• รัฐสภายุโรป จ่อโหวต ญัตติไทยส่งกลับอุยกูร์ งัด FTA ขู่ กดดันยกเลิก ม.112-ปล่อยนักโทษการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/17633/
    รัฐสภายุโรป จ่อโหวต ญัตติไทยส่งกลับอุยกูร์ งัด FTA ขู่ กดดันยกเลิก ม.112-ปล่อยนักโทษการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/17633/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์

    👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน
    👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย
    👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
    👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง
    👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง
    👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112
    👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง

    https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์ 👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน 👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย 👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง 👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง 👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112 👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาเล็งใช้การประชุมกับคณะเจรจายูเครนในซาอุดีอาระเบียที่กำหนดจัดขึ้นวันอังคาร (11 มี.ค.) เพื่อวัดใจว่า เคียฟยินยอมพร้อมใจสละดินแดนให้รัสเซียเพื่อยุติสงคราม และจริงจังกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับคณะบริหารของทรัมป์หรือไม่ ขณะที่ทั้งทรัมป์และเซเลนสกี้ต่างแสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือจะมีความคืบหน้าและมีผลลัพธ์ที่ดี
    .
    มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อหารือกับคณะเจ้าหน้าที่ยูเครนที่นำโดยอันเดร เยมาร์ค หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ รวมถึงอันดรี ซีบิกา รัฐมนตรีต่างประเทศ, รัสเทม ยูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และพาฟโล ปาลิซา ผู้บัญชาการทหาร
    .
    คณะเจ้าหน้าที่ของอเมริกายังประกอบด้วยไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษดูแลเรื่องตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐฯ เผยว่า วอชิงตันต้องการใช้โอกาสนี้พิจารณาว่า ยูเครนต้องการเพียงสันติภาพที่เป็นธรรมหรือสันติภาพที่เป็นจริง สนใจแค่พรมแดนเดิมในปี 2014 หรือพรมแดนในปี 2022 หรืออีกนัยหนึ่งคือยูเครนพร้อมประนีประนอมด้วยการยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซียเพื่อแลกกับการยุติสงครามหรือไม่
    .
    ขณะเดียวกัน ไบรอัน ฮิวจ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา แถลงว่า เซเลนสกี้มีความคืบหน้าในการฟื้นคืนความสัมพันธ์วอชิงตัน-เคียฟ หลังจากปะทะคารมกับทรัมป์ระหว่างเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และสำทับว่า อเมริกาเฝ้ารอว่า จะเห็นการดำเนินการที่ดีเพิ่มเติมซึ่งจะนำไปสู่การยุติสงครามโหดร้ายในยูเครน
    .
    ด้านทรัมป์แสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือที่เจดดาห์จะมีความคืบหน้าอย่างมาก
    .
    วิตคอฟฟ์ซึ่งเป็นผู้จัดการการเจรจา เผยว่า เป้าหมายคือ การบรรลุกรอบโครงข้อตกลงสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้น
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี้ต้องการให้มการหยุดยิงทางอากาศและทะเล ตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนนักโทษ เพื่อทดสอบความมุ่งมั่นในการยุติสงครามของรัสเซีย ขณะที่มอสโกคัดค้านแนวคิดข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวที่อังกฤษและฝรั่งเศสเสนอ เนื่องจากเห็นว่า เป็นการซื้อเวลาของเคียฟเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพยูเครนล่มสลาย
    .
    ทางฝ่ายเซเลนสกี้กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อนออกเดินทางไปซาอุดีอาระเบีย ว่า เขาหวังว่า การเจรจาระหว่างทีมเจ้าหน้าที่ยูเครนกับอเมริกาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ทั้งในด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับสันติภาพและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของอเมริกา ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนมีกำหนดการเข้าพบมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบีย ในวันจันทร์ (10 ) แต่การเจรจากับทีมของสหรัฐฯในวันอังคารนั้น ตามรายงานข่าวบอกว่าเป็นภารกิจของทีมเจรจาฝ่ายยูเครน
    .
    เซเลนสกี้เสริมว่า ยูเครนพร้อมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับอเมริกา ซึ่งจะมีการจัดตั้งกองทุนร่วมจากการขายแร่ธาตุของยูเครน ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความสำคัญต่อการที่อเมริกาจะให้การสนับสนุนเคียฟต่อไป
    .
    อย่างไรก็ดี ขณะที่การสนับสนุนของอเมริกายังไร้ความแน่นอน เซเลนสกี้ได้เรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสนับสนุนตนเอง ขณะที่เคียฟเพลี่ยงพล้ำในสนามรบมากขึ้นและกำลังถูกบดขยี้หนักให้ล่าถอยออกจากแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย
    .
    สำหรับมุมมองของพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพนั้น มีการเตือนว่า ยูเครนควรทำข้อตกลงกับรัสเซียภายใต้จุดยืนที่แข็งแกร่งเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรรีบร้อนเจรจากับผู้รุกราน
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี้ระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่ต้องการสันติภาพ อีกทั้งบอกว่ารัสเซียยังจะโจมตีประเทศยุโรปอื่นๆ ต่อไปอีก ถ้าที่สุดแล้วไม่มีผลลัพธ์ชัดเจนว่า รัสเซียพ่ายแพ้ในการรุกรานยูเครน
    .
    ในทางกลับกัน วอชิงตันพยายามบีบทุกทางให้เคียฟยอมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย โดยล่าสุดถึงขั้นที่สหรัฐฯระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง รวมทั้งการเข้าถึงภาพถ่ายดาวเทียมแก่ยูเครน โดยไม่ฟังเสียงพวกโปรยูเครนที่อ้างว่า ความเคลื่อนไหวนี้เสี่ยงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป เนื่องจากรัสเซียจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและมีแนวโน้มลดลงในการยอมยุติศึก และยอมทำข้อตกลงสันติภาพแบบเท่าเทียมกับยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023235
    ..............
    Sondhi X
    อเมริกาเล็งใช้การประชุมกับคณะเจรจายูเครนในซาอุดีอาระเบียที่กำหนดจัดขึ้นวันอังคาร (11 มี.ค.) เพื่อวัดใจว่า เคียฟยินยอมพร้อมใจสละดินแดนให้รัสเซียเพื่อยุติสงคราม และจริงจังกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับคณะบริหารของทรัมป์หรือไม่ ขณะที่ทั้งทรัมป์และเซเลนสกี้ต่างแสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือจะมีความคืบหน้าและมีผลลัพธ์ที่ดี . มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อหารือกับคณะเจ้าหน้าที่ยูเครนที่นำโดยอันเดร เยมาร์ค หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ รวมถึงอันดรี ซีบิกา รัฐมนตรีต่างประเทศ, รัสเทม ยูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และพาฟโล ปาลิซา ผู้บัญชาการทหาร . คณะเจ้าหน้าที่ของอเมริกายังประกอบด้วยไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษดูแลเรื่องตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐฯ เผยว่า วอชิงตันต้องการใช้โอกาสนี้พิจารณาว่า ยูเครนต้องการเพียงสันติภาพที่เป็นธรรมหรือสันติภาพที่เป็นจริง สนใจแค่พรมแดนเดิมในปี 2014 หรือพรมแดนในปี 2022 หรืออีกนัยหนึ่งคือยูเครนพร้อมประนีประนอมด้วยการยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซียเพื่อแลกกับการยุติสงครามหรือไม่ . ขณะเดียวกัน ไบรอัน ฮิวจ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา แถลงว่า เซเลนสกี้มีความคืบหน้าในการฟื้นคืนความสัมพันธ์วอชิงตัน-เคียฟ หลังจากปะทะคารมกับทรัมป์ระหว่างเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และสำทับว่า อเมริกาเฝ้ารอว่า จะเห็นการดำเนินการที่ดีเพิ่มเติมซึ่งจะนำไปสู่การยุติสงครามโหดร้ายในยูเครน . ด้านทรัมป์แสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือที่เจดดาห์จะมีความคืบหน้าอย่างมาก . วิตคอฟฟ์ซึ่งเป็นผู้จัดการการเจรจา เผยว่า เป้าหมายคือ การบรรลุกรอบโครงข้อตกลงสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้น . ทั้งนี้ เซเลนสกี้ต้องการให้มการหยุดยิงทางอากาศและทะเล ตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนนักโทษ เพื่อทดสอบความมุ่งมั่นในการยุติสงครามของรัสเซีย ขณะที่มอสโกคัดค้านแนวคิดข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวที่อังกฤษและฝรั่งเศสเสนอ เนื่องจากเห็นว่า เป็นการซื้อเวลาของเคียฟเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพยูเครนล่มสลาย . ทางฝ่ายเซเลนสกี้กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อนออกเดินทางไปซาอุดีอาระเบีย ว่า เขาหวังว่า การเจรจาระหว่างทีมเจ้าหน้าที่ยูเครนกับอเมริกาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ทั้งในด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับสันติภาพและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของอเมริกา ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนมีกำหนดการเข้าพบมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบีย ในวันจันทร์ (10 ) แต่การเจรจากับทีมของสหรัฐฯในวันอังคารนั้น ตามรายงานข่าวบอกว่าเป็นภารกิจของทีมเจรจาฝ่ายยูเครน . เซเลนสกี้เสริมว่า ยูเครนพร้อมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับอเมริกา ซึ่งจะมีการจัดตั้งกองทุนร่วมจากการขายแร่ธาตุของยูเครน ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความสำคัญต่อการที่อเมริกาจะให้การสนับสนุนเคียฟต่อไป . อย่างไรก็ดี ขณะที่การสนับสนุนของอเมริกายังไร้ความแน่นอน เซเลนสกี้ได้เรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสนับสนุนตนเอง ขณะที่เคียฟเพลี่ยงพล้ำในสนามรบมากขึ้นและกำลังถูกบดขยี้หนักให้ล่าถอยออกจากแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย . สำหรับมุมมองของพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพนั้น มีการเตือนว่า ยูเครนควรทำข้อตกลงกับรัสเซียภายใต้จุดยืนที่แข็งแกร่งเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรรีบร้อนเจรจากับผู้รุกราน . ทั้งนี้ เซเลนสกี้ระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่ต้องการสันติภาพ อีกทั้งบอกว่ารัสเซียยังจะโจมตีประเทศยุโรปอื่นๆ ต่อไปอีก ถ้าที่สุดแล้วไม่มีผลลัพธ์ชัดเจนว่า รัสเซียพ่ายแพ้ในการรุกรานยูเครน . ในทางกลับกัน วอชิงตันพยายามบีบทุกทางให้เคียฟยอมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย โดยล่าสุดถึงขั้นที่สหรัฐฯระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง รวมทั้งการเข้าถึงภาพถ่ายดาวเทียมแก่ยูเครน โดยไม่ฟังเสียงพวกโปรยูเครนที่อ้างว่า ความเคลื่อนไหวนี้เสี่ยงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป เนื่องจากรัสเซียจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและมีแนวโน้มลดลงในการยอมยุติศึก และยอมทำข้อตกลงสันติภาพแบบเท่าเทียมกับยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023235 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 864 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลจัตวา Ghiath Suleiman Dalla อดีตนายพลของกองพลที่ 4 แห่งกองทัพอาหรับซีเรีย (SAA) (กองทัพของรัฐบาลซีเรียเดิมก่อนถูกโค่นอำนาจ) ปัจจุบันกำลังเข้าร่วมต่อสู้อยู่ในลาตาเกียของซีเรีย

    นายพล Dalla เรียกร้องให้ถอนกำลัง HTS ซึ่งเป็นของรัฐบาลซีเรียชุดใหม่ ถอนตัวออกจากพื้นที่ชายฝั่งที่ชาวอลาวีส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรีย ซึ่งรวมถึงลาตาเกียและทาร์ตูส เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนักโทษ HTS ที่ถูกจับตัวไว้ อย่างปลอดภัย

    นายพล Dalla ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิหร่าน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเตหะรานในกองพลที่ 4 ของ Maher al-Assad โดยเขาเคยบังคับบัญชากองพล Ghiath ที่ 42 ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ
    พลจัตวา Ghiath Suleiman Dalla อดีตนายพลของกองพลที่ 4 แห่งกองทัพอาหรับซีเรีย (SAA) (กองทัพของรัฐบาลซีเรียเดิมก่อนถูกโค่นอำนาจ) ปัจจุบันกำลังเข้าร่วมต่อสู้อยู่ในลาตาเกียของซีเรีย นายพล Dalla เรียกร้องให้ถอนกำลัง HTS ซึ่งเป็นของรัฐบาลซีเรียชุดใหม่ ถอนตัวออกจากพื้นที่ชายฝั่งที่ชาวอลาวีส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรีย ซึ่งรวมถึงลาตาเกียและทาร์ตูส เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนักโทษ HTS ที่ถูกจับตัวไว้ อย่างปลอดภัย นายพล Dalla ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิหร่าน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเตหะรานในกองพลที่ 4 ของ Maher al-Assad โดยเขาเคยบังคับบัญชากองพล Ghiath ที่ 42 ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีใคร "ประณาม" หรือยัง!?!
    มีใครแสดงความ "กังวล" หรือยัง!?!

    “แบรด ซิกมอน” (Brad Sigmon) ปัจจุบันอายุ 67 ปี เมื่อปี 2001 ได้ก่อเหตุฆาตกรรมพ่อแม่ของแฟนเก่า ถูกศาลรัฐเซาท์แคโรไลนาตัดสินประหารชีวิตด้วยการ “ยิงเป้า” เนื่องจากนักโทษไม่ต้องการถูกฉีดสารพิษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีของสหรัฐ
    มีใคร "ประณาม" หรือยัง!?! มีใครแสดงความ "กังวล" หรือยัง!?! “แบรด ซิกมอน” (Brad Sigmon) ปัจจุบันอายุ 67 ปี เมื่อปี 2001 ได้ก่อเหตุฆาตกรรมพ่อแม่ของแฟนเก่า ถูกศาลรัฐเซาท์แคโรไลนาตัดสินประหารชีวิตด้วยการ “ยิงเป้า” เนื่องจากนักโทษไม่ต้องการถูกฉีดสารพิษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีของสหรัฐ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • บรรดาผู้นำอาหรับให้การรับรองแผนการที่ฟื้นฟูบูรณะดินแดนฉนวนกาซาขึ้นมาใหม่ โดยที่จะอยู่ใต้การบริหารปกครองของคณะรัฐบาลในอนาคตขององค์การบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority หรือ PA) เป็นการเสนอหนทางเลือกอีกทางหนึ่งขึ้นมาประชันกับข้อเสนอซึ่งถูกประณามอย่างกว้างขวางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศจะเข้าครอบครองดินแดนแห่งนี้ และโยกย้ายประชาชนที่นั่นออกไปอยู่ที่อื่น
    .
    อย่างไรก็ดี ลู่ทางความเป็นไปได้ที่ PA จะได้เข้าปกครองกาซายังคงห่างไกลจากความแน่นอน จากการที่อิสราเอลซึ่งเป็นผู้ทำลายล้างผลาญและยังคงมีกำลังทหารยึดครองดินแดนแห่งนี้อยู่ ยังคงปฏิเสธไม่ยอมให้องค์การบริหารปาเลสไตน์มีบทบาทใดๆ ในอนาคต ขณะเดียวกันก็ยากที่จะได้รับความเห็นชอบจากสหรัฐฯ เนื่องจากทรัมป์ก็คือผู้ที่สั่งปิดสำนักงานติดต่อขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ (PLO) ในกรุงวอชิงตัน ระหว่างสมัยแรกแห่งการเป็นประธานาธิบดีของเขา ขณะเดียวกับที่ยกระดับเพิ่มการสนับสนุนอิสราเอล
    .
    ทรัมป์จุดชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกันทั่วโลก จากการเสนอแนะว่าสหรัฐฯ จะเข้าเทกโอเวอร์ฉนวนกาซา และเปลี่ยนให้กลายเป็น “หาดริเวียร่าของตะวันออกกลาง” เวลาเดียวกันนั้นก็จะบังคับให้ประชากรชาวปาเลสไตน์ที่นั่นต้องอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่อียิปต์ หรือจอร์แดน
    .
    ที่ประชุมซัมมิตในกรุงไคโรของสันนิบาตอาหรับ เมื่อวันอังคาร (4) – หรือ 1 วันหลังจากนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล แถลงย้ำว่าเขายังคงสนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ — เสนอทางเลือกอีกทางหนึ่ง ด้วยการลงมติรับรอง “แผนการของอาหรับที่มีเนื้อหาครอบคลุมรอบด้าน”
    .
    ตามแผนการดังกล่าว กำหนดให้จัดตั้งกองทุนทรัสต์ฟันด์ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายการฟื้นฟูบูรณะฉนวนกาซา โดยเรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติสนับสนุน
    .
    “ความพยายามทั้งหมดเหล่านี้จะเดินหน้าอย่างคู่ขนานไปกับการเปิดเส้นทางในทางการเมือง” ซึ่งมุ่งไปสู่การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ แผนการนี้ระบุ โดยที่เรื่องหลังนี้เป็นสิ่งที่พวกผู้นำอิสราเอลคัดค้านหัวชนฝา
    .
    คำแถลงของที่ประชุมซัมมิตสันนิบาตอาหรับ ยังแสดงความยินดีต้อนรับ “การตัดสินใจของชาวปาเลสไตน์ที่จะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกาซาขึ้นมา ซึ่งจะอยู่ภายใต้ร่มธงของรัฐบาลปาเลสไตน์”
    .
    ที่ประชุมยังเรียกร้องให้ยอมรับว่า ฐานะความเป็นตัวแทนของชาวปาเลสไตน์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ PLO ซึ่งในตัวมันเองก็เป็นองค์การที่ประกอบด้วยชาวปาเลสไตน์หลายๆ กลุ่ม และเป็นกลุ่มพลังทางการเมืองสำคัญซึ่งมีฐานะครอบงำอยู่ภายใน PA ทว่าไม่ได้รวมกลุ่มฮามาสเข้ามาด้วย
    .
    ในอดีต PA เคยเป็นผู้บริหารปกครองกาซา ก่อนสูญเสียอำนาจไปให้แก่กลุ่มฮามาสเมื่อปี 2007
    .
    ทางด้านฮามาส แถลงว่ายินดีต้อนรับแผนการของที่ประชุมซัมมิตไคโรครั้งนี้ และกล่าวว่าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกาซาชั่วคราวตามที่มีการเสนอกัน จะทำหน้าที่เป็น “ผู้กำกับตรวจสอบความพยายามในการบรรเทาทุกข์ การฟื้นฟูบูรณะ และการบริหารการปกครอง”
    .
    อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มฮามาสมีความเต็มใจแค่ไหนที่จะสละอำนาจในการควบคุมกาซาเอาไว้
    .
    ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างฮามาสกับอิสราเอลกำลังถึงทางตัน
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม และทำให้มีความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมไหลทะลักเข้าสู่กาซานั้น กำลังทำท่าจะไปไม่รอดอีกแล้ว เมื่ออิสราเอลประเกาศในวันอาทิตย์ (2) ว่าตนเองกำลังเข้าสกัดกั้นขัดขวางการจัดส่งความช่วยเหลือ และจะยอมเปิดทางให้ใหม่ต่อเมื่อกลุ่มฮามาสยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ของฝ่ายอิสราเอลในการขยายระยะเวลาบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงเฟส 1 ต่อไปอีก
    .
    เฟสแรกของข้อตกลงดังกล่าวนี้สิ้นสุดลงแล้วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากก่อให้เกิดระยะเวลาที่ค่อนข้างเงียบสงบเป็นเวลา 6 สัปดาห์ และมีการแลกเปลี่ยนตัวประกันชาวอิสราเอลกับพวกนักโทษชาวปาเลสไตน์อยู่หลายระลอก
    .
    ทว่ามาถึงเวลานี้ อิสราเอลระบุว่าต้องการให้ขยายเวลาบังคับใช้เฟส 1 ออกไปอึกจนกระทั่งถึงกลางเดือนเมษายน ขณะที่ฮามาสยืนกรานให้เปลี่ยนไปสู่การบังคับใช้เฟส 2 ซึ่งมีการระบุถึงการเดินหน้าสู่การยุติสงครามคราวนี้อย่างถาวร
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการประชุมซัมมิตของสันนิบาตอาหรับเปิดขึ้นในวันอังคาร รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล กีเดียน ซาร์ ออกมาแถลงเรียกร้องต้องการให้ “กาซากลายเป็นพื้นที่ปราศจากกำลังทหารอย่างสิ้นเชิง” รวมทั้งเอากลุ่มฮามาสออกไปด้วย ก่อนที่จะเดินหน้าสู่เฟส 2 ของข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ด้าน ซามี อะบู ซูฮรี ผู้นำฮามาส ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021622
    ..............
    Sondhi X
    บรรดาผู้นำอาหรับให้การรับรองแผนการที่ฟื้นฟูบูรณะดินแดนฉนวนกาซาขึ้นมาใหม่ โดยที่จะอยู่ใต้การบริหารปกครองของคณะรัฐบาลในอนาคตขององค์การบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority หรือ PA) เป็นการเสนอหนทางเลือกอีกทางหนึ่งขึ้นมาประชันกับข้อเสนอซึ่งถูกประณามอย่างกว้างขวางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศจะเข้าครอบครองดินแดนแห่งนี้ และโยกย้ายประชาชนที่นั่นออกไปอยู่ที่อื่น . อย่างไรก็ดี ลู่ทางความเป็นไปได้ที่ PA จะได้เข้าปกครองกาซายังคงห่างไกลจากความแน่นอน จากการที่อิสราเอลซึ่งเป็นผู้ทำลายล้างผลาญและยังคงมีกำลังทหารยึดครองดินแดนแห่งนี้อยู่ ยังคงปฏิเสธไม่ยอมให้องค์การบริหารปาเลสไตน์มีบทบาทใดๆ ในอนาคต ขณะเดียวกันก็ยากที่จะได้รับความเห็นชอบจากสหรัฐฯ เนื่องจากทรัมป์ก็คือผู้ที่สั่งปิดสำนักงานติดต่อขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ (PLO) ในกรุงวอชิงตัน ระหว่างสมัยแรกแห่งการเป็นประธานาธิบดีของเขา ขณะเดียวกับที่ยกระดับเพิ่มการสนับสนุนอิสราเอล . ทรัมป์จุดชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกันทั่วโลก จากการเสนอแนะว่าสหรัฐฯ จะเข้าเทกโอเวอร์ฉนวนกาซา และเปลี่ยนให้กลายเป็น “หาดริเวียร่าของตะวันออกกลาง” เวลาเดียวกันนั้นก็จะบังคับให้ประชากรชาวปาเลสไตน์ที่นั่นต้องอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่อียิปต์ หรือจอร์แดน . ที่ประชุมซัมมิตในกรุงไคโรของสันนิบาตอาหรับ เมื่อวันอังคาร (4) – หรือ 1 วันหลังจากนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล แถลงย้ำว่าเขายังคงสนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ — เสนอทางเลือกอีกทางหนึ่ง ด้วยการลงมติรับรอง “แผนการของอาหรับที่มีเนื้อหาครอบคลุมรอบด้าน” . ตามแผนการดังกล่าว กำหนดให้จัดตั้งกองทุนทรัสต์ฟันด์ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายการฟื้นฟูบูรณะฉนวนกาซา โดยเรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติสนับสนุน . “ความพยายามทั้งหมดเหล่านี้จะเดินหน้าอย่างคู่ขนานไปกับการเปิดเส้นทางในทางการเมือง” ซึ่งมุ่งไปสู่การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ แผนการนี้ระบุ โดยที่เรื่องหลังนี้เป็นสิ่งที่พวกผู้นำอิสราเอลคัดค้านหัวชนฝา . คำแถลงของที่ประชุมซัมมิตสันนิบาตอาหรับ ยังแสดงความยินดีต้อนรับ “การตัดสินใจของชาวปาเลสไตน์ที่จะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกาซาขึ้นมา ซึ่งจะอยู่ภายใต้ร่มธงของรัฐบาลปาเลสไตน์” . ที่ประชุมยังเรียกร้องให้ยอมรับว่า ฐานะความเป็นตัวแทนของชาวปาเลสไตน์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ PLO ซึ่งในตัวมันเองก็เป็นองค์การที่ประกอบด้วยชาวปาเลสไตน์หลายๆ กลุ่ม และเป็นกลุ่มพลังทางการเมืองสำคัญซึ่งมีฐานะครอบงำอยู่ภายใน PA ทว่าไม่ได้รวมกลุ่มฮามาสเข้ามาด้วย . ในอดีต PA เคยเป็นผู้บริหารปกครองกาซา ก่อนสูญเสียอำนาจไปให้แก่กลุ่มฮามาสเมื่อปี 2007 . ทางด้านฮามาส แถลงว่ายินดีต้อนรับแผนการของที่ประชุมซัมมิตไคโรครั้งนี้ และกล่าวว่าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกาซาชั่วคราวตามที่มีการเสนอกัน จะทำหน้าที่เป็น “ผู้กำกับตรวจสอบความพยายามในการบรรเทาทุกข์ การฟื้นฟูบูรณะ และการบริหารการปกครอง” . อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มฮามาสมีความเต็มใจแค่ไหนที่จะสละอำนาจในการควบคุมกาซาเอาไว้ . ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างฮามาสกับอิสราเอลกำลังถึงทางตัน . ในอีกด้านหนึ่ง ข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม และทำให้มีความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมไหลทะลักเข้าสู่กาซานั้น กำลังทำท่าจะไปไม่รอดอีกแล้ว เมื่ออิสราเอลประเกาศในวันอาทิตย์ (2) ว่าตนเองกำลังเข้าสกัดกั้นขัดขวางการจัดส่งความช่วยเหลือ และจะยอมเปิดทางให้ใหม่ต่อเมื่อกลุ่มฮามาสยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ของฝ่ายอิสราเอลในการขยายระยะเวลาบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงเฟส 1 ต่อไปอีก . เฟสแรกของข้อตกลงดังกล่าวนี้สิ้นสุดลงแล้วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากก่อให้เกิดระยะเวลาที่ค่อนข้างเงียบสงบเป็นเวลา 6 สัปดาห์ และมีการแลกเปลี่ยนตัวประกันชาวอิสราเอลกับพวกนักโทษชาวปาเลสไตน์อยู่หลายระลอก . ทว่ามาถึงเวลานี้ อิสราเอลระบุว่าต้องการให้ขยายเวลาบังคับใช้เฟส 1 ออกไปอึกจนกระทั่งถึงกลางเดือนเมษายน ขณะที่ฮามาสยืนกรานให้เปลี่ยนไปสู่การบังคับใช้เฟส 2 ซึ่งมีการระบุถึงการเดินหน้าสู่การยุติสงครามคราวนี้อย่างถาวร . ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการประชุมซัมมิตของสันนิบาตอาหรับเปิดขึ้นในวันอังคาร รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล กีเดียน ซาร์ ออกมาแถลงเรียกร้องต้องการให้ “กาซากลายเป็นพื้นที่ปราศจากกำลังทหารอย่างสิ้นเชิง” รวมทั้งเอากลุ่มฮามาสออกไปด้วย ก่อนที่จะเดินหน้าสู่เฟส 2 ของข้อตกลงหยุดยิง . ด้าน ซามี อะบู ซูฮรี ผู้นำฮามาส ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021622 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    13
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2002 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากทรัมป์ ประกาศยุติความช่วยเหลือทุกทางต่อยูเครน

    วันนี้เซเลนสกีโพสต์ข้อความบน "X" ว่าพร้อมแล้วสำหรับการเจรจาเพื่อยุติสงคราม และยังบอกอีกว่า พร้อมจะลงนามข้อตกลงแร่ธาตุของสหรัฐฯ "เมื่อใดก็ได้ และในรูปแบบใดก็ได้ที่สหรัฐสะดวก"

    ซึ่งไม่แน่ใจว่า นี่จะถือเป็นคำขอโทษตามที่ทรัมป์เรียกร้องให้เซเลนสกีออกมากล่าวอย่างเป็นทางการต่อหน้าสาธารณะหรือไม่!!

    นอกจากนี้ เขายังยื่นข้อเสนอว่า พร้อมที่จะทำข้อตกลงหยุดยิงให้เร็วที่สุดเพื่อยุติสงคราม โดยที่ขั้นแรกอาจเป็นการปล่อยนักโทษ และการหยุดโจมตีทางอากศ โดยหยุดการใช้ขีปนาวุธ โดรนพิสัยไกล ในการโจมตีด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนอื่นๆ และต่อไปจะหยุดการโจมตีทสงทะเลทันที ซึ่งทางรัสเซียจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันด้วย
    .

    👉แถลงการณ์ฉบับเต็มของเซเลนสกี:

    ผมขอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของยูเครนในความพยายามสร้างสันติภาพอีกครั้ง

    ไม่มีใครต้องการสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น ยูเครนพร้อมที่จะเข้าร่วมโต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อนำสันติภาพที่ยั่งยืนให้เข้ามาใกล้ที่สุด ไม่มีใครต้องการสันติภาพมากกว่าชาวยูเครน ทีมงานของผมรวมทั้งตัวผม พร้อมที่จะทำงานภายใต้การนำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อให้ได้สันติภาพที่ยั่งยืน

    เราพร้อมที่จะทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อยุติสงคราม ซึ่งขั้นตอนแรกอาจเป็นการปล่อยนักโทษและยุติการโจมตีทางอาหศ โดยห้ามใช้ขีปนาวุธ โดรนพิสัยไกล เพื่อโจมตีเป้าหมายด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนอื่นๆ และจะยุติการต่อสู้ในทะเลทันที หากรัสเซียจะทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเราต้องการดำเนินการอย่างรวดเร็วผ่านขั้นตอนต่อไปทั้งหมดและทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อตกลงข้อตกลงสุดท้ายที่แข็งแกร่ง

    เราให้ความสำคัญอย่างที่สุดต่ออเมริกาซึ่งได้ทำสิ่งที่ช่วยให้ยูเครนรักษาอำนาจอธิปไตยและเอกราชของตนไว้ได้ เราซาบซึ้งในสิ่งนี้

    การประชุมของเราในกรุงวอชิงตันที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เราต้องการให้ความร่วมมือและการสื่อสารในอนาคตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์

    เกี่ยวกับข้อตกลงด้านแร่ธาตุและความมั่นคง ยูเครนพร้อมที่จะลงนามเมื่อใดก็ได้และในรูปแบบที่สะดวก เราเห็นว่าข้อตกลงนี้เป็นก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงที่มากขึ้นและการค้ำประกันด้านความมั่นคงที่มั่นคง และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับอย่างมีประสิทธิผล
    หลังจากทรัมป์ ประกาศยุติความช่วยเหลือทุกทางต่อยูเครน วันนี้เซเลนสกีโพสต์ข้อความบน "X" ว่าพร้อมแล้วสำหรับการเจรจาเพื่อยุติสงคราม และยังบอกอีกว่า พร้อมจะลงนามข้อตกลงแร่ธาตุของสหรัฐฯ "เมื่อใดก็ได้ และในรูปแบบใดก็ได้ที่สหรัฐสะดวก" ซึ่งไม่แน่ใจว่า นี่จะถือเป็นคำขอโทษตามที่ทรัมป์เรียกร้องให้เซเลนสกีออกมากล่าวอย่างเป็นทางการต่อหน้าสาธารณะหรือไม่!! นอกจากนี้ เขายังยื่นข้อเสนอว่า พร้อมที่จะทำข้อตกลงหยุดยิงให้เร็วที่สุดเพื่อยุติสงคราม โดยที่ขั้นแรกอาจเป็นการปล่อยนักโทษ และการหยุดโจมตีทางอากศ โดยหยุดการใช้ขีปนาวุธ โดรนพิสัยไกล ในการโจมตีด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนอื่นๆ และต่อไปจะหยุดการโจมตีทสงทะเลทันที ซึ่งทางรัสเซียจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันด้วย . 👉แถลงการณ์ฉบับเต็มของเซเลนสกี: ผมขอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของยูเครนในความพยายามสร้างสันติภาพอีกครั้ง ไม่มีใครต้องการสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น ยูเครนพร้อมที่จะเข้าร่วมโต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อนำสันติภาพที่ยั่งยืนให้เข้ามาใกล้ที่สุด ไม่มีใครต้องการสันติภาพมากกว่าชาวยูเครน ทีมงานของผมรวมทั้งตัวผม พร้อมที่จะทำงานภายใต้การนำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อให้ได้สันติภาพที่ยั่งยืน เราพร้อมที่จะทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อยุติสงคราม ซึ่งขั้นตอนแรกอาจเป็นการปล่อยนักโทษและยุติการโจมตีทางอาหศ โดยห้ามใช้ขีปนาวุธ โดรนพิสัยไกล เพื่อโจมตีเป้าหมายด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนอื่นๆ และจะยุติการต่อสู้ในทะเลทันที หากรัสเซียจะทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเราต้องการดำเนินการอย่างรวดเร็วผ่านขั้นตอนต่อไปทั้งหมดและทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อตกลงข้อตกลงสุดท้ายที่แข็งแกร่ง เราให้ความสำคัญอย่างที่สุดต่ออเมริกาซึ่งได้ทำสิ่งที่ช่วยให้ยูเครนรักษาอำนาจอธิปไตยและเอกราชของตนไว้ได้ เราซาบซึ้งในสิ่งนี้ การประชุมของเราในกรุงวอชิงตันที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เราต้องการให้ความร่วมมือและการสื่อสารในอนาคตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เกี่ยวกับข้อตกลงด้านแร่ธาตุและความมั่นคง ยูเครนพร้อมที่จะลงนามเมื่อใดก็ได้และในรูปแบบที่สะดวก เราเห็นว่าข้อตกลงนี้เป็นก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงที่มากขึ้นและการค้ำประกันด้านความมั่นคงที่มั่นคง และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับอย่างมีประสิทธิผล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อิ๊งค์” เตรียมหนาว “บิ๊กป้อม” นับวันรออภิปรายนำทีมถล่มเอง “ไพบูลย์” เผย พร้อมงัด 4 ประเด็นฉาว สนามอัลไพน์ -กาสิโน-MOU44-นักโทษเทวดาชั้น 14 มั่นใจสะเทือนเก้าอี้นายกฯ เชื่อถึงขั้นยุบสภาในเวลาอันใกล้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021051

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “อิ๊งค์” เตรียมหนาว “บิ๊กป้อม” นับวันรออภิปรายนำทีมถล่มเอง “ไพบูลย์” เผย พร้อมงัด 4 ประเด็นฉาว สนามอัลไพน์ -กาสิโน-MOU44-นักโทษเทวดาชั้น 14 มั่นใจสะเทือนเก้าอี้นายกฯ เชื่อถึงขั้นยุบสภาในเวลาอันใกล้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021051 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 696 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”อิ๊งค์" เตรียมหนาว “บิ๊กป้อม” นับวันรออภิปรายนำทีมถล่มเอง "ไพบูลย์" เผยพร้อมงัด 4 ประเด็นฉาว สนามอัลไพน์ -กาสิโน-MOU44 -นักโทษเทวดาชั้น 14 มั่นใจสะเทือนเก้าอี้นายกฯ เชื่อถึงขั้นยุบสภาในเวลาอันใกล้

    วันนี้ (4มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส. พรรคพลังประชารัฐ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายกลังการประชุม ก่อนเดินทางกลับ ผู้สื่อข่าว ได้พยายามสอบถามถึงการไปออกรายการโทรทัศน์ ช่องหนึ่ง โดยมีการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ”ก็ให้สัมภาษณ์ซิ เพราะเขาเชิญไป ก็ไปตอบคำถามของเขา”

    ผู้สื่อข่าวถามถึง การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้นำอภิปรายด้วยตัวเองหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประวิตร ปฎิเสธตอบคำถามดังกล่าวว่า จะเป็นผู้นำอภิปรายหรือไม่ และจะอภิปรายในประเด็นอะไร

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021051

    #MGROnline #อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี #บิ๊กป้อม
    ”อิ๊งค์" เตรียมหนาว “บิ๊กป้อม” นับวันรออภิปรายนำทีมถล่มเอง "ไพบูลย์" เผยพร้อมงัด 4 ประเด็นฉาว สนามอัลไพน์ -กาสิโน-MOU44 -นักโทษเทวดาชั้น 14 มั่นใจสะเทือนเก้าอี้นายกฯ เชื่อถึงขั้นยุบสภาในเวลาอันใกล้ • วันนี้ (4มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส. พรรคพลังประชารัฐ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายกลังการประชุม ก่อนเดินทางกลับ ผู้สื่อข่าว ได้พยายามสอบถามถึงการไปออกรายการโทรทัศน์ ช่องหนึ่ง โดยมีการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ”ก็ให้สัมภาษณ์ซิ เพราะเขาเชิญไป ก็ไปตอบคำถามของเขา” • ผู้สื่อข่าวถามถึง การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้นำอภิปรายด้วยตัวเองหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประวิตร ปฎิเสธตอบคำถามดังกล่าวว่า จะเป็นผู้นำอภิปรายหรือไม่ และจะอภิปรายในประเด็นอะไร • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021051 • #MGROnline #อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี #บิ๊กป้อม
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ” พร้อมคณะ ชงญัตติเปิดเวที “วุฒิสภา” ถล่มการทำหน้าที่ “ดีเอสไอ-ยธ.” ปมปล่อยทุนเทา-ให้สิทธิพิเศษ “นักโทษบางราย” รักษาตัว หวังส่งข้อเสนอให้ “รัฐบาล” ปรับปรุง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000020268

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ” พร้อมคณะ ชงญัตติเปิดเวที “วุฒิสภา” ถล่มการทำหน้าที่ “ดีเอสไอ-ยธ.” ปมปล่อยทุนเทา-ให้สิทธิพิเศษ “นักโทษบางราย” รักษาตัว หวังส่งข้อเสนอให้ “รัฐบาล” ปรับปรุง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000020268 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    3 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 804 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทนายอั๋น" พร้อมหวังเฉา-หม่าฮั่น บุกขอดูหน้า "อิทธิพร-แสวง" เชื่อ DSl มีอำนาจทำคดีอาญาเอาผิดฮั้วเลือกสว. 100% บุกทำกิจกรรม เหน็บกกต.ไม่ให้ข้อมูลระวังโดนข้อหาร่วมขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร

    วันนี้ (26 ก.พ.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พากลุ่มอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยมีคนที่แต่งกายเลียนแบบเป็น"หวังเฉา" กับ "หม่าฮั่น" นำตัวนักโทษอั้งยี่ซ่องโจรมาประหารตามคำสั่งท่านเปาบุ้นจิ้น

    โดยนายภัทรพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มายื่นหนังสือใดๆกับกกต. อีกแล้ว เพราะถือว่าการสื่อสารระหว่างตัวเองกับ กกต. สิ้นสุดลงแล้วนับแต่กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาว่าจะรับกรณีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000019023

    #MGROnline #ทนายอั๋น
    "ทนายอั๋น" พร้อมหวังเฉา-หม่าฮั่น บุกขอดูหน้า "อิทธิพร-แสวง" เชื่อ DSl มีอำนาจทำคดีอาญาเอาผิดฮั้วเลือกสว. 100% บุกทำกิจกรรม เหน็บกกต.ไม่ให้ข้อมูลระวังโดนข้อหาร่วมขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร • วันนี้ (26 ก.พ.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พากลุ่มอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยมีคนที่แต่งกายเลียนแบบเป็น"หวังเฉา" กับ "หม่าฮั่น" นำตัวนักโทษอั้งยี่ซ่องโจรมาประหารตามคำสั่งท่านเปาบุ้นจิ้น • โดยนายภัทรพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มายื่นหนังสือใดๆกับกกต. อีกแล้ว เพราะถือว่าการสื่อสารระหว่างตัวเองกับ กกต. สิ้นสุดลงแล้วนับแต่กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาว่าจะรับกรณีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000019023 • #MGROnline #ทนายอั๋น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • ๒ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก

    เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(20 ก.พ)ว่า ฮิปโปแคระ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ชื่อดังที่กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกจากความน่ารักแก้มสีชมพูเป็นสัญลักษ์แต่ทว่าล่าสุดองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าชื่อดังข้ามชาติ PETA และ Born Free เปิดฉากรณรงค์กดดันนักท่องเที่ยวอังกฤษไม่ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ต่างๆ รวมสวนสัตว์เขาเขียวของไทย ต่อแถวยาวเพื่อชมความน่ารักของฮิปโปแคระหมูเด้งดาวประจำสวนสัตว์ตัวทำเงินเรียกแขก

    PETA และ Born Free วิตกว่ากระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จากการที่มีนักท่องเที่ยวมือบอนปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจให้หมูเด้งอยู่ในเฟรมเพื่อถ่ายเซลฟี

    PETA แถลงว่า “สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอ้างเพาะพันธุ์สัตว์ป่าในที่กักขังเพื่อการอนุรักษ์ แต่ขอให้พูดความจริง ธุรกิจเพื่อการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ห่างไกลจากถิ่นเกิดตามธรรมชาติของพวกมันและขังสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร”

    และยังโจมตีสวนสัตว์เขาเขียวต่อว่า “เขาเขียวเพาะพันธุ์หมูเด้งในสวนสัตว์ของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และดูเหมือนว่าหมูเด้งคงจะต้องตายอยู่ในนั้น หมูเด้งรู้จักเพียงแต่คอกที่แห้งแล้งปราศจากพืชผลและหมูเด้งยังปราศจากโอกาสที่จะมีประสบการณในความกว้างขวาง หลากหลาย และความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงที่แอฟริกาตะวันตก”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000017873

    #MGROnline #สวนสัตว์เขาเขียว #หมูเด้ง #BornFree #PETA #แบนหมูเด้ง #นักท่องเที่ยว #อังกฤษ
    ๒ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก • เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(20 ก.พ)ว่า ฮิปโปแคระ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ชื่อดังที่กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกจากความน่ารักแก้มสีชมพูเป็นสัญลักษ์แต่ทว่าล่าสุดองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าชื่อดังข้ามชาติ PETA และ Born Free เปิดฉากรณรงค์กดดันนักท่องเที่ยวอังกฤษไม่ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ต่างๆ รวมสวนสัตว์เขาเขียวของไทย ต่อแถวยาวเพื่อชมความน่ารักของฮิปโปแคระหมูเด้งดาวประจำสวนสัตว์ตัวทำเงินเรียกแขก • PETA และ Born Free วิตกว่ากระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จากการที่มีนักท่องเที่ยวมือบอนปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจให้หมูเด้งอยู่ในเฟรมเพื่อถ่ายเซลฟี • PETA แถลงว่า “สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอ้างเพาะพันธุ์สัตว์ป่าในที่กักขังเพื่อการอนุรักษ์ แต่ขอให้พูดความจริง ธุรกิจเพื่อการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ห่างไกลจากถิ่นเกิดตามธรรมชาติของพวกมันและขังสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร” • และยังโจมตีสวนสัตว์เขาเขียวต่อว่า “เขาเขียวเพาะพันธุ์หมูเด้งในสวนสัตว์ของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และดูเหมือนว่าหมูเด้งคงจะต้องตายอยู่ในนั้น หมูเด้งรู้จักเพียงแต่คอกที่แห้งแล้งปราศจากพืชผลและหมูเด้งยังปราศจากโอกาสที่จะมีประสบการณในความกว้างขวาง หลากหลาย และความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงที่แอฟริกาตะวันตก” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000017873 • #MGROnline #สวนสัตว์เขาเขียว #หมูเด้ง #BornFree #PETA #แบนหมูเด้ง #นักท่องเที่ยว #อังกฤษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล มีคำสั่ง เลื่อนการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์กว่า 600 คน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากฮามาสเพิ่งปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอล 6 นาย เมื่อวันก่อน

    เนทันยาฮู ให้เหตุผลว่า จะปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ก่ต่อเมื่อกลุ่มฮามาสจะรับประกันการส่งมอบตัวประกันครั้งต่อไป และจะต้อง "ยกเลิก" พิธีการส่งมอบตัวประกันที่ฮามาสจัดขึ้นทุกสัปดาห์ ซึ่งเนทันยาฮูอ้างว่าเป็นพิธีที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวอิสราเอล

    เมื่อวันก่อน มีภาพตัวประกันชาวอิสราเอลที่ได้รับการปล่อยตัวจากฮามาส ก้าวขึ้นเวทีที่ฮามาสจัดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข นอกจากนี้ยังมีการจูบไปบนหน้าผากของสมาชิกกลุ่มฮามาสออกสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล มีคำสั่ง เลื่อนการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์กว่า 600 คน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากฮามาสเพิ่งปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอล 6 นาย เมื่อวันก่อน เนทันยาฮู ให้เหตุผลว่า จะปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ก่ต่อเมื่อกลุ่มฮามาสจะรับประกันการส่งมอบตัวประกันครั้งต่อไป และจะต้อง "ยกเลิก" พิธีการส่งมอบตัวประกันที่ฮามาสจัดขึ้นทุกสัปดาห์ ซึ่งเนทันยาฮูอ้างว่าเป็นพิธีที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวอิสราเอล เมื่อวันก่อน มีภาพตัวประกันชาวอิสราเอลที่ได้รับการปล่อยตัวจากฮามาส ก้าวขึ้นเวทีที่ฮามาสจัดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข นอกจากนี้ยังมีการจูบไปบนหน้าผากของสมาชิกกลุ่มฮามาสออกสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิพากษ์วิจารณ์การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่กีดกันไม่ให้เคียฟเข้าร่วม ระบุความพยายามยุติสงครามต้อง "ยุติธรรม" และบรรดาประเทศยุโรป ในนั้นรวมถึงตุรกี ควรมีส่วนร่วมด้วย
    .
    ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากวอชิงตันและมอสโก เผยว่าพวกเขาจะเปิดเผยชื่อคณะทำงานสำหรับเจรจาเส้นทางสู่การยุติสงครามในยูเครน ระหว่างการเจรจาอย่างเป็นทางการระดับสูงครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
    .
    ความเห็นอันเดือดดาลของผู้นำยูเครน มีขึ้นหลังจากเขาได้พบปะกับประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี
    .
    "ยูเครนและยุโรปในสามัญสำนักอย่างกว้างๆ และนี่รวมถึงสหภาพยุโรป ตุรกีและสหราชอาณาจักร ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนทนาและก่อรูปร่างมาตรการรับประกันความมั่นคงที่จำเป็นร่วมกับอเมริกา ในเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลก" เซเลนสกีกล่าว
    .
    "ความพยายามเป็นคนกลางใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง ควรเป็นไปอย่างยุติธรรม" เขากล่าว ประณามเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ในริยาด ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (18 ก.พ.) และเน้นย้ำจุดยืนคัดค้าน "การพูดคุยใดๆ ที่ปราศจากยูเครน เกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามในยูเครน"
    .
    เซเลนสกีเผยว่าเขาไม่ได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาในริยาด และตัดสินใจเลื่อนโปรแกรมเดินทางเยือนเมืองหลวงของซาดุอีอาระเบีย จากเดิมที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในวันพุธ (19 ก.พ.) ไปเป็นวันที่ 10 มีนาคม
    .
    การยกเครื่องนโยบายเกี่ยวกับรัสเซียของทรัมป์ โหมกระพือความกังวลว่าวอชิงตันกำลังเตรียมการบีบเคียฟให้ยอมเจรจาต่อรองบนเงื่อนไขของมอสโก
    .
    นอกเหนือจากการเจรจาในริยาดแล้ว ความกังวลนี้มีมากขึ้นไปอีก เมื่อ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย พบปะหารือกันในประเด็นความมั่นคงยุโรปและยูเครน โดยไม่มีตัวแทนใดๆ จากเคียฟหรือบรัสเซลส์เข้าร่วมด้วย
    .
    ในส่วนของแอร์โดอัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ เซเลนสกี ระหว่างแถลงข่าว ได้เสนอให้ตุรกีเป็นเจ้าภาพการเจรจาใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง โดยย้อนให้นึกถึงครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่าย พบปะกันในอิสตุนบูลในปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์หลังรัสเซียรุกรานยูเครน
    .
    "ตุรกีจะเป็นเจ้าภาพในอุดมคติสำหรับความเป็นไปได้ในการเจรจาใดๆ ระหว่างรัสเซีย ยูเครนและอเมริกา ในอนาคตอันใกล้นี้" เขากล่าว พร้อมบอกว่าการเจรจาในอิสตันบูล "เป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญและเป็นแพลตฟอร์มที่ฝ่ายต่างๆ เฉียดใกล้ได้ข้อตกลงหนึ่งมากที่สุดแล้ว"
    .
    การเดินทางครั้งนี้ของเซเลนสกี ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขาเดินทางเยือนตุรกี นับตั้งแต่รัสเซียรุกราน โดยคราวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เขาพยายามค้ำยันสถานะของเคียฟ ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เอื้อมมือเข้าหามอสโก
    .
    ตุรกี ซึ่งเป็นชาติสมาชิกนาโต หาทางคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับ 2 ชาติเพื่อนบ้านคู่สงครามทะเลดำ โดยที่แอร์โดอัน วางสถานะของตนเองในฐานะคนกลางและผู้สร้างสันติระหว่าง 2 ฝ่าย
    .
    แม้อังการาจะมอบโดรนแก่ยูเครน แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เพิกเฉยปลีกตัวออกต่างจากมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยตะวันตก ที่กำหนดเล่นงานมอสโก
    .
    เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทางตุรกีเล่นบทบาทสำคัญในการเป็นคนกลางแลกเปลี่ยนเชลยศึกหลายรายระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข้อตกลงนี้พบเห็นนักโทษหลายร้อยคนถูกปล่อยตัวกลับมาตุภูมิ แม้ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016367
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิพากษ์วิจารณ์การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่กีดกันไม่ให้เคียฟเข้าร่วม ระบุความพยายามยุติสงครามต้อง "ยุติธรรม" และบรรดาประเทศยุโรป ในนั้นรวมถึงตุรกี ควรมีส่วนร่วมด้วย . ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากวอชิงตันและมอสโก เผยว่าพวกเขาจะเปิดเผยชื่อคณะทำงานสำหรับเจรจาเส้นทางสู่การยุติสงครามในยูเครน ระหว่างการเจรจาอย่างเป็นทางการระดับสูงครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน . ความเห็นอันเดือดดาลของผู้นำยูเครน มีขึ้นหลังจากเขาได้พบปะกับประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี . "ยูเครนและยุโรปในสามัญสำนักอย่างกว้างๆ และนี่รวมถึงสหภาพยุโรป ตุรกีและสหราชอาณาจักร ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนทนาและก่อรูปร่างมาตรการรับประกันความมั่นคงที่จำเป็นร่วมกับอเมริกา ในเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลก" เซเลนสกีกล่าว . "ความพยายามเป็นคนกลางใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง ควรเป็นไปอย่างยุติธรรม" เขากล่าว ประณามเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ในริยาด ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (18 ก.พ.) และเน้นย้ำจุดยืนคัดค้าน "การพูดคุยใดๆ ที่ปราศจากยูเครน เกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามในยูเครน" . เซเลนสกีเผยว่าเขาไม่ได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาในริยาด และตัดสินใจเลื่อนโปรแกรมเดินทางเยือนเมืองหลวงของซาดุอีอาระเบีย จากเดิมที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในวันพุธ (19 ก.พ.) ไปเป็นวันที่ 10 มีนาคม . การยกเครื่องนโยบายเกี่ยวกับรัสเซียของทรัมป์ โหมกระพือความกังวลว่าวอชิงตันกำลังเตรียมการบีบเคียฟให้ยอมเจรจาต่อรองบนเงื่อนไขของมอสโก . นอกเหนือจากการเจรจาในริยาดแล้ว ความกังวลนี้มีมากขึ้นไปอีก เมื่อ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย พบปะหารือกันในประเด็นความมั่นคงยุโรปและยูเครน โดยไม่มีตัวแทนใดๆ จากเคียฟหรือบรัสเซลส์เข้าร่วมด้วย . ในส่วนของแอร์โดอัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ เซเลนสกี ระหว่างแถลงข่าว ได้เสนอให้ตุรกีเป็นเจ้าภาพการเจรจาใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง โดยย้อนให้นึกถึงครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่าย พบปะกันในอิสตุนบูลในปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์หลังรัสเซียรุกรานยูเครน . "ตุรกีจะเป็นเจ้าภาพในอุดมคติสำหรับความเป็นไปได้ในการเจรจาใดๆ ระหว่างรัสเซีย ยูเครนและอเมริกา ในอนาคตอันใกล้นี้" เขากล่าว พร้อมบอกว่าการเจรจาในอิสตันบูล "เป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญและเป็นแพลตฟอร์มที่ฝ่ายต่างๆ เฉียดใกล้ได้ข้อตกลงหนึ่งมากที่สุดแล้ว" . การเดินทางครั้งนี้ของเซเลนสกี ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขาเดินทางเยือนตุรกี นับตั้งแต่รัสเซียรุกราน โดยคราวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เขาพยายามค้ำยันสถานะของเคียฟ ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เอื้อมมือเข้าหามอสโก . ตุรกี ซึ่งเป็นชาติสมาชิกนาโต หาทางคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับ 2 ชาติเพื่อนบ้านคู่สงครามทะเลดำ โดยที่แอร์โดอัน วางสถานะของตนเองในฐานะคนกลางและผู้สร้างสันติระหว่าง 2 ฝ่าย . แม้อังการาจะมอบโดรนแก่ยูเครน แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เพิกเฉยปลีกตัวออกต่างจากมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยตะวันตก ที่กำหนดเล่นงานมอสโก . เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทางตุรกีเล่นบทบาทสำคัญในการเป็นคนกลางแลกเปลี่ยนเชลยศึกหลายรายระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข้อตกลงนี้พบเห็นนักโทษหลายร้อยคนถูกปล่อยตัวกลับมาตุภูมิ แม้ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016367 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2260 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 609 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพทหารยูเครนในภูมิภาคเคิร์ส กำลังยอมจำนนพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “พวกเราเป็นชาวยูเครน อย่าฆ่าพวกเรา”

    ทหารยูเครนเหล่านี้คงรับรู้นโยบายของประธานาธิบดีปูตินเป็นอย่างดี ต่อการบุกเข้ามาในดินแดนรัสเซียว่า หากเป็นชาวต่างชาติจะมีชะตากรรมอย่างเดียว นั่นคือ "ไม่มีสถานะนักโทษ หรือการจับเป็น!"
    ภาพทหารยูเครนในภูมิภาคเคิร์ส กำลังยอมจำนนพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “พวกเราเป็นชาวยูเครน อย่าฆ่าพวกเรา” ทหารยูเครนเหล่านี้คงรับรู้นโยบายของประธานาธิบดีปูตินเป็นอย่างดี ต่อการบุกเข้ามาในดินแดนรัสเซียว่า หากเป็นชาวต่างชาติจะมีชะตากรรมอย่างเดียว นั่นคือ "ไม่มีสถานะนักโทษ หรือการจับเป็น!"
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • 70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม?

    ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย

    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

    แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่?

    ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม
    ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง

    🔎 ลักษณะพระบรมศพ
    มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย

    💡 คำถามที่เกิดขึ้น
    เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์?
    หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ?

    มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต
    หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด

    1. นายเฉลียว ปทุมรส
    อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต

    2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม
    อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์

    3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง
    เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต

    💭 ข้อโต้แย้ง
    มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์

    ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร
    หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ
    - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน
    - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม
    - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม

    17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล
    ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
    ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร
    ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร
    ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร

    หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น

    👀 ความน่าสงสัย
    - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน
    - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี

    ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง?
    แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด

    🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ"
    ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน
    มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง

    🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์"
    มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง
    ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ

    🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป"
    สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง
    หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย

    คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ
    แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง

    ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥
    - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์?
    - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่?

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568

    #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม? ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่? ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง 🔎 ลักษณะพระบรมศพ มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย 💡 คำถามที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์? หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ? มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1. นายเฉลียว ปทุมรส อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต 2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์ 3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต 💭 ข้อโต้แย้ง มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น 👀 ความน่าสงสัย - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง? แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด 🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ" ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน 🔴 ข้อโต้แย้ง ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง 🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์" มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร 🔴 ข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ 🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป" สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥 - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์? - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่? ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568 #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 609 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลอีก 3 รายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) แลกกับการที่อิสราเอลปล่อยตัวผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ราวๆ 369 คน เสร็จสิ้นการแลกตัวรอบที่ 6 แม้มีความกังวลว่าข้อตกลงหยุดยิงกาซาที่เปราะบางอย่างมาก ใกล้พังครืนลง ท่ามกลางเส้นตายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตือน "นรกแตก" หากไม่ปล่อยตัวประกันทั้งหมด
    .
    ผู้สื่อข่าวพบเห็นกลุ่มมือปืนฮามาสที่สวมหน้ากาก พาตัวประกันขึ้นไปบนเวทีหนึ่ง ในเมืองข่าน ยูนิส ทางใต้ของกาซา หลังจากนั้นตัวประกันทั้ง 3 คน ที่ประกอบด้วย ซากุย เดเคล-เชิน ชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล ชาซา ทรูปานอฟ ชาวรัสเซียเชื้อสายอิสราเอล และยาอีร์ ฮอร์น ชาวอาร์เจนตินาเชื้อสายอิสราเอล ได้ทำการแถลงผ่านไมโครโฟน ก่อนมีการส่งมอบตัวแก่สภากาชาดและจากนั้นก็ถูกนำกลับสู่ดินแดนอิสราเอล หลังถูกควบคุมตัวนานกว่า 16 เดือน
    .
    ตัวประกันชายทั้ง 3 คน ในมือกุมถุงของขวัญที่ได้รับจากพวกที่ควบคุมตัวและขนาบข้างด้วยพวกนักรบ ได้เรียกร้องให้เดินหน้าการแลกตัวประกันเพิ่มเติมให้เสร็จสมบูรณ์ ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ไม่นานหลังจากนั้น อีกด้านหนึ่งรถบัสขนผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ ก็ออกจากเรือนจำโอเฟอร์ของอิสราเอล และได้รับเสียงเชียร์ต้อนรับจากฝูงชน หลังเดินทางมาถึงเมืองรามัลเลาะห์ ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ ตามรายงานของเอเอฟพี ขณะเดียวกันรถบัสบางส่วนได้นำพานักโทษจากเรือนจำแห่งหนึ่งของอิสราเอล ในทะเลทรายเนเกฟ ไปยังฉนวนกาซา
    .
    การแลกเปลี่ยนในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ถือเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคม ขณะที่มันเกิดขึ้นหลังจากฮามาสขู่ระงับการปล่อยตัวประกัน จากคำกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลง กระตุ้นให้ทางอิสราเอลขู่ว่าจะกลับมาทำสงครามหากว่าฮามาสทำเช่นนั้น
    .
    ในบรรดาตัวประกัน 251 คน ที่ถูกพวกฮามาสจับตัวไประหว่างปฏิบัติการจู่โจมเล่นงานอิสราเอลสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงคราม เหลืออีก 70 คนที่ยังอยู่ในกาซา ในนั้นรวมถึง 35 ราย ที่ทางกองทัพอิสราเอลเชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว
    .
    ความเคลื่อนไหวปล่อยตัวล่าสุด นำมาเสียงน้ำตาแห่งความยินดีของเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวของตัวประกัน
    .
    หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนที่ได้รับการปล่อยตัวจากอิสราเอล ได้เดินทางถึงข่าน ยูนิส ทางใต้ของกาซา ระหว่างนั้นพวกเขาชู 2 นิ้วและโบกไม้โบกมือให้ฝูงชนที่ออกมารอต้อนรับด้วยความยินดี
    .
    อ้างอิงข้อมูลจากกลุ่มทนายความองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Palestinian Prisoners' Club พบว่าในบรรดาผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น มีอยู่ 36 คน ที่โดนลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในนั้น 24 คน จะถูกเนรเทศภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง
    .
    คาดหมายว่าการเจรจาในขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีเจตนาวางกรอบก้าวย่างต่างๆ สำหรับหยุดสงครามอย่างถาวร จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ชาติผู้สนับสนุนรายสำคัญของอิสราเอลและหนึ่งในชาติคนกลางการเจรจา ได้เดินทางถึงอิสราเอลในช่วงค่ำวันเสาร์ (15 ก.พ.) ก่อนมีกำหนดเข้าพบปะหารือกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง
    .
    เนทันยาฮู ขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (15 ก.พ.) สำหรับแรงสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับฮามาส ในสัปดาห์นี้
    .
    คำขอบคุณนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เตือนว่าทุกขุมนรกจะแตกออกหากว่าตัวประกันอิสราเอลทุกคนไม่ได้รับการปล่อยตัวออกจากกาซา ภยในเที่ยงวันของวันเสาร์ (15 ก.พ.)
    .
    "จุดยืนหนักแน่นของประธานาธิบดีทรัมป์ นำมาซึ่งการปล่อยตัวประกันของเรา 3 คนในวันนี้ แม้ก่อนหน้านี้ ฮามาส เคยปฏิเสธปล่อยตัวพวกเขา" ทำเนียบนายกรัฐมนตรีของเนทันยาฮูกล่าว ในขณะที่ ฮาเซม กัสเซม โฆษกของพวกฮามาส บอกว่าอเมริกา "ต้องบีบบังคับ" ให้อิสราเอลยึดถือข้อตกลงหยุดยิง "หากว่าพวกเขาแคร์อย่างแท้จริงเกี่ยวกับชีวิตของนักโทษ (ตัวประกัน)"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015319
    ..................
    Sondhi X
    ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลอีก 3 รายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) แลกกับการที่อิสราเอลปล่อยตัวผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ราวๆ 369 คน เสร็จสิ้นการแลกตัวรอบที่ 6 แม้มีความกังวลว่าข้อตกลงหยุดยิงกาซาที่เปราะบางอย่างมาก ใกล้พังครืนลง ท่ามกลางเส้นตายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตือน "นรกแตก" หากไม่ปล่อยตัวประกันทั้งหมด . ผู้สื่อข่าวพบเห็นกลุ่มมือปืนฮามาสที่สวมหน้ากาก พาตัวประกันขึ้นไปบนเวทีหนึ่ง ในเมืองข่าน ยูนิส ทางใต้ของกาซา หลังจากนั้นตัวประกันทั้ง 3 คน ที่ประกอบด้วย ซากุย เดเคล-เชิน ชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล ชาซา ทรูปานอฟ ชาวรัสเซียเชื้อสายอิสราเอล และยาอีร์ ฮอร์น ชาวอาร์เจนตินาเชื้อสายอิสราเอล ได้ทำการแถลงผ่านไมโครโฟน ก่อนมีการส่งมอบตัวแก่สภากาชาดและจากนั้นก็ถูกนำกลับสู่ดินแดนอิสราเอล หลังถูกควบคุมตัวนานกว่า 16 เดือน . ตัวประกันชายทั้ง 3 คน ในมือกุมถุงของขวัญที่ได้รับจากพวกที่ควบคุมตัวและขนาบข้างด้วยพวกนักรบ ได้เรียกร้องให้เดินหน้าการแลกตัวประกันเพิ่มเติมให้เสร็จสมบูรณ์ ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง . ไม่นานหลังจากนั้น อีกด้านหนึ่งรถบัสขนผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ ก็ออกจากเรือนจำโอเฟอร์ของอิสราเอล และได้รับเสียงเชียร์ต้อนรับจากฝูงชน หลังเดินทางมาถึงเมืองรามัลเลาะห์ ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ ตามรายงานของเอเอฟพี ขณะเดียวกันรถบัสบางส่วนได้นำพานักโทษจากเรือนจำแห่งหนึ่งของอิสราเอล ในทะเลทรายเนเกฟ ไปยังฉนวนกาซา . การแลกเปลี่ยนในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ถือเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคม ขณะที่มันเกิดขึ้นหลังจากฮามาสขู่ระงับการปล่อยตัวประกัน จากคำกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลง กระตุ้นให้ทางอิสราเอลขู่ว่าจะกลับมาทำสงครามหากว่าฮามาสทำเช่นนั้น . ในบรรดาตัวประกัน 251 คน ที่ถูกพวกฮามาสจับตัวไประหว่างปฏิบัติการจู่โจมเล่นงานอิสราเอลสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงคราม เหลืออีก 70 คนที่ยังอยู่ในกาซา ในนั้นรวมถึง 35 ราย ที่ทางกองทัพอิสราเอลเชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว . ความเคลื่อนไหวปล่อยตัวล่าสุด นำมาเสียงน้ำตาแห่งความยินดีของเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวของตัวประกัน . หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนที่ได้รับการปล่อยตัวจากอิสราเอล ได้เดินทางถึงข่าน ยูนิส ทางใต้ของกาซา ระหว่างนั้นพวกเขาชู 2 นิ้วและโบกไม้โบกมือให้ฝูงชนที่ออกมารอต้อนรับด้วยความยินดี . อ้างอิงข้อมูลจากกลุ่มทนายความองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Palestinian Prisoners' Club พบว่าในบรรดาผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น มีอยู่ 36 คน ที่โดนลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในนั้น 24 คน จะถูกเนรเทศภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง . คาดหมายว่าการเจรจาในขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีเจตนาวางกรอบก้าวย่างต่างๆ สำหรับหยุดสงครามอย่างถาวร จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า . มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ชาติผู้สนับสนุนรายสำคัญของอิสราเอลและหนึ่งในชาติคนกลางการเจรจา ได้เดินทางถึงอิสราเอลในช่วงค่ำวันเสาร์ (15 ก.พ.) ก่อนมีกำหนดเข้าพบปะหารือกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง . เนทันยาฮู ขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (15 ก.พ.) สำหรับแรงสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับฮามาส ในสัปดาห์นี้ . คำขอบคุณนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เตือนว่าทุกขุมนรกจะแตกออกหากว่าตัวประกันอิสราเอลทุกคนไม่ได้รับการปล่อยตัวออกจากกาซา ภยในเที่ยงวันของวันเสาร์ (15 ก.พ.) . "จุดยืนหนักแน่นของประธานาธิบดีทรัมป์ นำมาซึ่งการปล่อยตัวประกันของเรา 3 คนในวันนี้ แม้ก่อนหน้านี้ ฮามาส เคยปฏิเสธปล่อยตัวพวกเขา" ทำเนียบนายกรัฐมนตรีของเนทันยาฮูกล่าว ในขณะที่ ฮาเซม กัสเซม โฆษกของพวกฮามาส บอกว่าอเมริกา "ต้องบีบบังคับ" ให้อิสราเอลยึดถือข้อตกลงหยุดยิง "หากว่าพวกเขาแคร์อย่างแท้จริงเกี่ยวกับชีวิตของนักโทษ (ตัวประกัน)" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015319 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1719 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭สามหนังสือหกพิธีการ 🪭

    สวัสดีค่ะ Storyฯ ขอต้อนรับวันแห่งความรักด้วยบทความเกี่ยวกับการแต่งงาน

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงได้ผ่านตาฉากที่ว่าหลิ่วเหมียนถางได้รับการสู่ขอจากบุตรชายตระกูลซู ที่หอบสินสอดมาไว้ให้ที่เรือนสกุลเฉียวพร้อมเจรจาสู่ขอ และหลิ่วเหมียนถางบอกให้ตาของนางรีบคืนสินสอดนั้นไป โดยบอกว่า “ตามกฎหมายของต้าฉี ต้องมีการเขียนหนังสือก่อนแล้วจึงให้สินสอด การหมั้นหมายจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในหนังสือสมรส ไม่เช่นนั้นก็ถือเป็นการบังคับแต่งงาน”
    (หมายเหตุ คำแปลจากซับไทย)

    เพื่อนเพจหลายท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) มาบ้าง เพราะมีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึง แต่อาจไม่ค่อยกระจ่างว่าสามหนังสือที่ว่านี้มันอยู่ในขั้นตอนใดของหกพิธีการ จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ว่าต้องมีการเขียนหนังสือก่อนให้สินสอดตามที่กล่าวมาในเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> นี้อย่างไร วันนี้เลยมาลงรายละเอียดให้ฟัง

    ก่อนอื่นขออธิบายโดยย่อว่า ขั้นตอนการแต่งงานในจีนโบราณแบ่งได้เป็นสามช่วง ช่วงแรกคือก่อนพิธีมงคลสมรส ช่วงสองคือพิธีมงคลสมรสและเข้าหอและช่วงสามคือหลังเข้าหอ เรื่อง ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ เป็นขั้นตอนปฏิบัติในช่วงแรก ครอบคลุมขั้นตอนการทาบทามสู่ขอ การหมั้นหมายและการรับตัวเจ้าสาว โดยถูกกำหนดไว้แต่โบราณในบันทึกหลี่จี้ ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก

    ขั้นตอนตามสามหนังสือหกพิธีการก็คือ เริ่มจากให้แม่สื่อไปทาบทาม (พิธีการสู่ขอ ‘น่าไฉ่’/纳采) ถ้าฝ่ายหญิงเห็นดีเห็นงามด้วย ก็แลกเปลี่ยนเวลาตกฟากวันเดือนปีเกิดของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยบันทึกอย่างละเอียดลงในเอกสารเรียกว่า ‘เกิงเถี่ย’ (庚帖) หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ‘เฉาเถี่ยจือ’ (草帖子) นี่คือพิธีการที่สอง (พิธีการสอบถาม ‘เวิ่นหมิง’/问名) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้ ในทางปฏิบัติจะมีโอกาสให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายฝ่ายหญิงได้เจอหน้าค่าตาพูดคุยกัน สอบถามประวัติตระกูลเพราะในสมัยโบราณการแต่งงานถือเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวไม่ใช่เรื่องระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพียงสองคน รวมถึงสอบถามชัดเจนว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นลูกภรรยาเอกหรืออนุภรรยา และอาจเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้พบเห็นว่าที่คู่สมรสของอีกฝ่ายได้ (เช่น บุรุษมาเยือนทำความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง หรือสตรีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงมาเจอหน้าว่าที่เจ้าสาว) อันนี้แล้วแต่จะจัดนัดหมายกัน ถ้าไม่แฮปปี้กันก็จะไม่มีการแลกเปลี่ยนวันเวลาเกิดกัน

    จากนั้นฝ่ายชายก็นำวันเวลาเกิดดังกล่าวไปดูดวงสมพงษ์ นับเป็นพิธีการที่สาม (พีธีการดูดวงสมพงษ์ ‘น่าจี๋’/纳吉) แล้วแจ้งผลไปยังฝ่ายหญิง ถ้าคู่บ่าวสาวดวงสมพงษ์กันก็จะเริ่มเจรจาเตรียมการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ จนนำมาถึงพิธีการที่สี่ซึ่งก็คือฝ่ายชายนำสินสอดมามอบให้ฝ่ายหญิง (พิธีการมอบสินสอดและหมั้นหมาย ‘น่าเจิง’/纳征) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้มีสอง ‘หนังสือ’ ที่เกี่ยวข้อง คือ ‘หนังสือหมั้น’ (พิ่นซู/聘书หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ซี่เถี่ยจือ/细帖子) และ ‘หนังสือสินสอด’ (หลี่ซู/礼书) โดยหนังสือหมั้นคือเอกสารที่บุรุษระบุคำมั่นสัญญาที่จะแต่งสตรี และหนังสือสินสอดคือเอกสารแจกแจงรายการสินทรัพย์ที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นสินสอดทั้งหมด

    คำถาม ณ จุดนี้คือ หนังสือฉบับไหนให้เมื่อไหร่และใครเป็นคนให้?

    ธรรมเนียมปฏิบัติจริงแตกต่างไปตามยุคสมัย และ ‘น่าเจิง’ จริงแล้วหมายรวมว่าได้ดำเนินการสองเรื่องแล้วเสร็จ คือการส่งมอบสินสอด (น่า) และการยืนยันความประสงค์ที่จะแต่งงาน (เจิง) ดังนั้น ขั้นตอนที่รวบยอดที่สุดคือคุยกันนอกรอบแล้วฝ่ายชายเดินทางมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำการส่งมอบสินสอดและหลักฐานการหมั้นพร้อมด้วยสองหนังสือดังกล่าวในคราวเดียวกัน

    แต่ในหลายครั้งก็จัดทำสองเรื่องนี้แยกกัน โดยส่งมอบหนังสือหมั้นทันทีที่ตกลงหมั้นซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อตรวจดวงสมพงษ์แล้วเสร็จได้ผลเป็นที่พอใจ ในบางยุคสมัยแบ่งออกเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงจากฝ่ายชายที่จะแต่งงาน ตามด้วยหนังสือตอบรับยินดีที่จะแต่งงานจากฝ่ายหญิง ใช้รวมกันเป็นหนังสือหมั้น ตัวอย่างเอกสารโบราณจากสมัยถังเป็นเช่นนี้ จากนั้นค่อยมีการนำส่งสินสอดและหนังสือสินสอดในภายหลัง

    เมื่อได้รับสินสอดจากฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงก็ต้องมีของขวัญตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น (ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของตอบแทนหรือสินสอด) ควรประกอบด้วยของอะไรบ้างแต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด

    เมื่อผ่านทั้งสี่ขั้นตอนข้างต้นแล้ว ก็เป็นขั้นตอนที่ห้า คือฝ่ายชายหาฤกษ์แต่งและหารือ/แจ้งกับฝ่ายหญิง (พิธีการแจ้งฤกษ์ ‘ฉิ่งชี’/请期) เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างฝ่ายต่างเตรียมการงานแต่ง และสุดท้ายคือฝ่ายชายมารับตัวเจ้าสาวไปบ้านฝ่ายชายเพื่อกราบไหว้ฟ้าดิน (พิธีการรับตัวเจ้าสาว ‘ชินอิ๋ง’/ 亲迎) โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจะมอบ ‘หนังสือรับตัวเจ้าสาว’ (อิ๋งซู/迎书) ให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวเมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาวเพื่อรับตัวเจ้าสาว

    และนี่คือสามหนังสือหกพิธีการ แน่นอนว่าพิธีการเหล่านี้ถูกย่อลงไปตามการเวลา ในสมัยซ่งลดเหลือเพียงสามพิธีการคือ สู่ขอ (‘น่าไฉ่’ มอบหนังสือ เฉ๋าเถี่ยจือ) หมั้นหมาย (‘น่าเจิง’ มอบหนังสือซี่เถี่ยจือ) และรับตัว (‘อิ๋งชิน’ มอบหนังสืออิ๋งซู) แต่ในทางปฏิบัติยังคงรวมกิจกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว

    นอกจากนี้ ในหลายนิยายและซีรีส์มักกล่าวถึงหนังสือที่เป็นหลักฐานการสมรสหรือที่เรียกว่า ‘หนังสือสมรส’ (ฮุนซู/婚书) แต่... ในสมัยโบราณไม่มีทะเบียนสมรสที่ออกโดยทางการแม้ว่าจะมีการไปรายงานและลงทะเบียนกับที่ว่าการท้องถิ่นเพื่อยืนยันการแต่งงานระหว่างชายหญิง จึงเป็นที่ข้องใจอีกว่า แล้วหนังสือฮุนซูที่ว่านี้คืออะไร? เรามาทำความเข้าใจมันจากกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกเลิกการแต่งงานในสมัยถังกันค่ะ

    กฎหมายสมัยถังระบุว่า ผู้ที่ได้รายงานและขึ้นทะเบียนหนังสือสมรส (ฮุนซู) ต่อทางการแล้วและฝ่ายหนึ่งยกเลิกการแต่งงานโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือรับรู้ก็จะมีบทลงโทษ ทั้งนี้ หากไม่มีหนังสือยืนยันความประสงค์แต่งงานแต่มีการรับสินสอดให้ถือเสมือนว่ามีการให้คำมั่นที่จะแต่งงานแล้วด้วยเช่นกัน สรุปบทลงโทษได้ดังนี้
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกการแต่งงาน ให้โบยหกสิบครั้งและยังต้องแต่งงานตามเดิม
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังแต่งไม่สำเร็จ ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง และยังต้องแต่งงานกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะไปแต่งงานกับผู้อื่นได้
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นและได้แต่งไปเรียบร้อยแล้ว ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง ทำงานหนักหนึ่งปีครึ่ง การแต่งงานเป็นโมฆะและฝ่ายหญิงต้องกลับมาแต่งกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะอยู่กับสามีที่แต่งงานกันไปแล้วได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    - ฝ่ายชายยกเลิกการแต่งงาน ไม่มีการลงทัณฑ์แต่ให้สละสิทธิ์ในสินสอดที่มอบให้ฝ่ายหญิงไปแล้ว

    ฟังดูเหมือนบทลงทัณฑ์เอนเอียงและให้โทษกับฝ่ายหญิงมากกว่า แต่นั่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกหกปอกลอกทรัพย์สินสอด ทั้งนี้ บทลงทัณฑ์ข้างต้นไม่เพียงใช้กับคู่บ่าวสาว หากแต่หมายรวมถึงผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นด้วยเพราะถือว่าพิธีการต่างๆ ของการแต่งงานต้องดำเนินการผ่านผู้ใหญ่ และมีเหตุการณ์ที่อนุโลมให้ยกเลิกการแต่งงานได้เช่นในกรณีอีกฝ่ายถูกพิพากษาเป็นนักโทษ ฯลฯ

    กฎหมายว่าด้วยเรื่องยกเลิกการแต่งงานและบทลงโทษเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่ยังอยู่ภายใต้กรอบแนวทางคล้ายคลึงกัน และจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าหนังสือสมรสก็คือหนังสือที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะแต่งงานโดยยังไม่ได้มีการรับส่งตัวเจ้าสาว เปรียบได้เป็นหนังสือหมั้นนั่นเอง ซึ่งในบางยุคสมัยจะหมายรวมการตอบรับโดยฝ่ายเจ้าสาวด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเคยผ่านตาว่าบุรุษอาจเรียกคู่หมั้นว่า ‘ภรรยาที่ยังไม่แต่งข้ามเรือนมา’ ทั้งนี้ เป็นเพราะการหมั้นในสมัยโบราณมีความหนักแน่นเสมือนแต่งงานกันแล้ว และเมื่อผ่านการหมั้นแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสามารถเรียกซึ่งกันและกันว่า ‘ชิ่นเจีย’ (亲家) ได้เลย ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกพ่อแม่ของเขย-สะใภ้

    และบทความที่กล่าวมาข้างต้นจึงอธิบายบริบทของสังคมใน <ซ่อนรักชายาลับ> ที่ระบุว่าต้องมีการทำหนังสือสมรสร่วมกันก่อนแล้วค่อยมอบสินสอดได้จึงจะถูกต้อง และหากรับสินสอดโดยไม่มีการทำหนังสือหมั้นก็ถือได้ว่าต้องแต่งงานเหมือนกัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/12/id/5676081.shtml
    https://www.gmw.cn/guoxue/2018-04/11/content_28279045.htm
    https://www.gz.gov.cn/zlgz/whgz/content/post_8071815.html
    https://www.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F126BD3881FD42A2C.aspx
    https://newspaper.jcrb.com/2023/20230607/20230607_007/20230607_007_3.htm

    #ซ่อนรักชายาลับ #สามหนังสือหกพิธีการ #ซานซูลิ่วหลี่ #หนังสือแต่งงาน #การถอนหมั้น #สาระจีน
    🪭สามหนังสือหกพิธีการ 🪭 สวัสดีค่ะ Storyฯ ขอต้อนรับวันแห่งความรักด้วยบทความเกี่ยวกับการแต่งงาน เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงได้ผ่านตาฉากที่ว่าหลิ่วเหมียนถางได้รับการสู่ขอจากบุตรชายตระกูลซู ที่หอบสินสอดมาไว้ให้ที่เรือนสกุลเฉียวพร้อมเจรจาสู่ขอ และหลิ่วเหมียนถางบอกให้ตาของนางรีบคืนสินสอดนั้นไป โดยบอกว่า “ตามกฎหมายของต้าฉี ต้องมีการเขียนหนังสือก่อนแล้วจึงให้สินสอด การหมั้นหมายจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในหนังสือสมรส ไม่เช่นนั้นก็ถือเป็นการบังคับแต่งงาน” (หมายเหตุ คำแปลจากซับไทย) เพื่อนเพจหลายท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) มาบ้าง เพราะมีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึง แต่อาจไม่ค่อยกระจ่างว่าสามหนังสือที่ว่านี้มันอยู่ในขั้นตอนใดของหกพิธีการ จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ว่าต้องมีการเขียนหนังสือก่อนให้สินสอดตามที่กล่าวมาในเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> นี้อย่างไร วันนี้เลยมาลงรายละเอียดให้ฟัง ก่อนอื่นขออธิบายโดยย่อว่า ขั้นตอนการแต่งงานในจีนโบราณแบ่งได้เป็นสามช่วง ช่วงแรกคือก่อนพิธีมงคลสมรส ช่วงสองคือพิธีมงคลสมรสและเข้าหอและช่วงสามคือหลังเข้าหอ เรื่อง ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ เป็นขั้นตอนปฏิบัติในช่วงแรก ครอบคลุมขั้นตอนการทาบทามสู่ขอ การหมั้นหมายและการรับตัวเจ้าสาว โดยถูกกำหนดไว้แต่โบราณในบันทึกหลี่จี้ ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ขั้นตอนตามสามหนังสือหกพิธีการก็คือ เริ่มจากให้แม่สื่อไปทาบทาม (พิธีการสู่ขอ ‘น่าไฉ่’/纳采) ถ้าฝ่ายหญิงเห็นดีเห็นงามด้วย ก็แลกเปลี่ยนเวลาตกฟากวันเดือนปีเกิดของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยบันทึกอย่างละเอียดลงในเอกสารเรียกว่า ‘เกิงเถี่ย’ (庚帖) หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ‘เฉาเถี่ยจือ’ (草帖子) นี่คือพิธีการที่สอง (พิธีการสอบถาม ‘เวิ่นหมิง’/问名) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้ ในทางปฏิบัติจะมีโอกาสให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายฝ่ายหญิงได้เจอหน้าค่าตาพูดคุยกัน สอบถามประวัติตระกูลเพราะในสมัยโบราณการแต่งงานถือเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวไม่ใช่เรื่องระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพียงสองคน รวมถึงสอบถามชัดเจนว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นลูกภรรยาเอกหรืออนุภรรยา และอาจเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้พบเห็นว่าที่คู่สมรสของอีกฝ่ายได้ (เช่น บุรุษมาเยือนทำความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง หรือสตรีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงมาเจอหน้าว่าที่เจ้าสาว) อันนี้แล้วแต่จะจัดนัดหมายกัน ถ้าไม่แฮปปี้กันก็จะไม่มีการแลกเปลี่ยนวันเวลาเกิดกัน จากนั้นฝ่ายชายก็นำวันเวลาเกิดดังกล่าวไปดูดวงสมพงษ์ นับเป็นพิธีการที่สาม (พีธีการดูดวงสมพงษ์ ‘น่าจี๋’/纳吉) แล้วแจ้งผลไปยังฝ่ายหญิง ถ้าคู่บ่าวสาวดวงสมพงษ์กันก็จะเริ่มเจรจาเตรียมการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ จนนำมาถึงพิธีการที่สี่ซึ่งก็คือฝ่ายชายนำสินสอดมามอบให้ฝ่ายหญิง (พิธีการมอบสินสอดและหมั้นหมาย ‘น่าเจิง’/纳征) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้มีสอง ‘หนังสือ’ ที่เกี่ยวข้อง คือ ‘หนังสือหมั้น’ (พิ่นซู/聘书หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ซี่เถี่ยจือ/细帖子) และ ‘หนังสือสินสอด’ (หลี่ซู/礼书) โดยหนังสือหมั้นคือเอกสารที่บุรุษระบุคำมั่นสัญญาที่จะแต่งสตรี และหนังสือสินสอดคือเอกสารแจกแจงรายการสินทรัพย์ที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นสินสอดทั้งหมด คำถาม ณ จุดนี้คือ หนังสือฉบับไหนให้เมื่อไหร่และใครเป็นคนให้? ธรรมเนียมปฏิบัติจริงแตกต่างไปตามยุคสมัย และ ‘น่าเจิง’ จริงแล้วหมายรวมว่าได้ดำเนินการสองเรื่องแล้วเสร็จ คือการส่งมอบสินสอด (น่า) และการยืนยันความประสงค์ที่จะแต่งงาน (เจิง) ดังนั้น ขั้นตอนที่รวบยอดที่สุดคือคุยกันนอกรอบแล้วฝ่ายชายเดินทางมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำการส่งมอบสินสอดและหลักฐานการหมั้นพร้อมด้วยสองหนังสือดังกล่าวในคราวเดียวกัน แต่ในหลายครั้งก็จัดทำสองเรื่องนี้แยกกัน โดยส่งมอบหนังสือหมั้นทันทีที่ตกลงหมั้นซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อตรวจดวงสมพงษ์แล้วเสร็จได้ผลเป็นที่พอใจ ในบางยุคสมัยแบ่งออกเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงจากฝ่ายชายที่จะแต่งงาน ตามด้วยหนังสือตอบรับยินดีที่จะแต่งงานจากฝ่ายหญิง ใช้รวมกันเป็นหนังสือหมั้น ตัวอย่างเอกสารโบราณจากสมัยถังเป็นเช่นนี้ จากนั้นค่อยมีการนำส่งสินสอดและหนังสือสินสอดในภายหลัง เมื่อได้รับสินสอดจากฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงก็ต้องมีของขวัญตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น (ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของตอบแทนหรือสินสอด) ควรประกอบด้วยของอะไรบ้างแต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด เมื่อผ่านทั้งสี่ขั้นตอนข้างต้นแล้ว ก็เป็นขั้นตอนที่ห้า คือฝ่ายชายหาฤกษ์แต่งและหารือ/แจ้งกับฝ่ายหญิง (พิธีการแจ้งฤกษ์ ‘ฉิ่งชี’/请期) เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างฝ่ายต่างเตรียมการงานแต่ง และสุดท้ายคือฝ่ายชายมารับตัวเจ้าสาวไปบ้านฝ่ายชายเพื่อกราบไหว้ฟ้าดิน (พิธีการรับตัวเจ้าสาว ‘ชินอิ๋ง’/ 亲迎) โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจะมอบ ‘หนังสือรับตัวเจ้าสาว’ (อิ๋งซู/迎书) ให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวเมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาวเพื่อรับตัวเจ้าสาว และนี่คือสามหนังสือหกพิธีการ แน่นอนว่าพิธีการเหล่านี้ถูกย่อลงไปตามการเวลา ในสมัยซ่งลดเหลือเพียงสามพิธีการคือ สู่ขอ (‘น่าไฉ่’ มอบหนังสือ เฉ๋าเถี่ยจือ) หมั้นหมาย (‘น่าเจิง’ มอบหนังสือซี่เถี่ยจือ) และรับตัว (‘อิ๋งชิน’ มอบหนังสืออิ๋งซู) แต่ในทางปฏิบัติยังคงรวมกิจกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว นอกจากนี้ ในหลายนิยายและซีรีส์มักกล่าวถึงหนังสือที่เป็นหลักฐานการสมรสหรือที่เรียกว่า ‘หนังสือสมรส’ (ฮุนซู/婚书) แต่... ในสมัยโบราณไม่มีทะเบียนสมรสที่ออกโดยทางการแม้ว่าจะมีการไปรายงานและลงทะเบียนกับที่ว่าการท้องถิ่นเพื่อยืนยันการแต่งงานระหว่างชายหญิง จึงเป็นที่ข้องใจอีกว่า แล้วหนังสือฮุนซูที่ว่านี้คืออะไร? เรามาทำความเข้าใจมันจากกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกเลิกการแต่งงานในสมัยถังกันค่ะ กฎหมายสมัยถังระบุว่า ผู้ที่ได้รายงานและขึ้นทะเบียนหนังสือสมรส (ฮุนซู) ต่อทางการแล้วและฝ่ายหนึ่งยกเลิกการแต่งงานโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือรับรู้ก็จะมีบทลงโทษ ทั้งนี้ หากไม่มีหนังสือยืนยันความประสงค์แต่งงานแต่มีการรับสินสอดให้ถือเสมือนว่ามีการให้คำมั่นที่จะแต่งงานแล้วด้วยเช่นกัน สรุปบทลงโทษได้ดังนี้ - ฝ่ายหญิงยกเลิกการแต่งงาน ให้โบยหกสิบครั้งและยังต้องแต่งงานตามเดิม - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังแต่งไม่สำเร็จ ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง และยังต้องแต่งงานกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะไปแต่งงานกับผู้อื่นได้ - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นและได้แต่งไปเรียบร้อยแล้ว ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง ทำงานหนักหนึ่งปีครึ่ง การแต่งงานเป็นโมฆะและฝ่ายหญิงต้องกลับมาแต่งกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะอยู่กับสามีที่แต่งงานกันไปแล้วได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย - ฝ่ายชายยกเลิกการแต่งงาน ไม่มีการลงทัณฑ์แต่ให้สละสิทธิ์ในสินสอดที่มอบให้ฝ่ายหญิงไปแล้ว ฟังดูเหมือนบทลงทัณฑ์เอนเอียงและให้โทษกับฝ่ายหญิงมากกว่า แต่นั่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกหกปอกลอกทรัพย์สินสอด ทั้งนี้ บทลงทัณฑ์ข้างต้นไม่เพียงใช้กับคู่บ่าวสาว หากแต่หมายรวมถึงผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นด้วยเพราะถือว่าพิธีการต่างๆ ของการแต่งงานต้องดำเนินการผ่านผู้ใหญ่ และมีเหตุการณ์ที่อนุโลมให้ยกเลิกการแต่งงานได้เช่นในกรณีอีกฝ่ายถูกพิพากษาเป็นนักโทษ ฯลฯ กฎหมายว่าด้วยเรื่องยกเลิกการแต่งงานและบทลงโทษเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่ยังอยู่ภายใต้กรอบแนวทางคล้ายคลึงกัน และจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าหนังสือสมรสก็คือหนังสือที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะแต่งงานโดยยังไม่ได้มีการรับส่งตัวเจ้าสาว เปรียบได้เป็นหนังสือหมั้นนั่นเอง ซึ่งในบางยุคสมัยจะหมายรวมการตอบรับโดยฝ่ายเจ้าสาวด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเคยผ่านตาว่าบุรุษอาจเรียกคู่หมั้นว่า ‘ภรรยาที่ยังไม่แต่งข้ามเรือนมา’ ทั้งนี้ เป็นเพราะการหมั้นในสมัยโบราณมีความหนักแน่นเสมือนแต่งงานกันแล้ว และเมื่อผ่านการหมั้นแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสามารถเรียกซึ่งกันและกันว่า ‘ชิ่นเจีย’ (亲家) ได้เลย ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกพ่อแม่ของเขย-สะใภ้ และบทความที่กล่าวมาข้างต้นจึงอธิบายบริบทของสังคมใน <ซ่อนรักชายาลับ> ที่ระบุว่าต้องมีการทำหนังสือสมรสร่วมกันก่อนแล้วค่อยมอบสินสอดได้จึงจะถูกต้อง และหากรับสินสอดโดยไม่มีการทำหนังสือหมั้นก็ถือได้ว่าต้องแต่งงานเหมือนกัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/12/id/5676081.shtml https://www.gmw.cn/guoxue/2018-04/11/content_28279045.htm https://www.gz.gov.cn/zlgz/whgz/content/post_8071815.html https://www.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F126BD3881FD42A2C.aspx https://newspaper.jcrb.com/2023/20230607/20230607_007/20230607_007_3.htm #ซ่อนรักชายาลับ #สามหนังสือหกพิธีการ #ซานซูลิ่วหลี่ #หนังสือแต่งงาน #การถอนหมั้น #สาระจีน
    WWW.COSMOPOLITAN.COM
    陸劇《柳舟記》結局!崔眠夫婦歸隱江湖,張晚意願當王楚然的小嬌夫!帝后CP先婚後愛好嗑,敲碗番外篇
    《柳舟記》劇情從頭到尾都在線!而且除了崔眠夫婦好嗑,帝后CP也很讓人愛啊~
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 598 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลขู่เปิดการถล่มโจมตีขึ้นใหม่ในกาซา หากไม่มีการปล่อยตัวประกันภายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ขณะที่ฮามาสยันยังยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง และโทษรัฐยิวเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง ขณะในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังคงยืนกรานอ้างลอยๆ ว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา รวมทั้งย้ายชาวปาเลสไตน์ออกไปเป็นการถาวร แม้ล่าสุดถูกคัดค้านจากกษัตริย์จอร์แดนซึ่งเดินทางไปเยือนทำเนียบขาว ส่วนอียิปต์เตรียมเสนอแผนระดมพันธมิตรในตะวันออกกลางฟื้นฟูกาซาร่วมกับวอชิงตัน โดยที่ไม่มีการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์หนีไปไหน
    .
    ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดที่ดำเนินมาหลายอาทิตย์แล้ว ตัวประกันอิสราเอลจะได้รับการปล่อยตัวทุกสัปดาห์ แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ โดยนับจากวันที่ 19 ม.ค. มีการปล่อยตัวประกันแล้ว 16 คน จาก 33 คนตามข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกที่กินเวลา 42 วัน และอิสราเอลปล่อยนักโทษปาเลสไตน์หลายร้อยคนเป็นการแลกเปลี่ยน ทว่า ข้อตกลงนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
    .
    เมื่อวันอังคาร (11) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ยื่นคำขาดว่า ถ้าฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันภายในเที่ยงวันเสาร์ จะถือว่าข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับไปโจมตีกาซาอย่างหนักหน่วงจนกว่าฮามาสแพ้ราบคาบ
    .
    เนทันยาฮูเสริมว่า สั่งการให้กองทัพระดมทหารเตรียมพร้อมทั้งภายในและรอบๆ กาซาแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้ส่งกำลังไปเพิ่มทางใต้ของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเรียกทหารกองหนุนเข้าประจำการ ขณะที่ครอบครัวตัวประกันพากันชุมนุมหน้าสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ (10) กองกำลัง เอซเซดีน อัล-กัสซัม ซึ่งเป็นส่วนกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาส ประกาศจะเลื่อนการปล่อยตัวประกันชุดต่อไปที่เดิมกำหนดไว้ในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงทั้งในส่วนความช่วยเหลือ และการเสียชีวิตของชาวกาซา 3 คนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำทับว่า พร้อมปล่อยตัวประกันตามกำหนด หากอิสราเอลปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ทว่า อิสราเอลยืนยันว่า ไม่ได้ขัดขวางการให้ความช่วยเหลือ และที่ต้องยิงชาวกาซาทั้งสามคน เนื่องจากคนเหล่านั้นละเมิดคำเตือนไม่ให้เข้าใกล้กองทหารอิสราเอล
    .
    ด้าน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันตามแผน และหลีกเลี่ยงการฟื้นการสู้รบในกาซา
    .
    ทว่า กบฏฮูตีที่เป็นพันธมิตรของฮามาส และโจมตีอิสราเอลหลายครั้งเพื่อแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์นั้น ประกาศว่า พร้อมเข้าแทรกแซงทางทหารทุกเมื่อหากกาซาถูกโจมตีอีก
    .
    ขณะเดียวกัน แม้เนทันยาฮูไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมด 76 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในกาซา หรือแค่ 3 คนภายใต้ข้อตกลงเดิม แต่เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังสายเหยี่ยว เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “เปิดขุมนรก” ถ้าตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดไม่ได้รับอิสรภาพภายในวันเสาร์ รวมทั้งให้อิสราเอลเข้ายึดครองฉนวนกาซาเบ็ดเสร็จ และยุติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมด
    .
    ภายหลังการยื่นคำขาดของเนทันยาฮู ทางฮามาสได้ออกคำแถลงยืนยันว่า ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และกล่าวหาอิสราเอลเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง
    .
    การขู่ยุติการหยุดยิงของเนทันยาฮู เป็นการตอกย้ำคำแถลงก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ให้ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดภายในเที่ยงวันเสาร์ ไม่เช่นนั้นจะประกาศให้ยุติข้อตกลงหยุดยิง และฮามาสจะต้องเผชิญ “นรก” ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา
    .
    ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำคำขู่นี้อีก ระหว่างให้การต้อนรับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งอ้างอีกครั้งหนึ่งว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้าครอบครองและฟื้นฟูฉนวนกาซา และอพยพชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคนออกจากดินแดนดังกล่าวเป็นการถาวร พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า จะมีดินแดนบางส่วนในจอร์แดน อียิปต์ และประเทศอื่นๆ ที่พร้อมให้ชาวปาเลสไตน์เหล่านั้นย้ายไปตั้งถิ่นฐาน
    .
    ทว่า กษัตริย์อับดุลเลาะห์ย้ำจุดยืนของจอร์แดนและชาติอาหรับทั้งหมดในการคัดค้านการบังคับย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ และเสริมว่า อียิปต์กำลังร่างแผนการที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางจะร่วมฟื้นฟูกาซากับอเมริกา ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์แถลงในเวลาต่อมาว่า ไคโรจะเสนอวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมสำหรับการฟื้นฟูกาซาโดยที่รับประกันว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014305
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลขู่เปิดการถล่มโจมตีขึ้นใหม่ในกาซา หากไม่มีการปล่อยตัวประกันภายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ขณะที่ฮามาสยันยังยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง และโทษรัฐยิวเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง ขณะในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังคงยืนกรานอ้างลอยๆ ว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา รวมทั้งย้ายชาวปาเลสไตน์ออกไปเป็นการถาวร แม้ล่าสุดถูกคัดค้านจากกษัตริย์จอร์แดนซึ่งเดินทางไปเยือนทำเนียบขาว ส่วนอียิปต์เตรียมเสนอแผนระดมพันธมิตรในตะวันออกกลางฟื้นฟูกาซาร่วมกับวอชิงตัน โดยที่ไม่มีการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์หนีไปไหน . ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดที่ดำเนินมาหลายอาทิตย์แล้ว ตัวประกันอิสราเอลจะได้รับการปล่อยตัวทุกสัปดาห์ แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ โดยนับจากวันที่ 19 ม.ค. มีการปล่อยตัวประกันแล้ว 16 คน จาก 33 คนตามข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกที่กินเวลา 42 วัน และอิสราเอลปล่อยนักโทษปาเลสไตน์หลายร้อยคนเป็นการแลกเปลี่ยน ทว่า ข้อตกลงนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา . เมื่อวันอังคาร (11) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ยื่นคำขาดว่า ถ้าฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันภายในเที่ยงวันเสาร์ จะถือว่าข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับไปโจมตีกาซาอย่างหนักหน่วงจนกว่าฮามาสแพ้ราบคาบ . เนทันยาฮูเสริมว่า สั่งการให้กองทัพระดมทหารเตรียมพร้อมทั้งภายในและรอบๆ กาซาแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้ส่งกำลังไปเพิ่มทางใต้ของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเรียกทหารกองหนุนเข้าประจำการ ขณะที่ครอบครัวตัวประกันพากันชุมนุมหน้าสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง . ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ (10) กองกำลัง เอซเซดีน อัล-กัสซัม ซึ่งเป็นส่วนกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาส ประกาศจะเลื่อนการปล่อยตัวประกันชุดต่อไปที่เดิมกำหนดไว้ในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงทั้งในส่วนความช่วยเหลือ และการเสียชีวิตของชาวกาซา 3 คนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำทับว่า พร้อมปล่อยตัวประกันตามกำหนด หากอิสราเอลปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง . ทว่า อิสราเอลยืนยันว่า ไม่ได้ขัดขวางการให้ความช่วยเหลือ และที่ต้องยิงชาวกาซาทั้งสามคน เนื่องจากคนเหล่านั้นละเมิดคำเตือนไม่ให้เข้าใกล้กองทหารอิสราเอล . ด้าน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันตามแผน และหลีกเลี่ยงการฟื้นการสู้รบในกาซา . ทว่า กบฏฮูตีที่เป็นพันธมิตรของฮามาส และโจมตีอิสราเอลหลายครั้งเพื่อแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์นั้น ประกาศว่า พร้อมเข้าแทรกแซงทางทหารทุกเมื่อหากกาซาถูกโจมตีอีก . ขณะเดียวกัน แม้เนทันยาฮูไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมด 76 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในกาซา หรือแค่ 3 คนภายใต้ข้อตกลงเดิม แต่เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังสายเหยี่ยว เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “เปิดขุมนรก” ถ้าตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดไม่ได้รับอิสรภาพภายในวันเสาร์ รวมทั้งให้อิสราเอลเข้ายึดครองฉนวนกาซาเบ็ดเสร็จ และยุติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมด . ภายหลังการยื่นคำขาดของเนทันยาฮู ทางฮามาสได้ออกคำแถลงยืนยันว่า ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และกล่าวหาอิสราเอลเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง . การขู่ยุติการหยุดยิงของเนทันยาฮู เป็นการตอกย้ำคำแถลงก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ให้ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดภายในเที่ยงวันเสาร์ ไม่เช่นนั้นจะประกาศให้ยุติข้อตกลงหยุดยิง และฮามาสจะต้องเผชิญ “นรก” ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา . ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำคำขู่นี้อีก ระหว่างให้การต้อนรับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งอ้างอีกครั้งหนึ่งว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้าครอบครองและฟื้นฟูฉนวนกาซา และอพยพชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคนออกจากดินแดนดังกล่าวเป็นการถาวร พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า จะมีดินแดนบางส่วนในจอร์แดน อียิปต์ และประเทศอื่นๆ ที่พร้อมให้ชาวปาเลสไตน์เหล่านั้นย้ายไปตั้งถิ่นฐาน . ทว่า กษัตริย์อับดุลเลาะห์ย้ำจุดยืนของจอร์แดนและชาติอาหรับทั้งหมดในการคัดค้านการบังคับย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ และเสริมว่า อียิปต์กำลังร่างแผนการที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางจะร่วมฟื้นฟูกาซากับอเมริกา ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์แถลงในเวลาต่อมาว่า ไคโรจะเสนอวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมสำหรับการฟื้นฟูกาซาโดยที่รับประกันว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014305 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Love
    Haha
    Yay
    Sad
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2201 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู ประกาศจะกลับมาทำสงครามอีกครั้ง:

    “ผมเพิ่งจะเสร็จสิ้นการหารือเชิงลึกนาน 4 ชั่วโมงกับคณะรัฐมนตรีความมั่นคง พวกเราทุกคนต่างแสดงความไม่พอใจต่อสภาพที่น่าตกใจของนักโทษทั้งสามคนของเราที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

    เมื่อวานนี้ ผมสั่งให้กองทัพอิสราเอลระดมกำลังเข้าไปยังฉนวนกาซาและบริเวณชายแดน ปฏิบัติการนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ และจะเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

    มติเอกฉันท์ที่ผมผ่านในคณะรัฐมนตรีมีดังนี้: หากฮามาสไม่ส่งนักโทษของเรากลับคืนภายในเที่ยงวันเสาร์ การหยุดยิงจะสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับมาสู้รบอย่างเข้มข้นอีกครั้ง จนกว่าฮามาสจะพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด”
    นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู ประกาศจะกลับมาทำสงครามอีกครั้ง: “ผมเพิ่งจะเสร็จสิ้นการหารือเชิงลึกนาน 4 ชั่วโมงกับคณะรัฐมนตรีความมั่นคง พวกเราทุกคนต่างแสดงความไม่พอใจต่อสภาพที่น่าตกใจของนักโทษทั้งสามคนของเราที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เมื่อวานนี้ ผมสั่งให้กองทัพอิสราเอลระดมกำลังเข้าไปยังฉนวนกาซาและบริเวณชายแดน ปฏิบัติการนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ และจะเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด มติเอกฉันท์ที่ผมผ่านในคณะรัฐมนตรีมีดังนี้: หากฮามาสไม่ส่งนักโทษของเรากลับคืนภายในเที่ยงวันเสาร์ การหยุดยิงจะสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับมาสู้รบอย่างเข้มข้นอีกครั้ง จนกว่าฮามาสจะพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด”
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • ฮามาสแถลงว่าพวกเขาจะหยุดปล่อยตัวประกันอิสราเอลจนกว่าจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม ในสิ่งที่พวกนักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้กล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในกาซา เพิ่มความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะโหมกระพือขึ้นมาใหม่
    .
    ถ้อยแถลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมาย มีขึ้นในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงนั้นเปราะบางอยู่ก่อนแล้ว แม้อีกด้านหนึ่งทางครอบครัวของตัวประกันอิสราเอลเรียกร้องให้ทางรัฐบาลยึดมั่นในข้อตกลงและชาวกาซากำลังหาทางเริ่มต้นฟื้นฟูวิถีชีวิตในฉนวนที่ถูกทำลายล้างแห่งนี้ หลังต้องอยู่ท่ามกลางภาวะสงครามมานานกว่า 15 เดือน
    .
    ฮามาส มีกำหนดปล่อยตัวประกันอิสราเอลเพิ่มเติมในวันเสาร์หน้า(15ก.พ.) แลกกับนักโทษปาเลสไตน์และชาวปาเลสไตน์คนอื่นๆที่ถูกควบคุมตัวในอิสราเอล แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์หลังสุด
    .
    อาบู อูไบดา โฆษกปีกติดอาวุธของฮามาส กล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลงต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงการเตะถ่วงชาวปาเลสไตน์จากการกลับสู่ทางเหนือของกาซา ยิงปืนใหญ่และสาดกระสุนเข้าใส่ชาวปาเลสไตน์ รวมถึงสกัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ให้เข้าสู่ฉนวนแห่งนี้
    .
    ข้อตกลงหยุดยิงส่วนใหญ่แล้วยังคงได้รับการยึดถือนับตั้งแต่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา แม้มีเหตุการณ์บางอย่างที่ชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารโดยกองกำลังอิสราเอล และฮามาสเลื่อนการให้ชื่อตัวประกันที่พวกเขามีแผนปล่อยตัว ขณะเดียวกันทางหน่วยงานความช่วยเหลือต่างๆ เผยว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ป้อนเข้าสู่ฉนวนกาซา ได้เพิ่มจำนวนขึ้นนับตั้งแต่มีข้อตกลงหยุดยิง
    .
    อย่างไรก็ตาม อูไบดา ของฮามาส ระบุว่ากำหนดการปล่อยตัวประกันครั้งถัดไปในวันเสาร์(8ก.พ.) จะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าอิสราเอลจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและชดเชยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    กระนั้นทาง อิสราเอล คาทซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ระบุว่าถ้อยแถลงของฮามาสเองเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเผยว่าได้ออกคำสั่งให้กองทัพอยู่ในระดับความพร้อมขั้นสูงสุดในกาซา และสำหรับป้องกันตนเองภายใน
    .
    แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของอียิปต์ 2 ราย บอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์(10ก.พ.) ว่าบรรดาคนกลางการเจรจา ประกอบด้วยกาตาร์และอียิปต์ รวมไปถึงสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับการพังครืนของข้อตกลงหยุดยิง
    .
    กลุ่มที่เป็นตัวแทนครอบครัวตัวประกัน เรียกร้องให้บรรดาคนกลางหาทางค้ำยันข้อตกลงหยุดยิง ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นตัวแทนของทหารผ่านศึกอิสราเอล กล่วหารัฐบาลตั้งใจบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงกับฮามาส
    .
    จนถึงตอนนี้มีตัวประกัน 16 คน จากทั้งหมด 33 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาในเฟสแรก 42 วันของข้อตกลงหยุดยิง เช่นเดียวกับตัวประกันไทย 5 คน ที่เป็นอิสระในการปล่อยตัวที่ไม่มีในกำหนดการ
    .
    ในทางกลับกัน อิสราเอลปล่อยตัวนักโทษและผู้ถูกคมขังชาวปาเลสไตน์ไปแล้วหลายร้อยคน ในนั้นรวมถึงผู้ต้องขังที่ถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในฐานความผิดโจมตีนองเลือดต่างๆนานา และชาวปาเลสไตน์ที่ถูกจับและควบคุมตัวระหว่างสงคราม โดยปราศจากการตั้งข้อหาใดๆ
    .
    แต่ทาง ฮามาส กล่าวหาอิสราเอล เตะถ่วงการปล่อยให้ความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา หนึ่งในหลายเงื่อนไขของเฟสแรกในข้อตกลงหยุดยิง ข้อกล่าวหาที่ทางอิสราเอลปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่เป็นความจริง
    .
    ขณะเดียวกัน อิสราเอล ได้กล่าวหา ฮามาส กลับไปว่า ไม่เคารพต่อข้อตกลง ที่ต้องมีการปล่อยตัวประกัน และอยู่เบื้องหลังการแสดงออกที่ดูหมิ่นเหยียดหยามต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก ครั้งที่มีการส่งมอบตัวประกันเหล่านั้นแก่สภากาชาด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    ฮามาสแถลงว่าพวกเขาจะหยุดปล่อยตัวประกันอิสราเอลจนกว่าจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม ในสิ่งที่พวกนักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้กล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในกาซา เพิ่มความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะโหมกระพือขึ้นมาใหม่ . ถ้อยแถลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมาย มีขึ้นในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงนั้นเปราะบางอยู่ก่อนแล้ว แม้อีกด้านหนึ่งทางครอบครัวของตัวประกันอิสราเอลเรียกร้องให้ทางรัฐบาลยึดมั่นในข้อตกลงและชาวกาซากำลังหาทางเริ่มต้นฟื้นฟูวิถีชีวิตในฉนวนที่ถูกทำลายล้างแห่งนี้ หลังต้องอยู่ท่ามกลางภาวะสงครามมานานกว่า 15 เดือน . ฮามาส มีกำหนดปล่อยตัวประกันอิสราเอลเพิ่มเติมในวันเสาร์หน้า(15ก.พ.) แลกกับนักโทษปาเลสไตน์และชาวปาเลสไตน์คนอื่นๆที่ถูกควบคุมตัวในอิสราเอล แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์หลังสุด . อาบู อูไบดา โฆษกปีกติดอาวุธของฮามาส กล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลงต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงการเตะถ่วงชาวปาเลสไตน์จากการกลับสู่ทางเหนือของกาซา ยิงปืนใหญ่และสาดกระสุนเข้าใส่ชาวปาเลสไตน์ รวมถึงสกัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ให้เข้าสู่ฉนวนแห่งนี้ . ข้อตกลงหยุดยิงส่วนใหญ่แล้วยังคงได้รับการยึดถือนับตั้งแต่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา แม้มีเหตุการณ์บางอย่างที่ชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารโดยกองกำลังอิสราเอล และฮามาสเลื่อนการให้ชื่อตัวประกันที่พวกเขามีแผนปล่อยตัว ขณะเดียวกันทางหน่วยงานความช่วยเหลือต่างๆ เผยว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ป้อนเข้าสู่ฉนวนกาซา ได้เพิ่มจำนวนขึ้นนับตั้งแต่มีข้อตกลงหยุดยิง . อย่างไรก็ตาม อูไบดา ของฮามาส ระบุว่ากำหนดการปล่อยตัวประกันครั้งถัดไปในวันเสาร์(8ก.พ.) จะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าอิสราเอลจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและชดเชยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา . กระนั้นทาง อิสราเอล คาทซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ระบุว่าถ้อยแถลงของฮามาสเองเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเผยว่าได้ออกคำสั่งให้กองทัพอยู่ในระดับความพร้อมขั้นสูงสุดในกาซา และสำหรับป้องกันตนเองภายใน . แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของอียิปต์ 2 ราย บอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์(10ก.พ.) ว่าบรรดาคนกลางการเจรจา ประกอบด้วยกาตาร์และอียิปต์ รวมไปถึงสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับการพังครืนของข้อตกลงหยุดยิง . กลุ่มที่เป็นตัวแทนครอบครัวตัวประกัน เรียกร้องให้บรรดาคนกลางหาทางค้ำยันข้อตกลงหยุดยิง ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นตัวแทนของทหารผ่านศึกอิสราเอล กล่วหารัฐบาลตั้งใจบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงกับฮามาส . จนถึงตอนนี้มีตัวประกัน 16 คน จากทั้งหมด 33 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาในเฟสแรก 42 วันของข้อตกลงหยุดยิง เช่นเดียวกับตัวประกันไทย 5 คน ที่เป็นอิสระในการปล่อยตัวที่ไม่มีในกำหนดการ . ในทางกลับกัน อิสราเอลปล่อยตัวนักโทษและผู้ถูกคมขังชาวปาเลสไตน์ไปแล้วหลายร้อยคน ในนั้นรวมถึงผู้ต้องขังที่ถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในฐานความผิดโจมตีนองเลือดต่างๆนานา และชาวปาเลสไตน์ที่ถูกจับและควบคุมตัวระหว่างสงคราม โดยปราศจากการตั้งข้อหาใดๆ . แต่ทาง ฮามาส กล่าวหาอิสราเอล เตะถ่วงการปล่อยให้ความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา หนึ่งในหลายเงื่อนไขของเฟสแรกในข้อตกลงหยุดยิง ข้อกล่าวหาที่ทางอิสราเอลปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่เป็นความจริง . ขณะเดียวกัน อิสราเอล ได้กล่าวหา ฮามาส กลับไปว่า ไม่เคารพต่อข้อตกลง ที่ต้องมีการปล่อยตัวประกัน และอยู่เบื้องหลังการแสดงออกที่ดูหมิ่นเหยียดหยามต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก ครั้งที่มีการส่งมอบตัวประกันเหล่านั้นแก่สภากาชาด . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1747 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอภาส บุญจันทร์ อดีตผู้บริหาร บจก.วิน โพรเสส นักโทษคดี ครอบครองวัตถุอันตราย จบชีวิตแล้ว ขณะตกอยู่ในสภาพผู้ต้องขังของเรือนจำกลางจังหวัดระยอง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013055

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โอภาส บุญจันทร์ อดีตผู้บริหาร บจก.วิน โพรเสส นักโทษคดี ครอบครองวัตถุอันตราย จบชีวิตแล้ว ขณะตกอยู่ในสภาพผู้ต้องขังของเรือนจำกลางจังหวัดระยอง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013055 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 876 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือสภาพของ "อิบราฮิม โมฮัมหมัด อัล-ชาวิช" นักโทษชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของอิสราเอล และได้รับการปล่อยตัวจากการแลกเปลี่ยนตัวประกันกับฮามาส


    เขาให้สัมภาษณ์ว่า ต้องถูกปิดตา ล่ามโซ่ และบังคับให้คุกเข่าเป็นเวลา 45 วัน ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำนาคาบ (ในทะเลทรายเนเกฟ) ที่นั่นเขายังถูกทรมานด้วยการโดนไฟฟ้าช็อต และถูกสุนัขของผู้คุมเข้ารุมทำร้ายอีกด้วย

    ใบหน้าของอัล-ชาวิชปรากฏร่องรอยของการทุกข์ทรมานและภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรงอย่างชัดเจน
    นี่คือสภาพของ "อิบราฮิม โมฮัมหมัด อัล-ชาวิช" นักโทษชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของอิสราเอล และได้รับการปล่อยตัวจากการแลกเปลี่ยนตัวประกันกับฮามาส เขาให้สัมภาษณ์ว่า ต้องถูกปิดตา ล่ามโซ่ และบังคับให้คุกเข่าเป็นเวลา 45 วัน ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำนาคาบ (ในทะเลทรายเนเกฟ) ที่นั่นเขายังถูกทรมานด้วยการโดนไฟฟ้าช็อต และถูกสุนัขของผู้คุมเข้ารุมทำร้ายอีกด้วย ใบหน้าของอัล-ชาวิชปรากฏร่องรอยของการทุกข์ทรมานและภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรงอย่างชัดเจน
    Sad
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts