• แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกัมพูชาป่วนช่วงรับส่งหน้าที่ เคลื่อนจรวด BM-21 มองเป็นสัญญาณบอกเหตุ ขอให้มั่นใจไร้รอยต่อ มทภ.2 คนใหม่พร้อมทำหน้าที่ แจงคนส่งพัสดุลงภาพรถถังเก่า รีวิวใหม่ ย้ำทหารมีอำนาจตัดสินใจ แต่เรื่องใหญ่เข้า สมช. ไม่ทำตามกระแส

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092246

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกัมพูชาป่วนช่วงรับส่งหน้าที่ เคลื่อนจรวด BM-21 มองเป็นสัญญาณบอกเหตุ ขอให้มั่นใจไร้รอยต่อ มทภ.2 คนใหม่พร้อมทำหน้าที่ แจงคนส่งพัสดุลงภาพรถถังเก่า รีวิวใหม่ ย้ำทหารมีอำนาจตัดสินใจ แต่เรื่องใหญ่เข้า สมช. ไม่ทำตามกระแส อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092246 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระผงพญานกยูงทอง ครูบาอริยชาติ วัดเเสงเเก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย
    พระผงพญานกยูงทอง (ครูบา พารวย) ครูบาอริยชาติ วัดเเสงเเก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย // พระดีพิธีขลัง!! ท่านได้ทำแจก ไม่มีให้บูชา ท่านได้รวมมวลสารต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์หางนกยูงที่เก็บไว้สร้างแจก. //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมสิริมงคล เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และเสริมอำนาจบารมี. >>

    พระผงนางพญานกยูงทอง (ครูบา พารวย) ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต วัดเเสงเเก้วโพธิญาณซึ่งท่านได้ทำแจกไว้ ไม่มีให้บูชา ท่านได้รวมมวลสารต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์หางนกยูงที่เก็บไว้สร้างแจก..เวลาไปกราบท่านเท่านั้น บางองค์ก็อาจจะไม่มี หางนกยูร องค์นี้ สวยเดิม มีครบ >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    พระผงพญานกยูงทอง ครูบาอริยชาติ วัดเเสงเเก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย พระผงพญานกยูงทอง (ครูบา พารวย) ครูบาอริยชาติ วัดเเสงเเก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย // พระดีพิธีขลัง!! ท่านได้ทำแจก ไม่มีให้บูชา ท่านได้รวมมวลสารต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์หางนกยูงที่เก็บไว้สร้างแจก. //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมสิริมงคล เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และเสริมอำนาจบารมี. >> พระผงนางพญานกยูงทอง (ครูบา พารวย) ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต วัดเเสงเเก้วโพธิญาณซึ่งท่านได้ทำแจกไว้ ไม่มีให้บูชา ท่านได้รวมมวลสารต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์หางนกยูงที่เก็บไว้สร้างแจก..เวลาไปกราบท่านเท่านั้น บางองค์ก็อาจจะไม่มี หางนกยูร องค์นี้ สวยเดิม มีครบ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถี่!! กัมพูชานำคณะ IOT ลงพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง อีกแล้วหลัง ผบ.กองกำลังบูรพา ลงพื้นที่ให้กำลังเจ้าหน้าที่ไทยวานนี้ "กำนันลี" ไม่พลาดระดมม็อบประชิดแนวรั้วลวดหนาม 2 จุดแสดงพลัง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092190

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    มาถี่!! กัมพูชานำคณะ IOT ลงพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง อีกแล้วหลัง ผบ.กองกำลังบูรพา ลงพื้นที่ให้กำลังเจ้าหน้าที่ไทยวานนี้ "กำนันลี" ไม่พลาดระดมม็อบประชิดแนวรั้วลวดหนาม 2 จุดแสดงพลัง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092190 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก”

    หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ

    จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป

    YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3

    แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ
    การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024
    YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM
    มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM
    ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3
    CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025
    YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM
    Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่
    การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU
    TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง
    CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM
    การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น
    หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix

    https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    🇨🇳 “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก” หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3 แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ ➡️ การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024 ➡️ YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM ➡️ มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM ➡️ ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3 ➡️ CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ➡️ YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM ➡️ Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU ➡️ TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง ➡️ CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM ➡️ การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น ➡️ หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    WCCFTECH.COM
    China's YMTC Is Now Tapping Into the DRAM Business, Producing It Domestically to Combat the HBM Shortage in the Region
    China's famous NAND producer YMTC is now planning to tap into the DRAM business, likely to speed up development of 'in-house' HBM.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร”

    ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา

    Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที

    Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด

    นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential

    งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ
    ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ
    ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง
    Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย
    Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย
    เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ
    มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity
    งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
    การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม
    Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์
    การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ
    การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก

    https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    🔐 “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร” ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์ หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ ➡️ ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ ➡️ ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง ➡️ Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย ➡️ Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย ➡️ เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ ➡️ มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity ➡️ งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ➡️ การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม ➡️ Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์ ➡️ การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร”

    รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ

    Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ
    การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call
    SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้
    6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage
    37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส
    SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้
    Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ
    การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้
    การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย
    การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    📱 “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร” รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ ➡️ การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call ➡️ SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้ ➡️ 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage ➡️ 37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด ➡️ อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ ➡️ การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้ ➡️ การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Supermicro เจอมัลแวร์ฝังลึกใน BMC — แฮกเกอร์สามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้แบบลบไม่ออก แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Binarly ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Baseboard Management Controller (BMC) ของเมนบอร์ด Supermicro ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ที่ “ลบไม่ออก” แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม โดยช่องโหว่นี้เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของเฟิร์มแวร์ที่อัปโหลดเข้าไปใน BMC

    BMC เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่ควบคุมระบบจากระยะไกลแม้เครื่องจะปิดอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ OS หลัก

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบใหม่มีสองรายการ ได้แก่ CVE-2025-7937 และ CVE-2025-6198 โดย CVE-2025-7937 เป็นการ “ย้อนกลับ” ช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ไปแล้วในปี 2024 (CVE-2024-10237) ส่วน CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป แต่ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน คือสามารถฝังเฟิร์มแวร์อันตรายที่ผ่านการตรวจสอบได้อย่างแนบเนียน

    มัลแวร์ที่ฝังเข้าไปสามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร โดยไม่สามารถตรวจจับหรือกำจัดได้ง่าย ๆ เนื่องจากมันสามารถ “ผ่าน” ขั้นตอนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์

    Binarly แนะนำให้ผู้ผลิตและผู้ใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใช้ระบบ Root of Trust (RoT) ที่มีการตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันการโจมตีในระดับลึกเช่นนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบช่องโหว่ใหม่ใน BMC ของเมนบอร์ด Supermicro ที่เปิดทางให้มัลแวร์ฝังตัวแบบลบไม่ออก
    ช่องโหว่เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์
    ช่องโหว่ CVE-2025-7937 เป็นการย้อนกลับช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์
    ช่องโหว่ CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป
    มัลแวร์สามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร
    เฟิร์มแวร์อันตรายสามารถผ่านการตรวจสอบลายเซ็นได้อย่างแนบเนียน
    Binarly แนะนำให้ใช้ Root of Trust ที่ตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์
    ควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ก่อนอัปเดต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BMC เป็นจุดสำคัญในการบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์จากระยะไกล
    การโจมตีผ่าน BMC สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบปฏิบัติการหลักได้
    Root of Trust เป็นแนวทางที่ใช้ในระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น TPM และ Secure Boot
    ช่องโหว่ใน BMC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ในระบบ cloud และ edge
    การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์มักใช้ในกลุ่ม APT ที่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์

    https://www.techradar.com/pro/security/supermicro-motherboards-can-be-infected-with-unremovable-new-malware
    🛡️ “Supermicro เจอมัลแวร์ฝังลึกใน BMC — แฮกเกอร์สามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้แบบลบไม่ออก แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Binarly ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Baseboard Management Controller (BMC) ของเมนบอร์ด Supermicro ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ที่ “ลบไม่ออก” แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม โดยช่องโหว่นี้เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของเฟิร์มแวร์ที่อัปโหลดเข้าไปใน BMC BMC เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่ควบคุมระบบจากระยะไกลแม้เครื่องจะปิดอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ OS หลัก ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบใหม่มีสองรายการ ได้แก่ CVE-2025-7937 และ CVE-2025-6198 โดย CVE-2025-7937 เป็นการ “ย้อนกลับ” ช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ไปแล้วในปี 2024 (CVE-2024-10237) ส่วน CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป แต่ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน คือสามารถฝังเฟิร์มแวร์อันตรายที่ผ่านการตรวจสอบได้อย่างแนบเนียน มัลแวร์ที่ฝังเข้าไปสามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร โดยไม่สามารถตรวจจับหรือกำจัดได้ง่าย ๆ เนื่องจากมันสามารถ “ผ่าน” ขั้นตอนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ Binarly แนะนำให้ผู้ผลิตและผู้ใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใช้ระบบ Root of Trust (RoT) ที่มีการตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันการโจมตีในระดับลึกเช่นนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบช่องโหว่ใหม่ใน BMC ของเมนบอร์ด Supermicro ที่เปิดทางให้มัลแวร์ฝังตัวแบบลบไม่ออก ➡️ ช่องโหว่เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-7937 เป็นการย้อนกลับช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป ➡️ มัลแวร์สามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร ➡️ เฟิร์มแวร์อันตรายสามารถผ่านการตรวจสอบลายเซ็นได้อย่างแนบเนียน ➡️ Binarly แนะนำให้ใช้ Root of Trust ที่ตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ ➡️ ควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ก่อนอัปเดต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BMC เป็นจุดสำคัญในการบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์จากระยะไกล ➡️ การโจมตีผ่าน BMC สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบปฏิบัติการหลักได้ ➡️ Root of Trust เป็นแนวทางที่ใช้ในระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น TPM และ Secure Boot ➡️ ช่องโหว่ใน BMC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ในระบบ cloud และ edge ➡️ การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์มักใช้ในกลุ่ม APT ที่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ https://www.techradar.com/pro/security/supermicro-motherboards-can-be-infected-with-unremovable-new-malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ”

    ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ

    จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง

    นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML

    โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง

    แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD
    รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006
    ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2
    รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps
    โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI
    เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML
    ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF
    ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์
    SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว
    Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว
    Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ
    อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

    https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    🔧 “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ” ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD ➡️ รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006 ➡️ ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ➡️ รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps ➡️ โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI ➡️ เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML ➡️ ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF ➡️ ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว ➡️ Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว ➡️ Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ ➡️ อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Icy Dock Unveils CP154 Concept Adapter for M.2 NVMe to E1.S SSD Conversion
    The ICY DOCK CP154 is a full-metal converter that transforms a standard M.2 NVMe SSD (2230/2242/2260/2280) into a 9.5 mm E1.S SSD form factor with full SFF-TA-1006 interface compliance. Designed to bridge the gap between affordable M.2 storage and enterprise-grade E1.S systems, CP154 enables system ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC เร่งสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไต้หวัน — เตรียมผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2028”

    TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศเดินหน้าโครงการสร้างโรงงานใหม่ชื่อว่า “Fab 25” ที่เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุดในแผนการพัฒนาของบริษัท ณ ขณะนี้

    โรงงาน Fab 25 จะตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Central Taiwan Science Park โดยมีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายในพื้นที่เดียวกัน โดยโรงงานแรกจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 20282

    TSMC ได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเฟสแรกของโครงการนี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรม AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์ประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    แม้จะมีข่าวลือว่าการลงทุนในสหรัฐฯ และปัญหาด้านการบรรจุชิป (packaging) อาจทำให้โครงการในไต้หวันล่าช้า แต่ผู้บริหารของ TSMC ยืนยันว่าแผนงานยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะกระทบต่อกำหนดการเดิม

    นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนเริ่มผลิตชิป A14 ในโรงงาน Fab 20 ที่เมืองซินจูในเฟส 3 และ 4 ก่อนที่ Fab 25 จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักในระยะยาว โดยจะมีการพัฒนาเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาในภายหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและความหนาแน่นของวงจร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSMC เตรียมสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไถจง เพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร
    เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2025 และคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028
    มีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายใน Fab 25
    งบลงทุนเฟสแรกอยู่ที่ 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    Fab 25 จะเป็นฐานการผลิตหลักของชิป A14 ในระยะยาว
    มีการเริ่มผลิต A14 ที่ Fab 20 ก่อนเพื่อทดสอบและเตรียมความพร้อม
    จะมีเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    TSMC ยืนยันว่าไม่มีการล่าช้าจากโครงการในสหรัฐฯ หรือปัญหาด้าน packaging
    โรงงานใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน supply chain และตอบสนองความต้องการของตลาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป A14 จะมีความหนาแน่นของวงจรสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า เช่น N2 และ N3E
    TSMC คาดว่าจะสร้างงานกว่า 4,500 ตำแหน่งจากโครงการ Fab 25
    ความต้องการชิปขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ AI และ robotaxi
    TSMC ยังมีแผนสร้างโรงงานในเมืองอื่น เช่น ซินจู, เกาสง และไถหนาน
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันมีรายได้รวมกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันในปี 2025

    https://www.techpowerup.com/341347/tsmc-fast-tracks-fab-25-to-ramp-a14-node-by-2028
    🏗️ “TSMC เร่งสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไต้หวัน — เตรียมผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2028” TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศเดินหน้าโครงการสร้างโรงงานใหม่ชื่อว่า “Fab 25” ที่เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุดในแผนการพัฒนาของบริษัท ณ ขณะนี้ โรงงาน Fab 25 จะตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Central Taiwan Science Park โดยมีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายในพื้นที่เดียวกัน โดยโรงงานแรกจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 20282 TSMC ได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเฟสแรกของโครงการนี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรม AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์ประมวลผลประสิทธิภาพสูง แม้จะมีข่าวลือว่าการลงทุนในสหรัฐฯ และปัญหาด้านการบรรจุชิป (packaging) อาจทำให้โครงการในไต้หวันล่าช้า แต่ผู้บริหารของ TSMC ยืนยันว่าแผนงานยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะกระทบต่อกำหนดการเดิม นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนเริ่มผลิตชิป A14 ในโรงงาน Fab 20 ที่เมืองซินจูในเฟส 3 และ 4 ก่อนที่ Fab 25 จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักในระยะยาว โดยจะมีการพัฒนาเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาในภายหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและความหนาแน่นของวงจร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSMC เตรียมสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไถจง เพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ➡️ เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2025 และคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 ➡️ มีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายใน Fab 25 ➡️ งบลงทุนเฟสแรกอยู่ที่ 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ Fab 25 จะเป็นฐานการผลิตหลักของชิป A14 ในระยะยาว ➡️ มีการเริ่มผลิต A14 ที่ Fab 20 ก่อนเพื่อทดสอบและเตรียมความพร้อม ➡️ จะมีเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ TSMC ยืนยันว่าไม่มีการล่าช้าจากโครงการในสหรัฐฯ หรือปัญหาด้าน packaging ➡️ โรงงานใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน supply chain และตอบสนองความต้องการของตลาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป A14 จะมีความหนาแน่นของวงจรสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า เช่น N2 และ N3E ➡️ TSMC คาดว่าจะสร้างงานกว่า 4,500 ตำแหน่งจากโครงการ Fab 25 ➡️ ความต้องการชิปขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ AI และ robotaxi ➡️ TSMC ยังมีแผนสร้างโรงงานในเมืองอื่น เช่น ซินจู, เกาสง และไถหนาน ➡️ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันมีรายได้รวมกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันในปี 2025 https://www.techpowerup.com/341347/tsmc-fast-tracks-fab-25-to-ramp-a14-node-by-2028
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Fast-Tracks Fab 25 to Ramp A14 Node by 2028
    TSMC is the only semiconductor maker to move its nodes at incredible speeds from design to mass production. According to Taiwanese media outlet Taipei Times, TSCM is expected to lay the groundwork for Fab 25, a multiphase manufacturing complex planned in Taichung's Central Taiwan Science Park. Compa...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ

    Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว

    แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows
    Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ
    ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม
    AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz
    รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s
    ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน
    ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป
    ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน
    GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า
    ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    🖥️ “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows ➡️ Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม ➡️ AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz ➡️ รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ➡️ ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน ➡️ ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป ➡️ ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน ➡️ GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า ➡️ ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน”

    ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน

    Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม

    ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ)

    Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก

    Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป
    รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal
    ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ
    ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว
    มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน
    รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link
    มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา
    ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC
    วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง
    Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม
    ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง
    การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง
    การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    🔊 “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน” ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ) Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป ➡️ รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal ➡️ ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ ➡️ ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว ➡️ มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ➡️ มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา ➡️ ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC ➡️ วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง ➡️ Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม ➡️ ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง ➡️ การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง ➡️ การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ เตรียมบังคับสัดส่วนการผลิตชิป 1:1 — ผลิตในประเทศเท่ากับนำเข้า ใครไม่ทำ...เจอภาษี 100%”

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมออกมาตรการใหม่เพื่อผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ โดยกำหนดให้บริษัทที่นำเข้าชิปจากต่างประเทศ ต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่เท่ากันแบบ “1:1” หากไม่สามารถรักษาสัดส่วนนี้ได้ในระยะยาว จะต้องจ่ายภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 100%

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศอื่น โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยรัฐบาลสหรัฐฯ หวังว่าการบังคับใช้สัดส่วน 1:1 จะทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องสร้างโรงงานผลิตในประเทศ หรืออย่างน้อยก็มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน

    บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการผลิตในประเทศหรือมีแผนการลงทุนระยะยาวที่เป็นรูปธรรม โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานและศูนย์ฝึกอบรมในหลายรัฐของสหรัฐฯ

    อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเทคโนโลยีในระยะสั้น เนื่องจากบริษัทที่ยังไม่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ จะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมบังคับสัดส่วนการผลิตชิปแบบ 1:1 ระหว่างผลิตในประเทศและนำเข้า
    บริษัทที่ไม่สามารถรักษาสัดส่วนนี้ได้จะต้องจ่ายภาษีนำเข้า 100%
    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
    Apple ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานในสหรัฐฯ
    บริษัทที่มีแผนการผลิตในประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษี
    มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดการพึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    TSMC, Nvidia, Samsung และ SK Hynix เป็นบริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้ว
    มาตรการนี้จะส่งผลต่อบริษัทที่ยังไม่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สหรัฐฯ เคยมีสัดส่วนการผลิตชิปสูงในอดีต แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
    TSMC ผลิตชิปมากกว่า 50% ของโลก และกำลังสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนา
    การผลิตชิปต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและแรงงาน
    มาตรการนี้อาจกระตุ้นการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
    การตั้งโรงงานผลิตในประเทศช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/us-plans-to-mandate-a-11-ratio-of-domestically-manufactured-to-imported-chips-wsj-reports
    🇺🇸 “สหรัฐฯ เตรียมบังคับสัดส่วนการผลิตชิป 1:1 — ผลิตในประเทศเท่ากับนำเข้า ใครไม่ทำ...เจอภาษี 100%” รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมออกมาตรการใหม่เพื่อผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ โดยกำหนดให้บริษัทที่นำเข้าชิปจากต่างประเทศ ต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่เท่ากันแบบ “1:1” หากไม่สามารถรักษาสัดส่วนนี้ได้ในระยะยาว จะต้องจ่ายภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 100% มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศอื่น โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยรัฐบาลสหรัฐฯ หวังว่าการบังคับใช้สัดส่วน 1:1 จะทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องสร้างโรงงานผลิตในประเทศ หรืออย่างน้อยก็มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการผลิตในประเทศหรือมีแผนการลงทุนระยะยาวที่เป็นรูปธรรม โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานและศูนย์ฝึกอบรมในหลายรัฐของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเทคโนโลยีในระยะสั้น เนื่องจากบริษัทที่ยังไม่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ จะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมบังคับสัดส่วนการผลิตชิปแบบ 1:1 ระหว่างผลิตในประเทศและนำเข้า ➡️ บริษัทที่ไม่สามารถรักษาสัดส่วนนี้ได้จะต้องจ่ายภาษีนำเข้า 100% ➡️ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ ➡️ Apple ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ บริษัทที่มีแผนการผลิตในประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษี ➡️ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดการพึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ TSMC, Nvidia, Samsung และ SK Hynix เป็นบริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้ว ➡️ มาตรการนี้จะส่งผลต่อบริษัทที่ยังไม่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สหรัฐฯ เคยมีสัดส่วนการผลิตชิปสูงในอดีต แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ➡️ TSMC ผลิตชิปมากกว่า 50% ของโลก และกำลังสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนา ➡️ การผลิตชิปต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและแรงงาน ➡️ มาตรการนี้อาจกระตุ้นการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ➡️ การตั้งโรงงานผลิตในประเทศช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/us-plans-to-mandate-a-11-ratio-of-domestically-manufactured-to-imported-chips-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US plans to mandate a 1:1 ratio of domestically manufactured to imported chips, WSJ reports
    (Reuters) -The Trump administration is planning to ask chip companies to manufacture the same number of semiconductors in the U.S. as their customers import from overseas producers, the Wall Street Journal reported on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่”

    Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง

    Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน

    สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram

    การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก
    ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี
    บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ
    จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน
    จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า
    มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน
    เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน
    ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า
    ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024
    วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า
    Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA)
    Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    🧒 “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่” Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก ➡️ ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี ➡️ บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ ➡️ จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน ➡️ จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า ➡️ มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน ➡️ เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน ➡️ ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024 ➡️ วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า ➡️ Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA) ➡️ Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta activates Facebook 'teen accounts' worldwide
    Meta's teen accounts, which offer additional security settings, content restrictions and parental controls for users aged 13 to 17, were first introduced on Instagram last year.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วยข่าวส่วนตัวที่รู้ใจคุณ — เมื่อ AI เริ่มคิดแทนคุณตั้งแต่ก่อนตื่นนอน”

    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากเครื่องมือที่ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” ให้ผู้ใช้ โดย Pulse จะส่งการสรุปข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้ในรูปแบบ “การ์ดภาพ” วันละ 5–10 ใบ ทุกเช้า โดยอิงจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อไว้ เช่น Gmail หรือ Google Calendar2

    Pulse เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกแบบ Pro ที่มีค่าบริการ $200 ต่อเดือน โดยจะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป ChatGPT และสามารถตั้งค่าให้สแกนอีเมลหรือปฏิทินล่วงหน้า เพื่อจัดเตรียมสรุปข่าว รายการนัดหมาย หรือแม้แต่แนะนำเมนูอาหารตามเงื่อนไขสุขภาพของผู้ใช้ได้

    ตัวอย่างการใช้งาน Pulse ที่ OpenAI สาธิต ได้แก่ การ์ดข่าวทีมฟุตบอล Arsenal, ไอเดียชุดฮาโลวีนสำหรับครอบครัว และแผนการเดินทางสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากบริบทที่ผู้ใช้เคยพูดคุยกับ ChatGPT มาก่อน เช่น “ลูกอายุ 6 เดือน” หรือ “อยากไปเที่ยว Sedona”

    Pulse ยังสามารถใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory ของ ChatGPT เพื่อปรับแต่งการ์ดให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น และมีการออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงการ์ดครบชุด โดยจะแสดงข้อความ “That’s it for today” เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ตกอยู่ในวังวนของการเสพข้อมูลแบบไม่รู้จบ

    แม้จะยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ระดับ Pro แต่ OpenAI มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต โดยเน้นว่า Pulse เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยน ChatGPT จาก chatbot เป็น “ผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณ” อย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ส่งการ์ดสรุปข่าวและข้อมูลส่วนตัววันละ 5–10 ใบ
    การ์ดถูกสร้างจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail, Calendar
    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน)
    Pulse สามารถสแกนอีเมลและปฏิทินล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมข้อมูลตอนเช้า
    ตัวอย่างการ์ดมีทั้งข่าวกีฬา ไอเดียครอบครัว และแผนการเดินทาง
    ใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้
    มีการออกแบบให้หยุดแสดงข้อมูลหลังครบชุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสพข้อมูลเกินจำเป็น
    OpenAI มีแผนขยาย Pulse ให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางใหม่ของ OpenAI ที่เน้น “ผู้ช่วยเชิงรุก” มากกว่า chatbot
    ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง จึงจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Pro ในช่วงแรก
    การ์ดของ Pulse มีภาพประกอบและลิงก์อ้างอิงเหมือนกับฟีเจอร์ Search
    Pulse สามารถใช้ Connectors เพื่อเชื่อมต่อกับแอปภายนอกได้หลากหลาย
    การออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงครบชุด เป็นแนวคิดที่ต่างจากโซเชียลมีเดียทั่วไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/chatgpt-feature-offers-users-a-personalised-daily-briefing
    🗞️ “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วยข่าวส่วนตัวที่รู้ใจคุณ — เมื่อ AI เริ่มคิดแทนคุณตั้งแต่ก่อนตื่นนอน” OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากเครื่องมือที่ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” ให้ผู้ใช้ โดย Pulse จะส่งการสรุปข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้ในรูปแบบ “การ์ดภาพ” วันละ 5–10 ใบ ทุกเช้า โดยอิงจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อไว้ เช่น Gmail หรือ Google Calendar2 Pulse เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกแบบ Pro ที่มีค่าบริการ $200 ต่อเดือน โดยจะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป ChatGPT และสามารถตั้งค่าให้สแกนอีเมลหรือปฏิทินล่วงหน้า เพื่อจัดเตรียมสรุปข่าว รายการนัดหมาย หรือแม้แต่แนะนำเมนูอาหารตามเงื่อนไขสุขภาพของผู้ใช้ได้ ตัวอย่างการใช้งาน Pulse ที่ OpenAI สาธิต ได้แก่ การ์ดข่าวทีมฟุตบอล Arsenal, ไอเดียชุดฮาโลวีนสำหรับครอบครัว และแผนการเดินทางสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากบริบทที่ผู้ใช้เคยพูดคุยกับ ChatGPT มาก่อน เช่น “ลูกอายุ 6 เดือน” หรือ “อยากไปเที่ยว Sedona” Pulse ยังสามารถใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory ของ ChatGPT เพื่อปรับแต่งการ์ดให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น และมีการออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงการ์ดครบชุด โดยจะแสดงข้อความ “That’s it for today” เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ตกอยู่ในวังวนของการเสพข้อมูลแบบไม่รู้จบ แม้จะยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ระดับ Pro แต่ OpenAI มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต โดยเน้นว่า Pulse เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยน ChatGPT จาก chatbot เป็น “ผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณ” อย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ส่งการ์ดสรุปข่าวและข้อมูลส่วนตัววันละ 5–10 ใบ ➡️ การ์ดถูกสร้างจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail, Calendar ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ➡️ Pulse สามารถสแกนอีเมลและปฏิทินล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมข้อมูลตอนเช้า ➡️ ตัวอย่างการ์ดมีทั้งข่าวกีฬา ไอเดียครอบครัว และแผนการเดินทาง ➡️ ใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้ ➡️ มีการออกแบบให้หยุดแสดงข้อมูลหลังครบชุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสพข้อมูลเกินจำเป็น ➡️ OpenAI มีแผนขยาย Pulse ให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางใหม่ของ OpenAI ที่เน้น “ผู้ช่วยเชิงรุก” มากกว่า chatbot ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง จึงจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Pro ในช่วงแรก ➡️ การ์ดของ Pulse มีภาพประกอบและลิงก์อ้างอิงเหมือนกับฟีเจอร์ Search ➡️ Pulse สามารถใช้ Connectors เพื่อเชื่อมต่อกับแอปภายนอกได้หลากหลาย ➡️ การออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงครบชุด เป็นแนวคิดที่ต่างจากโซเชียลมีเดียทั่วไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/chatgpt-feature-offers-users-a-personalised-daily-briefing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ChatGPT feature offers users a personalised daily briefing
    OpenAI is rolling out a new ChatGPT feature that sends users a set of personalised news, research and other updates each day based on their prior conversations with the chatbot, an early attempt at making its flagship product more proactive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร”

    ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ

    ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว

    ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน

    ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง
    แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw
    Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก
    Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย
    ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI
    AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น
    Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน
    การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี
    AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง
    การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ

    https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    🧠 “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร” ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง ➡️ แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw ➡️ Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก ➡️ Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI ➡️ AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น ➡️ Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน ➡️ การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี ➡️ AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง ➡️ การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI coding assistants amplify deeper cybersecurity risks
    Although capable of reducing trivial mistakes, AI coding copilots leave enterprises at risk of increased insecure coding patterns, exposed secrets, and cloud misconfigurations, research reveals.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย”

    ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ

    แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง

    AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด

    ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา

    แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่
    มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก
    การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง
    ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2
    ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น
    เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้
    รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส
    เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54
    ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น
    เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที
    ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50%
    การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra

    https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    🎧 “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย” ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่ ➡️ มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก ➡️ การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง ➡️ ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2 ➡️ ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้ ➡️ รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์ ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ➡️ เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54 ➡️ ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น ➡️ เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที ➡️ ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50% ➡️ การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple AirPods Never Quite Fit Me, But The New AirPods Pro 3 Changed That - SlashGear
    I was prepared to struggle with AirPods Pro 3, but they proved to fit my ears better than any previous iteration of Apple's earbuds. The smaller tips helped.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Search กลายเป็นสนามโฆษณา — เมื่อการค้นหากลายเป็นการจ่ายเพื่อให้เจอสิ่งที่ควรเจออยู่แล้ว”

    บทความจาก Bit Byte Bit โดย Zarar Siddiqi ได้สะท้อนปัญหาที่ผู้ใช้ Google Search จำนวนมากเริ่มรู้สึก: การค้นหาข้อมูลที่ควรจะง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงถูกผลักลงไปอยู่ล่าง ๆ ของหน้า โดยถูกแทนที่ด้วยโฆษณาและลิงก์ที่จ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้นหาคำว่า “Midjourney” ซึ่งควรจะนำไปสู่เว็บไซต์ของ Midjourney โดยตรง แต่กลับพบว่าเว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากลิงก์โฆษณาและเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การจะขึ้นอันดับสูงใน Google ไม่ใช่แค่ต้องมีผลิตภัณฑ์ดีและมี backlink มากพอ แต่ยังต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อกันไม่ให้คู่แข่งที่จ่ายมากกว่าแซงหน้าไป

    สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของ Google ที่เปลี่ยนจาก “เครื่องมือค้นหา” ไปสู่ “แพลตฟอร์มโฆษณา” ที่ควบคุมการมองเห็นของแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า AI Max ซึ่งเป็นชุดโฆษณาอัตโนมัติที่ Google เริ่มผลักดันในปี 2025 โดยสามารถปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา และแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบ AI Overview ที่อาจรวมโฆษณาเข้าไปในคำตอบโดยตรง

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังมากขึ้น เพราะแม้จะค้นหาด้วยคำที่ชัดเจน ก็อาจไม่เจอสิ่งที่ต้องการทันที หากไม่ได้เลื่อนผ่านโฆษณาและผลลัพธ์ที่ถูกปรับแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ค้นหา “Midjourney” แต่เว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลลัพธ์
    ผลลัพธ์อันดับต้น ๆ ถูกครอบครองโดยโฆษณาและเว็บไซต์ที่จ่ายเงิน
    Google ใช้ระบบ AI Max เพื่อปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาผู้ค้นหา
    AI Max สามารถแสดงโฆษณาในรูปแบบ AI Overview ซึ่งรวมอยู่ในคำตอบโดยตรง
    การขึ้นอันดับใน Google ต้องมีทั้งคุณภาพของเนื้อหาและการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา
    ผู้เขียนวิจารณ์ว่า Google Search ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ “ตรง” กับความต้องการอีกต่อไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI Max เป็นระบบโฆษณาอัตโนมัติที่ Google ขยายทั่วโลกในปี 2025
    ระบบนี้สามารถแสดงโฆษณาแม้ในคำค้นที่ผู้ลงโฆษณาไม่ได้ระบุไว้โดยตรง
    Google เริ่มทดลองแสดงโฆษณาในคำตอบของ AI Overview ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2025
    การจัดอันดับผลลัพธ์ใน Google ถูกปรับตาม “Intent Satisfaction Metrics” มากกว่าการคลิกเพียงอย่างเดียว2
    เว็บไซต์ที่เน้นเนื้อหาลึกและตอบคำถามครบถ้วนมีแนวโน้มได้อันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่เน้น SEO แบบเดิม

    https://bitbytebit.substack.com/p/everything-thats-wrong-with-google
    🔍 “Google Search กลายเป็นสนามโฆษณา — เมื่อการค้นหากลายเป็นการจ่ายเพื่อให้เจอสิ่งที่ควรเจออยู่แล้ว” บทความจาก Bit Byte Bit โดย Zarar Siddiqi ได้สะท้อนปัญหาที่ผู้ใช้ Google Search จำนวนมากเริ่มรู้สึก: การค้นหาข้อมูลที่ควรจะง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงถูกผลักลงไปอยู่ล่าง ๆ ของหน้า โดยถูกแทนที่ด้วยโฆษณาและลิงก์ที่จ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้นหาคำว่า “Midjourney” ซึ่งควรจะนำไปสู่เว็บไซต์ของ Midjourney โดยตรง แต่กลับพบว่าเว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากลิงก์โฆษณาและเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การจะขึ้นอันดับสูงใน Google ไม่ใช่แค่ต้องมีผลิตภัณฑ์ดีและมี backlink มากพอ แต่ยังต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อกันไม่ให้คู่แข่งที่จ่ายมากกว่าแซงหน้าไป สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของ Google ที่เปลี่ยนจาก “เครื่องมือค้นหา” ไปสู่ “แพลตฟอร์มโฆษณา” ที่ควบคุมการมองเห็นของแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า AI Max ซึ่งเป็นชุดโฆษณาอัตโนมัติที่ Google เริ่มผลักดันในปี 2025 โดยสามารถปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา และแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบ AI Overview ที่อาจรวมโฆษณาเข้าไปในคำตอบโดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังมากขึ้น เพราะแม้จะค้นหาด้วยคำที่ชัดเจน ก็อาจไม่เจอสิ่งที่ต้องการทันที หากไม่ได้เลื่อนผ่านโฆษณาและผลลัพธ์ที่ถูกปรับแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ค้นหา “Midjourney” แต่เว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลลัพธ์ ➡️ ผลลัพธ์อันดับต้น ๆ ถูกครอบครองโดยโฆษณาและเว็บไซต์ที่จ่ายเงิน ➡️ Google ใช้ระบบ AI Max เพื่อปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาผู้ค้นหา ➡️ AI Max สามารถแสดงโฆษณาในรูปแบบ AI Overview ซึ่งรวมอยู่ในคำตอบโดยตรง ➡️ การขึ้นอันดับใน Google ต้องมีทั้งคุณภาพของเนื้อหาและการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา ➡️ ผู้เขียนวิจารณ์ว่า Google Search ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ “ตรง” กับความต้องการอีกต่อไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI Max เป็นระบบโฆษณาอัตโนมัติที่ Google ขยายทั่วโลกในปี 2025 ➡️ ระบบนี้สามารถแสดงโฆษณาแม้ในคำค้นที่ผู้ลงโฆษณาไม่ได้ระบุไว้โดยตรง ➡️ Google เริ่มทดลองแสดงโฆษณาในคำตอบของ AI Overview ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ การจัดอันดับผลลัพธ์ใน Google ถูกปรับตาม “Intent Satisfaction Metrics” มากกว่าการคลิกเพียงอย่างเดียว2 ➡️ เว็บไซต์ที่เน้นเนื้อหาลึกและตอบคำถามครบถ้วนมีแนวโน้มได้อันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่เน้น SEO แบบเดิม https://bitbytebit.substack.com/p/everything-thats-wrong-with-google
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู”

    Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต

    เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ

    Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome

    สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้

    ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11
    สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก
    ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์
    รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป
    รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store
    เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้
    ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์
    ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้
    การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized
    การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง
    Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    https://helium.computer/
    🛡️ “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก” ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู” Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้ ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 ➡️ สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก ➡️ ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์ ➡️ รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป ➡️ รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้ ➡️ ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์ ➡️ ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้ ➡️ การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized ➡️ การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง ➡️ Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด https://helium.computer/
    HELIUM.COMPUTER
    Helium Browser
    The web browser made for people, with love. Best privacy by default, unbiased ad-blocking, no bloat and no noise. Fully open source.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อโรงพยาบาลกลายเป็นสินทรัพย์: งานวิจัยชี้อัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นหลังถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน”

    งานวิจัยล่าสุดจาก Harvard Medical School และสถาบันพันธมิตรได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการโดยบริษัททุนเอกชน (Private Equity) มีอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ถูกซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย Medicare ซึ่งมักเป็นผู้สูงอายุและมีความเปราะบางทางสุขภาพ

    การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ และเปรียบเทียบกับข้อมูลจากโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่มีขนาดและทำเลใกล้เคียงกัน พบว่าหลังการซื้อกิจการ โรงพยาบาลเหล่านี้มีการลดจำนวนพนักงานลงเฉลี่ย 11.6% และลดค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนในห้องฉุกเฉินและ ICU ลงถึง 18% และ 16% ตามลำดับ

    นักวิจัยชี้ว่า การลดจำนวนบุคลากรในพื้นที่ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ห้องฉุกเฉินและ ICU ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการรักษา และอาจเป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิต

    นอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลที่ถูกซื้อโดยทุนเอกชนมีแนวโน้มที่จะส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น และลดระยะเวลาการรักษาใน ICU เพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้นผลกำไรเป็นหลัก มากกว่าคุณภาพการดูแลผู้ป่วย

    แม้จะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบ แต่บริษัททุนเอกชนยังคงเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาลจิตเวชและโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทที่มีทางเลือกจำกัด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยพบว่าอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้น 13% หลังโรงพยาบาลถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน
    วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วย Medicare กว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ
    เปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่ไม่ได้ถูกซื้อ
    จำนวนพนักงานลดลงเฉลี่ย 11.6% หลังการซื้อกิจการ
    ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนใน ER ลดลง 18% และ ICU ลดลง 16%
    โรงพยาบาลมีแนวโน้มส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น
    ระยะเวลาการรักษาใน ICU ถูกลดลงเพื่อควบคุมต้นทุน
    บริษัททุนเอกชนยังคงซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
    ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของทุนเอกชน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Private Equity ใช้เงินกู้ในการซื้อกิจการ ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับหนี้เพิ่ม
    กลยุทธ์หลักคือเพิ่มรายได้ในระยะสั้น แล้วลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไร
    การลดพนักงานมักหมายถึงการลดคุณภาพการดูแลผู้ป่วย
    โรงพยาบาลที่ถูกซื้อบางแห่งขายที่ดินเพื่อสร้างรายได้ แต่ต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่ม
    รัฐบางแห่ง เช่น Oregon และ Indiana เริ่มออกกฎหมายควบคุมการเข้าซื้อกิจการโดยทุนเอกชน

    https://www.nbcnews.com/news/us-news/death-rates-rose-hospital-ers-private-equity-firms-took-study-finds-rcna233211
    🏥 “เมื่อโรงพยาบาลกลายเป็นสินทรัพย์: งานวิจัยชี้อัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นหลังถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน” งานวิจัยล่าสุดจาก Harvard Medical School และสถาบันพันธมิตรได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการโดยบริษัททุนเอกชน (Private Equity) มีอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ถูกซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย Medicare ซึ่งมักเป็นผู้สูงอายุและมีความเปราะบางทางสุขภาพ การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ และเปรียบเทียบกับข้อมูลจากโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่มีขนาดและทำเลใกล้เคียงกัน พบว่าหลังการซื้อกิจการ โรงพยาบาลเหล่านี้มีการลดจำนวนพนักงานลงเฉลี่ย 11.6% และลดค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนในห้องฉุกเฉินและ ICU ลงถึง 18% และ 16% ตามลำดับ นักวิจัยชี้ว่า การลดจำนวนบุคลากรในพื้นที่ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ห้องฉุกเฉินและ ICU ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการรักษา และอาจเป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิต นอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลที่ถูกซื้อโดยทุนเอกชนมีแนวโน้มที่จะส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น และลดระยะเวลาการรักษาใน ICU เพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้นผลกำไรเป็นหลัก มากกว่าคุณภาพการดูแลผู้ป่วย แม้จะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบ แต่บริษัททุนเอกชนยังคงเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาลจิตเวชและโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทที่มีทางเลือกจำกัด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยพบว่าอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้น 13% หลังโรงพยาบาลถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วย Medicare กว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ ➡️ เปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่ไม่ได้ถูกซื้อ ➡️ จำนวนพนักงานลดลงเฉลี่ย 11.6% หลังการซื้อกิจการ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนใน ER ลดลง 18% และ ICU ลดลง 16% ➡️ โรงพยาบาลมีแนวโน้มส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น ➡️ ระยะเวลาการรักษาใน ICU ถูกลดลงเพื่อควบคุมต้นทุน ➡️ บริษัททุนเอกชนยังคงซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ➡️ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของทุนเอกชน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Private Equity ใช้เงินกู้ในการซื้อกิจการ ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับหนี้เพิ่ม ➡️ กลยุทธ์หลักคือเพิ่มรายได้ในระยะสั้น แล้วลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไร ➡️ การลดพนักงานมักหมายถึงการลดคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ➡️ โรงพยาบาลที่ถูกซื้อบางแห่งขายที่ดินเพื่อสร้างรายได้ แต่ต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่ม ➡️ รัฐบางแห่ง เช่น Oregon และ Indiana เริ่มออกกฎหมายควบคุมการเข้าซื้อกิจการโดยทุนเอกชน https://www.nbcnews.com/news/us-news/death-rates-rose-hospital-ers-private-equity-firms-took-study-finds-rcna233211
    WWW.NBCNEWS.COM
    Death rates rose in hospital ERs after private equity firms took over, study finds
    The increased deaths in emergency departments at private equity-owned hospitals are most likely the result of reduced staffing levels, researchers say.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare เปิดตัว Email Service เวอร์ชันเบต้า — ส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API Key พร้อมรองรับ AI และระบบรับเมลครบวงจร”

    ในยุคที่อีเมลยังคงเป็นหัวใจของการสื่อสารระหว่างแอปพลิเคชันกับผู้ใช้ Cloudflare ได้เปิดตัวบริการใหม่ในชื่อ “Cloudflare Email Service” ซึ่งรวมความสามารถในการส่งอีเมล (Email Sending) และรับอีเมล (Email Routing) เข้าไว้ด้วยกัน โดยเปิดให้ทดลองใช้งานแบบ private beta ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2025

    จุดเด่นของ Email Sending คือการส่งอีเมลผ่าน Cloudflare Workers ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ API key หรือจัดการกับ secret ต่าง ๆ เพียงแค่เพิ่ม binding ในไฟล์ wrangler.jsonc ก็สามารถเรียกใช้คำสั่ง send() เพื่อส่งอีเมลได้ทันที พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับการสร้างอีเมล HTML แบบสวยงาม

    Cloudflare ยังเน้นเรื่อง “ความเร็วและความน่าเชื่อถือ” ของการส่งอีเมล โดยผสานระบบ DNS เพื่อกำหนดค่า SPF, DKIM และ DMARC อัตโนมัติ ทำให้ผู้ให้บริการอีเมลสามารถตรวจสอบและเชื่อถือโดเมนของผู้ส่งได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่อีเมลจะตกไปอยู่ในกล่องสแปม

    ในฝั่งของ Email Routing ผู้ใช้สามารถสร้างอีเมลบนโดเมนของตนเอง เช่น support@your-domain.com แล้วใช้ Workers รับและประมวลผลอีเมลที่เข้ามา เช่น สร้าง ticket อัตโนมัติ, สรุปเนื้อหาด้วย AI, หรือเก็บไฟล์แนบไว้ใน R2 ได้ทันที

    เมื่อรวมการส่งและรับอีเมลเข้าด้วยกัน Cloudflare จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถจัดการอีเมลแบบครบวงจรในระดับแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องพึ่งบริการภายนอกหรือเซิร์ฟเวอร์อีเมลแบบเดิม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare เปิดตัว Email Service แบบ private beta ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    Email Sending สามารถส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API key
    รองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับสร้างอีเมล HTML
    ระบบ DNS ถูกตั้งค่า SPF, DKIM, DMARC อัตโนมัติเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Email Routing รองรับการรับอีเมลผ่าน Workers และประมวลผลด้วย AI
    สามารถสร้าง workflow เช่น สร้าง ticket, สรุปเนื้อหา, เก็บไฟล์แนบ
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน REST API และ SMTP สำหรับบริการภายนอก
    มีระบบ observability สำหรับตรวจสอบ bounce rate และ delivery status
    รองรับการทดสอบแบบ local ผ่าน wrangler โดยไม่ต้อง deploy จริง
    Email Sending จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนข้อความที่ส่ง ส่วน Email Routing ยังคงใช้ฟรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare Workers เป็นระบบ serverless ที่ทำงานบน edge ทำให้ latency ต่ำ
    การตั้งค่า SPF/DKIM/DMARC เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน phishing และ spoofing
    React Email เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้การสร้างอีเมล HTML เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย
    การใช้ AI ในการจัดการอีเมลช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เช่น การตอบกลับอัตโนมัติ
    การรวมระบบส่งและรับอีเมลในแพลตฟอร์มเดียวช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอป

    https://blog.cloudflare.com/email-service/
    📧 “Cloudflare เปิดตัว Email Service เวอร์ชันเบต้า — ส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API Key พร้อมรองรับ AI และระบบรับเมลครบวงจร” ในยุคที่อีเมลยังคงเป็นหัวใจของการสื่อสารระหว่างแอปพลิเคชันกับผู้ใช้ Cloudflare ได้เปิดตัวบริการใหม่ในชื่อ “Cloudflare Email Service” ซึ่งรวมความสามารถในการส่งอีเมล (Email Sending) และรับอีเมล (Email Routing) เข้าไว้ด้วยกัน โดยเปิดให้ทดลองใช้งานแบบ private beta ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2025 จุดเด่นของ Email Sending คือการส่งอีเมลผ่าน Cloudflare Workers ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ API key หรือจัดการกับ secret ต่าง ๆ เพียงแค่เพิ่ม binding ในไฟล์ wrangler.jsonc ก็สามารถเรียกใช้คำสั่ง send() เพื่อส่งอีเมลได้ทันที พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับการสร้างอีเมล HTML แบบสวยงาม Cloudflare ยังเน้นเรื่อง “ความเร็วและความน่าเชื่อถือ” ของการส่งอีเมล โดยผสานระบบ DNS เพื่อกำหนดค่า SPF, DKIM และ DMARC อัตโนมัติ ทำให้ผู้ให้บริการอีเมลสามารถตรวจสอบและเชื่อถือโดเมนของผู้ส่งได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่อีเมลจะตกไปอยู่ในกล่องสแปม ในฝั่งของ Email Routing ผู้ใช้สามารถสร้างอีเมลบนโดเมนของตนเอง เช่น support@your-domain.com แล้วใช้ Workers รับและประมวลผลอีเมลที่เข้ามา เช่น สร้าง ticket อัตโนมัติ, สรุปเนื้อหาด้วย AI, หรือเก็บไฟล์แนบไว้ใน R2 ได้ทันที เมื่อรวมการส่งและรับอีเมลเข้าด้วยกัน Cloudflare จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถจัดการอีเมลแบบครบวงจรในระดับแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องพึ่งบริการภายนอกหรือเซิร์ฟเวอร์อีเมลแบบเดิม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare เปิดตัว Email Service แบบ private beta ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ Email Sending สามารถส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API key ➡️ รองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับสร้างอีเมล HTML ➡️ ระบบ DNS ถูกตั้งค่า SPF, DKIM, DMARC อัตโนมัติเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Email Routing รองรับการรับอีเมลผ่าน Workers และประมวลผลด้วย AI ➡️ สามารถสร้าง workflow เช่น สร้าง ticket, สรุปเนื้อหา, เก็บไฟล์แนบ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน REST API และ SMTP สำหรับบริการภายนอก ➡️ มีระบบ observability สำหรับตรวจสอบ bounce rate และ delivery status ➡️ รองรับการทดสอบแบบ local ผ่าน wrangler โดยไม่ต้อง deploy จริง ➡️ Email Sending จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนข้อความที่ส่ง ส่วน Email Routing ยังคงใช้ฟรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare Workers เป็นระบบ serverless ที่ทำงานบน edge ทำให้ latency ต่ำ ➡️ การตั้งค่า SPF/DKIM/DMARC เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน phishing และ spoofing ➡️ React Email เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้การสร้างอีเมล HTML เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย ➡️ การใช้ AI ในการจัดการอีเมลช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เช่น การตอบกลับอัตโนมัติ ➡️ การรวมระบบส่งและรับอีเมลในแพลตฟอร์มเดียวช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอป https://blog.cloudflare.com/email-service/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Announcing Cloudflare Email Service’s private beta
    Today, we’re launching Cloudflare Email Service. Send and receive email directly from your Workers with native bindings—no API keys needed. We're unifying email sending and routing into a single service built for developers. Sign up for the private beta.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถนนสามเสนทรุด! รฟม.เร่งคืนพื้นจราจรหลังดินและน้ำรั่วเข้าสถานีรถไฟฟ้า รพ.วชิระกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092128

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ถนนสามเสนทรุด! รฟม.เร่งคืนพื้นจราจรหลังดินและน้ำรั่วเข้าสถานีรถไฟฟ้า รพ.วชิระกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092128 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐสภาเคาะวันอภิปราย ครม. 29-30 ก.ย. ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย รวมเวลา 15 ชั่วโมง พร้อมถกนโยบายเด่น 5 ด้าน
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092127

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    รัฐสภาเคาะวันอภิปราย ครม. 29-30 ก.ย. ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย รวมเวลา 15 ชั่วโมง พร้อมถกนโยบายเด่น 5 ด้าน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092127 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛳 สัมผัสประสบการณ์ล่องเรือ Royal Caribbean – Spectrum of the Seas

    เซี่ยงไฮ้ – ปูซาน – ฟุกุโอกะ เส้นทางสุดฮิตแห่งเอเชียตะวันออก

    พักห้องมีระเบียงสุดหรู + โรงแรม 5 ดาวในเซี่ยงไฮ้
    🍽 ดินเนอร์บุฟเฟ่ต์บนหอคอยไข่มุก พร้อมความบันเทิงระดับโลกบนเรือ

    5-12 พ.ย. 68 | เริ่มต้นเพียง 82,900.- / ท่าน

    ค่าภาษีท่าเรือ
    ตั๋วเครื่องบินไป-กลับสายการบินไทย
    ค่าทิปพนักงานบนเรือ

    รหัสโปรแกรม : ROYT-TG-8D6N-SHA-SHA-2511051
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e9db81

    ดูเรือ Royal Caribean ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/648705

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือRoyalCaribean #RoyalCaribbean #SpectrumoftheSeas #Asia #Shanghai #Busan #Korea #Japan #Thelouis #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Cruisedomain
    🛳 สัมผัสประสบการณ์ล่องเรือ Royal Caribbean – Spectrum of the Seas 📍 เซี่ยงไฮ้ – ปูซาน – ฟุกุโอกะ เส้นทางสุดฮิตแห่งเอเชียตะวันออก 🌟 พักห้องมีระเบียงสุดหรู + โรงแรม 5 ดาวในเซี่ยงไฮ้ 🍽 ดินเนอร์บุฟเฟ่ต์บนหอคอยไข่มุก พร้อมความบันเทิงระดับโลกบนเรือ 📅 5-12 พ.ย. 68 | 💰 เริ่มต้นเพียง 82,900.- / ท่าน ✅ ค่าภาษีท่าเรือ ✅ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับสายการบินไทย ✅ ค่าทิปพนักงานบนเรือ 📌 รหัสโปรแกรม : ROYT-TG-8D6N-SHA-SHA-2511051 🅿️ คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e9db81 ดูเรือ Royal Caribean ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/648705 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือRoyalCaribean #RoyalCaribbean #SpectrumoftheSeas #Asia #Shanghai #Busan #Korea #Japan #Thelouis #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Cruisedomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Raspberry Pi 500+ เปิดตัว! คอมพิวเตอร์ในคีย์บอร์ดกลไก พร้อม SSD และ RAM 16GB — ยกระดับจากของเล่นสู่เครื่องทำงานจริง”

    Raspberry Pi กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Raspberry Pi 500+ ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในตัวคีย์บอร์ดแบบ all-in-one โดยครั้งนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะจัดเต็มทั้งสเปกและประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับเดสก์ท็อปจริงมากขึ้น

    จุดเด่นที่สุดคือการเปลี่ยนคีย์บอร์ดจากแบบธรรมดาเป็น “คีย์บอร์ดกลไก” โดยใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB แบบ backlit ซึ่งให้สัมผัสการพิมพ์ที่คลิกสนุกและทนทานมากขึ้น แถมยังสามารถถอดเปลี่ยน keycap ได้ตามใจชอบ

    ด้านสเปกภายใน Raspberry Pi 500+ ใช้ CPU Arm Cortex-A76 แบบ quad-core ความเร็ว 2.4GHz พร้อม RAM LPDDR4X ขนาด 16GB และ SSD ภายใน 256GB ที่สามารถขยายเพิ่มได้ผ่าน M.2 slot ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Raspberry Pi ใส่ SSD แบบ NVMe มาให้ในรุ่น consumer แบบนี้

    ยังคงมี GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง USB 3.0, USB 2.0, micro HDMI รองรับ 4K 60Hz, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5 และ Bluetooth 5.0 โดยทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในบอดี้ขนาดกะทัดรัดที่ออกแบบให้คล้ายกับคอมพิวเตอร์ยุค 80s อย่าง BBC Micro

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ที่มาพร้อมเมาส์, สาย HDMI, อะแดปเตอร์ USB-C 27W และคู่มือ Raspberry Pi Beginner’s Guide

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Raspberry Pi 500+ เป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในคีย์บอร์ดกลไก
    ใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB และ keycap ถอดเปลี่ยนได้
    CPU: Quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz
    RAM: 16GB LPDDR4X ความเร็ว 4267 MHz
    SSD ภายใน 256GB พร้อม M.2 slot สำหรับขยายเพิ่ม
    รองรับ microSD เพิ่มเติมได้เช่นเดิม
    GPU: VideoCore VII รองรับ OpenGL ES 3.1 และ Vulkan 1.3
    การเชื่อมต่อ: USB 3.0 x2, USB 2.0 x1, micro HDMI x2, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5, Bluetooth 5.0
    GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และ embedded projects
    ราคา $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Raspberry Pi 500+ ใช้ PCB และชิปเซ็ตเดียวกับ Pi 500 แต่เพิ่ม RAM และ SSD
    ดีไซน์คีย์บอร์ดกลไกเป็นครั้งแรกของ Raspberry Pi ในกลุ่ม consumer
    ขนาดตัวเครื่องใหญ่ขึ้นเล็กน้อย: 312 x 123 x 35.8 มม.
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป, นักเรียน, นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการคอมพ์เล็ก ๆ สำหรับงานจริง
    Raspberry Pi มี ecosystem ที่รองรับการใช้งานตั้งแต่ IoT, เซิร์ฟเวอร์เบา ๆ ไปจนถึง desktop

    https://news.itsfoss.com/raspberry-pi-500-plus/
    ⌨️ “Raspberry Pi 500+ เปิดตัว! คอมพิวเตอร์ในคีย์บอร์ดกลไก พร้อม SSD และ RAM 16GB — ยกระดับจากของเล่นสู่เครื่องทำงานจริง” Raspberry Pi กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Raspberry Pi 500+ ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในตัวคีย์บอร์ดแบบ all-in-one โดยครั้งนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะจัดเต็มทั้งสเปกและประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับเดสก์ท็อปจริงมากขึ้น จุดเด่นที่สุดคือการเปลี่ยนคีย์บอร์ดจากแบบธรรมดาเป็น “คีย์บอร์ดกลไก” โดยใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB แบบ backlit ซึ่งให้สัมผัสการพิมพ์ที่คลิกสนุกและทนทานมากขึ้น แถมยังสามารถถอดเปลี่ยน keycap ได้ตามใจชอบ ด้านสเปกภายใน Raspberry Pi 500+ ใช้ CPU Arm Cortex-A76 แบบ quad-core ความเร็ว 2.4GHz พร้อม RAM LPDDR4X ขนาด 16GB และ SSD ภายใน 256GB ที่สามารถขยายเพิ่มได้ผ่าน M.2 slot ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Raspberry Pi ใส่ SSD แบบ NVMe มาให้ในรุ่น consumer แบบนี้ ยังคงมี GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง USB 3.0, USB 2.0, micro HDMI รองรับ 4K 60Hz, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5 และ Bluetooth 5.0 โดยทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในบอดี้ขนาดกะทัดรัดที่ออกแบบให้คล้ายกับคอมพิวเตอร์ยุค 80s อย่าง BBC Micro ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ที่มาพร้อมเมาส์, สาย HDMI, อะแดปเตอร์ USB-C 27W และคู่มือ Raspberry Pi Beginner’s Guide ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Raspberry Pi 500+ เป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในคีย์บอร์ดกลไก ➡️ ใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB และ keycap ถอดเปลี่ยนได้ ➡️ CPU: Quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz ➡️ RAM: 16GB LPDDR4X ความเร็ว 4267 MHz ➡️ SSD ภายใน 256GB พร้อม M.2 slot สำหรับขยายเพิ่ม ➡️ รองรับ microSD เพิ่มเติมได้เช่นเดิม ➡️ GPU: VideoCore VII รองรับ OpenGL ES 3.1 และ Vulkan 1.3 ➡️ การเชื่อมต่อ: USB 3.0 x2, USB 2.0 x1, micro HDMI x2, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5, Bluetooth 5.0 ➡️ GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และ embedded projects ➡️ ราคา $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Raspberry Pi 500+ ใช้ PCB และชิปเซ็ตเดียวกับ Pi 500 แต่เพิ่ม RAM และ SSD ➡️ ดีไซน์คีย์บอร์ดกลไกเป็นครั้งแรกของ Raspberry Pi ในกลุ่ม consumer ➡️ ขนาดตัวเครื่องใหญ่ขึ้นเล็กน้อย: 312 x 123 x 35.8 มม. ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป, นักเรียน, นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการคอมพ์เล็ก ๆ สำหรับงานจริง ➡️ Raspberry Pi มี ecosystem ที่รองรับการใช้งานตั้งแต่ IoT, เซิร์ฟเวอร์เบา ๆ ไปจนถึง desktop https://news.itsfoss.com/raspberry-pi-500-plus/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เปิดตัว APV มาตรฐานวิดีโอระดับโปรแบบเปิด — ท้าชน Apple ProRes ด้วยพลัง Snapdragon และพันธมิตรอุตสาหกรรม”

    ในงานเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 Qualcomm ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการวิดีโอระดับมืออาชีพ ด้วยการเปิดตัว APV (Advanced Professional Video) ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสวิดีโอแบบเปิดที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายทำและตัดต่อระดับโปร โดยมีเป้าหมายชัดเจน: แข่งกับ Apple ProRes และลดการพึ่งพาฟอร์แมตแบบเสียค่าลิขสิทธิ์อย่าง H.265

    APV ถูกพัฒนาร่วมกันโดย Qualcomm, Adobe, Google, Dolby, Blackmagic, Samsung และพันธมิตรอื่น ๆ โดยเน้นให้เป็นมาตรฐานแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อให้ผู้ผลิตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นทั้งในฝั่งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    ด้านเทคนิค APV รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 10-bit ทั้งในรูปแบบ 4:4:4 และ 4:2:2 พร้อมอัตราการเข้ารหัสที่ 3–4 Gbps ซึ่งให้คุณภาพสูงแต่ใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยกว่าฟอร์แมต ProRes ถึง 10% และยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ Windows PC ได้ทันที โดยไม่ต้องแปลงไฟล์ก่อนตัดต่อ

    Qualcomm ยังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้ APV ทำงานได้อย่างไร้รอยต่อบน Windows โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอด้วยมือถือ แล้วนำไปตัดต่อบน PC ได้ทันทีโดยไม่สูญเสียคุณภาพ

    แม้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 จะเริ่มวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ แต่ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ APV โดยตรงจะเริ่มมีในปี 2026 เนื่องจากต้องปรับตัวในระดับอุตสาหกรรม ทั้งด้านซอฟต์แวร์ตัดต่อ, ระบบจัดเก็บข้อมูล และเวิร์กโฟลว์การผลิต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เปิดตัว APV (Advanced Professional Video) เป็นมาตรฐานวิดีโอแบบเปิด
    พัฒนาโดยความร่วมมือกับ Adobe, Google, Dolby, Blackmagic, Samsung และพันธมิตรอื่น ๆ
    ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Apple ProRes และลดการพึ่งพา H.265
    รองรับ 10-bit 4:4:4 และ 4:2:2 ที่อัตรา 3–4 Gbps
    ขนาดไฟล์เล็กกว่า ProRes ประมาณ 10% แต่ยังคงคุณภาพระดับโปร
    ทำงานร่วมกับ Windows PC ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงไฟล์
    Qualcomm ร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้ APV ทำงานบน Windows อย่างไร้รอยต่อ
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 รองรับ APV แต่ฮาร์ดแวร์จะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    APV รองรับ HDR 10/10+ metadata และสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 8K ได้
    การใช้ codec แบบเปิดช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต
    ProRes ของ Apple แม้จะเป็น open framework แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม
    APV ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานน้อย เหมาะกับอุปกรณ์พกพา
    การมีมาตรฐานแบบเปิดช่วยให้ผู้ผลิตกล้อง, มือถือ และซอฟต์แวร์ตัดต่อสามารถพัฒนา ecosystem ร่วมกันได้

    https://securityonline.info/qualcomm-launches-apv-the-open-standard-for-pro-grade-video-to-rival-apple-prores/
    🎥 “Qualcomm เปิดตัว APV มาตรฐานวิดีโอระดับโปรแบบเปิด — ท้าชน Apple ProRes ด้วยพลัง Snapdragon และพันธมิตรอุตสาหกรรม” ในงานเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 Qualcomm ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการวิดีโอระดับมืออาชีพ ด้วยการเปิดตัว APV (Advanced Professional Video) ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสวิดีโอแบบเปิดที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายทำและตัดต่อระดับโปร โดยมีเป้าหมายชัดเจน: แข่งกับ Apple ProRes และลดการพึ่งพาฟอร์แมตแบบเสียค่าลิขสิทธิ์อย่าง H.265 APV ถูกพัฒนาร่วมกันโดย Qualcomm, Adobe, Google, Dolby, Blackmagic, Samsung และพันธมิตรอื่น ๆ โดยเน้นให้เป็นมาตรฐานแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อให้ผู้ผลิตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นทั้งในฝั่งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ด้านเทคนิค APV รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 10-bit ทั้งในรูปแบบ 4:4:4 และ 4:2:2 พร้อมอัตราการเข้ารหัสที่ 3–4 Gbps ซึ่งให้คุณภาพสูงแต่ใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยกว่าฟอร์แมต ProRes ถึง 10% และยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ Windows PC ได้ทันที โดยไม่ต้องแปลงไฟล์ก่อนตัดต่อ Qualcomm ยังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้ APV ทำงานได้อย่างไร้รอยต่อบน Windows โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอด้วยมือถือ แล้วนำไปตัดต่อบน PC ได้ทันทีโดยไม่สูญเสียคุณภาพ แม้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 จะเริ่มวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ แต่ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ APV โดยตรงจะเริ่มมีในปี 2026 เนื่องจากต้องปรับตัวในระดับอุตสาหกรรม ทั้งด้านซอฟต์แวร์ตัดต่อ, ระบบจัดเก็บข้อมูล และเวิร์กโฟลว์การผลิต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เปิดตัว APV (Advanced Professional Video) เป็นมาตรฐานวิดีโอแบบเปิด ➡️ พัฒนาโดยความร่วมมือกับ Adobe, Google, Dolby, Blackmagic, Samsung และพันธมิตรอื่น ๆ ➡️ ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Apple ProRes และลดการพึ่งพา H.265 ➡️ รองรับ 10-bit 4:4:4 และ 4:2:2 ที่อัตรา 3–4 Gbps ➡️ ขนาดไฟล์เล็กกว่า ProRes ประมาณ 10% แต่ยังคงคุณภาพระดับโปร ➡️ ทำงานร่วมกับ Windows PC ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงไฟล์ ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้ APV ทำงานบน Windows อย่างไร้รอยต่อ ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 รองรับ APV แต่ฮาร์ดแวร์จะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ APV รองรับ HDR 10/10+ metadata และสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 8K ได้ ➡️ การใช้ codec แบบเปิดช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต ➡️ ProRes ของ Apple แม้จะเป็น open framework แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม ➡️ APV ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานน้อย เหมาะกับอุปกรณ์พกพา ➡️ การมีมาตรฐานแบบเปิดช่วยให้ผู้ผลิตกล้อง, มือถือ และซอฟต์แวร์ตัดต่อสามารถพัฒนา ecosystem ร่วมกันได้ https://securityonline.info/qualcomm-launches-apv-the-open-standard-for-pro-grade-video-to-rival-apple-prores/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm Launches APV: The Open Standard for Pro-Grade Video to Rival Apple ProRes
    Qualcomm unveils APV (Advanced Professional Video), an open-source encoding standard for professional video capture designed to challenge Apple's ProRes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts