• เมื่อไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ ยังมีหลายวิธีในการติดต่อสื่อสารที่มนุษย์ใช้กันมาหลายศตวรรษ! มาดูตัวเลือกที่น่าสนใจกัน:

    ### 1. **การสื่อสารแบบเห็นหน้า (Face-to-Face)**
    - **การพูดคุยโดยตรง**: พบปะกันสดๆ ในระยะใกล้
    - **การประชุมกลุ่ม**: จัดวงสนทนาในสถานที่เดียวกัน
    - **ภาษาใบ้และสัญญาณมือ**: ใช้ร่างกายสื่อสาร (เช่น ภาษามือสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน)

    ### 2. **ระบบไปรษณีย์ดั้งเดิม**
    - **จดหมาย**: เขียนสารลงกระดาษ ส่งผ่านตู้ไปรษณีย์
    - **โปสการ์ด**: ส่งข้อความสั้นๆ พร้อมภาพ
    - **บริการขนส่งเอกสาร**: เช่น นกพิราบสื่อสาร (ยังใช้ในบางพื้นที่!) หรือบริการส่งเอกสารเร่งด่วน

    ### 3. **ระบบโทรคมนาคมพื้นฐาน**
    - **โทรศัพท์บ้าน**: ใช้สายทองแดงสื่อสาร
    - **โทรเลข**: ส่งข้อความสั้นด้วยรหัสมอร์ส (ยังใช้ในบางภาคส่วน)
    - **เพจเจอร์ (เครื่องเรียก)**: ส่งเลขโทรกลับหรือข้อความสั้น

    ### 4. **คลื่นวิทยุ**
    - **วิทยุสมัครเล่น (แฮมเรดิโอ)**: สำหรับผู้ได้รับอนุญาต
    - **วิทยุสื่อสาร (Walkie-Talkie)**: ใช้งานในระยะ 3-5 กม.
    - **วิทยุกระจายเสียง**: ส่งข่าวสารสู่มวลชน (FM/AM)
    - **วิทยุเรือ/เครื่องบิน**: สำหรับการเดินทาง

    ### 5. **วิธีการฉุกเฉิน**
    - **สัญญาณควัน/ไฟ**: ใช้ในพื้นที่ห่างไกล
    - **นกหวีดฉุกเฉิน**: ส่งสัญญาณ SOS (· · · — — — · · ·)
    - **กระจกสะท้อนแสง**: ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

    ### 6. **เครือข่ายชุมชน**
    - **ป้ายประกาศ**: ติดข้อความในสถานที่สาธารณะ
    - **หอกระจายข่าว**: ใช้ในหมู่บ้าน
    - **เครือข่ายมนุษย์**: ให้เพื่อน/เพื่อนบ้านส่งสารต่อๆ กัน

    ### 7. **สื่อบันทึกข้อมูล**
    - **แผ่นดิสก์/USB**: คัดลอกไฟล์ส่งต่อกันทางกายภาพ
    - **หนังสือ/เอกสาร**: ใช้ห้องสมุดหรือส่งต่อตำรา

    ### เทคโนโลยีที่น่าสนใจโดยไม่ใช้อินเทอร์เน็ต
    - **Mesh Network**: เชื่อมต่ออุปกรณ์แบบ peer-to-peer
    - **LoRaWAN**: ส่งข้อมูลระยะไกลด้วยพลังงานต่ำ
    - **บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียม** (เช่น ผ่านอุปกรณ์ InReach)

    > **ตัวอย่างในวิกฤต**: หลังพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์ (2013) เครือข่ายวิทยุสมัครเล่นกลายเป็นระบบสื่อสารหลักที่ช่วยชีวิตผู้คน!

    แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มนุษย์เรายังคงสร้างช่องทางสื่อสารได้เสมอ โดยเฉพาะการ **ออกแบบระบบสำรอง** เช่น วิทยุฉุกเฉิน หรือการฝึกใช้รหัสมอร์ส ก็เป็นทักษะที่มีค่าควรเรียนรู้ไว้สำหรับสถานการณ์ไม่คาดฝันครับ 🚨
    เมื่อไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ ยังมีหลายวิธีในการติดต่อสื่อสารที่มนุษย์ใช้กันมาหลายศตวรรษ! มาดูตัวเลือกที่น่าสนใจกัน: ### 1. **การสื่อสารแบบเห็นหน้า (Face-to-Face)** - **การพูดคุยโดยตรง**: พบปะกันสดๆ ในระยะใกล้ - **การประชุมกลุ่ม**: จัดวงสนทนาในสถานที่เดียวกัน - **ภาษาใบ้และสัญญาณมือ**: ใช้ร่างกายสื่อสาร (เช่น ภาษามือสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน) ### 2. **ระบบไปรษณีย์ดั้งเดิม** - **จดหมาย**: เขียนสารลงกระดาษ ส่งผ่านตู้ไปรษณีย์ - **โปสการ์ด**: ส่งข้อความสั้นๆ พร้อมภาพ - **บริการขนส่งเอกสาร**: เช่น นกพิราบสื่อสาร (ยังใช้ในบางพื้นที่!) หรือบริการส่งเอกสารเร่งด่วน ### 3. **ระบบโทรคมนาคมพื้นฐาน** - **โทรศัพท์บ้าน**: ใช้สายทองแดงสื่อสาร - **โทรเลข**: ส่งข้อความสั้นด้วยรหัสมอร์ส (ยังใช้ในบางภาคส่วน) - **เพจเจอร์ (เครื่องเรียก)**: ส่งเลขโทรกลับหรือข้อความสั้น ### 4. **คลื่นวิทยุ** - **วิทยุสมัครเล่น (แฮมเรดิโอ)**: สำหรับผู้ได้รับอนุญาต - **วิทยุสื่อสาร (Walkie-Talkie)**: ใช้งานในระยะ 3-5 กม. - **วิทยุกระจายเสียง**: ส่งข่าวสารสู่มวลชน (FM/AM) - **วิทยุเรือ/เครื่องบิน**: สำหรับการเดินทาง ### 5. **วิธีการฉุกเฉิน** - **สัญญาณควัน/ไฟ**: ใช้ในพื้นที่ห่างไกล - **นกหวีดฉุกเฉิน**: ส่งสัญญาณ SOS (· · · — — — · · ·) - **กระจกสะท้อนแสง**: ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ### 6. **เครือข่ายชุมชน** - **ป้ายประกาศ**: ติดข้อความในสถานที่สาธารณะ - **หอกระจายข่าว**: ใช้ในหมู่บ้าน - **เครือข่ายมนุษย์**: ให้เพื่อน/เพื่อนบ้านส่งสารต่อๆ กัน ### 7. **สื่อบันทึกข้อมูล** - **แผ่นดิสก์/USB**: คัดลอกไฟล์ส่งต่อกันทางกายภาพ - **หนังสือ/เอกสาร**: ใช้ห้องสมุดหรือส่งต่อตำรา ### เทคโนโลยีที่น่าสนใจโดยไม่ใช้อินเทอร์เน็ต - **Mesh Network**: เชื่อมต่ออุปกรณ์แบบ peer-to-peer - **LoRaWAN**: ส่งข้อมูลระยะไกลด้วยพลังงานต่ำ - **บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียม** (เช่น ผ่านอุปกรณ์ InReach) > **ตัวอย่างในวิกฤต**: หลังพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์ (2013) เครือข่ายวิทยุสมัครเล่นกลายเป็นระบบสื่อสารหลักที่ช่วยชีวิตผู้คน! แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มนุษย์เรายังคงสร้างช่องทางสื่อสารได้เสมอ โดยเฉพาะการ **ออกแบบระบบสำรอง** เช่น วิทยุฉุกเฉิน หรือการฝึกใช้รหัสมอร์ส ก็เป็นทักษะที่มีค่าควรเรียนรู้ไว้สำหรับสถานการณ์ไม่คาดฝันครับ 🚨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิคมลำตะคองแจ้ง ตร.รันเวย์ทับทางชาวบ้าน กรมพัฒนาสังคมไม่ได้อนุญาต
    .
    ข่าวแจ้งว่า นายเกียรติศักดิ์ ทรงศรี มาสถานีตำรวจภูธรปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 เวลาประมาณ 12:24 น. น.ส.กาญจนา ชื่นทองอร่าม ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ได้มอบอำนาจให้ตนผู้แจ้ง ตำแหน่งนายช่างสำรวจชำนาญงาน มาลงบันทึกประจำวัน กรณีการสร้างสนามบินทับ ถนนนิคม บริเวณพื้นที่หมู่ที่ 12 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยยังไม่ได้รับอนุญาต จากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ตามมาตรา 15 จำนวนเนื้อที่ 0-2-94 ตารางวา จึงมาลงบันทึกไว้ พ.ต.ท. ชำนาญ ก่อเกิด สว.(สอบสวน)สภ.ปากช่อง ภ.จว.นครราชสีมา ได้รับแจ้งความไว้แล้วจึงให้ผู้แจ้งลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052687

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    นิคมลำตะคองแจ้ง ตร.รันเวย์ทับทางชาวบ้าน กรมพัฒนาสังคมไม่ได้อนุญาต . ข่าวแจ้งว่า นายเกียรติศักดิ์ ทรงศรี มาสถานีตำรวจภูธรปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 เวลาประมาณ 12:24 น. น.ส.กาญจนา ชื่นทองอร่าม ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ได้มอบอำนาจให้ตนผู้แจ้ง ตำแหน่งนายช่างสำรวจชำนาญงาน มาลงบันทึกประจำวัน กรณีการสร้างสนามบินทับ ถนนนิคม บริเวณพื้นที่หมู่ที่ 12 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยยังไม่ได้รับอนุญาต จากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ตามมาตรา 15 จำนวนเนื้อที่ 0-2-94 ตารางวา จึงมาลงบันทึกไว้ พ.ต.ท. ชำนาญ ก่อเกิด สว.(สอบสวน)สภ.ปากช่อง ภ.จว.นครราชสีมา ได้รับแจ้งความไว้แล้วจึงให้ผู้แจ้งลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052687 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” วอนสื่อออกข่าวเช็กให้ชัวร์ หลังกัมพูชาออกแถลงการณ์ไม่คุยปมขัดแย้งชายแดนบนเวที JBC ชี้น่าจะเป็นเฉพาะ 4 ปราสาท ส่วนช่องบกเรามีจุดยืนนำเข้าพูดคุยในที่ประชุม 14 มิ.ย.นี้ เมินเขมรร้องศาลโลก ชี้ไม่มีอำนาจบังคับไทย เผยประชุม สมช.พรุ่งนี้ ถกยกระดับปกป้องอธิปไตยหรือไม่อย่างไร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000052642

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    “ภูมิธรรม” วอนสื่อออกข่าวเช็กให้ชัวร์ หลังกัมพูชาออกแถลงการณ์ไม่คุยปมขัดแย้งชายแดนบนเวที JBC ชี้น่าจะเป็นเฉพาะ 4 ปราสาท ส่วนช่องบกเรามีจุดยืนนำเข้าพูดคุยในที่ประชุม 14 มิ.ย.นี้ เมินเขมรร้องศาลโลก ชี้ไม่มีอำนาจบังคับไทย เผยประชุม สมช.พรุ่งนี้ ถกยกระดับปกป้องอธิปไตยหรือไม่อย่างไร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000052642 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาล้มโต๊ะเจรจา JBC ไทย! ยันนำ 4 พื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก (05/06/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #JBC #ศาลโลก #พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา
    กัมพูชาล้มโต๊ะเจรจา JBC ไทย! ยันนำ 4 พื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก (05/06/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #JBC #ศาลโลก #พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • 💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌐 DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ
    รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

    DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก

    นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์
    - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP
    - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์
    - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
    - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง
    - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน

    แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    🌐 DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    WWW.TECHRADAR.COM
    "DNS resolvers aren’t a censorship tool" – experts warn against the risks of growing internet blocking
    A new report seeks to shed light on DNS blocking and other internet restrictions across the world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔒 Google ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome
    Google ได้ออก แพตช์ความปลอดภัย สำหรับ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ซึ่งกำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์ โดยช่องโหว่นี้เป็น Out-of-Bounds Read และ Write Vulnerability ใน V8 ซึ่งเป็น JavaScript Engine ที่ใช้ใน Chrome และ Node.js

    ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5419 และได้รับ คะแนนความรุนแรง 8.8 (สูง) โดย แฮกเกอร์สามารถสร้างเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย เพื่อ รันโค้ดบนระบบของเหยื่อ ซึ่งอาจนำไปสู่ การเข้าควบคุมระบบ, ขโมยข้อมูล หรือแพร่กระจายมัลแวร์เพิ่มเติม

    Google ระบุว่า ช่องโหว่นี้กำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจนกว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชันล่าสุด

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Google ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome
    - ช่องโหว่ CVE-2025-5419 เป็น Out-of-Bounds Read และ Write Vulnerability ใน V8
    - ได้รับคะแนนความรุนแรง 8.8 (สูง)
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อรันโค้ดบนระบบของเหยื่อ
    - แพตช์ถูกปล่อยในเวอร์ชัน 137.0.7151.68 สำหรับ Windows, macOS และ Linux

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ช่องโหว่นี้กำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์
    - Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจนกว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะอัปเดต Chrome
    - ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี
    - หากไม่ได้อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล

    Chrome มักจะอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใหม่ แต่ผู้ใช้สามารถ ตรวจสอบและอัปเดตด้วยตนเอง โดยไปที่ เมนู Chrome > Help > About Google Chrome แล้วคลิก “Relaunch” เพื่อใช้เวอร์ชันล่าสุด

    https://www.techradar.com/pro/security/google-quietly-released-a-security-fix-for-a-worrying-chrome-zero-day-flaw-so-patch-now
    🔒 Google ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome Google ได้ออก แพตช์ความปลอดภัย สำหรับ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ซึ่งกำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์ โดยช่องโหว่นี้เป็น Out-of-Bounds Read และ Write Vulnerability ใน V8 ซึ่งเป็น JavaScript Engine ที่ใช้ใน Chrome และ Node.js ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5419 และได้รับ คะแนนความรุนแรง 8.8 (สูง) โดย แฮกเกอร์สามารถสร้างเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย เพื่อ รันโค้ดบนระบบของเหยื่อ ซึ่งอาจนำไปสู่ การเข้าควบคุมระบบ, ขโมยข้อมูล หรือแพร่กระจายมัลแวร์เพิ่มเติม Google ระบุว่า ช่องโหว่นี้กำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจนกว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชันล่าสุด ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome - ช่องโหว่ CVE-2025-5419 เป็น Out-of-Bounds Read และ Write Vulnerability ใน V8 - ได้รับคะแนนความรุนแรง 8.8 (สูง) - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อรันโค้ดบนระบบของเหยื่อ - แพตช์ถูกปล่อยในเวอร์ชัน 137.0.7151.68 สำหรับ Windows, macOS และ Linux ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ช่องโหว่นี้กำลังถูกใช้โจมตีในโลกออนไลน์ - Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจนกว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะอัปเดต Chrome - ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี - หากไม่ได้อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล Chrome มักจะอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใหม่ แต่ผู้ใช้สามารถ ตรวจสอบและอัปเดตด้วยตนเอง โดยไปที่ เมนู Chrome > Help > About Google Chrome แล้วคลิก “Relaunch” เพื่อใช้เวอร์ชันล่าสุด https://www.techradar.com/pro/security/google-quietly-released-a-security-fix-for-a-worrying-chrome-zero-day-flaw-so-patch-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU

    Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง

    นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง
    - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท
    - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่
    - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่ - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm
    EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588

    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ
    - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์
    - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย
    - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน

    SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร

    https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์ - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    EdgeCortix SAKURA-II Enables GenAI on Raspberry Pi 5 and Arm Systems
    EdgeCortix Inc., a leading fabless semiconductor company specializing in energy-efficient Artificial Intelligence (AI) processing at the edge, today announced that its industry leading AI accelerator, SAKURA-II M.2 Module is now available with Arm-based platforms, including Raspberry Pi 5 and AETINA...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm

    จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก

    GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์
    - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก
    - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC)
    - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50%
    - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่

    การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC) - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50% - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่ การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง
    ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT

    SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C

    ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel
    - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz
    - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด
    - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง
    - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว
    - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง

    การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz ✅ ข้อมูลจากข่าว - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง
    MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว

    แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน

    MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz

    นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม.

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด
    - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว
    - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin
    - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz)
    - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส
    - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก
    - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่
    - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว

    RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม. ✅ ข้อมูลจากข่าว - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz) - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่ - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50%

    ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้

    Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ

    นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์
    - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน
    - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE
    - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่
    - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

    แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50% ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้ Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์ - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่ - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Arm says new Zena platform can cut car development time by 50%
    A significant part of the issue lies in the long and tedious automotive development process, particularly in how technology is adopted into modern vehicle platforms. Traditionally, automakers...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡ คอมพิวเตอร์ไร้สายเต็มรูปแบบ: เทคโนโลยีแห่งอนาคต
    ช่อง YouTube DIY Perks ได้สาธิต ระบบส่งพลังงานไร้สาย ที่สามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่าน "โดมพลังงานที่มองไม่เห็น" โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย

    ระบบนี้ใช้หลักการเดียวกับ แท่นชาร์จไร้สายของสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้าง สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนขั้วหลายพันครั้งต่อวินาที เพื่อส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียง

    อย่างไรก็ตาม DIY Perks ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวไปอีกขั้น โดยทำให้ สนามแม่เหล็กสามารถเปลี่ยนขั้วได้เร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถ ส่งพลังงานได้ไกลขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ระบบนี้ใช้ ลวดเส้นเดียวเป็นขอบเขตของพื้นที่ส่งพลังงาน และสามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งฟุต

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - DIY Perks สาธิตระบบส่งพลังงานไร้สายที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านโดมพลังงานที่มองไม่เห็น
    - ใช้หลักการเดียวกับแท่นชาร์จไร้สาย แต่เปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กเร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที
    - สามารถส่งพลังงานได้ไกลขึ้น โดยมีขอบเขตที่กำหนดด้วยลวดเส้นเดียว
    - ระบบนี้สามารถฝังเข้าไปในโต๊ะไม้ได้ เนื่องจากไม้ไม่รบกวนสนามแม่เหล็ก
    - DIY Perks ได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในโต๊ะ พร้อมระบบจ่ายไฟไร้สายเต็มรูปแบบ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - อุปกรณ์ที่ต้องรับพลังงานไร้สายต้องมีวงแหวนรับพลังงานที่ติดตั้งไว้
    - แม้ว่าระบบจะทำงานได้ดี แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
    - ต้องติดตามว่าการส่งพลังงานไร้สายจะมีผลกระทบต่อสุขภาพหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ หรือไม่
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะนำไปใช้จริงหรือไม่

    หากเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ซึ่งจะช่วยให้ โต๊ะทำงานและพื้นที่ใช้สอยมีความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108190-truly-wireless-desktop-pc-build-blow-mind.html
    ⚡ คอมพิวเตอร์ไร้สายเต็มรูปแบบ: เทคโนโลยีแห่งอนาคต ช่อง YouTube DIY Perks ได้สาธิต ระบบส่งพลังงานไร้สาย ที่สามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่าน "โดมพลังงานที่มองไม่เห็น" โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ระบบนี้ใช้หลักการเดียวกับ แท่นชาร์จไร้สายของสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้าง สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนขั้วหลายพันครั้งต่อวินาที เพื่อส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม DIY Perks ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวไปอีกขั้น โดยทำให้ สนามแม่เหล็กสามารถเปลี่ยนขั้วได้เร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถ ส่งพลังงานได้ไกลขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบนี้ใช้ ลวดเส้นเดียวเป็นขอบเขตของพื้นที่ส่งพลังงาน และสามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งฟุต ✅ ข้อมูลจากข่าว - DIY Perks สาธิตระบบส่งพลังงานไร้สายที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านโดมพลังงานที่มองไม่เห็น - ใช้หลักการเดียวกับแท่นชาร์จไร้สาย แต่เปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กเร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที - สามารถส่งพลังงานได้ไกลขึ้น โดยมีขอบเขตที่กำหนดด้วยลวดเส้นเดียว - ระบบนี้สามารถฝังเข้าไปในโต๊ะไม้ได้ เนื่องจากไม้ไม่รบกวนสนามแม่เหล็ก - DIY Perks ได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในโต๊ะ พร้อมระบบจ่ายไฟไร้สายเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - อุปกรณ์ที่ต้องรับพลังงานไร้สายต้องมีวงแหวนรับพลังงานที่ติดตั้งไว้ - แม้ว่าระบบจะทำงานได้ดี แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน - ต้องติดตามว่าการส่งพลังงานไร้สายจะมีผลกระทบต่อสุขภาพหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ หรือไม่ - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะนำไปใช้จริงหรือไม่ หากเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ซึ่งจะช่วยให้ โต๊ะทำงานและพื้นที่ใช้สอยมีความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น https://www.techspot.com/news/108190-truly-wireless-desktop-pc-build-blow-mind.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    This truly wireless desktop PC build will blow your mind
    To grasp the wizardry at play, it helps to have a general understanding of how wireless phone charging mats work. As the presenter explains, such chargers use...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake
    Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ

    Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่

    Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake

    Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954
    - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป
    - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake
    - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง
    - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U
    - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด

    การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด

    https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954 - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel roadmap reveals Nova Lake CPUs, Wildcat Lake, and new 12-core Bartlett Lake SKUs
    The leak originates from an Intel support document about the Time Coordinated Computing (TCC) platform, which outlines how the technology can be used for real-time applications at...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 รีวิว AMD Radeon RX 9060 XT 16GB: พลัง 1440p ในราคาต่ำกว่า $400
    AMD ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT 16GB ซึ่งเป็น GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และ ราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20%

    RX 9060 XT ใช้ สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมี คล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT พร้อมกับ หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps ซึ่งช่วยเพิ่ม แบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s

    แม้ว่าจะมี ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 Ti แต่ RX 9060 XT มี VRAM มากกว่า และ รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้มี ความยืดหยุ่นในการใช้งานระยะยาว

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - RX 9060 XT 16GB มีราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20%
    - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมีคล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT
    - หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps เพิ่มแบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s
    - รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ
    - มี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - RX 9060 XT 8GB มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่น 16GB อย่างมาก
    - Ray tracing ยังไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในบางเกม
    - ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ $350 หรือจะเพิ่มขึ้นหลังเปิดตัว
    - AMD ควรตั้งชื่อรุ่นให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างรุ่น 8GB และ 16GB

    RX 9060 XT 16GB อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการ GPU ราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าและราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ระดับที่แข่งขันได้หรือไม่

    ส่วนลุงนั้นฟันธงว่า
    1) คนที่ใช้ RTX 3060 หรือต่ำกว่าอยู่ แล้วอยากย้ายค่าย นี่คือช่วงเวลาที่ดีครับ
    2) คนที่ใช้ RX 5xxx อยู่ ถ้าอยากจะ Upgrade ควรจะย้ายมารุ่นนี้ครับ
    3) ถ้าคิดว่าจะใช้จอ 1080 ต่อไปยาวๆ หรือไม่เน้นเกม ก็พิจารณารอ รุ่น RX 9060 RAM 8GB ได้ครับ

    #ลุงฟันธง

    https://www.techspot.com/review/2996-amd-radeon-9060-xt/
    🎮 รีวิว AMD Radeon RX 9060 XT 16GB: พลัง 1440p ในราคาต่ำกว่า $400 AMD ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT 16GB ซึ่งเป็น GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และ ราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20% RX 9060 XT ใช้ สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมี คล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT พร้อมกับ หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps ซึ่งช่วยเพิ่ม แบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s แม้ว่าจะมี ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 Ti แต่ RX 9060 XT มี VRAM มากกว่า และ รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้มี ความยืดหยุ่นในการใช้งานระยะยาว ✅ ข้อมูลจากข่าว - RX 9060 XT 16GB มีราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20% - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมีคล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT - หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps เพิ่มแบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s - รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ - มี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - RX 9060 XT 8GB มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่น 16GB อย่างมาก - Ray tracing ยังไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในบางเกม - ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ $350 หรือจะเพิ่มขึ้นหลังเปิดตัว - AMD ควรตั้งชื่อรุ่นให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างรุ่น 8GB และ 16GB RX 9060 XT 16GB อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการ GPU ราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าและราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ระดับที่แข่งขันได้หรือไม่ ส่วนลุงนั้นฟันธงว่า 1) คนที่ใช้ RTX 3060 หรือต่ำกว่าอยู่ แล้วอยากย้ายค่าย นี่คือช่วงเวลาที่ดีครับ 2) คนที่ใช้ RX 5xxx อยู่ ถ้าอยากจะ Upgrade ควรจะย้ายมารุ่นนี้ครับ 3) ถ้าคิดว่าจะใช้จอ 1080 ต่อไปยาวๆ หรือไม่เน้นเกม ก็พิจารณารอ รุ่น RX 9060 RAM 8GB ได้ครับ #ลุงฟันธง https://www.techspot.com/review/2996-amd-radeon-9060-xt/
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Radeon RX 9060 XT 16GB Review
    AMD's Radeon RX 9060 XT comes in two flavors–only one's worth your money. The 16GB model undercuts Nvidia on price, matches performance, and may be the new...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏢 การพักระหว่างวันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    ผลการศึกษาล่าสุดจาก DeskTime พบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่ใช้ รูปแบบการทำงานแบบ 75/33 ซึ่งหมายถึง ทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที

    ในช่วงการทำงานจากที่บ้านระหว่างการระบาดของโควิด-19 พนักงานมีแนวโน้ม ทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 (ทำงาน 112 นาที พัก 26 นาที) ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่พนักงาน ใช้เวลาพักมากขึ้น

    DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจาก ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน และพบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน ซึ่งมากกว่าช่วงที่ทำงานจากที่บ้านที่มีการพักเพียง 3 ครั้ง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใช้รูปแบบการทำงาน 75/33 (ทำงาน 75 นาที พัก 33 นาที)
    - ในช่วงโควิด-19 พนักงานทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26
    - DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน
    - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน
    - การทำงานในออฟฟิศหรือแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีโอกาสพักมากขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การทำงานต่อเนื่องโดยไม่พักอาจลดประสิทธิภาพและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต
    - ซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานอาจไม่สามารถวัดประสิทธิภาพที่แท้จริงได้
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจะส่งผลต่อองค์กรในระยะยาวอย่างไร
    - การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้พนักงานมีเวลาพักน้อยลงและรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น

    การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การพักระหว่างวันมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถปรับรูปแบบการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

    https://www.techspot.com/news/108182-most-productive-workers-rest-almost-two-half-hours.html
    🏢 การพักระหว่างวันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผลการศึกษาล่าสุดจาก DeskTime พบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่ใช้ รูปแบบการทำงานแบบ 75/33 ซึ่งหมายถึง ทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที ในช่วงการทำงานจากที่บ้านระหว่างการระบาดของโควิด-19 พนักงานมีแนวโน้ม ทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 (ทำงาน 112 นาที พัก 26 นาที) ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่พนักงาน ใช้เวลาพักมากขึ้น DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจาก ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน และพบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน ซึ่งมากกว่าช่วงที่ทำงานจากที่บ้านที่มีการพักเพียง 3 ครั้ง ✅ ข้อมูลจากข่าว - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใช้รูปแบบการทำงาน 75/33 (ทำงาน 75 นาที พัก 33 นาที) - ในช่วงโควิด-19 พนักงานทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 - DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน - การทำงานในออฟฟิศหรือแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีโอกาสพักมากขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การทำงานต่อเนื่องโดยไม่พักอาจลดประสิทธิภาพและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต - ซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานอาจไม่สามารถวัดประสิทธิภาพที่แท้จริงได้ - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจะส่งผลต่อองค์กรในระยะยาวอย่างไร - การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้พนักงานมีเวลาพักน้อยลงและรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การพักระหว่างวันมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถปรับรูปแบบการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน https://www.techspot.com/news/108182-most-productive-workers-rest-almost-two-half-hours.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The most productive workers "rest" almost two and a half hours during an 8-hour workday, study claims
    DeskTime, the cloud-based time tracking and productivity management software from the Draugiem Group, carried out the recent productivity study.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💳 Google Wallet ยกเลิกการรองรับ PayPal สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ
    Google ได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ จะไม่สามารถใช้ PayPal เป็นวิธีการชำระเงินได้อีกต่อไป โดยบัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ

    แม้ว่า Google จะไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกการรองรับ PayPal แต่มีการคาดการณ์ว่า PayPal อาจเป็นฝ่ายยุติการสนับสนุน Google Wallet ในสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ โซลูชันการชำระเงินของตนเอง

    PayPal เปิดตัวการรองรับ Google Wallet ครั้งแรกในปี 2017 เมื่อ Wallet ยังใช้ชื่อ Android Pay ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ Android มีความยืดหยุ่นในการชำระเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม PayPal อาจต้องการลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม และผลักดันให้ผู้ใช้หันไปใช้ แอป PayPal โดยตรง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Google Wallet จะหยุดรองรับ PayPal ในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025
    - บัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ
    - Google Wallet ยังคงรองรับบัตรเดบิตที่มีตราสินค้า PayPal ในสหรัฐฯ
    - PayPal จะยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่รองรับใน Google Wallet สำหรับผู้ใช้ในเยอรมนี
    - หลังวันที่ 13 มิถุนายน ผู้ใช้ต้องตรวจสอบธุรกรรม PayPal ผ่านเว็บไซต์หรือแอป PayPal แทน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเพื่อใช้บริการต่อไป
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet
    - PayPal อาจกำลังพัฒนาโซลูชันการชำระเงินของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น
    - ต้องติดตามว่า Google จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการชำระเงินในอนาคตหรือไม่

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องปรับตัวโดยเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นวิธีการชำระเงินหลัก ขณะที่ ธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการรับชำระเงิน

    https://www.techspot.com/news/108166-google-wallet-removes-paypal-payment-option-us-users.html
    💳 Google Wallet ยกเลิกการรองรับ PayPal สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ Google ได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ จะไม่สามารถใช้ PayPal เป็นวิธีการชำระเงินได้อีกต่อไป โดยบัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ แม้ว่า Google จะไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกการรองรับ PayPal แต่มีการคาดการณ์ว่า PayPal อาจเป็นฝ่ายยุติการสนับสนุน Google Wallet ในสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ โซลูชันการชำระเงินของตนเอง PayPal เปิดตัวการรองรับ Google Wallet ครั้งแรกในปี 2017 เมื่อ Wallet ยังใช้ชื่อ Android Pay ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ Android มีความยืดหยุ่นในการชำระเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม PayPal อาจต้องการลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม และผลักดันให้ผู้ใช้หันไปใช้ แอป PayPal โดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google Wallet จะหยุดรองรับ PayPal ในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 - บัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ - Google Wallet ยังคงรองรับบัตรเดบิตที่มีตราสินค้า PayPal ในสหรัฐฯ - PayPal จะยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่รองรับใน Google Wallet สำหรับผู้ใช้ในเยอรมนี - หลังวันที่ 13 มิถุนายน ผู้ใช้ต้องตรวจสอบธุรกรรม PayPal ผ่านเว็บไซต์หรือแอป PayPal แทน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเพื่อใช้บริการต่อไป - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet - PayPal อาจกำลังพัฒนาโซลูชันการชำระเงินของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น - ต้องติดตามว่า Google จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการชำระเงินในอนาคตหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องปรับตัวโดยเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นวิธีการชำระเงินหลัก ขณะที่ ธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการรับชำระเงิน https://www.techspot.com/news/108166-google-wallet-removes-paypal-payment-option-us-users.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google Wallet removes PayPal as a payment option for US users
    The move will likely inconvenience many dedicated Wallet users, but it isn't entirely unexpected. Google started blocking US users from linking their PayPal accounts with Wallet on...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทยโต้กลับ ปม นายกฯ ปะทะนักข่าว ปมชายแดน ชี้ “ตรวจสอบต้องมีข้อเท็จจริง ไม่ใช่อคติ” ด้าน ส.ส.ประชาชน ซัดไร้วุฒิภาวะ
    https://www.thai-tai.tv/news/19187/
    เพื่อไทยโต้กลับ ปม นายกฯ ปะทะนักข่าว ปมชายแดน ชี้ “ตรวจสอบต้องมีข้อเท็จจริง ไม่ใช่อคติ” ด้าน ส.ส.ประชาชน ซัดไร้วุฒิภาวะ https://www.thai-tai.tv/news/19187/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧠 มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้าง ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) โดยสามารถ บันทึกสัญญาณสมองของมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง

    อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองคือ Connexus ซึ่งพัฒนาโดย Paradromics เป็น BCI แบบไร้สายที่สามารถฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร และใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรด ที่บางกว่าขนมนุษย์

    Connexus ทำงานโดย เก็บสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว และส่งข้อมูลไปยัง ตัวรับสัญญาณที่ฝังอยู่ในหน้าอก ก่อนจะ ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอก ซึ่ง AI จะช่วยแปลสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย
    - Connexus เป็น BCI ที่ฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
    - ใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรดเพื่อเก็บสัญญาณจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว
    - ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอกเพื่อแปลเป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด
    - Paradromics เตรียมทดลองทางคลินิกกับผู้เข้าร่วม 10 คนเป็นเวลาหนึ่งปี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Connexus จะมีความแม่นยำสูง แต่ยังต้องผ่านการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม
    - ต้องติดตามว่าการฝังอุปกรณ์จะมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่
    - BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสมอง
    - Paradromics ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนนำไปใช้จริง

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยรักษาภาวะทางจิตเวชหรือความเจ็บปวดเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการทดลองทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด

    https://www.techspot.com/news/108160-university-michigan-achieves-first-human-brain-recording-wireless.html
    🧠 มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้าง ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) โดยสามารถ บันทึกสัญญาณสมองของมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองคือ Connexus ซึ่งพัฒนาโดย Paradromics เป็น BCI แบบไร้สายที่สามารถฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร และใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรด ที่บางกว่าขนมนุษย์ Connexus ทำงานโดย เก็บสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว และส่งข้อมูลไปยัง ตัวรับสัญญาณที่ฝังอยู่ในหน้าอก ก่อนจะ ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอก ซึ่ง AI จะช่วยแปลสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด ✅ ข้อมูลจากข่าว - มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย - Connexus เป็น BCI ที่ฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ - ใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรดเพื่อเก็บสัญญาณจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว - ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอกเพื่อแปลเป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด - Paradromics เตรียมทดลองทางคลินิกกับผู้เข้าร่วม 10 คนเป็นเวลาหนึ่งปี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Connexus จะมีความแม่นยำสูง แต่ยังต้องผ่านการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม - ต้องติดตามว่าการฝังอุปกรณ์จะมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ - BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสมอง - Paradromics ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนนำไปใช้จริง เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยรักษาภาวะทางจิตเวชหรือความเจ็บปวดเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการทดลองทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด https://www.techspot.com/news/108160-university-michigan-achieves-first-human-brain-recording-wireless.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    University of Michigan achieves first human brain recording with wireless implant
    In a significant advance for brain-computer interface (BCI) technology, a University of Michigan research team has achieved the first in-human recording using Paradromics' Connexus device – a...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎓 AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท

    จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น

    นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน
    - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น
    - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน
    - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ
    - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI
    - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา
    - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง
    - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต
    - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    🎓 AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Artificial intelligence is prompting young people to rethink their career plans
    Gone are the days when young graduates waited patiently for the doors to employment to open for them. Today, they are breaking with established norms by embracing artificial intelligence to transform their career choices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚚 Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ

    Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว

    เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน
    - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
    - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด
    - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่
    - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
    - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ

    การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    🚚 Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่ - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's delivery, logistics get an AI boost
    SUNNYVALE, Calif. (Reuters) -Amazon wants customers to know that artificial intelligence is not just for writing college essays.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔄 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Microsoft: LinkedIn CEO รับหน้าที่ดูแล Office และ AI
    Microsoft ได้ประกาศ การปรับโครงสร้างผู้บริหาร โดยให้ Ryan Roslansky ซึ่งเป็น CEO ของ LinkedIn เข้ามาดูแลผลิตภัณฑ์ Office และ Copilot ซึ่งเป็น AI ชั้นนำของบริษัท

    Roslansky จะยังคงเป็น CEO ของ LinkedIn แต่จะได้รับหน้าที่เพิ่มเติมในการดูแล Word, Excel และ Copilot ซึ่งเป็น AI ที่ฝังอยู่ในชุดโปรแกรม Productivity ของ Microsoft

    นอกจากนี้ Roslansky จะรายงานตรงต่อ Rajesh Jha ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Windows และ Teams ขณะที่ Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen ซึ่งเป็นผู้นำทีม Office จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Charles Lamanna ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม Copilot สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม จะย้ายไปรายงานต่อ Jha

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Ryan Roslansky จะดูแล Office และ Copilot นอกเหนือจากการเป็น CEO ของ LinkedIn
    - Roslansky จะรายงานต่อ Rajesh Jha ซึ่งดูแล Windows และ Teams
    - Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน
    - Charles Lamanna ซึ่งดูแล Copilot สำหรับธุรกิจ จะย้ายไปรายงานต่อ Jha
    - Microsoft กำลังปรับโครงสร้างเพื่อรวม AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของ Office และ Copilot ในอนาคต
    - ต้องติดตามว่า Roslansky จะสามารถบริหาร LinkedIn และ Office พร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ของบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและการทำงานภายในของ Microsoft

    การปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Microsoft กำลังให้ความสำคัญกับ AI มากขึ้น และอาจนำไปสู่ การพัฒนา Copilot ให้มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการบริหารงานของ Roslansky และทิศทางของ Office อย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/04/linkedin-ceo-to-take-over-office-more-ai-duties-in-microsoft-executive-shuffle-
    🔄 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Microsoft: LinkedIn CEO รับหน้าที่ดูแล Office และ AI Microsoft ได้ประกาศ การปรับโครงสร้างผู้บริหาร โดยให้ Ryan Roslansky ซึ่งเป็น CEO ของ LinkedIn เข้ามาดูแลผลิตภัณฑ์ Office และ Copilot ซึ่งเป็น AI ชั้นนำของบริษัท Roslansky จะยังคงเป็น CEO ของ LinkedIn แต่จะได้รับหน้าที่เพิ่มเติมในการดูแล Word, Excel และ Copilot ซึ่งเป็น AI ที่ฝังอยู่ในชุดโปรแกรม Productivity ของ Microsoft นอกจากนี้ Roslansky จะรายงานตรงต่อ Rajesh Jha ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Windows และ Teams ขณะที่ Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen ซึ่งเป็นผู้นำทีม Office จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Charles Lamanna ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม Copilot สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม จะย้ายไปรายงานต่อ Jha ✅ ข้อมูลจากข่าว - Ryan Roslansky จะดูแล Office และ Copilot นอกเหนือจากการเป็น CEO ของ LinkedIn - Roslansky จะรายงานต่อ Rajesh Jha ซึ่งดูแล Windows และ Teams - Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน - Charles Lamanna ซึ่งดูแล Copilot สำหรับธุรกิจ จะย้ายไปรายงานต่อ Jha - Microsoft กำลังปรับโครงสร้างเพื่อรวม AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของ Office และ Copilot ในอนาคต - ต้องติดตามว่า Roslansky จะสามารถบริหาร LinkedIn และ Office พร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ของบริษัท - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและการทำงานภายในของ Microsoft การปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Microsoft กำลังให้ความสำคัญกับ AI มากขึ้น และอาจนำไปสู่ การพัฒนา Copilot ให้มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการบริหารงานของ Roslansky และทิศทางของ Office อย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/04/linkedin-ceo-to-take-over-office-more-ai-duties-in-microsoft-executive-shuffle-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    LinkedIn CEO to take over Office, more AI duties in Microsoft executive shuffle
    SAN FRANCISCO (Reuters) -The CEO of LinkedIn will take additional responsibility for Microsoft's Office products, while an executive responsible for one of the company's leading business-to-business artificial intelligence products will start reporting to head of the company's Windows unit, according to a memo from Microsoft CEO Satya Nadella viewed by Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้องเพลงชาติ-ทะเลาะนักข่าว "แพทองธาร" หนักขั้นสุด ไร้วุฒิภาวะชัดเจน
    .
    สถานการณ์การเมืองไทยตึงเครียด หลังเกิดกรณีพิพาทกับกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นบททดสอบใหญ่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีดราม่าร้อนเมื่อเจ้าตัวไม่พอใจคำถามจากผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหา จนเกิดการเผชิญหน้ากันในทำเนียบฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052526

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ร้องเพลงชาติ-ทะเลาะนักข่าว "แพทองธาร" หนักขั้นสุด ไร้วุฒิภาวะชัดเจน . สถานการณ์การเมืองไทยตึงเครียด หลังเกิดกรณีพิพาทกับกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นบททดสอบใหญ่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีดราม่าร้อนเมื่อเจ้าตัวไม่พอใจคำถามจากผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหา จนเกิดการเผชิญหน้ากันในทำเนียบฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052526 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Angry
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📧 Vendor Email Compromise (VEC): ภัยเงียบที่สร้างความเสียหายกว่า $300 ล้าน
    Vendor Email Compromise (VEC) เป็น รูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเลียนแบบอีเมลธุรกิจจริง ทำให้สามารถ หลอกลวงพนักงานให้ตอบกลับหรือส่งข้อมูลสำคัญ โดยไม่ต้องใช้ลิงก์หรือไฟล์แนบ

    รายงานจาก Abnormal AI พบว่า 72% ของพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับอีเมล VEC โดย ตอบกลับหรือส่งต่ออีเมลที่ไม่มีลิงก์หรือไฟล์แนบ ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงข้อมูลสำคัญและดำเนินการฉ้อโกงทางการเงิน

    VEC มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า Business Email Compromise (BEC) ถึง 90% และสร้างความเสียหายทางการเงินรวมกว่า $300 ล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมา

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - VEC ใช้ AI เพื่อเลียนแบบอีเมลธุรกิจจริง ทำให้สามารถหลอกลวงพนักงานได้ง่ายขึ้น
    - 72% ของพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับอีเมล VEC
    - VEC มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า BEC ถึง 90%
    - ความเสียหายทางการเงินจาก VEC รวมกว่า $300 ล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมา
    - ภูมิภาค EMEA (ยุโรป, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา) มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงสุด แต่มีอัตราการรายงานต่ำสุดเพียง 0.27%

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - พนักงานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความเสี่ยงสูงสุด โดยมีอัตราการมีส่วนร่วมถึง 71.3%
    - VEC สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Multi-Factor Authentication (MFA) และตัวกรองอีเมลแบบเดิม
    - 98.5% ของ VEC scams ไม่ได้รับการรายงาน และมักถูกค้นพบหลังจากเกิดความเสียหายทางการเงินแล้ว
    - องค์กรต้องปรับกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย โดยเน้นการตรวจจับพฤติกรรมทางจิตวิทยาแทนการตรวจสอบข้อมูลรับรอง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ องค์กรใช้ AI-powered email analytics เพื่อตรวจจับความผิดปกติในอีเมล รวมถึง เพิ่มมาตรการตรวจสอบผู้ขาย และฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักการโจมตีแบบ social engineering

    https://www.csoonline.com/article/4001733/vendor-email-compromise-the-silent-300m-threat-cisos-cant-ignore.html
    📧 Vendor Email Compromise (VEC): ภัยเงียบที่สร้างความเสียหายกว่า $300 ล้าน Vendor Email Compromise (VEC) เป็น รูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเลียนแบบอีเมลธุรกิจจริง ทำให้สามารถ หลอกลวงพนักงานให้ตอบกลับหรือส่งข้อมูลสำคัญ โดยไม่ต้องใช้ลิงก์หรือไฟล์แนบ รายงานจาก Abnormal AI พบว่า 72% ของพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับอีเมล VEC โดย ตอบกลับหรือส่งต่ออีเมลที่ไม่มีลิงก์หรือไฟล์แนบ ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงข้อมูลสำคัญและดำเนินการฉ้อโกงทางการเงิน VEC มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า Business Email Compromise (BEC) ถึง 90% และสร้างความเสียหายทางการเงินรวมกว่า $300 ล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ✅ ข้อมูลจากข่าว - VEC ใช้ AI เพื่อเลียนแบบอีเมลธุรกิจจริง ทำให้สามารถหลอกลวงพนักงานได้ง่ายขึ้น - 72% ของพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับอีเมล VEC - VEC มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า BEC ถึง 90% - ความเสียหายทางการเงินจาก VEC รวมกว่า $300 ล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมา - ภูมิภาค EMEA (ยุโรป, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา) มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงสุด แต่มีอัตราการรายงานต่ำสุดเพียง 0.27% ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - พนักงานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความเสี่ยงสูงสุด โดยมีอัตราการมีส่วนร่วมถึง 71.3% - VEC สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Multi-Factor Authentication (MFA) และตัวกรองอีเมลแบบเดิม - 98.5% ของ VEC scams ไม่ได้รับการรายงาน และมักถูกค้นพบหลังจากเกิดความเสียหายทางการเงินแล้ว - องค์กรต้องปรับกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย โดยเน้นการตรวจจับพฤติกรรมทางจิตวิทยาแทนการตรวจสอบข้อมูลรับรอง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ องค์กรใช้ AI-powered email analytics เพื่อตรวจจับความผิดปกติในอีเมล รวมถึง เพิ่มมาตรการตรวจสอบผู้ขาย และฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักการโจมตีแบบ social engineering https://www.csoonline.com/article/4001733/vendor-email-compromise-the-silent-300m-threat-cisos-cant-ignore.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Vendor email compromise: The silent $300M threat CISOs can’t ignore
    AI-crafted VEC scams are bypassing MFA, legacy filters, and employee awareness, demanding a fundamental shift in enterprise email defense strategy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts