• “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล”

    รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม

    องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด

    สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report
    40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย
    27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา
    80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล

    ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว
    เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย
    แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส
    การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว

    ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล
    แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว
    การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ
    แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
    การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย

    คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่
    ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน
    อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร
    การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด

    https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    💸 “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล” รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด ✅ สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report ➡️ 40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย ➡️ 27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว ➡️ เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย ➡️ แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส ➡️ การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว ✅ ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว ➡️ การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ✅ กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ ➡️ แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า ➡️ การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ ⛔ ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน ⛔ อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ⛔ การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Ransomware recovery perils: 40% of paying victims still lose their data
    Paying the ransom is no guarantee of a smooth or even successful recovery of data. But that isn’t even the only issue security leaders will face under fire. Preparation is key.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน

    บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน

    ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้

    แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ
    เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น
    บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing
    เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D
    เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง

    ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา
    รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์
    Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก

    ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
    เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง
    หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน
    การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด
    การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    🇺🇸 รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้ ✅ แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น ➡️ บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing ➡️ เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D ➡️ เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง ✅ ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา ➡️ รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก ✅ ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ➡️ เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง ⛔ หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน ⛔ การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด ⛔ การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta ปรับโครงสร้าง AI ครั้งใหญ่ – ปลด 600 ตำแหน่ง FAIR พร้อมเร่งสร้างทีม Superintelligence”

    Meta กำลังปรับทิศทางการพัฒนา AI ครั้งใหญ่ โดยประกาศปลดพนักงานกว่า 600 คน จากแผนก Fundamental AI Research (FAIR) และฝ่ายผลิตภัณฑ์ AI กับโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะดูเหมือนถอยหลัง แต่จริง ๆ แล้ว Meta กำลัง “เร่งเครื่อง” ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการสร้าง ทีม Superintelligence ภายใต้ชื่อ TBD Lab

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta ลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัท Scale AI และดึงตัว CEO Alexandr Wang เข้ามาเป็นหัวหน้าทีม AI ของบริษัท โดยเขาได้ประกาศว่าจะนำไอเดียจาก FAIR ไปต่อยอดในโมเดลขนาดใหญ่ของ TBD Lab

    การปลดพนักงานครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุน แต่เป็นการปรับโฟกัสใหม่ให้แต่ละคนมี “ภาระงานที่ชัดเจนและมีผลกระทบมากขึ้น” ตามคำกล่าวของ Wang ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบ startup ที่เน้นความคล่องตัวและผลลัพธ์

    แม้ FAIR เคยเป็นหัวใจของงานวิจัย AI ระดับโลก เช่นการพัฒนา PyTorch และโมเดลภาษา LLaMA แต่ในยุคที่ AI เชิงผลิตภัณฑ์และโมเดลขนาดใหญ่กลายเป็นจุดแข่งหลักของบริษัทเทคโนโลยี Meta จึงเลือกเดินหน้าสร้างทีมใหม่ที่เน้นการ “รวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง”

    พนักงานที่ได้รับผลกระทบสามารถสมัครตำแหน่งอื่นภายในบริษัทได้ และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณว่า Meta กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ที่เน้น “ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ” มากกว่าการทดลองเชิงวิชาการ

    การปรับโครงสร้างของ Meta
    ปลดพนักงานกว่า 600 คนจาก FAIR และฝ่าย AI Infrastructure
    สร้างทีมใหม่ชื่อ TBD Lab เพื่อพัฒนา Superintelligence
    นำไอเดียจาก FAIR ไปใช้ในโมเดลขนาดใหญ่
    พนักงานที่ถูกปลดสามารถสมัครตำแหน่งอื่นในบริษัทได้

    การลงทุนและการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
    Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI
    ดึง Alexandr Wang เป็นหัวหน้าทีม AI
    หยุดการจ้างงานชั่วคราวก่อนประกาศปรับโครงสร้าง
    เน้นการรวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์

    ความเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ FAIR
    FAIR เคยเป็นผู้นำด้านงานวิจัย เช่น PyTorch และ LLaMA
    ผู้นำ FAIR Joelle Pineau ลาออกเมื่อต้นปี
    งานวิจัยจาก FAIR จะถูกนำไป scale ใน TBD Lab
    Meta เน้นให้แต่ละคนมีภาระงานที่มีผลกระทบมากขึ้น

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การลดขนาดทีมวิจัยอาจทำให้ Meta สูญเสียความได้เปรียบด้านนวัตกรรม
    การเน้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจอาจลดความหลากหลายของงานวิจัยพื้นฐาน
    การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจกระทบขวัญกำลังใจของทีมงาน
    การรวมงานวิจัยเข้ากับผลิตภัณฑ์ต้องใช้การจัดการที่รอบคอบ
    หาก TBD Lab ล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Meta ในวงการ AI

    https://www.theverge.com/news/804253/meta-ai-research-layoffs-fair-superintelligence
    🧠 “Meta ปรับโครงสร้าง AI ครั้งใหญ่ – ปลด 600 ตำแหน่ง FAIR พร้อมเร่งสร้างทีม Superintelligence” Meta กำลังปรับทิศทางการพัฒนา AI ครั้งใหญ่ โดยประกาศปลดพนักงานกว่า 600 คน จากแผนก Fundamental AI Research (FAIR) และฝ่ายผลิตภัณฑ์ AI กับโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะดูเหมือนถอยหลัง แต่จริง ๆ แล้ว Meta กำลัง “เร่งเครื่อง” ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการสร้าง ทีม Superintelligence ภายใต้ชื่อ TBD Lab การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta ลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัท Scale AI และดึงตัว CEO Alexandr Wang เข้ามาเป็นหัวหน้าทีม AI ของบริษัท โดยเขาได้ประกาศว่าจะนำไอเดียจาก FAIR ไปต่อยอดในโมเดลขนาดใหญ่ของ TBD Lab การปลดพนักงานครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุน แต่เป็นการปรับโฟกัสใหม่ให้แต่ละคนมี “ภาระงานที่ชัดเจนและมีผลกระทบมากขึ้น” ตามคำกล่าวของ Wang ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบ startup ที่เน้นความคล่องตัวและผลลัพธ์ แม้ FAIR เคยเป็นหัวใจของงานวิจัย AI ระดับโลก เช่นการพัฒนา PyTorch และโมเดลภาษา LLaMA แต่ในยุคที่ AI เชิงผลิตภัณฑ์และโมเดลขนาดใหญ่กลายเป็นจุดแข่งหลักของบริษัทเทคโนโลยี Meta จึงเลือกเดินหน้าสร้างทีมใหม่ที่เน้นการ “รวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง” พนักงานที่ได้รับผลกระทบสามารถสมัครตำแหน่งอื่นภายในบริษัทได้ และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณว่า Meta กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ที่เน้น “ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ” มากกว่าการทดลองเชิงวิชาการ ✅ การปรับโครงสร้างของ Meta ➡️ ปลดพนักงานกว่า 600 คนจาก FAIR และฝ่าย AI Infrastructure ➡️ สร้างทีมใหม่ชื่อ TBD Lab เพื่อพัฒนา Superintelligence ➡️ นำไอเดียจาก FAIR ไปใช้ในโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ พนักงานที่ถูกปลดสามารถสมัครตำแหน่งอื่นในบริษัทได้ ✅ การลงทุนและการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ➡️ Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI ➡️ ดึง Alexandr Wang เป็นหัวหน้าทีม AI ➡️ หยุดการจ้างงานชั่วคราวก่อนประกาศปรับโครงสร้าง ➡️ เน้นการรวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ ✅ ความเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ FAIR ➡️ FAIR เคยเป็นผู้นำด้านงานวิจัย เช่น PyTorch และ LLaMA ➡️ ผู้นำ FAIR Joelle Pineau ลาออกเมื่อต้นปี ➡️ งานวิจัยจาก FAIR จะถูกนำไป scale ใน TBD Lab ➡️ Meta เน้นให้แต่ละคนมีภาระงานที่มีผลกระทบมากขึ้น ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การลดขนาดทีมวิจัยอาจทำให้ Meta สูญเสียความได้เปรียบด้านนวัตกรรม ⛔ การเน้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจอาจลดความหลากหลายของงานวิจัยพื้นฐาน ⛔ การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจกระทบขวัญกำลังใจของทีมงาน ⛔ การรวมงานวิจัยเข้ากับผลิตภัณฑ์ต้องใช้การจัดการที่รอบคอบ ⛔ หาก TBD Lab ล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Meta ในวงการ AI https://www.theverge.com/news/804253/meta-ai-research-layoffs-fair-superintelligence
    WWW.THEVERGE.COM
    Meta is axing 600 roles across its AI division
    But Meta is still hiring for its team tasked with achieving superintelligence, according to a report from Axios.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ ใจคุณทำด้วยอะไร ปล่อยให้ความเสียหาย การสูญเสีย สูญเปล่า ยังดันทุรังจัด JBC

    https://www.youtube.com/live/5cai-_oJlyo?si=FnHY69QXDxiIIXBx
    รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ ใจคุณทำด้วยอะไร ปล่อยให้ความเสียหาย การสูญเสีย สูญเปล่า ยังดันทุรังจัด JBC https://www.youtube.com/live/5cai-_oJlyo?si=FnHY69QXDxiIIXBx
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย — ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล” — เมื่อธรรมชาติกลายเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

    เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวโรงไฟฟ้าออสโมติก (osmotic power plant) แห่งแรกในเอเชีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล — ไม่ใช่แค่การทดลอง แต่เป็นระบบที่ใช้งานจริง โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เพียงพอสำหรับบ้านญี่ปุ่นประมาณ 220 หลัง

    หลักการทำงานของระบบนี้คือการใช้ “ออสโมซิส” ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่น้ำจืดจะซึมผ่านเยื่อบางไปยังฝั่งน้ำเค็มเพื่อปรับสมดุลความเข้มข้นของเกลือ ความดันที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่นี้จะถูกนำไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า — คล้ายกับการใช้พลังงานน้ำ แต่ไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศ

    จุดเด่นของระบบนี้คือความต่อเนื่อง: แม่น้ำไม่หยุดไหลลงทะเล ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ต้องรอแดดหรือลม

    โรงงานยังใช้ “น้ำเกลือเข้มข้น” ที่เหลือจากโรงกรองน้ำทะเล (desalination plant) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ — กลายเป็นวงจรพลังงานแบบหมุนเวียนที่ทั้งผลิตน้ำดื่มและไฟฟ้าไปพร้อมกัน

    แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ เช่น การสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทานและการใช้พลังงานในการสูบน้ำ แต่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เยื่อกรองที่ดีขึ้นและปั๊มที่ใช้พลังงานต่ำ

    ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย
    ตั้งอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การทดลอง

    ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล
    อาศัยหลักการออสโมซิสเพื่อสร้างแรงดัน

    ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
    เพียงพอสำหรับบ้านประมาณ 220 หลัง

    ใช้น้ำเกลือเข้มข้นจากโรงกรองน้ำทะเลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    สร้างระบบพลังงานแบบหมุนเวียน

    ระบบสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
    ไม่ต้องพึ่งพาแดดหรือลม

    มีการพัฒนาเยื่อกรองและปั๊มพลังงานต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดการสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทาน

    https://www.slashgear.com/1997354/japan-fukuoka-osmotic-power-plant-uses-seawater-tech-explained/
    🌊 “ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย — ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล” — เมื่อธรรมชาติกลายเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวโรงไฟฟ้าออสโมติก (osmotic power plant) แห่งแรกในเอเชีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล — ไม่ใช่แค่การทดลอง แต่เป็นระบบที่ใช้งานจริง โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เพียงพอสำหรับบ้านญี่ปุ่นประมาณ 220 หลัง หลักการทำงานของระบบนี้คือการใช้ “ออสโมซิส” ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่น้ำจืดจะซึมผ่านเยื่อบางไปยังฝั่งน้ำเค็มเพื่อปรับสมดุลความเข้มข้นของเกลือ ความดันที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่นี้จะถูกนำไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า — คล้ายกับการใช้พลังงานน้ำ แต่ไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศ จุดเด่นของระบบนี้คือความต่อเนื่อง: แม่น้ำไม่หยุดไหลลงทะเล ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ต้องรอแดดหรือลม โรงงานยังใช้ “น้ำเกลือเข้มข้น” ที่เหลือจากโรงกรองน้ำทะเล (desalination plant) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ — กลายเป็นวงจรพลังงานแบบหมุนเวียนที่ทั้งผลิตน้ำดื่มและไฟฟ้าไปพร้อมกัน แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ เช่น การสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทานและการใช้พลังงานในการสูบน้ำ แต่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เยื่อกรองที่ดีขึ้นและปั๊มที่ใช้พลังงานต่ำ ✅ ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย ➡️ ตั้งอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การทดลอง ✅ ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล ➡️ อาศัยหลักการออสโมซิสเพื่อสร้างแรงดัน ✅ ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ➡️ เพียงพอสำหรับบ้านประมาณ 220 หลัง ✅ ใช้น้ำเกลือเข้มข้นจากโรงกรองน้ำทะเลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ สร้างระบบพลังงานแบบหมุนเวียน ✅ ระบบสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาแดดหรือลม ✅ มีการพัฒนาเยื่อกรองและปั๊มพลังงานต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดการสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทาน https://www.slashgear.com/1997354/japan-fukuoka-osmotic-power-plant-uses-seawater-tech-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Japan's Newest Power Plant Turns Seawater Into Electricity – Here's How It Works - SlashGear
    Fukuoaka's osmotic power plant is supplied by local desalination facilities and uses a natural process to generate modest amounts of power.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • “United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับ 36,000 ฟุต — อาจเป็นเศษดาวเทียมหรืออุกกาบาต” — เมื่อการบินพาณิชย์เผชิญเหตุการณ์ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2025 เครื่องบิน United Airlines รุ่น 737 MAX ที่บินจากเดนเวอร์ไปลอสแอนเจลิส ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับความสูง 36,000 ฟุตเหนือรัฐโคโลราโด ส่งผลให้กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย

    ภาพถ่ายที่มีลายน้ำซึ่งเผยแพร่หลังเหตุการณ์แสดงให้เห็นรอยร้าวบนกระจกและแขนของนักบินที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย กัปตันของเที่ยวบินระบุว่าวัตถุดังกล่าวอาจเป็น “space debris” หรือเศษซากจากดาวเทียมหรือจรวด แต่บางรายงานก็เสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต

    แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เครื่องบินสามารถเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่เมืองซอลต์เลกซิตีได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ และไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร เนื่องจากกระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอกเท่านั้น

    นักบินลดระดับลงมาเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อบรรเทาความต่างแรงดัน และผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่เพื่อเดินทางต่อ

    จนถึงขณะนี้ FAA และสายการบินยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินมองว่าเหตุการณ์นี้ “หายากมาก” และอาจเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินพาณิชย์

    United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่ที่ระดับ 36,000 ฟุตเหนือโคโลราโด
    เกิดขึ้นหลังออกจากเดนเวอร์มุ่งหน้าลอสแอนเจลิส

    กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย
    มีภาพแสดงรอยร้าวและแขนนักบินที่มีรอยขีดข่วน

    กัปตันระบุว่าอาจเป็น “space debris” หรือเศษดาวเทียม
    บางรายงานเสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต

    เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่ซอลต์เลกซิตี
    ไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ

    ไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร
    กระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอก

    นักบินลดระดับลงเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อความปลอดภัย
    ลดแรงดันบนกระจกที่เหลือ

    ผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่
    เดินทางต่อเพื่อจบเที่ยวบิน 90 นาที

    https://avbrief.com/united-max-hit-by-falling-object-at-36000-feet/
    ✈️ “United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับ 36,000 ฟุต — อาจเป็นเศษดาวเทียมหรืออุกกาบาต” — เมื่อการบินพาณิชย์เผชิญเหตุการณ์ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2025 เครื่องบิน United Airlines รุ่น 737 MAX ที่บินจากเดนเวอร์ไปลอสแอนเจลิส ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับความสูง 36,000 ฟุตเหนือรัฐโคโลราโด ส่งผลให้กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย ภาพถ่ายที่มีลายน้ำซึ่งเผยแพร่หลังเหตุการณ์แสดงให้เห็นรอยร้าวบนกระจกและแขนของนักบินที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย กัปตันของเที่ยวบินระบุว่าวัตถุดังกล่าวอาจเป็น “space debris” หรือเศษซากจากดาวเทียมหรือจรวด แต่บางรายงานก็เสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เครื่องบินสามารถเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่เมืองซอลต์เลกซิตีได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ และไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร เนื่องจากกระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอกเท่านั้น นักบินลดระดับลงมาเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อบรรเทาความต่างแรงดัน และผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่เพื่อเดินทางต่อ จนถึงขณะนี้ FAA และสายการบินยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินมองว่าเหตุการณ์นี้ “หายากมาก” และอาจเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินพาณิชย์ ✅ United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่ที่ระดับ 36,000 ฟุตเหนือโคโลราโด ➡️ เกิดขึ้นหลังออกจากเดนเวอร์มุ่งหน้าลอสแอนเจลิส ✅ กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย ➡️ มีภาพแสดงรอยร้าวและแขนนักบินที่มีรอยขีดข่วน ✅ กัปตันระบุว่าอาจเป็น “space debris” หรือเศษดาวเทียม ➡️ บางรายงานเสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต ✅ เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่ซอลต์เลกซิตี ➡️ ไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ ✅ ไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร ➡️ กระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอก ✅ นักบินลดระดับลงเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อความปลอดภัย ➡️ ลดแรงดันบนกระจกที่เหลือ ✅ ผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่ ➡️ เดินทางต่อเพื่อจบเที่ยวบิน 90 นาที https://avbrief.com/united-max-hit-by-falling-object-at-36000-feet/
    AVBRIEF.COM
    United MAX Hit by Falling Object at 36,000 Feet - AvBrief.com
    Object may have been a piece of a weather balloon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Managed IT Services เสริมเกราะไซเบอร์องค์กร — จากการเฝ้าระวังถึงการฟื้นตัวหลังภัยคุกคาม” — เมื่อการจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบ IT กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่

    ในยุคที่ธุรกิจพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วย ransomware, การหลอกลวงผ่าน phishing หรือการเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หลายองค์กรพบว่าการรับมือด้วยทีมภายในเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ

    บทความจาก SecurityOnline.info ชี้ให้เห็นว่า “Managed IT Services” หรือบริการดูแลระบบ IT แบบครบวงจรจากภายนอก คือคำตอบที่ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจากการรับมือแบบ “ตามเหตุการณ์” ไปสู่การป้องกันเชิงรุก โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามตลอดเวลา

    บริการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall และ endpoint protection, การอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ, การสำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบ ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์

    ที่สำคัญ Managed IT ยังช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA และ PCI-DSS ได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง

    Managed IT Services ช่วยเปลี่ยนการรับมือภัยไซเบอร์จากเชิงรับเป็นเชิงรุก
    มีการเฝ้าระวังและตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ
    ลดช่องว่างระหว่างการตรวจพบและการตอบสนอง

    ติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall, IDS, encryption
    ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร

    จัดการอัปเดตและแพตช์ระบบอย่างต่อเนื่อง
    ลดช่องโหว่จากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย

    สำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ
    ใช้คลาวด์และระบบอัตโนมัติเพื่อฟื้นตัวเร็ว

    ฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์
    ลดความเสี่ยงจาก human error เช่น phishing หรือรหัสผ่านอ่อนแอ

    ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA
    มีการตรวจสอบและจัดทำเอกสารตามข้อกำหนด

    ลด downtime และเพิ่มความต่อเนื่องทางธุรกิจ
    มีแผนสำรองและระบบเฝ้าระวังที่ตอบสนองเร็ว

    องค์กรที่ไม่มีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    ช่องโหว่จากซอฟต์แวร์เก่าเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์

    หากไม่มีแผนกู้คืนระบบ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญเมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

    พนักงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอาจเป็นช่องทางให้ภัยไซเบอร์เข้าถึงระบบ
    เช่น คลิกลิงก์หลอกลวงหรือใช้รหัสผ่านซ้ำ

    การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยข้อมูลอาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาล
    และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    https://securityonline.info/how-managed-it-services-strengthen-cybersecurity/
    🛡️ “Managed IT Services เสริมเกราะไซเบอร์องค์กร — จากการเฝ้าระวังถึงการฟื้นตัวหลังภัยคุกคาม” — เมื่อการจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบ IT กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่ ในยุคที่ธุรกิจพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วย ransomware, การหลอกลวงผ่าน phishing หรือการเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หลายองค์กรพบว่าการรับมือด้วยทีมภายในเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ บทความจาก SecurityOnline.info ชี้ให้เห็นว่า “Managed IT Services” หรือบริการดูแลระบบ IT แบบครบวงจรจากภายนอก คือคำตอบที่ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจากการรับมือแบบ “ตามเหตุการณ์” ไปสู่การป้องกันเชิงรุก โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามตลอดเวลา บริการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall และ endpoint protection, การอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ, การสำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบ ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ที่สำคัญ Managed IT ยังช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA และ PCI-DSS ได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง ✅ Managed IT Services ช่วยเปลี่ยนการรับมือภัยไซเบอร์จากเชิงรับเป็นเชิงรุก ➡️ มีการเฝ้าระวังและตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ ➡️ ลดช่องว่างระหว่างการตรวจพบและการตอบสนอง ✅ ติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall, IDS, encryption ➡️ ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร ✅ จัดการอัปเดตและแพตช์ระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ ลดช่องโหว่จากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย ✅ สำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ ➡️ ใช้คลาวด์และระบบอัตโนมัติเพื่อฟื้นตัวเร็ว ✅ ฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ➡️ ลดความเสี่ยงจาก human error เช่น phishing หรือรหัสผ่านอ่อนแอ ✅ ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA ➡️ มีการตรวจสอบและจัดทำเอกสารตามข้อกำหนด ✅ ลด downtime และเพิ่มความต่อเนื่องทางธุรกิจ ➡️ มีแผนสำรองและระบบเฝ้าระวังที่ตอบสนองเร็ว ‼️ องค์กรที่ไม่มีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ ช่องโหว่จากซอฟต์แวร์เก่าเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ ‼️ หากไม่มีแผนกู้คืนระบบ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญเมื่อเกิดภัยพิบัติ ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและความต่อเนื่องทางธุรกิจ ‼️ พนักงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอาจเป็นช่องทางให้ภัยไซเบอร์เข้าถึงระบบ ⛔ เช่น คลิกลิงก์หลอกลวงหรือใช้รหัสผ่านซ้ำ ‼️ การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยข้อมูลอาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาล ⛔ และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร https://securityonline.info/how-managed-it-services-strengthen-cybersecurity/
    SECURITYONLINE.INFO
    How Managed IT Services Strengthen Cybersecurity?
    In today’s digital age, businesses depend heavily on technology to operate efficiently, but that reliance also introduces new
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NVIDIA สูญตลาดจีน 100% — Jensen Huang เผย ‘จาก 95% เหลือ 0%’”

    Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวในงาน Citadel Securities Future Of Global Markets 2025 ว่าบริษัทของเขา “ไม่มีส่วนแบ่งตลาดในจีนอีกต่อไป” โดยระบุว่า NVIDIA เคยครองตลาด AI ของจีนถึง 95% แต่ตอนนี้เหลือ 0% และ “ในทุกการคาดการณ์ของเรา เราตั้งค่าจีนเป็นศูนย์”

    เหตุผลหลักคือจีนกำลังเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาเองภายในประเทศ โดยไม่พึ่งพา NVIDIA อีกต่อไป ซึ่งเป็นผลจากข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ไม่อนุญาตให้ขายชิป AI ระดับสูงให้กับจีน โดยเฉพาะรุ่นใหม่อย่าง Blackwell B100 หรือ B200

    แม้ NVIDIA จะพยายามเสนอชิปรุ่นลดสเปก เช่น Hopper หรือ Blackwell B40 แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีจีนได้ โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Huawei และ Cambricon กำลังเร่งพัฒนา AI chip ของตัวเองอย่างจริงจัง

    Jensen ยอมรับว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นในจีน ก็ถือเป็นโบนัส” และมองว่าการกลับเข้าสู่ตลาดจีนจะเป็นเรื่องยากมากในอนาคต เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งสองประเทศ และเผชิญกับการแข่งขันภายในที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

    Jensen Huang ระบุว่า NVIDIA สูญเสียตลาดจีนทั้งหมด
    จาก 95% เหลือ 0% ในการคาดการณ์ของบริษัท

    เหตุผลหลักคือจีนหันไปใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาเอง
    เช่น Huawei และ Cambricon ที่มี roadmap ชิป AI ของตัวเอง

    สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีน
    เช่น Blackwell B100/B200 ไม่สามารถขายให้ได้

    NVIDIA เสนอชิปรุ่นลดสเปก เช่น Hopper และ B40
    แต่ยังไม่ตอบโจทย์การแข่งขันในจีน

    การกลับเข้าสู่ตลาดจีนต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งสองประเทศ
    และเผชิญกับการแข่งขันภายในที่รุนแรง

    https://wccftech.com/our-market-share-dropped-from-95-to-0-in-china-says-nvidia-ceo/
    🇨🇳 “NVIDIA สูญตลาดจีน 100% — Jensen Huang เผย ‘จาก 95% เหลือ 0%’” Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวในงาน Citadel Securities Future Of Global Markets 2025 ว่าบริษัทของเขา “ไม่มีส่วนแบ่งตลาดในจีนอีกต่อไป” โดยระบุว่า NVIDIA เคยครองตลาด AI ของจีนถึง 95% แต่ตอนนี้เหลือ 0% และ “ในทุกการคาดการณ์ของเรา เราตั้งค่าจีนเป็นศูนย์” เหตุผลหลักคือจีนกำลังเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาเองภายในประเทศ โดยไม่พึ่งพา NVIDIA อีกต่อไป ซึ่งเป็นผลจากข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ไม่อนุญาตให้ขายชิป AI ระดับสูงให้กับจีน โดยเฉพาะรุ่นใหม่อย่าง Blackwell B100 หรือ B200 แม้ NVIDIA จะพยายามเสนอชิปรุ่นลดสเปก เช่น Hopper หรือ Blackwell B40 แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีจีนได้ โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Huawei และ Cambricon กำลังเร่งพัฒนา AI chip ของตัวเองอย่างจริงจัง Jensen ยอมรับว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นในจีน ก็ถือเป็นโบนัส” และมองว่าการกลับเข้าสู่ตลาดจีนจะเป็นเรื่องยากมากในอนาคต เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งสองประเทศ และเผชิญกับการแข่งขันภายในที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Jensen Huang ระบุว่า NVIDIA สูญเสียตลาดจีนทั้งหมด ➡️ จาก 95% เหลือ 0% ในการคาดการณ์ของบริษัท ✅ เหตุผลหลักคือจีนหันไปใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาเอง ➡️ เช่น Huawei และ Cambricon ที่มี roadmap ชิป AI ของตัวเอง ✅ สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีน ➡️ เช่น Blackwell B100/B200 ไม่สามารถขายให้ได้ ✅ NVIDIA เสนอชิปรุ่นลดสเปก เช่น Hopper และ B40 ➡️ แต่ยังไม่ตอบโจทย์การแข่งขันในจีน ✅ การกลับเข้าสู่ตลาดจีนต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งสองประเทศ ➡️ และเผชิญกับการแข่งขันภายในที่รุนแรง https://wccftech.com/our-market-share-dropped-from-95-to-0-in-china-says-nvidia-ceo/
    WCCFTECH.COM
    “Our Market Share Dropped From 95% to 0%,” Says NVIDIA CEO Jensen Huang in a ‘Temporary Goodbye’ to China’s AI Market
    NVIDIA's CEO has once again commented on the firm's 'desperate' position in China, claiming that its market share has now plunged to 0%.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประเทศไทยเราบัดสบจริงๆ ว่าแล้วรัฐบาลอนุทินมีปัญหาจริงๆ,มีปัญหาตั้งแต่อุ๊งอิ๊งออกไปแล้ว จากนั้นก็สืบทอดปัญหาต่ออีก เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาแทนกันแค่นั้นเอง,นายกฯอนุทินก็กอดmou43,44ปกติไม่ต่างจากนายกฯอุ๊งอิ๊งเลย,ทีมรัฐบาลทั้งคณะนี้ล่ะ เห็นต้องตรงกัน ถ่วงเวลาด้วยการโยนให้ประชาชนคนไทยร่วมกันลงมติยกเลิกเอาเองแต่เวลามันพากันทำ มันเสือกไม่ให้คนไทยไปรับรู้ข้อความภายในว่าเขียนอะไร ตีความหมายอย่างไร ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เป็นคุณหรือเป็นโทษ รัฐบาลนายกฯชวนในอดีตโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยที่รับผิดชอบทางตรงเต็มๆกลับไม่ให้ประชาชนรับรู้มาร่วมลงประชาวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเสรีอะไรตามระบบประชาธิปไตยอันสำคัญจริงต่อการสูญเสียดินแดนของประเทศ รัฐบาลในอดีตทั้งหมดต้องรับผิดชอบและต้องถูกลงโทษทั้งหมดโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศทุกๆสมัยจนถึงปัจจุบัน ,เสียดินแดนชัดเจนที่1:150,000ไปจากการใช้1:200,000ซึ่งปกติเราใช้1:50,000 ทั้งไม่มีจริงในบันทึกmou43,44ให้เป็นประโยชน์จริงต่อไทยในการใช้1:50,000เสือกกระทรวงการต่างประเทศไปคัดกรองผีบ้าแบบใดไม่บรรจุเป็น1:50,000ในสัญญาด้วย ,ไปทำห่าแบบใด เขียนในสัญญาตำตาแบบใดไม่ระบุให้เป็นคุณแก่แผ่นดินไทยตนที่1:50,000ชัดเจนในสัญญา ด้วยเหตุนี้กระทรวงการต่างประเทศต้องโทษประหารชีวิตทั้งหมดข้อหาขายชาติทรยศด้วยต่อดินแดนอธิปไตยไทยตนเองเจตนาทำสัญญาให้สูญเสียแผ่นดินพื้นที่ประเทศไทยชัดเจน ตลอดอดีตนายกฯที่มีส่วนร่วมทั้งหมดต้องโทษประหารทุกๆคน รวมถึงคณะครม.ที่ลงมติกำหนดmou43,44นี้ด้วย,ตนและคณะพากันทำพากันสร้างให้ไทยสูญเสียดินแดนแผ่นดินพื้นที่ไทยชัดเจน,ไม่มีเจตนาปกป้องดินแดนไทยตนชัดเจนผ่านข้อสังเกตุและพิสูจน์ชัดในตัวเนื้อหาของmou43,44นี้,จนถึงปัจจุบันยังมีหน้าพากันกระทำความผิดทั้งคณะรัฐบาลเหมือนเดิมปกติ,พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ตลอดพรรคการเมืองใดที่สนับสนุนให้รัฐบาลนี้มีสถานะเป็นผู้นำปัจจุบันต้องร่วมรับผิดชอบร่วมกันด้วยในฐานะตัวสร้างรัฐบาลตัวสร้างนายกฯที่นำไปสู่การกอดmou43,44เต็มที่ถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี้,คณะรวมพลังแผ่นดินฯ ทีมยามเฝ้าแผ่นดิน คณะคปท.สมควรยื่นฟ้องดำเนินคดีทุกๆคน ทุกๆองค์กร หน่วยงานรวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงทบวงกรมข้าราชการกระทรวงทบวงกรมทั้งหมดทันทีที่นั่งในตำแหน่งอำนาจหน้าที่ระดับใดๆก็ตามตั้งแต่บนลงล่างต้องโทษประหารทั้งหมดให้เป็นเยี่ยงอย่างที่นิ่งเฉยทั้งองค์กรหน่วยงานตน ไม่ร่วมออกมาปกป้องแผ่นดินตน ประเทศตน จะอ้างเป็นข้าราชการค้ำหัวไม่ได้ ,เจ้านายทำผิดทำชั่วต้องจับเจ้านายตนลงโทษ เจ้านายผีบ้าต้องถีบออก นี้เจ้านายขายแผ่นดินเสือกก้มหน้าก้มตาทำงานกับเจ้านายชั่วเลวนี้ด้วยสมควรตายทั้งหมดร่วมกัน กระทรวงการต่างประเทศต้องตายก่อน ขายชาติชัดเจน รู้ชัดเจนในไส้ในทั้งหมด ไม่ใส่1:50,000เข้าไปในสัญญาmou43,44เลยมันก็ชัดเจนในเจตนาชั่วเลวแล้วต้องโดนทั้งหมด.,ทั้งแสดงวาทะกรรมออกมาปกป้องmou43,44ผ่านสื่อมากมายเป็นสาธารณะด้วย เสมือนปกป้องช่วยเหลือศัตรูเช่นเขมรมาบุกรุกรานคุกคามยึดแผ่นดินไทยที่ดินไทยให้สำเร็จชัดเจนในอธิปไตยดินแดนไทยตนนี้,ทั้งหมดต้องถูกประหารชีวิตจริงๆ.


    https://youtube.com/watch?v=DkqIK19PeXY&si=iNVGsoslAM_0KXI4
    ประเทศไทยเราบัดสบจริงๆ ว่าแล้วรัฐบาลอนุทินมีปัญหาจริงๆ,มีปัญหาตั้งแต่อุ๊งอิ๊งออกไปแล้ว จากนั้นก็สืบทอดปัญหาต่ออีก เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาแทนกันแค่นั้นเอง,นายกฯอนุทินก็กอดmou43,44ปกติไม่ต่างจากนายกฯอุ๊งอิ๊งเลย,ทีมรัฐบาลทั้งคณะนี้ล่ะ เห็นต้องตรงกัน ถ่วงเวลาด้วยการโยนให้ประชาชนคนไทยร่วมกันลงมติยกเลิกเอาเองแต่เวลามันพากันทำ มันเสือกไม่ให้คนไทยไปรับรู้ข้อความภายในว่าเขียนอะไร ตีความหมายอย่างไร ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เป็นคุณหรือเป็นโทษ รัฐบาลนายกฯชวนในอดีตโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยที่รับผิดชอบทางตรงเต็มๆกลับไม่ให้ประชาชนรับรู้มาร่วมลงประชาวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเสรีอะไรตามระบบประชาธิปไตยอันสำคัญจริงต่อการสูญเสียดินแดนของประเทศ รัฐบาลในอดีตทั้งหมดต้องรับผิดชอบและต้องถูกลงโทษทั้งหมดโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศทุกๆสมัยจนถึงปัจจุบัน ,เสียดินแดนชัดเจนที่1:150,000ไปจากการใช้1:200,000ซึ่งปกติเราใช้1:50,000 ทั้งไม่มีจริงในบันทึกmou43,44ให้เป็นประโยชน์จริงต่อไทยในการใช้1:50,000เสือกกระทรวงการต่างประเทศไปคัดกรองผีบ้าแบบใดไม่บรรจุเป็น1:50,000ในสัญญาด้วย ,ไปทำห่าแบบใด เขียนในสัญญาตำตาแบบใดไม่ระบุให้เป็นคุณแก่แผ่นดินไทยตนที่1:50,000ชัดเจนในสัญญา ด้วยเหตุนี้กระทรวงการต่างประเทศต้องโทษประหารชีวิตทั้งหมดข้อหาขายชาติทรยศด้วยต่อดินแดนอธิปไตยไทยตนเองเจตนาทำสัญญาให้สูญเสียแผ่นดินพื้นที่ประเทศไทยชัดเจน ตลอดอดีตนายกฯที่มีส่วนร่วมทั้งหมดต้องโทษประหารทุกๆคน รวมถึงคณะครม.ที่ลงมติกำหนดmou43,44นี้ด้วย,ตนและคณะพากันทำพากันสร้างให้ไทยสูญเสียดินแดนแผ่นดินพื้นที่ไทยชัดเจน,ไม่มีเจตนาปกป้องดินแดนไทยตนชัดเจนผ่านข้อสังเกตุและพิสูจน์ชัดในตัวเนื้อหาของmou43,44นี้,จนถึงปัจจุบันยังมีหน้าพากันกระทำความผิดทั้งคณะรัฐบาลเหมือนเดิมปกติ,พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ตลอดพรรคการเมืองใดที่สนับสนุนให้รัฐบาลนี้มีสถานะเป็นผู้นำปัจจุบันต้องร่วมรับผิดชอบร่วมกันด้วยในฐานะตัวสร้างรัฐบาลตัวสร้างนายกฯที่นำไปสู่การกอดmou43,44เต็มที่ถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี้,คณะรวมพลังแผ่นดินฯ ทีมยามเฝ้าแผ่นดิน คณะคปท.สมควรยื่นฟ้องดำเนินคดีทุกๆคน ทุกๆองค์กร หน่วยงานรวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงทบวงกรมข้าราชการกระทรวงทบวงกรมทั้งหมดทันทีที่นั่งในตำแหน่งอำนาจหน้าที่ระดับใดๆก็ตามตั้งแต่บนลงล่างต้องโทษประหารทั้งหมดให้เป็นเยี่ยงอย่างที่นิ่งเฉยทั้งองค์กรหน่วยงานตน ไม่ร่วมออกมาปกป้องแผ่นดินตน ประเทศตน จะอ้างเป็นข้าราชการค้ำหัวไม่ได้ ,เจ้านายทำผิดทำชั่วต้องจับเจ้านายตนลงโทษ เจ้านายผีบ้าต้องถีบออก นี้เจ้านายขายแผ่นดินเสือกก้มหน้าก้มตาทำงานกับเจ้านายชั่วเลวนี้ด้วยสมควรตายทั้งหมดร่วมกัน กระทรวงการต่างประเทศต้องตายก่อน ขายชาติชัดเจน รู้ชัดเจนในไส้ในทั้งหมด ไม่ใส่1:50,000เข้าไปในสัญญาmou43,44เลยมันก็ชัดเจนในเจตนาชั่วเลวแล้วต้องโดนทั้งหมด.,ทั้งแสดงวาทะกรรมออกมาปกป้องmou43,44ผ่านสื่อมากมายเป็นสาธารณะด้วย เสมือนปกป้องช่วยเหลือศัตรูเช่นเขมรมาบุกรุกรานคุกคามยึดแผ่นดินไทยที่ดินไทยให้สำเร็จชัดเจนในอธิปไตยดินแดนไทยตนนี้,ทั้งหมดต้องถูกประหารชีวิตจริงๆ. https://youtube.com/watch?v=DkqIK19PeXY&si=iNVGsoslAM_0KXI4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย

    Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

    ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ

    Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน
    ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์
    ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ

    การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น
    อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron
    แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ

    ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ
    ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    🇨🇳 “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ ✅ Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน ➡️ ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ ➡️ ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ ✅ การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น ➡️ อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ✅ การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ ✅ Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron ➡️ แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ ✅ ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ ➡️ ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • แชร์เรื่องด่วน กันให้มากที่สุด กระทรวงต่างประเทศ ได้เชิญกัมพูชา ประชุม JBC เท่ากับ ทหาร ประชาชน ทรัพย์สินหลวง และของชาวบ้าน สูญเสีย ไป เพราะเท่ากับไทย ไม่ว่ากระไรกัมพูชา และบ้านหนองจาน จะเสียไป เสาธงชาติ จะถูกถอนออก

    https://www.youtube.com/live/x0s_JUU7Vi8?si=AzETIHRixRyZISNO
    แชร์เรื่องด่วน กันให้มากที่สุด กระทรวงต่างประเทศ ได้เชิญกัมพูชา ประชุม JBC เท่ากับ ทหาร ประชาชน ทรัพย์สินหลวง และของชาวบ้าน สูญเสีย ไป เพราะเท่ากับไทย ไม่ว่ากระไรกัมพูชา และบ้านหนองจาน จะเสียไป เสาธงชาติ จะถูกถอนออก https://www.youtube.com/live/x0s_JUU7Vi8?si=AzETIHRixRyZISNO
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D

    Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W

    LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม

    เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ

    LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด

    นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    ข้อมูลในข่าว
    Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W
    ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm²
    ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi
    ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ
    ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป
    รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman
    ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO
    พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม
    การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง
    การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ
    หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่
    ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    💧 “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W ➡️ ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ➡️ รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm² ➡️ ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi ➡️ ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ ➡️ ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป ➡️ รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman ➡️ ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO ➡️ พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม ⛔ การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง ⛔ การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่ ⛔ ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง

    ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง

    Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง

    แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว

    Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม

    ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว:
    Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์
    Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า
    DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ
    Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน
    Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    ข้อมูลในข่าว
    AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้
    ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้
    Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents
    Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026
    AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้
    Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์
    DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ
    Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน
    Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก
    อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี
    หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์
    การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ
    นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    🤖 “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์ บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว: ⭐ Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์ ⭐ Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า ⭐ DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ ⭐ Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน ⭐ Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ⭐ Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้ ➡️ Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents ➡️ Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ➡️ AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้ ➡️ Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์ ➡️ DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ ➡️ Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน ➡️ Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ➡️ Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก ⛔ อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์ ⛔ การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ⛔ นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Incredibly dangerous or incredibly useful? The rise of AI agents
    Developers say they can do nearly any task a human can at a computer. Critics say they are incredibly dangerous.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค

    ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30%

    ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม

    การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์
    ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต
    ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว
    ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ
    ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30%
    การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์
    การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ
    หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
    ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า
    การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    ⚡ “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์ Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30% ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ➡️ ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต ➡️ ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว ➡️ ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ ➡️ ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30% ➡️ การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์ ➡️ การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ ⛔ หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ ⛔ ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า ⛔ การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ"
    .
    มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา
    .
    นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต
    .
    เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
    .
    กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน
    .
    “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว
    .
    มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
    .
    ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ
    .
    ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน
    .
    ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน
    .
    เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ
    .
    นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว
    .
    เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    .
    เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน
    .
    ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ
    .
    มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย
    .
    การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว
    .
    จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน
    .
    แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ" . มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา . นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ . สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต . เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ . กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน . “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว . มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม . ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ . ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน . ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน . เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ . นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว . เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง . เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก . เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน . ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ . มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย . การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว . จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน . แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บุ๋ม ปนัดดา” ฉะ “อังคณา” ควรเป็นปากเสียงให้คนไทย อยากให้ลงพื้นที่ด้วยกันจะได้เห็นความจริงว่าประเทศไทยเราสูญเสียและเสียหายไปมากแค่ไหน จำนวนประชากร ที่ไม่ใช่ทหาร ของเราเสียชีวิตมากกว่าของเขา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098203

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “บุ๋ม ปนัดดา” ฉะ “อังคณา” ควรเป็นปากเสียงให้คนไทย อยากให้ลงพื้นที่ด้วยกันจะได้เห็นความจริงว่าประเทศไทยเราสูญเสียและเสียหายไปมากแค่ไหน จำนวนประชากร ที่ไม่ใช่ทหาร ของเราเสียชีวิตมากกว่าของเขา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098203 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ

    งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้

    อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    อ่านน้อยลง
    ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้ อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545 อ่านน้อยลง
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Insomnia Market Size, Trends Analysis, Growth Report 2035
    Insomnia Market growth is projected to reach 8.64 USD billion, at a 5.8% CAGR by driving industry size, share, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2024 to 2032.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดตซอฟต์แวร์ทำ Jeep 4xe บางคันดับกลางทาง — Stellantis เร่งแก้ไขหลังเกิดปัญหา”

    ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าของรถ Jeep Wrangler 4xe hybrid หลายรายพบว่ารถของตนไม่สามารถใช้งานได้หลังจากติดตั้งอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA (Over-the-Air) สำหรับระบบ Uconnect infotainment ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดย Stellantis แต่ยังไม่พร้อมใช้งานเต็มที่ ส่งผลให้รถสูญเสียพลังงานขณะขับขี่และกลายเป็นรถเสียกลางทาง.

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดทันทีหลังการอัปเดต แต่จะเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ ซึ่งอันตรายมาก โดยบางรายพบปัญหาใกล้บ้านที่ความเร็วต่ำ ขณะที่บางรายเจอการดับเครื่องยนต์ขณะขับบนทางหลวง

    หลังจากมีรายงานปัญหา Stellantis ได้ถอนการอัปเดตออกทันที แต่หลายคันได้ดาวน์โหลดไว้แล้วก่อนหน้านั้น ทีมงานของ Stellantis ได้แจ้งในฟอรัม Jeep ว่า หากยังไม่ได้ติดตั้งอัปเดต ให้ “เพิกเฉยต่อป๊อปอัป” และหากติดตั้งไปแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid หรือ electric เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

    เมื่อวานนี้ Stellantis ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยบทเรียนสำคัญคือ “อย่าปล่อยอัปเดตในวันศุกร์” ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมสนับสนุนอาจไม่พร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหาเกิดจากอัปเดต OTA สำหรับระบบ Uconnect
    รถดับกลางทางหลังติดตั้งอัปเดต โดยเฉพาะในโหมด hybrid/electric
    Stellantis ถอนอัปเดตและแนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้ง
    แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid/electric หากติดตั้งไปแล้ว
    แพตช์แก้ไขถูกปล่อยออกในวันถัดมา
    ผู้ใช้รายงานปัญหาผ่าน Reddit, ฟอรัม และ YouTube

    https://arstechnica.com/cars/2025/10/software-update-bricks-some-jeep-4xe-hybrids-over-the-weekend/
    🛠️ “อัปเดตซอฟต์แวร์ทำ Jeep 4xe บางคันดับกลางทาง — Stellantis เร่งแก้ไขหลังเกิดปัญหา” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าของรถ Jeep Wrangler 4xe hybrid หลายรายพบว่ารถของตนไม่สามารถใช้งานได้หลังจากติดตั้งอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA (Over-the-Air) สำหรับระบบ Uconnect infotainment ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดย Stellantis แต่ยังไม่พร้อมใช้งานเต็มที่ ส่งผลให้รถสูญเสียพลังงานขณะขับขี่และกลายเป็นรถเสียกลางทาง. ปัญหานี้ไม่ได้เกิดทันทีหลังการอัปเดต แต่จะเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ ซึ่งอันตรายมาก โดยบางรายพบปัญหาใกล้บ้านที่ความเร็วต่ำ ขณะที่บางรายเจอการดับเครื่องยนต์ขณะขับบนทางหลวง หลังจากมีรายงานปัญหา Stellantis ได้ถอนการอัปเดตออกทันที แต่หลายคันได้ดาวน์โหลดไว้แล้วก่อนหน้านั้น ทีมงานของ Stellantis ได้แจ้งในฟอรัม Jeep ว่า หากยังไม่ได้ติดตั้งอัปเดต ให้ “เพิกเฉยต่อป๊อปอัป” และหากติดตั้งไปแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid หรือ electric เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ Stellantis ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยบทเรียนสำคัญคือ “อย่าปล่อยอัปเดตในวันศุกร์” ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมสนับสนุนอาจไม่พร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหาเกิดจากอัปเดต OTA สำหรับระบบ Uconnect ➡️ รถดับกลางทางหลังติดตั้งอัปเดต โดยเฉพาะในโหมด hybrid/electric ➡️ Stellantis ถอนอัปเดตและแนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้ง ➡️ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid/electric หากติดตั้งไปแล้ว ➡️ แพตช์แก้ไขถูกปล่อยออกในวันถัดมา ➡️ ผู้ใช้รายงานปัญหาผ่าน Reddit, ฟอรัม และ YouTube https://arstechnica.com/cars/2025/10/software-update-bricks-some-jeep-4xe-hybrids-over-the-weekend/
    ARSTECHNICA.COM
    Software update bricks some Jeep 4xe hybrids over the weekend
    Jeep has pulled the update; owners are advised to ignore it if it already downloaded.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..วัดหมัดวัดใจกันแล้ว,ใครก็ตามที่ล้อมรอบนายกฯอนุทิน แล้วทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปเพราะการรังเรสงสัยไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดในการยกเลิกmou43,44นี้ของนายกฯชุดปัจจุบัน ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องถูกลงโทษทันทีที่ทำให้ไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปอีกครั้งและครั้งใหญ่ด้วยนับจากประวัติศาสตร์การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไป,เพราะด้วยมติคณะครม.ชุดปัจจุบันที่นายกฯคนปัจจุบันมีอำนาจเต็มมือแต่ไม่กระทำการปกป้องอธิปไตยชาติตามกาล แถมผลักภาระการตัดสินใจถ่วงเวลาด้วยการหมายทำประชามติจากประชาชนเห็นอย่างชัดเจน,เจตนานี้สามารถบ่งบอกนัยยะอันตรายส่อไปทางไม่ซื่อสัตย์สุจริตเช่นกัน.
    ..บ้านเมืองไทยเราอันตรายมากจากนักปกครองทางการเมืองและข้าราชการในระบบรัฐบาลไทยที่ประจำการนานกว่านักการเมืองด้วย,ระบบปกครองเรามีปัญหาจริงๆ,คนอายุน้อยมาปกครองคนอายุมากนี้คือของจริง,อายุนักการเมืองมาปกครอง มาไม่กี่ปีแล้วก็ไป,แต่ข้าราชการรัฐบาลมีอายุงานจนถึงอายุ60ปีกันเลยซึ่งขัดกันมาก,สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้มากเช่นกันในคนของราชการเองอย่างเช่นตั้งแต่อธิบดีลงมาหรือปลัดลงมาทั้งหมดที่ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาสายข้าราชการประจำทั้งหมดมันอันตรายมากหากคนชั่วดำรงตำแหน่งในนั้น.,การลงโทษนี้จึงสำคัญมากจริงๆแก่บรรดาคนราชการเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อมิให้ก่อการชั่วเลวต่อบ้านเมืองอย่างไม่เกรงใจประชาชนและแผ่นดินไทยตนเองที่ต้องร่วมกันดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขทั้งทางกายและใจ ฐานะร่ำรวยไม่ยากจนเต็มประเทศแบบปัจจุบัน,ซึ่งในปัจจุบันเลวชั่วเป็นอันมาก.

    ..การตัดสินใจของนายกฯชุดรัฐบาลปัจจุบันส่ออาการไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนเช่นกัน,ไม่เด็ดขาดตัดสินใจจริงทั้งที่ตนสามารถตัดสินใจได้ ถ่วงเวลาไปวันๆเลอะเทอะมาก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ชัดเจนด้วย,ถ่วงเวลาก็เสมือนมีเจตนาจงใจให้ไทยตนสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยก็ด้วยเข้าม.119อาญาแผ่นดินไทยชัดเจน นอกจาก ม.157 จะระดับข้าราชการประจำเองและหรือนักการเมืองทั้งรัฐบาลก็ด้วยหมดทุกๆชุดทุกๆฝ่ายที่ตนเป็นรัฐบาล ต้องโทษประหารชีวิตเช่นกันเพราะอยู่ในอำนาจตนเองร่วมสมัยนี้เวลานี้จังหวะนี้ชัดเจน แต่ไม่สามัคคีร่วมใจในชุดรัฐบาลตนปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนทันท่วงทีใดๆเลย,พวกนี้จึงเป็นเหตุสมควรต้องถูกลงโทษทั้งหมด กบฎร่วมทรยศดินแดนอธิปไตยไทยตนร่วมกัยเขมรนั้นเอง.เขมรยิงระเบิดฆ่าเด็กๆคนไทย ฆ่าตายคนไทยเกือบหมดครอบครัว รัฐบาลชุดปัจจุบันนึกว่ามีดีกว่า"ชุดทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา" สุดท้ายแสดงธาตุแท้จริงออกมาโดยไม่ตั้งใจยกเลิกmou43,44ทันทีด้วยมติคณะครม.ตนชุดปัจจุบันถือว่าเป็นรัฐบาลชุดที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่ต่างอะไรกับชุดอุ๊งอิ๊งที่ผ่านมาเลย,
    ..นายกฯถ้าหลงผิดเตรียมพาสส.ทั้งรัฐบาลลงเหวด้วยเลย,คนไทยจะไม่ละเว้นทั้งหมดเช่นกัน.,มันบันทึกการกระทำไว้หมดแล้ว ย้อนหลังกี่ปีก็เห็นได้ตลอดเวลาแน่นอน ในการกระทำตนนั้นที่เสือกตอนมีอำนาจลีลา,ตอนยังไม่มีเสือกกระตือรือร้นให้คนอื่นรีบยกเลิกทันทีเช่นกัน.
    ..เครดิตนี้ต้องร่วมเป็นกำลังใจแก่คนดีทุกๆท่านที่ต่อสู้ฟันธงชัดเจนให้ต้องยกเลิกmou43,44นี้จนถึงปัจจุบัน จะทางประชาชนเราเองและหัวเรือใหญ่เดินหมากตรานี้ในกระดานด้วยก็ใช่เช่นกัน,การต่อสู้กับคนชั่วระดับสากลโลกล้อมไทย ที่คิดไม่ดีต่อแผ่นดินไทยมันไม่ง่ายแน่นอน,รวมพวกคนเนรคุณทรยศชาติด้วย ใฝ่ใจแก่เขมรสาระพัดจริตกิริยาการแสดงออกมากมายด้วย


    https://youtube.com/watch?v=z_klubRRzN0&si=n1oV9KmDHDluCDR3
    ..วัดหมัดวัดใจกันแล้ว,ใครก็ตามที่ล้อมรอบนายกฯอนุทิน แล้วทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปเพราะการรังเรสงสัยไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดในการยกเลิกmou43,44นี้ของนายกฯชุดปัจจุบัน ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องถูกลงโทษทันทีที่ทำให้ไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปอีกครั้งและครั้งใหญ่ด้วยนับจากประวัติศาสตร์การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไป,เพราะด้วยมติคณะครม.ชุดปัจจุบันที่นายกฯคนปัจจุบันมีอำนาจเต็มมือแต่ไม่กระทำการปกป้องอธิปไตยชาติตามกาล แถมผลักภาระการตัดสินใจถ่วงเวลาด้วยการหมายทำประชามติจากประชาชนเห็นอย่างชัดเจน,เจตนานี้สามารถบ่งบอกนัยยะอันตรายส่อไปทางไม่ซื่อสัตย์สุจริตเช่นกัน. ..บ้านเมืองไทยเราอันตรายมากจากนักปกครองทางการเมืองและข้าราชการในระบบรัฐบาลไทยที่ประจำการนานกว่านักการเมืองด้วย,ระบบปกครองเรามีปัญหาจริงๆ,คนอายุน้อยมาปกครองคนอายุมากนี้คือของจริง,อายุนักการเมืองมาปกครอง มาไม่กี่ปีแล้วก็ไป,แต่ข้าราชการรัฐบาลมีอายุงานจนถึงอายุ60ปีกันเลยซึ่งขัดกันมาก,สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้มากเช่นกันในคนของราชการเองอย่างเช่นตั้งแต่อธิบดีลงมาหรือปลัดลงมาทั้งหมดที่ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาสายข้าราชการประจำทั้งหมดมันอันตรายมากหากคนชั่วดำรงตำแหน่งในนั้น.,การลงโทษนี้จึงสำคัญมากจริงๆแก่บรรดาคนราชการเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อมิให้ก่อการชั่วเลวต่อบ้านเมืองอย่างไม่เกรงใจประชาชนและแผ่นดินไทยตนเองที่ต้องร่วมกันดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขทั้งทางกายและใจ ฐานะร่ำรวยไม่ยากจนเต็มประเทศแบบปัจจุบัน,ซึ่งในปัจจุบันเลวชั่วเป็นอันมาก. ..การตัดสินใจของนายกฯชุดรัฐบาลปัจจุบันส่ออาการไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนเช่นกัน,ไม่เด็ดขาดตัดสินใจจริงทั้งที่ตนสามารถตัดสินใจได้ ถ่วงเวลาไปวันๆเลอะเทอะมาก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ชัดเจนด้วย,ถ่วงเวลาก็เสมือนมีเจตนาจงใจให้ไทยตนสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยก็ด้วยเข้าม.119อาญาแผ่นดินไทยชัดเจน นอกจาก ม.157 จะระดับข้าราชการประจำเองและหรือนักการเมืองทั้งรัฐบาลก็ด้วยหมดทุกๆชุดทุกๆฝ่ายที่ตนเป็นรัฐบาล ต้องโทษประหารชีวิตเช่นกันเพราะอยู่ในอำนาจตนเองร่วมสมัยนี้เวลานี้จังหวะนี้ชัดเจน แต่ไม่สามัคคีร่วมใจในชุดรัฐบาลตนปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนทันท่วงทีใดๆเลย,พวกนี้จึงเป็นเหตุสมควรต้องถูกลงโทษทั้งหมด กบฎร่วมทรยศดินแดนอธิปไตยไทยตนร่วมกัยเขมรนั้นเอง.เขมรยิงระเบิดฆ่าเด็กๆคนไทย ฆ่าตายคนไทยเกือบหมดครอบครัว รัฐบาลชุดปัจจุบันนึกว่ามีดีกว่า"ชุดทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา" สุดท้ายแสดงธาตุแท้จริงออกมาโดยไม่ตั้งใจยกเลิกmou43,44ทันทีด้วยมติคณะครม.ตนชุดปัจจุบันถือว่าเป็นรัฐบาลชุดที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่ต่างอะไรกับชุดอุ๊งอิ๊งที่ผ่านมาเลย, ..นายกฯถ้าหลงผิดเตรียมพาสส.ทั้งรัฐบาลลงเหวด้วยเลย,คนไทยจะไม่ละเว้นทั้งหมดเช่นกัน.,มันบันทึกการกระทำไว้หมดแล้ว ย้อนหลังกี่ปีก็เห็นได้ตลอดเวลาแน่นอน ในการกระทำตนนั้นที่เสือกตอนมีอำนาจลีลา,ตอนยังไม่มีเสือกกระตือรือร้นให้คนอื่นรีบยกเลิกทันทีเช่นกัน. ..เครดิตนี้ต้องร่วมเป็นกำลังใจแก่คนดีทุกๆท่านที่ต่อสู้ฟันธงชัดเจนให้ต้องยกเลิกmou43,44นี้จนถึงปัจจุบัน จะทางประชาชนเราเองและหัวเรือใหญ่เดินหมากตรานี้ในกระดานด้วยก็ใช่เช่นกัน,การต่อสู้กับคนชั่วระดับสากลโลกล้อมไทย ที่คิดไม่ดีต่อแผ่นดินไทยมันไม่ง่ายแน่นอน,รวมพวกคนเนรคุณทรยศชาติด้วย ใฝ่ใจแก่เขมรสาระพัดจริตกิริยาการแสดงออกมากมายด้วย https://youtube.com/watch?v=z_klubRRzN0&si=n1oV9KmDHDluCDR3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • “HydroHaptics: เทคโนโลยีสัมผัสใหม่จากมหาวิทยาลัย Bath ที่จะเปลี่ยนเมาส์และจอยสติ๊กให้ ‘บีบ-บิด-บังคับ’ ได้เหมือนของจริง”

    ทีมนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Bath ร่วมกับมหาวิทยาลัย Bristol และ Eindhoven ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า “HydroHaptics” ซึ่งเป็นระบบอินพุตแบบสัมผัสที่สามารถตอบสนองแบบสองทาง (bi-directional) ผ่านพื้นผิวซิลิโคนที่ยืดหยุ่นและบิดงอได้

    HydroHaptics ใช้โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวและมอเตอร์ขนาดเล็กภายใน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “บีบ บิด แตะ หรือบังคับ” ได้เหมือนกับวัตถุจริง และในขณะเดียวกันก็สามารถรับแรงสะท้อนกลับ (haptic feedback) จากระบบได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่สูญเสียความนุ่มหรือความยืดหยุ่นของพื้นผิว

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงานประชุม ACM Symposium on User Interface Software and Technology และได้รับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการ โดยมีการสาธิตการใช้งานใน 4 รูปแบบ ได้แก่ เมาส์, จอยสติ๊ก, สายสะพายกระเป๋า, และหมอนควบคุมสมาร์ตโฮม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    HydroHaptics เป็นเทคโนโลยีอินพุตแบบสัมผัสที่ตอบสนองสองทาง
    ใช้โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวและมอเตอร์ขนาดเล็ก
    ผู้ใช้สามารถบีบ บิด แตะ หรือกดเพื่อควบคุมอุปกรณ์
    ระบบสามารถส่งแรงสะท้อนกลับผ่านพื้นผิวที่ยืดหยุ่นได้
    ได้รับรางวัลชมเชยจากงาน ACM UIST
    มีการสาธิตใน 4 รูปแบบ: เมาส์, จอยสติ๊ก, สายสะพายกระเป๋า, หมอนควบคุมสมาร์ตโฮม
    เมาส์สามารถใช้ปั้นวัตถุดิจิทัลพร้อมแรงสะท้อนจำลองความแข็ง
    จอยสติ๊กสามารถจำลองแรงต้าน แรงกระแทก และแรงดึง
    สายสะพายกระเป๋าสามารถส่งแรงแตะเพื่อแจ้งเตือนการนำทาง
    หมอนสามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ตโฮม เช่น แสงไฟหรือทีวี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี GAI (Gate-All-Around) แบบสัมผัสเริ่มถูกใช้ในอุปกรณ์สวมใส่และ VR
    การตอบสนองแบบสัมผัสช่วยเพิ่ม immersion ในเกมและการออกแบบ 3D
    โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวสามารถปรับแรงต้านได้ตามแรงดัน
    การใช้มอเตอร์ขนาดเล็กช่วยให้ระบบมีความละเอียดสูงและตอบสนองเร็ว
    เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในอุปกรณ์ฟื้นฟูสมรรถภาพหรือการแพทย์

    https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/new-hydrohaptic-technology-could-have-you-squeezing-pinching-and-twisting-a-pliable-mouse-or-joystick
    🖱️ “HydroHaptics: เทคโนโลยีสัมผัสใหม่จากมหาวิทยาลัย Bath ที่จะเปลี่ยนเมาส์และจอยสติ๊กให้ ‘บีบ-บิด-บังคับ’ ได้เหมือนของจริง” ทีมนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Bath ร่วมกับมหาวิทยาลัย Bristol และ Eindhoven ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า “HydroHaptics” ซึ่งเป็นระบบอินพุตแบบสัมผัสที่สามารถตอบสนองแบบสองทาง (bi-directional) ผ่านพื้นผิวซิลิโคนที่ยืดหยุ่นและบิดงอได้ HydroHaptics ใช้โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวและมอเตอร์ขนาดเล็กภายใน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “บีบ บิด แตะ หรือบังคับ” ได้เหมือนกับวัตถุจริง และในขณะเดียวกันก็สามารถรับแรงสะท้อนกลับ (haptic feedback) จากระบบได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่สูญเสียความนุ่มหรือความยืดหยุ่นของพื้นผิว เทคโนโลยีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงานประชุม ACM Symposium on User Interface Software and Technology และได้รับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการ โดยมีการสาธิตการใช้งานใน 4 รูปแบบ ได้แก่ เมาส์, จอยสติ๊ก, สายสะพายกระเป๋า, และหมอนควบคุมสมาร์ตโฮม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ HydroHaptics เป็นเทคโนโลยีอินพุตแบบสัมผัสที่ตอบสนองสองทาง ➡️ ใช้โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวและมอเตอร์ขนาดเล็ก ➡️ ผู้ใช้สามารถบีบ บิด แตะ หรือกดเพื่อควบคุมอุปกรณ์ ➡️ ระบบสามารถส่งแรงสะท้อนกลับผ่านพื้นผิวที่ยืดหยุ่นได้ ➡️ ได้รับรางวัลชมเชยจากงาน ACM UIST ➡️ มีการสาธิตใน 4 รูปแบบ: เมาส์, จอยสติ๊ก, สายสะพายกระเป๋า, หมอนควบคุมสมาร์ตโฮม ➡️ เมาส์สามารถใช้ปั้นวัตถุดิจิทัลพร้อมแรงสะท้อนจำลองความแข็ง ➡️ จอยสติ๊กสามารถจำลองแรงต้าน แรงกระแทก และแรงดึง ➡️ สายสะพายกระเป๋าสามารถส่งแรงแตะเพื่อแจ้งเตือนการนำทาง ➡️ หมอนสามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ตโฮม เช่น แสงไฟหรือทีวี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี GAI (Gate-All-Around) แบบสัมผัสเริ่มถูกใช้ในอุปกรณ์สวมใส่และ VR ➡️ การตอบสนองแบบสัมผัสช่วยเพิ่ม immersion ในเกมและการออกแบบ 3D ➡️ โดมซิลิโคนที่บรรจุของเหลวสามารถปรับแรงต้านได้ตามแรงดัน ➡️ การใช้มอเตอร์ขนาดเล็กช่วยให้ระบบมีความละเอียดสูงและตอบสนองเร็ว ➡️ เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในอุปกรณ์ฟื้นฟูสมรรถภาพหรือการแพทย์ https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/new-hydrohaptic-technology-could-have-you-squeezing-pinching-and-twisting-a-pliable-mouse-or-joystick
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อแอปหาคู่ไม่ตอบโจทย์ — หญิงอเมริกันวัย 42 ใช้บิลบอร์ดหาสามี กลายเป็นไวรัลพร้อมกระแสเกลียดชัง”

    Lisa Catalano หญิงวัย 42 ปีจากซานมาเทโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจหันหลังให้กับแอปหาคู่ที่ทำให้เธอรู้สึกหมดหวัง และเลือกใช้วิธีสุดแหวกแนวในการหาคู่ชีวิต — เธอขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดตลอดเส้นทาง Highway 101 ระหว่างซานตาคลาราและซานฟรานซิสโก พร้อมข้อความว่าเธอกำลังมองหาสามี

    เธอสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวชื่อ MarryLisa.com เพื่อให้ผู้สนใจส่งข้อความเข้ามา และภายในเวลาไม่นานก็ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ทั้งคำชม คำให้กำลังใจ และคำดูถูกอย่างรุนแรง รวมถึงการคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว

    แม้จะเผชิญกับกระแสลบ แต่เธอกลับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้หญิงจำนวนมากที่เข้าใจความรู้สึกของการถูกลดคุณค่าในโลกของแอปหาคู่ และชื่นชมความกล้าหาญของเธอในการเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา

    วิธีการหาคู่ของ Lisa Catalano
    ใช้บิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดบน Highway 101 เพื่อประกาศหาสามี
    สร้างเว็บไซต์ MarryLisa.com เพื่อรับข้อความจากผู้สนใจ
    ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก

    ความตั้งใจและแรงบันดาลใจ
    เบื่อหน่ายกับแอปหาคู่ที่ทำให้รู้สึกหมดคุณค่า
    ต้องการหาคู่ชีวิตอย่างจริงจังหลังจากสูญเสียคู่หมั้นเมื่อปลายปี 2023
    หวังสร้างครอบครัวภายใน 2-3 ปี

    กระแสตอบรับจากสังคม
    ได้รับคำชมจากผู้หญิงหลายคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ
    สื่อหลายสำนักให้ความสนใจ เช่น People Magazine, New York Post, ABC News
    เว็บไซต์ MarryLisa.com มียอดเข้าชมเกือบ 1 ล้านครั้งใน 9 วัน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ถูกคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว
    ข้อความบางส่วนมีเนื้อหามีความรุนแรงและเหยียดเพศ
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เช่น น้ำหนัก, ศาสนา, ความชอบ อาจนำไปสู่การถูกวิจารณ์
    การใช้วิธีสาธารณะในการหาคู่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/tired-of-swiping-this-us-woman-turned-to-billboards-to-find-a-husband-then-came-the-hate
    💘 “เมื่อแอปหาคู่ไม่ตอบโจทย์ — หญิงอเมริกันวัย 42 ใช้บิลบอร์ดหาสามี กลายเป็นไวรัลพร้อมกระแสเกลียดชัง” Lisa Catalano หญิงวัย 42 ปีจากซานมาเทโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจหันหลังให้กับแอปหาคู่ที่ทำให้เธอรู้สึกหมดหวัง และเลือกใช้วิธีสุดแหวกแนวในการหาคู่ชีวิต — เธอขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดตลอดเส้นทาง Highway 101 ระหว่างซานตาคลาราและซานฟรานซิสโก พร้อมข้อความว่าเธอกำลังมองหาสามี เธอสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวชื่อ MarryLisa.com เพื่อให้ผู้สนใจส่งข้อความเข้ามา และภายในเวลาไม่นานก็ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ทั้งคำชม คำให้กำลังใจ และคำดูถูกอย่างรุนแรง รวมถึงการคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว แม้จะเผชิญกับกระแสลบ แต่เธอกลับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้หญิงจำนวนมากที่เข้าใจความรู้สึกของการถูกลดคุณค่าในโลกของแอปหาคู่ และชื่นชมความกล้าหาญของเธอในการเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา ✅ วิธีการหาคู่ของ Lisa Catalano ➡️ ใช้บิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดบน Highway 101 เพื่อประกาศหาสามี ➡️ สร้างเว็บไซต์ MarryLisa.com เพื่อรับข้อความจากผู้สนใจ ➡️ ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ✅ ความตั้งใจและแรงบันดาลใจ ➡️ เบื่อหน่ายกับแอปหาคู่ที่ทำให้รู้สึกหมดคุณค่า ➡️ ต้องการหาคู่ชีวิตอย่างจริงจังหลังจากสูญเสียคู่หมั้นเมื่อปลายปี 2023 ➡️ หวังสร้างครอบครัวภายใน 2-3 ปี ✅ กระแสตอบรับจากสังคม ➡️ ได้รับคำชมจากผู้หญิงหลายคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ ➡️ สื่อหลายสำนักให้ความสนใจ เช่น People Magazine, New York Post, ABC News ➡️ เว็บไซต์ MarryLisa.com มียอดเข้าชมเกือบ 1 ล้านครั้งใน 9 วัน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ถูกคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว ⛔ ข้อความบางส่วนมีเนื้อหามีความรุนแรงและเหยียดเพศ ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เช่น น้ำหนัก, ศาสนา, ความชอบ อาจนำไปสู่การถูกวิจารณ์ ⛔ การใช้วิธีสาธารณะในการหาคู่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/tired-of-swiping-this-us-woman-turned-to-billboards-to-find-a-husband-then-came-the-hate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tired of swiping, this US woman turned to billboards to find a husband. Then came the hate
    Many of the more than 2,200 "potential suitors" around the world who've reached out to her are online bullies more interested in ridiculing her – or worse.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์

    ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี

    เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ

    แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย

    การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม
    ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน
    เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002
    เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี
    ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข
    ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก
    ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ
    เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง
    ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย
    ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต
    สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย
    ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด
    ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง
    มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้
    หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย

    คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต
    การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ
    การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล
    การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว
    มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์

    หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ.

    https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน ➡️ เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 ➡️ เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี ➡️ ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข ➡️ ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก ➡️ ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ ➡️ เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง ➡️ ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย ➡️ ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต ➡️ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย ➡️ ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด ➡️ ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง ➡️ มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้ ➡️ หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต ⛔ การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ ⛔ การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล ⛔ การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว ⛔ มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ. https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    WWW.BLUEWIN.CH
    Nobel Prize winner opts for suicide in Switzerland
    At the age of 90, Nobel Prize winner Daniel Kahneman has decided to die by his own hand in Switzerland. He spent his last days in Paris - conscious, fulfilled and quiet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: เมื่อระบบปิดกลายเป็นกรงขังความคิดสร้างสรรค์ – 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยนมาใช้โอเพ่นซอร์ส

    คุณเคยรู้สึกว่าซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อยู่กำลังควบคุมวิธีทำงานของคุณมากกว่าที่คุณควบคุมมันไหม? บทความนี้ชี้ให้เห็นถึง 5 สัญญาณที่บอกว่าระบบปิด (Proprietary Workflow) กำลังบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และเสนอทางออกด้วย Free and Open Source Software (FOSS) ที่ให้คุณกลับมาควบคุมงานของตัวเองได้อีกครั้ง

    ตั้งแต่การถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ไปจนถึงการไม่สามารถปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของตัวเอง ระบบปิดเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกจำกัดเสรีภาพในการสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนที่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเดียวในการเปิดต้นฉบับ หรือศิลปินที่ต้อง “flatten” งานศิลป์เพื่อส่งออกไฟล์

    FOSS เสนอทางเลือกที่เปิดกว้างกว่า เช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender และ Emacs ที่ไม่เพียงแต่ฟรี แต่ยังให้คุณปรับแต่งเครื่องมือได้ตามใจ แชร์ไฟล์ได้ง่าย และไม่ต้องกลัวว่าฟีเจอร์ที่คุณรักจะหายไปหลังอัปเดต

    นอกจากนี้ยังมีชุมชนผู้ใช้ที่พร้อมช่วยเหลือและพัฒนาเครื่องมือให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    คุณถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน
    เสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึงไฟล์เมื่อหมดอายุ
    การเปลี่ยนแปลงราคาและฟีเจอร์โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ไฟล์ของคุณถูกขังในรูปแบบเฉพาะ
    ไม่สามารถเปิดในโปรแกรมอื่นได้
    การส่งออกทำให้สูญเสียเลเยอร์หรือความสามารถในการแก้ไข

    คุณไม่สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มฟีเจอร์ให้เครื่องมือ
    ไม่มีระบบปลั๊กอินหรือสคริปต์
    ต้องทำงานซ้ำ ๆ โดยไม่มีทางลัด

    การทำงานร่วมกับผู้อื่นถูกจำกัด
    ต้องใช้โปรแกรมเดียวกันเพื่อเปิดไฟล์
    การส่งออกไฟล์ทำให้คุณภาพลดลง

    ฟีเจอร์ที่คุณใช้อาจหายไปเมื่อมีการอัปเดต
    ไม่มีสิทธิ์ควบคุมการเปลี่ยนแปลง
    ต้องปรับตัวกับระบบใหม่โดยไม่เต็มใจ

    ทางออกด้วย FOSS
    โปรแกรมเช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender, Emacs
    รองรับไฟล์เปิด (ODT, SVG, PNG, EXR)
    มีชุมชนช่วยเหลือและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ระบบปิด
    เสี่ยงต่อการสูญเสียไฟล์หรือการเข้าถึงเมื่อเลิกจ่าย
    ไม่สามารถควบคุมหรือปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับงาน
    การทำงานร่วมกับผู้อื่นอาจติดขัดจากข้อจำกัดของไฟล์

    https://news.itsfoss.com/proprietary-workflow-stifling-creativity/
    📰 หัวข้อข่าว: เมื่อระบบปิดกลายเป็นกรงขังความคิดสร้างสรรค์ – 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยนมาใช้โอเพ่นซอร์ส คุณเคยรู้สึกว่าซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อยู่กำลังควบคุมวิธีทำงานของคุณมากกว่าที่คุณควบคุมมันไหม? บทความนี้ชี้ให้เห็นถึง 5 สัญญาณที่บอกว่าระบบปิด (Proprietary Workflow) กำลังบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และเสนอทางออกด้วย Free and Open Source Software (FOSS) ที่ให้คุณกลับมาควบคุมงานของตัวเองได้อีกครั้ง ตั้งแต่การถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ไปจนถึงการไม่สามารถปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของตัวเอง ระบบปิดเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกจำกัดเสรีภาพในการสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนที่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเดียวในการเปิดต้นฉบับ หรือศิลปินที่ต้อง “flatten” งานศิลป์เพื่อส่งออกไฟล์ FOSS เสนอทางเลือกที่เปิดกว้างกว่า เช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender และ Emacs ที่ไม่เพียงแต่ฟรี แต่ยังให้คุณปรับแต่งเครื่องมือได้ตามใจ แชร์ไฟล์ได้ง่าย และไม่ต้องกลัวว่าฟีเจอร์ที่คุณรักจะหายไปหลังอัปเดต นอกจากนี้ยังมีชุมชนผู้ใช้ที่พร้อมช่วยเหลือและพัฒนาเครื่องมือให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ คุณถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ➡️ เสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึงไฟล์เมื่อหมดอายุ ➡️ การเปลี่ยนแปลงราคาและฟีเจอร์โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ ไฟล์ของคุณถูกขังในรูปแบบเฉพาะ ➡️ ไม่สามารถเปิดในโปรแกรมอื่นได้ ➡️ การส่งออกทำให้สูญเสียเลเยอร์หรือความสามารถในการแก้ไข ✅ คุณไม่สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มฟีเจอร์ให้เครื่องมือ ➡️ ไม่มีระบบปลั๊กอินหรือสคริปต์ ➡️ ต้องทำงานซ้ำ ๆ โดยไม่มีทางลัด ✅ การทำงานร่วมกับผู้อื่นถูกจำกัด ➡️ ต้องใช้โปรแกรมเดียวกันเพื่อเปิดไฟล์ ➡️ การส่งออกไฟล์ทำให้คุณภาพลดลง ✅ ฟีเจอร์ที่คุณใช้อาจหายไปเมื่อมีการอัปเดต ➡️ ไม่มีสิทธิ์ควบคุมการเปลี่ยนแปลง ➡️ ต้องปรับตัวกับระบบใหม่โดยไม่เต็มใจ ✅ ทางออกด้วย FOSS ➡️ โปรแกรมเช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender, Emacs ➡️ รองรับไฟล์เปิด (ODT, SVG, PNG, EXR) ➡️ มีชุมชนช่วยเหลือและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ระบบปิด ⛔ เสี่ยงต่อการสูญเสียไฟล์หรือการเข้าถึงเมื่อเลิกจ่าย ⛔ ไม่สามารถควบคุมหรือปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับงาน ⛔ การทำงานร่วมกับผู้อื่นอาจติดขัดจากข้อจำกัดของไฟล์ https://news.itsfoss.com/proprietary-workflow-stifling-creativity/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    5 Signs Your Proprietary Workflow Is Stifling Your Creativity (And What You Can Do About It)
    If these signs feel familiar, your creativity may be stifled by proprietary constraints.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts