• แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sky Exchange is a trusted online gaming and betting platform offering a secure and exciting experience for players worldwide. With your unique Sky Exchange ID, you can explore a wide range of sports and casino games, including the ever-popular Sky Exchange Cricket section for live and pre-match betting. The platform operates 24/7 under Sky Exchange 247, ensuring nonstop entertainment and support. Getting started is easy with a quick Sky Exchange Sign Up and Sky Exchange Registration process that lets you access your account in minutes. For instant help or updates, contact the official Sky Exchange WhatsApp Number anytime. Whether you’re betting, playing, or exploring live games, Sky Exchange provides a trusted, fast, and thrilling experience every time. https://skyexchangeid.net/
    Sky Exchange is a trusted online gaming and betting platform offering a secure and exciting experience for players worldwide. With your unique Sky Exchange ID, you can explore a wide range of sports and casino games, including the ever-popular Sky Exchange Cricket section for live and pre-match betting. The platform operates 24/7 under Sky Exchange 247, ensuring nonstop entertainment and support. Getting started is easy with a quick Sky Exchange Sign Up and Sky Exchange Registration process that lets you access your account in minutes. For instant help or updates, contact the official Sky Exchange WhatsApp Number anytime. Whether you’re betting, playing, or exploring live games, Sky Exchange provides a trusted, fast, and thrilling experience every time. https://skyexchangeid.net/
    SKYEXCHANGEID.NET
    Sky Exchange
    Get started with Sky Exchange and Explore the world of online gaming and sports betting. Connect with us and register for your Sky Exchange ID today. Join Sky Exchange Betting app!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Morris Worm: หนอนตัวแรกที่เปลี่ยนโลกไซเบอร์ — ครบรอบ 37 ปีแห่งบทเรียนความปลอดภัย”

    ย้อนกลับไปในปี 1988 โลกอินเทอร์เน็ตยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มี World Wide Web ให้เราใช้กัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ไซเบอร์ — การแพร่ระบาดของ Morris Worm ซึ่งเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมโฮสต์

    Robert Tappan Morris นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cornell ได้เขียนโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อวัดขนาดของอินเทอร์เน็ต แต่เกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ทำให้หนอนตัวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำให้ระบบล่มทั่วประเทศภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง คิดเป็น 10% ของระบบที่เชื่อมต่ออยู่ในขณะนั้น — ประมาณ 6,000 เครื่องจากทั้งหมด 60,000 เครื่อง

    หนอนตัวนี้ใช้ช่องโหว่ในระบบ UNIX เช่น bug ในโปรแกรม finger และช่องโหว่ในระบบอีเมลเพื่อแพร่กระจายตัวเอง โดยไม่ทำลายไฟล์ แต่สร้างความเสียหายจากการทำให้ระบบช้าลงและล่ม จนหลายสถาบันต้องปิดระบบเป็นสัปดาห์เพื่อกำจัดมัน

    ในที่สุด FBI ก็สามารถระบุตัวผู้สร้างได้ และ Morris ถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ พร้อมรับโทษคุมประพฤติและทำงานบริการสาธารณะ 400 ชั่วโมง เขากลายเป็นบุคคลแรกที่ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมาย Computer Fraud and Abuse Act ปี 1986

    Morris Worm คือมัลแวร์ตัวแรกที่แพร่กระจายผ่านอินเทอร์เน็ต
    ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Tappan Morris นักศึกษาจาก Cornell
    มีเป้าหมายเพื่อวัดขนาดอินเทอร์เน็ต แต่เกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด

    การแพร่ระบาดสร้างผลกระทบมหาศาล
    แพร่กระจายไปยัง 10% ของระบบที่เชื่อมต่อในขณะนั้น
    ทำให้ระบบล่มและต้องปิดใช้งานเป็นเวลาหลายวัน

    ช่องโหว่ที่ถูกใช้ในการโจมตี
    bug ในโปรแกรม finger และช่องโหว่ในระบบอีเมล
    ไม่ทำลายไฟล์ แต่ทำให้ระบบทำงานช้าลงและล่ม

    ผลทางกฎหมายและบทเรียนสำคัญ
    Morris ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมาย Computer Fraud and Abuse Act
    ได้รับโทษปรับ คุมประพฤติ และบริการสาธารณะ

    คำเตือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    ช่องโหว่เล็กๆ อาจนำไปสู่ผลกระทบใหญ่หลวง
    การทดลองที่ไม่มีการควบคุมอาจกลายเป็นภัยระดับชาติ

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัย
    การทดสอบระบบต้องมีการจำกัดขอบเขตและควบคุมผลกระทบ
    ควรมีการตรวจสอบความเสี่ยงก่อนปล่อยโปรแกรมใดๆ สู่ระบบจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/on-this-day-in-1988-the-morris-worm-slithered-out-and-sparked-a-new-era-in-cybersecurity-10-percent-of-the-internet-was-infected-within-24-hours
    🐛💻 “Morris Worm: หนอนตัวแรกที่เปลี่ยนโลกไซเบอร์ — ครบรอบ 37 ปีแห่งบทเรียนความปลอดภัย” ย้อนกลับไปในปี 1988 โลกอินเทอร์เน็ตยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มี World Wide Web ให้เราใช้กัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ไซเบอร์ — การแพร่ระบาดของ Morris Worm ซึ่งเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมโฮสต์ Robert Tappan Morris นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cornell ได้เขียนโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อวัดขนาดของอินเทอร์เน็ต แต่เกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ทำให้หนอนตัวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำให้ระบบล่มทั่วประเทศภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง คิดเป็น 10% ของระบบที่เชื่อมต่ออยู่ในขณะนั้น — ประมาณ 6,000 เครื่องจากทั้งหมด 60,000 เครื่อง หนอนตัวนี้ใช้ช่องโหว่ในระบบ UNIX เช่น bug ในโปรแกรม finger และช่องโหว่ในระบบอีเมลเพื่อแพร่กระจายตัวเอง โดยไม่ทำลายไฟล์ แต่สร้างความเสียหายจากการทำให้ระบบช้าลงและล่ม จนหลายสถาบันต้องปิดระบบเป็นสัปดาห์เพื่อกำจัดมัน ในที่สุด FBI ก็สามารถระบุตัวผู้สร้างได้ และ Morris ถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ พร้อมรับโทษคุมประพฤติและทำงานบริการสาธารณะ 400 ชั่วโมง เขากลายเป็นบุคคลแรกที่ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมาย Computer Fraud and Abuse Act ปี 1986 ✅ Morris Worm คือมัลแวร์ตัวแรกที่แพร่กระจายผ่านอินเทอร์เน็ต ➡️ ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Tappan Morris นักศึกษาจาก Cornell ➡️ มีเป้าหมายเพื่อวัดขนาดอินเทอร์เน็ต แต่เกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ✅ การแพร่ระบาดสร้างผลกระทบมหาศาล ➡️ แพร่กระจายไปยัง 10% ของระบบที่เชื่อมต่อในขณะนั้น ➡️ ทำให้ระบบล่มและต้องปิดใช้งานเป็นเวลาหลายวัน ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้ในการโจมตี ➡️ bug ในโปรแกรม finger และช่องโหว่ในระบบอีเมล ➡️ ไม่ทำลายไฟล์ แต่ทำให้ระบบทำงานช้าลงและล่ม ✅ ผลทางกฎหมายและบทเรียนสำคัญ ➡️ Morris ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมาย Computer Fraud and Abuse Act ➡️ ได้รับโทษปรับ คุมประพฤติ และบริการสาธารณะ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ⛔ ช่องโหว่เล็กๆ อาจนำไปสู่ผลกระทบใหญ่หลวง ⛔ การทดลองที่ไม่มีการควบคุมอาจกลายเป็นภัยระดับชาติ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัย ⛔ การทดสอบระบบต้องมีการจำกัดขอบเขตและควบคุมผลกระทบ ⛔ ควรมีการตรวจสอบความเสี่ยงก่อนปล่อยโปรแกรมใดๆ สู่ระบบจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/on-this-day-in-1988-the-morris-worm-slithered-out-and-sparked-a-new-era-in-cybersecurity-10-percent-of-the-internet-was-infected-within-24-hours
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำดูโร S.S. São Gabriel ระดับ 6⭐️
    By Uniworld River Cruise, All inclusive ⛴

    เส้นทาง ปอร์โต - เอนเตรร์ริโอส - เรกวา - พินเฮา - โพซินโฮ - เวกา เดอ เทอรง - บาร์คา ดีอัลวา - เรกวา (กีมาไรซ์) - ปอร์โต

    เดินทาง 16 - 23 พ.ย. 2568

    ราคาเริ่มต้น : 4,999 USD ลดเหลือเริ่มต้นเพียง 3,499 USD

    ราคานี้รวม
    ค่าที่พักบนเรือสำราญ
    อาหารครบทุกมื้อบนเรือ
    ภาษีท่าเรือ และค่าทิปพนักงานบนเรือ
    ค่าแพ็คเกจเครื่องดื่มบนเรือสำราญ
    แพ็คเกจ wi-fi บนเรือ

    รหัสแพคเกจทัวร์ : UNIP-8D7N-OPO-OPO-2611221
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e464df

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #UniworldRiverCruise #DouroRiver #Spain #Salamanca #Portugal #Italy #cruisedomain #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ
    แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำดูโร S.S. São Gabriel ระดับ 6⭐️ ✨By Uniworld River Cruise, All inclusive ⛴ 📍 เส้นทาง ปอร์โต - เอนเตรร์ริโอส - เรกวา - พินเฮา - โพซินโฮ - เวกา เดอ เทอรง - บาร์คา ดีอัลวา - เรกวา (กีมาไรซ์) - ปอร์โต 📅 เดินทาง 16 - 23 พ.ย. 2568 💵 ราคาเริ่มต้น : 4,999 USD ลดเหลือเริ่มต้นเพียง 3,499 USD ✨ ราคานี้รวม ✅ ค่าที่พักบนเรือสำราญ ✅ อาหารครบทุกมื้อบนเรือ ✅ ภาษีท่าเรือ และค่าทิปพนักงานบนเรือ ✅ ค่าแพ็คเกจเครื่องดื่มบนเรือสำราญ ✅ แพ็คเกจ wi-fi บนเรือ ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : UNIP-8D7N-OPO-OPO-2611221 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e464df ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #UniworldRiverCruise #DouroRiver #Spain #Salamanca #Portugal #Italy #cruisedomain #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวอร์จิเนีย—รัฐที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งดาต้าเซ็นเตอร์

    ใครจะคิดว่าเวอร์จิเนีย รัฐที่ไม่ได้อยู่ใกล้ Silicon Valley หรือมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี จะกลายเป็น “เมืองหลวงของดาต้าเซ็นเตอร์” ของโลก? ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์เกือบ 600 แห่งกระจายอยู่ทั่วรัฐ และยังมีแผนจะสร้างเพิ่มอีกมากมาย นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเวอร์จิเนียไปอย่างสิ้นเชิง.

    ทำไมเวอร์จิเนียถึงกลายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์?
    โครงสร้างพื้นฐานเก่าแก่จากยุค AOL
    Northern Virginia เคยเป็นฐานของบริษัทอินเทอร์เน็ตยุคแรกอย่าง America Online
    โครงสร้างพื้นฐานเดิมถูกนำมาใช้ต่อโดยผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์

    พลังงานราคาถูกและที่ดินพัฒนาได้
    ก่อนเกิดการบูม มีที่ดินราคาถูกจำนวนมาก
    อัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับรัฐอื่น

    ใกล้ศูนย์กลางการเมืองและธุรกิจ
    อยู่ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้สะดวกต่อการเจรจาธุรกิจ
    ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีให้มาตั้งฐานปฏิบัติการ

    ผลกระทบที่ตามมา
    การขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์รุกล้ำพื้นที่ชุมชน
    โครงสร้างขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแทนที่พื้นที่ชนบทและชานเมือง
    ทำให้ภูมิทัศน์เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้าน

    ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้สร้างงานในท้องถิ่นมากนัก
    แม้จะมีการลงทุนมหาศาล แต่การจ้างงานกลับน้อย
    ส่งผลต่อเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

    การใช้พลังงานและน้ำในปริมาณมหาศาล
    ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้ค่าไฟฟ้าในพื้นที่สูงขึ้น
    แม้บางบริษัท เช่น Amazon จะเริ่มปรับตัว แต่ปัญหายังไม่หมดไป


    สรุปภาพรวม: เวอร์จิเนียกับบทบาทใหม่ในโลกดิจิทัล

    มีดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
    เกือบ 600 แห่ง และยังมีแผนขยายเพิ่ม
    กลายเป็น “Data Center Alley” โดยเฉพาะบริเวณใกล้สนามบิน Dulles

    ปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโต
    โครงสร้างพื้นฐานเดิม, พลังงานราคาถูก, ที่ดินพัฒนาได้
    ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการเมือง

    ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
    รุกล้ำพื้นที่ชุมชน, ใช้ทรัพยากรสูง, ไม่สร้างงานมากนัก

    เวอร์จิเนียอาจไม่ใช่รัฐที่คุณนึกถึงเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี แต่วันนี้มันคือหัวใจของโลกดิจิทัลที่เต้นแรงที่สุดแห่งหนึ่ง

    https://www.slashgear.com/2011454/us-state-most-data-centers-in-the-world/
    🌐 เวอร์จิเนีย—รัฐที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งดาต้าเซ็นเตอร์ ใครจะคิดว่าเวอร์จิเนีย รัฐที่ไม่ได้อยู่ใกล้ Silicon Valley หรือมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี จะกลายเป็น “เมืองหลวงของดาต้าเซ็นเตอร์” ของโลก? ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์เกือบ 600 แห่งกระจายอยู่ทั่วรัฐ และยังมีแผนจะสร้างเพิ่มอีกมากมาย นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเวอร์จิเนียไปอย่างสิ้นเชิง. 🧠 ทำไมเวอร์จิเนียถึงกลายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์? ✅ โครงสร้างพื้นฐานเก่าแก่จากยุค AOL ➡️ Northern Virginia เคยเป็นฐานของบริษัทอินเทอร์เน็ตยุคแรกอย่าง America Online ➡️ โครงสร้างพื้นฐานเดิมถูกนำมาใช้ต่อโดยผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ✅ พลังงานราคาถูกและที่ดินพัฒนาได้ ➡️ ก่อนเกิดการบูม มีที่ดินราคาถูกจำนวนมาก ➡️ อัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับรัฐอื่น ✅ ใกล้ศูนย์กลางการเมืองและธุรกิจ ➡️ อยู่ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้สะดวกต่อการเจรจาธุรกิจ ➡️ ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีให้มาตั้งฐานปฏิบัติการ ⚠️ ผลกระทบที่ตามมา ‼️ การขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์รุกล้ำพื้นที่ชุมชน ⛔ โครงสร้างขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแทนที่พื้นที่ชนบทและชานเมือง ⛔ ทำให้ภูมิทัศน์เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้าน ‼️ ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้สร้างงานในท้องถิ่นมากนัก ⛔ แม้จะมีการลงทุนมหาศาล แต่การจ้างงานกลับน้อย ⛔ ส่งผลต่อเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว ‼️ การใช้พลังงานและน้ำในปริมาณมหาศาล ⛔ ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้ค่าไฟฟ้าในพื้นที่สูงขึ้น ⛔ แม้บางบริษัท เช่น Amazon จะเริ่มปรับตัว แต่ปัญหายังไม่หมดไป สรุปภาพรวม: เวอร์จิเนียกับบทบาทใหม่ในโลกดิจิทัล ✅ มีดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ➡️ เกือบ 600 แห่ง และยังมีแผนขยายเพิ่ม ➡️ กลายเป็น “Data Center Alley” โดยเฉพาะบริเวณใกล้สนามบิน Dulles ✅ ปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโต ➡️ โครงสร้างพื้นฐานเดิม, พลังงานราคาถูก, ที่ดินพัฒนาได้ ➡️ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการเมือง ‼️ ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ⛔ รุกล้ำพื้นที่ชุมชน, ใช้ทรัพยากรสูง, ไม่สร้างงานมากนัก เวอร์จิเนียอาจไม่ใช่รัฐที่คุณนึกถึงเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี แต่วันนี้มันคือหัวใจของโลกดิจิทัลที่เต้นแรงที่สุดแห่งหนึ่ง 🌍 https://www.slashgear.com/2011454/us-state-most-data-centers-in-the-world/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This State Surprisingly Houses More Data Centers Than Anywhere Else On Earth - SlashGear
    Data centers are becoming more common across the country, and this one state is the surprising home to more data centers than any other in the US.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางเดินเลื่อนแห่งอนาคตในอดีต: ปารีสเปิดตัว “moving sidewalk” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
    ในงาน World's Fair ที่จัดขึ้นที่กรุงปารีสปี 1900 มีสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคอย่างไม่น่าเชื่อ — นั่นคือ ทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (moving sidewalk) ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่ให้ผู้คนยืนเฉย ๆ แล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเดินเอง

    ระบบนี้ประกอบด้วย สามระดับความเร็ว:

    ระดับแรก: ทางเดินนิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการเคลื่อนที่
    ระดับสอง: ทางเดินเลื่อนช้า
    ระดับสาม: ทางเดินเลื่อนเร็ว

    ผู้ใช้สามารถก้าวจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องหยุดเดินหรือกระโดด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ Thomas Edison ได้ถ่ายฟุตเทจของทางเดินเลื่อนนี้ไว้ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดการขนส่งอัตโนมัติมีมานานกว่าศตวรรษแล้ว

    ปารีสมีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติในปี 1900
    เปิดตัวในงาน World's Fair
    เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ล้ำยุคในยุคนั้น

    ระบบมี 3 ระดับความเร็วให้เลือก
    ทางเดินนิ่ง, ทางเดินเลื่อนช้า, ทางเดินเลื่อนเร็ว
    ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนระดับได้อย่างราบรื่น

    Thomas Edison ถ่ายฟุตเทจของระบบนี้ไว้
    เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หายาก
    แสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคก่อน

    https://www.openculture.com/2020/03/paris-had-a-moving-sidewalk-in-1900.html
    🚶‍♂️ ทางเดินเลื่อนแห่งอนาคตในอดีต: ปารีสเปิดตัว “moving sidewalk” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ในงาน World's Fair ที่จัดขึ้นที่กรุงปารีสปี 1900 มีสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคอย่างไม่น่าเชื่อ — นั่นคือ ทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (moving sidewalk) ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่ให้ผู้คนยืนเฉย ๆ แล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเดินเอง ระบบนี้ประกอบด้วย สามระดับความเร็ว: 📍 ระดับแรก: ทางเดินนิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการเคลื่อนที่ 📍 ระดับสอง: ทางเดินเลื่อนช้า 📍 ระดับสาม: ทางเดินเลื่อนเร็ว ผู้ใช้สามารถก้าวจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องหยุดเดินหรือกระโดด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น สิ่งที่น่าทึ่งคือ Thomas Edison ได้ถ่ายฟุตเทจของทางเดินเลื่อนนี้ไว้ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดการขนส่งอัตโนมัติมีมานานกว่าศตวรรษแล้ว ✅ ปารีสมีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติในปี 1900 ➡️ เปิดตัวในงาน World's Fair ➡️ เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ล้ำยุคในยุคนั้น ✅ ระบบมี 3 ระดับความเร็วให้เลือก ➡️ ทางเดินนิ่ง, ทางเดินเลื่อนช้า, ทางเดินเลื่อนเร็ว ➡️ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนระดับได้อย่างราบรื่น ✅ Thomas Edison ถ่ายฟุตเทจของระบบนี้ไว้ ➡️ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หายาก ➡️ แสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคก่อน https://www.openculture.com/2020/03/paris-had-a-moving-sidewalk-in-1900.html
    WWW.OPENCULTURE.COM
    Paris Had a Moving Sidewalk in 1900, and a Thomas Edison Film Captured It in Action
    It's fair to say that few of us now marvel at moving walkways, those standard infrastructural elements of such utilitarian spaces as airport terminals, subway stations, and big-box stores. But there was a time when they astounded even residents of one of the most cosmopolitan cities in the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • โค้ดดิ้งคือเรื่องของมนุษย์ คุณหญิงกัลยา ผลักดันแนวคิด "STEAM" และ "T-Wave" สร้างผู้นำ-นวัตกรรมรับมือ VUCA World
    https://www.thai-tai.tv/news/22180/
    .
    #คุณหญิงโค้ดดิ้ง #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #UnpluggedCoding #Claremont #STEAM #TWave
    โค้ดดิ้งคือเรื่องของมนุษย์ คุณหญิงกัลยา ผลักดันแนวคิด "STEAM" และ "T-Wave" สร้างผู้นำ-นวัตกรรมรับมือ VUCA World https://www.thai-tai.tv/news/22180/ . #คุณหญิงโค้ดดิ้ง #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #UnpluggedCoding #Claremont #STEAM #TWave
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “จีนทุบสถิติโลก! โชว์โดรนเกือบ 16,000 ลำกลางฟ้า – ศิลปะดิจิทัลที่แทนพลุได้อย่างน่าทึ่ง”

    จีนจัดแสดงโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองหลิ่วหยาง ด้วยจำนวนโดรนถึง 15,947 ลำ พร้อมคว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด และเปลี่ยนภาพจำของการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ.

    เมืองหลิ่วหยาง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งพลุ” ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการจัดโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้โดรนเกือบ 16,000 ลำบินพร้อมกันในรูปแบบแสงสีที่ออกแบบด้วยซอฟต์แวร์แทนการจุดพลุแบบดั้งเดิม

    โชว์นี้มีชื่อว่า “A Firework Belonging to Me” ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี RTK (Real-Time Kinematic) และระบบ mesh networking เพื่อควบคุมโดรนให้บินตามเส้นทางที่แม่นยำแบบเรียลไทม์ สร้างภาพต่างๆ เช่น “Sky Tree” ดอกไม้ และหอคอยลอยฟ้า

    นอกจากความงดงามแล้ว โชว์นี้ยังคว้าสองสถิติโลก ได้แก่:
    จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวมากที่สุด
    จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ)

    แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่โชว์ลักษณะนี้ก็มีความเสี่ยง เช่น การสื่อสารผิดพลาดหรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเคยเกิดเหตุโดรนตกใส่ผู้ชมในโชว์ก่อนหน้านี้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในโชว์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือแม้แต่การใช้งานทางทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการควบคุมแบบรวมศูนย์ในระดับมหภาค

    จีนจัดโชว์โดรนใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองหลิ่วหยาง
    ใช้โดรน 15,947 ลำบินพร้อมกันในโชว์ “A Firework Belonging to Me”

    คว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด
    จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เดียวมากที่สุด
    จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ)

    ใช้เทคโนโลยี RTK และ mesh networking เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์
    เพิ่มความแม่นยำในการบินและลดความผิดพลาด

    เปลี่ยนการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัล
    ลดมลพิษทางอากาศและเสียงจากการจุดพลุ

    มีการออกแบบภาพลอยฟ้า เช่น Sky Tree และดอกไม้
    สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมด้วยศิลปะดิจิทัล

    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆ ได้
    เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือการใช้งานทางทหาร

    https://www.techradar.com/pro/china-smashes-drone-display-world-record-nearly-16-000-drones-take-to-the-sky-in-incredible-display
    🇨🇳🚁 หัวข้อข่าว: “จีนทุบสถิติโลก! โชว์โดรนเกือบ 16,000 ลำกลางฟ้า – ศิลปะดิจิทัลที่แทนพลุได้อย่างน่าทึ่ง” จีนจัดแสดงโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองหลิ่วหยาง ด้วยจำนวนโดรนถึง 15,947 ลำ พร้อมคว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด และเปลี่ยนภาพจำของการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ. เมืองหลิ่วหยาง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งพลุ” ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการจัดโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้โดรนเกือบ 16,000 ลำบินพร้อมกันในรูปแบบแสงสีที่ออกแบบด้วยซอฟต์แวร์แทนการจุดพลุแบบดั้งเดิม โชว์นี้มีชื่อว่า “A Firework Belonging to Me” ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี RTK (Real-Time Kinematic) และระบบ mesh networking เพื่อควบคุมโดรนให้บินตามเส้นทางที่แม่นยำแบบเรียลไทม์ สร้างภาพต่างๆ เช่น “Sky Tree” ดอกไม้ และหอคอยลอยฟ้า นอกจากความงดงามแล้ว โชว์นี้ยังคว้าสองสถิติโลก ได้แก่: 🎗️ จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวมากที่สุด 🎗️ จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ) แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่โชว์ลักษณะนี้ก็มีความเสี่ยง เช่น การสื่อสารผิดพลาดหรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเคยเกิดเหตุโดรนตกใส่ผู้ชมในโชว์ก่อนหน้านี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในโชว์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือแม้แต่การใช้งานทางทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการควบคุมแบบรวมศูนย์ในระดับมหภาค ✅ จีนจัดโชว์โดรนใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองหลิ่วหยาง ➡️ ใช้โดรน 15,947 ลำบินพร้อมกันในโชว์ “A Firework Belonging to Me” ✅ คว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ➡️ จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เดียวมากที่สุด ➡️ จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ) ✅ ใช้เทคโนโลยี RTK และ mesh networking เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์ ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการบินและลดความผิดพลาด ✅ เปลี่ยนการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัล ➡️ ลดมลพิษทางอากาศและเสียงจากการจุดพลุ ✅ มีการออกแบบภาพลอยฟ้า เช่น Sky Tree และดอกไม้ ➡️ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมด้วยศิลปะดิจิทัล ✅ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆ ได้ ➡️ เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือการใช้งานทางทหาร https://www.techradar.com/pro/china-smashes-drone-display-world-record-nearly-16-000-drones-take-to-the-sky-in-incredible-display
    WWW.TECHRADAR.COM
    China lit the sky with 16,000 drones, fusing art, software, and precision
    16,000 drones followed a precise RTK-guided path for real-time accuracy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์

    ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน

    Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น”

    แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm
    สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ

    จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park
    พร้อมข้อความ “There is but one China in the world”
    ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน

    ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป
    เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ
    มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center

    ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์
    99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน
    หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก

    การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร
    มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี
    เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ

    ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน
    การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน
    การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป
    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก
    ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    🛰️ ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์ ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น” แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ 💡 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: 💠 TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm 💠 สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 💠 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ ✅ จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park ➡️ พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ➡️ ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน ✅ ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป ➡️ เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ ➡️ มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center ✅ ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน ➡️ หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก ✅ การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ➡️ มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี ➡️ เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ‼️ ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ⛔ การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน ⛔ การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร ‼️ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป ⛔ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก ⛔ ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก 🌏💥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเด็ดสายเกม: เมื่อรถถังกลายเป็นเกมจริง!

    ถ้าคุณคิดว่าเกมจำลองขับรถถังแค่ใช้จอยสติ๊กกับจอภาพธรรมดา... คุณยังไม่เคยเจอ "Blyat" นักสร้างสรรค์สุดบ้าพลังจากจีน ที่ยกระดับการเล่นเกม World of Tanks ไปอีกขั้น ด้วยการสร้าง “Tank Simulator 5” ที่ไม่ใช่แค่จำลอง แต่เป็นการสร้าง “รถถังจำลองเต็มคัน” พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดเท่าจริง!

    ในวิดีโอล่าสุดที่เผยแพร่บน Bilibili Blyat ขับรถถังจำลองออกจากโรงรถ พร้อมยิงปืนใหญ่ใส่ศัตรูในเกมแบบซิงก์กันเป๊ะ ๆ ทั้งภาพ เสียง และแรงสั่นสะเทือน แถมยังมีฉากฮา ๆ อย่างกางเกงหลุดเพราะแรงถีบของปืนกล และโดนปืนใหญ่ฟาดหัวกลางฉากแบบไม่ตั้งใจ

    นอกจากรถถังแล้ว Blyat ยังเคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ เครื่องจักรกล Mech และแม้แต่ “เครื่องจำลองขี่ลา” มาแล้ว! ถือเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี DIY และความคลั่งไคล้เกมมาผสานกันอย่างสร้างสรรค์

    เพิ่มเติมจากวงการซิมูเลเตอร์:
    เทรนด์การสร้าง “Cockpit Simulator” กำลังมาแรงในหมู่เกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ เช่น การซื้อห้องนักบิน Boeing 747 มาใช้เล่น Flight Simulator
    อุปกรณ์เสริมอย่าง HydroHaptic ที่ให้สัมผัสบีบ-ดึง-บิด กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเกมแนวจำลอง

    โปรเจกต์ Tank Simulator 5 โดย Blyat
    สร้างรถถังจำลองเต็มคัน พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดจริง
    ใช้ร่วมกับเกม World of Tanks เพื่อเพิ่มความสมจริง
    มีฉากตลก เช่น กางเกงหลุดจากแรงถีบ และโดนปืนใหญ่ฟาดหัว

    ความคลั่งไคล้ของ Blyat
    เคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ, Mech VTOL และขี่ลา
    เผยแพร่ผลงานผ่านช่อง Bilibili

    เทรนด์ซิมูเลเตอร์ในวงการเกม
    มีผู้เล่นซื้อ Cockpit เครื่องบินจริงมาใช้เล่นเกม
    เทคโนโลยีสัมผัสใหม่อย่าง HydroHaptic กำลังพัฒนา

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    การสร้างอุปกรณ์จำลองขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
    ควรมีพื้นที่ปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกันเมื่อใช้งาน
    ไม่ควรใช้ปืนจำลองในพื้นที่สาธารณะหรือใกล้ผู้คน

    https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/full-size-tank-simulator-setup-now-even-crazier-after-being-built-into-a-tactical-vehicle-with-full-size-replica-machine-gun-and-cannon
    🛡️ ข่าวเด็ดสายเกม: เมื่อรถถังกลายเป็นเกมจริง! ถ้าคุณคิดว่าเกมจำลองขับรถถังแค่ใช้จอยสติ๊กกับจอภาพธรรมดา... คุณยังไม่เคยเจอ "Blyat" นักสร้างสรรค์สุดบ้าพลังจากจีน ที่ยกระดับการเล่นเกม World of Tanks ไปอีกขั้น ด้วยการสร้าง “Tank Simulator 5” ที่ไม่ใช่แค่จำลอง แต่เป็นการสร้าง “รถถังจำลองเต็มคัน” พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดเท่าจริง! ในวิดีโอล่าสุดที่เผยแพร่บน Bilibili Blyat ขับรถถังจำลองออกจากโรงรถ พร้อมยิงปืนใหญ่ใส่ศัตรูในเกมแบบซิงก์กันเป๊ะ ๆ ทั้งภาพ เสียง และแรงสั่นสะเทือน แถมยังมีฉากฮา ๆ อย่างกางเกงหลุดเพราะแรงถีบของปืนกล และโดนปืนใหญ่ฟาดหัวกลางฉากแบบไม่ตั้งใจ นอกจากรถถังแล้ว Blyat ยังเคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ เครื่องจักรกล Mech และแม้แต่ “เครื่องจำลองขี่ลา” มาแล้ว! ถือเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี DIY และความคลั่งไคล้เกมมาผสานกันอย่างสร้างสรรค์ 💡 เพิ่มเติมจากวงการซิมูเลเตอร์: 🎗️ เทรนด์การสร้าง “Cockpit Simulator” กำลังมาแรงในหมู่เกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ เช่น การซื้อห้องนักบิน Boeing 747 มาใช้เล่น Flight Simulator 🎗️ อุปกรณ์เสริมอย่าง HydroHaptic ที่ให้สัมผัสบีบ-ดึง-บิด กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเกมแนวจำลอง ✅ โปรเจกต์ Tank Simulator 5 โดย Blyat ➡️ สร้างรถถังจำลองเต็มคัน พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดจริง ➡️ ใช้ร่วมกับเกม World of Tanks เพื่อเพิ่มความสมจริง ➡️ มีฉากตลก เช่น กางเกงหลุดจากแรงถีบ และโดนปืนใหญ่ฟาดหัว ✅ ความคลั่งไคล้ของ Blyat ➡️ เคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ, Mech VTOL และขี่ลา ➡️ เผยแพร่ผลงานผ่านช่อง Bilibili ✅ เทรนด์ซิมูเลเตอร์ในวงการเกม ➡️ มีผู้เล่นซื้อ Cockpit เครื่องบินจริงมาใช้เล่นเกม ➡️ เทคโนโลยีสัมผัสใหม่อย่าง HydroHaptic กำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ การสร้างอุปกรณ์จำลองขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ⛔ ควรมีพื้นที่ปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกันเมื่อใช้งาน ⛔ ไม่ควรใช้ปืนจำลองในพื้นที่สาธารณะหรือใกล้ผู้คน https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/full-size-tank-simulator-setup-now-even-crazier-after-being-built-into-a-tactical-vehicle-with-full-size-replica-machine-gun-and-cannon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บินให้สุด!” ดรอนซอกเกอร์มาเลเซียคว้าอันดับ 3 โลก พร้อมจุดประกายกีฬาใหม่แห่งอาเซียน

    กีฬาใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและความมันส์อย่าง “ดรอนซอกเกอร์” กำลังสร้างกระแสในมาเลเซีย หลังทีม Cybersphere Malaysia คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันระดับโลกที่เกาหลีใต้ โดยมีนักกีฬาตั้งแต่เด็กประถมจนถึงมหาวิทยาลัยร่วมทีม สะท้อนว่าเกมนี้ “เปิดกว้างสำหรับทุกคน” และอาจกลายเป็นกีฬายอดนิยมในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต.

    ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2016 โดยใช้โดรนที่ถูกครอบด้วยกรอบพลาสติกทรงกลมเรียกว่า “Drone Ball” บินภายในกรงสนามเพื่อชนกันและทำคะแนนผ่านห่วงของฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันใช้เวลาเพียง 3 นาทีต่อรอบ แต่เต็มไปด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และกลยุทธ์

    ทีมมาเลเซียที่ไปแข่ง FIDA World Cup ประกอบด้วยนักเรียนประถม 4 คน มัธยม 1 คน และมหาวิทยาลัย 2 คน สามารถเอาชนะทีมผู้ใหญ่จาก 24 ประเทศได้อย่างน่าทึ่ง โดยใช้โดรนขนาด 20 ซม. ที่บินได้เร็วถึง 30 กม./ชม. และมีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบิน

    บทบาทในทีมมีความชัดเจน เช่น striker, guide, libero, sweeper และ keeper ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและการตัดสินใจแบบฉับไว ทำให้เกมนี้ไม่ใช่แค่ “บินให้เร็ว” แต่ต้อง “คิดให้ไว” ด้วย

    ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้ปี 2016
    ใช้โดรนบินชนกันในกรงสนามเพื่อทำคะแนนผ่านห่วง

    ทีมมาเลเซียคว้าอันดับ 3 ใน FIDA World Cup
    แข่งในประเภท Class 20 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

    ทีมประกอบด้วยนักเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย
    แสดงให้เห็นว่าเกมนี้เปิดกว้างสำหรับทุกวัย

    โดรนมีกรอบพลาสติกป้องกันการชน
    เรียกว่า Drone Ball เพื่อความปลอดภัยในการแข่งขัน

    บทบาทในทีมมี 5 ตำแหน่งหลัก
    striker, guide, libero, sweeper, keeper

    การสื่อสารในทีมเป็นหัวใจสำคัญ
    บางทีมใช้ headset เพื่อประสานงานระหว่างแข่งขัน

    ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ RM850 สำหรับ Class 20
    Class 40 มีราคาสูงถึง RM6,000 และบินได้เร็วกว่า 100 กม./ชม.

    การปรับแต่งโดรนช่วยพัฒนาทักษะด้านเทคนิค
    เช่น การซ่อมแซม การปรับน้ำหนัก และการเลือกวัสดุ

    Cybersphere Malaysia เตรียมจัดเทศกาลดรอนซอกเกอร์ในปี 2026
    ร่วมกับ Visit Malaysia Year และ Visit Johor Year

    โดรน Class 40 ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 1.1 กก.
    หากเกินจะผิดกติกาและอาจถูกตัดสิทธิ์

    ผู้เล่นใหม่อาจเข้าใจผิดว่าเล่นแบบเดี่ยวได้
    แต่จริงๆ แล้วต้องอาศัยทีมเวิร์กและการวางแผนร่วมกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/03/take-to-the-skies-the-adrenaline-rush-of-drone-soccer
    🚁 “บินให้สุด!” ดรอนซอกเกอร์มาเลเซียคว้าอันดับ 3 โลก พร้อมจุดประกายกีฬาใหม่แห่งอาเซียน กีฬาใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและความมันส์อย่าง “ดรอนซอกเกอร์” กำลังสร้างกระแสในมาเลเซีย หลังทีม Cybersphere Malaysia คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันระดับโลกที่เกาหลีใต้ โดยมีนักกีฬาตั้งแต่เด็กประถมจนถึงมหาวิทยาลัยร่วมทีม สะท้อนว่าเกมนี้ “เปิดกว้างสำหรับทุกคน” และอาจกลายเป็นกีฬายอดนิยมในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต. ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2016 โดยใช้โดรนที่ถูกครอบด้วยกรอบพลาสติกทรงกลมเรียกว่า “Drone Ball” บินภายในกรงสนามเพื่อชนกันและทำคะแนนผ่านห่วงของฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันใช้เวลาเพียง 3 นาทีต่อรอบ แต่เต็มไปด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และกลยุทธ์ ทีมมาเลเซียที่ไปแข่ง FIDA World Cup ประกอบด้วยนักเรียนประถม 4 คน มัธยม 1 คน และมหาวิทยาลัย 2 คน สามารถเอาชนะทีมผู้ใหญ่จาก 24 ประเทศได้อย่างน่าทึ่ง โดยใช้โดรนขนาด 20 ซม. ที่บินได้เร็วถึง 30 กม./ชม. และมีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบิน บทบาทในทีมมีความชัดเจน เช่น striker, guide, libero, sweeper และ keeper ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและการตัดสินใจแบบฉับไว ทำให้เกมนี้ไม่ใช่แค่ “บินให้เร็ว” แต่ต้อง “คิดให้ไว” ด้วย ✅ ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้ปี 2016 ➡️ ใช้โดรนบินชนกันในกรงสนามเพื่อทำคะแนนผ่านห่วง ✅ ทีมมาเลเซียคว้าอันดับ 3 ใน FIDA World Cup ➡️ แข่งในประเภท Class 20 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ✅ ทีมประกอบด้วยนักเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย ➡️ แสดงให้เห็นว่าเกมนี้เปิดกว้างสำหรับทุกวัย ✅ โดรนมีกรอบพลาสติกป้องกันการชน ➡️ เรียกว่า Drone Ball เพื่อความปลอดภัยในการแข่งขัน ✅ บทบาทในทีมมี 5 ตำแหน่งหลัก ➡️ striker, guide, libero, sweeper, keeper ✅ การสื่อสารในทีมเป็นหัวใจสำคัญ ➡️ บางทีมใช้ headset เพื่อประสานงานระหว่างแข่งขัน ✅ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ RM850 สำหรับ Class 20 ➡️ Class 40 มีราคาสูงถึง RM6,000 และบินได้เร็วกว่า 100 กม./ชม. ✅ การปรับแต่งโดรนช่วยพัฒนาทักษะด้านเทคนิค ➡️ เช่น การซ่อมแซม การปรับน้ำหนัก และการเลือกวัสดุ ✅ Cybersphere Malaysia เตรียมจัดเทศกาลดรอนซอกเกอร์ในปี 2026 ➡️ ร่วมกับ Visit Malaysia Year และ Visit Johor Year ‼️ โดรน Class 40 ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 1.1 กก. ⛔ หากเกินจะผิดกติกาและอาจถูกตัดสิทธิ์ ‼️ ผู้เล่นใหม่อาจเข้าใจผิดว่าเล่นแบบเดี่ยวได้ ⛔ แต่จริงๆ แล้วต้องอาศัยทีมเวิร์กและการวางแผนร่วมกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/03/take-to-the-skies-the-adrenaline-rush-of-drone-soccer
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Take to the skies: The adrenaline rush of drone soccer
    Ever wondered what happens when drones meet soccer? As it turns out, it's a sport that comes pretty close to Harry Potter's Quidditch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณหญิงกัลยา ชี้สังคมไทยเผชิญ "VUCA World" ผันผวน-ซับซ้อน เร่งเตือนรับมือสถานการณ์คาดเดาได้ยาก
    https://www.thai-tai.tv/news/22161/
    .
    #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #VUCAWorld #ไทยก้าวใหม่ #STI #T-wave
    คุณหญิงกัลยา ชี้สังคมไทยเผชิญ "VUCA World" ผันผวน-ซับซ้อน เร่งเตือนรับมือสถานการณ์คาดเดาได้ยาก https://www.thai-tai.tv/news/22161/ . #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #VUCAWorld #ไทยก้าวใหม่ #STI #T-wave
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต!

    ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย!

    IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks

    ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย

    ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม

    Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร
    ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์
    รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS
    ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi

    ความสามารถของ IIAB
    เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์
    โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ
    สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน

    การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล
    ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ

    การติดตั้งและขยายข้อมูล
    โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org
    เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์
    ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้

    ข้อจำกัดของ IIAB
    ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้
    ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง
    อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล

    IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน

    https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    📦 “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต! ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย! IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม ✅ Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร ➡️ ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ ➡️ รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS ➡️ ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi ✅ ความสามารถของ IIAB ➡️ เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ ➡️ โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ ➡️ สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน ✅ การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ ✅ การติดตั้งและขยายข้อมูล ➡️ โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org ➡️ เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์ ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้ ‼️ ข้อจำกัดของ IIAB ⛔ ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้ ⛔ ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง ⛔ อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Device Can Replace Google When You Need Information Without An Internet Connection - SlashGear
    More than half the world's population can connect to the internet, but for people in remote locations or extreme poverty this device can provide limited access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ##
    ..
    ..
    ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025
    .
    ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า
    .
    โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี
    .
    นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
    .
    นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์”
    .
    ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC
    .
    การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน
    .
    ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ”
    .
    แนวโน้มในตลาดทองคำ:
    ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว
    .
    การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3
    .
    ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น
    .
    แต่ด้านหนึ่ง
    .
    ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์
    ....
    ....
    สรุปสั้น ๆ
    .
    ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง”
    .
    ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ## .. .. ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025 . ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า . โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี . นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง . นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์” . ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC . การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน . ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ” . แนวโน้มในตลาดทองคำ: ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว . การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3 . ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น . แต่ด้านหนึ่ง . ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์ .... .... สรุปสั้น ๆ . ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง” . ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย

    YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก!

    Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี

    RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง:
    Counter Strike 2: 263 FPS
    Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS
    Red Dead Redemption 2: 82 FPS
    Battlefield 6: 86 FPS
    Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS
    GTA 5 Enhanced: 77 FPS
    Marvel Rivals: 79 FPS
    Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม)
    Borderlands 4: 55 FPS
    Outer Worlds 2: 65 FPS

    แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU

    Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI

    Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S
    มี 40 CUs และ 2,560 shader cores
    ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit
    ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี

    จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+
    รัน LLM ได้ดีเยี่ยม
    ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า
    เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    🎮🔥 Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก! Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง: 🎗️ Counter Strike 2: 263 FPS 🎗️ Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS 🎗️ Red Dead Redemption 2: 82 FPS 🎗️ Battlefield 6: 86 FPS 🎗️ Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS 🎗️ GTA 5 Enhanced: 77 FPS 🎗️ Marvel Rivals: 79 FPS 🎗️ Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม) 🎗️ Borderlands 4: 55 FPS 🎗️ Outer Worlds 2: 65 FPS แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI ✅ Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S ➡️ มี 40 CUs และ 2,560 shader cores ➡️ ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit ➡️ ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี ✅ จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+ ➡️ รัน LLM ได้ดีเยี่ยม ➡️ ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า ➡️ เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • PhantomRaven: มัลแวร์ npm สุดแสบที่ขโมยข้อมูลนักพัฒนาแบบแนบเนียน

    แคมเปญมัลแวร์ PhantomRaven แอบแฝงใน npm ด้วยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ใช้เทคนิคลับ Remote Dynamic Dependency เพื่อขโมยโทเคนและข้อมูลลับของนักพัฒนาโดยไม่ถูกตรวจจับ

    ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 แคมเปญมัลแวร์ชื่อ PhantomRaven ได้แอบปล่อยแพ็กเกจ npm ปลอมกว่า 126 รายการ ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง จุดประสงค์หลักคือขโมยข้อมูลลับของนักพัฒนา เช่น GitHub credentials, CI/CD tokens และ npm authentication tokens

    สิ่งที่ทำให้ PhantomRaven อันตรายคือการใช้ฟีเจอร์ Remote Dynamic Dependency (RDD) ซึ่งอนุญาตให้แพ็กเกจ npm ดึง dependencies จาก URL ภายนอก แทนที่จะใช้ registry ปกติ ทำให้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยมองว่าแพ็กเกจเหล่านี้ “ไม่มี dependencies” และปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วโค้ดอันตรายจะถูกดึงมาและรันทันทีเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง

    แพ็กเกจปลอมเหล่านี้มักมีชื่อคล้ายของจริง เช่น eslint-comments (จริงคือ eslint-plugin-eslint-comments) หรือ unused-imports (จริงคือ eslint-plugin-unused-imports) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ AI แนะนำโดยผิดพลาดเมื่อผู้ใช้ถามหาแพ็กเกจในแชตบอตหรือ Copilot

    เมื่อโค้ดรัน มัลแวร์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากไฟล์ .gitconfig, .npmrc, package.json รวมถึงสแกนหาโทเคนจาก GitHub Actions, GitLab, Jenkins และ CircleCI จากนั้นจะส่งข้อมูลออกผ่าน HTTP GET, POST และ WebSocket เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะหลุดออกไปแม้ในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์

    PhantomRaven คือแคมเปญมัลแวร์ใน npm
    ปล่อยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ
    ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง
    เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2025 และยังมีแพ็กเกจที่ยังไม่ถูกลบ

    เทคนิค Remote Dynamic Dependency (RDD)
    ดึงโค้ดจาก URL ภายนอกแทน registry
    ทำให้เครื่องมือสแกนมองว่าไม่มี dependencies
    โค้ดอันตรายจะรันทันทีเมื่อติดตั้งผ่าน preinstall script

    ข้อมูลที่มัลแวร์พยายามขโมย
    อีเมลและข้อมูลจากไฟล์ config
    โทเคนจาก GitHub, GitLab, Jenkins, CircleCI
    ข้อมูลระบบ เช่น IP, hostname, OS, username

    ช่องทางการส่งข้อมูลออก
    HTTP GET (ฝังข้อมูลใน URL)
    HTTP POST (ส่ง JSON payload)
    WebSocket (ใช้ในเครือข่ายที่มีข้อจำกัด)

    ความเสี่ยงจากแพ็กเกจปลอม
    ชื่อคล้ายของจริง ทำให้ AI แนะนำผิด
    ผู้ใช้ติดตั้งโดยไม่รู้ว่าเป็นมัลแวร์
    โค้ดดูเหมือน harmless เช่น console.log('Hello, world!') แต่แฝง payload จริงไว้ภายนอก

    ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD และข้อมูลลับ
    โทเคนและ credentials ถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลกระทบต่อระบบอัตโนมัติและการ deploy
    อาจถูกใช้เพื่อเจาะระบบองค์กรหรือ cloud infrastructure

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    Remote Dynamic Dependency เป็นฟีเจอร์ที่แทบไม่มีใครใช้ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง
    Slopsquatting คือเทคนิคใหม่ที่ใช้ AI สร้างชื่อแพ็กเกจปลอมที่ “ดูเหมือนจริง” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง
    นักพัฒนาควรใช้เครื่องมือเช่น npm audit, Snyk, หรือ Socket.dev เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของแพ็กเกจ

    https://securityonline.info/phantomraven-126-malicious-npm-packages-steal-developer-tokens-and-secrets-using-hidden-dependencies/
    🚨 PhantomRaven: มัลแวร์ npm สุดแสบที่ขโมยข้อมูลนักพัฒนาแบบแนบเนียน แคมเปญมัลแวร์ PhantomRaven แอบแฝงใน npm ด้วยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ใช้เทคนิคลับ Remote Dynamic Dependency เพื่อขโมยโทเคนและข้อมูลลับของนักพัฒนาโดยไม่ถูกตรวจจับ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 แคมเปญมัลแวร์ชื่อ PhantomRaven ได้แอบปล่อยแพ็กเกจ npm ปลอมกว่า 126 รายการ ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง จุดประสงค์หลักคือขโมยข้อมูลลับของนักพัฒนา เช่น GitHub credentials, CI/CD tokens และ npm authentication tokens สิ่งที่ทำให้ PhantomRaven อันตรายคือการใช้ฟีเจอร์ Remote Dynamic Dependency (RDD) ซึ่งอนุญาตให้แพ็กเกจ npm ดึง dependencies จาก URL ภายนอก แทนที่จะใช้ registry ปกติ ทำให้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยมองว่าแพ็กเกจเหล่านี้ “ไม่มี dependencies” และปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วโค้ดอันตรายจะถูกดึงมาและรันทันทีเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แพ็กเกจปลอมเหล่านี้มักมีชื่อคล้ายของจริง เช่น eslint-comments (จริงคือ eslint-plugin-eslint-comments) หรือ unused-imports (จริงคือ eslint-plugin-unused-imports) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ AI แนะนำโดยผิดพลาดเมื่อผู้ใช้ถามหาแพ็กเกจในแชตบอตหรือ Copilot เมื่อโค้ดรัน มัลแวร์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากไฟล์ .gitconfig, .npmrc, package.json รวมถึงสแกนหาโทเคนจาก GitHub Actions, GitLab, Jenkins และ CircleCI จากนั้นจะส่งข้อมูลออกผ่าน HTTP GET, POST และ WebSocket เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะหลุดออกไปแม้ในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์ ✅ PhantomRaven คือแคมเปญมัลแวร์ใน npm ➡️ ปล่อยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ➡️ ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง ➡️ เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2025 และยังมีแพ็กเกจที่ยังไม่ถูกลบ ✅ เทคนิค Remote Dynamic Dependency (RDD) ➡️ ดึงโค้ดจาก URL ภายนอกแทน registry ➡️ ทำให้เครื่องมือสแกนมองว่าไม่มี dependencies ➡️ โค้ดอันตรายจะรันทันทีเมื่อติดตั้งผ่าน preinstall script ✅ ข้อมูลที่มัลแวร์พยายามขโมย ➡️ อีเมลและข้อมูลจากไฟล์ config ➡️ โทเคนจาก GitHub, GitLab, Jenkins, CircleCI ➡️ ข้อมูลระบบ เช่น IP, hostname, OS, username ✅ ช่องทางการส่งข้อมูลออก ➡️ HTTP GET (ฝังข้อมูลใน URL) ➡️ HTTP POST (ส่ง JSON payload) ➡️ WebSocket (ใช้ในเครือข่ายที่มีข้อจำกัด) ‼️ ความเสี่ยงจากแพ็กเกจปลอม ⛔ ชื่อคล้ายของจริง ทำให้ AI แนะนำผิด ⛔ ผู้ใช้ติดตั้งโดยไม่รู้ว่าเป็นมัลแวร์ ⛔ โค้ดดูเหมือน harmless เช่น console.log('Hello, world!') แต่แฝง payload จริงไว้ภายนอก ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD และข้อมูลลับ ⛔ โทเคนและ credentials ถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลกระทบต่อระบบอัตโนมัติและการ deploy ⛔ อาจถูกใช้เพื่อเจาะระบบองค์กรหรือ cloud infrastructure 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 🎗️ Remote Dynamic Dependency เป็นฟีเจอร์ที่แทบไม่มีใครใช้ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง 🎗️ Slopsquatting คือเทคนิคใหม่ที่ใช้ AI สร้างชื่อแพ็กเกจปลอมที่ “ดูเหมือนจริง” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง 🎗️ นักพัฒนาควรใช้เครื่องมือเช่น npm audit, Snyk, หรือ Socket.dev เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของแพ็กเกจ https://securityonline.info/phantomraven-126-malicious-npm-packages-steal-developer-tokens-and-secrets-using-hidden-dependencies/
    SECURITYONLINE.INFO
    PhantomRaven: 126 Malicious npm Packages Steal Developer Tokens and Secrets Using Hidden Dependencies
    Koi Security exposed PhantomRaven, an npm supply chain attack using 126 packages. It leverages Remote Dynamic Dependencies (RDD) and AI slopsquatting to steal GitHub/CI/CD secrets from 86,000+ downloads.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.ก้องศักด เผย มาราธอนกรุงเทพฯ ได้รับความนิยมเทียบเท่าระดับเมเจอร์ของโลก ดึงนักวิ่งนานาชาติเข้าร่วมจำนวนมาก
    https://www.thai-tai.tv/news/22095/
    .
    #ไทยไท #AmazingThailandMarathon #อรรถกรศิริลัทธยากร #WorldClassEvent #WorldCapitalMarathon #กกท

    ดร.ก้องศักด เผย มาราธอนกรุงเทพฯ ได้รับความนิยมเทียบเท่าระดับเมเจอร์ของโลก ดึงนักวิ่งนานาชาติเข้าร่วมจำนวนมาก https://www.thai-tai.tv/news/22095/ . #ไทยไท #AmazingThailandMarathon #อรรถกรศิริลัทธยากร #WorldClassEvent #WorldCapitalMarathon #กกท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์แดนซ์กระจาย ส่วนเกินไทย-กัมพูชา : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    ทรัมป์แดนซ์กระจาย ส่วนเกินไทย-กัมพูชา : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก

    นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล

    จุดเด่นของ Intel 4004

    Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว
    เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V
    รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์

    CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์
    มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว
    ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V
    รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB
    สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์

    การเปิดเผยโดย CPU Duke
    ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004
    เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน
    ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
    เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    🔬💡 เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล 🧠 จุดเด่นของ Intel 4004 💠 Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว 💠 เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V 💠 รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที 💠 ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์ ➡️ มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ➡️ ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V ➡️ รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB ➡️ สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที ➡️ ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์ ✅ การเปิดเผยโดย CPU Duke ➡️ ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004 ➡️ เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน ➡️ ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา ✅ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ ➡️ เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม.

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ

    ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก

    พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น!

    อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%)

    พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร
    เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร

    เทคโนโลยีที่ใช้
    เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง
    มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์

    ศักยภาพของเทคโนโลยี
    สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร
    เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR
    ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่

    ข้อจำกัดปัจจุบัน
    อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์)
    ยังแสดงได้เพียงสีส้ม
    ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%)

    https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    🧬 นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม. ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น! อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%) ✅ พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร ➡️ เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า ➡️ ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง ➡️ มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์ ✅ ศักยภาพของเทคโนโลยี ➡️ สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR ➡️ ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่ ✅ ข้อจำกัดปัจจุบัน ➡️ อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์) ➡️ ยังแสดงได้เพียงสีส้ม ➡️ ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%) https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tourism Diplomacy Chiang Mai ทูตเที่ยวไทยเชียงใหม่ : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    Tourism Diplomacy Chiang Mai ทูตเที่ยวไทยเชียงใหม่ : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • จีนเร่งผลิต “เรดาร์ควอนตัม” – เทคโนโลยีใหม่ที่อาจลบล้างยุคเครื่องบินล่องหน

    เรดาร์แบบเดิมใช้คลื่นวิทยุสะท้อนจากวัตถุเพื่อวัดตำแหน่งและความเร็ว แต่เครื่องบินล่องหนอย่าง F-22 Raptor ถูกออกแบบมาเพื่อลดการสะท้อนคลื่น ทำให้เรดาร์ทั่วไปตรวจจับได้ยาก

    จีนจึงหันมาใช้ “เรดาร์ควอนตัม” ที่อาศัยหลักการพัวพันควอนตัม (quantum entanglement) โดยสร้างคู่โฟตอนที่ฝังข้อมูลร่วมกันไว้ โฟตอนหนึ่งถูกส่งออกไป ส่วนอีกตัวเก็บไว้ในหน่วยความจำควอนตัม หากโฟตอนที่สะท้อนกลับมาตรงกับตัวที่เก็บไว้ แสดงว่ามีวัตถุอยู่ตรงนั้นแน่นอน

    ปัญหาคือการสร้างโฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังทำได้ยาก และการเก็บรักษาความพัวพันต้องใช้สภาพแวดล้อมที่เย็นจัดใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้งานภาคสนาม

    อย่างไรก็ตาม จีนได้เริ่มผลิต “เครื่องจับโฟตอน” ที่สามารถตรวจจับโฟตอนเดียวในทะเลของสัญญาณรบกวนได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเรดาร์ควอนตัม โดยเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย และเริ่มผลิตในเดือนตุลาคม 2025

    แม้ยังไม่มีระบบเรดาร์ควอนตัมที่ใช้งานได้จริง แต่ความก้าวหน้าของจีนทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มวิตก เพราะหากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ อาจทำให้เครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ และพันธมิตรหมดความได้เปรียบในสนามรบ

    วิธีการทำงานของเรดาร์ควอนตัมโดยใช้ Quantum Entanglement
    ยิงโฟตอนที่พัวพันกันออกไป
    ระบบจะสร้างโฟตอนเป็นคู่:
      • ตัวหนึ่งเรียกว่า signal photon ถูกยิงออกไปในอากาศ
      • อีกตัวเรียกว่า idler photon ถูกเก็บไว้ในระบบเรดาร์

    ถ้า signal photon สะท้อนกลับจากวัตถุ (เช่น เครื่องบินล่องหน)
    ระบบจะตรวจสอบว่าโฟตอนที่กลับมามี “ลายเซ็นควอนตัม” ตรงกับ idler photon หรือไม่
    ถ้าตรงกัน แสดงว่าโฟตอนนั้นสะท้อนจากวัตถุจริง ไม่ใช่สัญญาณรบกวน

    ผลลัพธ์คือสามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินล่องหนได้
    แม้เครื่องบินจะสะท้อนคลื่นน้อยมาก แต่โฟตอนที่พัวพันกันจะยังคงมีความสัมพันธ์เฉพาะ
    ทำให้เรดาร์สามารถ “รู้” ได้ว่าโฟตอนที่กลับมาเป็นของตัวเอง ไม่ใช่สัญญาณสุ่ม

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและสาระเพิ่มเติม
    ความก้าวหน้าของจีน
    เริ่มผลิตเครื่องจับโฟตอนในเดือนตุลาคม 2025
    พัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย
    เครื่องจับโฟตอนสามารถแยกโฟตอนเดียวจากสัญญาณรบกวนได้

    ความท้าทายทางเทคนิค
    โฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังสร้างได้ยาก
    ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์
    ยังไม่มีระบบที่ใช้งานได้จริงในสนามรบ

    https://www.slashgear.com/2003308/china-building-world-first-quantum-radar-track-stealth-fighter-jets/
    🛰️ จีนเร่งผลิต “เรดาร์ควอนตัม” – เทคโนโลยีใหม่ที่อาจลบล้างยุคเครื่องบินล่องหน เรดาร์แบบเดิมใช้คลื่นวิทยุสะท้อนจากวัตถุเพื่อวัดตำแหน่งและความเร็ว แต่เครื่องบินล่องหนอย่าง F-22 Raptor ถูกออกแบบมาเพื่อลดการสะท้อนคลื่น ทำให้เรดาร์ทั่วไปตรวจจับได้ยาก จีนจึงหันมาใช้ “เรดาร์ควอนตัม” ที่อาศัยหลักการพัวพันควอนตัม (quantum entanglement) โดยสร้างคู่โฟตอนที่ฝังข้อมูลร่วมกันไว้ โฟตอนหนึ่งถูกส่งออกไป ส่วนอีกตัวเก็บไว้ในหน่วยความจำควอนตัม หากโฟตอนที่สะท้อนกลับมาตรงกับตัวที่เก็บไว้ แสดงว่ามีวัตถุอยู่ตรงนั้นแน่นอน ปัญหาคือการสร้างโฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังทำได้ยาก และการเก็บรักษาความพัวพันต้องใช้สภาพแวดล้อมที่เย็นจัดใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้งานภาคสนาม อย่างไรก็ตาม จีนได้เริ่มผลิต “เครื่องจับโฟตอน” ที่สามารถตรวจจับโฟตอนเดียวในทะเลของสัญญาณรบกวนได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเรดาร์ควอนตัม โดยเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย และเริ่มผลิตในเดือนตุลาคม 2025 แม้ยังไม่มีระบบเรดาร์ควอนตัมที่ใช้งานได้จริง แต่ความก้าวหน้าของจีนทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มวิตก เพราะหากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ อาจทำให้เครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ และพันธมิตรหมดความได้เปรียบในสนามรบ 🧠 วิธีการทำงานของเรดาร์ควอนตัมโดยใช้ Quantum Entanglement ✅ ยิงโฟตอนที่พัวพันกันออกไป ➡️ ระบบจะสร้างโฟตอนเป็นคู่:   • ตัวหนึ่งเรียกว่า signal photon ถูกยิงออกไปในอากาศ   • อีกตัวเรียกว่า idler photon ถูกเก็บไว้ในระบบเรดาร์ ✅ ถ้า signal photon สะท้อนกลับจากวัตถุ (เช่น เครื่องบินล่องหน) ➡️ ระบบจะตรวจสอบว่าโฟตอนที่กลับมามี “ลายเซ็นควอนตัม” ตรงกับ idler photon หรือไม่ ➡️ ถ้าตรงกัน แสดงว่าโฟตอนนั้นสะท้อนจากวัตถุจริง ไม่ใช่สัญญาณรบกวน ✅ ผลลัพธ์คือสามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินล่องหนได้ ➡️ แม้เครื่องบินจะสะท้อนคลื่นน้อยมาก แต่โฟตอนที่พัวพันกันจะยังคงมีความสัมพันธ์เฉพาะ ➡️ ทำให้เรดาร์สามารถ “รู้” ได้ว่าโฟตอนที่กลับมาเป็นของตัวเอง ไม่ใช่สัญญาณสุ่ม 📌 สรุปเนื้อหาจากข่าวและสาระเพิ่มเติม ✅ ความก้าวหน้าของจีน ➡️ เริ่มผลิตเครื่องจับโฟตอนในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย ➡️ เครื่องจับโฟตอนสามารถแยกโฟตอนเดียวจากสัญญาณรบกวนได้ ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ โฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังสร้างได้ยาก ➡️ ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ➡️ ยังไม่มีระบบที่ใช้งานได้จริงในสนามรบ https://www.slashgear.com/2003308/china-building-world-first-quantum-radar-track-stealth-fighter-jets/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    China Is Attempting To Mass Produce 'World-First' Quantum Radars For This One Purpose - SlashGear
    China has managed to produce a key component of quantum radar, meaning the US's stealth fleet could be rendered virtually obsolete overnight.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USD.AI: สเตเบิลคอยน์ใหม่เชื่อมโลกคริปโตกับ GPU จริงของ Nvidia เพื่อสร้างรายได้จาก AI”

    ตอนนี้มีโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า USD.AI ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ในโลก DeFi ที่ไม่ได้แค่เก็บมูลค่าไว้เฉย ๆ แต่เอาเงินของนักลงทุนไปซื้อ GPU จริง ๆ ของ Nvidia แล้วปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI เพื่อหารายได้กลับมาให้ผู้ถือเหรียญ!

    พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณถือเหรียญ USD.AI ก็เหมือนคุณลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีคนเช่าใช้งานจริง แล้วรายได้จากการเช่าก็จะถูกนำมาจ่ายคืนให้คุณเป็นผลตอบแทน ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 13–17% ต่อปี—สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบเห็น ๆ

    ระบบนี้มีโครงสร้างป้องกันความเสี่ยงแบบ 3 ชั้น ได้แก่ CALIBER, FiLO และ QEV ที่ช่วยให้การลงทุนปลอดภัยขึ้น เช่น การแปลง GPU เป็น NFT เพื่อใช้เป็นหลักประกัน, การมีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเอง และระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องได้ดี

    USD.AI คืออะไร
    เป็นโปรโตคอล DeFi ที่ใช้ stablecoin เพื่อซื้อ GPU จริงของ Nvidia
    GPU เหล่านี้ถูกนำไปปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI
    รายได้จากการเช่าถูกนำมาจ่ายคืนให้ผู้ถือเหรียญเป็นผลตอบแทน

    ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
    อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 13–17% ต่อปี
    สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี
    รายได้มาจากการใช้งานจริง ไม่ใช่การปั่นเหรียญหรือวงจรเลเวอเรจ

    โครงสร้างความปลอดภัยแบบ 3 ชั้น
    CALIBER: แปลง GPU เป็น NFT และใช้เป็นหลักประกัน
    FiLO: มีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเองเพื่อรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย
    QEV: ระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องและให้ผลตอบแทนแก่ผู้รอ

    ประโยชน์ต่อผู้ถือเหรียญและนักพัฒนา AI
    นักลงทุนได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า GPU
    นักพัฒนา AI เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเอง
    เป็นการเชื่อมโลกคริปโตกับการใช้งานจริงในอุตสาหกรรม AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/new-stablecoin-connects-crypto-investors-to-real-world-nvidia-ai-gpus-that-earn-money-by-renting-out-compute-power-to-ai-devs-usd-ai-lets-crypto-investors-make-bank-off-ai-compute-rentals
    🪙“USD.AI: สเตเบิลคอยน์ใหม่เชื่อมโลกคริปโตกับ GPU จริงของ Nvidia เพื่อสร้างรายได้จาก AI” ตอนนี้มีโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า USD.AI ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ในโลก DeFi ที่ไม่ได้แค่เก็บมูลค่าไว้เฉย ๆ แต่เอาเงินของนักลงทุนไปซื้อ GPU จริง ๆ ของ Nvidia แล้วปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI เพื่อหารายได้กลับมาให้ผู้ถือเหรียญ! พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณถือเหรียญ USD.AI ก็เหมือนคุณลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีคนเช่าใช้งานจริง แล้วรายได้จากการเช่าก็จะถูกนำมาจ่ายคืนให้คุณเป็นผลตอบแทน ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 13–17% ต่อปี—สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบเห็น ๆ ระบบนี้มีโครงสร้างป้องกันความเสี่ยงแบบ 3 ชั้น ได้แก่ CALIBER, FiLO และ QEV ที่ช่วยให้การลงทุนปลอดภัยขึ้น เช่น การแปลง GPU เป็น NFT เพื่อใช้เป็นหลักประกัน, การมีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเอง และระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องได้ดี ✅ USD.AI คืออะไร ➡️ เป็นโปรโตคอล DeFi ที่ใช้ stablecoin เพื่อซื้อ GPU จริงของ Nvidia ➡️ GPU เหล่านี้ถูกนำไปปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI ➡️ รายได้จากการเช่าถูกนำมาจ่ายคืนให้ผู้ถือเหรียญเป็นผลตอบแทน ✅ ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ➡️ อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 13–17% ต่อปี ➡️ สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ➡️ รายได้มาจากการใช้งานจริง ไม่ใช่การปั่นเหรียญหรือวงจรเลเวอเรจ ✅ โครงสร้างความปลอดภัยแบบ 3 ชั้น ➡️ CALIBER: แปลง GPU เป็น NFT และใช้เป็นหลักประกัน ➡️ FiLO: มีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเองเพื่อรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย ➡️ QEV: ระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องและให้ผลตอบแทนแก่ผู้รอ ✅ ประโยชน์ต่อผู้ถือเหรียญและนักพัฒนา AI ➡️ นักลงทุนได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า GPU ➡️ นักพัฒนา AI เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเอง ➡️ เป็นการเชื่อมโลกคริปโตกับการใช้งานจริงในอุตสาหกรรม AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/new-stablecoin-connects-crypto-investors-to-real-world-nvidia-ai-gpus-that-earn-money-by-renting-out-compute-power-to-ai-devs-usd-ai-lets-crypto-investors-make-bank-off-ai-compute-rentals
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nike เปิดตัวรองเท้า “Powered Footwear” รุ่นแรกของโลก – เดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้นโดยไม่เหนื่อย

    Nike ร่วมมือกับบริษัทหุ่นยนต์ Dephy เปิดตัว Project Amplify ซึ่งเป็นระบบรองเท้าแบบใหม่ที่ผสานรองเท้าวิ่งระดับสูงเข้ากับ “ขาเหล็ก” แบบหุ่นยนต์ โดยมีมอเตอร์, สายพานขับเคลื่อน และแบตเตอรี่แบบสวมที่ข้อเท้า ช่วยให้ผู้ใช้เดินหรือวิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นโดยใช้แรงน้อยลง

    แนวคิดนี้คล้ายกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นจักรยานได้ง่ายขึ้น โดย Nike ตั้งเป้าให้รองเท้านี้ช่วยคนทั่วไปที่วิ่งช้า (เช่น pace 10–12 นาทีต่อไมล์) ไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ

    ระบบหุ่นยนต์สามารถถอดออกได้ ทำให้รองเท้ากลับมาเป็นรองเท้าวิ่งธรรมดาได้เช่นกัน

    จุดเด่นของ Project Amplify
    รองเท้าวิ่งผสานกับขาเหล็กหุ่นยนต์
    มีมอเตอร์, สายพาน, และแบตเตอรี่ข้อเท้า
    ช่วยลดแรงที่ใช้ในการเดินหรือวิ่ง
    ถอดระบบหุ่นยนต์ออกได้ ใช้เป็นรองเท้าธรรมดา

    เป้าหมายของ Nike
    ช่วยคนทั่วไปเดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้น
    ลดความเหนื่อยจากการเดินทางหรือออกกำลังกาย
    เปรียบเทียบกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นง่ายขึ้น

    ความเป็นไปได้ในอนาคต
    Nike ตั้งใจจะวางขายในวงกว้างในอีกไม่กี่ปี
    อาจกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของ wearable robotics
    คล้ายกับ exoskeleton ที่ใช้ในโรงงาน เช่น Hyundai

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/fancy-an-e-bike-for-your-feet-these-radical-nike-robo-shoes-are-the-worlds-first-powered-footwear
    👟 Nike เปิดตัวรองเท้า “Powered Footwear” รุ่นแรกของโลก – เดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้นโดยไม่เหนื่อย Nike ร่วมมือกับบริษัทหุ่นยนต์ Dephy เปิดตัว Project Amplify ซึ่งเป็นระบบรองเท้าแบบใหม่ที่ผสานรองเท้าวิ่งระดับสูงเข้ากับ “ขาเหล็ก” แบบหุ่นยนต์ โดยมีมอเตอร์, สายพานขับเคลื่อน และแบตเตอรี่แบบสวมที่ข้อเท้า ช่วยให้ผู้ใช้เดินหรือวิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นโดยใช้แรงน้อยลง แนวคิดนี้คล้ายกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นจักรยานได้ง่ายขึ้น โดย Nike ตั้งเป้าให้รองเท้านี้ช่วยคนทั่วไปที่วิ่งช้า (เช่น pace 10–12 นาทีต่อไมล์) ไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ ระบบหุ่นยนต์สามารถถอดออกได้ ทำให้รองเท้ากลับมาเป็นรองเท้าวิ่งธรรมดาได้เช่นกัน ✅ จุดเด่นของ Project Amplify ➡️ รองเท้าวิ่งผสานกับขาเหล็กหุ่นยนต์ ➡️ มีมอเตอร์, สายพาน, และแบตเตอรี่ข้อเท้า ➡️ ช่วยลดแรงที่ใช้ในการเดินหรือวิ่ง ➡️ ถอดระบบหุ่นยนต์ออกได้ ใช้เป็นรองเท้าธรรมดา ✅ เป้าหมายของ Nike ➡️ ช่วยคนทั่วไปเดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้น ➡️ ลดความเหนื่อยจากการเดินทางหรือออกกำลังกาย ➡️ เปรียบเทียบกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นง่ายขึ้น ✅ ความเป็นไปได้ในอนาคต ➡️ Nike ตั้งใจจะวางขายในวงกว้างในอีกไม่กี่ปี ➡️ อาจกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของ wearable robotics ➡️ คล้ายกับ exoskeleton ที่ใช้ในโรงงาน เช่น Hyundai https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/fancy-an-e-bike-for-your-feet-these-radical-nike-robo-shoes-are-the-worlds-first-powered-footwear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Refer To Little People: The Terms To Know

    Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term.

    In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences.

    Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive.

    What is dwarfism?

    An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions.

    Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower.

    What causes dwarfism?

    The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t.
    What do people with dwarfism prefer to be called?

    First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to.

    Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms.

    Here are some of the most common and widely accepted terms.

    dwarf and person with dwarfism

    Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity.

    Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism.

    While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions).

    It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature).

    little person, little people

    Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with.

    Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia.

    The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World.

    Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary.

    person of short stature and short-statured person

    Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case.

    These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland.

    Which term should I use?

    Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences.

    Offensive terms

    Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.)

    Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether.

    That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example).

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    How To Refer To Little People: The Terms To Know Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term. In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences. Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive. What is dwarfism? An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions. Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower. What causes dwarfism? The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t. What do people with dwarfism prefer to be called? First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to. Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms. Here are some of the most common and widely accepted terms. dwarf and person with dwarfism Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity. Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism. While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions). It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature). little person, little people Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with. Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia. The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World. Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary. person of short stature and short-statured person Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case. These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland. Which term should I use? Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences. Offensive terms Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.) Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether. That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example). สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts