงทุกวันนี้ ในทุกมุมของโลก ยังมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดถึงอาณาจักรสีแดงในอดีต

    ในฐานะสมาชิกของอดีตจักรวรรดิโซเวียตอันยิ่งใหญ่ และในฐานะหัวหน้ารัฐบาลรัสเซียในปัจจุบัน 😎ปูตินพูดไม่ออกและพูดนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเผชิญการสัมภาษณ์ : ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกเสียใจต่อกรณีสหภาพโซเวียตย่อมไม่มีจิตสำนึกในมโนธรรม😎

    แต่ในขณะเดียวกัน ปูตินก็กล่าวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจดังนี้ว่า

    😎“โศกนาฏกรรมของสหภาพโซเวียตถึงวาระกำหนดไว้แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม คือ เลนินเองที่เป็นผู้เปลี่ยนประเทศทั้งประเทศให้กลายเป็นพันธมิตรที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะกลมกลืนกัน” 😎

    🤠แล้วอะไรคือเหตุผลว่าทำไมปูตินจึงประเมินอดีตสหภาพโซเวียตและเลนินอย่างเปลือยเปล่าและเปิดเผยต่อสาธารณะ? การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งโศกนาฏกรรมที่เลนินหว่านเพาะไว้จริง ๆ หรือไม่?🤠

    🥰หนึ่ง🥰

    ในปีค.ศ. 1914 เริ่มแรกเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในยุโรป

    แม้ว่าการสู้รบจะดุเดือดในภายนอก แต่ภายในรัสเซียในขณะนั้น ยังคงมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในประเด็นที่ว่าใครครอบครองอยู่ในอำนาจปกครอง รัฐบาลเฉพาะกาลชนชั้นกระฎุมพีหรือว่ารัฐบาลโซเวียต

    ในเวลานี้ เลนินยังส่งเสริมแนวคิดเรื่องชนชั้นกรรมาชีพทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

    ในขณะที่รัฐบาลเฉพาะกาลในรัสเซียประสบความพ่ายแพ้อันน่าสลดใจในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนก็เริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนเพื่อต่อต้านการไร้ความสามารถของรัฐบาลเฉพาะกาล

    เมื่อต้องเผชิญกับผู้ประท้วงจำนวนมาก รัฐบาลชั่วคราวของรัสเซียจึงเลือกที่จะใช้กำลังเพื่อปราบปรามพวกเขา แม้ว่าสังคมจะเงียบสงบชั่วคราว แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าพายุการเมืองลูกใหญ่กำลังจะโจมตี

    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1917 ภายใต้เสียงปลุกระดมของเลนิน ชนชั้นแรงงานในรัสเซียเริ่มโจมตีรัฐบาลเฉพาะกาลชนชั้นกระฎุมพี

    ชั่วข้ามคืน รัฐบาลเฉพาะกาลถอนตัวออกจากเวทีประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง ตามมาด้วยการกำเนิดสาธารณรัฐโซเวียตใหม่ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติได้พลิกโฉมหน้าใหม่

    การกำเนิดของโซเวียตรัสเซียได้สร้างแบบอย่างและแรงบันดาลใจมากมายให้กับประเทศเล็กๆ หลายแห่งซึ่งแต่เดิมถูกควบคุมโดยซาร์รัสเซีย

    🥰สอง🥰

    ในการประชุมรัฐสภาโซเวียตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1922 เลนินละทิ้งประวัติศาสตร์ของซาร์รัสเซีย และเลือกที่จะไม่สถาปนารัฐที่มีหลายเชื้อชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลับเลือกที่จะสร้างสถาปนาแนวร่วมของรัฐต่างๆแทน

    ดังนั้นการดำรงอยู่ของซาร์รัสเซียที่มีหลายเชื้อชาติเป็นหนึ่งเดียวมันเป็นการดำรงเหลือคงอยู่แบบใด?

    ในศตวรรษที่ 13 กองทัพม้าของ โกลเดนฮอร์ด (Golden Horde金帐汗国)ชาวมองโกเลียเหยียบย่ำเข้าไปในดินแดนที่ปัจจุบันคือรัสเซีย ดังนั้นในช่วงเวลาอันยาวนานที่ซาร์รัสเซียจึงถือเอาการได้โค่นล้มการปกครองของมองโกเลียเป็นเรื่องราวระดับชาติของพวกเขา

    ในช่วงการกบฏอำนาจของอาณาเขตมอสโกค่อยๆเติบโต เริ่มค่อยๆพยายามแยกตัวออกจากการปกครองของมองโกล

    ในปีค.ศ. 1480 อีวานที่ 3 วาซีลเยวิช(Ivan III Vasilyevich伊凡三世·瓦西里耶维奇) แห่งมอสโกได้นำประชาชนฟื้นฟูการปกครองที่เป็นอิสระอย่างเป็นทางการ

    😎นั่นคือต่อมาเป็นซาร์รัสเซียนั่นเอง😎

    หลังจากผ่านช่วงเวลาความเจริญขึ้นๆ ลงๆ เป็นเวลาหลายร้อยปี การถือกำเนิดของจักรพรรดิปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)ได้นำพารัสเซียไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

    สิ่งควรค่าที่จะกล่าวภึงคือ ในปีค.ศ. 1721 หลังจากที่จักรพรรดิปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)นำประชาชนของเขาเอาชนะสวีเดน เขาก็ประสบความสำเร็จในการยืนหยัดอยู่ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจของโลก

    เพื่อบรรลุถึงความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขายิ่งขึ้น และยังเพื่อที่รักษาความมั่นคงตำแหน่งอำนาจของพวกเขา วุฒิสภารัสเซียจึงได้สวมมงกุฎแก่ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)เป็นจักรพรรดิ

    😎ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปที่ซาร์รัสเซียกลายเป็นจักรวรรดิรัสเซียอย่างเป็นทางการ😎

    🤠กล่าวคือ ภายใต้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ ซาร์รัสเซียไม่เคยได้เป็นพันธมิตรระหว่างประเทศ แต่เป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาโดยตลอด🤠

    🥰สาม🥰

    ปูตินเป็นคนเข้มแข็ง เขาสนับสนุนการเมืองที่เข้มแข็ง และแนวคิดเรื่องความสามัคคีนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในกระดูกของเขา ในมุมมองของเขา ตัวเขาเองใช้เวลาทั้งชีวิตทำงานอย่างหนักเพื่อให้รัสเซียสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันและก้าวไปข้างหน้า

    เขาชื่นชมการเมืองที่เข้มแข็งของสตาลิน และเขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างชาติของเลนิน

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลนินได้สร้างพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกที่ชาวสลาฟรู้สึกถึงความภาคภูมิใจและความภาคภูมิใจที่ได้ยืนอยู่ที่หัวสะพานของโลก

    แต่ในทางกลับกัน และเป็นเพราะการรวมตัวแบบที่มีความหลวมตัวของพันธมิตรของประเทศต่างๆ ที่ก่อตั้งโดยเลนินนั่นเอง ทำให้หลายประเทศในปัจจุบันสามารถแยกตัวออกจากรัสเซียได้อย่างรวดเร็ว และแม้กระทั่งหันไปทางตะวันตกโดยสิ้นเชิง เช่น ยูเครนในปัจจุบัน

    แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ก็ไม่ยากเลยที่จะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเลนินไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงไปสู่พันธมิตรระดับชาติ หากเลนินมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปี บางทีเขาอาจจะหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตได้

    ในเวลานั้น สหภาพโซเวียต เชชเนีย ยูเครน และภูมิภาคอื่นๆ มักเรียกร้องเอกราช แม้จะต้องแลกกับการสู้รบก็ตาม

    สหภาพโซเวียตซึ่งเพิ่งโผล่ออกมาจากควันแห่งความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่สามารถต้านทานวิกฤติการแยกตัวออกใหม่หรือจุดประกายสงครามอีกครั้งได้

    เมื่อถูกบังคับกดดันจนไม่มีหนทางที่เหมาะสม เลนินทำได้แค่แนวทางสายเฉลี่ยปานกลางเท่านั้น นั่นก็คือในรูปแบบของพันธมิตรระดับชาติ ซึ่งก็คือการยึดรักษากลุ่มชาติพันธุ์และภูมิภาคที่มีอาการไม่สงบเหล่านี้ไว้อย่างมั่นคงให้อยู่ภายใต้เคียวสีแดงของสหภาพโซเวียต

    🥰สี่🥰

    การล่มสลายของสหภาพโซเวียตมีสาเหตุหลายประการ และไม่สามารถนำมาประกอบว่าเป็นสาเหตุอย่างง่ายๆเนื่องจากบุคคลคนเดียวหรือปัจจัยนอกอาณาเขตอื่นๆ ได้

    😎ประการที่หนึ่ง คือ ความแข็งแกร่งของระบบ😎

    : เลนินออกแบบพิมพ์เขียวอันยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตของสหภาพโซเวียต แต่มันก็มีอุดมคติมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้สตาลินถึงกับเยาะเย้ยดูแคลนสิ่งดังกล่าวเพื่อที่จะกลายเป็นมหาอำนาจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในโลกอย่างรวดเร็ว

    สตาลินเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก และกำลังคนและทรัพยากรทั้งหมดถูกบังคับให้เอียงเทไปด้านหนึ่ง

    แม้ว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วจะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว สหภาพโซเวียตยักษ์ใหญ่ตนนี้เดินด้วยขาเดียวซึ่งไม่มั่นคง

    ดังนั้น เมื่อกองกำลังอิทธิพลตะวันตกบุกเข้ามา เพียงแค่วิวัฒนาการอย่างสันติเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายขาอีกข้างของสหภาพโซเวียตและทำให้เป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิง

    😎ประการที่สอง คือ การสูญเสียการสำรวจตรวจสอบ😎

    🤠เติ้งกง(邓公)เคยกล่าวไว้ว่า สังคมนิยมแท้จริงแล้วมีลักษณะเป็นอย่างไร?สหภาพโซเวียตทำสิ่งนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร เพียงแค่ประโยคเดียว เขาก็เข้าถึงประเด็นสำคัญของสหภาพโซเวียตอย่างแม่นยำ🤠

    ตั้งแต่สตาลินไปจนถึงครุสชอฟไปจนถึงเบรจเนฟและแม้แต่กอร์บาชอฟ พวกเขาต่างพยายามสำรวจว่าลัทธิสังคมนิยมในจินตนาการจะเป็นอย่างไร

    แต่เมื่อได้เห็นลักษณะลีลาร้อยแปดพันเก้าต่างๆ ของชาติตะวันตกแล้ว พวกเขาก็เริ่มมีความสั่นคลอนอุดมคติและความเชื่อมั่นของตน เกี่ยวการสำรวจและปฏิบัติทางสังคมนิยมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกนอกเส้นทาง

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰

    🤠#ปูตินพูดถึงเลนิน#ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดคือการเปลี่ยนประเทศที่เป็นเอกภาพให้เป็นสหภาพรัฐ🤠 หากรัสเซียไม่สามารถเอาชนะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบันได้ ก็มีแนวโน้มมากที่รัสเซียจะต้องเผชิญวิกฤติการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 อีกครั้ง และนี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย 😎สหภาพโซเวียตล่มสลายได้อย่างไร?😎 นี่เป็นปัญหาข้ามศตวรรษซึ่งยังคงค้างคาอยู่ในจิตใจของนักประวัติศาสตร์นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีค.ศ. 1991 “อาณาเขตอันกว้างใหญ่ อุตสาหกรรมหนักที่พัฒนาแล้ว และความแข็งแกร่งทางการทหารครั้งหนึ่งเคยทำให้ชาวอเมริกันที่หยิ่งยโสหวาดกลัว” จนถึงทุกวันนี้ ในทุกมุมของโลก ยังมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดถึงอาณาจักรสีแดงในอดีต ในฐานะสมาชิกของอดีตจักรวรรดิโซเวียตอันยิ่งใหญ่ และในฐานะหัวหน้ารัฐบาลรัสเซียในปัจจุบัน 😎ปูตินพูดไม่ออกและพูดนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเผชิญการสัมภาษณ์ : ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกเสียใจต่อกรณีสหภาพโซเวียตย่อมไม่มีจิตสำนึกในมโนธรรม😎 แต่ในขณะเดียวกัน ปูตินก็กล่าวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจดังนี้ว่า 😎“โศกนาฏกรรมของสหภาพโซเวียตถึงวาระกำหนดไว้แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม คือ เลนินเองที่เป็นผู้เปลี่ยนประเทศทั้งประเทศให้กลายเป็นพันธมิตรที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะกลมกลืนกัน” 😎 🤠แล้วอะไรคือเหตุผลว่าทำไมปูตินจึงประเมินอดีตสหภาพโซเวียตและเลนินอย่างเปลือยเปล่าและเปิดเผยต่อสาธารณะ? การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งโศกนาฏกรรมที่เลนินหว่านเพาะไว้จริง ๆ หรือไม่?🤠 🥰หนึ่ง🥰 ในปีค.ศ. 1914 เริ่มแรกเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในยุโรป แม้ว่าการสู้รบจะดุเดือดในภายนอก แต่ภายในรัสเซียในขณะนั้น ยังคงมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในประเด็นที่ว่าใครครอบครองอยู่ในอำนาจปกครอง รัฐบาลเฉพาะกาลชนชั้นกระฎุมพีหรือว่ารัฐบาลโซเวียต ในเวลานี้ เลนินยังส่งเสริมแนวคิดเรื่องชนชั้นกรรมาชีพทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รัฐบาลเฉพาะกาลในรัสเซียประสบความพ่ายแพ้อันน่าสลดใจในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนก็เริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนเพื่อต่อต้านการไร้ความสามารถของรัฐบาลเฉพาะกาล เมื่อต้องเผชิญกับผู้ประท้วงจำนวนมาก รัฐบาลชั่วคราวของรัสเซียจึงเลือกที่จะใช้กำลังเพื่อปราบปรามพวกเขา แม้ว่าสังคมจะเงียบสงบชั่วคราว แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าพายุการเมืองลูกใหญ่กำลังจะโจมตี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1917 ภายใต้เสียงปลุกระดมของเลนิน ชนชั้นแรงงานในรัสเซียเริ่มโจมตีรัฐบาลเฉพาะกาลชนชั้นกระฎุมพี ชั่วข้ามคืน รัฐบาลเฉพาะกาลถอนตัวออกจากเวทีประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง ตามมาด้วยการกำเนิดสาธารณรัฐโซเวียตใหม่ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติได้พลิกโฉมหน้าใหม่ การกำเนิดของโซเวียตรัสเซียได้สร้างแบบอย่างและแรงบันดาลใจมากมายให้กับประเทศเล็กๆ หลายแห่งซึ่งแต่เดิมถูกควบคุมโดยซาร์รัสเซีย 🥰สอง🥰 ในการประชุมรัฐสภาโซเวียตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1922 เลนินละทิ้งประวัติศาสตร์ของซาร์รัสเซีย และเลือกที่จะไม่สถาปนารัฐที่มีหลายเชื้อชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลับเลือกที่จะสร้างสถาปนาแนวร่วมของรัฐต่างๆแทน ดังนั้นการดำรงอยู่ของซาร์รัสเซียที่มีหลายเชื้อชาติเป็นหนึ่งเดียวมันเป็นการดำรงเหลือคงอยู่แบบใด? ในศตวรรษที่ 13 กองทัพม้าของ โกลเดนฮอร์ด (Golden Horde金帐汗国)ชาวมองโกเลียเหยียบย่ำเข้าไปในดินแดนที่ปัจจุบันคือรัสเซีย ดังนั้นในช่วงเวลาอันยาวนานที่ซาร์รัสเซียจึงถือเอาการได้โค่นล้มการปกครองของมองโกเลียเป็นเรื่องราวระดับชาติของพวกเขา ในช่วงการกบฏอำนาจของอาณาเขตมอสโกค่อยๆเติบโต เริ่มค่อยๆพยายามแยกตัวออกจากการปกครองของมองโกล ในปีค.ศ. 1480 อีวานที่ 3 วาซีลเยวิช(Ivan III Vasilyevich伊凡三世·瓦西里耶维奇) แห่งมอสโกได้นำประชาชนฟื้นฟูการปกครองที่เป็นอิสระอย่างเป็นทางการ 😎นั่นคือต่อมาเป็นซาร์รัสเซียนั่นเอง😎 หลังจากผ่านช่วงเวลาความเจริญขึ้นๆ ลงๆ เป็นเวลาหลายร้อยปี การถือกำเนิดของจักรพรรดิปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)ได้นำพารัสเซียไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง สิ่งควรค่าที่จะกล่าวภึงคือ ในปีค.ศ. 1721 หลังจากที่จักรพรรดิปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)นำประชาชนของเขาเอาชนะสวีเดน เขาก็ประสบความสำเร็จในการยืนหยัดอยู่ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจของโลก เพื่อบรรลุถึงความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขายิ่งขึ้น และยังเพื่อที่รักษาความมั่นคงตำแหน่งอำนาจของพวกเขา วุฒิสภารัสเซียจึงได้สวมมงกุฎแก่ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great彼得一世)เป็นจักรพรรดิ 😎ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปที่ซาร์รัสเซียกลายเป็นจักรวรรดิรัสเซียอย่างเป็นทางการ😎 🤠กล่าวคือ ภายใต้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ ซาร์รัสเซียไม่เคยได้เป็นพันธมิตรระหว่างประเทศ แต่เป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาโดยตลอด🤠 🥰สาม🥰 ปูตินเป็นคนเข้มแข็ง เขาสนับสนุนการเมืองที่เข้มแข็ง และแนวคิดเรื่องความสามัคคีนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในกระดูกของเขา ในมุมมองของเขา ตัวเขาเองใช้เวลาทั้งชีวิตทำงานอย่างหนักเพื่อให้รัสเซียสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันและก้าวไปข้างหน้า เขาชื่นชมการเมืองที่เข้มแข็งของสตาลิน และเขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างชาติของเลนิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลนินได้สร้างพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกที่ชาวสลาฟรู้สึกถึงความภาคภูมิใจและความภาคภูมิใจที่ได้ยืนอยู่ที่หัวสะพานของโลก แต่ในทางกลับกัน และเป็นเพราะการรวมตัวแบบที่มีความหลวมตัวของพันธมิตรของประเทศต่างๆ ที่ก่อตั้งโดยเลนินนั่นเอง ทำให้หลายประเทศในปัจจุบันสามารถแยกตัวออกจากรัสเซียได้อย่างรวดเร็ว และแม้กระทั่งหันไปทางตะวันตกโดยสิ้นเชิง เช่น ยูเครนในปัจจุบัน แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ก็ไม่ยากเลยที่จะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเลนินไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงไปสู่พันธมิตรระดับชาติ หากเลนินมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปี บางทีเขาอาจจะหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตได้ ในเวลานั้น สหภาพโซเวียต เชชเนีย ยูเครน และภูมิภาคอื่นๆ มักเรียกร้องเอกราช แม้จะต้องแลกกับการสู้รบก็ตาม สหภาพโซเวียตซึ่งเพิ่งโผล่ออกมาจากควันแห่งความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่สามารถต้านทานวิกฤติการแยกตัวออกใหม่หรือจุดประกายสงครามอีกครั้งได้ เมื่อถูกบังคับกดดันจนไม่มีหนทางที่เหมาะสม เลนินทำได้แค่แนวทางสายเฉลี่ยปานกลางเท่านั้น นั่นก็คือในรูปแบบของพันธมิตรระดับชาติ ซึ่งก็คือการยึดรักษากลุ่มชาติพันธุ์และภูมิภาคที่มีอาการไม่สงบเหล่านี้ไว้อย่างมั่นคงให้อยู่ภายใต้เคียวสีแดงของสหภาพโซเวียต 🥰สี่🥰 การล่มสลายของสหภาพโซเวียตมีสาเหตุหลายประการ และไม่สามารถนำมาประกอบว่าเป็นสาเหตุอย่างง่ายๆเนื่องจากบุคคลคนเดียวหรือปัจจัยนอกอาณาเขตอื่นๆ ได้ 😎ประการที่หนึ่ง คือ ความแข็งแกร่งของระบบ😎 : เลนินออกแบบพิมพ์เขียวอันยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตของสหภาพโซเวียต แต่มันก็มีอุดมคติมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้สตาลินถึงกับเยาะเย้ยดูแคลนสิ่งดังกล่าวเพื่อที่จะกลายเป็นมหาอำนาจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในโลกอย่างรวดเร็ว สตาลินเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก และกำลังคนและทรัพยากรทั้งหมดถูกบังคับให้เอียงเทไปด้านหนึ่ง แม้ว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วจะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว สหภาพโซเวียตยักษ์ใหญ่ตนนี้เดินด้วยขาเดียวซึ่งไม่มั่นคง ดังนั้น เมื่อกองกำลังอิทธิพลตะวันตกบุกเข้ามา เพียงแค่วิวัฒนาการอย่างสันติเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายขาอีกข้างของสหภาพโซเวียตและทำให้เป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิง 😎ประการที่สอง คือ การสูญเสียการสำรวจตรวจสอบ😎 🤠เติ้งกง(邓公)เคยกล่าวไว้ว่า สังคมนิยมแท้จริงแล้วมีลักษณะเป็นอย่างไร?สหภาพโซเวียตทำสิ่งนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร เพียงแค่ประโยคเดียว เขาก็เข้าถึงประเด็นสำคัญของสหภาพโซเวียตอย่างแม่นยำ🤠 ตั้งแต่สตาลินไปจนถึงครุสชอฟไปจนถึงเบรจเนฟและแม้แต่กอร์บาชอฟ พวกเขาต่างพยายามสำรวจว่าลัทธิสังคมนิยมในจินตนาการจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นลักษณะลีลาร้อยแปดพันเก้าต่างๆ ของชาติตะวันตกแล้ว พวกเขาก็เริ่มมีความสั่นคลอนอุดมคติและความเชื่อมั่นของตน เกี่ยวการสำรวจและปฏิบัติทางสังคมนิยมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกนอกเส้นทาง 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ (ตอน 1)

    สืบเนื่องจากมีเพื่อนเพจถามเข้ามาถึงระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ และ Storyฯ ได้ดู <องค์หญิงใหญ่> ซึ่งในเรื่องนี้ พระเอกจำเป็นต้องกลับบ้านนอกไว้ทุกข์ให้กับพ่อที่ตายไปเป็นเวลาสามปีจึงจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง ทำให้พลาดโอกาสก้าวหน้าทางราชการไป

    วันนี้เราจึงมาคุยกันเรื่องระยะเวลาไว้ทุกข์นี้ บทความยาวมากจึงขอแบ่งเป็นสองตอนนะคะ

    การไว้ทุกข์เรียกว่า ‘โส่วเซี่ยว’ (守孝 แปลได้ว่า รักษาความกตัญญู) หรือมีอีกวิธีเรียกคือ ‘ฝูซาง’ (服丧 แปลได้ว่า สวมใส่ความทุกข์) ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งการไว้ทุกข์ออกเป็นห้าระดับตามชื่อของชุดไว้ทุกข์ หรือที่เรียกว่า ‘อู่ฝู’ (五服 แปลตรงตัวว่า ห้าชุด) โดยแต่ละระดับมีระยะเวลาไว้ทุกข์ที่ต่างกัน

    ‘อู่ฝู’ แรกปรากฏในบันทึกอี้หลี่ (仪礼) เป็นพิธีการสมัยราชวงศ์โจว โดยการแบ่งแยกระดับขั้นการไว้ทุกข์นี้เป็นไปตามลำดับความสนิทของญาติ และในรายละเอียดมีการจำแนกตามอายุ (เช่น ถึงวัยเติบใหญ่แล้วหรือไม่) และบรรดาศักดิ์ของผู้ตาย รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ

    ‘อู่ฝู’ มีอะไรบ้าง?

    รายละเอียดและระยะเวลาไว้ทุกข์เหล่านี้ต่อมาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และเนื่องจากหลายแหล่งข้อมูลมีความแตกต่าง Storyฯ ขออิงตามประมวลกฏหมายต้าหมิงหุ้ยเตี่ยนที่ถูกจัดทำขึ้นในรัชสมัยว่านลี่ขององค์จูอี้จวิน ซึ่งมีการแก้ไขไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนการไว้ทุกข์ให้แม่มาเป็นแบบเดียวกับไว้ทุกข์ให้พ่อ เพื่อนเพจสามารถดูชุดไว้ทุกข์สมัยหมิงได้ตามรูปประกอบ 1

    1. ระดับที่หนึ่ง เป็นการไว้ทุกข์ขั้นสูงสุด ชุดไว้ทุกข์เรียกว่า ‘จ่านชุย’ (斩衰) สรุปโดยคร่าวคือทำจากชุดผ้ากระสอบดิบเนื้อหยาบ ไม่มีการเนาหรือเย็บ ไม่เย็บเก็บชายผ้า เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์สนิทสุดที่ถูกสะบั้นลง ใช้เชือกถักหยาบแทนเข็มขัด ถือไม้เท้ายาวถึงหน้าอกทำจากไม้ไผ่ เป็นสัญลักษณ์ว่าโศกเศร้าจนไม่สามารถยืนได้ (เด็กไม่ต้องถือไม้เท้า) รองเท้าทำจากหญ้า

    ชุดจ่านชุยเป็นชุดไว้ทุกข์สำหรับ:
    - ลูกชายและภรรยา: ไว้ทุกข์ให้กับพ่อและแม่ ทั้งนี้ ‘แม่’ หมายรวมถึงภรรยาเอกของพ่อ (ขอเรียกว่า แม่ใหญ่) แม่ผู้เลี้ยงดู และแม่แท้ๆ ดังนั้น ลูกทุกคนรวมทั้งลูกของอนุภรรยาต้องไว้ทุกข์ให้แม่ใหญ่ด้วยจ่านชุย แต่ลูกของแม่ใหญ่ไม่ต้องไว้ทุกข์ให้อนุภรรยาของพ่อ (ขอเรียกว่าแม่เล็ก) ด้วยจ่านชุย
    อนึ่ง ในกรณีที่ลูกชายเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ให้หลานชายคนโตสายภรรยาเอกทำหน้าที่ไว้ทุกข์แทน และในกรณีที่ทั้งลูกชายและหลานชายคนโตสายภรรยาเอกเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ให้เหลนชายคนโตสายภรรยาเอกทำหน้าที่ไว้ทุกข์แทน
    - ลูกสาวที่ยังอยู่ในเรือน (คือยังไม่แต่งงานหรือเป็นหม้ายไร้บุตรแล้วกลับมาอยู่บ้าน) ไว้ทุกข์ตามเกณฑ์เดียวกับลูกชาย
    - ภรรยาและอนุภรรยา: ไว้ทุกข์ให้แก่สามี

    สำหรับชุดจ่านชุยของสตรีนั้น แต่งกายเหมือนชายแต่ใช้ผ้ากระสอบกว้างหนึ่งนิ้วคาดหน้าผาก ปักปิ่นที่ทำจากไม้ไผ่ และมีผ้าคลุมหัว

    ระยะเวลาสวมชุดจ่านชุยไว้ทุกข์คือสามปี แต่จริงๆ แล้ววิธีนับคือสองปีเต็มกับอีกหนึ่งเดือน แรกเริ่มนับเป็นยี่สิบห้าเดือน ต่อมาเนื่องจากมีการปรับปรุงปฏิทินจีนและในบางปีอาจมีสิบสามเดือนในหนึ่งปี ระยะเวลาจ่านชุยจึงเปลี่ยนเป็นยี่สิบเจ็ดเดือน เพื่อว่าจะอย่างไรเสียก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเดือนในปีที่สาม และสาเหตุที่ระบุเป็น ‘สามปี’ นี้ เป็นไปตามแนวคิดและคำสอนของขงจื๊อที่ว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเราจนสามปี ลูกจึงออกจากอ้อมอกพ่อแม่เดินเหินได้คล่อง ในระหว่างนั้นคอยอุ้มคอยดูแลสารพัด ผู้เป็นลูกก็ควรไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูให้บุพการีได้ในระยะเวลาเดียวกัน

    ในช่วงเวลาไว้ทุกข์นี้ มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่สืบทอดมาตามคำสอนของขงจื๊ออีกเช่นกัน กล่าวคือ สามวันแรกห้ามกินข้าวกินน้ำ พ้นสามวันกินข้าวต้มได้ พ้นสามเดือนจึงจะอาบน้ำสระผมได้ พ้นหนึ่งปีเปลี่ยนหมวกเป็นมัดมวยผมด้วยผ้ากระสอบ และพ้นสามปีจึงจะใช้ชีวิตปกติได้
    จริงแล้วในช่วงเวลาสามปีนี้ไม่ได้จำเป็นต้องสวมชุดไว้ทุกข์เต็มยศตลอดเวลา แต่จะใส่เฉพาะวันพิธีการสำคัญที่เกี่ยวข้อง นอกนั้นใส่ชุดกระสอบปกติไม่ต้องถือไม้เท้า หรือค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเรียบง่ายได้ ทั้งนี้มีตามหลักเกณฑ์เหมือนกัน แต่ Storyฯ ไม่ได้หาข้อมูลลงลึกเพิ่มเติม

    ในเรื่องอาหารการกินมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในระยะเวลาไว้ทุกข์ห้ามดื่มสุรา ส่วนอาหารที่กินเน้นข้าวต้มจืด พ้นหนึ่งปีจึงจะกินผักผลไม้ได้ พ้นสองปีจึงจะกินอาหารปรุงรสด้วยซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูได้ พ้นสามปีจึงจะกินเนื้อสัตว์ได้ แต่ทั้งนี้ หลักการมีอีกว่า การไว้ทุกข์ไม่ควรทำให้ป่วย ดังนั้นในช่วงไว้ทุกข์นี้ ผู้ที่แก่ชรา (พ้นวัยเจ็ดสิบในสมัยโบราณถือว่าแก่มาก) ให้กินผักผลไม้กินเนื้อสัตว์ได้ และดื่มสุราได้ (เพราะสุราสมัยโบราณมักเป็นเหล้ายา) และผู้ป่วยหรือเด็กก็อนุโลมให้กินได้ตามความเหมาะสม เมื่อหายป่วยค่อยกลับมากินแบบไว้ทุกข์ตามเดิม

    นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมนอนเฝ้าโลงและเฝ้าหลุมศพ (ฝ่ายหญิงไม่ต้อง) โดยมีหลายระดับที่แตกต่างสำหรับบ้านนอก เช่นเป็นเพิงธรรมดา ต่อมาล้อมผนังได้ เสริมผนังด้วยดิน ปรับปรุงเป็นกระท่อมหลังเล็กผนังฉาบขี้เถ้า (เรียกว่า เอ้อซึ / 垩室) ปูพื้นนอนได้ ห้ามนอนเตียงจนพ้นสองปี ฯลฯ ซึ่งธรรมเนียมเหล่านี้ผ่อนคลายไปตามยุคสมัย Storyฯ ของไม่ลงรายละเอียด แต่ไม่เปลี่ยนคือในช่วงเวลาไว้ทุกข์นี้ ห้ามจัดงานสังสรรค์รื่นเริง ห้ามจัดงานมงคล สามีภรรยาห้ามมีเพศสัมพันธ์กันและอาจถึงขนาดต้องแยกห้องนอน กินอยู่อย่างสมถะ ไม่แต่งหน้าแต่งตาใส่เครื่องประดับ ฯลฯ

    ในเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> พระเอกต้องลาราชการไปไว้ทุกข์ให้พ่อที่บ้านเกิดถึงสามปี (ซึ่งก็คือยี่สิบเจ็ดเดือนตามที่อธิบายมาข้างต้น) เกณฑ์ปฏิบัตินี้เรียกว่า ‘ติงโยว’ (丁忧) ใช้สำหรับการไว้ทุกข์ให้พ่อของขุนนาง เป็นกฎเกณฑ์ที่มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นอันสืบเนื่องมาจากแนวคิดของขงจื๊อ ต่อมามีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคสมัยจนหมายรวมถึงการไว้ทุกข์ให้แม่ด้วย

    ในช่วงติงโยวนี้ ผู้ที่ไว้ทุกข์อยู่ห้ามรับราชการ ห้ามสอบราชบัณฑิต เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือพระราชโองการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ (เช่น ในระหว่างทำศึก) และต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ หากไม่แจ้งหรือโกหกจะมีโทษ ทั้งนี้ เพราะการไว้ทุกข์เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูอันเป็นหนึ่งในจรรยาหลักที่พึงมีของข้าราชสำนัก

    แน่นอนว่าพิธีการ ธรรมเนียมปฏิบัติ และรายละเอียดขององค์ประกอบของชุดไว้ทุกข์มีรายละเอียดมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่ง Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าในเชิงลึกเพราะรายละเอียดเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเช่นกัน หากเพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็เม้นท์เข้ามาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ

    สัปดาห์หน้าเรามาคุยต่อถึงการไว้ทุกข์ระดับอื่น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการนับลำดับญาติด้วย ติดตามต่อในตอนต่อไปนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.sohu.com/a/790545230_121948376
    https://kknews.cc/news/j5bqeq.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.thepaper.cn/baijiahao_12081296
    https://ctext.org/yili/sang-fu/zhs
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=880555&remap=gb
    https://baike.baidu.com/item/斩衰/1296602
    https://baike.baidu.com/item/丧服制度/5983791

    #องค์หญิงใหญ่ #ไว้ทุกข์จีน #อู่ฝู #ติงโยว #การลำดับญาติจีน #สาระจีน
    ระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ (ตอน 1) สืบเนื่องจากมีเพื่อนเพจถามเข้ามาถึงระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ และ Storyฯ ได้ดู <องค์หญิงใหญ่> ซึ่งในเรื่องนี้ พระเอกจำเป็นต้องกลับบ้านนอกไว้ทุกข์ให้กับพ่อที่ตายไปเป็นเวลาสามปีจึงจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง ทำให้พลาดโอกาสก้าวหน้าทางราชการไป วันนี้เราจึงมาคุยกันเรื่องระยะเวลาไว้ทุกข์นี้ บทความยาวมากจึงขอแบ่งเป็นสองตอนนะคะ การไว้ทุกข์เรียกว่า ‘โส่วเซี่ยว’ (守孝 แปลได้ว่า รักษาความกตัญญู) หรือมีอีกวิธีเรียกคือ ‘ฝูซาง’ (服丧 แปลได้ว่า สวมใส่ความทุกข์) ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งการไว้ทุกข์ออกเป็นห้าระดับตามชื่อของชุดไว้ทุกข์ หรือที่เรียกว่า ‘อู่ฝู’ (五服 แปลตรงตัวว่า ห้าชุด) โดยแต่ละระดับมีระยะเวลาไว้ทุกข์ที่ต่างกัน ‘อู่ฝู’ แรกปรากฏในบันทึกอี้หลี่ (仪礼) เป็นพิธีการสมัยราชวงศ์โจว โดยการแบ่งแยกระดับขั้นการไว้ทุกข์นี้เป็นไปตามลำดับความสนิทของญาติ และในรายละเอียดมีการจำแนกตามอายุ (เช่น ถึงวัยเติบใหญ่แล้วหรือไม่) และบรรดาศักดิ์ของผู้ตาย รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ‘อู่ฝู’ มีอะไรบ้าง? รายละเอียดและระยะเวลาไว้ทุกข์เหล่านี้ต่อมาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และเนื่องจากหลายแหล่งข้อมูลมีความแตกต่าง Storyฯ ขออิงตามประมวลกฏหมายต้าหมิงหุ้ยเตี่ยนที่ถูกจัดทำขึ้นในรัชสมัยว่านลี่ขององค์จูอี้จวิน ซึ่งมีการแก้ไขไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนการไว้ทุกข์ให้แม่มาเป็นแบบเดียวกับไว้ทุกข์ให้พ่อ เพื่อนเพจสามารถดูชุดไว้ทุกข์สมัยหมิงได้ตามรูปประกอบ 1 1. ระดับที่หนึ่ง เป็นการไว้ทุกข์ขั้นสูงสุด ชุดไว้ทุกข์เรียกว่า ‘จ่านชุย’ (斩衰) สรุปโดยคร่าวคือทำจากชุดผ้ากระสอบดิบเนื้อหยาบ ไม่มีการเนาหรือเย็บ ไม่เย็บเก็บชายผ้า เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์สนิทสุดที่ถูกสะบั้นลง ใช้เชือกถักหยาบแทนเข็มขัด ถือไม้เท้ายาวถึงหน้าอกทำจากไม้ไผ่ เป็นสัญลักษณ์ว่าโศกเศร้าจนไม่สามารถยืนได้ (เด็กไม่ต้องถือไม้เท้า) รองเท้าทำจากหญ้า ชุดจ่านชุยเป็นชุดไว้ทุกข์สำหรับ: - ลูกชายและภรรยา: ไว้ทุกข์ให้กับพ่อและแม่ ทั้งนี้ ‘แม่’ หมายรวมถึงภรรยาเอกของพ่อ (ขอเรียกว่า แม่ใหญ่) แม่ผู้เลี้ยงดู และแม่แท้ๆ ดังนั้น ลูกทุกคนรวมทั้งลูกของอนุภรรยาต้องไว้ทุกข์ให้แม่ใหญ่ด้วยจ่านชุย แต่ลูกของแม่ใหญ่ไม่ต้องไว้ทุกข์ให้อนุภรรยาของพ่อ (ขอเรียกว่าแม่เล็ก) ด้วยจ่านชุย อนึ่ง ในกรณีที่ลูกชายเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ให้หลานชายคนโตสายภรรยาเอกทำหน้าที่ไว้ทุกข์แทน และในกรณีที่ทั้งลูกชายและหลานชายคนโตสายภรรยาเอกเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ให้เหลนชายคนโตสายภรรยาเอกทำหน้าที่ไว้ทุกข์แทน - ลูกสาวที่ยังอยู่ในเรือน (คือยังไม่แต่งงานหรือเป็นหม้ายไร้บุตรแล้วกลับมาอยู่บ้าน) ไว้ทุกข์ตามเกณฑ์เดียวกับลูกชาย - ภรรยาและอนุภรรยา: ไว้ทุกข์ให้แก่สามี สำหรับชุดจ่านชุยของสตรีนั้น แต่งกายเหมือนชายแต่ใช้ผ้ากระสอบกว้างหนึ่งนิ้วคาดหน้าผาก ปักปิ่นที่ทำจากไม้ไผ่ และมีผ้าคลุมหัว ระยะเวลาสวมชุดจ่านชุยไว้ทุกข์คือสามปี แต่จริงๆ แล้ววิธีนับคือสองปีเต็มกับอีกหนึ่งเดือน แรกเริ่มนับเป็นยี่สิบห้าเดือน ต่อมาเนื่องจากมีการปรับปรุงปฏิทินจีนและในบางปีอาจมีสิบสามเดือนในหนึ่งปี ระยะเวลาจ่านชุยจึงเปลี่ยนเป็นยี่สิบเจ็ดเดือน เพื่อว่าจะอย่างไรเสียก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเดือนในปีที่สาม และสาเหตุที่ระบุเป็น ‘สามปี’ นี้ เป็นไปตามแนวคิดและคำสอนของขงจื๊อที่ว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเราจนสามปี ลูกจึงออกจากอ้อมอกพ่อแม่เดินเหินได้คล่อง ในระหว่างนั้นคอยอุ้มคอยดูแลสารพัด ผู้เป็นลูกก็ควรไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูให้บุพการีได้ในระยะเวลาเดียวกัน ในช่วงเวลาไว้ทุกข์นี้ มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่สืบทอดมาตามคำสอนของขงจื๊ออีกเช่นกัน กล่าวคือ สามวันแรกห้ามกินข้าวกินน้ำ พ้นสามวันกินข้าวต้มได้ พ้นสามเดือนจึงจะอาบน้ำสระผมได้ พ้นหนึ่งปีเปลี่ยนหมวกเป็นมัดมวยผมด้วยผ้ากระสอบ และพ้นสามปีจึงจะใช้ชีวิตปกติได้ จริงแล้วในช่วงเวลาสามปีนี้ไม่ได้จำเป็นต้องสวมชุดไว้ทุกข์เต็มยศตลอดเวลา แต่จะใส่เฉพาะวันพิธีการสำคัญที่เกี่ยวข้อง นอกนั้นใส่ชุดกระสอบปกติไม่ต้องถือไม้เท้า หรือค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเรียบง่ายได้ ทั้งนี้มีตามหลักเกณฑ์เหมือนกัน แต่ Storyฯ ไม่ได้หาข้อมูลลงลึกเพิ่มเติม ในเรื่องอาหารการกินมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในระยะเวลาไว้ทุกข์ห้ามดื่มสุรา ส่วนอาหารที่กินเน้นข้าวต้มจืด พ้นหนึ่งปีจึงจะกินผักผลไม้ได้ พ้นสองปีจึงจะกินอาหารปรุงรสด้วยซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูได้ พ้นสามปีจึงจะกินเนื้อสัตว์ได้ แต่ทั้งนี้ หลักการมีอีกว่า การไว้ทุกข์ไม่ควรทำให้ป่วย ดังนั้นในช่วงไว้ทุกข์นี้ ผู้ที่แก่ชรา (พ้นวัยเจ็ดสิบในสมัยโบราณถือว่าแก่มาก) ให้กินผักผลไม้กินเนื้อสัตว์ได้ และดื่มสุราได้ (เพราะสุราสมัยโบราณมักเป็นเหล้ายา) และผู้ป่วยหรือเด็กก็อนุโลมให้กินได้ตามความเหมาะสม เมื่อหายป่วยค่อยกลับมากินแบบไว้ทุกข์ตามเดิม นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมนอนเฝ้าโลงและเฝ้าหลุมศพ (ฝ่ายหญิงไม่ต้อง) โดยมีหลายระดับที่แตกต่างสำหรับบ้านนอก เช่นเป็นเพิงธรรมดา ต่อมาล้อมผนังได้ เสริมผนังด้วยดิน ปรับปรุงเป็นกระท่อมหลังเล็กผนังฉาบขี้เถ้า (เรียกว่า เอ้อซึ / 垩室) ปูพื้นนอนได้ ห้ามนอนเตียงจนพ้นสองปี ฯลฯ ซึ่งธรรมเนียมเหล่านี้ผ่อนคลายไปตามยุคสมัย Storyฯ ของไม่ลงรายละเอียด แต่ไม่เปลี่ยนคือในช่วงเวลาไว้ทุกข์นี้ ห้ามจัดงานสังสรรค์รื่นเริง ห้ามจัดงานมงคล สามีภรรยาห้ามมีเพศสัมพันธ์กันและอาจถึงขนาดต้องแยกห้องนอน กินอยู่อย่างสมถะ ไม่แต่งหน้าแต่งตาใส่เครื่องประดับ ฯลฯ ในเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> พระเอกต้องลาราชการไปไว้ทุกข์ให้พ่อที่บ้านเกิดถึงสามปี (ซึ่งก็คือยี่สิบเจ็ดเดือนตามที่อธิบายมาข้างต้น) เกณฑ์ปฏิบัตินี้เรียกว่า ‘ติงโยว’ (丁忧) ใช้สำหรับการไว้ทุกข์ให้พ่อของขุนนาง เป็นกฎเกณฑ์ที่มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นอันสืบเนื่องมาจากแนวคิดของขงจื๊อ ต่อมามีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคสมัยจนหมายรวมถึงการไว้ทุกข์ให้แม่ด้วย ในช่วงติงโยวนี้ ผู้ที่ไว้ทุกข์อยู่ห้ามรับราชการ ห้ามสอบราชบัณฑิต เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือพระราชโองการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ (เช่น ในระหว่างทำศึก) และต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ หากไม่แจ้งหรือโกหกจะมีโทษ ทั้งนี้ เพราะการไว้ทุกข์เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูอันเป็นหนึ่งในจรรยาหลักที่พึงมีของข้าราชสำนัก แน่นอนว่าพิธีการ ธรรมเนียมปฏิบัติ และรายละเอียดขององค์ประกอบของชุดไว้ทุกข์มีรายละเอียดมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่ง Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าในเชิงลึกเพราะรายละเอียดเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเช่นกัน หากเพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็เม้นท์เข้ามาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ สัปดาห์หน้าเรามาคุยต่อถึงการไว้ทุกข์ระดับอื่น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการนับลำดับญาติด้วย ติดตามต่อในตอนต่อไปนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/790545230_121948376 https://kknews.cc/news/j5bqeq.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.thepaper.cn/baijiahao_12081296 https://ctext.org/yili/sang-fu/zhs https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=880555&remap=gb https://baike.baidu.com/item/斩衰/1296602 https://baike.baidu.com/item/丧服制度/5983791 #องค์หญิงใหญ่ #ไว้ทุกข์จีน #อู่ฝู #ติงโยว #การลำดับญาติจีน #สาระจีน
    WWW.SOHU.COM
    度华年:了解裴文宣父亲对老婆好的方式 才懂前世驸马公主注定分离_李蓉跟_裴礼_事情
    裴礼之的家庭观就是, 身为丈夫就应当保护妻儿给她最好的生活,不管家里家外发生的事情都揽在了自己身上,所有的责任义务也都是自己一个人扛。 而这在李蓉看来,是你站在了我的对立面,是你不再要我,是你放弃了我们…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 ปี ไทยสมายล์บัส น้อมรับความไม่สะดวก

    ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของไทย สมายล์ บัส ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สาขาเอกชัย จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2564 ปัจจุบันมีรถบัสพลังงานไฟฟ้า 2,350 คัน ให้บริการ 123 เส้นทาง พร้อมกัปตันเมล์ (พนักงานขับรถ) 2,500 คน บัสโฮสเตส (พนักงานเก็บค่าโดยสาร) 2,300 คน อู่สาขากว่า 24 สาขา เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ากว่า 40 ลำ ให้บริการ 3 เส้นทาง กัปตันและลูกเรือกว่า 200 คน อาจเรียกได้ว่าเป็น 3 ปีแบบก้าวกระโดด พร้อมกับการปฎิรูปรถเมล์ที่กรมการขนส่งทางบกเป็นเจ้าภาพหลัก

    น.ส.กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ บัส เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลย มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้บริการกว่า 2,000 คัน และมีเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา เติบโตไปพร้อมกับสังคม สิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด ESG ในทุกมิติ เช่น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างการจ้างงาน ดูแลผู้โดยสาร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ บริหารด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล

    "ตนได้ลงพื้นที่ไปรอรถเมล์อยู่ข้างๆ ผู้โดยสารทุกคนตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ เพื่อให้เข้าใจปัญหา ไปอยู่กับหน้างานจริง ซึ่งยอมรับว่า ยังได้เห็นความไม่สะดวกในหลายจุด ในฐานะผู้บริหารขอน้อมรับฟังทุกคำติชม และจะนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อไปเพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีรถเมล์คุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ"

    ที่ผ่านมาได้พัฒนาระบบ Fleet Management งานบริหารจัดการหลังบ้าน กล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบคุณภาพการให้บริการ พัฒนาการปล่อยรถ รวมถึงการนำเทคโนโลยีไปปรับปรุงข้อติดขัดต่างๆ พร้อมกับพัฒนาบุคลากร อาทิ โครงการสมาร์ทกัปตัน คัดเลือกพนักงานที่อยู่ในสายรถ ให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลสายรถนั้นๆ เพื่อต่อยอดอาชีพ สร้างคุณค่า เพิ่มรายได้ให้กับพนักงานอีก 100 คน รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน TSB Go Plus+ สามารถเติมเงินและอัปเดตยอดบัตร HOP CARD ผ่านระบบ NFC ได้ทันที

    ในอนาคต ไทยสมายล์บัสจะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบแทนลูกค้า มีสิทธิประโยชน์เฉพาะผู้ถือบัตร HOP CARD ให้ร่วมสนุก มีฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ได้ทดลองใช้ และมีพันธมิตรอีกหลายรายที่จะเข้าร่วม ควบคู่กับการแก้ไขปัญหา ยกระดับการให้บริการ หวังคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถสาธารณะกันมากขึ้น

    #Newskit #ThaiSmileBus #รถเมล์ไฟฟ้า
    3 ปี ไทยสมายล์บัส น้อมรับความไม่สะดวก ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของไทย สมายล์ บัส ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สาขาเอกชัย จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2564 ปัจจุบันมีรถบัสพลังงานไฟฟ้า 2,350 คัน ให้บริการ 123 เส้นทาง พร้อมกัปตันเมล์ (พนักงานขับรถ) 2,500 คน บัสโฮสเตส (พนักงานเก็บค่าโดยสาร) 2,300 คน อู่สาขากว่า 24 สาขา เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ากว่า 40 ลำ ให้บริการ 3 เส้นทาง กัปตันและลูกเรือกว่า 200 คน อาจเรียกได้ว่าเป็น 3 ปีแบบก้าวกระโดด พร้อมกับการปฎิรูปรถเมล์ที่กรมการขนส่งทางบกเป็นเจ้าภาพหลัก น.ส.กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ บัส เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลย มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้บริการกว่า 2,000 คัน และมีเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา เติบโตไปพร้อมกับสังคม สิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด ESG ในทุกมิติ เช่น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างการจ้างงาน ดูแลผู้โดยสาร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ บริหารด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล "ตนได้ลงพื้นที่ไปรอรถเมล์อยู่ข้างๆ ผู้โดยสารทุกคนตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ เพื่อให้เข้าใจปัญหา ไปอยู่กับหน้างานจริง ซึ่งยอมรับว่า ยังได้เห็นความไม่สะดวกในหลายจุด ในฐานะผู้บริหารขอน้อมรับฟังทุกคำติชม และจะนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อไปเพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีรถเมล์คุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ" ที่ผ่านมาได้พัฒนาระบบ Fleet Management งานบริหารจัดการหลังบ้าน กล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบคุณภาพการให้บริการ พัฒนาการปล่อยรถ รวมถึงการนำเทคโนโลยีไปปรับปรุงข้อติดขัดต่างๆ พร้อมกับพัฒนาบุคลากร อาทิ โครงการสมาร์ทกัปตัน คัดเลือกพนักงานที่อยู่ในสายรถ ให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลสายรถนั้นๆ เพื่อต่อยอดอาชีพ สร้างคุณค่า เพิ่มรายได้ให้กับพนักงานอีก 100 คน รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน TSB Go Plus+ สามารถเติมเงินและอัปเดตยอดบัตร HOP CARD ผ่านระบบ NFC ได้ทันที ในอนาคต ไทยสมายล์บัสจะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบแทนลูกค้า มีสิทธิประโยชน์เฉพาะผู้ถือบัตร HOP CARD ให้ร่วมสนุก มีฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ได้ทดลองใช้ และมีพันธมิตรอีกหลายรายที่จะเข้าร่วม ควบคู่กับการแก้ไขปัญหา ยกระดับการให้บริการ หวังคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถสาธารณะกันมากขึ้น #Newskit #ThaiSmileBus #รถเมล์ไฟฟ้า
    Like
    Haha
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1063 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณ ชานน สัมพันธารักษ์ กรรมการผู้จัดการ
    บริษัท ไฮ ไลค์ เอเจนซี่ จำกัด
    มอบช่อดอกไม้ แสดงความยินดี
    ให้กับคุณสุนันทา สิ่งสรรเสริญ
    ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
    บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน)
    หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
    เนื่องในโอกาสที่จัดงานแถลงข่าว
    THE SUSTAINOVATIVE LIVING by Siamese asset
    เพื่อเปิดตัวพรีเซนเตอร์ อาโป-ณัฐวิญญ์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่
    ที่มาทำหน้าที่ส่งต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบของตนเอง
    พร้อมจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านที่อยู่อาศัย
    ภายใต้แนวคิด Siamese Asset Asset of Life
    สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต
    ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์
    .
    หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
    Digital PR & Marketing Solutions
    เรายินดีและพร้อมสำหรับคุณ
    TEL: 086-424-7935, 092-426-9741
    .
    #HILIKEAGENCY #PRAGENCY #DigitalPR #Marketing
    #ประชาสัมพันธ์ #PRESSCONFERENCE #PUBLICRELATIONS
    #pragencyในไทย #PRAgencyThailand
    คุณ ชานน สัมพันธารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮ ไลค์ เอเจนซี่ จำกัด มอบช่อดอกไม้ แสดงความยินดี ให้กับคุณสุนันทา สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เนื่องในโอกาสที่จัดงานแถลงข่าว THE SUSTAINOVATIVE LIVING by Siamese asset เพื่อเปิดตัวพรีเซนเตอร์ อาโป-ณัฐวิญญ์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่มาทำหน้าที่ส่งต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบของตนเอง พร้อมจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด Siamese Asset Asset of Life สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ . หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Digital PR & Marketing Solutions เรายินดีและพร้อมสำหรับคุณ TEL: 086-424-7935, 092-426-9741 . #HILIKEAGENCY #PRAGENCY #DigitalPR #Marketing #ประชาสัมพันธ์ #PRESSCONFERENCE #PUBLICRELATIONS #pragencyในไทย #PRAgencyThailand
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • มุมมองของเด็กศิลปะรุ่นใหม่ #เด็กเพาะช่าง

    งาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15” งานแสดงและจำหน่ายงานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูแห่งปี ภายใต้แนวคิด “สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย (The Legend of Thai Craft)” เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย และเพิ่มช่องทางการส่งออก การจัดจำหน่ายให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย นำจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทักษะเชิงช่างให้เป็นที่รู้จักในเวทีระดับสากล

    อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15
    ระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน 2567
    เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

    จัดโดย สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท.

    #อัตลักษณ์แห่งสยาม #สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย
    #Identityofsiam #Thelegendofthaicraft
    #หัตถกรรม #ศิลปหัตถกรรม #ทำมือ
    #SACIT #สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย
    #moc #กระทรวงพาณิชย์
    #สยามโสภา #thaitimesคนรุ่นใหม่
    มุมมองของเด็กศิลปะรุ่นใหม่ #เด็กเพาะช่าง งาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15” งานแสดงและจำหน่ายงานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูแห่งปี ภายใต้แนวคิด “สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย (The Legend of Thai Craft)” เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย และเพิ่มช่องทางการส่งออก การจัดจำหน่ายให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย นำจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทักษะเชิงช่างให้เป็นที่รู้จักในเวทีระดับสากล อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดโดย สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. #อัตลักษณ์แห่งสยาม #สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย #Identityofsiam #Thelegendofthaicraft #หัตถกรรม #ศิลปหัตถกรรม #ทำมือ #SACIT #สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย #moc #กระทรวงพาณิชย์ #สยามโสภา #thaitimesคนรุ่นใหม่
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1323 มุมมอง 402 0 รีวิว
  • #วิมานลอย

    วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง

    เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง

    และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก

    เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น

    เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์

    ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน

    ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

    เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน

    ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง

    ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน

    จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป

    ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้

    การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม

    สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม

    ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ

    นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน

    ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย
    สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า

    ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ

    #นิยายแปล
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    #วิมานลอย
    #gonewiththewind
    #หนังสือน่าอ่าน
    #สงครามกลางเมือง
    #สหรัฐอเมริกา
    #ชนชั้น
    #แรงงาน
    #บริวาร
    #ทาส
    #คนผิวดำ
    #thaitimes
    #นิยาย
    #หนังสือ
    #วิมานลอย วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์ ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้ การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ #นิยายแปล #วรรณกรรมคลาสสิก #วิมานลอย #gonewiththewind #หนังสือน่าอ่าน #สงครามกลางเมือง #สหรัฐอเมริกา #ชนชั้น #แรงงาน #บริวาร #ทาส #คนผิวดำ #thaitimes #นิยาย #หนังสือ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1503 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15” อย่างเป็นทางการ รวมสุดยอดช่างฝีมืองานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูไว้มากที่สุด
    งานแสดงและจำหน่ายงานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูแห่งปี ภายใต้แนวคิด “สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย (The Legend of Thai Craft)” เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย และเพิ่มช่องทางการส่งออก การจัดจำหน่ายให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย นำจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทักษะเชิงช่างให้เป็นที่รู้จักในเวทีระดับสากล

    อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15
    ระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน 2567
    เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
    จัดโดย สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท.

    #อัตลักษณ์แห่งสยาม #สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย #Identityofsiam #Thelegendofthaicraft
    #หัตถกรรม #ศิลปหัตถกรรม #ทำมือ #SACIT #สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย #moc #กระทรวงพาณิชย์
    สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15” อย่างเป็นทางการ รวมสุดยอดช่างฝีมืองานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูไว้มากที่สุด งานแสดงและจำหน่ายงานหัตถศิลป์ไทยชั้นบรมครูแห่งปี ภายใต้แนวคิด “สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย (The Legend of Thai Craft)” เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย และเพิ่มช่องทางการส่งออก การจัดจำหน่ายให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย นำจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทักษะเชิงช่างให้เป็นที่รู้จักในเวทีระดับสากล อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดโดย สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. #อัตลักษณ์แห่งสยาม #สืบสานตำนานหัตถศิลป์ไทย #Identityofsiam #Thelegendofthaicraft #หัตถกรรม #ศิลปหัตถกรรม #ทำมือ #SACIT #สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย #moc #กระทรวงพาณิชย์
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧧ศาสตร์แห่งพลังของตัวเลข มีหลายตำรา หลายความเชื่อ ผู้เขียน เอาความรู้จากหนังสือ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง อ.คนดังต่างๆ มาบวกรวมกับความรู้ เรื่องสถิติ ซึ่งแม่นยำมาก และยอมรับกันทั่วโลก คัดกรอง และตัดเรื่อง ดวง กาลากินี อะไร ที่นอกตำราออกไป ..ผู้เขียน ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อ หรืออะไร อ้างอิงจากการศึกษาพุทธศาสนากว่า 40 ปี ..ค้นพบได้ข้อสรุปว่า เมื่อกายสังขารแตกสลายไป ดวงจิตเราไม่ได้แตกสลายไปด้วย..ดวงจิตก็ยังคงเป็นดวงเดิม ผ่านพ้นสู่ทุกภพภูมิ รอวาระจุติใหม่ วนไปเรื่อยๆ ตามบุญกรรม ..มันก็เหมือนเลขบัตรประชาชนนั้นแหละ คุณเปลี่ยนชื่อกี่สิบรอบ มันก็ยังเป็นเลขเดิม...เจ้ากรรมนายเวร บุพกรรมทั้งหลาย คิดตามดวงจิตเรา ไม่ได้ตามนายหมา นายแมว ไม่งั้นจะเจอและชดใช้กันทุกชาติได้อย่างไร ..
    ..อีกเรื่องนึง เคยสนทนาธรรมกับพระภิกษุอาวุโสท่านนึง เมื่อหลายสิบปีก่อน...ท่านว่า จะชื่ออะไร คนตั้งให้ ไม่ว่าพ่อแม่ พระ หรือใคร นั่นคือ มงคลแล้ว เพราะเขาเจตนาดี ไม่่ต้องเปลี่ยน....เรื่องกาลกิณี มาทีหลัง ..โยมลองนึกตาม..พยัญชนะไทย เกิดขึ้นเมื่อใด กี่ร้อยปี ..และก่อนหน้านี้ ..มันอ้างอิงอะไร? มันเป็นเรื่องของคน เขียนขึ้น บัญญัติขึ้น..ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ ว่ามันถูกหรือผิด ..
    🌳 อาจจะขัดแย้งอาจารย์หลายท่าน. ต้องขออภัย ..และหลายองค์ความรู้สาธารณะ แต่ส่วนตัวศึกษามาทุกศาสนา และสารพัดปรัชญาทัั่วโลก ตั้งแต่ เต๋า ขงจื้อ เซ็น กรีก จีน คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ เอามาผสานกับสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ คือ สถิติ ..กรองออกมาเป็นแนวคิดแบบนี้. ..ไม่ได้บอกว่าใครผิดหรือใครถูก หรือให้ท่านเชื่อ แค่นำเสนอความเห็นส่วนตัว
    🧧ศาสตร์แห่งพลังของตัวเลข มีหลายตำรา หลายความเชื่อ ผู้เขียน เอาความรู้จากหนังสือ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง อ.คนดังต่างๆ มาบวกรวมกับความรู้ เรื่องสถิติ ซึ่งแม่นยำมาก และยอมรับกันทั่วโลก คัดกรอง และตัดเรื่อง ดวง กาลากินี อะไร ที่นอกตำราออกไป ..ผู้เขียน ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อ หรืออะไร อ้างอิงจากการศึกษาพุทธศาสนากว่า 40 ปี ..ค้นพบได้ข้อสรุปว่า เมื่อกายสังขารแตกสลายไป ดวงจิตเราไม่ได้แตกสลายไปด้วย..ดวงจิตก็ยังคงเป็นดวงเดิม ผ่านพ้นสู่ทุกภพภูมิ รอวาระจุติใหม่ วนไปเรื่อยๆ ตามบุญกรรม ..มันก็เหมือนเลขบัตรประชาชนนั้นแหละ คุณเปลี่ยนชื่อกี่สิบรอบ มันก็ยังเป็นเลขเดิม...เจ้ากรรมนายเวร บุพกรรมทั้งหลาย คิดตามดวงจิตเรา ไม่ได้ตามนายหมา นายแมว ไม่งั้นจะเจอและชดใช้กันทุกชาติได้อย่างไร .. ..อีกเรื่องนึง เคยสนทนาธรรมกับพระภิกษุอาวุโสท่านนึง เมื่อหลายสิบปีก่อน...ท่านว่า จะชื่ออะไร คนตั้งให้ ไม่ว่าพ่อแม่ พระ หรือใคร นั่นคือ มงคลแล้ว เพราะเขาเจตนาดี ไม่่ต้องเปลี่ยน....เรื่องกาลกิณี มาทีหลัง ..โยมลองนึกตาม..พยัญชนะไทย เกิดขึ้นเมื่อใด กี่ร้อยปี ..และก่อนหน้านี้ ..มันอ้างอิงอะไร? มันเป็นเรื่องของคน เขียนขึ้น บัญญัติขึ้น..ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ ว่ามันถูกหรือผิด .. 🌳 อาจจะขัดแย้งอาจารย์หลายท่าน. ต้องขออภัย ..และหลายองค์ความรู้สาธารณะ แต่ส่วนตัวศึกษามาทุกศาสนา และสารพัดปรัชญาทัั่วโลก ตั้งแต่ เต๋า ขงจื้อ เซ็น กรีก จีน คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ เอามาผสานกับสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ คือ สถิติ ..กรองออกมาเป็นแนวคิดแบบนี้. ..ไม่ได้บอกว่าใครผิดหรือใครถูก หรือให้ท่านเชื่อ แค่นำเสนอความเห็นส่วนตัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

    เดือนนี้ หากรับราชการเป็นข้าราชการข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะตำแหน่งเกียรติยศ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับความสำเร็จนานัปการไหลหลั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดาวรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง และความรู้จรมาสู่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคิดริเริ่มธุรกิจใหม่ๆมีแนวคิดสร้างสรรค์กิจการงานก้าวหน้า ส่งผลทำให้จะคิดอ่านประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้อย่างดี งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งสมาชิกลูกหลานจะขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียนการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจะมีความสุขสงบ จะได้คนดีๆไปมาหาสู่ โชคดีมีโอกาสถูกหวยรวยหุ้น
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เดือนนี้ หากรับราชการเป็นข้าราชการข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะตำแหน่งเกียรติยศ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับความสำเร็จนานัปการไหลหลั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดาวรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง และความรู้จรมาสู่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคิดริเริ่มธุรกิจใหม่ๆมีแนวคิดสร้างสรรค์กิจการงานก้าวหน้า ส่งผลทำให้จะคิดอ่านประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้อย่างดี งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งสมาชิกลูกหลานจะขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียนการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจะมีความสุขสงบ จะได้คนดีๆไปมาหาสู่ โชคดีมีโอกาสถูกหวยรวยหุ้น ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1196 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ

    #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

    สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564
    เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ
    แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
    หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ

    เรื่องย่อ

    ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1

    โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่

    จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก

    แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่

    เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม

    ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก

    ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้

    ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง

    ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน

    หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร

    ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา

    หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #จิตวิทยา
    #โตขึ้นจะเป็นอะไร
    #ร้านหนังสือ
    #รักการอ่าน
    #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง
    #หนังสือดีที่ควรอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #การพัฒนาตนเอง
    ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564 เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ เรื่องย่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1 โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่ จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย . . . . . . . . เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #จิตวิทยา #โตขึ้นจะเป็นอะไร #ร้านหนังสือ #รักการอ่าน #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง #หนังสือดีที่ควรอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #การพัฒนาตนเอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 823 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮูตีได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่ศูนย์กลางของเทลอาวีฟเมื่อวานนี้ - หลบเลี่ยงการต่อต้านของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล (เห็นได้ชัด)

    ขีปนาวุธดังกล่าวบินได้ไกล ๑,๓๐๐ ไมล์ในเวลาไม่ถึง ๑๒ นาที

    นี่คือขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบใช้พื้นดิน/อากาศ - เข้าใกล้ความเร็วมัค ๙

    ไม่มีการป้องกันการโจมตีครั้งนี้ - ไม่มีเลย จากนั้น, รัสเซียมีรายงานว่ายังมี MIRV ซึ่งเป็นจรวดที่บรรทุกจรวดนำวิถีกลับเข้าชั้นบรรยากาศอิสระที่ติดตั้งบนยานร่อนความเร็วเหนือเสียง (HGV) ที่มีความเร็วถึงมัค ๒๕ (แพลตฟอร์ม Avangard)

    🤣ในขณะเดียวกัน, ประธานาธิบดีต้องการทุ่มเงินมากขึ้นกับโครงสร้างกองกำลังแบบเดิม ในขณะที่เราควรทิ้งส่วนใหญ่ไปและเริ่มส่งกองกำลังใหม่🤣

    🤣ในตอนนี้ กระทรวงกลาโหมคือ DMV (กรมยานพาหนะทางทหาร) พวกเขาเก่งในการเคลื่อนย้ายฮาร์ดแวร์และบุคลากร แต่ไม่ได้เก่งอะไรอย่างอื่น🤣

    🤣พวกเขายังคงติดอยู่กับกรอบแนวคิดสงครามโลกครั้งที่ ๒/สงครามเย็น ถึงเวลาที่จะถอยทัพและสร้างอนาคตใหม่🤣

    🤣การยุติความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาและมิตรสหายของเรา🤣

    Douglas Macgregor
    .
    Houthis fired a hypersonic missile into the Centre of Tel Aviv yesterday - evading Saudi and Israeli AD (obviously).

    The missile covered 1,300 Miles in less than 12 min.

    These are ground/air-based hypersonics - approaching Mach 9.

    There is no defense against this attack - none. Then, the Russians reportedly also have space based MIRV multiple independent reentry rocket payload mounted on hypersonic glide vehicles (HGV) hitting speeds of Mach 25. (Avangard Platform)

    Meanwhile, President wants to waste more money on the old force structure when we should scrap much of it and begin fielding a new force.

    At this point the DOD is the DMV (department of military vehicles) They are great at moving hardware and Personnel around but not at much else.

    They remain stuck in the WW2/Cold War paradigm. It’s time to retrench and build for the future.

    Ending the conflicts in Ukraine and the ME is vital for the US and our friends.
    .
    9:45 PM · Sep 15, 2024 · 34.4K Views
    https://x.com/DougAMacgregor/status/1835329040640545224
    ฮูตีได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่ศูนย์กลางของเทลอาวีฟเมื่อวานนี้ - หลบเลี่ยงการต่อต้านของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล (เห็นได้ชัด) ขีปนาวุธดังกล่าวบินได้ไกล ๑,๓๐๐ ไมล์ในเวลาไม่ถึง ๑๒ นาที นี่คือขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบใช้พื้นดิน/อากาศ - เข้าใกล้ความเร็วมัค ๙ ไม่มีการป้องกันการโจมตีครั้งนี้ - ไม่มีเลย จากนั้น, รัสเซียมีรายงานว่ายังมี MIRV ซึ่งเป็นจรวดที่บรรทุกจรวดนำวิถีกลับเข้าชั้นบรรยากาศอิสระที่ติดตั้งบนยานร่อนความเร็วเหนือเสียง (HGV) ที่มีความเร็วถึงมัค ๒๕ (แพลตฟอร์ม Avangard) 🤣ในขณะเดียวกัน, ประธานาธิบดีต้องการทุ่มเงินมากขึ้นกับโครงสร้างกองกำลังแบบเดิม ในขณะที่เราควรทิ้งส่วนใหญ่ไปและเริ่มส่งกองกำลังใหม่🤣 🤣ในตอนนี้ กระทรวงกลาโหมคือ DMV (กรมยานพาหนะทางทหาร) พวกเขาเก่งในการเคลื่อนย้ายฮาร์ดแวร์และบุคลากร แต่ไม่ได้เก่งอะไรอย่างอื่น🤣 🤣พวกเขายังคงติดอยู่กับกรอบแนวคิดสงครามโลกครั้งที่ ๒/สงครามเย็น ถึงเวลาที่จะถอยทัพและสร้างอนาคตใหม่🤣 🤣การยุติความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาและมิตรสหายของเรา🤣 Douglas Macgregor . Houthis fired a hypersonic missile into the Centre of Tel Aviv yesterday - evading Saudi and Israeli AD (obviously). The missile covered 1,300 Miles in less than 12 min. These are ground/air-based hypersonics - approaching Mach 9. There is no defense against this attack - none. Then, the Russians reportedly also have space based MIRV multiple independent reentry rocket payload mounted on hypersonic glide vehicles (HGV) hitting speeds of Mach 25. (Avangard Platform) Meanwhile, President wants to waste more money on the old force structure when we should scrap much of it and begin fielding a new force. At this point the DOD is the DMV (department of military vehicles) They are great at moving hardware and Personnel around but not at much else. They remain stuck in the WW2/Cold War paradigm. It’s time to retrench and build for the future. Ending the conflicts in Ukraine and the ME is vital for the US and our friends. . 9:45 PM · Sep 15, 2024 · 34.4K Views https://x.com/DougAMacgregor/status/1835329040640545224
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 กันยายน2567- พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้เขียนหนังสือชื่อ“ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย”โดยมีการตีพิมพ์จำหน่ายทั้งแบบรูปเล่มหนังสือ และรูปแบบออนไลน์ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีการจำหน่ายทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ประกอบกับมีการนำข้อมูลในหนังสือที่ตนเองเขียนเองนั้น ไปบอกเล่าผ่านการเสวนา และการบรรยายในเวทีต่างๆ พร้อมกับได้มีการบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจำนวนหลายครั้ง

    พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กอ.รมน. ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าว ไม่ได้มีคุณวุฒิการศึกษาและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงโดยตรง อีกทั้งไม่ได้รับผิดชอบให้ทำการสอนในเรื่องดังกล่าว และไม่มีผลงานทางวิชาการในด้านความมั่นคงปรากฏให้เห็นมาตามลำดับ โดยหนังสือและผลงานทางวิชาการของผู้เขียน ก็ไม่ได้ทำการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย แต่กลับใช้วิธีการเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนแนวคิดตนเองที่ตั้งไว้แล้ว นำมาเป็นข้อสรุปขึ้นเอง ประกอบกับไม่ได้มีการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน เช่น กอ.รมน. หรือ กองทัพโดยตรง รวมถึงไม่ได้ทำการศึกษากฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติราชการ จึงเกิดเป็นข้อสรุปย่อยที่เป็นเท็จจำนวนมาก นำมาสู่ข้อสรุปในภาพรวมถึงการแทรกซึมของกองทัพ โดยมี กอ.รมน. เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมสังคมไทย พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า การที่ผู้เขียนได้มีการนำข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนสูงในลักษณะนี้ ไปตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอน และกิจการการศึกษา จึงอาจเป็นการละเมิดข้อบังคับจริยธรรมของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงขอเรียนว่า การนำหนังสือและบทความทางวิชาการที่มีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการจำหน่ายเป็นแบบรูปเล่มหนังสือ และการไปร่วมเสวนาบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน

    “กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด ได้กรุณาพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ หากนักวิชาการ สื่อมวลชน หรือสังคมมีความสงสัย ต้องการทราบรายละเอียดในประเด็นใด สามารถติดต่อมาที่หน่วยงาน หรือทีมโฆษก กอ.รมน. ได้ตลอดเวลา” พล.ต.วินธัย กล่าว

    ส่วน รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงข้อความว่า “เฮ้ออออ หนังสืออิฉันเองค่ะ”พร้อมได้ลงปกหนังสือเล่มดังกล่าว

    #Thaitimes
    14 กันยายน2567- พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้เขียนหนังสือชื่อ“ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย”โดยมีการตีพิมพ์จำหน่ายทั้งแบบรูปเล่มหนังสือ และรูปแบบออนไลน์ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีการจำหน่ายทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ประกอบกับมีการนำข้อมูลในหนังสือที่ตนเองเขียนเองนั้น ไปบอกเล่าผ่านการเสวนา และการบรรยายในเวทีต่างๆ พร้อมกับได้มีการบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจำนวนหลายครั้ง พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กอ.รมน. ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าว ไม่ได้มีคุณวุฒิการศึกษาและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงโดยตรง อีกทั้งไม่ได้รับผิดชอบให้ทำการสอนในเรื่องดังกล่าว และไม่มีผลงานทางวิชาการในด้านความมั่นคงปรากฏให้เห็นมาตามลำดับ โดยหนังสือและผลงานทางวิชาการของผู้เขียน ก็ไม่ได้ทำการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย แต่กลับใช้วิธีการเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนแนวคิดตนเองที่ตั้งไว้แล้ว นำมาเป็นข้อสรุปขึ้นเอง ประกอบกับไม่ได้มีการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน เช่น กอ.รมน. หรือ กองทัพโดยตรง รวมถึงไม่ได้ทำการศึกษากฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติราชการ จึงเกิดเป็นข้อสรุปย่อยที่เป็นเท็จจำนวนมาก นำมาสู่ข้อสรุปในภาพรวมถึงการแทรกซึมของกองทัพ โดยมี กอ.รมน. เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมสังคมไทย พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า การที่ผู้เขียนได้มีการนำข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนสูงในลักษณะนี้ ไปตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอน และกิจการการศึกษา จึงอาจเป็นการละเมิดข้อบังคับจริยธรรมของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงขอเรียนว่า การนำหนังสือและบทความทางวิชาการที่มีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการจำหน่ายเป็นแบบรูปเล่มหนังสือ และการไปร่วมเสวนาบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน “กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด ได้กรุณาพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ หากนักวิชาการ สื่อมวลชน หรือสังคมมีความสงสัย ต้องการทราบรายละเอียดในประเด็นใด สามารถติดต่อมาที่หน่วยงาน หรือทีมโฆษก กอ.รมน. ได้ตลอดเวลา” พล.ต.วินธัย กล่าว ส่วน รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงข้อความว่า “เฮ้ออออ หนังสืออิฉันเองค่ะ”พร้อมได้ลงปกหนังสือเล่มดังกล่าว #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 610 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ในความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน
    ในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ ที่เคยเป็นอิสระ
    ไม่มีสิ่งไหนควบคุมได้ แนวคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนไป
    เมื่อปัจจุบัน พบว่า การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์
    จะมีแนวโน้ม และทิศทางแปรผันตรง ไปกับค่าเงิน
    ดอลลาร์สหรัฐ คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้ม
    แข็งค่าขึ้น ราคาบิทคอยน์ก็จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
    เช่นเดียวกัน เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง
    ราคาบิทคอยน์ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน

    🚩สาเหตุหลักๆน่าจะมาจาก ระบบนิเวศน์ที่ใหญ่ที่สุด
    ของบิทคอยน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัทเหมืองขุด
    นายหน้าซื้อขายแลกเปลี่ยน Exchange, Spot Bitcoin ETF,
    คนซื้อคนขาย เป็นต้น

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #ดอลลาร์สหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥ในความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน ในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ ที่เคยเป็นอิสระ ไม่มีสิ่งไหนควบคุมได้ แนวคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนไป เมื่อปัจจุบัน พบว่า การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ จะมีแนวโน้ม และทิศทางแปรผันตรง ไปกับค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐ คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้ม แข็งค่าขึ้น ราคาบิทคอยน์ก็จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ราคาบิทคอยน์ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน 🚩สาเหตุหลักๆน่าจะมาจาก ระบบนิเวศน์ที่ใหญ่ที่สุด ของบิทคอยน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัทเหมืองขุด นายหน้าซื้อขายแลกเปลี่ยน Exchange, Spot Bitcoin ETF, คนซื้อคนขาย เป็นต้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #ดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1070 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts