• “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์”

    MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน

    เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า

    MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm

    ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน
    ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก
    เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E

    กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน
    ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing
    มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC
    MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง
    ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน
    การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
    เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    🧠 “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์” MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ➡️ เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E ✅ กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน ➡️ ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing ➡️ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC ➡️ MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ➡️ ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน ➡️ การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม ➡️ เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Tapes Out Flagship SoC Using TSMC's 2nm Process, Mass Production & Availability By End of 2026
    MediaTek has announced the tape-out of its flagship SoC, fabricated on TSMC's 2nm process node, which will be available by the end of 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ant Group แฉกลยุทธ์ลับของยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ — เปิดซอร์สแค่เปลือก เพื่อกักนักพัฒนาไว้ในระบบปิดของ AI”

    ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อกลางเดือนกันยายน 2025 Ant Group บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ของจีนได้เปิดเผยรายงานที่วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้กลยุทธ์ “เปิดซอร์สแบบหลอก” เพื่อดึงนักพัฒนาเข้าสู่ระบบ AI แบบปิดของตนเอง โดยอ้างว่าแม้จะมีการเปิดซอร์สเครื่องมือบางส่วน แต่แกนหลักของโมเดลและฮาร์ดแวร์ยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด

    ตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาคือ “Dynamo” แพลตฟอร์ม inference ที่ Nvidia เปิดซอร์สในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งถูกโปรโมตว่าเป็น “ระบบปฏิบัติการของ AI” แต่จริง ๆ แล้วถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ทำให้ผู้พัฒนาแทบไม่มีทางเลือกอื่นหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    OpenAI และ Google ก็ถูกกล่าวหาว่าเปิดซอร์สเฟรมเวิร์กสำหรับสร้าง AI agent แต่เฟรมเวิร์กเหล่านั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับโมเดลเฉพาะของบริษัทเท่านั้น เช่น GPT หรือ Gemini ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาจะถูกผูกติดกับระบบของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว

    Ant Group เปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทจีน เช่น Alibaba Cloud และ ByteDance ที่เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและนำไปพัฒนาต่อได้จริง ซึ่งทำให้เกิดการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ เอง

    รายงานยังชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดในตลาด โดย Microsoft ครองส่วนแบ่ง 39% ในด้านโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล ขณะที่ Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ซึ่งทำให้การเข้าถึง AI อย่างแท้จริงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นรายเล็ก

    แม้สหรัฐฯ จะมีส่วนร่วมในระบบ open-source AI ถึง 37.4% ของโลก แต่ Ant Group เตือนว่าการเปิดซอร์สเฉพาะ “เครื่องมือรอบนอก” โดยไม่เปิดโมเดลหลัก อาจทำให้เกิดการควบคุมเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าที่เห็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ant Group วิจารณ์ Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้ open-source แบบจำกัด
    Dynamo ของ Nvidia ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia
    OpenAI และ Google เปิดซอร์สเฟรมเวิร์กที่ผูกติดกับโมเดลเฉพาะของตน
    Alibaba Cloud และ ByteDance เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและพัฒนาต่อได้

    สถานการณ์ตลาดและผลกระทบ
    Microsoft ครองตลาดโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล 39%
    Nvidia ครองตลาด GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92%
    สหรัฐฯ มีส่วนร่วมในระบบ open-source AI 37.4% ของโลก
    จีนมีส่วนร่วม 18.7% และเน้นการเปิดซอร์สโมเดลมากกว่าเครื่องมือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI agent คือระบบที่ทำงานอัตโนมัติแทนผู้ใช้ โดยใช้โมเดลพื้นฐานเป็นแกน
    การเปิดซอร์สโมเดลช่วยให้เกิดความโปร่งใสและการทดลองในวงกว้าง
    การเปิดซอร์สเฉพาะเครื่องมืออาจทำให้เกิดการผูกขาดเชิงเทคโนโลยี
    สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ เริ่มหันมาใช้โมเดลจีนที่เปิดซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/top-us-tech-companies-are-holding-developers-in-closed-source-ai-ecosystems-ant-group-says
    🔒 “Ant Group แฉกลยุทธ์ลับของยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ — เปิดซอร์สแค่เปลือก เพื่อกักนักพัฒนาไว้ในระบบปิดของ AI” ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อกลางเดือนกันยายน 2025 Ant Group บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ของจีนได้เปิดเผยรายงานที่วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้กลยุทธ์ “เปิดซอร์สแบบหลอก” เพื่อดึงนักพัฒนาเข้าสู่ระบบ AI แบบปิดของตนเอง โดยอ้างว่าแม้จะมีการเปิดซอร์สเครื่องมือบางส่วน แต่แกนหลักของโมเดลและฮาร์ดแวร์ยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาคือ “Dynamo” แพลตฟอร์ม inference ที่ Nvidia เปิดซอร์สในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งถูกโปรโมตว่าเป็น “ระบบปฏิบัติการของ AI” แต่จริง ๆ แล้วถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ทำให้ผู้พัฒนาแทบไม่มีทางเลือกอื่นหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด OpenAI และ Google ก็ถูกกล่าวหาว่าเปิดซอร์สเฟรมเวิร์กสำหรับสร้าง AI agent แต่เฟรมเวิร์กเหล่านั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับโมเดลเฉพาะของบริษัทเท่านั้น เช่น GPT หรือ Gemini ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาจะถูกผูกติดกับระบบของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว Ant Group เปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทจีน เช่น Alibaba Cloud และ ByteDance ที่เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและนำไปพัฒนาต่อได้จริง ซึ่งทำให้เกิดการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ เอง รายงานยังชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดในตลาด โดย Microsoft ครองส่วนแบ่ง 39% ในด้านโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล ขณะที่ Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ซึ่งทำให้การเข้าถึง AI อย่างแท้จริงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นรายเล็ก แม้สหรัฐฯ จะมีส่วนร่วมในระบบ open-source AI ถึง 37.4% ของโลก แต่ Ant Group เตือนว่าการเปิดซอร์สเฉพาะ “เครื่องมือรอบนอก” โดยไม่เปิดโมเดลหลัก อาจทำให้เกิดการควบคุมเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าที่เห็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ant Group วิจารณ์ Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้ open-source แบบจำกัด ➡️ Dynamo ของ Nvidia ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia ➡️ OpenAI และ Google เปิดซอร์สเฟรมเวิร์กที่ผูกติดกับโมเดลเฉพาะของตน ➡️ Alibaba Cloud และ ByteDance เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและพัฒนาต่อได้ ✅ สถานการณ์ตลาดและผลกระทบ ➡️ Microsoft ครองตลาดโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล 39% ➡️ Nvidia ครองตลาด GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ➡️ สหรัฐฯ มีส่วนร่วมในระบบ open-source AI 37.4% ของโลก ➡️ จีนมีส่วนร่วม 18.7% และเน้นการเปิดซอร์สโมเดลมากกว่าเครื่องมือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI agent คือระบบที่ทำงานอัตโนมัติแทนผู้ใช้ โดยใช้โมเดลพื้นฐานเป็นแกน ➡️ การเปิดซอร์สโมเดลช่วยให้เกิดความโปร่งใสและการทดลองในวงกว้าง ➡️ การเปิดซอร์สเฉพาะเครื่องมืออาจทำให้เกิดการผูกขาดเชิงเทคโนโลยี ➡️ สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ เริ่มหันมาใช้โมเดลจีนที่เปิดซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด https://www.techradar.com/pro/top-us-tech-companies-are-holding-developers-in-closed-source-ai-ecosystems-ant-group-says
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เปิดตัว Ryzen 9700F, 9500F, 7400 และ 5600F — ซีพียูรุ่นประหยัดที่ซ่อนพลังไว้มากกว่าที่คิด”

    AMD เปิดตัวซีพียูใหม่ 4 รุ่นแบบเงียบ ๆ โดยไม่จัดงานแถลงข่าวหรือประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์ ได้แก่ Ryzen 7 9700F, Ryzen 5 9500F, Ryzen 5 7400 และ Ryzen 5 5600F ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สถาปัตยกรรม Zen 5, Zen 4 ไปจนถึง Zen 3 โดยเน้นกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้นและตลาดต่างประเทศ

    Ryzen 7 9700F และ Ryzen 5 9500F เป็นชิป Zen 5 แบบไม่มีกราฟิกในตัว (iGPU-less) โดย 9700F มี 8 คอร์ 16 เธรด, L3 cache 32MB, TDP 65W และบูสต์สูงสุด 5.5GHz ส่วน 9500F มี 6 คอร์ 12 เธรด และบูสต์สูงสุด 5.0GHz ทั้งคู่ใช้แพลตฟอร์ม AM5 และรองรับ PCIe Gen5 รวมถึง DDR5 สูงสุด 192GB

    Ryzen 5 7400 เป็น Zen 4 รุ่นใหม่ที่มี 6 คอร์ 12 เธรด แต่มี L3 cache เพียง 16MB ซึ่งผิดปกติสำหรับชิปที่ใช้โครงสร้าง chiplet แบบ Raphael โดยคาดว่า AMD ปิดการทำงานของ cache บางส่วนเพื่อใช้ชิปที่มีตำหนิจากการผลิต ลดการสูญเปล่าและต้นทุน

    Ryzen 5 5600F เป็น Zen 3 รุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในตลาด โดยมี 6 คอร์ 12 เธรด, L3 cache 32MB และบูสต์สูงสุด 4.0GHz แม้จะใช้ชื่อ F-series แต่จริง ๆ แล้ว Zen 3 ไม่มี iGPU อยู่แล้ว จึงเป็นการรีแบรนด์เพื่อขายในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ

    ชิปเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางขายเฉพาะในภูมิภาค เช่น 9700F ในอเมริกาเหนือ, 5600F ในเอเชียแปซิฟิก และ 7400F เฉพาะในจีน โดยมีเพียง 9500F ที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งสะท้อนกลยุทธ์ของ AMD ที่เน้นการใช้ชิปที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละตลาด

    ข้อมูลซีพียูใหม่จาก AMD
    Ryzen 7 9700F: Zen 5, 8 คอร์, 5.5GHz boost, ไม่มี iGPU
    Ryzen 5 9500F: Zen 5, 6 คอร์, 5.0GHz boost, ไม่มี iGPU
    Ryzen 5 7400: Zen 4, 6 คอร์, L3 cache 16MB, ลดต้นทุนจากชิปที่มีตำหนิ
    Ryzen 5 5600F: Zen 3, 6 คอร์, ไม่มี iGPU โดยธรรมชาติ

    จุดเด่นและกลยุทธ์
    ใช้แพลตฟอร์ม AM5 รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5 สูงสุด 192GB
    เปิดตัวแบบเงียบ ๆ โดยเพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์เท่านั้น
    F-series คือรุ่นไม่มีกราฟิกในตัว และบางรุ่นมีสเปกใกล้เคียงกับรุ่น X
    วางจำหน่ายแบบจำกัดภูมิภาคตามความเหมาะสมของตลาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ryzen 5 9500F คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณ $218 และ 9700F ที่ $294
    Zen 5 มีการปรับปรุงด้าน branch prediction, ALU และ cache hierarchy
    Ryzen 5 7400F มี L3 cache 32MB และบูสต์สูงกว่า 7400 ถึง 400MHz
    Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยนำชิปเก่ากลับมารีแบรนด์ใน Ultra Series 1

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-four-new-ryzen-cpus-including-cutdown-zen-4-and-zen-3-models-most-only-available-in-global-markets
    🧠 “AMD เปิดตัว Ryzen 9700F, 9500F, 7400 และ 5600F — ซีพียูรุ่นประหยัดที่ซ่อนพลังไว้มากกว่าที่คิด” AMD เปิดตัวซีพียูใหม่ 4 รุ่นแบบเงียบ ๆ โดยไม่จัดงานแถลงข่าวหรือประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์ ได้แก่ Ryzen 7 9700F, Ryzen 5 9500F, Ryzen 5 7400 และ Ryzen 5 5600F ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สถาปัตยกรรม Zen 5, Zen 4 ไปจนถึง Zen 3 โดยเน้นกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้นและตลาดต่างประเทศ Ryzen 7 9700F และ Ryzen 5 9500F เป็นชิป Zen 5 แบบไม่มีกราฟิกในตัว (iGPU-less) โดย 9700F มี 8 คอร์ 16 เธรด, L3 cache 32MB, TDP 65W และบูสต์สูงสุด 5.5GHz ส่วน 9500F มี 6 คอร์ 12 เธรด และบูสต์สูงสุด 5.0GHz ทั้งคู่ใช้แพลตฟอร์ม AM5 และรองรับ PCIe Gen5 รวมถึง DDR5 สูงสุด 192GB Ryzen 5 7400 เป็น Zen 4 รุ่นใหม่ที่มี 6 คอร์ 12 เธรด แต่มี L3 cache เพียง 16MB ซึ่งผิดปกติสำหรับชิปที่ใช้โครงสร้าง chiplet แบบ Raphael โดยคาดว่า AMD ปิดการทำงานของ cache บางส่วนเพื่อใช้ชิปที่มีตำหนิจากการผลิต ลดการสูญเปล่าและต้นทุน Ryzen 5 5600F เป็น Zen 3 รุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในตลาด โดยมี 6 คอร์ 12 เธรด, L3 cache 32MB และบูสต์สูงสุด 4.0GHz แม้จะใช้ชื่อ F-series แต่จริง ๆ แล้ว Zen 3 ไม่มี iGPU อยู่แล้ว จึงเป็นการรีแบรนด์เพื่อขายในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ ชิปเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางขายเฉพาะในภูมิภาค เช่น 9700F ในอเมริกาเหนือ, 5600F ในเอเชียแปซิฟิก และ 7400F เฉพาะในจีน โดยมีเพียง 9500F ที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งสะท้อนกลยุทธ์ของ AMD ที่เน้นการใช้ชิปที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละตลาด ✅ ข้อมูลซีพียูใหม่จาก AMD ➡️ Ryzen 7 9700F: Zen 5, 8 คอร์, 5.5GHz boost, ไม่มี iGPU ➡️ Ryzen 5 9500F: Zen 5, 6 คอร์, 5.0GHz boost, ไม่มี iGPU ➡️ Ryzen 5 7400: Zen 4, 6 คอร์, L3 cache 16MB, ลดต้นทุนจากชิปที่มีตำหนิ ➡️ Ryzen 5 5600F: Zen 3, 6 คอร์, ไม่มี iGPU โดยธรรมชาติ ✅ จุดเด่นและกลยุทธ์ ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม AM5 รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5 สูงสุด 192GB ➡️ เปิดตัวแบบเงียบ ๆ โดยเพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์เท่านั้น ➡️ F-series คือรุ่นไม่มีกราฟิกในตัว และบางรุ่นมีสเปกใกล้เคียงกับรุ่น X ➡️ วางจำหน่ายแบบจำกัดภูมิภาคตามความเหมาะสมของตลาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ryzen 5 9500F คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณ $218 และ 9700F ที่ $294 ➡️ Zen 5 มีการปรับปรุงด้าน branch prediction, ALU และ cache hierarchy ➡️ Ryzen 5 7400F มี L3 cache 32MB และบูสต์สูงกว่า 7400 ถึง 400MHz ➡️ Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยนำชิปเก่ากลับมารีแบรนด์ใน Ultra Series 1 https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-four-new-ryzen-cpus-including-cutdown-zen-4-and-zen-3-models-most-only-available-in-global-markets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน”

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน

    พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย

    แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ

    หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง”

    เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    🧠 “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน” กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง” เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์

    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน

    เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม

    หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025
    DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์
    เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim
    เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก

    รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ
    ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง
    ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน
    เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์
    เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
    MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่
    Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ
    การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก

    https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    🕵️‍♂️ “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025 ➡️ DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ ➡️ เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ➡️ เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก ✅ รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ ➡️ ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง ➡️ ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน ➡️ เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ ➡️ เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ ➡️ การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    HACKREAD.COM
    Ukrainian Fugitive Added to EU Most Wanted List for LockerGoga Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์”

    xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก

    P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น:

    - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว
    - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ
    - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end
    - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที

    นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier

    xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985

    จุดเด่นของ xTool P3
    เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ
    ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ
    AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ
    รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว

    ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม
    AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ
    RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก
    Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง
    ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ
    เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง
    มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985

    https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    🔧 “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์” xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น: - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985 ✅ จุดเด่นของ xTool P3 ➡️ เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ ➡️ ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ ➡️ AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ ➡️ รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว ✅ ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ➡️ AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ ➡️ RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก ➡️ Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง ➡️ ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ ➡️ เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง ➡️ มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985 https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    xTool P3: Industrial-Grade 80W CO₂ Laser Brings Automation To SMBs And Makers - SlashGear
    Whether you're a small business owner or just a creative with a workshop, a laser machine can upgrade your setup. Find out what makes the xTool P3 so special.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพฤหัสบดีที่ 18 เดือนกันยายน พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 18 เดือนกันยายน พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี NPM แบบแพร่กระจายตัวเอง — ขโมยข้อมูลลับผ่าน GitHub Actions และคลาวด์”

    เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 โลกของนักพัฒนา JavaScript ต้องสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบการโจมตีแบบ supply chain ที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในระบบนิเวศของ NPM โดยมัลแวร์ที่ถูกตั้งชื่อว่า “Shai-Hulud” ได้แฝงตัวอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง @ctrl/tinycolor ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมกับอีกกว่า 180 แพ็กเกจที่ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกัน2

    มัลแวร์นี้ไม่ใช่แค่แฝงตัว — มันสามารถ “แพร่กระจายตัวเอง” ไปยังแพ็กเกจอื่น ๆ ที่ผู้ดูแลมีสิทธิ์เข้าถึง โดยใช้ฟังก์ชัน updatePackage เพื่อดึงรายชื่อแพ็กเกจจาก NPM API แล้วบังคับเผยแพร่เวอร์ชันใหม่ที่ฝัง bundle.js ซึ่งเป็นสคริปต์หลักของการโจมตี

    เป้าหมายของ Shai-Hulud คือการขโมยข้อมูลลับ เช่น AWS keys, GitHub tokens, GCP credentials และ Azure secrets โดยใช้เครื่องมือ TruffleHog ที่ปกติใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ถูกนำมาใช้ในทางร้าย มัลแวร์จะสแกนไฟล์ระบบและ environment variables เพื่อดึงข้อมูลลับทั้งหมด

    ที่น่ากลัวที่สุดคือการสร้าง persistence ผ่าน GitHub Actions โดยมัลแวร์จะ inject ไฟล์ workflow ชื่อ shai-hulud-workflow.yml ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ push โค้ด และส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน webhook ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า

    ข้อมูลที่ถูกขโมยจะถูกจัดเก็บในรูปแบบ JSON และอัปโหลดไปยัง repository สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อเอง ทำให้ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลลับเหล่านั้นได้ และยังมีการสร้าง branch ชื่อเดียวกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    แม้จะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากทีม NPM และ GitHub รวมถึงการลบแพ็กเกจที่ถูกโจมตีออกจาก registry แล้ว แต่การโจมตียังคงดำเนินต่อไป โดยมีการพบ repository ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทุกวัน และมีข้อมูลลับที่ยังไม่ถูกเพิกถอนอีกหลายรายการ

    ข้อมูลสำคัญจากเหตุการณ์
    แพ็กเกจ @ctrl/tinycolor และอีกกว่า 180 แพ็กเกจถูกฝังมัลแวร์ Shai-Hulud
    มัลแวร์สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นของผู้ดูแลผ่าน NPM API
    ใช้ TruffleHog เพื่อสแกนหา credentials จากไฟล์ระบบและ environment variables
    สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ข้อมูลลับถูกอัปโหลดไปยัง repo สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อ

    กลไกการทำงานของมัลแวร์
    bundle.js เป็นสคริปต์หลักที่ถูกฝังใน postinstall script ของ package.json
    ใช้ Webpack modular design เพื่อแยกฟังก์ชันการโจมตี เช่น OS recon, credential harvesting, propagation
    ตรวจสอบระบบปฏิบัติการก่อนทำงาน — targeting Linux/macOS โดยเฉพาะ
    ใช้ GitHub API เพื่อสร้าง branch และ push workflow โดยใช้ token ของเหยื่อ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชื่อ “Shai-Hulud” มาจาก sandworm ในนิยาย Dune — สื่อถึงการแพร่กระจายแบบหนอน
    การโจมตีคล้ายกับแคมเปญก่อนหน้า เช่น s1ngularity และ GhostActions
    CrowdStrike ยืนยันว่าแพ็กเกจที่ถูกโจมตีไม่กระทบกับ Falcon sensor ของบริษัท
    StepSecurity และ Socket เป็นผู้ค้นพบและวิเคราะห์เชิงลึกของการโจมตีนี้

    https://www.stepsecurity.io/blog/ctrl-tinycolor-and-40-npm-packages-compromised
    🕷️ “Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี NPM แบบแพร่กระจายตัวเอง — ขโมยข้อมูลลับผ่าน GitHub Actions และคลาวด์” เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 โลกของนักพัฒนา JavaScript ต้องสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบการโจมตีแบบ supply chain ที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในระบบนิเวศของ NPM โดยมัลแวร์ที่ถูกตั้งชื่อว่า “Shai-Hulud” ได้แฝงตัวอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง @ctrl/tinycolor ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมกับอีกกว่า 180 แพ็กเกจที่ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกัน2 มัลแวร์นี้ไม่ใช่แค่แฝงตัว — มันสามารถ “แพร่กระจายตัวเอง” ไปยังแพ็กเกจอื่น ๆ ที่ผู้ดูแลมีสิทธิ์เข้าถึง โดยใช้ฟังก์ชัน updatePackage เพื่อดึงรายชื่อแพ็กเกจจาก NPM API แล้วบังคับเผยแพร่เวอร์ชันใหม่ที่ฝัง bundle.js ซึ่งเป็นสคริปต์หลักของการโจมตี เป้าหมายของ Shai-Hulud คือการขโมยข้อมูลลับ เช่น AWS keys, GitHub tokens, GCP credentials และ Azure secrets โดยใช้เครื่องมือ TruffleHog ที่ปกติใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ถูกนำมาใช้ในทางร้าย มัลแวร์จะสแกนไฟล์ระบบและ environment variables เพื่อดึงข้อมูลลับทั้งหมด ที่น่ากลัวที่สุดคือการสร้าง persistence ผ่าน GitHub Actions โดยมัลแวร์จะ inject ไฟล์ workflow ชื่อ shai-hulud-workflow.yml ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ push โค้ด และส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน webhook ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ข้อมูลที่ถูกขโมยจะถูกจัดเก็บในรูปแบบ JSON และอัปโหลดไปยัง repository สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อเอง ทำให้ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลลับเหล่านั้นได้ และยังมีการสร้าง branch ชื่อเดียวกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ แม้จะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากทีม NPM และ GitHub รวมถึงการลบแพ็กเกจที่ถูกโจมตีออกจาก registry แล้ว แต่การโจมตียังคงดำเนินต่อไป โดยมีการพบ repository ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทุกวัน และมีข้อมูลลับที่ยังไม่ถูกเพิกถอนอีกหลายรายการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากเหตุการณ์ ➡️ แพ็กเกจ @ctrl/tinycolor และอีกกว่า 180 แพ็กเกจถูกฝังมัลแวร์ Shai-Hulud ➡️ มัลแวร์สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นของผู้ดูแลผ่าน NPM API ➡️ ใช้ TruffleHog เพื่อสแกนหา credentials จากไฟล์ระบบและ environment variables ➡️ สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ข้อมูลลับถูกอัปโหลดไปยัง repo สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อ ✅ กลไกการทำงานของมัลแวร์ ➡️ bundle.js เป็นสคริปต์หลักที่ถูกฝังใน postinstall script ของ package.json ➡️ ใช้ Webpack modular design เพื่อแยกฟังก์ชันการโจมตี เช่น OS recon, credential harvesting, propagation ➡️ ตรวจสอบระบบปฏิบัติการก่อนทำงาน — targeting Linux/macOS โดยเฉพาะ ➡️ ใช้ GitHub API เพื่อสร้าง branch และ push workflow โดยใช้ token ของเหยื่อ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชื่อ “Shai-Hulud” มาจาก sandworm ในนิยาย Dune — สื่อถึงการแพร่กระจายแบบหนอน ➡️ การโจมตีคล้ายกับแคมเปญก่อนหน้า เช่น s1ngularity และ GhostActions ➡️ CrowdStrike ยืนยันว่าแพ็กเกจที่ถูกโจมตีไม่กระทบกับ Falcon sensor ของบริษัท ➡️ StepSecurity และ Socket เป็นผู้ค้นพบและวิเคราะห์เชิงลึกของการโจมตีนี้ https://www.stepsecurity.io/blog/ctrl-tinycolor-and-40-npm-packages-compromised
    WWW.STEPSECURITY.IO
    ctrl/tinycolor and 40+ NPM Packages Compromised - StepSecurity
    The popular @ctrl/tinycolor package with over 2 million weekly downloads has been compromised alongside 40+ other NPM packages in a sophisticated supply chain attack dubbed "Shai-Hulud". The malware self-propagates across maintainer packages, harvests AWS/GCP/Azure credentials using TruffleHog, and establishes persistence through GitHub Actions backdoors - representing a major escalation in NPM ecosystem threats.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • BONNY ขอท้าพิสูจน์! เครื่องหั่นผัก 1 ตัว แทนแรงงานได้กี่คน?

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมธุรกิจอาหารที่เติบโตเร็ว ถึงใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย? เพราะนั่นคือการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว

    BONNY เครื่องหั่นผัก (Vegetable Cutter) คือคำตอบ!
    ประสิทธิภาพสูง: หั่นผักได้ 50-100 kg/hr ด้วยมอเตอร์ 1 แรงม้า
    สารพัดประโยชน์: เปลี่ยนจานใบมีดได้ถึง 6 แบบ ทั้งหั่นเต๋า หั่นฝอย หรือหั่นแว่น
    แข็งแรงทนทาน: น้ำหนัก 26 kg. ขนาดกระทัดรัด 50x23x55 ซม. เคลื่อนย้ายง่าย

    ไม่ว่าจะเป็นแครอท หรือกะหล่ำปลี ก็หั่นได้เนียนกริบ สม่ำเสมอ พร้อมส่งเข้ากระบวนการผลิตต่อทันที!

    สนใจยกระดับธุรกิจของคุณ?
    ปรึกษาฟรี! ติดต่อเราได้เลย
    m.me/yonghahheng
    02-215-3515-9, 081-3189098

    #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องหั่น #เครื่องสไลด์ #เครื่องบด #เครื่องครัวร้านอาหาร #เครื่องหั่นเต๋า #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #หั่นผัก #หั่นเต๋า #หั่นเผือก #หั่นแครอท #หั่นกะหล่ำปลี #ร้านอาหาร #ธุรกิจอาหาร #ครัวร้านอาหาร #อาหารแปรรูป #โรงงานอาหาร #เครื่องครัว #อุปกรณ์ร้านอาหาร #SMEไทย #เครื่องจักรอาหาร #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพ #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #ยงฮะเฮง #BONNY #Yonghahheng #VegetableCutter #FoodProcessingMachine
    BONNY ขอท้าพิสูจน์! เครื่องหั่นผัก 1 ตัว แทนแรงงานได้กี่คน? เคยสงสัยไหมว่าทำไมธุรกิจอาหารที่เติบโตเร็ว ถึงใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย? เพราะนั่นคือการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว BONNY เครื่องหั่นผัก (Vegetable Cutter) คือคำตอบ! ✨ ประสิทธิภาพสูง: หั่นผักได้ 50-100 kg/hr ด้วยมอเตอร์ 1 แรงม้า ✨ สารพัดประโยชน์: เปลี่ยนจานใบมีดได้ถึง 6 แบบ ทั้งหั่นเต๋า หั่นฝอย หรือหั่นแว่น ✨ แข็งแรงทนทาน: น้ำหนัก 26 kg. ขนาดกระทัดรัด 50x23x55 ซม. เคลื่อนย้ายง่าย ไม่ว่าจะเป็นแครอท หรือกะหล่ำปลี ก็หั่นได้เนียนกริบ สม่ำเสมอ พร้อมส่งเข้ากระบวนการผลิตต่อทันที! สนใจยกระดับธุรกิจของคุณ? ปรึกษาฟรี! ติดต่อเราได้เลย 👇 📥 m.me/yonghahheng 📞 02-215-3515-9, 081-3189098 #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องหั่น #เครื่องสไลด์ #เครื่องบด #เครื่องครัวร้านอาหาร #เครื่องหั่นเต๋า #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #หั่นผัก #หั่นเต๋า #หั่นเผือก #หั่นแครอท #หั่นกะหล่ำปลี #ร้านอาหาร #ธุรกิจอาหาร #ครัวร้านอาหาร #อาหารแปรรูป #โรงงานอาหาร #เครื่องครัว #อุปกรณ์ร้านอาหาร #SMEไทย #เครื่องจักรอาหาร #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพ #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #ยงฮะเฮง #BONNY #Yonghahheng #VegetableCutter #FoodProcessingMachine
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ขายหุ้น Altera ลดต้นทุนปี 2025 — พลิกเกมการเงินหลังขาดทุนหนักในยุคก่อน”

    หลังจากเผชิญกับภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ Intel ได้ตัดสินใจขายหุ้น 51% ของธุรกิจชิปแบบปรับแต่งได้ Altera ให้กับบริษัทเอกชน Silver Lake ด้วยมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงครึ่งหนึ่ง การขายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปลดภาระ แต่เป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan

    ผลจากการขายทำให้ Intel ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2025 ลงเหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้านดอลลาร์ โดยยังคงเป้าหมายปี 2026 ไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ การลดค่าใช้จ่ายนี้ช่วยให้ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เคยกังวลกับการขาดทุนสะสมกว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

    Altera ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ Intel หวังจะใช้ขยายตลาดด้าน programmable chips รายงานรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 พร้อมกำไรขั้นต้น 55% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 356 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้นให้ Silver Lake ทำให้ Intel ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ Intel ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กร เช่น ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% และเปลี่ยนแปลงทีมบริหาร พร้อมกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แปลงเงินสนับสนุนในยุค Biden เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินและความสามารถในการแข่งขันในตลาดชิปที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ขายหุ้น 51% ของ Altera ให้ Silver Lake มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์
    ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายปี 2025 เหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้าน
    ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% หลังประกาศข่าว
    Altera เคยมีรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก และกำไรขั้นต้น 55%

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เน้นลดต้นทุนและปรับโครงสร้าง
    ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% ภายในสิ้นปี
    รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้น 10% ผ่านการแปลงเงินสนับสนุนเป็นทุน
    เป้าหมายปี 2026 ยังคงไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Altera เป็นผู้นำด้าน FPGA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาด AI และ embedded systems
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพลิกฟื้นธุรกิจเทคโนโลยี
    การขายหุ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 356 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    Intel ยังถือหุ้น 49% ใน Altera — มีสิทธิ์ร่วมรับผลประโยชน์ในอนาคต

    คำเตือนและข้อจำกัด
    มูลค่าการขาย Altera ต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงเกือบครึ่ง
    การลดพนักงานอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและความสามารถในการดำเนินงาน
    การพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลอาจมีข้อจำกัดด้านนโยบายในอนาคต
    หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหญ่สำหรับเทคโนโลยี 14A ได้ อาจต้องยกเลิกสายการผลิต
    ตลาดชิปยังแข่งขันสูงจากคู่แข่งอย่าง AMD, Nvidia และ TSMC — Intel ต้องเร่งปรับตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/intel-lowers-full-year-expense-target
    💸 “Intel ขายหุ้น Altera ลดต้นทุนปี 2025 — พลิกเกมการเงินหลังขาดทุนหนักในยุคก่อน” หลังจากเผชิญกับภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ Intel ได้ตัดสินใจขายหุ้น 51% ของธุรกิจชิปแบบปรับแต่งได้ Altera ให้กับบริษัทเอกชน Silver Lake ด้วยมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงครึ่งหนึ่ง การขายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปลดภาระ แต่เป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ผลจากการขายทำให้ Intel ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2025 ลงเหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้านดอลลาร์ โดยยังคงเป้าหมายปี 2026 ไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ การลดค่าใช้จ่ายนี้ช่วยให้ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เคยกังวลกับการขาดทุนสะสมกว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 Altera ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ Intel หวังจะใช้ขยายตลาดด้าน programmable chips รายงานรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 พร้อมกำไรขั้นต้น 55% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 356 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้นให้ Silver Lake ทำให้ Intel ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักได้มากขึ้น นอกจากนี้ Intel ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กร เช่น ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% และเปลี่ยนแปลงทีมบริหาร พร้อมกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แปลงเงินสนับสนุนในยุค Biden เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินและความสามารถในการแข่งขันในตลาดชิปที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ขายหุ้น 51% ของ Altera ให้ Silver Lake มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายปี 2025 เหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้าน ➡️ ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% หลังประกาศข่าว ➡️ Altera เคยมีรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก และกำไรขั้นต้น 55% ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เน้นลดต้นทุนและปรับโครงสร้าง ➡️ ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% ภายในสิ้นปี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้น 10% ผ่านการแปลงเงินสนับสนุนเป็นทุน ➡️ เป้าหมายปี 2026 ยังคงไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Altera เป็นผู้นำด้าน FPGA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาด AI และ embedded systems ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพลิกฟื้นธุรกิจเทคโนโลยี ➡️ การขายหุ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 356 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ Intel ยังถือหุ้น 49% ใน Altera — มีสิทธิ์ร่วมรับผลประโยชน์ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ มูลค่าการขาย Altera ต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงเกือบครึ่ง ⛔ การลดพนักงานอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและความสามารถในการดำเนินงาน ⛔ การพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลอาจมีข้อจำกัดด้านนโยบายในอนาคต ⛔ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหญ่สำหรับเทคโนโลยี 14A ได้ อาจต้องยกเลิกสายการผลิต ⛔ ตลาดชิปยังแข่งขันสูงจากคู่แข่งอย่าง AMD, Nvidia และ TSMC — Intel ต้องเร่งปรับตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/intel-lowers-full-year-expense-target
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel trims full-year expense outlook following Altera stake sale
    (Reuters) - Intel said on Monday it has lowered its full-year 2025 adjusted operating expense target to $16.8 billion, from $17 billion earlier, to reflect the deconsolidation of its programmable chip business, Altera.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์”

    ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos

    Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ

    App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ

    แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ
    ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ
    ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม
    ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว
    PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก

    การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม
    เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย
    เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป
    ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ
    รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด
    การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว
    ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ
    Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    🛡️ “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์” ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ ➡️ ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ ➡️ ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม ➡️ ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ✅ การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม ➡️ เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย ➡️ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ ➡️ รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด ➡️ การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว ➡️ ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ ➡️ Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Protecting Your Teens & Kids Online Just Got Much Easier If They Use Apple Devices - SlashGear
    Protecting kids online is something Apple takes seriously, so its newest options in the latest versions of its operating systems are a welcome change.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง”

    การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น

    ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน
    มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032
    ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน
    ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก

    ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน
    ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน
    แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย
    เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
    เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ)
    ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย
    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า
    การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง

    https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    🌞 “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง” การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน ➡️ มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ➡️ ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ➡️ ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก ✅ ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน ➡️ ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน ➡️ แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย ➡️ เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ➡️ เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ) ➡️ ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย ➡️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า ➡️ การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Solar Water Heater: The Pros And Cons Of Using One In Your Home - SlashGear
    Solar water heaters can provide up to 80% of your hot water needs, but installation costs, roof space, and sunlight exposure determine if it’s worth it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ”

    ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ

    การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ

    ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน

    นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
    ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง
    ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ
    ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป

    กลไกที่อธิบายผลกระทบ
    การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น
    เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา
    แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด
    ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี
    RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ
    การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม
    การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ

    https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    🧠 “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ” ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ➡️ ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง ➡️ ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ ➡️ ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ✅ กลไกที่อธิบายผลกระทบ ➡️ การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น ➡️ เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ➡️ แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด ➡️ ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี ➡️ RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ ➡️ การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม ➡️ การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สูตรขนมคุณยายพังเพราะกล่องเค้กหด — Shrinkflation ทำลายความทรงจำหวาน ๆ ที่อบมาเป็นสิบปี”

    ในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนจะ “เล็กลง” โดยไม่บอกใคร กล่องเค้กมิกซ์ของ Betty Crocker ก็ไม่รอดจากกระแส shrinkflation เช่นกัน จากขนาดดั้งเดิม 18.25 ออนซ์ในอดีต ลดลงเหลือเพียง 13.25 ออนซ์ในปี 2025 — หายไปถึง 27% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดกล่องหรือคำแนะนำการใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคหลายคน โดยเฉพาะคุณยายสายอบขนม รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง

    หนึ่งในเสียงสะท้อนที่ชัดเจนคือ Judith คุณยายที่เคยนำ “chocolate crinkle cookies” ไปงานเลี้ยงชุมชนตลอด 15 ปี แต่เมื่อสูตรที่เคยใช้ได้ผล — เค้กมิกซ์ 1 กล่อง + ไข่ 2 ฟอง + น้ำมัน ⅓ ถ้วย — กลับให้ผลลัพธ์เป็นคุกกี้แฉะ ๆ ไม่ฟูเหมือนเดิม เธอถึงกับเรียกสูตรนี้ว่า “ใช้ไม่ได้อีกต่อไป” และปฏิเสธที่จะซื้อเพิ่มเพื่อชดเชยปริมาณที่หายไป เพราะ “มันขัดหลักการ”

    ไม่ใช่แค่คุกกี้ที่พัง แต่สูตรขนมบ้าน ๆ อย่าง dump cake, crumble, แพนเค้ก และอีกมากมายที่ใช้เค้กมิกซ์เป็นฐาน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน บางคนใน Reddit ยังตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเปลี่ยนสูตรภายใน เช่น ปริมาณสารพองตัว (leaveners) ที่ทำให้เค้กดูฟูตอนอบ แต่ยุบตัวเมื่อเย็นลง

    ในยุคที่การอบขนมคือศาสตร์แห่งความแม่นยำ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ไม่แจ้งให้ทราบอาจทำลายสูตรที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น และทำให้ความทรงจำที่อบออกมาจากเตา กลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่สามารถทำซ้ำได้อีก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ขนาดกล่องเค้กมิกซ์ Betty Crocker ลดลงจาก 18.25 ออนซ์ เหลือ 13.25 ออนซ์
    สูตรคุกกี้ของ Judith ที่เคยใช้ได้ผล กลับให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนเดิม
    การลดขนาดกล่องไม่ได้แจ้งให้ผู้บริโภคทราบอย่างชัดเจน
    สูตรขนมอื่น ๆ ที่ใช้เค้กมิกซ์เป็นฐานก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    ปฏิกิริยาจากผู้บริโภค
    Judith ปฏิเสธที่จะซื้อเพิ่มเพื่อชดเชยปริมาณที่หายไป “เพราะขัดหลักการ”
    ผู้บริโภคหลายคนรู้สึกว่าคุณภาพของขนมที่อบออกมาเปลี่ยนไป
    มีข้อสงสัยว่าอาจมีการเปลี่ยนสูตรภายใน เช่น ปริมาณสารพองตัว
    ความเปลี่ยนแปลงนี้กระทบต่อสูตรขนมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shrinkflation คือการลดปริมาณสินค้าโดยไม่ลดราคา — พบได้ในหลายอุตสาหกรรม
    การอบขนมต้องการความแม่นยำในสัดส่วนวัตถุดิบ — การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ส่งผลใหญ่
    เค้กมิกซ์เป็นวัตถุดิบหลักในสูตรขนมบ้าน ๆ ที่แพร่หลายทั่วสหรัฐฯ
    แบรนด์ที่ไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงอาจสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคระยะยาว

    https://www.cubbyathome.com/boxed-cake-mix-sizes-have-shrunk-80045058
    🎂 “สูตรขนมคุณยายพังเพราะกล่องเค้กหด — Shrinkflation ทำลายความทรงจำหวาน ๆ ที่อบมาเป็นสิบปี” ในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนจะ “เล็กลง” โดยไม่บอกใคร กล่องเค้กมิกซ์ของ Betty Crocker ก็ไม่รอดจากกระแส shrinkflation เช่นกัน จากขนาดดั้งเดิม 18.25 ออนซ์ในอดีต ลดลงเหลือเพียง 13.25 ออนซ์ในปี 2025 — หายไปถึง 27% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดกล่องหรือคำแนะนำการใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคหลายคน โดยเฉพาะคุณยายสายอบขนม รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง หนึ่งในเสียงสะท้อนที่ชัดเจนคือ Judith คุณยายที่เคยนำ “chocolate crinkle cookies” ไปงานเลี้ยงชุมชนตลอด 15 ปี แต่เมื่อสูตรที่เคยใช้ได้ผล — เค้กมิกซ์ 1 กล่อง + ไข่ 2 ฟอง + น้ำมัน ⅓ ถ้วย — กลับให้ผลลัพธ์เป็นคุกกี้แฉะ ๆ ไม่ฟูเหมือนเดิม เธอถึงกับเรียกสูตรนี้ว่า “ใช้ไม่ได้อีกต่อไป” และปฏิเสธที่จะซื้อเพิ่มเพื่อชดเชยปริมาณที่หายไป เพราะ “มันขัดหลักการ” ไม่ใช่แค่คุกกี้ที่พัง แต่สูตรขนมบ้าน ๆ อย่าง dump cake, crumble, แพนเค้ก และอีกมากมายที่ใช้เค้กมิกซ์เป็นฐาน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน บางคนใน Reddit ยังตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเปลี่ยนสูตรภายใน เช่น ปริมาณสารพองตัว (leaveners) ที่ทำให้เค้กดูฟูตอนอบ แต่ยุบตัวเมื่อเย็นลง ในยุคที่การอบขนมคือศาสตร์แห่งความแม่นยำ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ไม่แจ้งให้ทราบอาจทำลายสูตรที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น และทำให้ความทรงจำที่อบออกมาจากเตา กลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่สามารถทำซ้ำได้อีก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ขนาดกล่องเค้กมิกซ์ Betty Crocker ลดลงจาก 18.25 ออนซ์ เหลือ 13.25 ออนซ์ ➡️ สูตรคุกกี้ของ Judith ที่เคยใช้ได้ผล กลับให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนเดิม ➡️ การลดขนาดกล่องไม่ได้แจ้งให้ผู้บริโภคทราบอย่างชัดเจน ➡️ สูตรขนมอื่น ๆ ที่ใช้เค้กมิกซ์เป็นฐานก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ✅ ปฏิกิริยาจากผู้บริโภค ➡️ Judith ปฏิเสธที่จะซื้อเพิ่มเพื่อชดเชยปริมาณที่หายไป “เพราะขัดหลักการ” ➡️ ผู้บริโภคหลายคนรู้สึกว่าคุณภาพของขนมที่อบออกมาเปลี่ยนไป ➡️ มีข้อสงสัยว่าอาจมีการเปลี่ยนสูตรภายใน เช่น ปริมาณสารพองตัว ➡️ ความเปลี่ยนแปลงนี้กระทบต่อสูตรขนมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shrinkflation คือการลดปริมาณสินค้าโดยไม่ลดราคา — พบได้ในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การอบขนมต้องการความแม่นยำในสัดส่วนวัตถุดิบ — การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ส่งผลใหญ่ ➡️ เค้กมิกซ์เป็นวัตถุดิบหลักในสูตรขนมบ้าน ๆ ที่แพร่หลายทั่วสหรัฐฯ ➡️ แบรนด์ที่ไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงอาจสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคระยะยาว https://www.cubbyathome.com/boxed-cake-mix-sizes-have-shrunk-80045058
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน”

    ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU

    หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ

    ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี
    ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
    โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa
    แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร

    กระบวนการผลิตและทีมวิจัย
    สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂
    เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
    ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue
    ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ
    ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ
    เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป
    การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน

    https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    🍇 “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน” ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี ➡️ ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ➡️ โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa ➡️ แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ✅ กระบวนการผลิตและทีมวิจัย ➡️ สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂ ➡️ เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ➡️ ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue ➡️ ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ ➡️ ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ ➡️ เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป ➡️ การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    WWW.SDSTATE.EDU
    Can grapevines help slow the plastic waste problem?
    A new study from South Dakota State University reveals how grapevine canes can be converted into plastic-like material that is stronger than traditional plastic and will decompose in the environment in a relatively short amount of time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน!

    เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว"

    ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น

    ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป

    #Newskit
    ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน! เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว" ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป #Newskit
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดบัญชีกรุงไทยผ่านแอปฯ เป๋าตัง เลือก 3 ตัวหน้าได้เองไม่ต้องไปสาขา

    แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ถ้าไม่เคยมีบัญชีธนาคารกรุงไทยมาก่อน หรือมีแล้วอยากเปิดเพิ่ม สามารถเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป๋ามีตัง (Pao Mee Tang e-Savings) ได้โดยไม่ต้องไปสาขา และไม่มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี เพียงแค่กรอกเลข Laser ID ด้านหลังบัตรประชาชน และสแกนใบหน้า ไม่ถึง 5 นาทีเป็นอันเสร็จสิ้น

    นอกจากนี้ สามารถเลือกเลขที่บัญชี 3 ตัวหน้าได้เองจากรหัสสาขา โดยเลขหลักที่สี่เป็นเลข 0 หมายถึงบัญชีออมทรัพย์ ค้นหารหัสสาขา 3 หลักได้จากเว็บไซต์ krungthai.com เลือกเมนู "จุดให้บริการ" (Location) กรอกเลข 3 หลักในช่อง "ค้นหาจากรหัสสาขา" (Search by branch code) หากไม่พบแสดงว่าสาขานี้ปิดถาวร แต่ก็มีบางสาขาอาจปิดไปแล้ว

    คำเตือน บัญชีนี้ทำธุรกรรมได้เฉพาะแอปฯ เป๋าตังเท่านั้น ไม่สามารถเพิ่มบัญชีลงในแอปฯ Krungthai Next ได้ แต่สามารถใช้บริการแจ้งเตือน Krungthai Connext ผ่าน LINE ได้

    การฝากเงินสดผ่านสาขาธนาคารและเครื่อง ADM หากเปิดบัญชีสาขาต่างจังหวัด มีค่าธรรมเนียมข้ามเขต แนะนำให้โอนเงินผ่านแอปฯ ธนาคาร ไปยังบัญชีเป๋ามีตัง ส่วนการโอนเงินออกทำรายการผ่านแอปฯ เป๋าตัง เลือกช่องทางโอนเงิน "บัญชีเป๋ามีตัง"

    กรณีเปิดบัญชีเป็นจำนวนเงินศูนย์บาท หากไม่ทำรายการเคลื่อนไหว (ฝาก-ถอน) ภายในระยะเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารขอสงวนสิทธิปิดบัญชี

    กรณีบัญชีไม่เคลื่อนไหว 1 ปี และมียอดเงินคงเหลือต่ากว่า 2,000 บาท มีค่ารักษาบัญชี 50 บาทต่อเดือน หากยอดเงินคงเหลือ 0 บาทติดต่อกัน 1 ปี จะปิดบัญชีโดยอัตโนมัติ

    รหัสสาขาเลขสวย (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

    เลขตอง
    000-0 สาขานานาเหนือ
    111-0 สาขาลพบุรี
    222-0 สาขาบางคล้า
    333-0 สาขาบุณฑริก
    444-0 สาขาอากาศอำนวย

    เลขหลักพัน
    500-0 สาขาแม่เมาะ
    600-0 สาขาโลตัส อุตรดิตถ์
    800-0 สาขาหัวหมากทาวน์เซ็นเตอร์
    900-0 สาขาแก่งคอย

    เลขลงท้าย 88
    088-0 สาขาศาลาว่าการ กทม.
    188-0 สาขาพัฒนาการ 65
    288-0 สาขาคูเมือง
    388-0 สาขาโลตัส ถลาง
    488-0 สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
    688-0 สาขาศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2

    เลขลงท้าย 99
    399-0 สาขาโลตัส บางใหญ่
    799-0 สาขาฟอร์จูนทาวน์

    เลขเรียง
    123-0 สาขาปากเกร็ด
    234-0 สาขามาบตาพุด
    567-0 สาขาตลาดวงศกร
    789-0 สาขาโลตัส ขอนแก่น*
    * เลขรวยด้วยกันไปนานๆ (เลขมังกร)

    เลขรวยทางเดียว (ฮกลกซิ่ว)
    618-0 สาขาศรีสำโรง
    816-0 สาขาตลาดหัวอิฐ

    เลขรวยง่ายไปนานๆ (เลขหงส์)
    829-0 สาขาเกาะสมุย

    เลขส่งเสริมด้านการค้า การเงิน (เลขกวนอู)
    369-0 สาขาสะเดา

    #Newskit
    เปิดบัญชีกรุงไทยผ่านแอปฯ เป๋าตัง เลือก 3 ตัวหน้าได้เองไม่ต้องไปสาขา แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ถ้าไม่เคยมีบัญชีธนาคารกรุงไทยมาก่อน หรือมีแล้วอยากเปิดเพิ่ม สามารถเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป๋ามีตัง (Pao Mee Tang e-Savings) ได้โดยไม่ต้องไปสาขา และไม่มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี เพียงแค่กรอกเลข Laser ID ด้านหลังบัตรประชาชน และสแกนใบหน้า ไม่ถึง 5 นาทีเป็นอันเสร็จสิ้น นอกจากนี้ สามารถเลือกเลขที่บัญชี 3 ตัวหน้าได้เองจากรหัสสาขา โดยเลขหลักที่สี่เป็นเลข 0 หมายถึงบัญชีออมทรัพย์ ค้นหารหัสสาขา 3 หลักได้จากเว็บไซต์ krungthai.com เลือกเมนู "จุดให้บริการ" (Location) กรอกเลข 3 หลักในช่อง "ค้นหาจากรหัสสาขา" (Search by branch code) หากไม่พบแสดงว่าสาขานี้ปิดถาวร แต่ก็มีบางสาขาอาจปิดไปแล้ว คำเตือน บัญชีนี้ทำธุรกรรมได้เฉพาะแอปฯ เป๋าตังเท่านั้น ไม่สามารถเพิ่มบัญชีลงในแอปฯ Krungthai Next ได้ แต่สามารถใช้บริการแจ้งเตือน Krungthai Connext ผ่าน LINE ได้ การฝากเงินสดผ่านสาขาธนาคารและเครื่อง ADM หากเปิดบัญชีสาขาต่างจังหวัด มีค่าธรรมเนียมข้ามเขต แนะนำให้โอนเงินผ่านแอปฯ ธนาคาร ไปยังบัญชีเป๋ามีตัง ส่วนการโอนเงินออกทำรายการผ่านแอปฯ เป๋าตัง เลือกช่องทางโอนเงิน "บัญชีเป๋ามีตัง" กรณีเปิดบัญชีเป็นจำนวนเงินศูนย์บาท หากไม่ทำรายการเคลื่อนไหว (ฝาก-ถอน) ภายในระยะเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารขอสงวนสิทธิปิดบัญชี กรณีบัญชีไม่เคลื่อนไหว 1 ปี และมียอดเงินคงเหลือต่ากว่า 2,000 บาท มีค่ารักษาบัญชี 50 บาทต่อเดือน หากยอดเงินคงเหลือ 0 บาทติดต่อกัน 1 ปี จะปิดบัญชีโดยอัตโนมัติ รหัสสาขาเลขสวย (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) เลขตอง 000-0 สาขานานาเหนือ 111-0 สาขาลพบุรี 222-0 สาขาบางคล้า 333-0 สาขาบุณฑริก 444-0 สาขาอากาศอำนวย เลขหลักพัน 500-0 สาขาแม่เมาะ 600-0 สาขาโลตัส อุตรดิตถ์ 800-0 สาขาหัวหมากทาวน์เซ็นเตอร์ 900-0 สาขาแก่งคอย เลขลงท้าย 88 088-0 สาขาศาลาว่าการ กทม. 188-0 สาขาพัฒนาการ 65 288-0 สาขาคูเมือง 388-0 สาขาโลตัส ถลาง 488-0 สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ 688-0 สาขาศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เลขลงท้าย 99 399-0 สาขาโลตัส บางใหญ่ 799-0 สาขาฟอร์จูนทาวน์ เลขเรียง 123-0 สาขาปากเกร็ด 234-0 สาขามาบตาพุด 567-0 สาขาตลาดวงศกร 789-0 สาขาโลตัส ขอนแก่น* * เลขรวยด้วยกันไปนานๆ (เลขมังกร) เลขรวยทางเดียว (ฮกลกซิ่ว) 618-0 สาขาศรีสำโรง 816-0 สาขาตลาดหัวอิฐ เลขรวยง่ายไปนานๆ (เลขหงส์) 829-0 สาขาเกาะสมุย เลขส่งเสริมด้านการค้า การเงิน (เลขกวนอู) 369-0 สาขาสะเดา #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง หวังว่าเป็นแค่ข่าวลือ
    “หวังว่าเป็นแค่ข่าวลือ”
    ผมเป็นแฟนประจำของอาจารย์ทนงมากว่าสิบปี ตั้งแต่อาจารย์เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ The Nation อ่านบทความอาจารย์แล้วได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งความคิด เมื่อวานนี้อาจารย์ทนงรวบรวมเอาความเสือกของฝรั่งที่ต้องการโยงหรือจุ้นจ้าน การสืบสันตติวงศ์ของไทยและตอนนี้เหมือนกำลังเร่งเครื่องมาลงให้อ่าน แถมเอาบทความของ “สิริอัญญา” เรื่อง “ซีเรีย โมเดล” มาลงให้อ่านอีกด้วย สิริอัญญานี้ เป็นมือระดับครูในการวิเคราะห์การเมืองไทย และมองอะไรแบบจอกว้างมีมิติ น่าสนใจมาก
    บังเอิญวันก่อน มีคนมาเล่าให้ผมฟัง ว่าได้ยินพวกสายข่าวระดับลึก กระซิบคุยกันว่า ตอนนี้มีพวก Blackwater มาเป็นฝูง เหมาชั้นอยู่ที่โรงแรม Four Seasons คนเล่าถามผมว่า เขาจะปฏิบัติการ ว.5 กันอีกหรือไง แล้วไอ้น้ำดำนี่มันเป็นใคร
    ผมบอกไม่ใช่น้ำดำที่ตระกูลนั้น เขารับเหมาอยู่ และ Blackwater นี้ ถ้าเป็นอย่างที่ผมเข้าใจ มันจะเป็น ว. 5 แบบสยองไม่ใช่แบบเสียว หวังว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ
    เวลาจะมีปฎิบัติการสกปรก เก็บกวาดอะไรในประเทศเป้าหมาย อเมริกานักล่าสันดานชั่ว ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเข้าไปบุกให้มันอึกทึก ให้คนรู้คนเห็นกันทั้งเมืองแต่นักล่าจะจ้างหน่วยงานนอกระบบให้มารับทำอีกต่อหนึ่ง ค่าจ้างแพงมาก เขาว่าเป็นพันล้านเหรียญต่อหนึ่งปฎิบัติการ (แปลว่าประโยชน์ที่จะได้จากงานทำ ต้องคุ้มกับค่าจ้าง) หน่วยงานพวกนี้ส่วนมากเกิดมาจากพวกซีไอเอเก่า ทหารเก๋า ฯลฯ ออกมาตั้งบริษัท (ตามสั่ง ?!) เหมือนสมัยอเมริกามาตั้งฐานทัพในบ้านเรา ตอนรบกับเวียตนาม ด้านหนึ่งขนทหารขึ้นเครื่องบินไปถล่มเวียตนามซะกระจุย อีกด้านหนึ่งก็ตั้ง Sea Supply, Air America ไปทะลายลาว พ่วงเอาพี่เทพตองสามของผมไปด้วย มันก็เป็นสันดานที่ทำมาตั้งแต่สมัยนู้น 60 ปี มาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังทำอยู่ บอกแล้วมันชอบใช้แผนเดิม ๆ แค่เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนคน เปลี่ยนเครื่องมือให้สมัยใหม่เท่านั้น
    สมัยอเมริกาเริ่มไล่บี้อิรัค หน่วยงานเก็บกวาดที่ดังกระฉ่อน โลกในตอนนั้น คือ บริษัท Blackwater นี่แหละครับ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีชาวเมือง Michigan แทนที่จะทำมาหากินขายรถยนต์อย่าง พ่อ ดันไปสมัครเข้าหน่วยงาน Seal ของนักล่า ติดใจเหมือนคนได้สูดยา เขาบอกว่าเขาชอบบรรยากาศ ชอบกลิ่นไอของการต่อสู้ ชอบความรู้สึกเวลาไปปฎิบัติการ มันเร้าใจเหลือทน ก็เลยขายสมบัติเอาเงินมาตั้งศูนย์ ฝึกอบรมทหาร รับจ้างฝึกไอ้เณรให้กองทัพ ต่อมา Blackwater นี้เปลี่ยนชื่อเป็น Xe Servicess ในปี 2009 และเปลี่ยนเป็น Academi ในปี ค.ศ. 2011 เปลี่ยนชื่อคนบริหาร แต่ไม่เปลี่ยนแนว คนปฎิบัติการมีตั้งแต่อดีตนักการทูต นักจารกรรม นักธุรกิจ อดีตซีไอเอ อดีตทหารจากหน่วย Seal หน่วย Swat ฯลฯ ประเภทนักบู๋ครบเครื่อง ผู้วางแผนปฎิบัติการเป็นอดีตทหารระดับนายพล (ไม่ใช่ประเภทที่ได้รองเท้ากอล์ฟคู่เดียวมานะครับ อย่าเข้าใจผิด) ที่ผ่านการรบจนได้เหรียญกล้าหาญประดับแผงเต็มหน้าอก ตั้งแต่สมัยรบที่เกาหลี จนถึงรบกับกองโจรในปัจจุบัน ลูกทีมที่ร่วมปฎิบัติการมีสาระ พัดชาติ เรียกว่า เป็นสหประชาชาติ สาขาสองได้เลย ผลงานที่โดดเด่นไล่มา ตั้งแต่ ปานามา โซมาเลีย บอสเนีย อาฟกานิสถาน อิรัค ลิเบีย และล่าสุด ซีเรีย กับยูเครน
    ที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่ลิเบีย ยังเป็นเรื่องค้างคาจบไม่ลง ตอนไปปฎิบัติการยกทีมกันเป็น พัน ๆ คน (เขาว่าเอาไป 6,000 คน) เพื่อปฎิบัติการล้มระบอบกัดดา ฟี่ ฝั่งตัวอยู่ 4 ปี อยู่กับทั้งฝ่ายกบฏ และอยู่กับทั้งฝ่ายรัฐบาล เสี้ยมจนได้ที่ ให้ทั้ง 2 ฝ่าย รบกัน ในที่สุดก็ตายกันเป็นเบือทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละ รัฐบาลแพ้ กัดดาฟี่ถูกเก็บ แต่ฝ่ายกบฏก็ไม่ได้อำนาจเต็มที่ แต่เรื่องที่ค้างอยู่ คือ เรื่องฑูตอเมริกาขณะนั้น นาย Chris Stevens ถูกฆ่าตายที่หน้าสถานกงสุล จนบัดนี้ยังไม่รู้ฝีมือใคร เพราะอะไร ซ้อนกันไปซ่อนกันมา เอาเป็นว่าเมื่อตอนที่สภาสูงได้ตั้งคณะกรรมการสอบหาความจริง คุณนาย Clinton ซึ่งเป็นรมต.ต่างประเทศขณะนั้น ถูกซักถูกฟอกรอบใหญ่ เล่นเอาคุณนายถึงกับเกิดอาการลมจับ ล้มตึง หัวฟาดต้องเข้าโรงหมอ ออกมาก็ปากคอสั่นของดการให้สัมภาษณ์ จืดรับประทานอยู่นาน
    ชาวลิเบียบอกว่าอเมริกาฆ่าปิดปากกันเอง อเมริกาบอก เฮ้ย ! ไอไม่ได้ส่งทหารเข้าไปลิเบียเลยนะ เออ จริง ! ไม่ได้ไปเป็นกองทัพ แต่ดันจ้าง UN สาขา 2 นักเก็บกวาดมือพระกาฬเข้าไปซะ 6,000 คน แล้วจะแก้ตัวอย่างไรถึงจะหลุด ! ?
    ตอนนี้ นาย Eric Prince ไม่ได้เป็นหัวหน้าใหญ่แล้ว เพราะรู้มากไป รัฐบาลอเมริกันใช้วิธีปิดปาก ด้วยการให้สรรพากรตามไล่สอบเรื่องภาษี เลยหนีหน้าไปอยู่แถวอาฟริกา เขาว่าคนมาแทนชื่อ นาย Jamie F Smith เป็นซีไอเอเก่า เป็นผู้นำการปฎิบัติการที่ซีเรีย และยูเครน ผลเป็นอย่างไรคงพอรู้ข่าวกัน
    ผมนึกถึงเรื่องฑูต Stevens นอนตายอยู่หน้าสถานกงสุลอเมริกัน นึกถึงการเสือกของอเมริกาและพวก นึกถึงเป้าหมายที่แท้จริงของนักล่า นึกถึงซีเรียโมเดลที่ “สิริอัญญา” เขียน นึกถึงทฤษฎีฝูงผึ้ง ปฎิบัติการของนาย Gene Sharp (ผมเขียนไว้ในนิทานเรื่องยุทธการฝูงผึ้ง ช่วยกลับไปอ่านกันอีกสักรอบนะครับ เดี๋ยวจะเอา link มาลงใหม่) นึกถึงข่าวที่ว่า Blackwater เข้ามาอยู่ในบ้านเราแล้ว ผมขอให้เป็นแค่ข่าวลือ
    คนอ่านนิทานของผม ฉลาดหัวไวเข้าใจเรื่องเร็วกันทั้งนั้น ไม่ต้องเขียนมาก อย่างที่อาจารย์ทนงบอก ต้องระวัง เตรียมรับมือกันหน่อยครับ
    สวัสดีครับ (วันนี้ ฮาไม่ออก !)
คนเล่านิทาน
4 มิย. 57
    ลิงค์ประกอบโพสนี้
    ต้องระวัง เตรียมรับมือฝรั่งต้องการโยงหรือจุ้นจ้านการสืบสันติวงศ์ในไทย
https://www.facebook.com/ThanongFanclub/photos/a.141923686004014.1073741827.141826422680407/236958279833887/?type=1&theater
    ซีเรียโมเดล
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/photos/a.206278162804197.41238.206264556138891/600174116747931/?type=1&theater
    ยุทธการฝูงผึ้ง
https://www.dropbox.com/s/zrbj9r4g5oe0qr0/bb.pdf
    เรื่อง หวังว่าเป็นแค่ข่าวลือ “หวังว่าเป็นแค่ข่าวลือ” ผมเป็นแฟนประจำของอาจารย์ทนงมากว่าสิบปี ตั้งแต่อาจารย์เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ The Nation อ่านบทความอาจารย์แล้วได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งความคิด เมื่อวานนี้อาจารย์ทนงรวบรวมเอาความเสือกของฝรั่งที่ต้องการโยงหรือจุ้นจ้าน การสืบสันตติวงศ์ของไทยและตอนนี้เหมือนกำลังเร่งเครื่องมาลงให้อ่าน แถมเอาบทความของ “สิริอัญญา” เรื่อง “ซีเรีย โมเดล” มาลงให้อ่านอีกด้วย สิริอัญญานี้ เป็นมือระดับครูในการวิเคราะห์การเมืองไทย และมองอะไรแบบจอกว้างมีมิติ น่าสนใจมาก บังเอิญวันก่อน มีคนมาเล่าให้ผมฟัง ว่าได้ยินพวกสายข่าวระดับลึก กระซิบคุยกันว่า ตอนนี้มีพวก Blackwater มาเป็นฝูง เหมาชั้นอยู่ที่โรงแรม Four Seasons คนเล่าถามผมว่า เขาจะปฏิบัติการ ว.5 กันอีกหรือไง แล้วไอ้น้ำดำนี่มันเป็นใคร ผมบอกไม่ใช่น้ำดำที่ตระกูลนั้น เขารับเหมาอยู่ และ Blackwater นี้ ถ้าเป็นอย่างที่ผมเข้าใจ มันจะเป็น ว. 5 แบบสยองไม่ใช่แบบเสียว หวังว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ เวลาจะมีปฎิบัติการสกปรก เก็บกวาดอะไรในประเทศเป้าหมาย อเมริกานักล่าสันดานชั่ว ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเข้าไปบุกให้มันอึกทึก ให้คนรู้คนเห็นกันทั้งเมืองแต่นักล่าจะจ้างหน่วยงานนอกระบบให้มารับทำอีกต่อหนึ่ง ค่าจ้างแพงมาก เขาว่าเป็นพันล้านเหรียญต่อหนึ่งปฎิบัติการ (แปลว่าประโยชน์ที่จะได้จากงานทำ ต้องคุ้มกับค่าจ้าง) หน่วยงานพวกนี้ส่วนมากเกิดมาจากพวกซีไอเอเก่า ทหารเก๋า ฯลฯ ออกมาตั้งบริษัท (ตามสั่ง ?!) เหมือนสมัยอเมริกามาตั้งฐานทัพในบ้านเรา ตอนรบกับเวียตนาม ด้านหนึ่งขนทหารขึ้นเครื่องบินไปถล่มเวียตนามซะกระจุย อีกด้านหนึ่งก็ตั้ง Sea Supply, Air America ไปทะลายลาว พ่วงเอาพี่เทพตองสามของผมไปด้วย มันก็เป็นสันดานที่ทำมาตั้งแต่สมัยนู้น 60 ปี มาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังทำอยู่ บอกแล้วมันชอบใช้แผนเดิม ๆ แค่เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนคน เปลี่ยนเครื่องมือให้สมัยใหม่เท่านั้น สมัยอเมริกาเริ่มไล่บี้อิรัค หน่วยงานเก็บกวาดที่ดังกระฉ่อน โลกในตอนนั้น คือ บริษัท Blackwater นี่แหละครับ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีชาวเมือง Michigan แทนที่จะทำมาหากินขายรถยนต์อย่าง พ่อ ดันไปสมัครเข้าหน่วยงาน Seal ของนักล่า ติดใจเหมือนคนได้สูดยา เขาบอกว่าเขาชอบบรรยากาศ ชอบกลิ่นไอของการต่อสู้ ชอบความรู้สึกเวลาไปปฎิบัติการ มันเร้าใจเหลือทน ก็เลยขายสมบัติเอาเงินมาตั้งศูนย์ ฝึกอบรมทหาร รับจ้างฝึกไอ้เณรให้กองทัพ ต่อมา Blackwater นี้เปลี่ยนชื่อเป็น Xe Servicess ในปี 2009 และเปลี่ยนเป็น Academi ในปี ค.ศ. 2011 เปลี่ยนชื่อคนบริหาร แต่ไม่เปลี่ยนแนว คนปฎิบัติการมีตั้งแต่อดีตนักการทูต นักจารกรรม นักธุรกิจ อดีตซีไอเอ อดีตทหารจากหน่วย Seal หน่วย Swat ฯลฯ ประเภทนักบู๋ครบเครื่อง ผู้วางแผนปฎิบัติการเป็นอดีตทหารระดับนายพล (ไม่ใช่ประเภทที่ได้รองเท้ากอล์ฟคู่เดียวมานะครับ อย่าเข้าใจผิด) ที่ผ่านการรบจนได้เหรียญกล้าหาญประดับแผงเต็มหน้าอก ตั้งแต่สมัยรบที่เกาหลี จนถึงรบกับกองโจรในปัจจุบัน ลูกทีมที่ร่วมปฎิบัติการมีสาระ พัดชาติ เรียกว่า เป็นสหประชาชาติ สาขาสองได้เลย ผลงานที่โดดเด่นไล่มา ตั้งแต่ ปานามา โซมาเลีย บอสเนีย อาฟกานิสถาน อิรัค ลิเบีย และล่าสุด ซีเรีย กับยูเครน ที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่ลิเบีย ยังเป็นเรื่องค้างคาจบไม่ลง ตอนไปปฎิบัติการยกทีมกันเป็น พัน ๆ คน (เขาว่าเอาไป 6,000 คน) เพื่อปฎิบัติการล้มระบอบกัดดา ฟี่ ฝั่งตัวอยู่ 4 ปี อยู่กับทั้งฝ่ายกบฏ และอยู่กับทั้งฝ่ายรัฐบาล เสี้ยมจนได้ที่ ให้ทั้ง 2 ฝ่าย รบกัน ในที่สุดก็ตายกันเป็นเบือทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละ รัฐบาลแพ้ กัดดาฟี่ถูกเก็บ แต่ฝ่ายกบฏก็ไม่ได้อำนาจเต็มที่ แต่เรื่องที่ค้างอยู่ คือ เรื่องฑูตอเมริกาขณะนั้น นาย Chris Stevens ถูกฆ่าตายที่หน้าสถานกงสุล จนบัดนี้ยังไม่รู้ฝีมือใคร เพราะอะไร ซ้อนกันไปซ่อนกันมา เอาเป็นว่าเมื่อตอนที่สภาสูงได้ตั้งคณะกรรมการสอบหาความจริง คุณนาย Clinton ซึ่งเป็นรมต.ต่างประเทศขณะนั้น ถูกซักถูกฟอกรอบใหญ่ เล่นเอาคุณนายถึงกับเกิดอาการลมจับ ล้มตึง หัวฟาดต้องเข้าโรงหมอ ออกมาก็ปากคอสั่นของดการให้สัมภาษณ์ จืดรับประทานอยู่นาน ชาวลิเบียบอกว่าอเมริกาฆ่าปิดปากกันเอง อเมริกาบอก เฮ้ย ! ไอไม่ได้ส่งทหารเข้าไปลิเบียเลยนะ เออ จริง ! ไม่ได้ไปเป็นกองทัพ แต่ดันจ้าง UN สาขา 2 นักเก็บกวาดมือพระกาฬเข้าไปซะ 6,000 คน แล้วจะแก้ตัวอย่างไรถึงจะหลุด ! ? ตอนนี้ นาย Eric Prince ไม่ได้เป็นหัวหน้าใหญ่แล้ว เพราะรู้มากไป รัฐบาลอเมริกันใช้วิธีปิดปาก ด้วยการให้สรรพากรตามไล่สอบเรื่องภาษี เลยหนีหน้าไปอยู่แถวอาฟริกา เขาว่าคนมาแทนชื่อ นาย Jamie F Smith เป็นซีไอเอเก่า เป็นผู้นำการปฎิบัติการที่ซีเรีย และยูเครน ผลเป็นอย่างไรคงพอรู้ข่าวกัน ผมนึกถึงเรื่องฑูต Stevens นอนตายอยู่หน้าสถานกงสุลอเมริกัน นึกถึงการเสือกของอเมริกาและพวก นึกถึงเป้าหมายที่แท้จริงของนักล่า นึกถึงซีเรียโมเดลที่ “สิริอัญญา” เขียน นึกถึงทฤษฎีฝูงผึ้ง ปฎิบัติการของนาย Gene Sharp (ผมเขียนไว้ในนิทานเรื่องยุทธการฝูงผึ้ง ช่วยกลับไปอ่านกันอีกสักรอบนะครับ เดี๋ยวจะเอา link มาลงใหม่) นึกถึงข่าวที่ว่า Blackwater เข้ามาอยู่ในบ้านเราแล้ว ผมขอให้เป็นแค่ข่าวลือ คนอ่านนิทานของผม ฉลาดหัวไวเข้าใจเรื่องเร็วกันทั้งนั้น ไม่ต้องเขียนมาก อย่างที่อาจารย์ทนงบอก ต้องระวัง เตรียมรับมือกันหน่อยครับ สวัสดีครับ (วันนี้ ฮาไม่ออก !)
คนเล่านิทาน
4 มิย. 57 ลิงค์ประกอบโพสนี้ ต้องระวัง เตรียมรับมือฝรั่งต้องการโยงหรือจุ้นจ้านการสืบสันติวงศ์ในไทย
https://www.facebook.com/ThanongFanclub/photos/a.141923686004014.1073741827.141826422680407/236958279833887/?type=1&theater ซีเรียโมเดล
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/photos/a.206278162804197.41238.206264556138891/600174116747931/?type=1&theater ยุทธการฝูงผึ้ง
https://www.dropbox.com/s/zrbj9r4g5oe0qr0/bb.pdf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ธนิตพล' ลั่น 'ปชป.' ไม่นิ่งดูดาย เคาะวันประชุมหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ 18 ก.ย.นี้!
    https://www.thai-tai.tv/news/21483/
    .
    #ไทยไท #พรรคประชาธิปัตย์ #ธนิตพลไชยนันทน์ #เลือกตั้ง #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    'ธนิตพล' ลั่น 'ปชป.' ไม่นิ่งดูดาย เคาะวันประชุมหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ 18 ก.ย.นี้! https://www.thai-tai.tv/news/21483/ . #ไทยไท #พรรคประชาธิปัตย์ #ธนิตพลไชยนันทน์ #เลือกตั้ง #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NVIDIA ปรับแผนหน่วยความจำ SOCAMM — ยกเลิกรุ่นแรก หันพัฒนา SOCAMM2 เพื่อรองรับยุค AI เต็มรูปแบบ”

    NVIDIA กำลังเขย่าวงการเซมิคอนดักเตอร์อีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากสื่อเกาหลี ETNews ว่าบริษัทได้ยกเลิกการเปิดตัวหน่วยความจำ SOCAMM1 (System-on-Chip Attached Memory Module) รุ่นแรก และหันไปพัฒนา SOCAMM2 แทน โดยมีการทดสอบตัวอย่างร่วมกับผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ทั้งสาม ได้แก่ Micron, Samsung และ SK hynix

    SOCAMM ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่ติดตั้งโดยตรงกับ SoC สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้แบนด์วิดท์สูงในราคาที่ต่ำกว่าหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งมีต้นทุนสูงและซับซ้อนกว่า SOCAMM1 เคยถูกวางแผนให้ใช้ในเซิร์ฟเวอร์รุ่น GB300 NVL72 ที่รองรับได้ถึง 18TB และแบนด์วิดท์ 14.3TB/s

    แต่เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคและซัพพลายเชน SOCAMM1 จึงถูกยกเลิก และ SOCAMM2 ได้เข้ามาแทนที่ โดยคาดว่าจะเพิ่มความเร็วจาก 8,533 MT/s เป็น 9,600 MT/s และอาจรองรับ LPDDR6 ในอนาคต แม้ยังไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตใด ๆ

    Micron เป็นบริษัทแรกที่เริ่มส่งมอบ SOCAMM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ตั้งแต่เดือนมีนาคม ขณะที่ Samsung และ SK hynix เตรียมผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2025 ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปยัง SOCAMM2 อาจเปิดโอกาสให้สองบริษัทจากเกาหลีไล่ทัน Micron ในการแข่งขันครั้งนี้

    SOCAMM ยังถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญในแผนการเปิดตัว GPU รุ่น Rubin และ CPU Vera ของ NVIDIA ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ SOCAMM หลายชุดเพื่อรองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องการหน่วยความจำมหาศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NVIDIA ยกเลิก SOCAMM1 และหันไปพัฒนา SOCAMM2 แทน
    SOCAMM2 อยู่ระหว่างการทดสอบกับ Micron, Samsung และ SK hynix
    SOCAMM เป็นหน่วยความจำ LPDDR ที่ติดตั้งกับ SoC สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI
    SOCAMM2 คาดว่าจะเพิ่มความเร็วเป็น 9,600 MT/s และอาจรองรับ LPDDR6

    ความเคลื่อนไหวของผู้ผลิตหน่วยความจำ
    Micron เป็นบริษัทแรกที่เริ่มส่งมอบ SOCAMM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI
    Samsung และ SK hynix เตรียมผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2025
    การเปลี่ยนไปใช้ SOCAMM2 อาจเปิดโอกาสให้ Samsung และ SK ไล่ทัน Micron
    SOCAMM จะถูกใช้ใน GPU Rubin และ CPU Vera ของ NVIDIA ในปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SOCAMM ใช้เทคโนโลยี wire bonding ด้วยทองแดงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    SOCAMM มีต้นทุนต่ำกว่า HBM และเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง
    LPDDR5X ที่ใช้ใน SOCAMM มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่าหน่วยความจำทั่วไป
    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อการออกแบบเซิร์ฟเวอร์และ AI PC ในปี 2026

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-rumored-to-ditch-socamm1-for-socamm2
    🚀 “NVIDIA ปรับแผนหน่วยความจำ SOCAMM — ยกเลิกรุ่นแรก หันพัฒนา SOCAMM2 เพื่อรองรับยุค AI เต็มรูปแบบ” NVIDIA กำลังเขย่าวงการเซมิคอนดักเตอร์อีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากสื่อเกาหลี ETNews ว่าบริษัทได้ยกเลิกการเปิดตัวหน่วยความจำ SOCAMM1 (System-on-Chip Attached Memory Module) รุ่นแรก และหันไปพัฒนา SOCAMM2 แทน โดยมีการทดสอบตัวอย่างร่วมกับผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ทั้งสาม ได้แก่ Micron, Samsung และ SK hynix SOCAMM ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่ติดตั้งโดยตรงกับ SoC สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้แบนด์วิดท์สูงในราคาที่ต่ำกว่าหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งมีต้นทุนสูงและซับซ้อนกว่า SOCAMM1 เคยถูกวางแผนให้ใช้ในเซิร์ฟเวอร์รุ่น GB300 NVL72 ที่รองรับได้ถึง 18TB และแบนด์วิดท์ 14.3TB/s แต่เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคและซัพพลายเชน SOCAMM1 จึงถูกยกเลิก และ SOCAMM2 ได้เข้ามาแทนที่ โดยคาดว่าจะเพิ่มความเร็วจาก 8,533 MT/s เป็น 9,600 MT/s และอาจรองรับ LPDDR6 ในอนาคต แม้ยังไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตใด ๆ Micron เป็นบริษัทแรกที่เริ่มส่งมอบ SOCAMM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ตั้งแต่เดือนมีนาคม ขณะที่ Samsung และ SK hynix เตรียมผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2025 ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปยัง SOCAMM2 อาจเปิดโอกาสให้สองบริษัทจากเกาหลีไล่ทัน Micron ในการแข่งขันครั้งนี้ SOCAMM ยังถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญในแผนการเปิดตัว GPU รุ่น Rubin และ CPU Vera ของ NVIDIA ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ SOCAMM หลายชุดเพื่อรองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องการหน่วยความจำมหาศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NVIDIA ยกเลิก SOCAMM1 และหันไปพัฒนา SOCAMM2 แทน ➡️ SOCAMM2 อยู่ระหว่างการทดสอบกับ Micron, Samsung และ SK hynix ➡️ SOCAMM เป็นหน่วยความจำ LPDDR ที่ติดตั้งกับ SoC สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ➡️ SOCAMM2 คาดว่าจะเพิ่มความเร็วเป็น 9,600 MT/s และอาจรองรับ LPDDR6 ✅ ความเคลื่อนไหวของผู้ผลิตหน่วยความจำ ➡️ Micron เป็นบริษัทแรกที่เริ่มส่งมอบ SOCAMM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ➡️ Samsung และ SK hynix เตรียมผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2025 ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ SOCAMM2 อาจเปิดโอกาสให้ Samsung และ SK ไล่ทัน Micron ➡️ SOCAMM จะถูกใช้ใน GPU Rubin และ CPU Vera ของ NVIDIA ในปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SOCAMM ใช้เทคโนโลยี wire bonding ด้วยทองแดงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ➡️ SOCAMM มีต้นทุนต่ำกว่า HBM และเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง ➡️ LPDDR5X ที่ใช้ใน SOCAMM มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่าหน่วยความจำทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อการออกแบบเซิร์ฟเวอร์และ AI PC ในปี 2026 https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-rumored-to-ditch-socamm1-for-socamm2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USB ด้านหลังทีวีไม่ใช่ปลั๊กไฟ! 5 อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเด็ดขาด — ป้องกันพอร์ตพัง เครื่องแฮงก์ และไฟล์หาย”

    หลายคนอาจเคยสงสัยว่า USB ด้านหลังทีวีมีไว้ทำอะไร เพราะดูเหมือนจะว่างเปล่าและไม่ได้ใช้งาน แต่จริง ๆ แล้วมันมีประโยชน์มาก เช่น อ่านไฟล์จากแฟลชไดรฟ์ หรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เสริมเล็ก ๆ อย่าง dongle สตรีมมิ่ง แต่สิ่งที่ควรระวังคือ “มันไม่ใช่ปลั๊กไฟ” และการเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทอาจทำให้ทีวีเสียหายได้

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเข้ากับพอร์ต USB ของทีวี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่กินไฟสูงหรือสร้างความร้อน เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต พัดลม USB ฮีตเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้พอร์ต USB พัง หรือแม้แต่ทำให้ทีวีแฮงก์และไฟล์เสียหาย

    แม้บางอุปกรณ์จะดูเหมือนทำงานได้ เช่น ไฟแสดงการชาร์จขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นการดึงไฟแบบ “หยด” ที่ไม่เพียงพอ และอาจทำให้ทีวีตัดการเชื่อมต่อเองเมื่อโหลดไฟเกินขีดจำกัด

    นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากอุปกรณ์ราคาถูกหรือไม่มีแบรนด์ เช่น dongle แปลงสัญญาณ HDMI หรือฮับ USB ที่ไม่มีระบบควบคุมไฟ อาจทำให้สัญญาณภาพกระตุก เสียงขาด และพอร์ตเสียหายได้ในระยะยาว

    อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเข้ากับ USB ของทีวี
    สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก — ต้องการไฟมากกว่า 18–100 วัตต์ แต่ทีวีจ่ายได้แค่ 2.5–4.5 วัตต์
    อุปกรณ์สร้างความร้อน เช่น ฮีตเตอร์ USB, แผ่นอุ่นแก้ว, พัดลม — ทำให้เกิดความร้อนสะสมหลังทีวี
    ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ — ต้องการไฟมากกว่าที่ทีวีจ่ายได้ อาจทำให้ไฟล์เสียหายหรือเชื่อมต่อหลุด
    dongle หรืออะแดปเตอร์ราคาถูก — ไม่มีระบบควบคุมไฟ อาจทำให้พอร์ตเสียหาย
    แฟลชไดรฟ์หรือฮับที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อาจมีมัลแวร์หรือไฟล์เสียหายที่ทำให้ทีวีแฮงก์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    พอร์ต USB ของทีวีออกแบบมาเพื่ออ่านไฟล์หรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เบา ๆ เท่านั้น
    อุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น แฟลชไดรฟ์ขนาดไม่เกิน 32GB หรือฮาร์ดดิสก์ที่มีแหล่งจ่ายไฟแยก
    การใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (powered hub) ช่วยลดภาระจากทีวี
    ทีวีบางรุ่นมีระบบตัดการเชื่อมต่ออัตโนมัติเมื่อโหลดไฟเกิน

    https://www.slashgear.com/1965755/gadgets-to-never-plug-into-tv-usb-ports/
    📺 “USB ด้านหลังทีวีไม่ใช่ปลั๊กไฟ! 5 อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเด็ดขาด — ป้องกันพอร์ตพัง เครื่องแฮงก์ และไฟล์หาย” หลายคนอาจเคยสงสัยว่า USB ด้านหลังทีวีมีไว้ทำอะไร เพราะดูเหมือนจะว่างเปล่าและไม่ได้ใช้งาน แต่จริง ๆ แล้วมันมีประโยชน์มาก เช่น อ่านไฟล์จากแฟลชไดรฟ์ หรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เสริมเล็ก ๆ อย่าง dongle สตรีมมิ่ง แต่สิ่งที่ควรระวังคือ “มันไม่ใช่ปลั๊กไฟ” และการเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทอาจทำให้ทีวีเสียหายได้ บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเข้ากับพอร์ต USB ของทีวี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่กินไฟสูงหรือสร้างความร้อน เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต พัดลม USB ฮีตเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้พอร์ต USB พัง หรือแม้แต่ทำให้ทีวีแฮงก์และไฟล์เสียหาย แม้บางอุปกรณ์จะดูเหมือนทำงานได้ เช่น ไฟแสดงการชาร์จขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นการดึงไฟแบบ “หยด” ที่ไม่เพียงพอ และอาจทำให้ทีวีตัดการเชื่อมต่อเองเมื่อโหลดไฟเกินขีดจำกัด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากอุปกรณ์ราคาถูกหรือไม่มีแบรนด์ เช่น dongle แปลงสัญญาณ HDMI หรือฮับ USB ที่ไม่มีระบบควบคุมไฟ อาจทำให้สัญญาณภาพกระตุก เสียงขาด และพอร์ตเสียหายได้ในระยะยาว ✅ อุปกรณ์ที่ไม่ควรเสียบเข้ากับ USB ของทีวี ➡️ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก — ต้องการไฟมากกว่า 18–100 วัตต์ แต่ทีวีจ่ายได้แค่ 2.5–4.5 วัตต์ ➡️ อุปกรณ์สร้างความร้อน เช่น ฮีตเตอร์ USB, แผ่นอุ่นแก้ว, พัดลม — ทำให้เกิดความร้อนสะสมหลังทีวี ➡️ ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ — ต้องการไฟมากกว่าที่ทีวีจ่ายได้ อาจทำให้ไฟล์เสียหายหรือเชื่อมต่อหลุด ➡️ dongle หรืออะแดปเตอร์ราคาถูก — ไม่มีระบบควบคุมไฟ อาจทำให้พอร์ตเสียหาย ➡️ แฟลชไดรฟ์หรือฮับที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อาจมีมัลแวร์หรือไฟล์เสียหายที่ทำให้ทีวีแฮงก์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ พอร์ต USB ของทีวีออกแบบมาเพื่ออ่านไฟล์หรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เบา ๆ เท่านั้น ➡️ อุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น แฟลชไดรฟ์ขนาดไม่เกิน 32GB หรือฮาร์ดดิสก์ที่มีแหล่งจ่ายไฟแยก ➡️ การใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (powered hub) ช่วยลดภาระจากทีวี ➡️ ทีวีบางรุ่นมีระบบตัดการเชื่อมต่ออัตโนมัติเมื่อโหลดไฟเกิน https://www.slashgear.com/1965755/gadgets-to-never-plug-into-tv-usb-ports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Plug Into Your TV's USB Ports (And Why) - SlashGear
    Your new flat screen TV probably has one or more USB ports for convenience sake, but trying to plug the wrong device into it can be bad for your TV.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายแดนจังหวัดตราด พบโดรนกัมพูชาบินมาจากทิศทางฐานทมอดา จ.โพธิสัตว์ ของกัมพชา ติดชายแดนตราด จำนวนกว่า 10 ลำ เจ้าหน้าที่จับตาใกล้ชิด
    .
    เมื่อเวลา 20.47 น. ของวันที่ 14 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ลอยวนอยู่เหนือพื้นที่ ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ติดชายแดนบ้านทมอดา จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา
    .
    ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ใช้กล้องอินฟาเรด (Night Vision) ตรวจสอบ พบว่าภายในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง มีโดรนบินขึ้นจากฝั่งกัมพูชามากกว่า 10 ลำ และวนเวียนเข้ามาเหนือพื้นที่ ต.ชำราก โดยต้นทางสันนิษฐานว่ามาจากฐานทหารกัมพูชาในพื้นที่บ้านทมอดา ซึ่งตามแผนที่ L7018 (มาตราส่วน 1:50,000) ถือเป็นจุดที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาสร้างฐานบนดินแดนฝั่งไทย
    .
    แหล่งข่าวเผยว่า ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีการพบโดรนกัมพูชาบินเข้ามาในพื้นที่ไทยต่อเนื่อง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายไทย

    เครดิตเพจ: ตราดโพสต์นิวส์
    ชายแดนจังหวัดตราด พบโดรนกัมพูชาบินมาจากทิศทางฐานทมอดา จ.โพธิสัตว์ ของกัมพชา ติดชายแดนตราด จำนวนกว่า 10 ลำ เจ้าหน้าที่จับตาใกล้ชิด . เมื่อเวลา 20.47 น. ของวันที่ 14 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ลอยวนอยู่เหนือพื้นที่ ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ติดชายแดนบ้านทมอดา จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา . ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ใช้กล้องอินฟาเรด (Night Vision) ตรวจสอบ พบว่าภายในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง มีโดรนบินขึ้นจากฝั่งกัมพูชามากกว่า 10 ลำ และวนเวียนเข้ามาเหนือพื้นที่ ต.ชำราก โดยต้นทางสันนิษฐานว่ามาจากฐานทหารกัมพูชาในพื้นที่บ้านทมอดา ซึ่งตามแผนที่ L7018 (มาตราส่วน 1:50,000) ถือเป็นจุดที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาสร้างฐานบนดินแดนฝั่งไทย . แหล่งข่าวเผยว่า ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีการพบโดรนกัมพูชาบินเข้ามาในพื้นที่ไทยต่อเนื่อง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายไทย เครดิตเพจ: ตราดโพสต์นิวส์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
    ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
    ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
    ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
    แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
    หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
    ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
    อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ) แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ) หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก XMP ถึงศาลกลาง: เมื่อความเร็ว RAM กลายเป็นเรื่องฟ้องร้อง

    หลายคนที่ซื้อ RAM รุ่น Vengeance หรือ Dominator ของ Corsair ระหว่างปี 2018–2025 อาจเคยเห็นตัวเลขสวย ๆ อย่าง DDR4-3600 หรือ DDR5-6400 บนกล่อง แล้วคาดหวังว่าเสียบแล้วจะได้ความเร็วตามนั้นทันที แต่ความจริงคือ RAM เหล่านี้ทำงานที่ความเร็วมาตรฐาน JEDEC (เช่น DDR4-2133 หรือ DDR5-4800) โดยค่าเริ่มต้น และต้องเข้าไปเปิดโปรไฟล์ XMP หรือ EXPO ใน BIOS เพื่อให้ได้ความเร็วที่โฆษณาไว้

    คดี McKinney v. Corsair Gaming, Inc. ถูกฟ้องในปี 2022 โดยกล่าวหาว่า Corsair โฆษณา RAM ด้วยความเร็วที่ต้องใช้การโอเวอร์คล็อกโดยไม่แจ้งให้ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดและจ่ายเงินแพงขึ้นโดยไม่รู้ว่าอาจไม่ได้ความเร็วตามที่ระบุไว้เลย หากระบบของตนไม่รองรับหรือไม่เสถียรพอ

    แม้ Corsair จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิด แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงจ่ายเงินชดเชย และจะปรับข้อความบนกล่องและหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น เช่น การใช้คำว่า “up to” และเพิ่มคำเตือนว่าเป็นความเร็วจากการโอเวอร์คล็อก

    ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ RAM รุ่นที่เข้าข่ายสามารถยื่นขอเงินชดเชยได้สูงสุด 5 รายการ โดยไม่ต้องมีใบเสร็จสำหรับเคลมเล็ก ๆ และสามารถยื่นได้จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2025 ผ่านเว็บไซต์

    รายละเอียดของคดีความ
    คดี McKinney v. Corsair Gaming, Inc. เริ่มในปี 2022
    Corsair ถูกกล่าวหาว่าโฆษณาความเร็ว RAM แบบ XMP โดยไม่แจ้งว่าเป็นการโอเวอร์คล็อก
    RAM ทำงานที่ความเร็ว JEDEC โดยค่าเริ่มต้น ต้องเปิด XMP/EXPO ใน BIOS

    ผลการตกลงและการชดเชย
    Corsair ยอมจ่ายเงินชดเชยรวม $5.5 ล้าน
    จะปรับข้อความบนกล่องและหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น
    ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2018–2025 สามารถยื่นขอเงินคืนได้

    วิธีการยื่นเคลม
    ยื่นได้สูงสุด 5 รายการต่อคน
    ไม่ต้องใช้ใบเสร็จสำหรับเคลมเล็ก ๆ
    ยื่นผ่านเว็บไซต์ที่ศาลแต่งตั้งภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2025

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ XMP/EXPO
    XMP (Intel) และ EXPO (AMD) เป็นโปรไฟล์โอเวอร์คล็อกที่ต้องเปิดใช้งานใน BIOS
    ความเร็วที่โฆษณาไม่ใช่ความเร็วที่ได้ทันทีหลังติดตั้ง
    ความเสถียรขึ้นอยู่กับ CPU, เมนบอร์ด และคุณภาพของ RAM

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/corsair-lost-a-lawsuit-over-advertising-overclocked-memory-speeds-and-you-could-get-paid-the-settlement-covers-u-s-purchases-between-2018-and-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจาก XMP ถึงศาลกลาง: เมื่อความเร็ว RAM กลายเป็นเรื่องฟ้องร้อง หลายคนที่ซื้อ RAM รุ่น Vengeance หรือ Dominator ของ Corsair ระหว่างปี 2018–2025 อาจเคยเห็นตัวเลขสวย ๆ อย่าง DDR4-3600 หรือ DDR5-6400 บนกล่อง แล้วคาดหวังว่าเสียบแล้วจะได้ความเร็วตามนั้นทันที แต่ความจริงคือ RAM เหล่านี้ทำงานที่ความเร็วมาตรฐาน JEDEC (เช่น DDR4-2133 หรือ DDR5-4800) โดยค่าเริ่มต้น และต้องเข้าไปเปิดโปรไฟล์ XMP หรือ EXPO ใน BIOS เพื่อให้ได้ความเร็วที่โฆษณาไว้ คดี McKinney v. Corsair Gaming, Inc. ถูกฟ้องในปี 2022 โดยกล่าวหาว่า Corsair โฆษณา RAM ด้วยความเร็วที่ต้องใช้การโอเวอร์คล็อกโดยไม่แจ้งให้ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดและจ่ายเงินแพงขึ้นโดยไม่รู้ว่าอาจไม่ได้ความเร็วตามที่ระบุไว้เลย หากระบบของตนไม่รองรับหรือไม่เสถียรพอ แม้ Corsair จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิด แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงจ่ายเงินชดเชย และจะปรับข้อความบนกล่องและหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น เช่น การใช้คำว่า “up to” และเพิ่มคำเตือนว่าเป็นความเร็วจากการโอเวอร์คล็อก ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ RAM รุ่นที่เข้าข่ายสามารถยื่นขอเงินชดเชยได้สูงสุด 5 รายการ โดยไม่ต้องมีใบเสร็จสำหรับเคลมเล็ก ๆ และสามารถยื่นได้จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2025 ผ่านเว็บไซต์ ✅ รายละเอียดของคดีความ ➡️ คดี McKinney v. Corsair Gaming, Inc. เริ่มในปี 2022 ➡️ Corsair ถูกกล่าวหาว่าโฆษณาความเร็ว RAM แบบ XMP โดยไม่แจ้งว่าเป็นการโอเวอร์คล็อก ➡️ RAM ทำงานที่ความเร็ว JEDEC โดยค่าเริ่มต้น ต้องเปิด XMP/EXPO ใน BIOS ✅ ผลการตกลงและการชดเชย ➡️ Corsair ยอมจ่ายเงินชดเชยรวม $5.5 ล้าน ➡️ จะปรับข้อความบนกล่องและหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น ➡️ ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2018–2025 สามารถยื่นขอเงินคืนได้ ✅ วิธีการยื่นเคลม ➡️ ยื่นได้สูงสุด 5 รายการต่อคน ➡️ ไม่ต้องใช้ใบเสร็จสำหรับเคลมเล็ก ๆ ➡️ ยื่นผ่านเว็บไซต์ที่ศาลแต่งตั้งภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ XMP/EXPO ➡️ XMP (Intel) และ EXPO (AMD) เป็นโปรไฟล์โอเวอร์คล็อกที่ต้องเปิดใช้งานใน BIOS ➡️ ความเร็วที่โฆษณาไม่ใช่ความเร็วที่ได้ทันทีหลังติดตั้ง ➡️ ความเสถียรขึ้นอยู่กับ CPU, เมนบอร์ด และคุณภาพของ RAM https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/corsair-lost-a-lawsuit-over-advertising-overclocked-memory-speeds-and-you-could-get-paid-the-settlement-covers-u-s-purchases-between-2018-and-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ASCII ถึง Emoji: เมื่อ UTF-8 กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต

    ย้อนกลับไปในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังใช้ ASCII เป็นหลัก ซึ่งรองรับเพียง 128 ตัวอักษร UTF-8 ถูกออกแบบขึ้นในปี 1992 โดย Ken Thompson และ Rob Pike เพื่อแก้ปัญหาการรองรับตัวอักษรจากทุกภาษาในโลก โดยไม่ทำให้ระบบเก่าพัง

    UTF-8 ใช้การเข้ารหัสแบบ “variable-width” คือใช้ 1 ถึง 4 ไบต์ต่อหนึ่งตัวอักษร โดยตัวอักษรที่อยู่ในช่วง ASCII (U+0000 ถึง U+007F) ใช้เพียง 1 ไบต์เท่านั้น ทำให้ไฟล์ที่มีแต่ ASCII สามารถอ่านได้ทั้งในระบบ ASCII และ UTF-8 อย่างสมบูรณ์

    ตัวอักษรอื่น ๆ ที่อยู่นอกช่วง ASCII จะใช้ 2, 3 หรือ 4 ไบต์ โดยมีรูปแบบการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น 110xxxxx สำหรับ 2 ไบต์, 1110xxxx สำหรับ 3 ไบต์ และ 11110xxx สำหรับ 4 ไบต์ ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถ “รู้เอง” ได้ว่าแต่ละตัวอักษรใช้กี่ไบต์—เรียกว่า “self-synchronizing”

    ตัวอย่างเช่น อีโมจิ “” มีรหัส Unicode เป็น U+1F44B ซึ่งจะถูกเข้ารหัสใน UTF-8 เป็น 4 ไบต์: 11110000 10011111 10010001 10001011 ส่วนตัวอักษรไทยอย่าง “อ” (U+0905) จะใช้ 3 ไบต์: 11100000 10100100 10000101

    ความสามารถของ UTF-8 ไม่ได้หยุดแค่การเข้ารหัส แต่ยังครองโลกอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง—กว่า 97% ของเว็บไซต์ในปี 2025 ใช้ UTF-8 เป็นมาตรฐาน และยังเป็น encoding หลักใน HTML5, JSON, Python, JavaScript และอีกมากมาย

    จุดเด่นของ UTF-8
    เข้ารหัสตัวอักษร Unicode ได้ทั้งหมด (U+0000 ถึง U+10FFFF)
    ใช้ 1–4 ไบต์ต่อหนึ่งตัวอักษรตามความซับซ้อน
    ตัวอักษร ASCII ใช้เพียง 1 ไบต์ ทำให้ backward compatible

    รูปแบบการเข้ารหัส
    0xxxxxxx → 1 ไบต์ (ASCII)
    110xxxxx 10xxxxxx → 2 ไบต์
    1110xxxx 10xxxxxx 10xxxxxx → 3 ไบต์
    11110xxx 10xxxxxx 10xxxxxx 10xxxxxx → 4 ไบต์
    ไบต์ที่ขึ้นต้นด้วย “10” คือ continuation byte

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    “Hey Buddy” ใช้ทั้ง ASCII และอีโมจิ รวมทั้งหมด 13 ไบต์
    “Hey Buddy” ใช้เฉพาะ ASCII รวมทั้งหมด 9 ไบต์
    ทั้งสองไฟล์เป็น UTF-8 ที่อ่านได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด

    การเปรียบเทียบกับ encoding อื่น
    UTF-16 และ UTF-32 ไม่ compatible กับ ASCII
    ISO/IEC 8859 รองรับแค่ 256 ตัวอักษร
    GB18030 รองรับ Unicode แต่ไม่แพร่หลายเท่า UTF-8

    การใช้งานในโลกจริง
    ใช้ใน HTML5, XML, JSON, Python, JavaScript
    ไม่มีปัญหาเรื่อง byte order (endianness)
    เป็น encoding หลักของเว็บและระบบปฏิบัติการสมัยใหม่

    ความเสี่ยงจากการใช้ UTF-8 แบบผิดพลาด
    การเข้ารหัสผิดอาจทำให้เกิด invalid byte sequences
    โปรแกรมที่ไม่รองรับ UTF-8 อาจแสดงผลผิดหรือเกิด error

    https://iamvishnu.com/posts/utf8-is-brilliant-design
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ASCII ถึง Emoji: เมื่อ UTF-8 กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต ย้อนกลับไปในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังใช้ ASCII เป็นหลัก ซึ่งรองรับเพียง 128 ตัวอักษร UTF-8 ถูกออกแบบขึ้นในปี 1992 โดย Ken Thompson และ Rob Pike เพื่อแก้ปัญหาการรองรับตัวอักษรจากทุกภาษาในโลก โดยไม่ทำให้ระบบเก่าพัง UTF-8 ใช้การเข้ารหัสแบบ “variable-width” คือใช้ 1 ถึง 4 ไบต์ต่อหนึ่งตัวอักษร โดยตัวอักษรที่อยู่ในช่วง ASCII (U+0000 ถึง U+007F) ใช้เพียง 1 ไบต์เท่านั้น ทำให้ไฟล์ที่มีแต่ ASCII สามารถอ่านได้ทั้งในระบบ ASCII และ UTF-8 อย่างสมบูรณ์ ตัวอักษรอื่น ๆ ที่อยู่นอกช่วง ASCII จะใช้ 2, 3 หรือ 4 ไบต์ โดยมีรูปแบบการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น 110xxxxx สำหรับ 2 ไบต์, 1110xxxx สำหรับ 3 ไบต์ และ 11110xxx สำหรับ 4 ไบต์ ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถ “รู้เอง” ได้ว่าแต่ละตัวอักษรใช้กี่ไบต์—เรียกว่า “self-synchronizing” ตัวอย่างเช่น อีโมจิ “👋” มีรหัส Unicode เป็น U+1F44B ซึ่งจะถูกเข้ารหัสใน UTF-8 เป็น 4 ไบต์: 11110000 10011111 10010001 10001011 ส่วนตัวอักษรไทยอย่าง “อ” (U+0905) จะใช้ 3 ไบต์: 11100000 10100100 10000101 ความสามารถของ UTF-8 ไม่ได้หยุดแค่การเข้ารหัส แต่ยังครองโลกอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง—กว่า 97% ของเว็บไซต์ในปี 2025 ใช้ UTF-8 เป็นมาตรฐาน และยังเป็น encoding หลักใน HTML5, JSON, Python, JavaScript และอีกมากมาย ✅ จุดเด่นของ UTF-8 ➡️ เข้ารหัสตัวอักษร Unicode ได้ทั้งหมด (U+0000 ถึง U+10FFFF) ➡️ ใช้ 1–4 ไบต์ต่อหนึ่งตัวอักษรตามความซับซ้อน ➡️ ตัวอักษร ASCII ใช้เพียง 1 ไบต์ ทำให้ backward compatible ✅ รูปแบบการเข้ารหัส ➡️ 0xxxxxxx → 1 ไบต์ (ASCII) ➡️ 110xxxxx 10xxxxxx → 2 ไบต์ ➡️ 1110xxxx 10xxxxxx 10xxxxxx → 3 ไบต์ ➡️ 11110xxx 10xxxxxx 10xxxxxx 10xxxxxx → 4 ไบต์ ➡️ ไบต์ที่ขึ้นต้นด้วย “10” คือ continuation byte ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ “Hey👋 Buddy” ใช้ทั้ง ASCII และอีโมจิ รวมทั้งหมด 13 ไบต์ ➡️ “Hey Buddy” ใช้เฉพาะ ASCII รวมทั้งหมด 9 ไบต์ ➡️ ทั้งสองไฟล์เป็น UTF-8 ที่อ่านได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด ✅ การเปรียบเทียบกับ encoding อื่น ➡️ UTF-16 และ UTF-32 ไม่ compatible กับ ASCII ➡️ ISO/IEC 8859 รองรับแค่ 256 ตัวอักษร ➡️ GB18030 รองรับ Unicode แต่ไม่แพร่หลายเท่า UTF-8 ✅ การใช้งานในโลกจริง ➡️ ใช้ใน HTML5, XML, JSON, Python, JavaScript ➡️ ไม่มีปัญหาเรื่อง byte order (endianness) ➡️ เป็น encoding หลักของเว็บและระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ UTF-8 แบบผิดพลาด ⛔ การเข้ารหัสผิดอาจทำให้เกิด invalid byte sequences ⛔ โปรแกรมที่ไม่รองรับ UTF-8 อาจแสดงผลผิดหรือเกิด error https://iamvishnu.com/posts/utf8-is-brilliant-design
    IAMVISHNU.COM
    UTF-8 is a Brilliant Design — Vishnu's Pages
    Exploring the brilliant design of UTF-8 encoding system that represents millions of characters while being backward compatible with ASCII
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts